AE. Racing Club
29 มีนาคม 2024 18:06:55 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
  แสดงกระทู้
หน้า: [«10] [«5]  «  1 ... 124 125 [126]
2501  AE Racing Club - FreeStyle / Free Style - AE Racing Club / Re: ใครเติม โซฮอล แล้วมีปัญหาบ้างไหมครับ เมื่อ: 30 มิถุนายน 2007 02:26:57
ผมบอกตั้งแต่ตันแล้วว่า... ควรใช้งานต่อเนื่องให้หมดโดยเร็ว
ถ้าแบบนี้ผลกระทบน้อย เพราะไอระเหยที่เกิดขึ้นในแต่ละวันจะถูกดูดออกทางท่อระบายของถังน้ำมัน
ประกอบกับกระบวนการในการกัดกร่อนและการเกิดสนิม มันต้องใช้เวลา
คนที่เติมแล้วใช้หมดในเวลาสั้นๆ จึงไม่เห็นผลกระทบ แต่เติมทิ้งไว้นานๆ  อ้อน

ทดสอบได้ง่ายๆครับ
เอาน้ำมันแก็สโซฮอล์ใส่ขวดแก้ว แล้วเอาเหล็กและท่อยางแช่ทิ้งไว้สัก 3 เดือน
ดูผลสิครับ.... นั่นคือคำตอบ
ผมทดสอบมาแล้ว 91 - 95 ไม่เป็น แก็สโซฮอล์ >>> สนิมเพียบ+ท่อยางเปี่อย

ผมเห็นด้วยกับการที่คนไทยจะได้มีทางเลือกในการใช้พลังงานทดแทนราคาถูก
แต่ก็ควรมีคุณภาพที่ดีและไม่ส่งผลกระทบด้วย วันนี้แก็สโซฮอล์ยังมีจุดอ่อนอยู่หลายจุด
วันข้างหน้าหากปรับปรุง ก็เป็นทางเลือกที่ดีได้

ส่วนวันนี้ ใครจะใช้ ใครจะไม่ใช้ ก็อยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละท่าน
สำหรับผมไม่มีส่วนได้-เสียกับยอดการขายน้ำมัน ไม่ว่าน้ำมันเกรดใด
แต่ที่ออกมาบอก เพราะโดนด้วยตนเอง และทดสอบซ้ำจนมั่นใจในสาเหตุ จึงบอกเล่ากันฟัง
บอกการกล่าวก็ด้วยความห่วงใย จากใจจริงครับ
2502  AE Racing Club - FreeStyle / Free Style - AE Racing Club / เหตุผลของคนตัดไม้ กับสาเหตุการโกหกของผู้ชาย เมื่อ: 29 มิถุนายน 2007 18:02:50
บ่ายวันหนึ่งระหว่างคนตัดไม้กำลังตัดไม้อยู่ริมน้ำนั้นขวานคู่มือก็หลุดมือจมลงน้ำไป
คนตัดไม้ก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ริมน้ำ
ทันใดนั้นเองเทวดาก็ลอยขึ้นมาจากผิวน้ำแล้วถามว่า 
เทวดา >>> เจ้ามีปัญหาอะไรหรือพ่อหนุ่ม
คนตัดไม้ >>> ขวานผมตกลงไปในน้ำแล้ว และตรงนี้น้ำลึกมากต่อไปผมจะเอาอะไรไปตัดไม้หาเลี้ยงลูกเมียได้หละท่าน
เทวดาได้ยินดังนั้นก็ดำน้ำลงไปสักพักแล้วขึ้นมาพร้อมกับขวานทองคำ
เทวดา >>> เอ้าขวานนี้ใช่ขวานของเจ้าใช่รึไม่?
คนตัดไม้ >>> ไม่ใช่ครับ
เทวดาก็ดำน้ำลงไปอีกครั้งกลับขึ้นมากับขวานเงิน
เทวดา >>> เอ้าแล้วขวานนี้หละใช่ของเจ้ารึไม่?
คนตัดไม้ >>> ไม่ใช่ครับขวานของผมทำจากเหล็กมีด้ามไม้เก่าๆ ไม่ใช่ขวานเงิน ขวานทอง
เทวดาจึงดำลงน้ำไปอีกครั้งแล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับขวานเหล็กคู่มือคนตัดไม้
เทวดา >>> เอ้าขวานของเจ้า แต่เราเห็นเจ้าเป็นคนดีซื่อสัตย์ไม่โกหก
เพื่อตอบแทนในการที่เจ้าเป็นคนดีเราจะให้ขวานเงิน กับขวานทองคำแก่เจ้าไปด้วย
คนตัดไม้จึงรับขวานไว้แล้วกลับบ้านด้วยความสุข

หนึ่งเดือนต่อมา............
ระหว่างที่คนตัดไม้กำลังเดินเล่นอยู่ริมน้ำพร้อมกับภรรยาของเขาอยู่นั้น
ภรรยาก็ลืนตกน้ำไป คนตัดไม้ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้ริมน้ำ
ทันใดนั้นเทวดาองค์เดิมก็ปรากฏกายออกมาอีกครั้ง
เทวดา >>> เอ้าคราวนี้เจ้ามีปัญหาอะไรรึ
คนตัดไม้ >>> ภรรยาผมลื่นตกน้ำไปเมื่อกี้นี้ครับ
ได้ยินดังนั้นเทวดาจึงดำน้ำลงไปและขึ้นมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าเหมือนอั้ม พัชราภา, หุ่นเหมือนวีเจจ๋า, แถมขาวแบบพอลล่า
เทวดา >>> ผู้หญิงคนนี้ใช่ภรรยาเจ้ารึไม่?
คนตัดไม้ตอบทันที >>> ใช่แล้วครับ
เทวดาจึงโกรธมาก เพราะเห็นว่าคนตัดไม้โกหก และไม่ซื่อสัตย์เหมือนก่อน
คนตัดไม้จึงรีบอธิบาย >>> ขออภัยด้วยครับท่านเทวดา มันเป็นการเข้าใจผิดครับ
ถ้าเกิดผมตอบว่าไม่ใช่ ผมเดาว่าท่านก็คงจะลงไปในน้ำอีกครั้ง แล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับผู้หญิงที่เหมือนกับ แคทธลีน ซีต้าโจนส์
และเมื่อผมปฏิเสธอีกท่าก็คงจำดำลงไปอีกครั้งแล้วนำภรรยาผมตัวจริงขึ้นมา สุดท้ายท่านก็คงจะให้ผู้หญิงอีก 2 คนกับผมด้วย เพื่อตอบแทนที่ผมไม่โกหก
แต่ว่า....ผมเป็นแค่คนตัดไม้จะมีปัญญาอะไรไปหาเงินเลี้ยงเมียพร้อมกัน 3 คนได้หละครับ ผมจึงจำเป็นต้องตอบว่าใช่ตั้งแต่แรก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อใดที่ผู้ชายโกหก
แสดงว่าชายผู้นั้นจะต้องมีเหตุผลจำเป็นในการโกหก และมีเจตนาดีอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่นคนตัดไม้รายนี้
ภรรยาทั้งหลาย........ จงเข้าใจ Grin
2503  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / การขับขี่แบบสุภาพและปลอดภัย เมื่อ: 28 มิถุนายน 2007 21:08:21
การขับขี่แบบสุภาพและปลอดภัย
บนท้องถนนทุกวันนี้คลาคล่ำไปด้วยรถมากมายทุกประเภทหลายล้านคัน
คนขับเองก็มาจากร้อยพ่อ-พันแม่ พฤติกรรมในการขับรถบนท้องถนนจึงแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับที่ใครได้รับการปลูกฝังมาอย่างไร ใครควบคุมสติ-อารมณ์ได้ดีแค่ใหน
การใช้ถนนร่วมกัน นอกจากกฎหมายราชการแล้ว ยังควรมีมารยาทและความเอื้ออาทรต่อกัน
เพื่อให้มีทั้งความราบรื่นและความปลอดภัยในการเดินทาง ผู้ขับรถยนต์ไทยกับมารยาทในการ
ใช้รถใช้ถนนร่วมกันยังมีไม่มากนัก หากไม่หันมาสนใจและรณรงค์ร่วมกัน การรักษามารยาท
ก็คงจะถดถอยลงเรื่อยๆ มารยาทและวิธีปฏิบัติต่อไปนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่รวบรวมขึ้น ซึ่งอาจ
มีอีกหลากหลายแนวทาง ถ้าเห็นว่าสมควรก็นำไปปฏิบัติได้

1. ขั บ ค ร่ อ ม เ ล น
คนพวกนี้ช่างไม่เคยตัดสินใจอะไรในชีวิตได้เลยจริงๆ ขนาดถนนมีตั้งหลายเลนยังเลือกไม่ได้
พี่แกเล่นขับคร่อมเลนไว้ตลอด คนอื่นจะแซงก็ทำไม่ได้ แถมส่งสัญญาณให้ก็ไม่สนใจเสียอีก
ยังงัยก็เลือกสักเลนนะครับ อย่าคร่อมอยู่ เดี่ยวชิ้นส่วนจะกระจายไปทุกเลน.......

2. แ ซ ง ป า ด ห น้ า
ตอนแซงรถคันหน้า ไม่ควรรีบเข้าเลนเดิมเร็วเกินไปจนเกิดลักษณะปาดหน้าคันอื่น
ยิ่งถ้าแซงปาดหน้าด้วยความเร็วต่ำ เบรคหรือชลอรถกะทันหัน จะเกิดอุบัติเหตุได้
บางคนอ้างว่า.... ก็ข้างหน้ามีพื้นที่น้อยนี่ !!!!      >>> ก็แล้วทำไมไม่รอให้มันโล่งก่อนแซงล่ะ!!!
สุดท้ายก็มีการลงมาปาดคอกันซะ........
อย่าลืมนะครับ แซงแล้วกลับเข้าเลนเดิมแบบเผื่อที่ให้ชาวบ้านเขาได้หายใจด้วยแล้วกัน

3. เ ลี้ ย ว ใ ห้ อ ยู่ ใ น เ ล น
อาจใช้ทักษะหน่อยสำหรับการเลี้ยวหรือกลับรถให้อยู่ในเลนเดียว รถบางรุ่นอาจต้องเปลี่ยนอัตราทด
ของแร็คพวงมาลัยใหม่ แต่มันควรกระทำอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้รถในเมือง เพราะการเลี้ยวคร่อมเลน
( บางคนเลี้ยวทีละสามเลน ) ส่งผลให้เกิดการจราจรติดขัด และรถเลนสามอาจชนคุณได้

4. ขั บ ขี่ จ อ ด ทั บ เ ส้ น ท ะ แ ย ง
เส้นเหล่านี้จะขีดไขว้เป็นตารางในช่วงทางร่วม , ทางแยก หรือทางเลี้ยวเข้าซอย
กฎหมายระบุไม่ให้จอดทับ เพื่อจะให้รถที่ต้องการจะเลี้ยว ทำได้อย่างสะดวก เป็นการอำนวยการจราจรอย่างหนึ่ง
หลายคนไม่สนใจ , หลายคนไม่ใส่ใจ เมื่อรถข้างหน้าติด...... ก็เดินหน้าไปจ่อตูดไว้อย่างเดียว กลัวไม่ได้ไป
กีดขวางทางเลี้ยวจนชาวบ้านเขาเข้าซอยไม่ได้ เมื่อต่างคนต่างดื้อ ก็เกิดการติดล๊อคแบบวงแหวนขึ้น
สุดท้าย ก็เสียเวลาด้วยกันทั้งหมด

5. ข้ า ม สี่ แ ย ก - ต ร ง ไ ป ไ ม่ ค ว ร เ ปิ ด ไ ฟ ฉุ ก เ ฉิ น
การข้ามสี่แยกแล้วต้องการตรงไป พร้อมกับเปิดไฟฉุกเฉินกะพริบสี่มุม เป็นวิธีที่ผิด ! และอันตราย !!!
แต่ใช้กันแพร่หลายอยู่ไม่น้อย เหตุผลที่ไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉินในกรณีนี้ เพราะผู้ขับรถยนต์ที่มาด้านซ้าย-ขวา
จะเห็นไฟกะพริบด้านหน้าเพียงมุมเดียว เสมือนเป็นการเปิดไฟเลี้ยว โดยไม่ทราบเลยว่าเป็นการเปิดไฟฉุกเฉิน
กะพริบพร้อมกันสี่มุมซ้าย-ขวา ลองนึกภาพแล้วจะพบว่า ไฟเลี้ยวด้านหน้า แม้จะกะพริบพร้อมกันซ้าย-ขวา
แต่ผู้ขับรถยนต์คันที่มาด้านข้างในแต่ละด้านจะเห็นไฟกะพริบเพียงมุมเดียว โดยเฉพาะผู้ที่มาจากด้านซ้าย
จะไม่ชะลอความเร็วลงหรือไม่ให้ทาง ด้วยคิดว่ารถยนต์คันที่เปิดไฟฉุกเฉินจะเลี้ยวซ้าย เพราะไม่เกี่ยว
กับเขาเลย นอกจากนั้นในมุมอื่น หากมีรถยนต์บางคันบังรถยนต์คันที่เปิดไฟฉุกเฉิน ผู้ขับรถยนต์คันอื่นๆ
อาจเข้าใจผิดว่าคิดเป็นการเปิดไฟเลี้ยวเฉพาะมุมที่เขาเห็น ในกฎหมายจราจรไม่มีการระบุไว้ว่า
ต้องเปิดไฟฉุกเฉินเมื่อต้องการข้ามสี่แยกแล้วตรงไป วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องและปลอดภัย คือ เบรกชะลอความเร็วลง
มองซ้าย-ขวา เมื่อเส้นทางว่างพอ ก็ตรงไปด้วยความเร็วที่เหมาะสม โดยไม่ต้องเปิดสัญญาณไฟใดๆ
ใช้สมาธิและเวลามองรถยนต์คันอื่น ปลอดภัยกว่าเสียสมาธิและเวลาเปิด-ปิดสวิตช์ไฟฉุกเฉิน

6. ฝ น ต ก ห นั ก ไ ม่ ค ว ร เ ปิ ด ไ ฟ ฉุ ก เ ฉิ น
นับเป็นความหวังดี แต่อาจให้ผลร้าย ที่เกรงว่าผู้ร่วมทางจะไม่สามารถมองเห็นรถยนต์ของตนเมื่อฝนตกหนัก
ในความเป็นจริง ไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉิน เพราะจะแยงสายตา และหากมีรถยนต์บางคันบังรถยนต์คันที่เปิดไฟฉุกเฉิน
ผู้ขับรถยนต์คันอื่นๆ อาจเข้าใจผิดว่าเป็นการเปิดไฟเลี้ยวเฉพาะมุมที่เขาเห็น รวมถึงการเปลี่ยนเลนโดยไม่ปิดไฟ
ฉุกเฉินก่อน เพราะจะไม่มีไฟเลี้ยวให้ใช้บอกเตือนตามปกติ
เมื่อฝนตกหนัก วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องและปลอดภัย คือชะลอความเร็วลง ชิดเลนซ้าย-กลาง และเปิดไฟหน้าแบบต่ำ
หรือถ้ามีไฟตัดหมอกหลังสีแดงเพิ่มอีก 2 ดวง ก็ควรเปิดด้วย แล้วขับด้วยความระมัดระวัง ไฟฉุกเฉินมีไว้ใช้เมื่อฉุกเฉินจริงๆ
เช่น รถยนต์จอดเสียหรือเกิดอุบัติเหตุบนผิวจราจร , รถยนต์ถูกลาก ( ถ้ามีโอกาส ทำป้ายหรือเขียนกระดาษแปะด้านท้ายว่า -
รถลากจูง - จะช่วยให้ปลอดภัยขึ้น ) ในกรณีที่เปิดไฟฉุกเฉินในรถยนต์ถูกลาก ควรชิดเลนซ้าย และถ้าต้องการเปลี่ยนเลน
ควรปิดไฟฉุกเฉินแล้วเปิดไฟเลี้ยวล่วงหน้าพอสมควร

7. ส ป อ ต ไ ล ต์ / ไ ฟ ตั ด ห ม อ ก เ ปิ ด เ มื่ อ จ ำ เ ป็ น
มีทั้งติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานและติดตั้งเพิ่มเอง ตำแหน่งอยู่ตรงด้านล่างของกันชนหน้า 2 ดวง รถยนต์บางรุ่น
ออกแบบให้ใช้เป็นไฟตัดหมอก ซึ่งก็ควรใช้เมื่อมีหมอกตามชื่อเรียกมีการใช้สปอตไลต์/ไฟตัดหมอกที่ผิดมารยาท
สร้างความรำคาญ และเริ่มแพร่หลายขึ้นเรื่อยๆ จนอาจลดความปลอดภัยแก่ผู้ร่วมทาง คือเปิดใช้ในขณะที่เส้นทางไม่มืดมาก
ซึ่งไม่จำเป็น แสงสว่างที่แรงนั้นแยงสายตาทั้งผู้ขับรถยนต์คันที่สวนมาและคันนำหน้า ในเส้นทางปกติไม่ควรเปิดใช้งาน
เพราะสว่างอยู่คนเดียว แต่ทำให้คนอื่นตาพร่ามัว คล้ายหรือแย่กว่าการเปิดไฟสูงสาดไปทั่วนั่นเอง บางรายเปิดเพียงไฟหรี่
แล้วเปิดสปอตไลต์เพิ่มความสว่าง นับเป็นการรบกวนสายตาของเพื่อนร่วมทางอย่างมาก ก็ไม่ทราบว่าทำเพื่ออะไร !
สาเหตุที่หลายคนเปิดสปอตไลต์หรือไฟตัดหมอกด้านหน้า โดยไม่เกรงใจผู้ขับรถยนต์คันนำ หรือคันที่สวนทางมา
เพราะคิดไปเองแต่เพียงว่า ตำแหน่งของสปอตไลต์อยู่ต่ำ ไม่น่าแยงตาเหมือนการเปิดไฟสูง ในความเป็นจริง
ไฟส่องสว่างที่ติดตั้งอยู่ต่ำก็อาจแยงตาได้ ถ้ามีแสงแรงและมีการกระจายแสงมากๆ สปอตไลต์ส่วนใหญ่มีแสงแรง
และมีการกระจายแสงมากจนแยงตาแบบประกายแฉก ถ้าอยากเปิดใช้จริงๆ ควรเปิดแล้วออกไปมองว่าจะแยงตาผู้อื่นหรือไม่
หากมันสูงมาก ก็ปรับตั้งให้เหมาะสมก่อนจะใช้งาน หากไม่แน่ใจ ก็ไม่ควรเอาเปรียบผู้อื่นด้วยการเปิดสปอตไลต์โดยไม่จำเป็น
ควรเปิดเมื่อมืดจริงๆ และแน่ใจว่าไม่รบกวนผู้อื่น
สำหรับคำถามที่ว่า แล้วผู้ผลิตรถยนต์ติดตั้งสปอตไลต์มาเพื่ออะไรแล้วจะได้ใช้เมื่อไรเพราะกลัวไม่คุ้มค่า
ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายระบุในคู่มือประจำรถว่า สปอตไลต์ควรเปิดเมื่อจำเป็นและไม่รบกวนคนอื่นหรือควรเปิดเมื่อหมอกลง
และไม่ควรเปิดใช้ต่อเนื่องนานๆ เพราะจะร้อนเกินไปจนจานฉายเสื่อมได้ง่าย การเปิดสปอตไลต์ต่อเนื่องจนร้อน
เมื่อต้องลุยน้ำกะทันหัน กระจกด้านหน้าของสปอตไลต์อาจแตกร้าวได้ การติดตั้งสปอตไลต์เพิ่มเติมเองผิดกฎหมาย
หากติดตั้งในระดับเดียว / หรือสูงกว่าไฟหน้า ไม่ว่าจะมีการเปิดใช้และไม่ได้เปิดก็ตาม
จะไม่ผิดกฎหมายก็ต่อเมื่อมีฝาครอบปิด และไม่ได้เปิดใช้บนเส้นทางที่สภาพทัศนวิสัยปกติ

8. ถ้ า มี ไ ฟ ตั ด ห ม อ ก ห ลั ง ค ว ร เ ปิ ด เ มื่ อ ห ม อ ก ล ง ห รื อ ฝ น ต ก ห นั ก เ ท่ า นั้ น
รถยนต์บางรุ่นมีสวิตช์พิเศษสำหรับไฟตัดหมอกด้านหลัง คือ ไฟท้ายสีแดงเพิ่มขึ้นอีกข้างละดวง และมีความสว่าง
มากกว่าไฟท้ายปกติมาก เพื่อใช้เตือนผู้ขับรถยนต์คันที่ตามมาเมื่อหมอกลง ฝนหรือหิมะตกหนัก
หากเปิดใช้ไฟตัดหมอกหลังสีแดงที่แสนสว่างในยามทัศนวิสัยปกติ แสงสว่างที่เพิ่มขึ้นมาจะแยงตาผู้ร่วมทางมาก
จึงไม่ควรเปิดใช้ในการใช้รถใช้ถนนปกติ และไม่ควรหลงลืมเปิดโดยไม่จำเป็น

9. ก ะ พ ริ บ ไ ฟ สู ง ข อ ท า ง ห รื อ เ ตื อ น
คนไทยมักใช้เพื่อเตือนไม่ให้รถยนต์ทางโทตัดเข้ามาหาทางเอกหรือทางตรง ทั้งที่ในบางประเทศใช้การกะพริบไฟสูง
ใช้เมื่อต้องการให้ทาง เพราะแสดงว่าเห็นแล้วและให้ทางไปได้ ในขณะที่คนไทยใช้เพื่อบอกว่า เห็นแล้วว่าคุณกำลังจะตัดทางเข้ามา
แต่ผมไม่ให้เข้ามา......  กรณีนี้กฎหมายไทยไม่มีกำหนดว่าให้ใช้การกะพริบไฟสูงเพื่อจุดประสงค์ใด อาจเป็นเพราะ
ไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นสากลได้ จึงยังคงใช้กันในสไตล์คนไทย แต่ก็มีผู้ที่ใช้เพื่อต้องการให้ทางซึ่งน่าจะเหมาะสมกว่า
เพราะต้องเห็นก่อนจึงจะสามารถกะพริบไฟบอกได้ ดังนั้นการกระพริบไฟด้วยความหมายที่ต่างกัน
อาจจะส่งผลให้ทั้งคู่ได้นอนในที่ๆข้างๆ มีไฟกระพริบระยิบระยับก็ได้.....

ดีที่สุดคือให้ทางและเอื้อเฟื้อเส้นทางให้คนอื่นซะบ้าง เจอทางโล่งแล้วค่อยทำเวลาชดเชยได้นะ......

10. จ อ ด ใ น พื้ น ที่ ห้ า ม จ อ ด แ ล้ ว เ ปิ ด ไ ฟ ฉุ ก เ ฉิ น
นับเป็นการเอาเปรียบสังคมอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นการจอดชั่วคราวก็ตาม เพราะการเปิดไฟฉุกเฉิน แม้จะแสดงว่าจอด
แต่ถ้าไม่ใช่เวลาและพื้นที่ๆอนุญาตให้จอดก็ไม่ควรปฏิบัติ การเปิดไฟฉุกเฉินจอดในพื้นที่ห้ามจอด
นอกจากเป็นจุดเด่นให้เป็นที่หมั่นไส้แล้ว ยังทำให้การจราจรติดขัดและไม่สามารถป้องกันการออกใบสั่งได้

11. เ ป ลี่ ย น เ ล น - แ ซ ง - ขึ้ น ท า ง ต ร ง แ ล้ ว ค ว ร เ ร่ ง ค ว า ม เ ร็ ว เ พิ่ ม
การจะขึ้นทางตรงจากซอยหรือทางโท รวมถึงการเปลี่ยนเลน ควรกระทำเมื่อเส้นทางว่างพอ เมื่อเข้าเลนที่ต้องการได้แล้ว
บางคนขับช้ามากไม่สนใจมารยาทต่อผู้ขับรถยนต์คันที่ตามมา เพราะคิดแต่เพียงว่า ถ้าถูกชนด้านท้ายแล้วจะไม่ผิด
เนื่องจากเข้าสู่เส้นทางได้เต็มคันแล้ว โดยมารยาท เมื่อเข้าสู่เส้นทางได้เต็มคันแล้ว ควรเร่งความเร็วเพิ่มไล่รถคันหน้า
ในระยะที่เหมาะสมให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องสนใจว่ารถยนต์คันหลังห่างแค่ไหน เพื่อผู้ขับรถคันหลังจะได้ไม่ต้องเบรกจนตัวโก่ง
และไม่เสี่ยงต่อการเสียโฉมของบั้นท้ายรถยนต์ของตนด้วย กันชนAMG ยิ่งต้องระวัง....... มันเริ่มหายากแล้วนา

12. ก า ร เ บ ร ก ต้ อ ง ส น ใ จ ร ถ ย น ต์ ที่ ต า ม ม า ด้ ว ย
ไม่ใช่เฉพาะเป็นการรักษามารยาท แต่เป็นการเพิ่มความปลอดภัยของตนเองด้วยการเบรก ดูเหมือนผู้ขับส่วนใหญ่
จะมองแต่เพียงเป็นการลดความเร็วเมื่อมีสิ่งกีดขวางด้านหน้า โดยไม่ค่อยสนใจมารยาทและความปลอดภัยของรถคันที่ตามมา
ถ้ามีโอกาสและเวลาพอ ก่อนการเบรกควรเหลือบ มองกระจกมองหลัง เพื่อจะได้ตัดสินใจเบรกด้วยน้ำหนักและจังหวะที่เหมาะสม
เพื่อมารยาท ผู้ขับรถยนต์คันหลัง ไม่ต้องเบรกจนตัวโก่ง และไม่เสี่ยงต่อการเสียโฉมของบั้นท้ายรถยนต์ของตน
นอกจากนั้น การแตะเบรกโดยไม่จำเป็นก็ถือว่าเสียมารยาทบ้างเล็กน้อย เพราะไฟเบรกจะสว่าง ทำให้ผู้ขับรถยนต์คันตามมาชะงัก
แต่ก็อย่ากังวลมากจนแตะเบรกช้าเพราะอาจเป็นอันตราย การเบรกมิใช่ต้องสนใจแต่เพียงด้านหน้าเท่านั้น ด้านหลังก็ต้องสนใจด้วย

แต่ไม่ใช่ขับไปเบรคไป ทั้งที่ข้างหน้ามันก็โล่งและห่างจากรถคันหน้านับร้อยเมตร สงสัยว่าที่บ้านจะผลิตผ้าเบรคเอง.....

13. ก้ ม ศี ร ษ ะ ข อ บ คุ ณ........  ลื ม ไ ป แ ล้ ว ห รื อ ?
ผู้ขับขี่บางคนมีการก้มหัวขอบคุณเมื่อได้รับการให้ทาง แต่ในระยะหลังมานี้เริ่มมีการหลงลืมไปบ้างโดยอาจเป็นเพราะ
การรักษาศักดิ์ศรีแบบแปลกๆ เช่น ผู้ขับรถยนต์หรูราคาแพง มักไม่ยอมขอบคุณผู้ขับรถยนต์ราคาถูกที่ให้ทาง
หรือผู้ชายมักไม่ยอมขอบคุณผู้หญิงฯลฯ น่าชื่นชมมาก เมื่อมีผู้ให้ทาง หากกลัวจะเสียศักดิ์ศรีแบบแปลกๆ
ไม่อยากก้มศีรษะให้ ก็สามารถใช้วิธียกแขน พร้อมแบฝ่ามือครบทั้ง 5 นิ้ว ( เน้นครบ 5 นิ้วนะครับ เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด )
ซึ่งยังดีกว่าการเพิกเฉย การขอบคุณในสิ่งที่สมควร ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรีแต่อย่างใด

14. ฝ่ า ฝื น สั ญ ญ า ณ ไ ฟ
ไ ฟ เ ขี ย ว - ควรออกตัวโดยไม่ชักช้า เพราะช่วงเวลาที่ให้สัญญาณไฟเขียวนั้นมีจำกัด แถมมีคนต่อท้ายขบวนอีกยาว
หลายคนมีการทานอาหาร , คุยโทรศัพท์ , แต่งหน้าทาปาก หรือล้วงหาอะไรบางอย่างซะเพลิน จนไม่มองไฟสัญญาณ
และที่ร้ายกว่านั้น ผมเคยเจอคงประเภทเที่ยวดึกแล้วตื่นเช้าไปทำงาน เมื่อติดไฟแดงนานๆก็งีบหลับ พอไฟเขียว
ข้างหลังก็บีบแตรแต่พี่แกยังจอดเฉย ลงไปดูและเคาะกระจกจึงรีบตาเหลือกขับออกไป....... เลยไม่ได้ถามว่าฝันเห็นเลขอะไร
ดีนะที่จราจรไม่อยู่ ไม่งั้นจะเจอข้อหา... ขับขี่กีดขวางและฝ่าฝืนสัญญาณไฟเขียว ( เคยเจอกันบ้างมั้ย )
ไ ฟ เ ห ลื อ ง - ตามหลักการที่ถูกต้องอันเป็นสากล แต่ไม่ค่อยมีการปฏิบัติ คือต้องเบรกและจอดเมื่อเห็นไฟเหลือง
ผู้ขับรถยนต์ไทยส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่เมื่อเห็นไฟเหลือง คือ ไฟเตือนให้เร่งหนีการติดไฟแดง ซึ่งไม่ถูกต้องนัก
เพราะการที่ไฟเหลืองสว่างขึ้นก่อนจังหวะไฟแดง ตามหลักการจริงเป็นการเตือนเพื่อให้ผู้ขับชะลอความเร็วและจอด
แต่สภาพการจราจรในกรุงเทพมีรถมาก ทำให้ทุกคนต้องการไปให้เร็วที่สุด เมื่อเห็นไฟเหลือง คือไฟเตือนให้เร่งหนีการติดไฟแดง
และยากที่จะให้ชะลอความเร็วลงและเบรกเมื่อเห็นไฟเหลืองสว่างขึ้นก่อนจังหวะไฟแดง ถ้าเห็นไฟเหลืองแล้วเบรกเพื่อจอด
ก็นับเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยจากการถูกชนท้าย เพราะคนส่วนใหญ่เมื่อเห็นไฟเหลืองจะเร่งหนีการติดไฟแดง
หากต้องการฝืนสังคม (ทั้งที่ไม่ผิด) ควรเหลือบมองกระจกมองหลัง เพื่อจะได้ตัดสินใจกดแป้นเบรกด้วยน้ำหนักและจังหวะที่เหมาะสม
การไม่ชลอแล้วจอดเมื่อเห็นไฟเหลือง อาจทำให้ท่านมีโอกาสโดนมอเตอร์ไซด์เสียบคากันชนได้ เพราะพวกมักรีบออกตัวก่อนไฟเขียวอีก
สรุป... ต้องระวังทั้งสองทาง จอดก่อนอาจโดนชนท้าย , เร่งส่ง อาจโดนสวนด้วยมอเตอร์ไซด์........
ไ ฟ แ ด ง - ต้องจอดทันที แต่หลายคนยังฝ่าฝืนอยู่ซึ่งอันตรายมาก นอกจากจะเป็นฝ่ายผิดและมีโทษหนักแล้ว
หากผ่านมาได้ ท่านอาจจะเจอมนุษย์หัวปิงปองกระโดดออกมาจากหลังพุ่มไม้แล้วขวางหน้าให้ตกใจเล่น ซะงั้น

15. ไ ฟ เ ลี้ ย ว ต้ อ ง เ ปิ ด - ปิ ด อ ย่ า ง เ ห ม า ะ ส ม
นับเป็นเรื่องพื้นฐานที่ถูกมองข้าม การเปิดไฟเลี้ยวเป็นเรื่องจำเป็น กฎหมายกำหนดให้มีการเตือนผู้ร่วมทางล่วงหน้า
ตามระยะที่เหมาะสม ควรเปิดไฟเลี้ยวก่อนเปลี่ยนเลนหรือเลี้ยวล่วงหน้าพอสมควร และไม่ควรเปิดค้างลืมทิ้งไว้

การเลี้ยวแบบไม่เปิดไฟ หรือเปิดไฟพร้อมกับหันเลี้ยวเลย เป็นเรื่องอันตรายถึงชีวิตได้
แต่ก็ยังมีคนที่ทำแบบนี้อยู่...... สงสัยว่าจะเบื่อโลกนี้ซะแล้ว

16. ชิ ด ซ้ า ย เ ส ม อ
บนถนนหลายเลนมักมีการเตือนว่า -ขับช้า ชิดซ้าย-  ซึ่งถ้าจะแซงก็ให้แซงทางเลนขวา
บางคนขับอยู่เลนขวาตลอด โดยคิดว่าความเร็วที่ใช้ในขณะนั้นถือว่าเร็วแล้ว ซึ่งอาจเป็นเพราะกฎหมายไทย
กำหนดให้ใช้ความเร็วสูงสุด 80-120 กม./ชม. เมื่อใช้ความเร็วเกินขึ้นไปแล้ว ก็มักคิดไปเองว่าเร็วพออยู่แล้ว
สามารถแล่นชิดขวาได้ วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง รักษามารยาท และปลอดภัยในการใช้เลนขวา คือ -แซงแล้วชิดซ้าย
หรือวิ่งเร็วอยู่ด้านขวา แต่หากมีรถที่เร็วกว่าเข้ามาจ่อท้ายก็ต้องหลบให้เขาแซง
ไม่ว่าจะใช้ความเร็วสูงเท่าไรก็ตาม เร็วแล้วแต่ยังมีเร็วกว่าได้ ถึงจะผิดกฎหมายในการใช้ความเร็วสูง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ...

แต่ก็ยังดีกว่าคนอีกประเภท ที่ขับช้าเป็นเต่าคลานแต่วิ่งเลนขวาสุด
แถมติดพฤติกรรมน่ารังเกียจประเภทไม่รู้ร้อนรู้หนาว.............
ใครจะกระพริบไฟ + บีบแตร ก็ไม่สนใจ ทำยังกับว่าในรถไม่มีกระจกมองหลังซะงั้น

17. รูดมาจากซ้ายหรือขวา
โดยสภาพของถนนในเมืองไทย มีหลายจุดที่เป็นคอขวดอยู่ หากทุกคนวิ่งอยู่ในเลนของตัวเองก็จะเคลื่อนตัวตามกันไปได้
แต่เมื่อข้างหน้าติด พวกหลังมักจะรูดแซงซ้ายหรือขวาขึ้นมา เมื่อเจอจุดที่เป็นคอขวดก็แทรกชาวบ้านเข้าไป
หากเจอกับคนที่เห็นแก่ตัวเหมือนกัน และไม่ยอมให้เข้าก็เกิดการชนขึ้น แถมชนเสร็จก็มีการรอตำรวจ - ประกันภัยมาเคลียร์
เจอคอขวดก็ช้าอยู่แล้ว ..... มาเจอพวกชนคากันอยู่อีก ไม่ต้องไปใหนกันพอดี
สภาพแบบนี้ พบเห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่ทุกคนต่างเร่งรีบจะไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว
สุดท้ายก็ได้ไปกับ รถด่วนพิเศษ ( ตู้นอนVIP )
2504  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / การทำสีและซ่อมตัวถังรถยนต์ เมื่อ: 28 มิถุนายน 2007 21:05:15
การเตรียมงานก่อนทำสีรถยนต์
ในการซ่อมตัวถัง หรือทำสีรถยนต์ จะมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลักๆ ดังนี้
1. การซ่อมตัวถัง เช่นการติดตั้งหลังคาซันรู๊ฟ / มูนรู๊ฟ
การเชื่อมโลหะให้ติดกัน เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น
ในโรงงานผลิตรถยนต์ จะใช้เทคนิคการเชื่อมด้วยเครื่องSpot โดยใช้หุ่นยนต์เชื่อมตามจุดที่ได้โปรแกรมไว้
ข้อดีของการเชื่อมแบบนี้ คือแนวเชื่อมแข็งแรง บริเวณไกล้เคียงกับจุดเชื่อมจะไม่โดนความร้อน
ทำให้เนื้อโลหะ ( Grain ) ไม่เสียรูปหรือเสื่อมสภาพจากการโดนความร้อนสูงจากการเชื่อม

สำหรับอู่ที่ยังไม่พัฒนา ( ส่วนมาก )จะใช้แก๊สเชื่อม ซึ่งการเชื่อมแบบนี้จะมีข้อเสียมากมาย
ข้อหนึ่งที่จะเป็นปัญหาใหญ่คือ ใต้จุดที่เชื่อมจะโดนความร้อนสูงแผ่ลงมาเผาใหม้ทำให้เนื้อของเหล็กเสียรูป
โครงสร้างของเหล็กจะเสียไป ทำให้เหล็กไม่แข็งแรงเท่าที่ควร นอกจากนี้ความร้อนจากเปลวแก็สจะทำให้สีปูดขึ้น
แน่นอน..... สิ่งเหล่านี้ จะไม่ส่งผลในเวลาสั้นๆ แต่มันจะมีผลหลังจาก 1 - 2 ปีให้หลัง
การปูดของสี จะทำให้เหล็กทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ( Oxidize ) ผลคือเกิดสนิม ( Iron Oxide )ขึ้น
กว่าคุณจะรู้ก็สายเสียแล้ว สนิมได้กัดกร่อนรถคันโปรดของคุณซะเกินเยียวยาแล้ว

2. การซ่อมสีหรือทำสีใหม่
หากต้องมีการลอกสี บางอู่ที่มักง่าย ก็จะใช้เปลวแก๊ส หรือไดร์ร้อนเป่าให้สีอ่อนตัวแล้วขูดออก
( ไดร์ร้อน เหมือนไดร์เป่าผมแต่จะร้อนกว่า ) การลอกสีด้วยวิธีนี้ จะส่งผลให้โครงสร้างของเหล็กตัวถังเสียไป
เหล็กจะไม่แข็งแรงเท่าที่ควร สังเกตุได้จากรถที่ผ่านการลอกสีด้วยวิธีดังกล่าวจะบุบง่าย โครงสร้างไม่แข็งแรง
ที่สำคัญ..... ความร้อนที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้สีด้านล่างปูด และเกิดสนิมในเวลาต่อมาเช่นกัน

ในวงการอู่ซ่อมตัวถังและสีที่ได้มาตรฐาน เขาจะใช้การเชื่อมโลหะด้วยเครื่องเชื่อมแบบมิกซ์ ( Mig Welding Machine )
ซึ่งเครื่องเชื่อมแบบนี้จะใช้ก๊าซ CO2 เป็นองค์ประกอบ และได้มีใช้ในเมืองไทยมากว่า 20 ปีแล้ว
แต่อู่ส่วนใหญ่ไม่นำมาใช้ เพราะราคาแพง ข้อดีของเครื่องเชื่อมแบบนี้จะเหมือนเครื่องเชื่อมแบบSpot แต่มีราคาถูกกว่า

การลอกสีที่ถูกต้อง ทำได้โดย
1. ใช้น้ำยาลอกสี ซึ่งมีข้อดีคือลอกได้รวดเร็ว แต่มีข้อเสียคือต้องล้างคราบน้ำยาลอกให้หมด ไม่งั้นจะทำให้สีใหม่ปูด
2. ใช้การขูด หรือเครื่องขัดกระดาษทรายหยาบขัดเอาสีเดิมออกจนหมด

หากคุณต้องการซ่อมตัวถังรถคันโปรดของคุณ
นอกจากราคาและยี่ห้อสีที่ใช้
คุณควรดูขั้นตอนการทำงานของเขาด้วย หากเขาใช้แก๊สเชื่อม และลอกสีด้วยการใช้แก๊สหรือไดร์ร้อนเป่า
ก็ทำใจไว้เลยว่า ภายในไม่เกิน 2 ปีข้างหน้า รถคุณจะโดนสนิมกินมาจากด้านในแบบเงียบๆ
กว่าจะรู้ก็ปูดออกมา และมันก็สายซะแล้ว

ทางออกที่ดีที่สุดคือ ออกห่างจากอู่ประเภทนี้เสียเถอะครับ หากเขาไม่พัฒนา..... ก็ปล่อยให้เขาเจ๊งงงงง ซะ
2505  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / การเลือกใช้หัวเทียน เมื่อ: 28 มิถุนายน 2007 21:02:01
การเลือก heat range ของหัวเทียน ควรกำหนดให้เหมาะกับลักษณะการ modify ของรถคุณ
และรวมถึงวัตถุประสงค์ของการใช้งานของรถคุณด้วยครับ

เบอร์น้อย = หัวเทียนร้อน

ข้อดี
ติดเครื่องง่าย, เดินเบาดี, ไม่ต้องอุ่นเครื่องนาน, เร่งเครื่องได้ดี ไม่ค่อยมีสะดุด
เหมาะกับขับไปขับมาในเมือง, หัวเทียนบอดยากกว่า

ข้อเสีย
มีการสะสมความร้อนสูง ไม่เหมาะกับเครื่องยนต์รอบจัด และเครื่องยนต์ที่มีอุณหภูมิในห้องเผาไหม้สูง
เช่นรถกำลังอัดสูง และรถ turbo เพราะจะทำให้เกิดปัญหาจุดร้อนแดง ( hot spot ) คือหัวเทียนแดงเป็นธูป
ทำให้เกิดการชิงจุดระเบิดได้ และทำให้เครื่องพังไปในที่สุด

เบอร์มาก = หัวเทียนเย็น

ข้อดี
ลากรอบยาวๆ ขับแช่นานๆ ได้ดี โดยปัญหาจุดร้อนแดงจะน้อยกว่า,
เหมาะกับการใช้งานในห้องเผาไหม้ที่มีอุณหภูมิสูง เช่น เครื่องกำลังอัดสูง หรือเครื่อง turbo
แต่ต้องไม่เย็นเกินไปจนหัวเทียนไม่จุด และไม่ทำความสะอาดตัวเอง ( คือหัวเทียนบอดนั่นเอง )

ข้อเสีย
สตาร์ทเครื่องยาก, ต้องใช้เวลาอุ่นหัวเทียนนาน เพราะถ้าไม่รอ แล้วจู่ๆ กดคันเร่งไปเลย เครื่องมักจะสะดุด
เพราะหัวเทียนยังไม่ถึงอุณหภูมิทำงาน, และในกรณีใช้ส่วนผสมหนา หัวเทียนจะบอดได้ง่ายกว่า
เพราะอุณหภูมิในห้องเผาไหม้จะต่ำลง

บางตำราเขาให้ใช้รถไปสักพักหนึ่ง แล้วถอดออกมาดูสีหัวเทียน ก็จะรู้ได้ว่าเราใช้เบอร์เย็นไป หรือร้อนไป
- ถ้าร้อนไป เขี้ยว และกระเบื้องมันจะขาว และบางทีเขี้ยวมันจะกุดหายด้วย
- ถ้าพอดี มันจะเป็นสีน้ำตาลเทา
- ถ้ามันเย็นไป หัวเทียนมันจะดำ

ทั้งนี้ส่วนผสม และองศาไฟจะต้องถูกต้องหมดอยู่แล้วนะครับ
เพราะหัวเทียนอาจขาวจากการใช้ส่วนผสมบาง+ไฟแก่ได้ และในทางกลับกัน
หัวเทียนก็ดำจากการใช้ส่วนผสมหนา+ไฟอ่อนได้

2506  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / การเลือกเครื่องยนต์มือสองและการเตรียมเครื่องก่อนวาง เมื่อ: 28 มิถุนายน 2007 20:56:16
ในการเลือกซื้อเครื่องยนต์มือสอง ควรตรวจสอบตามรายละเอียดดังนี้

1. สภาพเครื่องโดยทั่วไป
ต้องไม่มีคราบน้ำมันเครื่องรั่วซึมบริเวณจุดต่างๆ
( เครื่องยนต์ต้องไม่ถูกล้างมาก่อน ถ้าล้างแล้วจะดูยาก )
2. ท่อ สายยางต่างและสายหัวเทียน
ควรอยู่ในสภาพนิ่ม ไม่กรอบหรือแตกร้าว ไม่ควรดูสายหัวเทียนเป็นหลัก เพราะสายหัวเทียน
เป็นอุปกรณ์ที่จะถูกถอดเปลี่ยนโดยผู้ขายบ่อยมาก
3. ท่อทางน้ำเข้า-ออก
ไม่ควรมีคราบตะกรันจับอยู่หนา โดยตรวจที่ทางเข้า-ออกจุดที่เป็นโลหะจะแน่นอนกว่า
เพราะท่อยางอาจจะถูกเปลี่ยนมาก่อนได้
4. ภายในเครื่องยนต์
เปิดฝาเติมน้ำมันเครื่องออกมาตรวจ สภาพภายในเครื่องต้องสะอาด
ไม่มีคราบตะกอนน้ำมันเครื่องสีดำจับอยู่หนา
5. สายไฟ
ควรเลือกเครื่องที่ไม่มีการตัดสายไฟมาก่อนจะดีกว่า ไม่ต้องจ้างเดินสายไฟเครื่องเพิ่ม
และการเดินสายไฟใหม่ ถ้าเดินไม่ถูกต้อง ครบถ้วน เครื่องจะรวน , กินน้ำมันและวิ่งไม่ดี
6. อุปกรณ์และส่วนควบ
ยางแท่นเครื่อง-เกียร์ , ระบบท่อดูดและกรองอากาศ , กล่องECU , อินเตอร์ฯ , กล่องฟิวส์ และอื่นๆ
ต้องมีมาครบถ้วน สภาพดีและตรงรุ่น
7. ปลายท่อไอเสีย
คราบเขม่าไอเสียควรมีสีน้ำตาลเข้มไม่หนามาก
ไม่ควรเลือกเครื่องที่มีคราบเขม่าหนา มีสีดำมากหรือคราบเขม่าเหลวเหมือนน้ำมันเครื่องตกค้าง
เพราะนั่นคือตัวบ่งบอกว่าเครื่องยนต์หลวมและเผาไหม้ไม่หมด
8. ปากทางเข้าท่อไอดีและปากท่อดูดของTurbo
ไม่ควรมีคราบเขม่าของน้ำมันเครื่องจับอยู่มาก
9. คอมเพรสเซอร์แอร์
ทดสอบเบื้อต้น โดยเอามืออุดที่ปากของท่ออัด และหมุนมู่เล่ จะมีแรงอัดออกมาดันที่มือ
10. ลองติดเครื่องยนต์
การเดินเบาต้องราบเรียบ เร่งเครื่องได้ต่อเนื่องไม่สะดุด
เมื่อเอาผ้าอุดปลายท่อไอเสีย ต้องไม่มีเสียงดังออกมาจากในเครื่องยนต์
** เนื่องจากขั้นตอนการลองเครื่องยนต์ โดยส่วนใหญ่จะไม่ต่อหม้อน้ำและลองในช่วงสั้นๆ **
ดังนั้นจะตรวจเช็คว่าเครื่องยนต์สมบูรณ์ดี , ปะเก็นฝาสูบรั่วหรือไม่ จะทำได้ยาก
จึงควรให้ผู้ขายรับประกันสภาพเครื่องยนต์ให้ด้วย ( ในช่วงเวลาหนึ่ง )


การเตรียมเครื่องยนต์และตัวรถก่อนวางเครื่อง

เมื่อได้เครื่องยนต์ที่ต้องการแล้ว ก็ต้องมีการเตรียมเครื่องก่อนวางซึ่งควรเปลี่ยนชิ้นส่วนต่อไปนี้เสียใหม่
1.ชุดสายพานทั้งหมด
2.รอกสายพาน
3.ซีลหน้าและหลังเครื่อง
4.ปั๊มน้ำ ( ตรวจสอบสภาพก่อนเปลี่ยน )
5.แผ่นครัทช์และหวีกด ( ตรวจสอบสภาพก่อนเปลี่ยน )
6.ยางแท่นเครื่องและเกียร์ ( ตรวจสอบสภาพก่อนเปลี่ยน )
ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับความแรงของเครื่องที่เพิ่มขึ้น เช่น
1.ระบบเบรค
2.ระบบระบายความร้อนทั้งหมด
3.ระบบส่งน้ำมันเชื้อเพลิง
4.ระบบระบายไอเสีย
5.ระบบช่วงล่างและยาง
6.ติดตั้งเกจวัดต่างๆที่จำเป็น
นอกจากนี้ ควรตรวจสอบสภาพของตัวถังรถ เพราะความแรงที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ตัวถังขาดหรือบิดได้
2507  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / ค้ำโช๊ค เมื่อ: 28 มิถุนายน 2007 20:51:20
ตัวถังของรถยนต์ประกอบเข้ากันด้วยด้วยการเชื่อมแบบSpot เพื่อให้สามารถให้ตัวและดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้
ซึ่งตามมาตรฐานจากโรงงานก็ให้ความแข็งแรงในระดับหนึ่งและรองรับการใช้งานปกติได้

แต่เมื่อมีการนำรถไปโมดิฟายเครื่องยนต์เพื่อใช้งานแบบแข่งขัน  โดดคอสะพาน , เข้าโค้ง หรือขับด้วยความเร็วสูง
จะทำให้ตัวถังรถเกิดการบิดตัวมาก ทำให้รถท้ายปัด และไม่นิ่ง
การนำเอาค้ำโช๊คมาใส่จึงเป็นการเสริมความแข็งแรงเพื่อลดการบิดตัวของตัวถังรถ เป็นการแก้ปัญหาได้วิธีหนึ่ง

ซึ่งค้ำโช๊คก็จะมีค้ำหน้าบนและหลังบนหรือเรียกอีกอย่างว่า Upper Front and Rear Sturt Bar
โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะยึดติดกับเบ้าโช๊คด้านบน ทั้งหน้าและหลัง จะทำหน้าที่ลดการบิดตัวของตัวถัง
นอกจากนี้ก็ยังมีอุปกรณ์สำหรับกับตัวถังช่วงกลางบิดตัว ( Cross Bar )
ซึ่งเจ้าอุปกรณ์ดังกล่าวจะติดตั้งไว้ภายในห้องโดยสารช่วงหลังเบาะคนขับ

ด้านล่างก็จะมีค้ำล่างหน้าและหลังหรือเรียกอีกอย่างว่า Lower Arm Front and Rear
อุปกรณ์ดังกล่าวทำหน้าที่ยึดบู๊ทปีกนกซ้ายและขวาทั้งหน้าและหลังไม่ให้ดิ้น
เมื่อไม่ดิ้นเวลาตกหลุมจะไม่เกิดอาการเซ และทำให้การเข้าโค้งดีขึ้นลดอาการท้ายปัดได้
การติดตั้งเจ้าอุปกรณ์ดังกล่าว ควรทำร่วมกับการปรับโช๊คอัพให้มีค่าBump และRebound ที่เหมาะสมด้วย

การติดค้ำโช๊ค ไม่ว่าจะแบบบนหรือล่าง หน้าหรือหลัง ถามว่าติดแล้วดีขึ้นเท่าไร
คงตอบเป็นเปอร์เซนต์ยาก เพราะคนส่วนใหญ่ใช้การวัดผลด้วยความรู้สึกเป็นหลัก
แต่ถ้าถามว่ามันดีขึ้นใหม Huh? จาการสอบถามผู้ใช้ส่วนใหญ่จะได้คำตอบว่าดีขึ้น
ส่วนหนึ่งดูได้จากการเตรียมรถเพื่อการแข่งขัน ไม่ว่าจะทางฝุ่น , ทางเรียบ , ทางตรง
ทุกรูปแบบสนาม จะพบว่ารถแข่งแทบทุกคันก็จะติดเจ้าอุปกรณ์นี้
ดี - ไม่ดี , คุ้ม - ไม่คุ้ม คุณต้องตัดสินใจเองครับ
2508  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / ECU คืออะไร มีหน้าที่อะไร กล่องแต่ง-ดีใหม เมื่อ: 28 มิถุนายน 2007 20:49:44
ECU คืออะไร และมีหน้าที่อะไร , กล่องแต่งดีใหม
ECU หรือที่เราเรียกกันว่า ?กล่องเครื่อง? ย่อมาจาก Electronic Control Unit เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
มีพื้นฐานมาจากคอมพิวเตอร์ หน้าที่หลักของ กล่องเครื่อง / ECU คือเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่างๆ
เพื่อนำมาประมวลผล และใช้ในการควบคุมการการสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดของเครื่องยนต์
ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ตามมาตรฐานทางด้านมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม โดยที่กำลังของเครื่องยนต์ยังทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
รวมทั้งการตรวจ สอบสถานะการทำงานของอุปกรณ์อื่นๆที่ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ (Diagnostic)
นอกจากนี้ในปัจจุบันค่ายรถยนต์ ต่างๆได้มีการเพิ่มคุณสมบัติเฉพาะให้กับ ECU และเครื่องยนต์ของตนเอง
ตามเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาของแต่ละค่าย

ในเครื่องยนต์ปัจจุบัน ECU จะไม่ควบคุมเพียงแค่ การจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และ การจุดระเบิดเท่านั้น ECU ยังสามารถ
ที่จะควบคุมระบบต่างๆ อาทิเช่นระบบปรับความยาวท่อร่วมไอดีแปรผัน ระบบวาล์วแปรผัน การทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์
พัดลมระบายความร้อน ระบบควบคุมไอน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น ซึ่งความสามารถเหล่านี้ไม่เป็นเพียงการลดความซ้ำซ้อน
ของอุปกรณ์ต่างๆ ECU สามารถที่จะจัดการให้อุปกรณ์ต่างๆ ทำงานสัมพันธ์กันได้ เพื่อประสิทธิภาพเครื่องยนต์สูงสุด
ลดมลภาวะ และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ยังผลให้เครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง มีกำลังที่สูงขึ้น ยืดอายุการใช้งาน
มีการตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และลดมลภาวะที่ปล่อยออกมา นอกจากนี้ ECU ยังทำงานร่วมกับระบบกันขโมย (Immobilizer)
โดยระบบจะไม่อนุญาตให้กุญแจที่ไม่ถูกต้องสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ติดได้


กล่องECU ของเครื่องยนต์ ถ้าแบ่งตามการโปรแกรมข้อมูลก็จะแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ
1. กล่องStandard จะติดมากับเครื่องยนต์ ป้อนข้อมูลมาแล้ว ใช้สำหรับเครื่องยนต์ที่ออกมาจากโรงงาน
กล่องพวกนี้ บางรุ่นก็จะเปลี่ยนRom หรือ Eprom ได้ บางรุ่นก็เปลี่ยนไม่ได้
2. กล่องModify กล่องแบบนี้ จะมีการโปรแกรมข้อมูลขึ้นมาใหม่เพื่อให้เหมาะกับHardware
ที่เปลี่ยนเข้าไปในเครื่องยนต์เครื่องนั้น กล่องพวกนี้บางคนเรียกว่ากล่องแต่ง ซึ่งก็มีหลายยี่ห้ออยู่เหมือนกัน
เช่น Mine's , Mugen ,
3. กล่องที่เขียนโปรแกรมได้ที่ตัวของมันเอง กล่องพวกนี้ตอนซื้อมาจะไม่มีการเขียนโปรแกรมมา มีแต่Softwareมาให้
ซึ่งก็แยกตามประเภทการใช้งานออกเป็น 2 แบบคือ
 - แบบต่อพ่วงกล่องเดิม ( Piggyback ) เช่นE-Manage , Unichip , เป็นต้น
 - แบบใช้งานเดี่ยวๆ ( Stand Alone ) กล่องพวกนี้จะมีราคาแพง แต่คุณภาพล้นเหลือ
เช่น EMS , F-Con  , Motec

ในการจะไปกำหนดว่าจะจ่ายน้ำมันเท่าไร องศาไฟจุดระเบิดแบบใหน ก็ขึ้นอยู่กับHardwareที่ใส่ในเครื่อง
เจ้าHardwareที่ว่า ได้แก่ ขนาดของหัวฉีด , แคมชาร์ฟ , วาล์ว , คอไอดี , เทอร์โบ และอื่นๆ
โดยผู้ที่เขียนโปรแกรมหรือจูนเนอร์ จะปรับโปรแกรมให้สอดคล้องกับHardware ที่อยู่ในเครื่อง
ทำให้เครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด ณ จุดนั้น

บางคนถามหากล่องโมฯ ( กล่องแบบที่ 2 ) โดยต้องการจะเอามาใส่กับรถของตน และถามว่ามันดีใหม
ถ้าเรามองในแง่ของการปรับโปรแกรมในกล่อง จะพบว่าองค์ประกอบหลักก็คือHardwareของตัวเครื่องยนต์
กล่องใบนั้นๆ จะมีการปรับโปรแกรมให้เหมาะกับHaredware ของเครื่องยนต์นั้นๆ ซึ่งรถคันนั้นแรงแน่
แต่ถ้าจะเอามาใส่ในรถเรา มันจะแรงได้อย่างไร  ในเมื่อHardwareมันต่างกัน จะให้มันแรงเราต้องเปลี่ยน
Hardwareให้เหมือนกับตัวเครื่องยนต์ที่เคยใช้กล่องนั้น........ ซึ่งถ้าเราไม่มีข้อมูลของเครื่องตัวนั้นมาด้วย
เราไม่มีโอกาสรู้ได้เลย เมื่อปรับเปลี่ยนHardwareให้เหมือนไม่ได้ ใส่กล่องโมฯ ที่ว่าเข้าไป ก็ไม่แรงหรอก
ดังนั้นกล่องโมฯ ที่มาเพียงกล่อง ก็ไม่ต่างอะไรกับกล่องเหล็กที่ไร้ค่า มีประโยชน์แค่วางทับไม่ไห้เศษกระดาษปลิว
( พวกขายกล่องแต่งอย่าด่าผมนะครับ เพราะนี่คือความจริง )

หากคุณต้องการความแรงเพิ่มขึ้น ควรใช้กล่องเดิมแล้วเปลี่ยนRom พร้อมจูนโปรแกรมใหม่ ( หากกล่องรุ่นนั้นทำได้ )
หรือใช้กล่องแบบที่ 3  แล้วหาจูนเนอร์มือดี ปรับโปรแกรมให้เข้ากับHardwareในรถคุณ ความแรงมาเห็นๆ
2509  AE Racing Club - FreeStyle / Free Style - AE Racing Club / Re: ใครเติม โซฮอล แล้วมีปัญหาบ้างไหมครับ เมื่อ: 28 มิถุนายน 2007 00:25:08
น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ จะมีส่วนผสมของน้ำ(ออกซิเจน) อยู่ส่วนหนึ่ง
การใช้งานจึงควรใช้ต่อเนื่องให้หมดโดยเร็ว ไม่ควรเติมทิ้งไว้ในถังนานเกินไป



ในรูปเป็นผลกระทบจากน้ำมันแก๊สโซฮอลล์
รถคันนี้... เติมน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ แล้วจอดรถทิ้งไว้ 1 เดือน
ผลคือ เกิดสนิมกินเต็มในถัง เครื่องเดินไม่เรียบ เร่งไม่ขึ้น

เมื่อถอดถังมาดู พบว่าเกิดสนิมเต็ม ในรูป คือปั๊มส่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่เกิดสนิม
มีคราบสนิมเป็นแนว เท่าระดับของน้ำมันที่เหลืออยู่

ระวังนะครับ.... เติมแล้ว อย่าจอดนาน

ข้อควรระวังอีกอย่าง
หากรถของท่าน วัดค่าCO แล้ว น้ำมันบาง
เมื่อเติมแก๊สโซฮอลล์ จะทำให้ปริมาณออกซิเจนที่มีสูงในน้ำมันเข้าสู่กระบวนการเผาใหม้
ทำให้ส่วนผสมบางขึ้นไปอีก........
หน้า: [«10] [«5]  «  1 ... 124 125 [126]
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!