AE. Racing Club
04 มิถุนายน 2568 10:08:36 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [«10] [«5]  «  1 ... 12 13 [14] 15  »    ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!  (อ่าน 72844 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #260 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:49:14 »

ถ้ำปลาอาถรรพณ์
 
สาวน้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากถ้ำปลา แม่ฮ่องสอน

ดิฉันเป็นคนกำแพงเพชรค่ะ ตอนแรกว่าจะเล่าเรื่องผีดุที่บ้านเมืองตัวเองก่อน คิดดูซิคะ จังหวัดดิฉันน่ะเป็นเมืองเก่าแก่ เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยทวาราวดี เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณมากมาย คิดว่าหลายๆ ท่านคงจะเคยผ่านหูผ่านตามาแล้ว

เช่น เมืองนครชุม เมืองชากังราว เมืองไตรตรึงษ์ เมืองเทพนคร เป็นต้น

ข้อสำคัญคือ กำแพงเพชรยังเป็นจังหวัดที่สอง ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ครองเมือง มีบรรดาศักดิ์เป็น พระยาวชิรปราการ

เมืองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง แถมเป็นเมืองหน้าด่านอีกต่างหาก ต้องรับศึกสงครามอย่างโชกโชน ผู้คนสารพัดเผ่าพันธุ์ต้องรบราฆ่าฟันกันจนล้มตายตั้งหลายพันหลายหมื่น กองกระดูกทับถมกันแทบทุกตารางนิ้วก็ว่าได้...ยังงี้จะไม่ให้กำแพงเพชรเป็นเมืองผีดุ - วิญญาณเฮี้ยนได้ไงคะ?

แต่บังเอิญดิฉันกับเพื่อนๆ ไปพบเรื่องราวน่าขนหัวลุกที่ "ถ้ำปลา" จังหวัดแม่ฮ่องสอนเสียก่อน เลยถือโอกาสนำมาเล่าสู่กันฟังวันนี้ค่ะ

ลุงวินัย พ่อของโอ่งกับโอ๋เพื่อนสนิทของดิฉัน ชักชวนครอบครัวและเพื่อนสนิทของลูกๆ ไปเที่ยวด้วยรถตู้ มีคนขับที่ชำนาญทาง ไว้ใจได้ เพราะการไปแม่ฮ่องสอนทางรถยนต์ต้องใจถึงจริงๆ มีโค้งตามไหล่เขาน่ากลัวถึงพันกว่าโค้ง...ทั้งเสียวทั้งน่าสนุก

ตอนนั้นเกือบปลายเดือนมกราคม เราผ่านเชียงใหม่ไปทางแม่สะเรียง มีโปรแกรมว่าขากลับจะลงมาแวะเที่ยวงานพืชสวนโลกเพราะใกล้จะสิ้นสุดตอนปลายเดือน

อากาศหนาวเหลือเชื่อ แต่ทิวทัศน์บนยอดเขาสูงๆ ก็น่าตื่นตาตื่นใจจนพวกเราเพลิดเพลินไปตามๆ กัน

คืนแรกนอนพักที่ปายรีสอร์ตในอำเภอเมือง ดูผู้คนดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายสงบสุข เห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติหนาตา พวกเขาคงจะชื่นชอบกับธรรมชาติที่เป็นป่าเขาของเรามากๆ นะคะ ส่วนมากมักสะพายเป้เที่ยวกันคึ่กๆ ต่อมาแวะที่อำเภอปายเห็นพวกหนุ่มสาวชาวตะวันตกมาเที่ยวเตร่กันมากมายแทบไม่น่าเชื่อ

โอ่งกับโอ๋ไปเที่ยวกรุงเทพฯ บ่อย บอกว่ามีนักท่องเที่ยวฝรั่งมาเดินถนนกันคึ่กๆ แบบเดียวกับถนนข้าวสารเลยค่ะ!

วันรุ่งขึ้น ตื่นตั้งแต่ตี 5 น้ำค้างตกจนสนามหญ้าและทางเดินเปียกโชกไปหมด มิน่าล่ะ เขาถึงมีร่มห้อยอยู่หน้ารีสอร์ตสองคัน อากาศหนาวขนาดใส่เสื้อตั้ง 3-4 ชั้น ยังไม่วายสะท้าน

ไหนๆ มาเที่ยวทั้งที ถ้ามัวแต่อาลัยอาวรณ์ที่นอนอุ่นๆ ก็ไม่คุ้มหรอก นอนอยู่บ้านดีกว่า...เราไปเที่ยวตลาดสด และใส่บาตรพระเณร สังเกตว่าเป็นเด็กๆ แทบทั้งนั้นลุงวินัยให้ความรู้ว่าเป็นสามเณรทั้งหมด เขาเรียกว่า "ลูกแก้ว" รีบออกมาบิณฑบาตก่อนภิกษุ ที่ท่านจะออกมาได้ก็ต่อเมื่อมองเห็นลายมือได้ชัดเจนแล้ว

ไม่ว่าจะพระหรือเณรเราก็เต็มใจทำบุญใส่บาตรนะคะ มีอาหารถุงตั้งโต๊ะขายถุงละ 20 บาท เณรน้อยท่านเข้าแถวคอยรับบาตรยาวเหยียดเลย พ่อเพื่อนบอกว่าคนพื้นบ้านเขานิยมใส่บาตรด้วยข้าวเหนียวอย่างเดียวเหมือนที่หลวงพระบาง...จะวัฒนธรรมของพม่าหรือลาวก็ไม่ทราบแน่ชัด ส่วนกับข้าวและขนมเขาจะนำไปถวายที่วัดค่ะ

ดิฉันเดินดูตลาดกับเพื่อน เห็นโจ๊กกับเลือดหมูน่าทานเชียว โอ่งกับโอ๋ชวนกันซื้อน้ำมันงา ดิฉันออกมาพบสามเณรพอดีเลยใส่บาตรด้วยปัจจัยรูปละ 20 บาท...แหม! ได้รับพรจากท่านมาเพียบเชียวค่ะ

หน้าตลาดมีคุณตำรวจ 2 - 3 นายคอยดูแลความสงบเรียบร้อยด้วยนะคะ

กลับโรงแรม ทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์แล้วออกเดินทางไปเรื่อยๆ จนถึงน้ำตกผาเสื่อและถ้ำปลา มี "ภูโคลน" เป็นจุดหมายสุดท้าย พวกคุณป้าคุณน้าตื่นเต้นกันใหญ่...อยากไปถึงเร็วๆ เพื่อเสริมสวยด้วยการใช้โคลนพอกหน้า กำจัดสิวฝ้าและทำให้ผิวพรรณเต่งตึง อ่อนกว่าวัย ได้ข่าวว่ากำลังนิยมกันมาก

น้ำตกผาเสื่อมีน้ำน้อยจนไม่ค่อยสวย...จนกระทั่งถึงถ้ำปลา!

มีศาลานิทรรศการอยู่ด้านหน้า เชื้อเชิญพวกเราไปฟังเพลงอนุรักษ์ธรรมชาติจากหนุ่มๆ สาวๆ ที่ตั้งวงดนตรีเล็กๆ น่ารัก ดูเหมือนจะเป็นพวกสะล้อ ซอ ซึง อะไรนี่แหละค่ะ บอกว่าเป็น...ท่วงทำนองแห่งสำเนียงไพร ผ่านการร้อยเรียงจากจินตนาการ เพื่อสืบสานงานอนุรักษ์ป่าไทย

ฟังแล้วชื่นใจที่คนรุ่นใหม่ยังรู้จักหวงแหนแผ่นดินและผืนป่า เอาไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง ก่อนที่ป่าเมืองไทยจะถูกทำลายไปแทบหมดสิ้น น่าใจหายจริงๆ ค่ะ

เราช่วยซื้อซีดีเพลง แล้วเดินไปตามทางร่มรื่นจนถึงบริเวณถ้ำปลา มีแผงขายอาหารปลาที่เป็นผืชพัก ถุงละ 10 บาท ปลาพวกนี้ถือศีลกินเจ คือเป็นปลามังสวิรัติ พวกเราจึงซื้อติดมือคนละถุงสองถุงไต่บันไดไปที่ปากถ้ำที่มีนักท่องเที่ยวขึ้น - ลงราว 10 คน

...ถ้ำปลาเป็นถ้ำใต้เชิงเขา มีน้ำไหลออกมาทั้งปี สามารถมองเห็นปลาขนาดใหญ่ มีสีดำอมเทาอมฟ้าอยู่กันเป็นจำนวนมาก เรียกว่าปลามุงหรือปลาพลวงหิน...ในฤดูหนาวและฤดูร้อนจะมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากเนื่องจากมีลำธารน้ำไหลตลอดปี

มีป้ายห้ามพิงราว เดี๋ยวตกลงไปในถ้ำปลาละแย่เลย!

เราชะโงกมองอย่างตื่นเต้น โอ่งกับโอ๋ถ่ายรูปกันเป็นว่าเล่น ผักกาดและแครอตที่เราโยนลงไปก็มีปลาฝูงใหญ่แย่งกันฮุบโผงผางน่าตื่นเต้น...มีช่องเล็กๆ ใต้เพิงผาให้ปลาลอดออกมาสู่ลำธารและสระขนาดใหญ่ภายนอก...ลมพัดซ่าจนทำให้ขนลุกเกรียวเลยค่ะ

เมื่อลงมานั่งพักที่เก้าอี้ยาวข้างสระ โอ่งก็โชว์ภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลให้ดูทั้งภาพพวกเราและปลานับร้อยๆ ตัวเต็มบ่อ...มีภาพใบหน้าสาวสวยปรากฏชัดเจนอยู่กลางฝูงปลา...ใครไม่ขนหัวลุกก็ประสาทแข็งเต็มทีนะคะ! บรื๋อส์!!

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #261 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:49:42 »

ผีวัดข่อย
 
"เด็กหลังวัด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปเก็บมะม่วงกะล่อน

ผมเป็นเด็กแม่น้ำน้อย จังหวัดอ่างทอง หรือจะให้ชัดๆ กว่านั้นก็คือเด็กอำเภอวิเศษชัยชาญ ดินแดนที่มีวีรชนบางระจัน 2 ท่านคือ นายดอกกับนายทองแก้ว พวกเราสร้างอนุสาวรีย์ไว้เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีที่พลีชีพเพื่อรักษาแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน

เรียกท่านว่า "ปู่ดอกกับปู่ทองแก้ว" มาจนถึงทุกวันนี้

บ้านผมเป็นจังหวัดเล็กๆ แต่อุดมสมบูรณ์อย่าบอกใครเชียว ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แถมชื่อจังหวัดอ่างทองนอกจากจะเป็นสิริมงคลเหลือหลายแล้ว ยังเป็นศูนย์รวมใจของชาวอ่างทองทุกคนอีกต่างหาก

นอกจากนั้นยังมีคำขวัญประจำอำเภอทุกอำเภอ เป็นสำนวนเก่าๆ ที่พูดติดปากกันมาโบร่ำโบราณแล้วครับ

1. ใครอยากมีเมียให้ไปป่าโมก

2. ใครอยากมีโชคให้ไปโพธิ์ทอง

3. ใครอยากมีน้องให้ไปไชโย

4. ใครอยากเป็นนักเลงโตให้ไปวิเศษชัยชาญ

5. ใครอยากเป็นสมภารให้ไปแสวงหา

6. ใครอยากกินผักกินปลาให้ไปสามโก้

7. ใครอยากคุยโม้ให้ไปอำเภอเมือง

แต่ละคำขวัญก็ล้วนแต่มีที่มาที่ไป คิดว่าท่านผู้อ่านคงจะพอเดาได้ อย่าง อ.ป่าโมก มีสาวสวยเยอะ หรืออย่างอ.ไชโยนี่ชาวบ้านชอบเรียกคนต่างถิ่นว่า "พี่" กันทั้งนั้น ไม่สนใจอายุว่าจะมากน้อยยังไง ตัวเองจะแก่กว่าแค่ไหน หรืออย่างอำเภอเมืองที่ว่าคุยโม้ชนิดสะบั้นหั่นแหลกน่ะ พอจะยกตัวอย่างให้ฟังนิดหน่อยก็ยังได้

"แหม! บ้านฉันน่ะปลาชุมมาก ต้องแหวกปลาก่อนถึงจะเอาแหลงน้ำได้"

"ซี่โครงปลาตะเพียนเอามาทำด้ามมีด เกล็ดมันก็เอาไปมุงหลังคา!"

อ้าว? ตั้งใจจะเล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟังแท้ๆ แต่ขอบรรยายฉากแม่น้ำน้อยให้ฟังซะก่อน จะได้เห็นภาพว่าตอนกลางวันสวยงาม ร่มรื่น มีแต่ความอุดมสมบูรณ์แค่ไหน...แหม! ตกกลางคืนกลับเปลี่ยวจับใจ

คนวิเศษฯ นิยมสร้างวัดครับ เรียงรายสองฝั่งแม่น้ำเชียวละ ชื่อสั้นๆ อย่างวัดนก, วัดอ้อย, วัดข่อย, วัดตูม ฯลฯ ริมฝั่งมีกอกกดกหนาคอยต้านทานกระแสน้ำไม่ให้เซาะตลิ่งพังง่ายๆ พวกมะม่วง, มะปราง, มะพร้าว ถือว่าธรรมดามาก เรียกว่าปลูกกันให้ครึ่ด

น้ำเหนือบ่ามาทีพวกมะม่วงบ้านอยู่ได้ไม่เกินเดือนก็ยืนต้นตาย ยกเว้นพวกมะม่วงป่า เช่น มะม่วงกะล่อน มันกะล่อนสมชื่อ ต้นสูงใหญ่ ลูกเล็กๆ แต่รสหอมหวานเหลือเชื่อ ตกกลางคืนมันหล่นตุ๊บตั๊บเป็นร้อยๆ ลูก แต่พวกบ้านผมไม่ค่อยแลหรอกครับ...แหม! มะม่วงแก้ว, อกร่อง, พิมเสนมัน, น้ำดอกไม้, ทะวาย...เยอะแยะ เก็บกินแทบไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว ยกเว้นเด็กๆ ที่ชอบกินกับไปเก็บเอาสนุก

ที่ขึ้นเรียงรายแทบไม่ว่างเว้นคือต้นกุ่มกับต้นมะกอกน้ำซีครับ

ดอกกุ่มสีชมพูอมแดงเป็นพุ่มๆ สวยเหลือใจ เก็บยอดอ่อนมาดองแบบดองผักเสี้ยนแหละครับ กินกับน้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาร้า อร่อยอย่าบอกใครเชียว!

ลงมาชายน้ำก็เก็บดอกโสน ยอดโสน ผักบุ้ง ผักกระเฉด บนบกก็มีดอกแค ยอดแค ชะอม...โอ๊ย! เอามาต้มจิ้มน้ำพริก มีปลาทูทอดหอมกรุ่นซะหน่อย เล่นเอากินข้าวขอดหม้อจนท้องกางไปตามๆ กัน

ผมเป็นเด็กวัดข่อย เขาว่าสมัยก่อนมีพ่อค้าแม่ค้าชาวมอญ ขายหม้อขายไหมาจอดเรือพักแรม แถวนั้นเป็นป่าข่อยครับ เลยเรี่ยไรกันสร้างวัดขึ้นมา ชื่อว่าวัดข่อยมาถึงทุกวันนี้ แม้ว่าต้นข่อยแทบจะหาทำยายากแล้วก็ตาม

ตอนผมเด็กๆ จำได้ว่ามีมะม่วงกะล่อนต้นใหญ่อยู่หน้าวัด ใกล้ๆ กับศาลาท่าน้ำ ทางซ้ายมีศาลาเปรียญกับเมรุเผาผี ทางขึ้นกุฏิสมภารด้านหน้ามีต้นมะขามเฒ่าเรียงราย ฝักแก่ๆ เต็มต้น ไม่เห็นมีใครมาเก็บมาสอย ตอนค่ำๆ ลมพัดมาเกิดเสียงแกรกๆ น่าวังเวงใจไม่หยอกเหมือนกัน

วันเกิดเหตุตอนปิดเทอมปลาย มะม่วงกะล่อนสุกเต็มต้น แปลกอย่างที่ตอนกลางวันมันไม่ค่อยหล่น แต่พอตกกลางคืน โอ้โฮ! เสียงร่วงตุ๊บตั๊บยังกะฝนตก เกลื่อนกลาดเต็มโคนต้น พวกเด็กวัดเด็กบ้านคอยจ้องกันตาเป็นมัน...คอยเก็บมะม่วงไปกินน่ะซี!

ผมกับไอ้แกละเพื่อนเกลอ บ้านอยู่หลังวัดก็ไม่ยอมน้อยหน้าหรอกครับ

ส่วนมากเด็กอื่นๆ จะมาตอนค่ำมากหน่อย เรารู้แกวก็ตัดหน้าไปเร็วขึ้น...ไปฉายกับตะกร้าเป็นอุปกรณ์สำคัญ กะว่าพอไปถึงมะม่วงก็ได้ฤกษ์หล่นตุ๊บๆ ตั๊บๆ เราก้มลงเก็บแทนไม่ทัน เพราะพอลูกแรกๆ หล่นดิน คราวนี้ก็ตามเป็นพรวนเชียว

คืนนั้นก็เช่นกัน!

เรารีบออกจากบ้านมายังจุดหมาย หมาเจ้ากรรมหอนโจ๋ว ลมแม่น้ำน้อยพัดโชยมาเย็นยะเยือกชอบกล เสียงตุ๊บๆ ยั่วใจให้เก็บมะม่วง ชนิดที่หล่นรอบตัวจริงๆ ขนาดหัวเรายังโดนมะม่วงหล่นใส่เลยครับ

แสงไฟฉายกราดวูบวาบมาทางเมรุเผาผี...เอ๊ะ! ทำไมคนอื่นมันมากันเร็วนัก? หรือจะรู้แกว? แต่เราเก็บเต็มตะกร้าก็ยังเหลือมะม่วงอีกบานตะเกียงนี่นา

"ใครวะ?" ไอ้แกละร้อง ลุกขึ้นยืนพร้อมกับผม...แสงไฟฉายวาบๆ มาหาเราหลายดวงจนน่าสงสัย...พอเราหันไฟฉายไปหาก็ต้องยืนตะลึง เพราะมีแต่แสงไฟฉาย ไม่มีใครซักคนเดียว! นอกจากเสียงลมพัดซ่า...หมาหอนโบร๋ว...ไอ้แกละร้องเอิ๊บ! แล้วกระโจนพรึ่บไม่คิดชีวิต

โธ่! ผมจะอยู่ได้ไงล่ะครับ เผ่นตามมันไปติดๆ กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยแทบขาดใจ ไฟฉายกับตะกร้าหลุดกระเด็นไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ไม่ดีฝ่อตายก็ถือว่าเป็นบุญแล้วครับ!
 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #262 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:50:23 »

ชอบกินดีงู .... แปลงร่างเป็นงู
 
บนถนนจงหัว ณ อำเภอแห่งหนึ่ง มีแผงงู 1 แห่ง
พอพลบค่ำจะมีคนห้อมล้อมดูการแสดงฆ่างูเพื่อเอาดีงูออกมา เขาเล่ากันว่า ดีงูมีประโยชน์มากต่อดวงตา คนที่หลงเข้าใจผิดได้ทุ่มเงินเพื่อได้ดีงูสด ๆ มารับประทาน คนที่กินดีงูมิโหด..น่ารัก..มไปหรือ ถึงแม้การกินดีงูอาจทำให้สายตาของเขาดีขึ้นบ้าง แต่ผลที่ตามมาเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก คนที่พบเห็นจะสะดุ้งได้ เนื่องด้วยความพยาบาทของวิญญาณงู เกาะติดกับคนที่ชอบกินดีงู
ดวงตาของเขาจะมีแสงสีเขียวที่ดูแล้วน่ากลัว ดวงตาของเขาจะคล้ายกับดวงตาของงู แสงสีเขียวในดวงตาจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการกินดีงูมากน้อยนั่นเอง
เมื่อวิญญาณคนกับวิญญาณงูผสมผสานเข้าหากันแล้ว วิญญาณของเขาจะแฝงด้วยความพยาบาทของงู นั่นเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก หวังว่าท่านทั้งหลายควรสังวรไว้

มีทหารคนหนึ่งออกไปซ้อมรบในป่า ถูกงูพิษกัด สลบไสล ได้ถูกนำส่งโรงพยาบาลเพื่อช่วยชีวิต หลายวันต่อมา ข้าพเจ้าไปเยี่ยมไข้ทหารคนนั้น ใช้ญาณวิเศษเพ่งดู ใบหน้าของเขามีวิญญาณงูทั้งใหญ่เล็ก ปรากฏบนใบหน้าของเขา เมื่อเขาเจ็บปวดร้องครวญคราง พวกวิญญาณงูจะร่าเริงดีใจ

ข้าพเจ้าเลยฉวยโอกาสนี้ได้แนะนำเขาว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเขาจะต้องละเว้นการกินเนื้องู ดีงูอีกต่อไป ควรหมั่นสวดคาถาเจ้าแม่กวนอิมและสาบานจะร่วมทุนพิมพ์หนังสือธรรมะทุกเดือน อุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณงู หวังว่าการแนะนำของเรา เขาจะได้สำนึกผิดและทำตาม

ถาม : บัดนี้มีคนถามว่า กรรมเก่าของงูมีอะไรบ้าง ?

ตอบ : งูเป็นสัตว์ประเภทเลือดเย็น คนกลัวงู งูก็กลัวคน แท้จริงชาติก่อนของงูก็เป็นคน แต่เนื่องด้วยกรรมเก่าจึงมาเกิดเป็นงูในชาตินี้

สาเหตุที่ต้องมาเกิดเป็นงูมีหลายข้อ
1) สมัครใจเป็นโสเภณีหรือเป็นพาร์ตเนอร์ เพื่อเร่ขายเนื้อสดหรือให้ชายกอดเต้นรำ หากไม่รีบเปลี่ยนอาชีพ ชาติหน้าก็เกิดเป็นงู โบราณกาลมา มีการแสดงระบำเปลือย บ้างก็เปลือยกายแสดงพร้อมกับงูใหญ่ แสดงท่าต่าง ๆ เป็นที่อุจาดตา ลองคิดดูให้ดี นั่นมิใช่เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งหรือ

2) มีอาชีพโสมม เช่นเป็นคนติดต่อค้ากามหรือเปิดซ่องบังคับสาวบริสุทธิ์หรือหญิงดี ๆ ให้ค้าประเวณี การกระทำเช่นนั้นล้วนเกิดเป็นงูในภพหน้า ให้คนฆ่าและกินดีงู ได้รับความทุกข์ทรมานที่ถูกถลกหนังเป็นการชดใช้กรรม

3) เป็นคนชอบใช้เล่ห์กลอุบายใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์ ปากหวานอาบยาพิษ ทำร้ายคนด้วยเลือดเย็น เมื่อตายจากโลกนี้ไป ย่อมไปเกิดเป็นงูพิษที่มีลิ้นสีแดง เขี้ยวก็อาบยาพิษด้วย

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #263 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:52:30 »

ผู้มาจากอดีต
"ปริศนา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านเกิด

บ้านดิฉันสร้างขึ้นเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน บนเนื้อที่เกือบสามไร่ย่านบางกะปิ ตอนนั้นดิฉันเพิ่ง 2 - 3 ขวบเท่านั้นเอง คุณพ่อเจตนาจะให้อยู่กันชั่วลูกชั่วหลาน ท่านมีลูก 4 คน ดิฉันเป็นคนที่สอง มีพี่ชายหนึ่ง น้องสาวอีก 2 คน

ระยะเวลาห้าสิบกว่าปีที่บ้านนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ส่วนใหญ่เป็นความสุขและความผูกพัน ดิฉันจึงใจหายเมื่อคิดทบทวนถึงผู้คนที่เคยอยู่รวมกับเราในบ้านหลังนี้มาก่อน

ไม่น่าเชื่อเลย ผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คือคุณพ่อคุณแม่ ดิฉัน พี่ชายและน้องสาวทั้งสอง เรียกว่าอยู่ครบหกคนพ่อแม่ลูก แต่นอกนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ คนรถ คนสวน แม่บ้าน ที่คอยดูแลเรามา ต่างล้มหายตายจากกันไปทุกคน

ดิฉันหมายถึงคนรุ่นแรกๆ ที่อยู่กับเรามาตั้งแต่สร้างบ้านใหม่ๆ นะคะ!

คนรับใช้และบริวารสมัยโน้น ซื่อตรงจงรักและไม่จากเราไปไหน ไม่เปลี่ยนงานบ่อยอย่างคนรับใช้สมัยนี้ เรารักเขาเหมือนญาติ เขาเองก็ผูกพันกับเรา! คิดดูสิคะ พวกเขาอยู่กับเรา 24 ชั่วโมงทุกวัน ติดต่อกันนับสิบปี ในที่สุดบางคนก็ไปแต่งงาน บางคนไม่สบายขอกลับไปรักษาสุขภาพที่บ้านเดิมต่างจังหวัด

คนรุ่นเก่าจากไป คนรุ่นใหม่ก็เข้ามา....

เรือนคนใช้และห้องหับต่างๆ ยังอยู่เหมือนเดิม พลังชีวิตของคนรุ่นเก่าก็ยังอยู่ ดิฉันมองไปยังห้องเหล่านี้แล้วอดนึกถึงพวกเขาไม่ได้ คิดถึงก็ไม่รู้จะติดต่อกันอย่างไร...เพราะพวกเขาจากโลกนี้ไปหมดแล้ว!

บ้านดิฉันไม่มีผีสิง ไม่มีคนตายที่นี่ แต่มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นประจำจนพวกเราชิน มันอาจจะเพราะบ้านของเราอยู่ตรงทางสามแพร่งก็ได้ค่ะ

เมื่อก่อนที่นี่มีชีวิตชีวา สว่างไสว แต่ทุกวันนี้เหลือแต่ดิฉัน คุณพ่อคุณแม่น้องสาวคนหนึ่งกับสามี และลูกชายทั้งสองของเธอ พวกพี่ชายกับน้องอีกคนหนึ่งแต่งงานแยกบ้านไป ทำให้บ้านที่กว้างขวางดูวังเวง ตอนกลางคืนน่ะมืดสนิทเชียว

ลองนึกถึงสภาพตึกใหญ่ทรงยาว มีต้นไม้ร่มครึ้ม ตอนกลางวันเขียวขจี แต่พอสิ้นแสงตะวันมันค่อนข้างเหงาหงอยจนน่าวังเวงใจเลยค่ะ

น้องสาวกับครอบครัวเธอ ปลูกบ้านหลังเล็กแยกไปต่างหากในพื้นที่เดียวกัน บนตึกใหญ่เหลือแต่ดิฉันกับคุณพ่อคุณแม่เท่านั้นเอง!

ตรงกลางระหว่างตึกใหญ่กับเรือนคนใช้ซึ่งติดกับโรงครัว เป็นลานโล่งกว้างขนาดสนามบาสเกตบอลแน่ะค่ะ ตอนเล็กๆ ดิฉันกับน้องๆ วิ่งเล่น หัดขี่จักรยาน เล่นแบดมินตันกันก็ตรงนี้ มันกว้างดี! เวลามีงานเลี้ยงอย่างวันเกิด วันปีใหม่ ก็จะตั้งโต๊ะเลี้ยงดูแขกเหรื่อได้สบาย

ทุกวันนี้ ตอนกลางคืน ดิฉันกับน้องสาวและหลานๆ ยังชอบมานั่งดูพระจันทร์ ดูดาว แสงจันทร์ส่องลงมาเจิดจ้าสวยมาก แต่บางคืนจะดูมลังเมลืองเหมือนแดนมหัศจรรย์!

บางคืน ดิฉันเดินเข้าครัวคนเดียว ทำข้าวต้มให้คุณพ่อคุณแม่ หรือต้มบะหมี่ให้หลานๆ ตามลำพัง ดิฉันเคยได้ยินเสียงลากรองเท้าแตะมากระทบหู...

เสียงแชะ...แชะ...ที่ลานนี้ชัดเจนเชียวค่ะ!

เอ...สาวใช้คนใหม่ก็ดูทีวีอยู่ในห้องของเธอ ปิดประตูสนิท...

ดิฉันไม่ได้คิดอะไรมาก หวาดๆ เหมือนกัน แต่ไม่ถึงกับกลัว มีบางทีถ้าเสียวไส้ก็จะชวนหลาน หรือเรียกสาวใช้มาอยู่เป็นเพื่อน

เมื่อเดือนก่อน ลูกหลานของคนสวนเก่าแก่แวะมาเยี่ยมเรา พวกเขามาไกลค่ะ จากเชียงรายโน่น คุณแม่ดิฉันชักชวนให้ค้างที่เรือนคนใช้...ห้องที่พ่อของเขาเคยอยู่มานานสมัยอดีต...

ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งเช้ามืด เขาตื่นขึ้นมาช่วยเช็ดรถดิฉันอย่างมีน้ำใจ เหตุการณ์น่าขนลุกก็ถูกถ่ายทอดออกมา...

เขาบอกว่าไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นความจริงหรือฝัน? เขาเห็นพี่เลี้ยงของดิฉันซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว เดินออกมาจากโรงครัวแล้วชวนเขาคุย ซึ่งเขาก็คุยด้วยอาการคล้ายละเมอเหมือนหลับในแล้วฝันไป มือก็เช็ดรถไปด้วยค่ะ!

พอเขาเล่าแบบนี้ ดิฉันก็เลยไม่รู้ว่าวิญญาณพี่เลี้ยงดิฉันมาจากปรโลกจริงหรือเปล่า?

ดิฉันเคยเดินเล่นรอบๆ บ้านตอนหัวค่ำ หลังมื้อเย็น บ้านเรามีดอกราตรี ดอกแก้ว พุดซ้อน และจำปีหอมกรุ่น กำลังเดินอยู่เพลินๆ มีมือมาจับที่บ่าและโอบกอดเอว...ทีแรกนึกว่าน้องสาว ดิฉันยังยิ้ม แต่พอหันไป...ปรากฏว่าพบแต่ความว่างเปล่า ทั้งๆ ไออุ่นของมือที่ทาบบ่ากับเอวยังอยู่เลยค่ะ...ยอมรับว่าขนลุกซู่เลย ตอนนั้นน่ะ!

สองคืนก่อน หลานชายวัยรุ่นของดิฉันเกิดหิวขึ้นมาตอนห้าทุ่ม อ้อนให้ป้าทำบะหมี่ให้กิน ดิฉันชวนเขาเข้าครัวไปต้มบะหมี่กันสองคนป้าหลาน รอบบ้านมืดเพราะไม่ได้เปิดไฟ มีแต่แสงจันทร์ส่องลงมาบนลาน...

ทันใดนั้น เราทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงลากรองเท้าแตะ เหมือนมีคนเดินจากตึกใหญ่ลงมาหาเราที่โรงครัว พอเดินจวนจะมาถึงเรา..จู่ๆ เสียงนั้นก็ขาดเงียบไปเฉยๆ ดิฉันเหลียวมอง ไม่เห็นใครเลยแม้แต่คนเดียว!

หลานสบตาดิฉัน และถามว่าได้ยินมั้ย? ดิฉันพยักหน้า นึกเห็นภาพใครคนนั้นเดินมาแล้วหายไปกลางทาง...กลางอากาศ...

รอบบ้านเงียบสงบ ห้องต่างๆ ที่เคยมีพวกเขาอยู่ปิดสนิท แต่อะไรก็ไม่รู้ทำให้ดิฉันจินตนาการว่า พวกเขายังอยู่ในห้องเหล่านั้น ด้วยความผูกพัน ใครบางคนอาจคิดถึงและกลับมาหาอีกครั้ง...จากโลกวิญญาณ!
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #264 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:56:51 »

หมู่บ้านร้าง
 
หมู่บ้านร้าง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 8 ปีที่แล้ว พงษ์จบจากมหาลัยเชียงใหม่ ในคืนวันเลี้ยงส่งนั้น พงษ์ก็ออกไปฉลองกับรุ่นน้องที่คณะมีแจน ต่าย ไอ้ป๋อง ป๋องเป็นคนที่บ้าบิ่น ไม่กลัวความมืดและเป็นคนโผงผาง แต่รักเพื่อนฝูงมาก แล้วก็มีจอห์นซึ่งเป็นคู่หูกับป๋อง รวมพงษ์ด้วยทั้งหมดก็ 5 คน หลังงานเลี้ยงฉลอง แน่นอนทุกคนยังไม่อยากกลับเลยถาม
"พี่พงษ์ จะไปต่อที่ไหนดี"
"จะต่อไหน ตี 2 ครึ่งเค้าปิดกันทุกที่แหละ กลับเถอะ คืนนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน"
"ไปหมู่บ้านร้างกันกูรู้จัก" จอห์นพูดขึ้น
"เอออ ดีๆๆๆ ไปนะพี่พงษ์ ไปด้วยกัน"

ด้วยความที่พงษ์เป็นคนที่กลัวผีมากพงษ์ก็ปฎิเสธไป
"อย่าเลยไปลบหลู่เค้าไม่ดีหรอก"
" ไม่ได้ไปลบหลู่แต่ไปเอาบรรยากาศ" ต่ายกับแจนพูดขึ้น
 พงษ์ด้วยความเป็นรุ่นพี่กลัวจะเสียฟอร์ม เลยตกลงทั้งห้าคนก็ขับรถไปกันโดยมีจอห์นเป็นคนขับ ลักษณะรถเป็นรถจิ๊ปไม่มีหลังคา
พอไปถึงปรากฏว่าประตูใหญ่หน้าหมู่บ้านปิดอยู่ จอห์นเลยโชว์สปิริตลงจากรถไปเปิดประตูหน้าหมู่บ้าน

พงษ์ถึงกับตกใจอย่างแรง ..... เมื่อมองไปทางจอห์น แล้วเห็นจอห์นไม่มีหัว เดินไปเปิดประตู
พงษ์เริ่มมีเหงื่อออกทั้งๆ ที่เวลานั้น อากาศค่อนข้างเย็น ยะเยือก.....
ในทางกลับกันคนอื่นๆ ก็ไม่แสดงอาการอะไรไม่แสดงความตกใจเหมือนพงษ์ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะตัวเองก็กินเข้าไปเยอะเหมือนกัน
คงเป็นจังหวะที่จอห์นเดินก้มหน้าพอดี จอห์นค่อยๆ ขับรถเข้าไปช้าๆ ประมาณเกียร์ 1 ระหว่างขับรถเข้าไปสำรวจจอห์นก็เล่าว่า.....
......หมู่บ้านนี้เจ้าของเค้าเป็นโรคหัวใจตายก่อนเปิดจอง ลูกๆ หลานๆ เลยไม่กล้าสานต่อ เพราะกลัวว่าธุรกิจไม่ดีโครงการก็เลยคาอยู่แบบเนี่ย บ้านก็ดูสวยดีระหว่างที่ทุกคนกำลังเพลินๆ กับบรรยากาศ จอห์นก็หยุดกระทันหัน
"เฮ้ย"
"เฮ้ยอะไรวะ ชอบแกล้งอยู่เรื่อย"
"ไม่ได้แกล้งโว้ย มีแมวดำวิ่งตัดหน้าเมื่อกี้ พวก..คุณ..ไม่เห็นเหรอ" .........
ระหว่างทางพงษ์เริ่มสังเกตเห็น .... แจนซึ่งยืนอยู่ข้างหลังลงมานั่งก้มหน้า
ในตอนนั้นแจนเห็นอะไรบางอย่างบนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง .........
มันคล้ายผู้ชายนั่งชันเข่าอยู่บนหลังคา แต่ไม่มีหัว แจนไม่กล้าที่จะเล่าให้ใครฟังได้แต่ร้องไห้
"เฮ้ยเป็นไร ร้องไห้ทำไม"
"กลับหอเถอะ"
จอห์นบอกว่า "เดี๋ยวก็ถึงทางออกแล้ว"
ลักษณะหมู่บ้านจะมีประตูทางเข้าและทางออกอยู่ฝั่งละด้าน เนื่องจากวัยรุ่นกลุ่มนี้จะค่อนข้างเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ก็ไม่เคยเห็น และไม่อยากเห็นด้วย แต่ตอนนั้นบรรยากาศเริ่มเงียบ (ตั้งแต่แจนก้มหน้านั่งร้องไห้) เจ้าที่เจ้าทางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏให้ทุกคนเห็นพร้อมกัน พงษ์เลยคิดถึงตอนทางเข้าหมู่บ้านว่าตาของตนคงไม่ได้ฝาด
ต่ายเป็นผู้หญิงที่ใจแข็ง เธอเริ่มเห็นสิ่งผิดปกติ ......
เธอสะกิดป๋องให้แหงนหน้ามองไปบนต้นไม้ต้นหนึ่ง .............
ภาพที่เห็น.............. ผู้หญิงใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ยืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่บนต้นมะขาม
ต่ายกับป๋องมองหน้ากันแต่ต่างคนต่างไม่พูดกัน
พงษ์เป็นคนเดียวในกลุ่มที่เห็นทุกอย่าง...........
คนบนหลังคา
ผู้หญิงบนต้นไม้
แต่พงษ์ไม่กล้าทัก เพราะคนโบราณบอกว่าถ้าเจออะไรแนวๆนี้แล้ว อย่าทัก เดี๋ยวจะเข้าตัว
เฮ้อ .... ถึงหน้าประตูทางออกแล้ว จอห์นรีบเดินไปเปิดประตูด้วยความรวดเร็วไม่เหมือนตอนขาเข้า
ระหว่างที่ขับออกไปนั้น จอห์นหันไปมองกระจกหลัง
"เฮ้ย"
"อย่าพูดอะไรนะจอห์น ขอร้อง"
สิ่งที่จอห์นพบก็คือ...
กลุ่มคนกำลังยืนโบกมือให้..............

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #265 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:57:04 »

อาถรรพณ์ขุมทรัพย์สมเด็จพระนเรศวรฯ
 
อาถรรพณ์ขุมทรัพย์สมเด็จพระนเรศวรฯที่วัดป่าแก้ว
     เรื่องนี้มีหลักฐานและถูกเล่าขานกันนานแล้ว เป็นเรื่องจริงจากคำบอกเล่าของพระธุดงค์หลายรูป ที่เล่าตรงกันเกี่ยวกับขุมทรัพย์โบราณมูลค่ามหาศาลภายใน "วัดป่าแก้ว" หรือ วัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา วัดนี้ตามประวัติกล่าวไว้ว่า เดิมเป็นวัดราษฎร์เรียกกันว่าวัดป่า ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับวัดสำคัญประจำนครอโยธยาเดิมคือวัดพนัญเชิง วัดมเหยงค์ วัดกุฎีดาว และวัดอโยธยา ครั้งถึงแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ทรงให้ขุดศพเจ้าแก้วเจ้งไท เชื้อพระวงศ์ที่เป็นอหิวาตกโรคตาย ขึ้นพระราชทานเพลิงที่วัดนี้แล้วทรงซ่อมแซมบูรณะเจดีย์วิหาร ก่อนจะทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า "วัดเจ้าพญาไท" ให้เป็นที่พำนักของพระพนรัต ซึ่งเป็นพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี และด้วยอาณาเขตของวัดที่กว้างใหญ่ ชาวบ้านจึงนิยมเรียกชื่อ "วัดใหญ่" ตั้งแต่นั้นมา
     จนล่วงมาถึงปี พ.ศ. 1991 - 2031 ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระสงฆ์ไทยคณะหนึ่งนำกันออกไปอุปสมบทแปลงเป็นสิงหนีนิกาย และศึกษาพระพุทธศาสนา ณ สำนักพระพนรัต มหาเถระในลังกาทวีป สำเร็จแล้วกลับมาตั้ง "คณะป่าแก้ว" ที่ "วัดเจ้าพญาไท" จึงนิยมเรียกชื่อกันว่า "วัดเจ้าพญาไทคณะป่าแก้ว" ภายหลังเรียกเหลือสั้นลงแค่ "วัดป่าแก้ว" และเปลี่ยนเป็น "วัดใหญ่ชัยมงคล" ในปัจจุบัน
วัดโบราณเก่าแก่ในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา หลาย ๆ วัดเป็นที่รู้จักดีในหมู่เซียนพระ และนักเล่นของเก่าแก่ว่าจะต้องมีสมบัติมีค่ามหาศาลฝังไว้ใต้ดิน และแน่นอนว่าแต่ละที่จะต้องมี "ภูต" ที่เรียกว่า "ปู่โสม" เฝ้าอยู่ คนที่เชื่อและขยาดในอิทธิฤทธิ์มักไม่กล้าเข้าไปยุ่ง แต่กับกลุ่มคนที่ชอบลักลอบเข้าไปขุด พวกนี้จะมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกิเลสและความละโมบที่มีอยู่ ทำให้ตามืดบอด มองไม่เห็นหายนะและความตายจากคำสาปแช่งที่กำลังจะมาถึง
     วัดป่าแก้วหรือวัดใหญ่ชัยมงคล ในอดีตมักจะมีพระธุดงค์แวะเวียนมาปักกลดแสวงหาความวิเวกอยู่เป็นประจำ สมัยนี้เล่ากันว่าบริเวณวัดมีแต่ต้นไม้ขึ้นหนาแน่นและเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เช่น งูเหลือม งูจงอาง เป็นสถานที่อันตราย เปลี่ยว และยังลือกันว่า "ผีดุ" จนชาวบ้านได้กล้าย่างกรายเข้าไป แต่ก็ยังมีพระภิกษุรูปหนึ่ง ใช้สถานที่นี้เป็นที่ปักกลดท่านคือ "หลวงปู่สีโห" พระป่ากรรมฐาน ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระปรมาจารย์กรรมฐานแห่งภาคอีสาน
     "หลวงปู่สีโห" ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นเดียวกัน หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านเป็นพระที่เคร่งในพระธรรมวินัย แต่ไม่ชอบอยู่วัดเพราะท่านรักที่จะอยู่ตามป่า ท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงในทาง "วิปัสสนากรรมฐาน" มากจนได้รับการยกย่องว่า มีเมตตาและพลังจิตแก่กล้า มีอำนาจแห่งอิทธิฤทธิ์และอภิญญา
     หลวงปู่สีโหท่านเคยมาปักกลดอยู่ในวัดป่าแก้ว ใกล้กับพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงสร้างเฉลิมฉลองพระเกียรติ ภายหลังที่มีชัยแก่พม่าแล้ว ขณะที่ท่านพำนักอยู่ได้มีคนกลุ่มใหญ่พากันเข้ามาภายในวัดมองดูลักษณะคล้ายพวกโจร คนเหล่านี้มาขอร้องให้หลวงปู่ถอนกลดย้ายไปจากที่นั่น หลวงปู่ถามว่าเหตุใดจึงมาไล่ท่าน คนพวกนั้นตอบตามตรงว่าพวกเขาจะมาขุดทรัพย์ตามลายแทง แต่ไม่อยากให้หลวงปู่ร่วมรับรู้ด้วย และยังได้เล่าต่อไปว่าภายในเขตกรุงศรีอยุธยานี้มีลายแทงโบราณ บอกที่ซ่อนทรัพย์สมบัติไว้มากมายถึง 713 แห่ง พวกเขาขุดพบมาแล้ว 5 แห่ง และตามลายแทงยังบ่งบอกไว้ว่าในบริเวณรอบพระเจดีย์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ สร้างนี้มีขุมทรัพย์อยู่ถึง 27 ขุม มีข้าวของเงินทอง และเพชรนิลจินดาอยู่มากมาย จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ได้เอาสมุดข่อย ซึ่งเขียนด้วยอักขรไทยโบราณมีรูปแสดงที่ตั้งขุมทรัพย์ใต้ดินในบริเวณรอบ ๆ พระเจดีย์ให้หลวงปู่ดู นอกจากนี้ในสมุดข่อยยังมีแผนที่แสดงขุมทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วกรุงศรีอยุธยาอีกมากมายนับไม่ถ้วน และที่น่ากลัวก็คือ ภายในสมุดข่อยเล่มนั้นมีอยู่หน้าหนึ่งเป็นผ้าเยื่อไม้ซีด ๆ ปรากฏคำสาปแช่งเอาไว้ด้วยโดยที่ไม่รู้ว่า กลุ่มโจรพวกนี้ จะเห็นหรือไม่
     เรื่องขุมทรัพย์รายรอบพระเจดีย์นี้เป็นเรื่องที่คนโบราณว่าไว้จริง ซึ่งหัวหน้าแม่ชีท่านหนึ่งที่วัดใหญ่ชัยมงคลเคยเล่าให้ผู้เขียนฟัง ในสมัยที่ท่านเข้ามาอยู่ที่วัดนี้ใหม่ ๆ นอกจากจะได้เห็น "ดวงพระวิญญาณ สมเด็จพระนเรศวรฯ" แล้วท่านยังเคยเห็น "ทองลุก" ซึ่งเป็นไฟพะเนียงพุ่งขึ้นไปบนฟ้าตรงบริเวณหน้าพระเจดีย์องค์นี้ ซึ่งคนโบราณบอกไว้ว่าถ้าเห็นลักษณะนี้แสดงว่า ใต้ดินบริเวณนั้นต้องมีสมบัติฝังอยู่แน่นอน สำหรับที่มาของขุมทรัพย์เหล่านี้ตามลายแทงโบราณได้บอกไว้ว่าเป็นมหาสมบัติอันล้ำค่า ของอดีตพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาหลายพระองค์ ที่สมเด็จพระนเรศวรทรงขุดพบ และนำมาฝังไว้ตามคำแนะนำของสมเด็จพระพนรัตน์ป่าแก้ว ผู้เป็นอาจารย์ของพระองค์จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย แก้อาถรรพณ์ดวงเมืองที่ตกต่ำ ร่วงโรยมานานให้รุ่งเรืองขึ้นในยุคสมัยของพระองค์
     การขุดสมบัติของกลุ่มโจรในวันนั้นเล่าว่ามีการนำอาจารย์ทางไสยศาสตร์มาทำพิธีด้วย มีการเสกไข่เสี่ยงทายและพบไข่เป็นสีต่าง ๆ เช่น สีเหลือง แดง เขียว ดำ ซึ่งบอกให้รู้ว่ามีขุมทรัพย์ประเภททองคำ เพชรนิลจินดา และเงินตราโบราณอยู่มากมาย ทำให้พวกโจรดีใจกันมาก แล้วก็ช่วยกันทำการขุด เมื่อขุดลงไปประมาณ 7 ฟุต ก็พบโครงกระดูก 4 โครง นอนหัวชนกันหันเท้าชี้ไป 4 ทิศ และพอขุดลงไปอีกจอบก็ไปกระทบกับพื้นคอนกรีตโบราณ ซึ่งเป็นหลังคาอุโมงค์เก็บสมบัติ จึงพยายามช่วยกันแซะปากอุโมงค์ให้กว้างขึ้น และน่าประหลาดที่ภายในอุโมงค์มีกระแสลมแรงมาก พัดออกมาตลอดเวลา คล้ายมีพัดลมขนาดใหญ่อยู่ข้างใน อาจารย์ทางไสยเวทย์ที่ร่วมทีมจึงทดลองเอาด้ามเสียมแหย่ลงไปดูปรากฏว่า เสียมถูกกระแสลมตีเศษเหล็กกระจาย ทำให้แน่ใจว่าภายในหลุมนี้มี "หุ่นพยนต์" หรือ "จักรพยนต์" ที่คนโบราณผูกไว้สำหรับป้องกันขุมทรัพย์
     "หุ่นพยนต์" หรือ "จักรพยนต์" นี้ทำด้วยเหล็กกล้าเนื้อดี และคมกริบเคลื่อนไหวด้วยกลไกที่ผลักดันจากแสง และอากาศที่อัดลงไป นอกจากนี้ยังมีการปลุกเสกลงอาถรรพณ์ ด้วยเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้มีวิญญาณสิงสถิตย์อยู่ หากจะทำลายก็ต้องแก้ด้วยเวทมนตร์ แต่สำหรับกลุ่มโจรเหล่านี้ แม้จะมีอาจารย์ทางไสยศาสตร์ มาคอยแก้อาถรรพณ์อยู่ด้วยก็ยังทำได้ยาก เพราะขณะกำลังทำพิธีล้างอาถรรพณ์หุ่นพยนต์นั้น อุโมงค์ขุมทรัพย์ก็ได้เลื่อนออกไป เสียงดังครืด ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์ หนำซ้ำยังมีดินถล่มลงมาถมปากอุโมงค์จนเต็ม เป็นการปิดไม่ให้คนเหล่านั้นได้ล่วงล้ำเข้าไปอีก แต่ถึงจะเจออภินิหารซึ่งหน้าเช่นนี้ กลุ่มโจรก็ยังไม่ย่อท้อ ตั้งใจว่าจะเริ่มขุดใหม่ในวันรุ่งขึ้น

     ดึกดื่นคืนนั้นพวกโจรกลับกันหมดแล้ว ได้ปรากฏร่างใหญ่โตของคน 4 คน ซึ่งไม่มีหัวมายืนอยู่หน้ากลดหลวงปู่สีโห ทั้งหมดคือภูตที่คอยเฝ้ามหาสมบัติให้สมเด็จพระนเรศวรฯ มาแจ้งให้หลวงปู่ทราบว่า กลุ่มโจรเหล่านี้มาขุดพระราชทรัพย์อันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ที่ทรงสาปแช่งไว้ แล้วยังทำพิธีไสยศาสตร์ ทำลายข่ายอาถรรพณ์ที่พระครูปุโรหิตโบราณาจารย์ทำไว้ให้เสื่อมอีก เท่ากับเป็นการทำลายดวงชะตาของบ้านเมือง พวกตนจะมาเอาชีวิตไปให้หมดแต่ติดขัดว่ามีหลวงปู่อยู่ด้วย จึงมาแจ้งให้ทราบ แต่หลวงปู่สีโห ซึ่งท่านได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีจิตเมตตา ท่านจึงได้ขอบิณฑบาตชีวิตคนเหล่านั้น ขอแค่ดัดนิสัยให้เข็ดหลาบก็พอ ทำให้วิญญาณทั้ง 4 นิ่งอึ้ง และบอกว่าต้องให้หลวงปู่ลองพูดกับพญายมบาลเอง พวกเขาไม่มีอำนาจอะไร เพียงแต่ทำตามหน้าที่เท่านั้นพูดเสร็จก็เดินหายเข้าไปในองค์พระเจดีย์

     หลวงปู่สีโหจึงเข้าฌานติดต่อกับพญายมบาล เมื่อพญายมบาลเปิดบัญชีดูจึงรู้ว่าพวกขุดลักพระราชทรัพย์เหล่านี้ ดวงยังไม่ถึงฆาตในตอนนี้ แต่กรรมหนักกำลังจะตามมาในไม่ช้า แต่ถึงอย่างไรพวกนี้ก็ควรจะได้รับผลจากคำสาปแช่งบ้างจะได้หลาบจำ เป็นอันว่าท่านพญายมตกลงจะไว้ชีวิตพวกโจร ครั้นรุ่งเช้าหลวงปู่สีโหตื่นขึ้นจะไปสรงน้ำ เพื่อออกบิณฑบาตก็ได้เห็นโจรกลุ่มนั้นกำลังนอนดิ้นทุรนทุราย เอามือกุมท้องบิดไปมาด้วยความเจ็บปวด ขอให้หลวงปู่ช่วย ขณะเดียวกันบนองค์พระเจดีย์ใหญ่ก็เกิดเสียงดังครืน ทำให้ทุกคนหันไปดู เพราะคิดว่าพระเจดีย์จะถล่ม แต่แล้วก็พากันตกตะลึง เมื่อเห็นชายผู้หนึ่งเดินลงมาจากพระเจดีย์พร้อมด้วยผีหัวขาดร่างใหญ่โต และพากันเดินหายไปทางกำแพงแก้วด้านทิศใต้ พวกโจรในที่นั้นร้องอุทานด้วยความตกใจสุดขีด หลวงปู่จึงบอกว่า "พวกเขาคือปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่จะมาเอาชีวิตพวกเจ้า" พอได้ยินหลวงปู่พูดเช่นนี้ พวกโจรทั้งหมดก็เกิดความกลัว ตาหูเหลือกลาน จนอาการปวดท้องกำเริบ ทำให้หมดสติไปตามๆกัน หลวงพ่อเห็นแล้วก็ยิ่งเกิดความสังเวชที่เห็นโจรเหล่านี้ถูกลงโทษ เช้าวันนั้นท่านจึงจาริกออกจากอยุธยาไป ปล่อยให้โจรเหล่านั้นนอนสลบไสลเฝ้าขุมทรัพย์ภายในวัดป่าแก้วไปตามยถากรรม

     "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" นั้นมีจริงหากใครไม่เชื่อคิดลบหลู่ลองของก็เชิญพิสูจน์ได้ที่ "วัดป่าแก้ว" หรือ "วัดใหญ่ชัยมงคล" จ.อยุธยา เพราะสมบัติมีค่ามหาศาล ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรฯ ณ ปัจจุบันก็ยังคงฝังอยู่ใต้ดินรอบองค์พระเจดีย์นั่นเอง ซึ่งคงต้องรอผู้มีบุญ ผู้มีวาสนาขุดขึ้นมาใช้เป็นพระราชทรัพย์บำรุงแผ่นดิน และพระพุทธศาสนาในยุคต่อ ๆ ไป

 ยาวสักหน่อยแต่ก็ทำให้ได้รู้ว่าสมบัติชาติ สมบัติแผ่นดิน ไม่ควรตกเป็นของใครคนใดคนหนึ่งแต่ผู้เดียวค่ะ
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #266 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:57:52 »

พระวิญญาณเสด็จ ณ วัดอินทาราม
 
        จากหัวเรื่อง ทำไมต้องเขียน "พระวิญญาณเสด็จที่วัดอินทาราม" นั่นก็เพราะว่า ครั้งหนึ่งเคยมีผู้สัมผัสกับดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่นั่น
        วัดอินทารามมีความสำคัญอย่างไรกับพระองค์ท่าน ก็เพราะเป็นวัดที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เคยเสด็จฯ มาทรงประกอบพระราชกุศลและปฏิบัติกรรมฐาน และที่นี่ยังเป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระราชชนนี แม้เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สวรรคต ก็มีการนำพระศพของพระองค์มาฝังไว้ที่วัดอินทารามนี้ ภายในวัดยังมีโบราณวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับพระองค์ท่าน ขณะยังมีพระชนมชีพอยู่มากมาย เช่น พระราชอาสน์ที่พระองค์ประทับทรงศีล และเจริญกรรมฐาน พระแท่นบรรทม รวมไปถึงพระเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์และพระอัครมเหสี
         ความเป็นมาของวัดอินทารามนี้ สมัยก่อนเล่ากันว่า มีอาณาบริเวณกว้างขวางใหญ่โตกว่าปัจจุบันมาก แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 20 กว่าไร่ วัดอินทารามจัดเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนเทอดไทย แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ วัดนี้เป็นวัดโบราณมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมเรียกว่า "วัดบางยี่เรือนอก" คู่กับ "วัดบางยี่เรือใน" คือวัดราชคฤห์ วัดอินทารามไม่ปรากฏว่าผู้ใดสร้างและสร้างมาแต่ครั้งใด ปรากฏอยู่ในพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ร่วงโรยมาก และเป็นวัดเล็ก ต่อเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี ทรงพบวัดนี้เป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงทรงมาบูรณะปฏิสังขรณ์ แล้วสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ วัดอินทารามในสมัยโบราณเรียกว่าวัดบางยี่เรือนอก เพราะเดิมในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมืองธนบุรีตั้งอยู่ที่วัดคูหาสวรรค์ (วัดศาลาสี่หน้า) ในคลองบางกอกใหญ่ จากเมืองเก่าต้องถึงวัดราชคฤห์ก่อน จึงเรียกวัดนี้ว่าวัดบางยี่เรือใน และถึงวัดจันทาราม ซึ่งอยู่ตรงกลาง จึงเรียกวัดบางยี่เรือกลาง แล้วจึงถึงวัดอินทาราม จึงเรียกวัดนี้ในอดีตว่าวัดบางยี่เรือนอก

        บางยี่เรือในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีลักษณะเป็นป่าสะแกทึบ แต่ฝั่งตรงข้ามเป็นที่ลุ่ม และมีกกขึ้นอยู่ในน้ำตื้นๆคล้ายป่าพรุ ถ้ามีเรือล่องมาในลำคลองจะต้องอ้อมคุ้งมองเห็นได้ชัด จึงเหมาะเป็นชัยภูมิ ซุ่มยิงได้ดี จึงเรียกว่า "บังยิงเรือ" ต่อมาได้เพี้ยนเป็นบางยี่เรือ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงปราบดาภิเษกแล้ว ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดอินทาราม และทรงถวายพระเพลิงพระบรมศพพระราชชนนี ในวันพฤหัสบดี แรม 5 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 2318 ซึ่งเป็นงานใหญ่โต มีการละเล่นมหรสพต่างๆ จำนวน 522 โรง แสดงประมาณ 29 วัน
         มาในยุคปัจจุบัน วัดอินทารามเป็นวัดที่เคยปรากฏเรื่องเล่าถึงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ซึ่งชาวฝั่งธนบุรีเชื่อว่าดวงพระวิญญาณของพระองค์ท่านยังสถิตอยู่ ณ วิหารน้อย วัดอินทาราม เพื่อคอยปกปักรักษาลูกหลานไทย และทุกปีในวันที่ 28 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันตากสินมหาราช ชาวฝั่งธนบุรีจะประกอบพิธีบวงสรวงที่วิหารน้อยอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงตรากตรำทำสงครามเพื่อคนไทยมาตลอดชีวิตของพระองค์
         ชาวธนบุรีเคยมีเหตุการณ์ประหลาดอันเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เมื่อหลายสิบปีก่อนตรงกับพุทธศักราช 2498 ครั้งนั้นมีการแยกการปกครองของกรุงเทพฯ ออกเป็น 2 ส่วน แบ่งเป็นเทศบาลนครกรุงเทพฯ และเทศบาลนครธนบุรี ทำให้ความเจริญทั้งหลายหลั่งไหลไปอยู่ที่เทศบาลนครกรุงเทพฯหมด ส่วนเทศบาลนครธนบุรีหรือกรุงธนบุรีเดิมนั้นห่างไกลความเจริญไปทุกขณะ น้ำก็ไม่ไหล ไฟก็ไม่มี ถนนหนทางคับแคบ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนชาวธนบุรี เสียงร่ำร้องคงกึกก้องไปถึงพระองค์ท่าน วันหนึ่งจึงเกิดปาฏิหาริย์ดวงพระวิญญาณเสด็จมาที่วัดอินทาราม

       วันนั้นคือ วันที่ 12 กรกฎาคม 2498 เวลา 08.00 น. เล่ากันมาว่า ขณะที่แม่ชีเหรียญคนดูแลวิหารน้อย เอากุญแจมาเปิดวิหารตามปกติเพื่อให้คนมาสักการบูชาดวงพระวิญญาณพระเจ้าตากสินฯ เมื่อแม่ชีปัดกวาดเช็ดถูเสร็จก็กลับออกไป จากนั้นเวลาประมาณเก้าโมงเศษ ก็มีหญิงแปลกหน้าวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าชุดแดงทั้งชุดเดินเข้ามาในวิหารน้อย เมื่อมาถึงก็ก้มลงกราบที่หน้าพระแท่นบรรทม จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปนั่งหลับตาทำสมาธิเป็นเวลานาน ทำให้สตรีที่เห็นเหตุการณ์ผู้หนึ่งไม่พอใจ ตรงเข้าไปต่อว่าที่หญิงชุดแดงทำตัวไม่เหมาะสม แต่พอหญิงคนนั้นได้เห็นแววตาและใบหน้าของหญิงในชุดแดงจังๆก็ถึงกับเข่าอ่อน ต้องทรุดลงนั่งกราบอยู่ตรงนั้น
       เธอเล่าว่ามองเห็นใบหน้าของคนโบราณไว้หนวดยาวเฟื้อยซ้อนอยู่กับใบหน้าหญิงชุดแดงคนนั้น และยังตวาดเธอดังลั่นว่า "..คุณ..บังอาจมาก ก็ที่ของกูเคยประทับ กูจะขึ้นมามิได้รึ ..คุณ..จงรู้เถิดว่า กูพระเจ้ากรุงธนบุรีได้มาอาศัยร่างของอีคนนี้ มาพบปะกับพวก..คุณ.. เพราะวันหนึ่งๆ พวก..คุณ..พากันร่ำร้องถึงความเดือดร้อนจนกูอยู่ไม่เป็นสุข กูจึงต้องมาพบพวก..คุณ.."
         วันนั้นที่วัดอินทารามผู้คนไม่รู้มาจากแห่งหนตำบลไหนพากันแห่มาดูพระเจ้าตากสินฯที่วิหารน้อยกันเนืองแน่น จนการจราจรที่หน้าวัดติดขัด เพราะบ้างก็มาขอพร มากราบ และมาขอหวย บางคนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ดีก็มาถาม จนสุดท้ายตำรวจต้องมาพาหญิงชุดแดงไปสอบสวนที่โรงพัก ปรากฏความจริงว่า หญิงชุดแดงนั้นชื่อ นางเพี้ยน ลิ้มลาย อายุ 35 ปี ขายยาเส้นอยู่ใกล้วัดอินทาราม สติไม่ดี อ่านและเขียนหนังสือไม่เป็น ไม่เคยมีความรู้ในประวัติศาสตร์มาก่อน และยังไม่รู้ตัวด้วยว่าเข้ามาในวิหารน้อยได้ยังไง แถมยังพูดจาฉะฉาน ตอบคำถามในเรื่องประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดีและถูกต้อง
         สรุปว่าชาวบ้านฝั่งธนบุรีต่างเชื่อสนิทใจว่าเป็นเพราะดวงพระวิญญาณฯ เสด็จผ่านร่าง และที่ทรงเลือกหญิงสติไม่ดีก็เพื่อให้คนแน่ใจว่าเป็นพระองค์มาจริงๆ ไม่ได้เป็นการแกล้งทำ ลูกหลานไทยทุกคนมีแผ่นดินอาศัยอยู่จนทุกวันนี้ก็เพราะพระบารมีของพระองค์ท่าน ซึ่งเป็นบุญคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม ในฐานะผู้เขียนได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นก็เพื่อให้คนไทยได้เข้าใจประวัติศาสตร์ในความเป็นจริงอีกแง่มุมหนึ่ง และเพื่อเป็นการระลึกถึงพระองค์ท่าน "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" ของเราชาวไทยตลอดกาลนาน
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #267 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:58:29 »

ป่าช้าวัดดอน จาก 'สุสาน' สู่ 'สวนสวย'
 
   


       จากเรื่องราวความน่ากลัวที่ถูกกล่าวขานมาเนิ่นนาน บัดนี้ ?ป่าช้าวัดดอน'กลายเป็นเพียงตำนานที่ต้องเก็บไว้เล่าให้ลูกหลานฟังเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะมองไปบริเวณไหน จะเห็นเพียงความร่มรื่นของไม้ยืนต้นที่แผ่ขยายร่มเงาให้ผู้ไปเยือนได้พักพิง สนามหญ้าเขียวชะอุ่ม ลู่วิ่งและลานออกกำลังกายที่รองรับคนรักสุขภาพตั้งแต่เช้า จรดเย็น และฮวงซุ้ยเดิมที่แฝง อยู่กับลานกิจกรรมเป็นภาพแบคกราวน์ เพิ่มความเงียบสงบยิ่งขึ้น อาจขนานนามได้ว่า ?สวนสวยในป่าช้า' แห่งนี้ เป็นสุสานเพื่อออกกำลังกายแห่งเดียวในประเทศไทย
       
       ย้อนอดีตป่าช้าวัดดอน
       
        ในอดีต ?ป่าช้าวัดดอน' เคยเป็นสุสานขนาดใหญ่ มี พื้นที่มากกว่า 150 ไร่ เป็นที่ฝังศพนับหมื่น ป่าช้าแห่งนี้ อยู่ในความดูแลของ 3 องค์กร ได้แก่ สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ตั้งของสวนสวยในป่าช้าแห่งนี้ มูลนิธิปอเต็กตึ้ง และสมาคมไหหลำด่านเกเต้
       
        อาณาบริเวณของป่าช้าแห่งนี้ ครอบคลุมตั้งแต่ซอย เจริญกรุง 57 เชื่อมต่อไปจนถึงเซ็นต์หลุยส์ ซอย 3 อยู่ในพื้นที่แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาธร กทม. โดยสุสานใน ส่วนของสมาคมแต้จิ๋วฯ มีพื้นที่ประมาณ 87 ไร่ ตั้งอยู่ บริเวณด้านหลังของสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย และมีรั้วรอบขอบชิด
       
        ที่ผ่านมาป่าช้าวัดดอนมีศพที่ฝังในลักษณะฮวงซุ้ย ถึง 7,961 ศพ ศพที่บรรจุเฉพาะอัฐิอีก 1,800 กว่าศพ และศพที่ไม่มีญาติบรรจุรวมกันไว้อีกมากกว่าหมื่นศพ เมื่อก่อนบริเวณนี้ ได้เปิดให้ประชาชนเข้าไปในสุสานได้ เฉพาะในเทศกาลเช็งเม้ง (เทศกาลไหว้บรรพบุรุของชาว จีน)เท่านั้น จึงทำให้พื้นที่ดูรกร้าง แถมยังมีสัตว์เลื้อยคลานอาศัยอยู่มากมาย ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวเข้าไปอีก
       
        และยิ่งนอกรั้วบริเวณสุสานแต้จิ๋ว เคยเป็นสถานที่ ชำรุดทรุดโทรม มีน้ำท่วมขัง และขาดการดูแล ถึงขนาด มีศพไร้ญาตินอนแช่น้ำอย่างน่าเอนจอนาถ อีกทั้งชาวบ้านยังนำเอาขยะ เศษหิน เศษปูน มาทิ้งทับถม เพิ่มความสกปรก วังเวง และน่ากลัวยิ่งขึ้น

        ส่วนพื้นที่ของมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง มีบริเวณกว่า 30 ไร่ เป็นจุดที่น่ากลัวยิ่งกว่าบริเวณอื่นๆ เพราะเป็นที่สำหรับฝังศพไม่มีญาติ ศพที่ตายด้วยอุบัติเหตุ สามารถฝังได้กว่า 4,000 ศพ และถูกล้างป่าช้า เพื่อนำศพใหม่มา ฝังอยู่ตลอดเวลา ทำให้บริเวณนี้ถูกกล่าวขวัญในเรื่อง ความน่ากลัวมากที่สุด
       
        ไม่เพียงแค่ความน่ากลัวจากเรื่องเล่าอาถรรพ์จาก ดวงวิญญาณในสุสานวัดดอนเท่านั้น แต่เพราะความ เงียบ น่ากลัว ที่นำไปสู่ความวิเวก ไร้ผู้คนสัญจร ทำให้บริเวณป่าช้าวัดดอน ขึ้นชื่อเรื่องการปล้นจี้อีกด้วย
       
       ปรับโฉมป่าช้าเป็นสวนสาธารณะ
       
        ความน่ากลัวถูกเปลี่ยนแปลงสู่ความร่มรื่น เมื่อสำนักงานเขตสาทร จัดยุทธศาสตร์ การทำเมืองน่าอยู่ (Healthy City) การพัฒนาป่าช้าวัดดอนให้เป็นป่าช้าน่าอยู่ จึงเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ ที่จะทำให้เขตสาทรเป็นเมืองน่าอยู่ และลบภาพความน่ากลัวในอดีตไปเสียสิ้น
       
        จรูญ มีธนาถาวร ผู้อำนวยการเขตสาธร กล่าวถึง ที่มาของการเปลี่ยนป่าช้าให้เป็นสวนสาธารณะว่า "ทางเขตสาธรมีโครงการสวนสวยในป่าช้า ซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2539 โดยทางผู้อำนวยการเขต สาธรในขณะนั้น ได้ไปบุกเบิกนำต้นไม้ไปปลูกในป่าช้า วัดดอน บริเวณที่ในกรรมสิทธิ์ของสมาคมแต้จิ๋ว และทางเขตฯ ก็เข้าไปร่วมพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นแหล่งออกกำลังกายแห่งใหม่ในเขตสาธร โดยได้รับการอนุญาตจากทางสมาคมฯ ทำลู่วิ่ง ทำลานกีฬาประเภทA ของกรุงเทพมหานคร จนกระทั่งปัจจุบันมีชมรมมากมายในสวยสวยแห่งนี้ ตั้งแต่เด็กๆ ไปจนถึง ผู้ใหญ่อายุ 80 ปี และมีผู้มาออกกำลังกายและพักผ่อน ราว 1,000 คนต่อวัน"

       นอกจากการเกิดโครงการสวนสวยในป่าช้าแล้ว บริเวณใกล้เคียง ได้มีการตัดถนนสายเหนือ-ใต้ ใต้ทาง ด่วนขั้นที่ 1 ส่วน B และระบบทางด่วนในบริเวณนี้ เป็นทางขึ้นลง เชื่อมต่อกับถนนสาธร ถนนจันทน์ ทำให้ พื้นที่รกๆ และน่ากลัว ถูกปรับปรับปรุงให้สวยงามยิ่งขึ้นตามไปด้วย
       
        ลักษณะของป่าช้าวัดดอนในปัจจุบัน เป็นสุสานปิด ไม่มีการนำศพมาฝังหรือเผาเพิ่ม ชาวจีนที่เคยนำศพ มาฝังบริเวณนี้ ก็นำศพไปฝังที่จังหวัดสระบุรี หรือชลบุรีแทน ในบริเวณป่าช้าของมูลนิธิปอเต็กตึ้งก็ไม่มีการนำศพมาฝังหรือมาเผา ทิ้งไว้เพียงที่ร้างว่างเปล่า รอการพัฒนาเท่านั้น แม้แต่ที่วัดดอนเองก็ยังไม่มีการเผาศพอีกต่อไป และที่ผ่านมา ทางเขตก็ได้ดำเนิน การล้างป่าช้าไปแล้วถึง 2 ครั้ง ทำให้ความน่ากลัวในบริเวณนี้หมดไปโดยสิ้นเชิง
       
        สำหรับสวนสวยในป่าช้าแต้จิ๋ว 100 กว่าไร่ ถูกจัดสรรปันส่วนให้เป็นสถานที่ออกกำลังกาย สถานที่ พักผ่อน และยังคงเป็นที่ตั้งของฮวงซุ้ยเดิมของคนจีน มีมุมของบ้านหนังสือของกรุงเทพฯ ส่วนของลานกีฬา คนเมือง ส่วนของลานนาบุญอันเป็นสวนสงบ เปิดให้ผู้คนมานั่งพักผ่อน อ่านหนังสือ บริเวณของสวนสนุก เพื่อให้เด็กๆ มาเล่นชิงช้า ม้าโยก ภายใต้บรรยากาศอันร่มรื่น ปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม

       เตรียมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว
       
        ผู้อำนวยการเขตฯ กล่าวว่า "ทุกอย่างในสุสานแห่งนี้ เกิดจากความร่วมมือของทางภาครัฐและเอกชน ทางเขตฯ จะดูแลความเรียบร้อย ความสะอาด ซ่อมถนน ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในบริเวณสวน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่มาออกำลังกาย ในขณะที่ประชาชน ก็ ร่วมกันบริจาคสิ่งของจำเป็น เช่น เสาไฟฟ้า ก็ได้จากการร่วมมือของชาวบ้าน คนนั้นมาบริจาคหนึ่งต้น คนนี้บริจาคอีกหนึ่งต้น และที่สำคัญทางสมาคมแต้จิ๋วก็อนุญาตให้ทางเขตฯ เข้าไปพัฒนา ซึ่งในส่วนของลานกีฬาก็ได้บรรดาชมรมต่างๆ ร่วมกันรักษาความสะอาด บริจาคค่าน้ำ ค่าไฟ เพื่อบำรุงสวนสวยในป่าช้า"
       
        ส่วนผู้ที่เข้ามาออกกำลังกายในสวนสวยแห่งนี้ ทางผู้อำนวยการเขตฯ ยืนยันว่า ไม่มีในลักษณะมั่วสุม หรือ เป็นแหล่งของยาเสพติด "คนที่เข้ามาค่อนข้างมีฐานะ และดูแลกันเอง เราห้ามไม่ให้วัยรุ่นมาเตะฟุตบอล และก่อความวุ่นวาย เนื่องจากยังมีบริเวณฮวงซุ้ยเดิมตั้งอยู่ อาจก่อให้เกิดความเสียหาย" ผู้อำนวยการเขตฯ กล่าว
       
        เนื่องจากในเขตสาธร ยังไม่มีสวนสาธารณะเปิดให้ บริการแก่ประชาชน ที่มีอยู่ก็เป็นเพียงบรรดาฟิตเนสของ เอกชนเท่านั้น สวนสาธารณะในสุสานแห่งนี้ จึงเปรียบเสมือนปอดของคนกรุงอีกแห่งหนึ่ง ที่เปิดบริการให้คนทั่วกรุงเทพฯ มาพักผ่อนและออกกำลังกายฟรี!!!
       
        สำหรับอนาคต ทางเขตสาธร หมายมั่นปั้นมือว่า จะพัฒนาสุสานแห่งนี้ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ เช่นเดียวกับสุสานทหารสัมพันธมิตร ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งแทนที่ประชาชนจะมาออกกำลังกายอย่างเดียว ก็สามารถมาท่องเที่ยวและสร้างรายได้ ให้ชุมชนได้อีกหนึ่งทาง

       หลากกิจกรรมในสุสาน
       
        เมื่อตำนานความน่ากลัวถูกทำให้จางหาย บริเวณป่าช้าแต้จิ๋ว จึงกลายเป็นสวนสาธารณะ ที่ชาวสาธรได้ใช้ เป็นสถานที่ออกกำลังกาย และยังได้ตั้งชมรมต่างๆ กว่า 30 ชมรม เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน อาทิ ชมรมเพาะกาย ชมรมแบดมินตัน ชมรมหมากรุก ชมรมเทควันโด้ ชมรมแอโรบิก โดยมีสมาคมนักวิ่งแต้จิ๋วเป็นชมรมหลัก
       
        สำหรับจุดเด่นของสวนสาธารณะแห่งนี้ เพียงขับรถ ผ่านประตูเข้าไป ก็จะเจอฮวงซุ้ยนับร้อย ตั้งเรียงราย รอต้อนรับผู้มาเยือน แต่เมื่อผ่านเข้าไปได้ไม่ไกลนัก เป็นบริเวณของลานคนเมือง ชมรมนักวิ่ง ของสมาคม แต้จิ๋ว ซึ่งมีนักกล้ามทั้งหลาย ออกกำลังกาย ฟิตกล้าม กันอย่างแข็งขัน
       
        "เฮียยักษ์" เทรนเนอร์ของ ชมรมเพาะกาย ผู้บุกเบิกสุสาน แห่งนี้ ให้กลายเป็นยิมสำหรับนักเพาะกายคนแรกๆ กล่าวว่า "ผมมาเล่นที่นี่เกือบ 10 ปี แล้ว ตอนแรกที่นี่ก็น่ากลัว เพราะพื้นที่ดูรกร้าง มีสุสานที่ถูกพงหญ้าปกคลุม เมื่อพวกเราช่วยกัน
       พัฒนา มีไฟ มีน้ำ ก็ดีขึ้น ตอนนี้ชินแล้ว และความรู้สึกก็กลาย เป็นความสงบ คนที่มาเล่นใหม่ๆอาจจะกลัวๆกันบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ ตี 5 ผู้คนก็มาวิ่งกันแล้ว ตอนกลางคืนก็มีแสงไฟ ดูไม่น่ากลัวเลย"
       
        โดยปกติแล้วในส่วนของเพาะกายนี้ จะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ เนื่องจากเปิดให้บริการฟรี แถมยังมีเทรนเนอร์ คอยแนะนำอย่างใกล้ชิด ผู้ที่เข้า มาเล่นก็มีความเป็นกันเอง จนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
       
        นอกจากลานเพาะกายตรงนี้แล้ว ยังมีลานโล่ง ซึ่งเป็นส่วนของสนามแบดมินตัน ที่เปิดโอกาสให้ชมรมแบดมินตัน ทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่ มาตีแบดกลางแจ้ง กันอย่างสนุกสนาน และแม้จะมีลมพัดโชย แต่ทางชมรมก็ไม่ได้คิดจะสร้างอาคารขึ้นมา เนื่องจากเป็นการทำลายบรรยากาศและทิวทัศน์ ในสุสานแห่งนี้
       
        สำหรับกิจกรรมของชมรมแบดมินตันนั้น จะเริ่มตั้งแต่เช้า โดยให้เหล่าสมาชิกเข้ามาวิ่งรอบสวน จากนั้นก็ตีแบดกันตอน 8 โมงเช้า ทานข้าวเช้าร่วมกัน และมีการสังสรรค์์ถึงขนาดตั้งวงกันร้องเพลงคาราโอเกะติดกับฮวงซุ้ยที่ตั้งเรียงรายกันเลยทีเดียว กิจกรรมของชมรมแบดมินตันมีไปจนถึงเที่ยงวัน และต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

       ชาญศักดิ์ โสภณทวีทรัพย์ หนึ่งในสมาชิกชมรมแบดมินตันเล่าถึงความเป็นมาของชมรมว่า เราตั้งชมรม กันมา 3-4 ปีแล้ว เพราะเมื่อก่อนป่าช้าแห่งนี้มีแต่ลู่วิ่ง และยังดูเวิ้งว้าง จนมีคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงได้รวมกลุ่ม กัน และรู้จักกัน จนต่างคิดว่าที่นี่เป็นบ้านหลังหนึ่ง "ผมไม่รู้สึกกลัว เพราะผมไม่ได้มาทำอะไรไม่ดี และไม่ได้ ลบหลู่ แต่เมื่อสมัยเป็นเด็กๆ ยอมรับว่ากลัว เมื่อผู้ใหญ่ พูดถึงป่าช้าวัดดอน แต่ตอนนี้เด็กๆ น่าจะกลัวคนมาก กว่านะ" ชาญศักดิ์บรรยายความรู้สึก
       
        สำหรับความคิดเห็นของเหล่าผู้รักสุขภาพ ที่เลือกมาออกกำลังกายในบรรยากาศสุสานนั้น มีเพียงว่า ที่นี่ใกล้บ้าน และบริการฟรี อีกทั้งความแตกต่างที่ชัดเจนคือ ได้ความเยือกเย็น สงบ มีต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น และการได้รู้จักกันแบบครอบครัว ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แม้แต่การทำความสะอาด ที่ทางสมาชิกของแต่ละชมรม จะเป็นผู้มีส่วนร่วมในการดูแล ความเรียบร้อยและรักษาความสะอาดกันเอง เพื่อรวบรวมให้ทางเขตฯ มาเก็บไปทิ้ง
       
        นอกจากกิจกรรมของประชาชนแล้ว ทางสำนักงานเขตสาธร ยังเลือกไปจัดกิจกรรมประจำปีที่สุสานแห่งนี้ทุกๆ ปี โดยได้มีการจัดโต๊ะจีนสังสรรค์ ซึ่งส่วนใหญ่ ต่างก็ไม่ได้คิดถึงความวังเวง หรือความน่ากลัว ของฮวงซุ้ยที่ตั้งเรียงรายอยู่ เปรียบเสมือนว่า คนเป็นและคนตายสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้
       
        ป่าช้าวัดดอนวันนี้ จึงมิได้เนืองแน่นเฉพาะร่างของผู้ที่ไร้วิญญาณเท่านั้น แต่กลับเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินเข้าออกในยามที่ยังมีลมหายใจ เคลื่อนไหวทำกิจกรรม นานาชนิด เพื่อใช้ชีวิตขณะมีลมหายใจให้คุ้มค่าคุ้มประโยชน์มากที่สุด
       
       (จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 77 เม.ย. 50 โดย จรินทร์ คำชัย)
 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #268 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552 00:00:08 »

?พระนางเรือล่ม? ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่วัดกู้
 


ณ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา "วัดกู้" ซึ่งตั้งอยู่ใน ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ในอดีตสถานที่นี้คือ จุดเกิดโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ยุคแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5


       เหตุครั้งนั้นทำให้พระนางอันเป็นที่รักยิ่งของเจ้าแผ่นดินต้องมาสังเวยชีวิตสิ้นพระชนม์ลง ณ กลางแม่น้ำนั้น
       เหตุการณ์คราวนั้นถึงกับทำให้ "เจ้าเหนือหัว" ของคนไทย "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ถึงกับทรงพระกรรณแสง เพราะเป็นที่รู้กันตามประวัติศาสตร์ว่า ในบรรดาพระมเหสีและเจ้าจอมทั้งหลายนั้น "สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี" หรือที่เราคนไทยคุ้นกับพระนามของพระองค์ว่า "พระนางเรือล่ม" นั้นทรงเป็น "ที่รัก" และโปรดปรานยิ่งของ "องค์พระพุทธเจ้าหลวง"

       พระประวัติ "พระนางเรือล่ม" พระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ลำดับที่ 50 พระมารดาคือ สมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน ปีวอก พ.ศ. 2403 ณ พระบรมมหาราชวังทรงถวายองค์เป็นพระมเหสีในรัชกาลที่ 5 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 17 พรรษา ด้วยมีพระสิริโฉมงดงาม พระสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลม จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น "พระอัครมเหสี" และยังเป็นที่โปรดปรานสนิทเสน่หายิ่งกว่าพระอัครมเหสีองค์อื่น ๆ

       สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ทรงมีพระราชธิดา พระองค์แรกเมื่อพระชนมายุได้ 19 พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์ เพชรรัตน์ จวบกระทั่งวันที่เสด็จทิวงคตเพราะเรือล่ม ณ วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2423 ขณะกำลังเสด็จฯ มายัง พระราชวังบางปะอินพระองค์ก็ทรงพระครรภ์ได้ 5 เดือน

       เหตุสลดในวันนั้นเล่ากันว่า สาเหตุที่ทำให้เรือของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ล่ม เนื่องเพราะเรือพระพันปีหลวง หรือสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถบรมราชชนนี พันปีหลวงแล่นแซง ประกอบกับนายท้ายเรือของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ เมาเหล้า ขาดสติในการควบคุมเรือเรือจึงล่ม และทั้งที่พระองค์ก็ทรงว่ายน้ำได้ แต่เพราะความที่ทรงห่วงพระราชธิดา จึงต้องสิ้นพระชนม์ไปพร้อม ๆ กัน รวมทั้งพระพี่เลี้ยง รวมทั้งสิ้น 4 ศพ ที่จมอยู่ใต้ท้องเรือโดยที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย เพราะติดอยู่ที่กฎมณเฑียรบาลว่า ห้ามผู้ใดแตะต้องพระวรกายพระมเหสีมิฉะนั้นจะถูกประหารทั้งโคตร

       โศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นนี้ก่อนเกิดเหตุ ได้มีลางร้ายมาเตือนล่วงหน้าแล้วโดยก่อนที่เรือจะล่มในคืนหนึ่ง สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ได้ทรงพระสุบินว่า พระธิดาของพระองค์ตกลงไปในน้ำ ด้วยความตกพระทัยจึงรีบคว้าพระธิดาจนตกลงไปในน้ำด้วยกัน แล้วได้ตื่นจากบรรทม ครุ่นคิดถึงการเสด็จฯ ไปพระราชวังบางปะอิน ในวันรุ่งขึ้นว่าต้องมีเหตุอะไรเกิดขึ้นกับพระองค์เป็นแน่ แต่ก็ยังหลีกเลี่ยงชะตากรรมไม่ได้จนพบจุดจบในที่สุด

การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ในครั้งนั้นมีเสียงร่ำลือในวังหลวงอย่างอื้ออึงว่า เพราะเป็นแผนการที่จงใจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ จากความอิจฉาริษยาของบรรดามเหสี และสนมนางในที่คิดหาหนทางกำจัด จนทำให้พระนางอันเป็นที่รักของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ต้องมาสิ้นพระชนม์ท่ามกลางข้อกังหา และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้าน และชาววังในยุคนั้น ก็ยังมีเรื่องน่าพิศวงอันเกิดจากอาถรรพณ์ของดวงพระวิญญาณตามมาด้วย

       เล่ากันว่าขณะกำลังงมค้นหาพระศพในวันที่เรือพระที่นั่งล่ม โดยชาวบ้านแถวนั้นทนเห็นเหตุการณ์ไม่ไหว พยายามช่วยลงมางมค้นหาพระศพก็เกิดเหตุอัศจรรย์ที่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ถึงขนาดทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ก็ไม่สามารถพบพระศพ จึงต้องไปเชิญหลวงจีนท่านหนึ่งนามว่า "สกเห็ง" ซึ่งเชี่ยวชาญทางวิปัสสนานั่งทางในมาทำการเสี่ยงทาย โดยเสกถ้วยน้ำชาให้ลอยไปตามกระแสน้ำหากถ้วยชาจมลงตรงจุดใด ก็ให้ชาวบ้านและทหารช่วยกันลงไปงมหา ซึ่งในที่สุดก็สามารถหาพระศพจนพบ ลักษณะพระศพที่เห็นนำความเศร้าสลดมาสู่สายตาผู้พบเห็นยิ่งนัก เป็นภาพพระนางโอบพระธิดาไว้แนบอก และพระศพที่พบก็จมอยู่ใต้ซากเรือพระที่นั่งนั่นเอง

       และเพราะเหตุที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ทรงสิ้นพระชนม์จากเรือพระที่นั่งล่มที่หน้าวัดกู้ กลางลำน้ำเจ้าพระยา จ.นนทบุรี ชาวบ้านจึงได้ร่วมใจตั้งศาลพระนางเรือล่มขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่กู้พระศพของพระองค์ ซึ่งต่อมาหลังจากผ่านเหตุการณ์นี้มานานมากแล้ว ก็ยังเกิดเรื่องเล่าถึงดวงวิญญาณพระนางเรือล่มตามมามากมาย

       มีผู้พบเห็น และร่วมอยู่ในเหตุการณ์ความศักดิ์สิทธิ์ของดวงพระวิญญาณพระนางเรือล่มหลายครั้ง โดยชาวบ้านในละแวกวัดเล่าว่า ในสมัยก่อนที่หน้าศาลของพระนางเรือล่ม มักมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นเสมอโดยหลาย ๆ ครั้งจะมีฝูงจระเข้ว่ายน้ำมาคำนับที่หน้าศาลอยู่เป็นประจำ ทั้งที่ปกติจระเข้มักว่ายอยู่ใต้น้ำ แต่อาจเป็น เพราะจระเข้รับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ท่าน ดังนั้นเวลาว่ายน้ำผ่านหน้าศาลทีไร จระเข้ทุกตัวเป็นต้องลอยตัวขึ้นมาคำนับทุกครั้งไป

       นอกจากนี้ยังเคยเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้นกับคนต่างถิ่น ที่ไม่เคยรู้จักเรื่องราวของพระองค์ท่าน บางคนดั้นด้นมาที่วัดกู้ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมา ก็เพราะเขาฝันว่ามีผู้หญิงสูงศักดิ์ท่านหนึ่งมาเข้าฝันบอกให้มาที่วัดกู้แล้วจะมีโชค เมื่อมาถึงก็ต้องตกตะลึง เมื่อมาเห็นภาพ และพระรูปปั้นที่อยู่ในศาลนั้นเหมือนกับผู้หญิงในความฝันไม่ผิดเพี้ยน

       อาถรรพณ์จากความศักดิ์สิทธิ์ของพระนางเรือล่มยังมีเล่ากันต่อมาอีกว่า เคยมีบางคนลบหลู่ไม่เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ พูดจาดูหมิ่นขณะพูดจบไม่ทันไรก็มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น โดยจู่ ๆ ก็วิ่งไปที่ท่าน้ำไม่รู้เนื้อรู้ตัวทำท่าจะกระโดดน้ำตาย หรืออย่างบางคนที่ชอบมาท้าสาบานที่ศาลของพระองค์ว่า ถ้าผิดจริงขอให้จมน้ำตาย ปรากฏว่าได้ตายสมใจ โดยตายอยู่ในอ่างน้ำตื้น ๆ ดังนั้นถ้าใครคิดมาลองสาบานอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าที่ศาลพระนางเรือล่ม ที่วัดกู้ ต้องขอบอกก่อนว่าอย่าเสี่ยงเป็นอันขาด

       ทุกวันนี้ชาวบ้านแถบ จ.นนทบุรี และผู้ที่มาจากต่างจังหวัดยังคงแวะเวียนมากราบไหว้พระนางเรือล่มที่ศาลอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่นิยมนำมาถวายพระองค์ท่านก็คือกล้วยเผา มาพร้าวอ่อนและพวงมาลัยมะลิสด ส่วนศาลที่เห็นในปัจจุบันจะมี 2 ศาล คือศาลที่อยู่ริมน้ำกับศาลที่ตั้งอยู่ภายในวัด ซึ่งศาลนี้อันที่จริงเป็นศาลเดิม เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ศาลนี้เดิมก็อยู่ริมน้ำ แต่เพราะเวลาผ่านไปทำให้ดินทับถมกลายเป็นแผ่นดินงอกใหม่ ศาลนี้เลยกลายเป็นตั้งอยู่บนดินไป

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #269 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552 00:00:50 »

ช็อก-ฉี่ใต้ต้นไม้ ศพหล่นตุ้บ ร่วงลงพื้นต่อหน้า



หนุ่มยืนฉี่ใต้ต้นไม้ใหญ่เจอเต็มๆ จู่ๆ ซากศพครึ่งท่อนล่างหล่นโครมลงมาต่อหน้า หนอนที่ไต่ยั้วเยี้ยกระเด็นกระจายว่อน พอแหงนไปมองบนต้นไม้ ก็เห็นศพคนครึ่งท่อนบนห้อยต่องแต่งบนกิ่ง วิ่งหนีกระเจิงไม่คิดชีวิต นึกว่าเจอผีหลอกกลางวันแสกๆ ตร.รับแจ้งเหตุรีบมาดู ที่แท้เป็นศพคนผูกคอตายมานานร่วม 10 วันแล้ว พอดีตัวเปื่อยขาดลงมาตอนมีคนมายืนฉี่ข้างล่าง กลายเป็นประสบการณ์เขย่าขวัญที่ยากจะเกิดกับใคร ทางด้านเพื่อนคนตายโผล่ยัน หลายวันมาแล้ว คนตายถือเชือกมากินเหล้าด้วย บ่นอยากตายเพราะทะเลาะกับเมีย กับปัญหาหนี้สินรุมเร้า

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 ก.ย. ร.ต.ท.ประสิทธิ์ เหล็กดี ร้อยเวรสอบสวน สภ.อ.บางละมุง จ.ชลบุรี รับแจ้งมีคนผูกคอตายเหตุเกิดบริเวณริมคลองบางละมุง ข้างวัดบางละมุง ม.9 ต.บางละมุง อ.บางละมุง หลังรับแจ้งจึงนำกำลังพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์พัทยา รีบรุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุอยู่ริมคลองติดกับวัดบางละมุง มีเรือประมงจอดอยู่หลายลำ บริเวณโคนต้นแสมขนาดใหญ่ สูงเกือบ 20 เมตร พบชาวบ้านกำลังมุงดูชิ้นส่วนร่างกายท่อนล่างของชายไทยในสภาพเน่าเฟะ เหลือแต่โครงกระดูก สวมกางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน ส่วนท่อนบนตั้งแต่เอวขึ้นไปมีเชือกไนลอนสีขาวยาวประมาณ 2 เมตร ผูกอยู่ที่คอห้อยต่องแต่งบนกิ่งต้นแสม สูงจากพื้นประมาณ 8 เมตร สภาพศพสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำลายจุด ร่างกายเปื่อยเน่าจนแทบจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 10 วัน หน่วยกู้ภัยจึงช่วยกันนำศพส่วนบนลงมาจากต้นไม้อย่างทุลักทุเล ค้นในตัวพบกระเป๋าสตางค์ภายในมีเอกสารระบุชื่อผู้ตายคือ นายดาว รุ่งเริง อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 81 ม.5 ต.บางละมุง อ.บางละมุง

จากการสอบสวนนายสิงหา สังนวม อายุ 29 ปี พนักงานท่าเรือแหลมฉบัง ผู้พบศพคนแรกให้การว่า ก่อนพบศพ นำเรือเล็กออกไปตกปลาหมึกกลางทะเล ขากลับได้นำเรือมาจอดบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุ เพื่อขึ้นฝั่งกลับบ้าน แต่พอดีปวดปัสสาวะจึงวิ่งไปยืนถ่ายปัสสาวะที่โคนต้นแสม ระหว่างนั้น ได้กลิ่นเหม็นเน่าคล้ายซากศพ แต่ไม่ได้เอะใจ นึกว่าเป็นกลิ่นคาวปลาที่ติดมากับเรือประมง ขณะที่ยืนฉี่อย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น จู่ๆ ชิ้นส่วนมนุษย์ท่อนล่าง ก็ร่วงตกลงมาจากต้นไม้จนหนอนที่กำลังไต่ยั้วเยี้ยบนซากศพกระเด็นกระจาย พอแหงนขึ้นไปดูบนกิ่งไม้ต้องขนหัวลุกซู่ เมื่อพบชิ้นส่วนท่อนบนของผู้ตายแขวนคออยู่กับกิ่งแสม ด้วยความตกใจสุดขีดนึกว่าผีหลอกกลางวันแสก จึงวิ่งหน้าตั้งไปแจ้งให้พระและชาวบ้านที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงพากันมาดู และแจ้งให้ตำรวจทราบดังกล่าว

ต่อมาได้มีนายอิสระ เสือเหม็ง อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14 ม.4 ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เดินทางมาดูศพพร้อมกับแจ้งว่า ผู้ตายเป็นเพื่อนของตน โดยนายอิสระให้การว่าประมาณ 10 วันก่อน ผู้ตายได้ไปหาตนที่บ้านในช่วงเช้าตรู่พร้อมกับถือเชือกไนลอนสีขาวไปด้วย จากนั้นจึงชักชวนตนดื่มสุราและเล่าความทุกข์ใจให้ตนฟังว่า ทะเลาะกับภรรยามา และมีภาระหนี้สินมากมาย อยากตายจากโลกนี้เร็วๆ ตนจึงปลอบใจไม่ให้คิดอะไรมาก ภายหลังดื่มสุราจนหมดขวดผู้ตายจึงขอตัวกลับ กระทั่งภรรยาของผู้ตายโทรศัพท์มาหาตนว่าสามียังไม่กลับเข้าบ้าน ตนจึงช่วยตามหาแต่ไม่พบ กระทั่งทราบว่ามีคนผูกคอตายจึงมาดูศพ ก็พบว่าเป็นเพื่อนของตัวเองตัดสินใจลาโลกไปแล้วอย่างที่บ่นๆ ออกมา

ภายหลังการสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษ ฐานว่า ผู้ตายอาจมีปัญหาคิดไม่ตก จึงเครียดหนักเลยตัดสินใจผูกคอตาย เบื้องต้นได้ติดต่อไปที่ภรรยาเพื่อให้มารับศพนำไปบำเพ็ญกุศลตามพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป
 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #270 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552 00:01:07 »

สามล้อเมืองคอน
 
"ไข่นุ้ย" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากหอพระอิศวร

ผมเป็นเด็กตลาดแขก อยู่ในเมืองนครศรีธรรมราช ปีนี้บ้านผมเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมกีฬาแห่งชาติ บรรยากาศที่ซบเซาลงไปหน่อยตอนเดือนกรกฎาฯ-สิงหาฯ ก็กลับมาคึกคักอีกครั้งในเดือนกันยายน

ถึงจะสู้นักกีฬาจากกรุงเทพฯ ไม่ได้ ตามมาระดับที่ 4 ที่ 5 ก็ดีถมไปแล้วละน่า

จังหวัดผม หรือที่พวกเราเรียกสั้นๆ ว่า "เมืองคอน" ที่นี่มีตำช้าตำนานเยอะครับ

ไหนจะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ในคาบสมุทรไทยมาตั้ง 1,700 ปี เป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ มีชื่อต่างๆ เช่น ตามพรลิงค์, ตั้งหมาหลิ่ง, โลแค็ก, ศรีธรรมาโศกราชศิริธรรมนคร, นครดอนพระ และลิกอร์ เป็นต้น

นครศรีธรรมราช มีความหมายว่า "นครอันงามสง่าแห่งพระราชาผู้ทรงธรรม"

สมัยผมเด็กๆ มีเรื่องขำขันเล่าว่า ขอทานตาบอดแถวตลาดแขกแกนั่งร้องโนราอยู่ข้างถนน แม่สาวชาวกรุงกลุ่มหนึ่งผ่านก็วิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปากว่า แหม...ขอทานคนนี้แกเสียงดีไม่เบานะ แม่เพื่อนสาวทำเสียงดูหมิ่นว่า...โธ่เอ๊ย! เสียงดีแต่ว่าตาบอดย่ะ!

เท่านั้นแหละครับ เหมือนไปสะกิดต่อมยัวะชายเนตรพิการเข้าจังๆ แกขยับลูกคอขึ้นมาทันใด "ถึงหน่วยตาพี่บอด แต่ยอดตาพี่ยัง จะลองดูมั่งก็เป็นไร!"

เล่าเรื่องนี้ที่ไหน รับรองว่าฮากระจายที่นั่น

ภาษาใต้ของพวกผมค่อนข้างแตกต่างกันไปตามท้องที่นะครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอถือโอกาสเล่าให้ฟังซะเลย เช่น ผลไม้เป็นต้น คนนครเรียก "ฝรั่ง" ว่า "ชมพู่กัว" แต่คนสมุยหรือ "เกาะหมุย" เรียกว่า "ยามูร์" ออกเสียงเป็น "หญ้าหมู" เพราะเป็นภาษามลายูน่ะซีครับ

อะไรก็ไม่ตลกเท่ากับ "มะม่วงหิมพานต์" ตามชื่อที่คนกรุงเทพฯ เขาเรียก

บ้านผมเรียก "ยาร่วง" แต่คนสมุยเรียก "ม่วงเล็ดล่อ" ตาเทียบ-คนท่าวังนิสัยครึกครื้นขี้เล่น ค่อนข้างเจ้าบทเจ้ากลอน แกเรียกว่า "นารีเยี่ยมห้อง" ตอนแรกก็ยังงงๆ พอรู้ความหมายเล่นเอาขำกลิ้งไปตามๆ กัน แต่พวกผู้หญิงน่ะค้อนควักตาคว่ำตาหงายเชียวครับ

ตาเทียบแกอ้างว่า...ทีลูก "นารีพิศวง" หรือ "นารีรำพึง" ยังพลิกลิ้นเรียก "รำเพย" ได้นี่นา "รักเร่" ก็เรียก "รักแรง" "แห้ว" ก็กลายเป็น "สมหวัง" แล้วทำไมมะม่วงหิมพานต์ที่มีเม็ดแผล็มออกมานอกเนื้อจะเรียก "นารีเยี่ยมห้อง" ไม่ได้ละวะ? จะไม่ให้หนุ่มๆ ฟังแล้วหัวเราะจนน้ำตาเล็ดได้ไง?

คนที่เจอะเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มรักก็ตาเทียบนี่เอง!

สมัยหนุ่มๆ แกปั่นสามล้อหากิน ส่วนมากจะปักหลักอยู่หน้าสถานีรถไฟ คอยรับนักท่องเที่ยวไปโรงแรมต่างๆ ไม่ว่าใกล้ไกล อย่างมณเฑียร, เพชรไพลิน, หรือแกรนปาร์ค, นครการ์เดน ไปยันทักษิณ ตอนนั้นยังไม่มีมอเตอร์ไซค์หนาตาแทบเต็มเมืองอย่างทุกวันนี้ ตาเทียบจึงหากินได้คล่องๆ

บ่ายนั้น ฟ้าครึ้มฝนชอบกล ตาเทียบแวะเข้าไปโจ้ขนมจีนถาดใหญ่ที่ร้าน "พานยม" จนอิ่มแปล้ เพราะมีทั้งแกงน้ำยา, น้ำพริก, น้ำยาป่า, แกงต่างๆ มาให้ราดขนมจีนกินได้ตามใจชอบ แถมผักอีกกระจาดใหญ่

ตาเทียบถีบรถเอื่อยๆ อย่างมีความสุข จนเห็นคนแต่งชุดขาวกลุ่มใหญ่อยู่ข้างหน้า พอใกล้เข้าไปก็เห็นเสาชิงช้ากับหอพระอิศวร ตรงข้ามกับพอพระนารายณ์พอดี!

ลมแรงพัดวูบมาเย็นซ่า...ฟ้าหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าเทวดาจะเทฝนห่าใหญ่ลงมาเมื่อใด...พอดีเห็นชายผิวดำในชุดขาว นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อแขนยาว ห่มผ้าสไบเฉียง...ขาวโพลนไปหมด ยกเว้นใบหน้าและนัยน์ตาดำขลับที่จ้องมอง โบกมือเป็นสัญญาณให้จอดรับ

ดูๆ ก็ไม่น่าแปลกประหลาดอะไร เพราะเมืองนครศรีฯ ได้ชื่อว่าเป็นที่รวมของหลายศาสนา ทั้งพุทธ, คริสต์, อิสลาม, พราหมณ์, ขงจื๊อ...ไม่ว่าโบสถ์หรือสุเหร่า ศาลเจ้า วัดแขก โบสถ์ฝรั่งมีทั้งนั้นแหละครับ

ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็คนไทยเหมือนกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ สงบสุขตั้งแต่สมัยโบราณมาถึงทุกวันนี้!

พอสามล้อจอดปุ๊บ ร่างสูงใหญ่ในชุดขาวก็ก้าวขึ้นมานั่ง เล่นเอารถยุบฮวบ...ผู้โดยสารรายนี้คงมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัมแน่ๆ บอกเสียงแหบว่า...ไปวัดมเหยงคณ์!

ตาเทียบถีบรถไม่เร่งร้อนเพราะเป็นทางตรง...ผ่านวัดเสมา สนามหน้าเมือง...เลยหน้าสถานีตำรวจ พ้นสี่แยกไปหน่อยก็จะถึงจุดหมายปลายทาง

ท้องฟ้าชักมืดครึ้มลงทุกที....

เสียงดนตรีแปลกๆ ล่องลอยมากระทบหู ตามด้วยเสียงสวดงึมงำ สูงๆ ต่ำๆ ดังมาจากไหนไม่รู้ กลิ่นกำยานหอมเอียนๆ อวลซ่านมากระทบจมูก เล่นเอาตาเทียบชักปากคอแห้งผาก เย็นวาบๆ ที่แผ่นหลังชุ่มเหงื่อ...รู้สึกว่าน้ำหนักท้ายรถชักจะเพิ่มมากขึ้นจนน่าเอะใจ

"เข้าวัดหรือเปล่าคร้าบ...?" ตาเทียบถามเมื่อมองเห็นประตูวัดอยู่เบื้องหน้า นึกสงสัยอยู่ว่าเป็นพราหมณ์จะเข้าวัดไปทำไมกัน...แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบ แกเลยหันกลับไปมอง

ไม่มีใครนั่งอยู่ที่เบาะหลังเลย! เล่นเอาสารถีร่างผอมกะหร่องเบรกรถกึก ร้องเฮ้ย! ออกมาอย่างลืมตัว ขนลุกซ่า...รีบปั่นสามล้ออ้าวๆ ผ่านเทศบาลไปหมดแรงที่หน้าไทยโฮเต็ล ทั้งที่รถเบาหวิวขึ้นพะเรอ

ตาเทียบเลิกอาชีพขี่สามล้อแต่นั้นมา พวกเรายั่วว่าแกขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ไหวเพราะแก่แล้วใช่ไหมล่ะ? แต่ตาเทียบทำตาเขียวเข้าใส่...กูขี่ไหว แต่ถ้าเกิดมีใครมาซ้อนท้ายกูแล้วหาย ตัวไปอีก มิช็อกตายคาที่เรอะ? บรื๋อส์!

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #271 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552 00:01:48 »

บ้านปริศนา
 
"จันทร์ฉาย" เล่าประสบการณ์สยองขวัญ

เรื่องลึกลับน่าสยองขวัญในบ้านริมแม่น้ำ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เกิดขึ้นมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่า มันเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่?

ผู้ใหญ่อาจจะไม่กลัว หรือไม่ก็ลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่สำหรับเด็กๆวัยสิบขวบเศษอย่างดิฉันกับเพื่อนๆ ภาพหลอนอารมณ์สุดขีดยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ชนิดที่ไม่มีวันจะลบเลือนไปได้ง่ายๆ แน่นอน

สมัยนั้น พวกเราเรียกว่า "บ้านผีสิง" ค่ะ!

จากสถานีรถไฟ ผ่านตลาดไปสู่ถนนเลียบแม่น้ำ มีบ้านเรือนเก่าแก่ปลูกกันห่างๆ ส่วนมากเป็นบ้านสองชั้น ที่เป็นชั้นเดียวก็นิยมลาดปูนใต้ถุนเรือน มีโต๊ะใหญ่สารพัดประโยชน์ ตั้งอยู่หน้าห้องครัวและห้องน้ำ เป็นทั้งโต๊ะกินข้าว โต๊ะทำงานและโต๊ะรับแขกพร้อมสรรพ

มองจากหน้าบ้านเข้าไปมักจะเป็นที่โล่งๆ มีโต๊ะหินสำหรับนั่งเล่น บางบ้านก็มีกรงนกเขาแขวนที่ระเบียง แม่ไก่คุมฝูงลูกเจี๊ยบคุ้ยเขี่ยหากินเป็นภาพที่เห็นจนเจนตาเจนใจ

ทั่วๆ ไปมักไม่มีรั้วหรอกค่ะ นิยมปลูกมะพร้าว มะละกอ ขนุน มะม่วงหรือมะยมไว้หน้าบ้าน อย่างดีก็ปักเสาห่างๆ ใช้ไม้ไผ่พาดตามขวางไว้ 3-4 ท่อน บางบ้านก็ปลูกดอกไม้อย่างดาวเรือง บานชื่น บานไม่รู้โรยไว้ข้างรั้ว

บ้านติดๆ กับดิฉันคือลุงยิ่งกับป้าแย้ม มีอาชีพค้าขายในตลาด ลูกสาวคนเดียวชื่อลำไย อายุราว 17 ปี หน้าตาสะสวยคมคาย รูปร่างสูงโปร่ง เรียนแค่ ม.3 ก็ออกมานั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน บางวันโดนพ่อแม่เคี่ยวเข็ญถึงจะยอมออกไปช่วยขายของ

ลำไยชอบหัวเราะต่อกระซิกกับพวกหนุ่มๆ นัยน์ตาแวววาวหยาดเยิ้มที่ชาวบ้านนินทาว่า "เจ้าชู้" ตกเย็นลุงยิ่งเมาเหล้าเข้าไปเป็นร้องด่าลูกสาว หาว่าชอบให้ท่าผู้ชาย พอป้าแย้มร้องห้ามก็ยิ่งยั่วโทสะให้เสียงดังเหมือนตะโกน มีการทุบตีลูกเมียจนดังโครมครามน่าตกใจ

ค่ำวันหนึ่ง หลังจากเสียงทะเลาะกับเสียงทุบตี ตามด้วยเสียงหวีดร้องของลำไย...ก็ได้ข่าวว่าป้าแย้มตกบันไดลงมาคอหักตาย!

ลุงยิ่งจมอยู่กับขวดเหล้า ลำไยก็เอาแต่ร้องไห้จนกระทั่งงานศพผ่านไป...

ไม่มีใครเห็นหน้าลำไยอีกเลย ลุงยิ่งก็เลิกไปขายของที่ตลาด นานๆ ถึงจะขับรถกระบะออกจากบ้าน ซื้ออาหารทั้งสดและแห้งมาตุนไว้ มีคนเล่าว่าแกรูปร่างผ่ายผอมผิดตา หน้าดำคล้ำ นัยน์ตาลึกโหลแดงก่ำเหมือนกะปูด มองใครก็มีแววขุ่นขวางคล้ายคนวิกลจริต

ทุกคนพูดตรงกันว่า ลุงยิ่งเหม็นสาบเหม็นสางราวกับคนจรจัด ใครถามถึงลูกสาวลุงยิ่งก็ขบกราม นัยน์ตาขุ่นขวางยิ่งกว่าเดิม ตอบห้วนๆ ว่า...มันหนีตามผู้ชายไปแล้ว...

นอกจากลำไย ดูเหมือนลุงยิ่งก็สูญหายไปอีกคน!

ไม่มีใครเห็นแกนั่งดื่มเหล้าที่โต๊ะใหญ่ใต้ถุนบ้าน เพื่อนฝูงจากตลาดมาหา ทั้งตะโกนทั้งกดแตรเรียกก็ไม่ได้ยินเสียงขานตอบ...บางคนก็เดาว่าลุงยิ่งคงจะออกไปตามหาลูกสาว แต่บาง คนก็เดาว่า แกคงจะเมากลิ้งอยู่บนบ้าน หรือไม่ก็ขาดใจตายไปแล้วโดยไม่มีใครล่วงรู้

แต่ยังหรอกค่ะ...ลุงยิ่งยังไม่ตาย! เพราะตอนกลางคืนพวกเราเห็นไฟสว่างจ้าที่ชั้นบน บางคืนก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ของแกยืนทะมึนอยู่ที่หน้าต่าง เป็นสิ่งยืนยันว่าลุงยิ่งยังมีชีวิตอยู่...

ตอนเย็นๆ พวกเราชอบไปเดินเล่นที่ริมตลิ่ง ลมจากแม่น้ำพัดโชยเข้ามาเยือกเย็น แต่บางวันก็พัดแรงจนดิฉันขนลุกเกรียว...ตกค่ำเดินกลับบ้านก็อดมองไปทางบ้านลุงยิ่งไม่ได้...มันมืดครึ้มน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับจะมีความชั่วร้ายบางอย่างแอบแฝง ซุกซ่อนไว้ในนั้นอย่างน่าสยดสยอง...

จู่ๆ ก็มีไฟเปิดพรึ่บขึ้นที่ชั้นบน ดิฉันเงยหน้ามองก็เห็นลุงยิ่งยืนจังก้า สองมือเท้าขอบหน้าต่าง ท่าทางเหมือนจะกระโจนลงมาหาในพริบตา

วิ่งซีคะ...รวดเดียวถึงบ้าน หอบแฮกๆ แทบจะขาดใจตาย!

ชาวบ้านพูดกันว่า ลุงยิ่งคงเสียใจสุดขีด ไหนจะเมียตายอย่างน่าสยอง ไหนจะลูกสาวหายสาบสูญไปโดยไม่มีร่องรอย จนแกสติแตก ไม่ยอมคบค้าสมาคมกับใคร ไม่โผล่ไปให้ใครเห็นหน้า คล้ายจะเก็บตัวอยู่โดดเดี่ยวจนถึงวันตาย! บางคนส่ายหน้า บอกว่าหมกอยู่กับน้ำเมาทั้งวันทั้งคืนจนกว่าจะหมดสติ ไม่ช้าก็คงตายตามป้าแย้มไปจริงๆ

บางคนก็หลุดปากว่า...ตายิ่งแกอาจจะฆ่าลูกสาวหมกไว้หลังบ้านที่เป็นป่าละเมาะก็ได้? แกคงเมาจนขาดสติ พลั้งเผลอทำอะไรลงไป แต่โดนขัดขืนก็เลยบันดาลโทสะ กลายเป็นฆาตกรใจโหดในพริบตา!

บ้านนั้นกลายเป็นบ้านปริศนา ใครผ่านก็หันมอง วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา...จนกระทั่งมีคนสังเกตว่า ไม่มีแสงไฟในยามค่ำคืนมานานแล้ว หน้าต่างยังเปิดโล่งตามเดิม แต่ไม่มีใครเห็นลุงยิ่งมายืนที่หน้าต่างอีกต่อไป

ในที่สุด มีญาติจากราชบุรีมาหา...ครั้นรู้เรื่องจากชาวบ้านก็ชวนกันเข้าไปดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น? ชาวบ้านตั้งสิบกว่าคนที่ตามเข้าไป รวมทั้งเด็กๆ อยากรู้อยากเห็นอย่างพวกเรา

ดิฉันใจเต้นตึกตัก มือเย็นเท้าเย็นไปหมด นึกวาดภาพว่าจะเห็นศพลุงยิ่งอยู่ในห้องนอน กำลังขึ้นอืดหรือเน่าเฟะ แต่ก็ไม่ได้กลิ่นเหม็นเน่าอะไร นอกจากกลิ่นอับๆ และสาบสางเตะจมูก...ไม่มีวี่แววของลุงยิ่งหรือลำไยในบ้านนั้นเลย!

หลายๆ คนเข้าไปสำรวจหลังบ้าน ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ เช่นหลุมศพของลำไยที่ลือกันว่าถูกพ่อฆ่าแล้วฝัง...คนทั้งสองดูเหมือนจะหายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น

พวกญาติลุงยิ่งมาขนข้าวของใส่รถบรรทุกไป บอกฝากขายบ้านไว้ด้วย...ยังไม่ทันมีใครจะมาติดต่อขอซื้อหรือขอดู จู่ๆ บ้านหลังนั้นก็เกิดไฟไหม้กลางดึก รุ่งเช้าก็เหลือแต่เถ้าถ่านกองใหญ่ ควันลอยกรุ่น...ติดหูติดตาดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้!

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #272 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552 00:01:57 »

ตาลยอดด้วน!
 
"นายต้น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนตีกบ

ผมเคยเป็นเด็ก อ.บ้านนา จ.นครนายก อาชีพทำไร่ทำนามาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ที่เขาเคยยกย่องว่าเป็นกระดูกสันหลังของประเทศนั่นล่ะครับ แต่ต่อมาคงจะมองเห็นความจริงว่ากระดูกสันหลังล้วนผุกร่อนแทบจะหักกลางทั้งนั้น คำว่ากระดูกสันหลังของชาติก็เลยค่อยๆ ซาไป

ยุคต่อๆ มาพวกลูกๆ หลานๆ ของชาวนาก็ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อยู่กับญาติบ้าง อาศัยข้าวก้นบาตรของหลวงอาหลวงลุงประทังชีวิตบ้าง...จบออกมาเป็นเจ้าใหญ่นายโตกันนับไม่ถ้วนแล้ว ที่ไม่มีปัญญาเล่าเรียนก็เร่ร่อนออกไปหางานทำสารพัดชนิด

สมัยนี้ตามท้องไร่ท้องนาไม่ค่อยมีหนุ่มๆ สาวๆ แล้วล่ะครับ เหลืออยู่แต่คนเฒ่าคนแก่กับเด็กๆ ที่ยังไปไหนไม่ไหว...อีกหน่อยก็คงไม่เหลือชาวนา-คนปลูกข้าวให้เรากินแล้ว

อ้าว? ผมว่าจะเล่าเรื่องขนหัวลุกนะเนี่ย...ไม่รู้ไปพูดถึงเรื่องน่าเศร้าทำไม?

สมัยผมเด็กๆ น่ะ หน้าร้อนกับหน้าหนาวสนุกที่สุด หน้าฝนแย่หน่อย แต่พวกเด็กๆ ก็หาเรื่องสนุกจนได้ ไม่ว่าการหากุ้งหาปลามาให้แม่เป็นกับข้าว ถ้าวันไหนฝนตกแรงๆ ตอนเย็น คืนนั้นเราก็เตรียมตัวออกไปตีกบกันให้สนุกครึกครื้น โอ้อวดกันว่าใครจะเก่งกว่าใคร?

เรื่องโดนผีหลอกตอนไปตีกบนี่มีเยอะครับ ผมได้ยินพวกรุ่นพี่มันเล่าเขย่าขวัญน่าดู ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือแหกตา เพราะไม่อยากให้พวกเราไปแย่งตีกบกับพวกมันน่ะสิคุณ

แหม! บรรยากาศตอนค่ำคืนตามท้องไร่ท้องนาน่ะมันชวนขวัญหายไม่หยอก จะบอกให้!

พี่เต๋า เล่าว่า กำลังตีกบอยู่ดีๆ ก็เจอเด็กแปลกหน้าไว้จุกมายืนอยู่ข้างๆ หันไปเจอเข้าเล่นเอาสะดุ้งโหยง ได้เด็กเปรตนั่นตาแดงก่ำเชียว บอกเสียงแหบๆ ว่า...ไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว ขอกบตัวอ้วนมากินหน่อยสิ!

ว่าแล้วเจ้าจุกมหากาฬก็ยื่นหน้าเข้ามาหา แลบลิ้นแผล็บๆ เหมือนจะเลียหน้า เล่นเอาพี่เต๋าร้องจ๊าก ไฟฉายกับไม้ตีกบหล่นจากมือ หันกลับได้ก็วิ่งอ้าวไม่คิดชีวิต...ตอนหลังเลยไม่กล้าออกไปตีกบคนเดียว แต่ต้องชวนพรรคพวกไปเป็นแพเชียวเพราะกลัวเจอเด็กผีเข้าให้

พี่โจ๊ก อายุแก่กว่าผมราว 3-4 ปีก็เล่าเรื่องมหาโหดอย่าบอกใครเชียว

ที่กลางนามีตาลยอดด้วนเพราะโดนฟ้าผ่าเมื่อปีกลายอยู่ต้นหนึ่ง ยืนโด่เด่อยู่เดียวดาย มองไกลๆ คล้ายกับเปรตยืนสูงลิ่วขึ้นไปบนฟ้า พี่โจ๊กบอกว่าเจอผีที่ดุร้ายสาหัสยิ่งกว่าพี่เต๋าเจอะเจอมาซะด้วยซ้ำไป เพราะตาลยอดด้วนกลายเป็นเปรตร้องวี้ดๆ ตาแดงจ้า เดินโย่งเย่งเข้ามาหาจนแทบช็อกคาที่...วิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานจนถึงบ้าน ไม่รู้ว่ารอดตายมาได้ยังไง?

ผมกับ เจ้าต๋อง เพื่อนซี้ผู้มีบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน หันหน้าไปอมยิ้มทางอื่น...แหม! เรารู้ทันน่ะสิครับว่าพวกรุ่นพี่เล่าเรื่องแหกตา พวกเราจะได้ปอดกระเส่า ไม่กล้าไปหาตีกบแถวนั้นแข่งกับพวกแกน่ะสิ โธ่เอ๊ย!

คืนนั้น ฝนตกหนักมาตั้งแต่เย็นจนมืดค่ำถึงได้ซาเม็ด ผมกับเจ้า ต๋องชักชวนกันออกไปตีกบแต่โดยพลัน

ใกล้ตายอดด้วนเข้าไป กบตัวอ้วนๆ ยิ่งหนาตาจนเราหวดปั๊บๆ จับใส่ตะข้องแทบไม่ทัน เห็นแสงไฟของนักตีกบคนอื่นๆ วูบวาบที่นั่นที่นี่ แต่เราไม่อยากสนใจให้เสียเวลา

ขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ มองหาเหยื่อตัวอวบอ้วนอยู่นั้น จู่ๆ ฟ้าก็ร้องครืนๆ ก่อนจะแลบวาบ ผ่าเปรี้ยงจนแสบแก้วหูใกล้ๆ กับตาลยอดด้วนดังโครมสนั่น...แต่ตอนที่ฟ้าแลบวาบนั่นน่ะ ผมมองไปทางตาลยอดด้วนเดี่ยวๆ เหมือนเปรตจำแลงนั่นพอดี...เอ๊ะ! ทำไมมีสองต้น?!

หลังจากฟ้าผ่าก็จ้องมองไปที่ต้นตาลนั่นอีกที เพราะมีอะไรผิดหูผิดตาบอกไม่ถูก...ในความมืดสลัวของราตรี เห็นทิวไม้เบื้องหน้าลิบๆ ตาลยอดด้วนโดดเด่นสะดุดตา...แต่ว่ามันไม่ได้มีอยู่ต้นเดียวตามเดิมซะแล้วสิ...

จู่ๆ ก็มีตาลยอดด้วนยืนติดกัน 3 ต้นขึ้นมาดื้อๆ ซะงั้น!

เพ่งมองจนปวดตา ใจเต้นตุ๊บๆ ชอบกล...ต้นตาลต้นหนึ่งหรือสองต้นกำลังเดินโยกเยกเข้ามาหาช้าๆ ครั้นใช้หลังมือขยี้ตา แหงนเถ่อขึ้นไปจ้องมองอีกครั้งให้แน่ใจ ก็ยังเห็นตาลบ้าๆ ทั้งสองต้นเดินเข้ามาหา ไม่ใช่ตาลยอดด้วนเสียแล้ว เพราะมีมือทั้งสองข้างแกว่งไกว...สองต้นนั่นคือสองขาที่กำลังก้าวเข้ามาหา

ยอดตาลคือใบหน้าดำเกรียม ดวงตาแดงฉาน ส่งเสียงวี้ดๆๆ เคล้ามากับสายลมตลอดเวลา...หัวโตขนาดพ้อมใส่ข้าวก้มต่ำลงมาหา ตาแดงก่ำจ้องมองอย่างดุร้าย

เสียงร้องเอะอะคล้ายจะจางหายไปในเสียงฟ้าร้องครืนๆ ผมกับเจ้าต๋องกันกลับออกวิ่งไม่คิดชีวิต ร้องโว้ยๆ ไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว เจ้าต๋องตะโกนแต่ว่า...ไป๊! อย่าตามกูมาเลย...กูกลัวแล้วโว้ย! โอ๊ย...จะตามกูมาทำมั้ย?

"คว้ากกก..!" เสียงอุบาทว์ทำให้เบรกพรืดจนหัวแทบคะมำ ส่วนเจ้าต๋องถึงกับล้มแผละลงบนดินลื่นๆ หันขวับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ

ตอนแรกนึกว่าเปรตมันแหกอกหลอกอย่างที่เขาเล่าเรื่องผีดุกัน...แต่เปล่าหรอกครับ อสุรกายตนนั้นใช้มือกระชากหัวของมันออกมากวัดแกว่งต่างหากล่ะ ก่อนจะโยนโครมเข้าใส่ เล่นเอาผมกระโดดตัวลอย เจ้าต๋องที่นอนแอ้งแม้งก็กลับเด้งผึงขึ้นมาด่าขรม ออกตะกายหนีกันไม่คิดชีวิต

นรกเป็นพยาน! หัวอุบาทว์นั่นกลิ้งหลุนๆ เข้าใส่ พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบโหยดังสะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจ

กว่าจะซมซานมาถึงบ้านก็เหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตายไปตามๆ กัน...ผมเชื่อพี่เต๋ากับพี่โจ๊กแล้วว่าแถวตาลยอดด้วนผีดุจริงๆ ถ้าไม่ไปเป็นโขยงรับรองว่าไม่กล้าออกไปตีกบเด็ดขาดเลยครับ... บรื๋ออออ!

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #273 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552 00:08:00 »

บ้านผีอยู่
 
"อานนท์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปค้างบ้านเพื่อน

ผมไม่เคยไปนอนค้างที่บ้านเจ้าไว-เพื่อนที่ทำงานเดียวกันมาก่อน แต่เมื่อไปครั้งแรกก็เจอดีเข้าเต็มเปา ถึงกับต้องสบถสาบานกับตัวเองว่าชาตินี้จะไม่ยอมไปนอนบ้านใครๆ อีกแล้วจนวันตาย

แน่ละ! ถึงผมจะไม่บอกคุณๆ ต้องรู้อยู่แก่ใจว่า...ผมโดนผีหลอกเข้าเต็มเปาน่ะซี!

เรื่องของเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก ผมกับเจ้าไวสนิทสนมกันมาเกือบสองปีแล้ว แถมยังไม่ได้มีครอบครัวเป็นหลักเป็นฐานเหมือนกันทั้งคู่

อ๊ะๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด คิดว่าเราเป็นพวกแอบจิต เกย์กับตุ๊ด หรือนิยมชมชอบไม้ป่าเดียวกันนะครับ ขอยืนยันนอนยันว่าเราเป็นผู้ชายเต็มร้อย มีแฟนมาพอสมควรแต่ยังไม่ถึงกับป?กอกปักใจแน่นอนว่าจะเลือกใครมาเป็นแม่ของลูกเท่านั้นแหละ

เราเคยไปมาหาสู่กันเฉพาะตอนกลางวัน พ่อแม่เจ้าไวก็รักใคร่เอ็นดูผมเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง แต่วันดีคืนดีผมก็ต้องไปนอนค้างบ้านเพื่อนคนนี้โดยไม่ได้ตั้งอกตั้งใจมาก่อน

เรื่องเป็นยังงี้ครับ

เย็นวันศุกร์เลิกงานเราก็ออกมาหาอะไรกินกันแถวสวนลุมพินี สนุกสนานเฮฮากันเต็มที่จนปาเข้าไปสองยามกว่า คนอื่นๆ แยกย้ายกันกลับ บ้างก็นึกมันเขี้ยวจะไปเดินชมสาวสวนลุมฯ ที่มาอ้อล้อจับเหยื่อกันเพียบ ส่วนผมว่าจะเรียกแท็กซี่กลับบ้านที่บางอ้อ แต่เจ้าไวดันชวนไปค้างบ้านมันแถวถนนเชื้อเพลิงใกล้ๆ นั่นเอง

เป็นอันว่าตกลงตามนั้น...

ห้องนอนเจ้าไวอยู่ชั้นบนติดระเบียงข้างรั้วใกล้ๆ กับห้องพ่อแม่ มีห้องน้ำกั้นกลาง...หลังจากอาบน้ำอาบท่า อาศัยชุดนอนของเพื่อนแก้ขัด อ้าว? ผมเกิดหูตาสว่างขึ้นมาดื้อๆ เลยผลักประตูไปสูบบุหรี่ที่ระเบียง ส่วนเจ้าไวนอนดูทีวีเพราะหายง่วงเหมือนกัน

บ้านติดๆ กันเป็นตึกสองชั้นทาสีชมพูหวานแหววเชียว มีสนามเล็กๆ ร่มรื่นน่ารักแต่เจ้าไวเคยบอกว่าเป็นบ้านร้างมานานแล้ว...

เอ๊ะ! ทำไมแสงไฟสว่างที่ห้องนอนชั้นบน ได้ยินเสียงหนุ่มสาว หัวเราะต่อกระซิกคล้ายกำลังหยอกล้อกันอย่างมีความสุข มองเห็นเงาวับๆ แวมๆ ดูวูบวาบยังไงพิกล...ผมสูบบุหรี่หมดมวนแล้วก็เดินเข้าห้องนอนไปหาเพื่อน

ไม่รู้นึกยังไง ผมหลุดปากต่อว่าเพื่อนที่โกหกว่าเป็นบ้านร้าง ที่แท้ก็มีคนอยู่ แต่เจ้าไวลุกขึ้นมาหัวเราะฟันขาวอย่างอารมณ์ดี "ผีละมั้ง? เพราะเป็นบ้านร้างจริงๆ ว่ะ"

"แล้วทำไมเปิดไฟโร่ แถมกำลังหัวเราะคิกคัก แหม! เสียงผู้หญิงน่ะฟังแล้วเซ็กซี่เป็นบ้า...หรือว่าจะมีคนย้ายมาอยู่ใหม่แล้วลื้อไม่รู้เรื่อง?"

"บ้าซี่! ใครย้ายมาอยู่บ้านติดๆ กันจะไม่รู้ได้ยังไงวะ?" เจ้าไวหัวเราะตามเคย

"แต่อั๊วเห็นจริงๆ หน้าต่างเปิดมองเข้าไปเห็นเค้ากำลังหยอกกัน..." ผมยืนยันเสียงแข็ง "ไม่เชื่อก็ออกมาดูเลยซี่"

คราวนี้เจ้าไวหยุดหัวเราะ หน้าดำๆ คล้ายจะขาวผ่องขึ้นมา

"อย่าพูดเล่นน่า เขาห้ามพูดถึงเรื่องผีๆ สางๆ ตอนกลางคืนรู้มั้ย? บ้านนั้นน่ะผัวฆ่าเมียเพราะความหึงหวง แล้วก็ยิงตัวตายตามเมียไปอีกคน...ปิดร้างมาเกือบสองปีแล้ว แต่ไม่เคยมีข่าวว่าผีดุนี่หว่า"

คราวนี้ผมกระเดือกน้ำลายอึกใหญ่ รู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งหัวใจยังไงชอบกล รีบปราดไปฉุดแขนเพื่อนให้ลุกออกมาดูด้วยนัยน์ตาตัวเอง อยากรู้เหมือนกันว่าของจริงคืออะไร?

เพียงแต่เราก้าวออกไปที่ระเบียง เจ้าไวก็ชะงักกึกเมื่อเห็นแสงไฟสว่างไสวอยู่ในห้องนอนนั้นจริงๆ ครางแต่ว่า...อะไรกันหว่า? บ้านนี้ยังไม่มีใครมาอยู่นี่นา...

แทบจะไม่ขาดเสียง ประตูห้องนอนนั้นก็เปิดออกช้าๆ เสียงดังเอี๊ยดดด...แล้วร่างของหนุ่มสาวคู่หนึ่งก็เดินคลอเคลียกันออกมา โบกมือให้เราอย่างร่าเริง ผมโบกมือตอบอย่างงุนงง ส่วนเจ้าไวผงะหน้า ตาเหลือกลาน ทำเสียงครอกๆ ก่อนจะครางกระเส่า

"ผีหลอก...เขาตายไปแล้ว..."

ผมร้องเฮ้ย! แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง เสียงหมาหอนโหยหวนมา แต่ไกล ยอดไม้ไหวซ่า อากาศยามดึกสงัดลดตัววูบลงจนเย็นเฉียบ... ขณะที่ร่างทั้งสองค่อยๆ เลือนรางจางหายไปในแสงสว่างเยือกเย็น... ไฟในห้องนอนก็พลันดับวูบลง!

เราวิ่งพรวดเข้าห้องแทบจะชนกันตาย อกสั่นขวัญแขวนจนสว่างคาตา...ผมสาบานกับตัวเองว่าเป็นตายยังไงก็จะไม่ยอมไปค้างบ้านคนอื่นชั่วชีวิตสลาย...กลัวเจอบ้านผีอยู่น่ะซีครับ! บรื๋ออออ..
 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #274 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552 00:08:34 »

โทรศัพท์สยอง
 
"วรรณจันทร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากมือถือ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาสองทุ่มครึ่งของวันพุธที่ 7 มกราคม ปีใหม่ 2552 นี้เองค่ะ ตอนนั้นดิฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน โต๊ะที่มีหนังสือนานาประเภทกองอยู่เต็มไปหมด จนเหลือที่ว่างเพียงนิดเดียวที่พอจะเขียนหนังสือได้เท่านั้น

ถึงจะดูรกหูรกตา แต่มันก็ดึงดูดความสนใจของคนทั้งบ้านได้เสมอ

คืนนั้นก็เช่นกัน ลูกชายคนโตวัย 19 ปีของดิฉันเตร่เข้ามายืนข้างๆ วางโทรศัพท์มือถือแปะลงบนกองหนังสือที่อยู่สุดริมโต๊ะ จากนั้นก็ก้มๆ เงยๆ เลือกว่าจะเอาเล่มไหนไปอ่านดี...ทันใดนั้น แสงสว่างก็วาบขึ้นจากโทรศัพท์ หน้าจอปรากฏข้อความชัดเจนว่ากำลังโทร.ออกมาจากเบอร์ของดิฉัน!

วินาทีต่อมา โทรศัพท์มือถือของดิฉันก็ส่งสัญญาณเรียกให้รับสาย

ดิฉันกับลูกชายมองหน้ากันอย่างงงงัน โทรศัพท์โทร.เองได้ยังไง ทั้งๆ ที่มันล็อกอยู่ และเจ้าของก็ไม่ได้แตะต้องแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ดิฉันยังรับสายและมันก็เงียบกริบ เราสองคนแม่ลูกลืมสนิทไปเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่ เราถกเถียงหาสาเหตุทุกอย่างเท่าที่มันน่าจะเป็นไปได้ แต่ดูเหมือนไม่มีทางเลยค่ะ ที่จะมีความผิดพลาดทางเทคนิคใดๆ ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้

ลูกชายคนโตเรียกน้องและน้ามาช่วยกันวิเคราะห์

และฉับพลันนั้นเอง มันก็เกิดซ้ำอีก...ต่อหน้าพวกเราทุกคน!

โทรศัพท์มือถือของลูกชายที่สไลด์ปิดเรียบร้อย สว่างเรืองขึ้นมาอย่างน่าขนลุก หน้าจอบอกว่ากำลังโทร.เข้าเครื่องของดิฉัน คราวนี้ทันทีที่สัญญาณดังขึ้น ดิฉันก็กดปุ่มรับ

เสียงคล้ายคลื่นแทรกดังคล่อกแคล่ก เหมือนเปิดวิทยุไม่ตรงคลื่นดังออกมาจากโทรศัพท์ โดยที่ดิฉันยังไม่ทันกดปุ่มใช้ลำโพงเลยค่ะ...

และท่ามกลางเสียงเหมือนมีไฟฟ้ารบกวน พวกเราทุกคนก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งและผู้หญิงอีกคน พูดอะไรบางอย่างแบบรัวเร็ว...ทั้งสองไม่ได้พูดโต้ตอบกันเองนะคะ แต่มันเหมือนกับพวกเขาพยายามจะบอกอะไรเรา ทว่าเราจับคำพูดไม่ได้เลย...มันดังอยู่ราวสิบวินาทีแล้วก็เงียบกริบไปเอง

คราวนี้เราขนลุกซ่า มองหน้ากันไปมาและอึ้งกันทุกคน!

พวกเราเกือบผวา เมื่อโทรศัพท์ของลูกชายวาบแสงขึ้นมาอีกครั้ง และโชว์หน้าจอว่ากำลังต่อสายเข้าเบอร์ดิฉันเอง แต่หนนี้เครื่องดิฉันไม่มีสัญญาณเรียกเข้า...และอีกไม่กี่วินาทีต่อมา หน้าจอของเครื่องลูกชายก็ปรากฏความว่า "จบการสนทนา"

ทุกคนยืนล้อมโทรศัพท์สองเครื่องที่วางห่างกันราวสองฟุต จ้องมองและรอคอยด้วยใจระทึกว่ามันจะแสดงอะไรให้เราดูอีก แต่มันก็นิ่งสนิท ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย...จนกระทั่งต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำกิจกรรมของตัว ด้วยความคิดว่า...ไม่มีอะไรอีกแล้วละ!

ดิฉันลุกจากโต๊ะเดินเข้าห้องน้ำไปซักผ้าขนหนูผืนเล็ก น้องสาวดิฉันนั่งลงกินข้าวที่โต๊ะอาหาร ลูกคนโตคว้ามือถือออกไปนั่งเล่นที่โต๊ะริมสนามกับน้องชาย

ขณะกำลังซักผ้า ดิฉันก็ได้ยินเสียงคนหลายคนวิ่งตึงตังมาหา แต่ละคนแย่งกันพูด

"เอาอีกแล้ว...แม่! โทรศัพท์ถึงกันเองอีกแล้ว!!"

คราวนี้เครื่องของดิฉันโทร.เข้าเครื่องลูกชายค่ะ เบอร์หน้าจอโชว์หราแบบไม่ต้องเถียงให้เสียเวลาเลย...ทว่า โทรศัพท์สีชมพูสวยงามของดิฉันมันวางอยู่เฉยๆ บนโต๊ะเหมือนไม่รู้ไม่ชี้อะไร ขณะโทรศัพท์ของลูกชายส่งสัญญาณเรียกดังลั่น และโชว์เบอร์ว่ามาจากเครื่องของดิฉันชัดเจน...มันเป็นไปได้ยังไงคะ?

วินาทีต่อมา สัญญาณเรียกก็ดับลง พร้อมกับมีข้อความว่า "จบการสนทนา"

จากสองทุ่มครึ่งถึงห้าทุ่มครึ่ง มีบันทึกการใช้โทรศัพท์ในเครื่องมือถือของลูกชายว่าโทร.เข้าเครื่องดิฉัน 22 ครั้ง! และเมื่อเช็กค่าโทร.ซึ่งลูกชายได้บัตรเติมเงินแล้ว ปรากฏว่ามันยังอยู่ครบเท่าเดิม ส่วนเครื่องของดิฉันมีบันทึกการโทร.เข้าเครื่องของลูกเพียงครั้งเดียว ไม่มีบันทึกการโทร.ออก ไม่มีบันทึกสายที่ไม่ได้รับ

มันต้องมีเหตุผลซิคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโทรศัพท์มือถือทั้งสองเครื่องนี้ ระบบมันรวนที่ตรงไหนกันแน่ หลายคนที่ทราบเรื่องประหลาดนี้ในวันรุ่งขึ้น พูดตรงกันว่า "ผีหลอก!"

มีอะไรบางอย่างพยายามจะสื่อสาร หรือส่งข่าวคราวถึงเราอย่างเอาเป็นเอาตาย

ลองนึกดูว่าพอจะเป็นใครได้บ้าง?

หนึ่งในนั้นคือญาติสนิทของเราที่ไปตั้งรกรากอยู่ถึงอเมริกา และขาดการติดต่อกับเราโดยสิ้นเชิงไปสี่ปีแล้ว ทางเราก็ติดต่อกับเขาไม่ได้ เขาอยู่คนเดียวโดยไม่มีครอบครัว และเราห่วงเขาเหลือเกิน...ปีใหม่นี้ผ่านไปโดยเขาไม่ได้โทร.มาอีกเช่นเคย

นอกจากเขาแล้วยังมีญาติและเพื่อนที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้ จะเป็นไปได้ไหมคะ ที่พฤติกรรมประหลาดของโทรศัพท์มือถือสองเครื่องจะเป็นฝีมือจากผู้ที่อยู่ในโลกอื่น...ที่เราเรียกว่า

"โลกหลังความตาย"

เรื่องแปลกชวนขนหัวลุกนี้ต้องมีคำตอบ เพียงแต่เรายังไม่พบเท่านั้น!
 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #275 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552 00:09:37 »

ศุกร์ 13 วันอาถรรพ์ ความเชื่อ หรือ ความจริง???
 
"ศุกร์นี้เดือนกุมภาพันธ์ เป็น ศุกร์ 13"

ตัวเลข 1 กับ 3 บนปฏิทินยืนยันให้เห็นเป็นประจักษ์พยาน หลายคนเริ่มรู้สึกและตั้งคำถาม "จะมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นไหมนะ?"

หลายเสียงตอบคำถามแตกต่างกันไป บ้างว่า..ต้องระวังของอย่างนี้มันมีอาถรรพ์ บ้างว่า..ล้าสมัยไม่มีใครเขาคิดอย่างนี้กันแล้ว คำตอบจะเป็นอย่างไร มิอาจตัดสิน เพราะเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล

แต่ถ้าหากถามว่า "ศุกร์ 13 เป็นวันอาถรรพ์จริงหรือ?" ก็คงตอบชัดเจนไม่ได้ นอกจากจะมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟัง...

เริ่มจากความเชื่อของฝรั่งตาสีฟ้าทั้งหลาย โดยเฉพาะนิกายคาทอลิกที่เห็นว่า "เลข 13" เป็นเลขโชคร้าย ไม่ดีถ้าเป็นฤกษ์ยามจะทำกิจการต่างๆ ก็นับเป็นฤกษ์ยามที่ไม่ดีเอาเสียเลย

ฝรั่งถือว่าเลข 13 เป็นเลขอับโชค ยิ่งเป็น "ศุกร์ 13" ด้วยแล้วยิ่งมหาอับโชค (ฝรั่ง) หลายๆ คน จึงไม่ยอมออกจากบ้านไปไหน เพราะเกรงว่าจะประสบกับความโชคร้าย เช่น เกิดอุบัติเหตุ หรือมีอันเป็นไปต่างๆ นานา เป็นต้น

แม้จะมีการแก้เคล็ดด้วยการเรียกเลข 13 เป็น "ลัคกี้นัมเบอร์" แต่ก็มิได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเลข 13 ของฝรั่งดูดีมีโชคขึ้น ยังคงสร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้คนที่เชื่อเรื่องโชคลาง

ความน่ากลัวของ "ศุกร์ 13" มาเพิ่มขีดมากขึ้นเมื่อมีภาพยนตร์เรื่อง "ศุกร์ 13 ฝันหวาน" ออกมาหลอกหลอนผู้คน ไม่ว่าจะทำภาคไหนออกมาก็ยังคงขายดิบขายดีขายได้

ความเชื่อเรื่องเลข 13 เริ่มแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วข้ามน้ำข้ามทะเลมาฝั่งเอเชีย และเอเชียอาคเนย์ ด้วยเหตุเพราะกระแสแห่งโลกาภิวัตน์ ส่งผลให้บางคนบางพวกในเมืองไทยพลอยเชื่อเรื่อง อาถรรพ์เลข 13 ไปด้วย

ฉะนั้น บรรดาอาคารสำนักงานและโรงแรมจำนวนมากที่ก่อสร้างเป็นอาคารสูง และมีจำนวนชั้นมากกว่า 12 ชั้นขึ้นไปจะไม่มีชั้น 13 เป็นการเว้นไว้และเรียกชื่ออื่นแทน เช่น อาคารเอ็มบีเค ทาวเวอร์ ที่ก่อสร้างขึ้นเมื่อ 26 ปีก่อน เป็นอาคารสำนักงานสูง 20 ชั้น แต่ไม่มีชั้นที่ 13 โดยผู้สร้างเปลี่ยนเป็นเรียกชั้น 12 A แทนเช่นเดียวกับโรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ที่เป็นอาคารสูง 29 ชั้นก็ไม่มีชั้น 13 โดยมีชั้น 12 แล้วเป็น ชั้น 14 เลย เว้นเลข 13 ไว้

เหตุผลประการหนึ่งเพราะโรงแรมต้องรองรับลูกค้าซึ่งส่วนมากเป็นลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะฝรั่ง

ตำนานของอาถรรพ์เลข 13 นั้น เชื่อกันว่า อาถรรพ์เลข 13 มีความเชื่อมโยงกับ "เดอะ ลาสต์ ซัพเปอร์" เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลที่มีคน 13 คนร่วมรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็น "วันศุกร์"



แต่ก็มีอีกหลายตำรา บ้างก็ว่ามาจากความเชื่อและตำนานของ "ชาวนอร์ส" ในดินแดนสแกนดิเนเวียที่เกี่ยวกับ "เทพ 12 องค์" มารวมกันจัดงานเลี้ยงในห้องโถงของเอกีร์ เทพแห่งมหาสมุทร แล้วเทพแห่งไฟที่ชื่อ "โลกิ" ซึ่งไม่ได้รับเชิญมาร่วมงานจึงพังประตูรั้วเข้ามาร่วมงานในฐานะแขกคนที่ 13 และให้ "เทพฮอด" ซึ่งเป็นเทพแห่งความมืดมิดเพราะตาบอด โยนกิ่งของพืชกาฝากใส่ "บาลเดอร์" เทพแห่งความสุขและความยินดี จนบาลเดอร์สิ้นลมหายใจไปในทันที

ทำให้โลกต้องตกอยู่ในความมืดมิดและความเศร้าสลด

นิทานของชาวสแกนดิเนเวียยังมีเวอร์ชั่นอื่นอีก รวมถึงมีผู้แย้งว่าในบทกวีของโลกาเซนนา ที่เป็นภาษานอร์สโบราณได้กล่าวถึงชื่อของเทพทั้ง 17 องค์ที่ไปร่วมในงานเลี้ยง โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นเทพโลกิเป็นผู้พังประตูรั้วเข้าไปจริง แต่กลับไม่ใช่คนที่ 13 และก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจุดจบของเทพบาลเดอร์อีกด้วย

เพราะฉะนั้น ความเชื่อที่เก่าแก่ว่าด้วยอาถรรพ์เลข 13 จึงนิยมที่จะอ้างอิงเรื่องของเดอะ ลาสต์ ซัพเปอร์ มากที่สุด กระทั่งมีการบันทึกไว้เมื่อศตวรรษที่ 18 ว่า..

เชื่อกันว่าเมื่อใดก็ตามที่มีคน 13 คนมานั่งร่วมรับประทานอาหารในโต๊ะเดียวกัน คนที่ลุกจากโต๊ะไปเป็นคนแรกจะเป็นคนแรกที่ต้องตาย

สำหรับเหตุผลที่เจาะจงว่าจะต้องเป็น "วันศุกร์" นั้น นอกจากกรณีที่ว่าพระเยซูถูกนำไปตรึงกางเขนในวันศุกร์แล้ว ในตำราของฝรั่งยังว่า "วันศุกร์" เป็นวันที่ใช้ประหารนักโทษ ทั้งยังถือว่าเป็นวัน "ทิป ทอด เดย์" (Tip Tod Day) หมายความว่าเป็น "วันปีศาจ" ชาวประมงในสมัยก่อนจึงไม่ออกทะเลในวันศุกร์

ความเชื่อแต่โบร่ำโบราณของฝรั่งยังห้าม "ไม่ให้ตัดเล็บในวันศุกร์" เพราะแม่มดจะมาขโมยเล็บเอาไปเสกให้เจ้าของเล็บกลายเป็นแม่มด

รวมทั้งเชื่อว่าเมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาใหม่ๆ วันที่อีฟและอดัมละเมิดคำสั่งพระเจ้า กัดกินผลไม้ต้องห้ามในสวนอีเดนนั้นเป็น "วันศุกร์" และวันที่ทั้งสองถูกพระเจ้าลงโทษให้ลงมาชดใช้โทษที่โลกมนุษย์ก็เป็น "วันศุกร์" อีกเช่นกัน

เหตุฉะนี้เมื่อ "ศุกร์ 13" มาเยือน (ฝรั่ง) หลายๆ คนจึงปริวิตกหวาดผวาจนขึ้นสมอง กลายเป็น "โรคกลัววันศุกร์ที่ 13" ซึ่งมีชื่อเรียกยาวๆ ว่า "พาราสเคฟดิคาเทรียโฟเบีย" (paraskevidekatriaphobia) หรือโรค "ฟริกกาทริสไคเดคาโฟเบีย" (friggatriskaidekaphobia)

มีการศึกษาประเมินกันว่า คนอเมริกันเป็นโรคพาราสเคฟดิคาเทรียโฟเบีย ถึง 21 ล้านคน หรือประมาณ 8% ของอเมริกันชนที่ยังอยู่ในความเชื่อเรื่องนี้

อย่าหัวเราะเยาะว่า โรคกลัววันศุกร์ที่ 13 เป็นเรื่องเล่นๆ

เพราะมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อย่างแน่นอน เรื่องนี้มีสถิติเกิดขึ้นแล้ว ที่ศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันบำบัดอาการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเริกา ประเมิน ว่า..

ในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐ อเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงินถึง 800-900 ล้านเหรียญสหรัฐ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

และเมื่อเปิดดูสถิติอุบัติเหตุในเรื่องจาก "ศุกร์ 13" ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลก เมื่อผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน บริติช เมดิคัล เจอร์นัล เมื่อปี ค.ศ.1993 เรื่อง "Is Friday the 13th Bad for Your Health?" ศึกษาความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 กับพฤติกรรมและสุขภาพ โดยเปรียบเทียบวันศุกร์ที่ 6 กับวันศุกร์ที่ 13 พบว่า

อัตราการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวันศุกร์ที่ 13 มีมากกว่าวันศุกร์ที่ 6 อย่างเห็นได้ชัด และในขณะที่น้อยคนเลือกที่จะขับรถออกจากบ้านในวันศุกร์ 13 แต่ตัวเลขคนที่ประสบอุบัติเหตุกลับมากกว่าวันศุกร์อื่นๆ ถึง 52%

กลับมาที่ประเทศไทย เรื่องของ "ศุกร์ 13" จะเป็นอาถรรพ์แบบฝรั่งหรือไม่ คงต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาของแต่ละบุคคล อาจมีบางคนเชื่อ บางคนไม่เชื่อ เหมือนกับเรื่องของโชคลางอื่นๆ เรื่องของโชคชะตา เรื่องของดวง ฮวงจุ้ย ว่าแต่ว่า..

ศุกร์นี้ 13 กุมภา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเดินทางออกจากบ้าน!!!
 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #276 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552 00:10:28 »

?ไสยศาสตร์? ความหมายและลักษณะพิเศษ
 


"ไสยศาสตร์" ถือว่าเป็นศาสตร์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยในบรรดาศาสตร์ทั้งหลาย เป็นสิ่งที่มีความเป็นมาที่ยาวนานที่สุดศาสตร์หนึ่ง

ความเป็นมาของความรู้สายนี้นั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ หรือเป็นสิ่งที่หลอกลวง นำไปสู่ความงมงาย ความชัดเจนของศาสตร์แขนงนี้ในสังคมไทย ซึ่งเป็นสังคมที่วิทยาการสมัยใหม่กำลังเจริญรุ่งเรือง "ไสยศาสตร์" ถูกมองว่าเป็นรากเหง้าของความหลงงมงาย อันทำให้ประชาชนหลงเชื่อในสิ่งที่ไร้เหตุผล

ในประเทศไทยมีความพยายามอธิบายที่มาของ "ไสยศาสตร์" ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยการวิเคราะห์ศัพท์จากภาษาบาลี ที่พบกันบ่อย มักมีการให้อรรถาธิบายว่า คำว่า "ไสย" มาจากคำว่า "เสยฺย" ในภาษาบาลี ซึ่งแปลว่า "ประเสริฐ" จึงทำให้แปลว่า "ไสยศาสตร์" ว่า เป็น "ศาสตร์อันประเสริฐ"

กระนั้นเอง การอธิบายทฤษฎีนี้ ก็มิได้ให้ความสนใจแก่คำว่า "ศาสตร์" ซึ่งเป็นศัพท์จากภาษาสันสกฤต ขณะเดียวกัน บางท่านอธิบายว่า คำว่า "ไสย" มาจากคำว่า "ไสยาสน์" ซึ่งแปลว่า "นอน" และแปลคำว่า "ไสยศาสตร์" ว่าเป็น "ศาสตร์แห่งความหลับใหล" กระนั้นก็มิได้ให้อธิบายที่มาของศัพท์นี้ว่า มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตเช่นกัน

ดร.นพ.มโน
ดร.นพ.มโน เมตตานันโท เลาหวณิช ที่ปรึกษาพิเศษในเลขาธิการใหญ่องค์การสมัชชาศาสนาเพื่อสันติแห่งโลก (ดับเบิลยูซีพีอาร์) บอกว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้การตีความของคำว่า "ไสยศาสตร์" ตามทฤษฎีทั้งสองประการข้างต้นนี้ มิได้มีความสัมพันธ์กับหลักฐานทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของอินเดียและไทยเลย หากพิจารณ์ด้วยเหตุผลทางไวยากรณ์สันสกฤต และข้อมูลที่ได้รับจากการศึกษาประวัติศาสตร์ โบราณคดี และวรรณกรรมสามารถสรุปได้ว่า

คำว่า "ไสยศาสตร์" เป็นคำศัพท์ที่รากมาจากภาษาสันสกฤตโดยตรง คือ เป็นคำสมาส "ศาสตร์" หมายถึงแขนงหนึ่งของความรู้ และ "ไสย" มาจาก "ไศวะ" ซึ่งเป็นศัพท์สันกสฤต ที่เกิดจากการพฤตสระจากคำว่า "ศิวะ" โดยที่สระอิถูกพฤตให้เป็นสระ "ไอ" และ "ว" แปลงสภาพเป็น "ย" ซึ่งเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายตามหลักของภาษาศาสตร์ เพราะทั้ง "ว" และ "ย" นั้น เป็นพยัญชนะกึ่งสระ ซึ่งมีฐานกรณ์เดียวกัน เสียง "ว" จึงกลายเป็น "ย" ได้อย่างง่ายดาย

ในขณะเดียวกัน "ศ" กลายเป็น "ส" ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางเสียงที่เกิดขึ้นได้ง่ายในภาษาไทย เนื่องจาก "ศ" "ษ" และ "ส" นั้น ต่างออกเสียงเหมือนกัน คือ "ส" แทนได้ทั้งหมด

"ไสยศาสตร์ เป็นคำศัพท์ในภาษาไทย ซึ่งมีรากเดิมจากภาษาสันสกฤตจากศัพท์ของคำสมาสว่า "ไศฺวศาสฺตร" (อ่านว่า ฉัย-วะ-ฉาสฺ-ตฺระ) ซึ่งแปลว่า "ศาสตร์ที่เนื่องด้วยจากพระศิวะ" หรือ "ศาสตร์ที่มาจากพระศิวะ" ดร.นพ.มโน กล่าวสรุป

พร้อมกันนี้ ดร.นพ.มโน ยังบอกด้วยว่า ลำพังการวิเคราะห์ศัพท์ให้ถูกต้องตามหลักวิชาไวยากรณ์สันสกฤตมิได้หมายความว่า สิ่งที่คนไทยมองเห็นว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้เวทมนตร์ โองการและพิธีกรรมต่างๆ นั้น จะเป็นสิ่งที่ตรงกับความเชื่อในอินเดีย ซึ่งถือว่าเป็นความรู้ที่มาจากพระศิวะจริง เพราะความเชื่อและวัฒนธรรมประเพณีที่เกิดขึ้นในประเทศหนึ่ง ที่มีความแตกต่างทางค่านิยมดั้งเดิมของตนเองนั้น จะยังคงรักษาความดั้งเดิมไว้ได้เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในประเทศต้นกำเนิด

นอกจากนี้แล้ว ความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของภาษาสันสกฤต เป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดศาสตร์ที่ต่อมารู้จักกันในหมู่คนไทยว่า "ไสยศาสตร์"

แต่เนื่องจากพิธีกรรมที่ถูกจำกัดให้อยู่ในหมู่พราหมณ์ และการปฏิบัติกับคนต่างวรรณะในเชิงดูถูกและรังเกียจเดียดฉันท์ คัมภีร์ของศาสตร์ที่เนื่องด้วยพระศิวะเหล่านี้ ต่อมาภายหลังจึงสูญหายไป และต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น คัมภีร์ภาษาบาลีจึงได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ในรูปแบบเดียวกัน และการใช้คัมภีร์บาลีของเถรวาทแทนสันสกฤต จึงเกิดขึ้น และเป็นที่แพร่หลายในเขมรและไทย ในขณะที่สัญลักษณ์และศัพท์ต่างๆ ที่เคยใช้กันมาอย่างคุ้นเคยจากสันสกฤต และศาสตร์ของพราหมณ์สายไศวะยังได้รับการยกย่องนับถือเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เกิดการผสมผสานเป็นไสยศาสตร์แบบไทย ซึ่งแตกต่างไปจากไสยศาสตร์แบบเขมร และอินเดียประเทศต้นตำรับอย่างสิ้นเชิง

ในที่สุดไสยศาสตร์ได้เข้ามาผสมผสานกับความเชื่อเรื่องผีของบรรพบุรุษไทยอย่างกลมกลืน

ลักษณะพิเศษ
ไสยศาสตร์ นั้น มิใช่เรื่องไม่มีเหตุมีผล แต่เป็นเรื่องของการใช้ "อำนาจ" ซึ่งมีระบบของเหตุผล หลักการ แหล่งของอำนาจหรือความศักดิ์สิทธิ์ อุปกรณ์ และกระบวนการต่างๆ อันมีขั้นตอน เพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุประสงค์ ที่ผู้ประกอบพิธีตั้งความปรารถนาไว้ ปัจจัยต่างๆ ของพิธีกรรมทางไสยศาสตร์นั้น มีศูนย์กลางอยู่ที่ผู้ประกอบพิธี มิใช่เกิดขึ้นลอยๆ โดยที่ประกอบพิธีนั้น เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด สามารถบงการให้เกิดสิ่งต่างๆ ซึ่งอยู่นอกกรอบของเหตุผลของสามัญสำนึกของสามัญชนจะคาดหวังได้

พิธีกรรมทางไสยศาสตร์นั้น จะบรรลุผลได้ก็ต่อเมื่อเงื่อนไขของพิธีกรรมทั้งหมดได้บรรลุ สิ่งนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นการควบคุมคุณภาพของผู้ประกอบพิธีกรรม ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ โดยมีการแบ่งแยกที่ชัดเจน ระหว่างผู้ประกอบพิธี (คนใน) และผู้อื่นที่เข้าร่วมพิธี (คนนอก) ยิ่งพิธีกรรมที่มีความศักดิ์สิทธิ์เท่าใด ช่องว่างและเงื่อนไขที่แบ่งแยกระหว่างคนในและคนนอกยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น พร้อมกันนั้น คือ ความลึกลับที่คนในเท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าใจ ส่วนคนนอกเป็นพวกที่ไม่มีสิทธิ์จะเรียนรู้สาระของพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเลย

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดของไสยศาสตร์ คือ การร่ายมนตร์ หรือ คาถา ของผู้ประกอบพิธี ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องกระทำให้ได้จังหวะที่พอเหมาะพอดีกับขั้นตอนต่างๆ ตลอดพิธีกรรม

แนวคิดในเรื่องการสาธยายมนตร์นี้ คือ ความเชื่อที่ว่า "อักขระนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีวันสูญสลาย" และมนตร์ต่างๆ ที่ผู้ประกอบพิธีได้เปล่งออกจากปากของตนแล้ว ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถยังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และหากเปล่งออกมาผิด ผลกระทบก็จะกลับเป็นวิบากแก่ผู้สาธยายนั้นเอง

นั่นหมายถึงความเป็นมงคลต่างๆ จะกลายเป็นอัปมงคล โชคจะกลายเป็นเคราะห์ และอำนาจที่ถูกใช้ไปเพื่อประทุษร้ายผู้อื่น อำนาจนั้นก็จะย้อนกลับมาประทุษร้ายผู้ร่ายเวท และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #277 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552 00:10:39 »

หาดผีสิง
 
"สายัณห์"เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหาดจอมมณี

เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ผมเพิ่งเคยไปเที่ยวจังหวัดหนองคายเป็นครั้งแรกในชีวิต...รถไฟคือพาหนะที่ดีที่สุด ออกจากหัวลำโพงตอนค่ำไปถึงหนองคายตอนเช้า เจ้าเจตน์เพื่อนรักสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันเป็นคนชวนครับ

เพื่อนคนนี้เรียนจบก็รับราชการทันที ตอนแรกเลือกไปอยู่แถวอีสานบ้านเกิด...ล่าสุดเจ้าเจตน์มาปักหลักอยู่หนองคายนี่เอง!

มีเจ้าภาพที่เป็นเพื่อนสนิทนี่สบายไปแปดร้อยอย่าง จ่ายแค่ค่ารถไปกลับเท่านั้นก็พอแล้ว นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นการกินอยู่ เที่ยวเตร่เฮฮา เจ้าภาพจงเจริญรับหน้าที่หมดทุกอย่าง

จากสถานีมันก็รับผมไปเปิดโรงแรมใจกลางเมืองทันที อย่างว่าละ...ถึงแม้หนองคายจะเป็นจังหวัดเล็ก แต่ก็มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ หรือแหล่งสำราญของพวกผู้ชาย บาร์ สปา คาราโอเกะ โรงนวดมีพรักพร้อมครบเครื่อง

ตอนกลางคืนมีถนนสายใหญ่ใจกลางเมือง ขายอาหารเพียบขนาดน้องๆ เยาวราชแน่ะคุณ สองฟากฝั่งมีของกินละลานตา แสงไฟสว่างไสว ร้านข้าวต้มโอ่อ่า คนแน่นเหมือนกินฟรี ได้ลองแล้วติดใจครับ เพราะอาหารน่ากิน อร่อย บริการฉับไวได้การเชียวละ

ต้องยอมรับว่าวันแรกค่อนข้างเพลีย เพราะไม่คุ้นกับการนอนบนรถไฟ เล่นเอาหลับๆ ตื่นๆ มาตลอด เลยได้แต่ขอตัวนอนพักก่อนจะออกไปลุยราตรี

เจ้าเจตน์ขับรถมารับแต่เช้า ผมสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเต็มที่...อย่างน้อยผู้ชายวัยสี่สิบต้นๆ ก็ยังไม่ถึงกับบ้อลัดสารพัดโรคเหมือนคนแก่เฒ่าหรอกครับ เจ้าเจตน์พาไปเที่ยววัดก่อนเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนจะไปชมตลาดท่าเสด็จริมแม่น้ำ...ผ่านซอกซอยออกไปสู่ลานกว้างริมฝั่งโขง เวิ้งว้างกว้างใหญ่ น่าตื่นตาตื่นใจไม่เบา

จากนั้นก็ไปวัดโพธิ์ชัย เพื่อกราบไหว้หลวงพ่อพระใส-พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดหนองคาย

ที่ฝาผนังอุโบสถด้านในใกล้ๆ กับประตูเข้าออก มีรูปประเพณีงานสงกรานต์เมื่อปีกลายในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ "ข่าวสด" ติดหรา มองเห็นผู้คนหลั่งไหลกันมาทำบุญและเที่ยวงานกันมืดฟ้ามัวดินเชียวละคุณ

เห็นแล้วปลื้มใจแทนหนังสือพิมพ์ข่าวสดซะไม่มี!

"ไหนๆ มาถึงหนองคายทั้งทีก็ต้องไปขึ้นสะพานมิตรภาพไทย-ลาว" เจ้าเจตน์บอกกล่าว ก่อนจะขับรถบึ่งออกนอกเมืองไปถึงสะพานข้ามโขงที่โดดเด่นอยู่ทางขวามือ...น่าแปลกอย่างตรงที่ฝั่งเรามีธงชาติติดไสวไปถึงกลางสะพานอันถือว่าเป็นเส้นแบ่งอาณาเขต แต่ทางฝั่งลาวไม่ยักมีธงชาติหรอกแฮะ

บ่ายแก่ๆ พยาธิชักกวน เจ้าเจตน์ก็ไปจอดรถที่ใต้สะพานแล้วนำหน้าดุ่มเดินผ่านศาลาทางหลวงลงไปที่หาดจอมมณี...แหม! ข้างทางเห็นดงหญ้าคาดกหนาสะพรั่งตา เพื่อนผมอดหัวเราะไม่ได้...บ้า! นั่นตะไคร้ต่างหากล่ะ ไอ้โง่!

ร้านสุราอาหารเรียงรายเต็มหาด ผู้คนคึ่กๆ ผมเล็งร้านเจนนี่แอนด์จูเนียร์เอาไว้ แต่เห็นวิวลำน้ำโขงสวยงามใกล้ชิดเป็นครั้งแรกเลยขอเดินไปชมให้ชื่นใจก่อน แว่วเสียงเพลง "ขุ่นลำโขง" ของหม่อมถนัดศรีขึ้นมาทันใด

"...สองข้างตลิ่งห่างเสียจริงเจียวหนอ คิดไปใจพี่ท้อ พี่นี้รอเดียวแด โอ้หนอแม่คุณเอย..."

ใครจะคิดตื้นคิดลึกยังไงก็แล้วแต่จะตีความหมายเอาเองละกันครับ!

เจ้าเจตน์ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปผมตามประสาเพื่อนที่ดี เดี๋ยวมุมนั้นเดี๋ยวมุมนี้...จนผมได้ยินเสียงดังขึ้นข้างหลังว่า...มุมนี่ซีคุณ ผมว่าสวยที่สุด!

หันไปมองแทบไม่เชื่อตาตัวเอง ฝรั่งหนุ่มใหญ่รุ่นเดียวกับเรานั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นทรายหันมามองยิ้มๆ ผมสีทองค่อนข้างยาวปลิวไสวตามแรงลม...พูดไทยชัดแจ๋วยังกับเป็นคนไทยแท้ๆ ผมเลยอดถามไม่ได้มาอยู่เมืองไทยกี่ปีแล้วถึงได้พูดไทยชัดเหลือเกิน? แกก็บอกว่าเกือบ 20 ปีแล้ว ตั้งแต่สงครามอินโดจีนสงบ มีภรรยาเป็นคนลาวอยู่ท่าเดื่อ สัญญาว่าจะข้ามฟากมาหา แต่แกรอมาตั้งแต่ก่อนสร้างสะพานมิตรภาพจนสร้างสะพานเสร็จก็ยังไม่เห็นข้ามมาซักที

ผมถามว่าทำไมยูไม่ข้ามไปหาล่ะ เดี๋ยวนี้ก็ไปมาหาสู่กันสะดวกสบายแล้วนี่นา...พอดีเจ้าเจตน์เดินมาหาพลางร้องว่า ไปหาอะไรกินกันได้แล้วว่ะ! อ้าว? แล้วนั่น..คุณ..พูดจาพยักพเยิดกับใคร? ผมหันขวับไปมองที่ชายน้ำใต้สะพานก็เห็นแต่ความว่างเปล่า เล่นเขาขนลุกซ่า ใจหายวูบทันใด

เจ้าเจตน์เล่าว่า ฝรั่งนายนั้นอกหักจากสาวลาวมานั่งดวดเหล้าที่หาดจอมมณี วันหนึ่งเกิดสติแตก ลุยน้ำจมหายไปใน "ขุ่นลำโขง" อีกสองวันศพถึงลอยขึ้นมา...วันดีคืนดีก็มานั่งเล่าความหลังให้ใครๆ ฟังอย่างนี้แหละ เจอะเจอกันมาหลายรายแล้ว...ขนหัวตั้งชันซีครับ งานนี้น่ะ!

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #278 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2552 22:54:52 »

เรื่องจริง..ที่เรารู้สึก
เรื่องนี้แม้อาจจะมองไม่เห็นโดยตรง แต่สัมผัสได้อย่างเหลือเชื่อ
ย้อนเวลากลับไป2เดือนที่แล้ว เป็นช่วงที่เรากับเพื่อนชอบไปขลุกตัวเล่นกันอยู่บ้านพี่ชายที่รู้จักกัน ระหว่างนั้นพี่ชายได้ยืมรถมอเตอร์ไซต์ของเราไปกดเงินที่ในตัวเมือง
ด้วยความที่หวงรถ และเหตุผลบางประการ เราเลยโทรไปบอกพี่ว่า''รีบกลับมา ไฟไหม้บ้าน''
มันขี่รถกลับมาแล้วบอกว่า ''บ้าน..หนองไผ่ มีคนผูกคอตาย''(บ้านหนองไผ่เป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดๆกัน เรากับเพื่อนรีบขับรถไปดู
ภาพขณะนั้นเป็นภาพที่กู้ภัยของสว่าง..กำลังห่อศพของลุงคนนั้น
เนื่องจากเราเคยไปทำงานกับพี่ๆกู้ภัยสว่างจิตต์ศรีสะเกษ เราเลยรู้จักพี่ๆหลายคนในมูลนิธิ เราจ้องตาไม่กระพริบ ต้นไม้ต้นนั้นเป็นต้นมะม่วงขนาดกลาง
ผู้ตายอายูประมาณ40-50ปี เป็นผู้ชาย พี่ๆช่วยกันนำศพขึ้นรถแล้วเราก้อขี่ตามรถของสว่างอยู่พักนึง(ขี่รถตามศพ) จนเพื่อนเรากลัวมากเรากับเพื่อนจึงกลับไปที่บ้านโนน
หรือ บ้านพี่นั่นเอง หลังจากนั้นก้อไม่มีอะไร
เวลาผ่านไปเดือนกว่าๆ เรามีโอกาสได้ไปขี่รถเล่นกับเพื่อนอีกคน
มันชื่อ''แคท'' แคทบอกว่าอยากเข้าไปบ้านพี่จัง น้ำมันรถตอนนั้นก้อพอมีบ้างแต่ไม่เยอะ ถ้าผ่านไปทางบ้านหนองไผ่จะใกล้กว่าอีกทางนึง
จึงตัดสินใจผ่านทางนั้น พอรถจะผ่านจุดนั้นเป็นที่น่าแปลก แคทบอกว่ารถบิดไม่ค่อยออกเหมือนมีคนมาดึงไว้(แคทเปนคนขับรถให้) เราขนลุกมากรีบยกมือไว้ขอขมาเป็นการใหญ่ รถก้อเริ่มบิดได้ดีขึ้น แคทไม่รู้เรื่องที่เคยมีคนผูกคอตาย
พอกลับถึงบ้านเราเล่าให้แคทฟัง มันนั่งอึ้งไปเลย
..........หลังจากนั้นมา ต้นมะม่วงที่อย่จุดนั้นก้อถูกออกในเวลาต่อมา..............
(เค้าว่ากันว่าถ้าผีที่ผูกคอตายกับต้นไม้เฮี้ยน หรือมักปรากฏตัวให้ชาวบ้านตกใจในบริเวณที่เขาเสียชีวิต ชาวบ้านชาวอีสานมักจะตัดต้นไม้ต้นนั้นทิ้ง)

เรื่องของเรามันอาจไม่มีอะไรที่น่ากลัวมาก แต่สิ่งหนึ่งที่เรามองข้ามไปคือในเวลากลางคืนที่เปลี่ยวๆแบบนั้น มักจะมีเจ้าที่อยู่ และเราก้อไม่เคารพเค้ากระมั้ง
..ขอให้วิญญาณคุณลุงไปสู่สคติเร็วๆนะคะ
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #279 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2552 22:55:38 »

ผีถ้วยเเก้ว
หนูเป็นคนจ.อุดรธานีจึงไม่ค่อยสนเกี่ยวกับผีถ้วยเเก้ว
เเต่หนูดันนึกอยากเล่นซะงั้น
วันหนึ่งหนูอยาลองเล่นผีถ้วยเเก้วดู
เพื่อนมันชวนเล่นพอดี
เราเล่นกันอยู่8คน(รวมหนูด้วย)
"มิ้น มาเล่นเร็ว"(เสียงเพื่อนเรียก)
พอกำลังเชิญผีเข้าเพื่อนก็เชิญผีห้องน้ำมา(เล่นใกล้ห้องน้ำ)
(ตอนนี้ดึกเเล้ว)เราก็ถามเขาว่า "พี่ ถ้าพี่ยังไม่ตายเเล้วมาเล่นผีถ้วยเเก้วพี่จะเล่นตอนไหน"พี่เขาบอกว่า"ตอนนี้เเหละ"หนูขี้เกียจถามเลยบอกว่า"ถ้าหนูเชิญพี่ออกเเล้วพี่จะมาหลอกหนูไหม"พี่เขาไม่ตอบอ่ะ เราก็เชิญพี่เขาออกเลย(เพื่อนมันบอกให้ชวนออกเลย)
พอเที่ยงคืนก็เหลือหนูคนเดียว(เพื่อนกลับบ้านหมดเเล้ว)
หนูก็รอไปเรื่อยๆทีนี้หนูเซ็งก็เลยตะโกนว่า"พี่มาหลอกหน่อย"(ซวยเเล้ว)
เเล้วก็มีผู้ชายโชกเลือดเดินมาใกล้ๆ
หนูก็ยังไม่เห็น
คราวนี้รู้สึกเหมือนมีคนมาบีบคอ
เเล้วหนูก็เห็น
หนูรีบวิ่งเข้าบ้านทันที
ป.ล.หนูพิ่งรู้ว่าเป็นรุ่นพี่ที่ผูกคอตายเเถวที่หนูเล่นกัน
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
หน้า: [«10] [«5]  «  1 ... 12 13 [14] 15  »    ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!