AE. Racing Club
01 มิถุนายน 2568 02:42:42 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [«10] [«5]  «  1 ... 11 12 [13] 14 15  »    ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!  (อ่าน 72429 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #240 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:01:31 »

วิญญาณดึกดำบรรพ์
 
"สุบิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกที่พระนครศรีอยุธยา

ผมเคยได้ยินบ่อยครั้งว่า คนที่จิตใจเข้มแข็งมักจะไม่ถูกผีหลอก เพราะจิตมีพลังมากกว่าภูตวิญญาณทั่วๆ ไป แต่ถ้าใครจิตใจอ่อนแอ ปกติเป็นคนตกใจง่าย มักหวาดสะดุ้งด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะมีโอกาสถูกผีหลอกได้ง่ายกว่า

ก็แน่ล่ะครับ เพราะคนที่จิตใจบึกบึนห้าวหาญนั้น ต่อให้พบปะเหตุการณ์คับขัน หรือแม้แต่เห็นภูตผีปีศาจก็ควบคุมสติได้จนวิญญาณ ชั่วร้าย ต้องหลีกหนีไปเอง

นอกจากนั้นก็คือเด็กๆ ที่มีโอกาสถูกผีหลอกมากที่สุด! เชื่อว่า นอกจากจิตใจยังไม่เข้มแข็งเหมือนผู้ใหญ่แล้ว สัมผัสทางจิตของเด็กยังค่อนข้างละเอียดอ่อน ภูตผีที่อยู่เหลื่อมซ้อนมิติกับมนุษย์ บางครั้งมีโอกาสเหมาะสมจึงอาจจะปรากฏตัวเข้ามาสู่มิติเดียวกันก็เป็นได้

สิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้นก็คือ เด็กๆ ที่พบเห็นภูตผีเหล่านั้นอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ใช่มนุษย์เช่นเดียวกับตนเอง

ด้วยเหตุนี้เราจึงมักพบเด็กๆ พูดคุยกับตุ๊กตา หรือของเล่นชิ้นโปรด แต่พวกผู้ใหญ่มักคิดว่าลูกหลานของตนกำลังเล่นกับ "เพื่อนสมมติ" โดยไม่ได้หวาดระแวงแม้แต่น้อยว่าเด็กๆ กำลังพูดคุย หัวเราะต่อกระซิกกับผู้ไม่มีร่างกาย!

ผมมีเรื่องน่าขนลุกขนพองมาเล่าสู่กันฟังครับ

เมื่อราวสองปีก่อน ผมกับภรรยาและลูกชายวัย 7 ขวบ ไปเที่ยวสิงห์บุรีและพระนครศรีอยุธยากับบริษัททัวร์เจ้าประจำ มีรายการนำเที่ยวสนุกๆ มาชักชวนอยู่เสมอ ส่วนมากเป็นจังหวัดใกล้ๆ อย่างชลบุรีและระยองบ้าง เที่ยวสวนผลไม้และตลาดนัดตอนกลางคืนที่อัมพวา สมุทรสงครามบ้าง...ล่าสุดก็ไปไหว้พระเก้าวัดที่เมืองสิงห์

คราวนี้มีเป้าหมายอยู่ที่พระนอนจักรสีห์ สิงห์บุรี และไหว้พระที่พระนครศรีอยุธยาราว 4-5 วัด หลวงพ่อมงคลบพิตรเป็นจุดสุดท้าย

มีกำหนดค้างที่สิงห์บุรีและพระนครศรีอยุธยา...จนกระทั่งถึงลานจอดรถหลังโบสถ์หลวงพ่อมงคลบพิตร มีรถทัวร์จอดอยู่หลายสิบคัน ผู้คนคับคั่งเพราะเป็นวันอาทิตย์ ไกด์นำเราเดินผ่านร้านค้าด้านขวามือ ทั้งร้านเครื่องดื่ม หนังปลาทอด ผลไม้ดอง ขนมไทย และของที่ระลึกต่างๆ โดยเฉพาะร้านโรตีสายไหมมีมากที่สุด

จนกระทั่งเข้าไปไหว้หลวงพ่อมงคลบพิตรเรียบร้อย ภรรยาพา ลูกไปปล่อยนกที่หน้าโบสถ์ ซื้อตั๊กแตนสานด้วยใบมะพร้าว จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับทางเก่า ตั้งใจว่าจะหาซื้อของกินของฝากตามระเบียบ

ก่อนจะถึงปากทางเข้าร้านค้านั่นเอง ตาต้อมลูกชายผมก็กระตุกมือแม่ ได้ยินเสียงถามว่า อะไรลูก? ตาต้อมก็พยักหน้าไปที่ความเวิ้งว้างทางซ้ายมือ เราก็มองตามไปอย่างงุนงง

แสงแดดยามเย็นกำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว...

ที่นั่นคือป่าละเมาะค่อนข้างเปลี่ยว ถัดไปเป็นต้นไม้ใหญ่ฯ เช่น จามจุรีที่รายล้อมเกือบรอบบึง มีจอกแหนกับผักตบชวาอยู่แน่นหนา พงอ้อกอหญ้าขึ้นรกทึบ ฝั่งตรงข้ามมีต้นมะพร้าวใหญ่ขึ้นโดดเด่น...มองผ่านไปเห็นทิวไม้ไกลลิบทางเบื้องหลัง เมฆหนาทึบเต็มท้องฟ้า บรรยากาศดูเยือกเย็นน่าวังเวงใจชอบกล

ตาต้อมเงยหน้าขึ้นมองแม่ ผู้กำลังย่นคิ้วสงสัยว่าลูกชายชี้ให้ดูอะไรกันแน่?

"เขาถ่ายหนังกันเหรอฮะแม่?"

เสียงถามนั้นทำให้ผมขยี้ผมลูกชายอย่างเอ็นดู

"ถ่ายหนังอะไรกันลูก พ่อไม่เห็นมีอะไรเลยนี่นา"

ใต้ต้นมะพร้าวนั่นไงฮะ" ตาต้อมหันไปมองพลางชี้มือเล็กๆ ให้เราดู "เหมือนในหนังเรื่องบางระจันเลยฮะ...เหมือนหนังเรื่องพระนเรศวรด้วย! มีทหารไทยกับทหารพม่ายืนถือดาบกันทุกคนเลย"

"อะไรนะ..." แม่ตาต้อมคราง ผมเองก็อ้าปากค้างเมื่อแน่ใจว่าที่นั่นมีแต่ต้นมะพร้าวยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางป่าละเมาะเปล่าเปลี่ยว...ไม่มีภาพของทหารไทยกับทหารพม่าอย่างที่ลูกชายเห็น...ตาต้อมยกมือขึ้นโบกไปมาพลางหัวเราะชอบอกชอบใจ

"นั่นไงฮะ พ่อ ทหารพวกนั้นเขาหันมาโบกมือให้เราทุกคนเลย!"

ลมเย็นๆ พัดซ่ามาจากเหนือบึงเปลี่ยว ผมเห็นภรรยาหน้าซีดเผือด ตัวเองก็ขนลุกซู่ รู้สึกอึดอัดคล้ายจะหายใจไม่ออก รีบจูงมือลูกเมียเดินผ่านร้านค้าที่มีผู้คนหนาตา...แว่วเสียงตาต้อมร้องบอกพลางโบกมือให้ความว่างเปล่านั้นเป็นครั้งสุดท้าย

"ไปก่อนนะ หนังฉายเมื่อไหร่จะไปดู"

ผมเชื่อว่าตาต้อมมองเห็นภาพนั้นจริงๆ โดยที่พ่อแม่มองไม่เห็นอะไรเลย แต่นึกถึงผู้ไม่มีร่างกายกำลังจ้องมองมาที่เราแล้ว...ขนหัวลุกครับ!


 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #241 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:02:44 »

ล่าวิญญาณ
 
"ทิพย์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจใต้น้ำ

สมัยเด็กวัยรุ่นดิฉันเคยอยู่บ้านสวนริมคลองบางซื่อ ฝั่งตรงข้ามกับกรมปตอ. หรือปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานนั่นแหละค่ะ เคยพบกับเรื่องที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต...แม้จะผ่านมาสามสิบกว่าปีแล้วแต่ก็ยังจดจำได้ไม่รู้ลืมเลือน

ริมฝั่งคลองที่ไม่ไกลจากแม่น้ำเจ้าพระยา ต้นไม้ใหญ่น้อยร่มรื่นเพราะด้านหลังเป็นสวนรกทึบที่ทะลุไปออกทางวัดประดู่ฯ ส่วนด้านหน้าจะมีเรือแพสัญจรไปมา ส่วนมากจะเป็นเรือขายอาหาร เช่น ก๋วยเตี๋ยว, กระเพาะปลา, หอยทอด รวมทั้งขนมหวานพวกปลากริมไข่เต่าและขนมถาดต่างๆ

ที่ติดหูติดตามากก็คือเรือเอี้ยมจุ๊นที่บรรทุกส่าเหล้าเข้ามาในคลอง... เลยไปทางสะพานสูงแล้วปล่อยทิ้งน้ำ เหม็นฉุนๆ แสบจมูกไปนานเชียวค่ะ

หน้าแล้งน้ำแทบจะแห้งขอด ขนาดลงไปสุ่มปลา ช้อนปลา และฟันปลากันได้สบาย ส่วนหน้าน้ำเป็นตอนที่น่าสนุกมากๆ เพราะน้ำเหนือจะไหลบ่าขึ้นมาถึงศาลาท่าน้ำ บางปีถึงกับท่วมถึงใต้ถุนเรือน

กอผักตบชวาที่เราเรียกว่ากอสวะ จะลอยฟ่องขึ้นลงแทบไม่ขาดสาย มีงูเงี้ยวเขี้ยวขอเกาะมาด้วยเกือบทุกกอ ตอนเย็นๆ พวกทหารฝั่งตรงข้ามลงไปดำน้ำงมกุ้งตัวโตๆ ใกล้โคนเสาติดมือขึ้นมาอย่างง่ายดาย

เหตุการณ์ขนหัวลุกเกิดขึ้นตอนหน้าน้ำนั่นเอง!

ดิฉันมีเพื่อนสาวรุ่นเดียวกัน 2-3 คน ท่าน้ำไม่ไกลกันนัก ตอนเย็นๆ เราก็เดินไปหากันบ้างแล้วหลบผู้ใหญ่กระโดดน้ำเล่น แต่ส่วนมากมักจะลงท่าใครท่ามัน แล้วว่ายน้ำไปหากัน...เล่นไล่จับบ้าง หมาเน่าลอยน้ำบ้าง บางวันสนุกมากจนส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดอย่างลืมตัว ไม่ช้าก็มีผู้ใหญ่ออกมาตะโกนให้ขึ้นจากน้ำ

เพื่อนที่อยู่ใกล้กันมากชื่อเดือน แม่ชื่อป้าดาวเป็นม่ายสามีตายเพราะพิษสุราเมื่อหลายปีก่อน...ป้าดาวค่อนข้างเข้มงวดกับลูกสาว แต่เดือนก็มักหาโอกาสหลบแม่มาเล่นกับดิฉันที่บ้านเสมอๆ โดยเฉพาะพนักท่าน้ำใต้ซุ้มเฟื่องฟ้าจะเป็นที่โปรดของเรามากที่สุด

วันหนึ่งก็เกิดเรื่องตื่นเต้น เมื่อมีเสียงโจษจันกันว่าพบศพผู้หญิงลอยมากับกอสวะจากสะพานสูง ชาวบ้านแห่กันมาดูจนถึงวัดแก้วฟ้าฯ จึงนำศพขึ้นมาได้!

ตอนแรกๆ พวกเราก็นึกสยองเหมือนกัน แต่เวลาผ่านไปไม่กี่วันก็ลืม...จนกระทั่งเย็นหนึ่งดิฉันก็เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าอย่างจัง

วันนั้น พวกเราเล่นน้ำกันค่อนข้างนาน ตั้งแต่เย็นจนถึงใกล้ค่ำ...มีคราบดำๆ ติดอยู่ที่ติ่งหู ต่างคนต่างมองแล้วก็หัวเราะให้กัน เดือนบอกว่าเล่นน้ำจนชักหนาวแล้ว กลัวแม่โผล่มาด่าอีกด้วยเลยว่ายน้ำจากท่าดิฉันเลาะฝั่งไปยังท่าน้ำบ้านของเธอ

อย่าว่าแต่เดือนเลยค่ะ ดิฉันเองก็รู้สึกหนาวยะเยือกเหมือนกัน เลยขึ้นบันไดมาฟอกสบู่ตามหน้าตาและเนื้อตัว ก่อนจะลงไปทำความสะอาดเป็นครั้งสุดท้าย...เพียงแต่ก้าวพ้นน้ำขึ้นมาถึงสะเอวก็ต้องชะงักงัน...

อะไรบางอย่างจับขาข้างหนึ่งเอาไว้แน่น! ดิฉันตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป ตกตะลึงจนแทบลืมหายใจ ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกทั้งตกใจ ขยะแขยงและหวาดกลัวสุดขีด

คุณพระช่วย! สิ่งนั้นคล้ายกับมือเย็นเฉียบที่กำข้อเท้าเอาไว้ และฉุดเต็มแรงราวกับจะดึงออกไปสู่กลางคลอง พร้อมๆ กับกระชากจนเท้าหลุดจากขั้นบันได เสียหลักจมดิ่งลงไปใต้น้ำ อารามตกใจทำให้ใช้เท้าที่เป็นอิสระถีบน้ำหรืออะไรที่ฉุดขาอยู่...ทะลึ่งพรวดขึ้นมาเหนือน้ำจนได้

"ช่วยด้วย! ช่วยด้วย..." เสียงมีเท่าไหร่ตะเบ็งออกมาหมด แม้ว่าจะสำลักน้ำสลับไปจนเสียงขาดเป็นห่วงๆ ทั้งดิ้นรนและตะเกียกตะกาย สองมือยึดขั้นบันไดเป็นที่พึ่ง สองเท้าก็ทั้งสะบัดทั้งถีบ น้ำตาไหลพรากอาบหน้า หัวใจเต้นโครมครามเหมือนจะพังออกมานอกอก

พ่อแม่วิ่งเข้ามาเรียกชื่อ ดิฉันก็ได้แต่ร้องช่วยด้วยๆ พลางต่อสู้ดิ้นรนกับมือนรกจกเปรตจนหลุดออกไป...ตะกายขึ้นบันไดโดยไม่แยแสกับผ้าผ่อนหลุดลุ่ย ร้องไห้โฮโผเข้ากอดแม่ด้วยความหวาดกลัวแทบจะสิ้นใจ!

เดือนรู้ข่าวก็วิ่งมาหาหน้าตาตื่น...คราวนี้ก็เล่ากันไปปากต่อปากเหมือนไฟลามทุ่ง! ชาวบ้านหาว่าดิฉันปั้นเรื่องขึ้นมาเองบ้าง หรือไม่ก็โดนเชือกโดนสาหร่ายบ้าง...ส่วนหนึ่งสันนิษฐานว่าเป็นงูที่ติดมากับกอสวะเลื้อยพันขา แต่อารามตกใจก็คิดไปเองว่าเป็นมือผี...

ดิฉันขวัญหนีจนเป็นไข้ไปหลายวัน ครั้นค่อยยังชั่วก็ได้ข่าวร้าย.. .เดือนจมน้ำตายโดยไม่มีใครรู้สาเหตุ ช่วยกันงมหาอยู่นานจนพบศพขัดอยู่ที่บันไดขั้นล่างสุดนั่นเอง...ไม่ต้องสงสัยหรอกค่ะว่าปีศาจใต้น้ำมันมาล่าวิญญาณไปอยู่ด้วยจนได้

ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็เลิกลงไปเล่นน้ำหรือแม้แต่อาบน้ำคลอง...ตักมาใส่โอ่งอาบบนบกปลอดภัยกว่าค่ะ!

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #242 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:08:28 »

หอพักสยองขวัญ

หนูเป็นคนเมืองชลบุรีค่ะ กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 แม่ไปทำงานเป็นแม่ครัวโรงแรมสัตหีบ ต้องเข้าทำงานแต่เช้า กว่าจะเสร็จภาระหน้าที่บางส่วนเข้าสองยามกว่าๆ ฉะนั้นแม่จึงเช่าห้องพักขอหอที่อยู่ใกล้ๆที่ทำงานนั่นเอง

เวลาวันหยุดศุกร์-เสาร์หรือปิดเทอม หนูก็จะไปอยู่กับแม่เพราะรักและคิดถึงมากๆเป็นห่วงด้วยค่ะ หอพักที่แม่อยู่ดูกว้างขวาง สะอาดสะอ้านและน่าอยู่ไม่แพ้รีสอร์ต มันเป็นตึก 3 ชั้นมีดานฟ้า มีระเบียงด้านหน้าเป็นทางเดินตลอดอาคาร ทุกๆห้องจะเรียงรายกันไป เปิดหน้าต่างด้านหน้ากับด้านหลังให้ลมพัดได้ตลอด ไม่อึกอัด หลังห้องมีราวตากผ้าด้วย

ห้องทั้งหมดมี 30 ห้อง คนที่มาเช่ามีทั้งฝรั่ง ไทย ญี่ปุ่น ผู้หญิง ผู้ชาย และเกย์ แม่อยู่ชั้นสาม ไม่มีลิฟต์เราขึ้น-ลงบันไดได้สบายมาก ได้ออกกำลังดีค่ะ ถัดจากแม่ไปสี่ห้อง บนชั้นสามนี้มีเกย์มาเช่าอยู่ ชื่อพี่หมู เขาสนิทสนมกับพวกเราพอสมควร พี่หมูเป็นเกย์ที่ดูมีมาดแมน ทำงานธนาคาร ใส่เชิ้ต ผูกไท ร่างสูงใหญ่ ท้วมนิดๆ หน้าเหมือนลูกครึ่งฝรั่ง ตาโต จมูกโด่ง ผมหยักศก จัดว่าหล่อเอาการ แต่ถ้ามองนานๆ เขาเป็นคนหน้าหวาน ปากหวาน อารมณืขัน น่ารักน่าคบมากเชียวค่ะ

แม่บอกว่าเสียอย่างเดียวที่พี่หมูเป็นนักเที่ยวกลางคืน และมักมีผู้ชายติดไม้ติดมือมาค้างด้วย แม่เคยเตือนให้ระวังพวกไม่มีหัวนอนปลายเท้าไว้หน่อย ไม่ใช่เห็นหน้าตาดีๆ คุยสนุกก็ถูกใจไว้ใจ พามาห้อง มันอันตรายรู้ไหม? พี่หมูฟังยิ้มๆเพราะรู้ว่าแม่หวังดี แต่เขาไม่เชื่อหรอกค่ะ กระทั่งเกิดเรื่องร้ายกาจขึ้นมาจนได้ พี่หมูหานหน้าไปสามสี่วัน ครั้งสุดท้าย แม่เห็นเค้ากลับจากที่ทำงานราวตีหนึ่ง พี่หมูพาผู้ชายหน้าตา ตี๋ๆ ผอมๆ หน้าเสี้ยมมาด้วย แม่ยังมองอย่างเป็นห่วง แต่ต่างคยต่างเข้าห้องของตัวไป

สี่วันต่อมา ถึงไม่เห็นหน้ากันก็ไม่นึกอะไร เพราะคิดว่าพี่หมูไป-กลับไม่ตรงกับเวลาของแม่ ซึ่งก็เป็นปกตินะค่ะ แต่คนทั้งหอได้กลิ่นเหมือนปลาเค็มเน่าโชยออกมา เมื่อช่วยกันค้นหาก็มาเจอว่า ต้นตออยู่ที่ห้องพี่หมูนี่เอง พองัดเข้าไปนะค่ะปรากฏว่าเห็นภาพสยดสยองมากเลย แม่ไม่เห็นหรอกค่ะเพราะไปทำงาน แต่เพื่อนชาวหอเล่าว่าพี่หมูถูกแทงจนพรุน ขึ้นอืดตัวพอง ตาถลนเหมือนลูกปิงปองเละๆ ลิ้นจุกปาก น้ำเลือดกลายเป็นน้ำเน่าสีดำๆ ปนกับน้ำเหลืองออกมาเต็มห้อง ที่นอนงี้เปียกชุ่มและกลายเป็นสีดำ กลิ่นเหม็นรายกาจที่สุด

วันรุ่งขึ้น ผู้เช่ากว่าครึ่งบอกอำลาเพราะกลัวผีค่ะ! ชั้นสามแทบไม่มีคนอยู่ ห้องสิบห้องเปิดแน่บไปซะหก เหลือแม่กับฝรั่งและครูสอนเต้นรำ รวมสามห้องเท่านั้นเอง หนูกลัวบอกให้แม่ย้าย แม้ก็ทนอยู่เกือบเดือนจึงย้ายมาอยู่ห้องชั้นล่างสุด หนูถามแม่ว่าเจอผีไหม? แม่บอกว่ามีอะไรแปลกๆเหมือนกัน เช่น เสียงคนเดิน เสียงเปิดปิดประตูเหมือนพี่หมูยังอยู่ที่นี่ มีคนบอกว่าเห็นเขายืนเกาะระเบียง แต่แม่ไม่ค่อยกลัว..ความเวทนามีมากกว่าค่ะ

คนตายที่น้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้มท่วมห้องนี่ทำความสะอากยากมากเลย แม่เล่าว่าเขาขนพรม ที่นอนและทุกอย่างออกไป เหม็นมากๆ ส่วนคราบเลือดกับน้ำเหลืองบนพื้นห้อง เขาต้องเอาสแลงมาแซะ มันหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ กรอบๆ บางๆ น่ากลัวจัง แต่น้ำเหลืองที่ซึมลงไปในเนื้อปูนใต้พรม เปิดเครื่องปรับอากาศมีแต่กลิ่นเน่ากระจายคลุงไปหมด ยิ่งเจ้าของปิดห้องยิ่งเหม็น พอเปิดก็เหม็นอีก ไม่รู้จะทำยังไงนะคะ พวกญาติๆมาขนของพี่หมู ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่กลิ่นศพ ทั้งน่ากลัว น่าขยะแขยง ข้อสำคัญคือน่าขนหัวลุก คนที่น่าสงสารที่สุดคือเจ้าของหอพัก เป็นใครก็แทบร้องไห้ทั้งนั้นแหละ

ทุกวันนี้ เวลาหยุดเรียนสุดสัปดาห์หนูยังไปอยู่กับแม่ บอกตรงๆว่าหนูกลัวมากค่ะ กลัวที่จะเห็นพี่หมูเดินผ่านไปขึ้นบันได กลัวเงยหน้าไปพี่หมูเกาะระเบียง หนูไม่กล้านั่งเล่นนอนเล่นดูทีวีรอแม่อยู่คนเดียวในห้องหรอกค่ะ ติดแม่ไปทำงานไป-กลับด้วย ถ้าง่วงๆมากต้องนอนรอ หนูอยากให้แม่ย้ายห้องพักไปอยู่ที่อื่นจังเลย แต่แม่บอกว่าสงสารเจ้าของหอ ที่สำคัญแม่สงสารพี่หมูอยู่เสมอ แปลกนะค่ะ ที่คนอื่นๆเขายังได้กลิ่นเน่านั้นอยู่ บางคนถึงกับย้ายหนีเพราะทนไม่ได้ คนที่มาเช่าห้องอยู่ใหม่ๆยังไม่เคยรู้เรื่องน่ากลัวมาก่อน ก็เคยบ่นกับใครๆเหมือนว่ามีกลิ่นเหม็นแปลกๆ น่าขนลุก คนที่อยู่มาก่อนก็อดเล่าไม่ได้ว่าเคยมีเรื่องสยองขวัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง

น่าแปลกอยู่อย่าง ตรงที่ใครๆก็ได้กลิ่นน้ำเลือดน้ำเหลืองน่ากลัวกันทุกคน แต่หนูกับแม่ไม่เคยได้กลิ่นนั้นมารบกวนเลยค่ะ เพราะพี่หมูรักเราหรือเปล่าค่ะเนี่ย?สี่วันต่อมา ถึงไม่เห็นหน้ากันก็ไม่นึกอะไร

บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #243 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:12:59 »

เลียบชายหาดที่สัตหีบ/วินิจ รังผึ้ง
Source - ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

          ตลอดชายหาดอันกว้างใหญ่ไพศาลของอ่าวสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในความดูแลของกองทัพเรือ มีหาดทรายที่สวยงามเป็นธรรมชาติอยู่หลายหาดด้วยกัน แต่คนทั่วไปส่วนใหญ่จะไม่รู้จัก ไม่ค่อยคุ้นเคย ทั้งๆที่พื้นที่ดังกล่าว ทางหน่วยงานต่างๆของกองทัพเรือ เขาเปิดบริการให้ประชาชนเข้าไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจได้ ซึ่งมีชายหาดที่สวยงามหลายหาดด้วยกันเช่นหาดดงตาล หาดเตยงาม หาดนางรำและหาดทรายแก้ว เป็นต้น ชายหาดต่างๆล้วนเงียบสงบ มีความเป็นธรรมชาติ สะอาดและมีความปลอดภัย เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเขตทหาร แต่ละหาดมีร้านอาหาร ที่พัก ราคาไม่แพงไว้บริการ จึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งกับการท่องเที่ยวแบบครอบครัว เพราะสะดวก ปลอดภัย ค่าใช้จ่ายไม่สูง และอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ คอลัมน์ถนนคนเดินทางฉบับนี้ผมจึงขอพาท่านผู้อ่านเข้าไปท่องเที่ยวในเขตทหารเรือที่สัตหีบกันครับ
          ชายหาดแห่งแรกที่อยากจะแนะนำก็คือหาดดงตาล ซึ่งการเดินทางไปก็ไม่ยากหากขับรถจากพัทยา ตรงมาตามถนนสุขุมวิท ผ่านนาจอมเทียน บางเสร่ มาจนถึงทางเลี้ยวขวาเข้าตลาดสัตหีบ ตรงเข้ามาถึงตลาดสัตหีบ แวะไหว้พระกันที่วัดหลวงพ่ออี๋ วัดดังของสัตหีบที่ผู้คนนิยมมากราบไหว้บนบานขอให้มีบุตรซึ่งหลายคนบอกว่าศักดิ์สิทธิ์นัก จากตลาดสัตหีบเลี้ยวซ้ายตามถนนเลียบชายทะเลมาอีกราว 1 กิโลเมตรก็จะถึงหาดดงตาล แจ้งกับเจ้าหน้าที่ยามรักษาการณ์ที่ป้อมยามว่าจะเข้าไปเที่ยวหาดดงตาล เจ้าหน้าที่จะให้แลกบัตรสำหรับนำรถผ่านเข้าไป หาดดงตาลนี้เป็นศูนย์รวมของกีฬาทางน้ำเช่นเรือคายัก เรือใบ วินด์เซิร์ฟ ซึ่งมีทั้งบริการให้เช่าอุปกรณ์สำหรับนักเล่น และบริการฝึกสอน ชายหาดมีความยาวราว 1 กิโลเมตรเศษ มีทิวสนร่มรื่น เหมาะสำหรับครอบครัวมาปูเสื่อนำอาหารการกินมาปิกนิค พักผ่อน เล่นน้ำ เล่นกีฬาทางน้ำ หาดดงตาลแห่งนี้ยังมีบริการให้เด็กๆได้มีกิจกรรมระบายสี โดยมีภาพการ์ตูนลายเส้นบนเฟรมผ้าใบ พร้อมสีพู่กันให้บริการ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้ลงสีกันเป็นที่เพลิดเพลินและสามารถนำกลับบ้านเป็นที่ระลึก ค่าบริการเพียงภาพละ 20 บาทเท่านั้นเอง ส่วนผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุเขาก็มีบริการนวดตัว นวดฝ่าเท้า ในราคาที่ย่อมเยา บริเวณหาดดงตาลนี้มีที่พักของอาคารรับรองสวัสดิการสัตหีบ และอาคารศูนย์สมุทรกีฬา ให้บริการห้องพักมาตรฐานโรงแรมในราคาประหยัดอีกด้วย ติดต่อสอบถามที่พักโทรศัพท์ 0 3843 8593 หรือ 0 2466 1180 ต่อ 75090 หรือ 75091
          หากขับรถเลยหาดดงตาลมาจนสุดทาง แลกบัตรเข้าหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ซึ่งจะเป็นเส้นทางต่อไปเยี่ยมชมศูนย์อนุรักษ์เต่าทะเล แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าจะเข้าไปชมศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล เจ้าหน้าที่จะให้แลกบัตรผ่านอีกใบติดไว้หน้ารถ พอแลกบัตร ขับรถผ่านป้อมเข้ามาราว 100 เมตรจะมีทางแยกขวามือเข้าไปยังสโมสรเทียนทะเล ซึ่งมีชายหาดเทียนทะเล หาดทรายเล็กๆเงียบสงบสามารถเล่นน้ำและพักผ่อนใต้ทิวสนอันร่มรื่น ยามเย็นมีจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม หาดเทียนทะเลแห่งนี้มีบ้านพักและร้านอาหารทะเลสดๆไว้บริการ จากหาดเทียนทะเลขับรถตรงไปจะมีป้ายบอกทางไปยังศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลเป็นระยะๆ ศูนย์แห่งนี้เป็นสถานที่ๆ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรจะพลาดที่จะพาเด็กๆไปเที่ยวชม เพราะมีบ่ออนุบาลเต่าทะเลมากมายหลายขนาดตั้งแต่ตัวเล็กๆน่ารักที่เพิ่งฟักออกเป็นตัวไปจนถึงตัวขนาดยักษ์เลยทีเดียว
          ในอดีตการดำเนินงานด้านอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลของกองทัพเรือนั้นได้เริ่มงานมาตั้งแต่ปี 2493 โดยได้ดำเนินงานเฉพาะเรื่องการเพาะไข่เต่ารวมถึงการอนุบาลลูกเต่าทะเลเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติที่บริเวณ เกาะคราม อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ต่อมา กองทัพเรือได้ยกเลิกคณะอนุกรรมการอนุรักษ์ชุดต่าง ๆ แล้วนำงานด้านการอนุรักษ์ทั้งหมดที่กองทัพเรือเกี่ยวข้องไว้เป็นสายงานปรกติและตั้งเป็นหน่วยงานอำนวยการในด้านการอนุรักษ์เต่าทะเลขึ้นโดยตรง มีหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นผู้ดำเนินการปฏิบัติตามแผนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมทางทะเลภายใต้นโยบายการรักษาความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล
          วัตถุประสงค์ของศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล เพื่อให้เป็นแหล่งอนุบาลลูกเต่าทะเลที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและสามารถดำเนินการปล่อยเต่าทะเลที่ได้ทำการอนุบาลให้กลับคืนสู่ท้องทะเล รวมทั้งเป็นแหล่งศึกษาวิจัยข้อมูลในการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลที่ดีต่อไปให้เป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจและกระตุ้นให้มีการส่งเสริมการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ซึ่งจะเป็นผลในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ต่อเนื่องกันในด้านต่าง ๆ ตามมา นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชมสามารถเข้าชมนิทรรศการในอาคารรูปเต่าทะเล ซึ่งมีการจัดแสดงการขึ้นวางไข่ของเต่าทะเล จากนั้นจึงเข้าชมเต่าทะเลจริงๆในบ่ออนุบาล ซึ่งมีเต่าทะเลหลายพันธุ์หลายขนาดให้ชมกัน โดยเข้าชมฟรี แต่หากใคร่จะบริจาคเงินเพื่อร่วมโครงการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลก็สามารถหยอดเงินได้ที่ตู้รับบริจาค หรือร่วมกันซื้อของที่ระลึกเช่นตุ๊กตารูปเต่าทะเล พวงกุญแจรูปเต่าทะเลที่มีหลายแบบให้เลือก ศูนย์อนุรักษ์พันธ์เต่าทะเล เปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 น.- 16.00 น.
          จากศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางต่อมาเที่ยวชมเรือหลวงจักรีนฤเบศร นับเป็นเรือหลวงขนาดใหญ่ที่ประชาชนคนไทยภาคภูมิใจ ภารกิจในยามสงบนั้นเรือลำนี้ทำหน้าที่คอยปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในท้องทะเลได้แก่เส้นทางคมนาคม และทรัพยากรธรรมชาติของชาติ และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเลสามารถค้นหาและใช้เป็นฐานปฏิบัติการลอยน้ำให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ได้ และยังสามารถใช้เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่คอยช่วยเหลือในกรณีการประสบภัยพิบัติทางทะเลได้อีกด้วย อีกทั้งสามารถอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ด้วยเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือ ส่วนในยามสงคราม เรือหลวงจักรีนฤเบศรก็จะมีหน้าที่ควบคุมและบัญชาการกองเรือรบในทะเล ใช้เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน และเฮลิคอปเตอร์ มีขีดความสามารถในการปราบปรามเรือดำน้ำและสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารอีกด้วย
          ลักษณะทั่วไปของเรือ มีความยาวตลอดลำ 182.6 เมตรหรือประมาณสนามฟุตบอล 2 สนามต่อกัน กินน้ำลึกที่สูงสุด 6.12 เมตร ระวางขับน้ำสูงสุด 11,485.5 เมตริกตัน เครื่องยนต์ดีเซล MTU จำนวน 2 เครื่อง ๆ ละ 5,516 แรงม้า เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบ 2 เครื่อง ๆ ละ 22,117 แรงม้า ความเร็วสูงสุดที่ 48 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ความเร็วเดินทาง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อากาศยานประจำเรืออันได้แก่เครื่องบิน ขึ้น ? ลง แนวดิ่ง แบบ AV-8S (SEA HARRIER) จำนวน 9 เครื่อง เฮลิคอปเตอร์แบบ S-70B-7 (SEA HAWK) จำนวน 6 เครื่อง กำลังพลประจำเรือ 601 นาย
          การเยี่ยมชมเรือหลวงจักรีนฤเบศร สามารถขึ้นเยี่ยมชมฟรี ติดต่อสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ ได้ที่ เบอร์โทร ๐ ๒๔๖๖ ๑๑๘๐ ต่อ ๐๖๕-๑๓๗๑ เพราะเรืออาจมีภารกิจในพื้นที่ต่างๆ หรือกำลังอยู่ในช่วงการออกฝึกของกองเรือ ชมเรือหลวงจักรีนฤเบศรกันแล้วหากยังมีเวลาเหลือ ก็อย่าลืมแวะเข้าไปเที่ยวชมหาดนางรำ ซึ่งเป็นหาดทรายที่อยู่ติดกับทางเข้าท่าเรือน้ำลึกสัตหีบ จุดที่นักท่องเที่ยวจะเข้าไปเยี่ยมชมเรือหลวงจักรีนฤเบศรนั่นเอง ซึ่งเป็นหาดที่มีทิวสนร่มรื่นตลอดแนวชายหาด มีร้านอาหารของสโมสรให้บริการ นอกจากนี้บริเวณที่จอดรถยังมีร้านอาหารเล็ก ๆ เรียงกันเป็นสัดส่วน มีอาหารนา ๆ ชนิดให้เลือกสรรกันอย่างหลากหลายอีกด้วย ผู้ที่ต้องการที่พักค้างคืน ก็มีบริการเต็นท์ให้เช่าในราคาย่อมเยาอีกด้วย
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #244 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:16:11 »

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่เพิ่งจะผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ นี่เอง
อยากจะเล่าให้เป็นอุทาหรณ์ เตือนเพื่อน ๆ ที่ขับรถเอง
โดยใช้เส้นทาง เขาไม้แก้ว ทะลุผ่านสัตหีบ (สามารถแยกไประยองได้)
เส้นทางนี้เกือบทำให้ปูและพี่อุ๊ด เป็นอะไรที่อันตรายได้มากมายเลยทีเดียว
เรื่องมีอยู่ว่า...................
เมื่อวันเสาร์ที่ 11 พอเลิกงาน 5 โมงเย็น ปูกับพี่อุ๊ด
ก็รีบขับรถไปหาพ่อกับแม่พี่อุ๊ด ที่ สัตหีบ (ชลบุรี) ทันที
เราสองคนขับไปเส้นมอเตอร์เวย์ จนกระทั่งเกือบถึง
ทางแยกที่ป้ายจะบอกว่า ตรงไปพัทยา เลี้ยวซ้ายไประยอง (เขาไม้แก้ว)
ตอนนั้นเห็นว่าจะ 4 ทุ่มแล้ว ถ้าเราไปเส้นพัทยา ก็กลัวว่ารถจะติด และนานถึง
จึงเลี่ยงไปเส้นระยอง (เขาไม้แก้ว) ซึ่งสามารถทะลุไปถึง กม. 10 ( รพ.สิริกิต์ )
เลี้ยวขวาอีกนิด ก็ถึงบ้านพ่อกับแม่...........
ขับมาเรื่อย ๆ (ถ้าเพื่อน ๆ เช่น จัน แม่แหม่ม เปิ้ล แม่หน่อย เพื่อน ๆ ที่อยู่ระยอง)
จะรู้ว่าเส้นทางนี้เปลี่ยวมาก และรถยนต์วิ่งสวนทางกัน.............
ขณะนั้นเกือบ 4 ทุ่ม รถเริ่มไม่ค่อยมีวิ่ง นาน ๆ จะขับสวนทางกันสักคัน
ปูกับพี่อุ๊ดขับมาเกือบจะถึงทางเข้าด้านหลังวัดชีจรรย์
ระหว่างทางปูสังเกตุเห็นขอนไม้ วางพาดไหล่ทางเยอะมากกกกกกกก
จนเอ่ยปากคุยกับพี่อุ๊ดว่า ทำไมขอนไม้เยอะจังเน๊อะ
พี่อุ๊ดก็บอกว่าสงสัยฝนตกลมแรง พากิ่งไม้หักมั้ง
แต่ปูดูแล้ว มันไม่ใช่กิ่งไม้หัก แต่เป็นขอนไม้ขนาดย่อม
ที่วางพาดไหล่ทาง ประมาณว่าจะให้รถที่วิ่งมาหักหลบอย่างนั้นเลย
แล้ว.............ก็มองเห็นเห็นรถคันหนึ่ง..............
กำลังจะวิ่งสวนทางรถปูไป ..................แต่แล้วจู่ ๆ ..................
รถยนต์ ( โฟวิวสีน้ำเงิน ) ก็ขับปาดหน้า ทำให้รถปูต้องเหยียบเบรคกระทันหัน
(ถ้าไม่เบรคอย่างเร็ว ต้องชนกันแน่ ๆ ) ตอนนั้นตกใจมาก ....หัวทิ่มเลยอ่ะ.....
รถโฟวิว ห่างกับรถปูประมาณ 6-7 ก้าว
คิดกันว่า สงสัยรถคันนั้นจะเลี้ยวเข้าซอย แต่เอ๊ะ มันไม่มีซอย..............
คิดกันอีกว่า รถคันนั้นจะเลี้ยวรถกลับ แต่เอ๊ะ ทำไมมันจอดนานจัง..............
เวลาผ่านไปประมาณ 30 วินาที ( มันนานนะ ถ้าเขาจะเลี้ยวรถกลับ )
แต่รถคันนั้นก็ไม่ยอมทำอะไรสักที นิ่งอยู่อย่างนั้น...................
สักพัก รถคันนั้นดับไฟหน้ารถ.................
ปูกับพี่อุ๊ด ก็รู้เลยว่ามีอะไรไม่ดีแน่ ๆ รีบเช็ค ว่ารถล็อครึยัง
เปิดไฟสูงใส่มัน แล้วพี่อุ๊ดก็ รีบเอามีดข้างเบาะ มาให้ปูถือไว้............ส่วนพี่อุ๊ดเอง
รีบหันไปคว้าปืนหลังเบาะ ( เวลาต้องการใช้มัน ทำไมมันหาไม่เจอสักที ถึงหาเจอ ก็ยังไม่ได้ใส่ลูก....ฮ่วย... )
ตอนนั้น เวลานั้น เชื่อมั้ยเพื่อน ๆ ไม่มีรถผ่านมาสักคันเลย...........ปูกลัวมากกกกกกก
มองดูพี่อุ๊ดเอง ก็คงไม่ต่างจากปู........ปูมองที่รถมันตลอด แต่เหมือนกับว่า
มันดูเชิงเรา คือมันเองก็ยังไม่ลงจากรถ คือต่างคนต่างจอดอย่างนั้น
รถปูจะถอยหลังก็ไม่ได้ เพราะมีขอนไม้พาดอยู่เยอะมากกกก จะเดินหน้าก็ไม่ได้
เพราะคงไม่พ้นรถมัน กลัวว่ามันจะถอยชนด้วย...........
มือปูก็คลำหาโทรศัพท์ หาไม่เจอ.............กดไม่ถูก.........
สักพัก ................. มันเปิดประตูรถออกมา เป็นผู้ชาย 2 คน
แต่คนขับยังอยู่ในรถ................... ไม่ปิดหน้า ไม่ใสหมวก
เป็นวัยกลางคน.............
หัวใจปูแทบอยู่ตาตุ่ม.........กลัวมากกกกกกกกกกกก รู้ว่าตัวเองเสียงสั่นนน
บอกพี่อุ๊ดว่า พี่อุ๊ดทำไงดี มันจะทำอะไร ปูกลัว............(สติไม่อยู่กับตัวแล้ว)
พี่อุ๊ดบอกปูว่าใจเย็น ๆ ปู ใจเย็น ๆ ให้ปูข้ามไปอยู่เบาะหลัง
แล้วถ้ามันทุกกระจกรถ ให้ปูเอามีดแทงมันเลยนะ
( ถ้าเป็นเพื่อน ๆ จะก้าวไปหลังรถกันมั้ยอ่ะ........แต่ปูไม่ไป ตอนนั้นคิดว่า อยู่ด้วยกัน เป็นอะไรก็เป็นด้วยกัน )
แล้วพี่อุ๊ดก็บีบแตรรถ ให้มันเสียงดัง บีบแบบต่อเนื่อง เท่าที่จะบีบได้ ให้เสียงดังเข้าไว้
ส่วนปูเอง ก็จับมีดแน่น หัวสมองคิดไรไม่ออก รู้แค่ว่าปูจ้องมันอยู่ ( ทำได้แค่นั้น )
พอผู้ชายคนที่ 2 ลงจากรถ มันก็เดิมมาหาผู้ชายคนแรก แล้วก็เดินมาทางรถปู
มันเดินมาจวนจะถึงอยู่แล้ว พี่อุ๊ดก็บีบแตรเสียงดัง.................
.................. เหมือนเสด็จเตี่ย ( กรมหลวงชุมพร) ช่วยปูกับพี่อุ๊ดไว้ (หน้ารถห้อยเสด็จเตี่ย)
มีรถกำลังวิ่งมาจากด้านหน้า 1 คัน และรถวิ่งมาข้างหลัง 2 คัน
มันคงเห็นท่าไม่ดี ก็รีบวิ่งหันหลังกลับขึ้นรถมัน แล้วรีบเลี้ยวออกไปทันที
รถคันที่มาด้านหลัง 2 คัน เขามาด้วยกัน จอดรถแล้วลงมาถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า
เพราะเขาเห็นรถปูส่องไฟที่รถมัน นานแล้ว........... ( เขาบอกว่าเขาเป็นคนแถวนี้ )
และได้ยินเสียงแตรรถ เขาก็รีบออกมาดูกัน และคิดกันว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ
สักพักเสียงโทรศัพท์พี่อุ๊ดก็ดังขึ้น แม่พี่อุ๊ดโทรมา ถามว่าถึงไหนแล้ว รู้สึกเป็นห่วงยังไงก็ไม่รู้.......
คุยกับคนที่ขับรถมา 2 คัน เขาเป็นลุงกับหลานกัน บอกกับปูว่า แถวนี้ปล้นกันเยอะมาก
พอดีว่ามาเฝ้าไร่ แล้วได้ยินเสียงรถเบรค เห็นไฟส่องรถ พร้อมกับเสียงแตรรถ
ก็เลยรีบพาหลานออกมา..............ถึงตอนนี้ปูเพิ่งจะร้องไห้ออ ก........น้ำตาทะลักออกมาเลย
ทั้งดีใจ ทั้งตกใจ...........ขอบคุณ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ลุงกับหลาน มาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เพราะถ้าเขาไม่มา ไม่รู้ว่าปูกับพี่อุ๊ดจะเจออะไรกันบ้าง...........ไม่กล้าคิด.. ......กลัวมากกกกก
ปู พี่อุ๊ด ลุง หลาน เราคงเคยทำบุญร่วมกันมา ถึงได้ต้องช่วยเหลือกันและกัน
ส่วนมัน.... ปูกับพี่อุ๊ด คงเกือบเคยทำกรรม ร่วมกัน ............ตอนนี้ ขออโหสิกรรมให้....ไม่จองเวร.....
ขออย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย..............
.....................................
.....................................
เพื่อน ๆ ถ้าจำเป็นต้องไประยอง หรือสัตหีบ พยายามอย่าใช้เส้นทางนี้นะ
ให้ยอมเสียเวลาไปเส้นพัทยา เข้าสัตหีบ แล้วตรงไประยอง จะปลอดภัยกว่ามากเลย
ดีใจที่เราสองคนปลอดภัยกลับมา.............
ดีใจที่เราสองคนไม่เป็นอะไร............
ขอบคุณลุงกับหลาน......ขอบคุณมาก ๆ ๆ ......( ลืมถามชื่อซะอีก.......)
ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอบคุณเสด็จเตี่ย.......(เป็นที่พึ่งทางใจให้เราสองคน)
อโหสิให้ไอ้คนเลวนั่น...........( ชาติไหนอย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย )
............... และดีใจ........ที่ได้กลับมาเล่าเรื่องนี้ให้เพ ื่อน ๆ ฟัง................


:::: บางครั้งสิ่งที่ทำให้เราเสียใจมากที่สุดในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่เราสูญเสียหรือผิดหวัง แต่กลายเป็นความเสี่ยง ที่เราไม่กล้าเสี่ยง ถ้าคุณคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้คุณมีความสุขมากจงมุ่งไปหามัน เพราะในจังหวะของชีวิตคนเรา เรามักจะไม่ผ่านมาบนถนนสายเดิมนี้อีก
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #245 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:19:56 »

พระกินเณร...จากวัดในอำเภอวิเศษชัยชาญ


ประสงค์ ลี้สุวรรณ เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวัดในอำเภอวิเศษชัยชาญ

วันนี้ผมมีเรื่องสยองขวัญที่มีหลักฐานแน่นหนา ปรากฏชัดเจนมาเล่าสู่กันฟังครับ

ที่อำเภอวิเศษชัยชาญจะมีถนนสายสุพรรณบุรี - อ่างทอง ตัดผ่าน และตรงบริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน้อย จะมีถนนสายวิเศษฯ-ผักไห่ ตัดผ่านกันตรงสี่แยกไฟแดงนั้นเอง

ถ้าท่านมองไปทางโรงพยาบาลวิเศษชัยชาญ จะเห็นอุโบสถวัดสุนทราราม เด่นตระหง่านปะทะสายตาอยู่นั้น และถ้าท่านก้าวย่างเข้าไปในบริเวณวัด เดินผ่านอุโบสถหลังใหม่จะพบอุโบสถหลังเก่าที่มีรูปร่างแปลกประหลาดสุดๆ

จะแปลกอย่างไร โปรดพิจารณา...

ตัวพระอุโบสถเป็นรูปทรงโค้งสำเภา หน้าต่างโค้งมน หลังคาเป็นกระเบื้องกามู!

ที่แปลกกว่านั้นคือ หลังคาไม่มีช่อฟ้า ใบระกา แต่กลับมีรูปคนประนมมือ ส่วนพระประธานนั้นหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก

ใครๆ ที่พบเห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นเพราะฝีมือพม่าสร้าง และตรงนี้เองเป็นที่ก่อเหตุการณ์เขย่าขวัญชาวบ้านร้านช่องถึง 2 เหตุการณ์ด้วยกัน

กล่าวคือ ภายในมีพระทรมานกายรูปปั้นอยู่ บรรยากาศมืดสลัว ดูอึมครึม ทั้งน่าอึดอัดและน่าสะพรึงกล้ว น่าสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก เชื่อได้ว่า ถ้าท่านเดินเข้าไปคนเดียวแล้วเห็นเข้าจังๆ มีหวังต้องถอยหลังมาตั้งหลักใหม่เป็นแน่แท้ หลายๆ คนบอกว่าพอก้าวเข้าไปก็ขนลุกซู่ซ่าทันที

....และยิ่งเมื่อได้รับฟังเรื่องราว "พระกินเณร" มาก่อนด้วยแล้ว ท่านอาจจะต้องถอยหลังหลายก้าวทีเดียวเชียว!

มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาดังนี้...

เมื่อประมาณ 50 กว่าปีมาแล้ว มีสามเณรผู้หนึ่งชื่อ "เสมือน" ผู้มีอุปนิสัยซุกซนหาตัวจับยาก หลังจากฉันเพลแล้ว มีผู้พบเห็นว่า ได้แอบออกจากกุฏิเข้าไปในดงกระถินข้างวัดแต่ไม่มีใครทราบชัดเจนว่าเข้าไปทำ อะไรแน่

จนกระทั่งบ่ายก็แล้ว เย็นค่ำก็แล้ว ยังไม่กลับกุฏิเสียที ...พระภิกษุทุกรูปต่างใช้วิจารณญาณตัดสินว่า ถ้าโดยนิสัยของสามเณรเสมือนแล้ว น่ากลัวจะแอบสึก แล้วแล่นหนีไปไหนต่อไหนเป็นแน่นอน เพราะรูปการณ์มันเข้ากับอุปนิสัยมาก จึงได้พร้อมใจกับฟันธงเช่นนั้น

จากวันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวอีกเลยว่าสามเณรเสมือนหายสาบสูญไปไหนกันแน่?

ต่อมา ท่านสมภารให้พระภิกษุและลูกศิษย์วัด ไปช่วยกันถากถางกระถินและพงไม้ที่รกเรื้อต่างๆ ให้เตียน เพื่อสะดวกแก่นัยน์ตาญาติโยมที่จะไป-มา ผ่านแถวนั้น...และแล้วก็เกิดเอะอะโวยวายกันขึ้น

เรื่องของเรื่องก็เพราะลูกศิษย์วัดคนหนึ่ง ได้พบเศษจีวรฉีกขาดตกอยู่ในดงกระถินจึงเรียกเพื่อนๆ ดู พระเณรที่อยู่ใกล้ๆ ก็เลยมามุงดูพร้อมกัน...ทุกคนต่างหันเหตีความว่า คงจะเป็นจีวรของสามเณรเสมือนแน่นอน!

ต่างก็เอะอะระความว่า....แล้วร่างกายหายไปไหนเสียเล่า?

เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้มีการแยกย้ายกันตรวจตราบริเวณรอบๆ พื้นที่ เด็กวัดกลุ่มหนึ่งได้ชักชวนกันเข้าไปในโบสถ์ (หลังเก่า) และเปิดประตูหน้าต่างดูว่าจะมีร่องรอยของสามเณรเสมือนเข้ามาหรือหาไม่...

พระกลุ่มหนึ่งก็เดินตามเข้าไปสมทบด้วย!

เมื่อแสงสว่างสาดส่องเข้าไป มองเห็นสภาพภายในโบสถ์ได้ถนัด เด็กวัดกลุ่มนั้นก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดในบัดดล

นั่นคือ...มีรอยเลือดแห้งกรัง ติดอยู่กับพื้นบ้าง กับกองไม้ใกล้ๆ นั้นบ้าง...รอยเลือดหยดเป็นทาง ตรงดิ่งไปยังฐานพระในรูปทรงทรมานกายน่าสยอง

ครั้นเกาะกลุ่มกันเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่า...ที่ปากของพระทรมานกายมีเลือดสีแดงติดอยู่ เล่นเอาทั้งพระทั้งศิษย์วัดตกอกตกใจจนผงะหน้าไปตามๆ ต่างก็คิดเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า

"พระทรมานกายกินสามเณรเสมือนไปแล้ว!!"

จากปากสู่ปาก จากชุมชนสู่ชุมชน ข่าวลือแพร่หลาย...กระจายเป็นไฟลามทุ่ง ไม่ช้าก็มีผู้คนแห่แหนมาดูรอยเลือดที่ปากพระทรมานกาย แล้วก็เล่าลือกันตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน

เรื่องราวน่าสยองพลันกระหน่ำซ้ำเติม ทำให้ชาวบ้านล้วนหวาดกลัวจนขนหัวลุกไปตามๆ กัน

นั่นคือ...ไม่ทราบว่ามีมือดีที่ไหน หรือใครกันแน่ที่อุตริดอดเข้าไปในโบสถ์ คงจะมีเจตนาต้องการล้างอาถรรพณ์พระกินเณร จึงเอาตะปูตัวใหญ่ไปตอกปิดปากพระทรมานกาย...ปรากฏหลักฐานเห็นชัดมาจนทุก วันนี้!

ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครเฉลยได้ว่า สามเณรเสมือนหายไปไหน เพราะสาบสูญโดยไร้ร่องรอยราวกับจากโลกนี้ไปโดยสิ้นเชิง

...และก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า พระทรมานกายกินสามเณรจริงๆ แหละหรือว่าเป็นแต่เพียงคำร่ำลือเท่านั้นเอง...แม้ว่าจะเป็นคำร่ำลืออันน่า หวาดสยอง และชวนให้ขนหัวลุกก็ตามที!
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #246 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:29:48 »

ตำนาน"เรื่อง ผีโป่งค่าง"
 
เรื่องโป่งค่างชาวบ้านถือว่าเป็นผีประจำอยู่ในป่า โป่งค่างเกิดจากสัตว์ที่ถูกฆ่าตายกลายเป็นปีศาจมาหลอกหลอนบางที่ก็แปลงกายเป็นคนมาล่อให้นายพรานลงจากห้างจากนั้นก็ทำอันตรายนายพรานเสีย เรื่องของผีโป่งค่างบางครั้งก็เล่าว่าเป็นผีหรือเป็นสัตว์ที่หน้าตาคล้ายค่างและเมื่อพระยาราชเสนาเข้าป่าเมื่อเห็นค่างมากก็ถามถึงผีโป่งค่าง ก็ถูกผู้ใหญ่ห้ามไม่ให้พูดถึงทันทีเพราะถ้าไปถามเข้าอาจถูกมันดูดเลือดได้

แต่ครั้งนั้นไม่มีโอกาสได้เห็นผีโป่งค่าง และเมื่อเจ้าพระยาราชเสนาอายุ30 ปี ได้มีโอกาสไปพบโป่งค่างที่หนองหงส์ และที่หนองหงส์ไม่มีใครกล้าพักแรมเพราะเป็นแหล่งที่โป่งค่างมาลง

โป่งค่างมีลลักษระเหมือนลิง ร้องป๊อกเจี๊ยก ชอบอยู่ที่สูง มีอิทธิฤทธิ์ในการดูดเลือดคนเป็นๆและก็จะตายในทันทีและพอถึงหนองหงส์ ท่านก็สั่งให้ลูกน้องพักผ่อนตัวเองจะคอยเฝ้ายามเอง แล้วคืนนั้นยากดึกสงัดท่านก็ได้ยินเสียงร้อง ป๊อกเจี๊ยก ป๊อกเจี๊ยกมาใกล้ๆ บริเวณที่ลูกน้องนอนอยู่

ทันใดนั้นเสียงก็เงียบไปจากแสงไฟที่ก่อกองเอาไว้ แล้วมันก็ค่อยๆไต่ลงมาจากต้นไม้ตรงไปที่ปลายเท้าของลูกน้องที่นอนหลับอยู่พร้อมที่จะดูดเลือด เจ้าพระยาราชเสนาได้ยกปืนลั่ยนไกยิงไปที่ผีโป่งค่างทันที แล้วผีโป่งค่างก็ฟุบลงไปและเมื่อเดินไปใกล้ๆก็สามารถเห็นมันมีรูปร่างเหมือนค่างแต่รูปร่างมันใหญ่กว่าค่างธรรมดา หางสั้นเนื้อริมฝีปากข้างบนหด..น่ารัก..นจนเห็นเหงือก ชอบหากินตอนกลางคืนชอบดูดเลือด มักมาตัวเดียวไม่อยู่เป็นฝูง
 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #247 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:30:22 »

โค้งร้อยศพ
 
ถ้าจะว่าไปแล้วเพื่อนๆบางคนอาจเคยผ่านหรือโฉบไปแถวโค้งนี้มาแล้วก็ได้
มันอยู่ระหว่างเส้นทางที่จะเข้าตัวจังหวัดอุบลราชธานี ลักษณะของโค้งเป็นโค้งหักศอก มีราวเหล็กกั้นไปตามขอบถนนที่เป็นโค้ง ปลายสุดโค้งจะมีต้นจามจุรีใหญ่อายุหลายร้อยปีขึ้นสูงเด่น กิ่งก้านร่มครึ้มเต็มไปหมด และต้นจามจุรีนี่แหละที่หลายคันแหกโค้งพุ่งเข้ามาชนประจำ แทบจะทุกอาทิตย์ที่มีคนตายที่โค้งแห่งนี้ บางอาทิตย์ก็ 2 - 3 ครั้ง แต่ละครั้งก็มีคนตาย 2 - 3 คน ชาวบ้านแถวนั้นพากันร่ำลือว่าผีดุอย่าบอกใคร คนขับขี่รถทั่วไปเวลาขับผ่านโค้งนี้ มักจะบีบแตรเสียงดังลั่นไปตลอดโค้ง นัยว่าเป็นการขอผ่านทาง มีบ้านลุงคนหนึ่งบ้านของแกอยู่ติดกับโค้งนี้ แกบอกแกโดนผีโค้งนี้หลอกจนจะช็อคตายอยู่แล้ว

"คืนไหนถ้าเป็นคืนวันพระโค้งนี้มักจะเฮี้ยนจัด ตกดึกไม่รู้เสียงอะไรต่อมิอะไร มันดังมาจากโค้งให้ได้ยินตลอด
เดี๋ยวก็เป็นเสียงร้องไห้โหยหวนฟังแล้วเสียดเข้าไปถึงไขสันหลัง ไม่ใช่เสียงเดียวนะแต่เป็นหลายเสียง ช่วยกันประสานกันระงมเชียว บางทีนอนๆอยู่ก็ตกใจตื่น เพราะได้ยินเหมือนเสียงรถวิ่งมาแล้วชนเข้ากับอะไรบางอย่างเสียงดังโครมลั่น มันดังมาจากโค้งนี้นั่นแหละ พอฉันกับภรรยาโผล่ไปดูที่หน้าต่างมองไปที่โค้ง ก็ปรากฎว่า...ว่างเปล่า...ไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
รายล่าสุดนี่ขับรถกลับจากกินเลี้ยงงานแต่งงานของเพื่อน ขากลับจากงานก็ต้องผ่านโค้งนี้ ตัวเองก็กินเหล้าไปครึ่งแก้วเพราะไม่ชอบกินเท่าไหร่ ขับกลับมากับภรรยา 2 คน พอถึงช่วงโค้งนี้ ก็ลดความเร็วจนเหมือนเกือบจะคลาน แต่ก็ไม่ลืมบีบแตรเสียงดังสนั่นตามปกติ ต่างคนก็ต่างนั่งเงียบกริบไม่ได้คุยอะไร พอคลานใกล้จะพ้นโค้งแล้ว ล่ะ

ทันใดนั้น...
คนขับก็เห็นหมาดำตัวใหญ่มากตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากข้างทาง มายืนจังก้าขวางถนน ห่างจากหน้ารถไปไม่เท่าไหร่ สายตาของมันมองจ้องเขม็งมาที่คนขับอย่างจัง ด้วยความตกใจคนขับจึงหักพวงมาลัยเต็มแรง รถพุ่งหลบหมาดำ ดิ่งเข้าหาราวสะพานข้างทาง ครูดกับเหล็กราวสะพานไปไกลพอสมควร ภรรยากรี๊ดลั่นด้วยความตกใจ (ว๊าย!) ดีที่รถวิ่งมาช้ามากจึงหยุดได้ไม่ยาก " พี่เป็นอะไร...ทำไมจู่ๆหักรถเข้าข้างทางอย่างนี้ " คนขับสุดหล่อบอก " หักหลบหมาดำกลางถนน เธอไม่เห็นเหรอ " ภรรยาสั่นหน้าดิก " หมาดงหมาดำที่ไหนไม่เห็นมีเลย " " หรือว่า... " คงไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้วล่ะ คนขับรีบเข้าเกียร์เผ่นอย่างไว รถจะพังยังไงก็ช่างมันไม่ต้องลงไปดูกันแล้ว อยู่นานเดี๋ยวเจอตัวจริงเสียงจริงน่ะสิค่ะ นี่ขนาดบีบแตรขอทางแล้วนะเนี่ย!

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #248 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:31:23 »

กองปราบนิมนต์พระปัดรังควานวิญญาณผีสิงห้องขัง!
 



"ศุกร์ 13" กองปราบชวนขนหัวลุก ผู้การฯ สั่งนิมนต์พระฉันเพลหน้าห้องควบคุมตัวผู้ต้องหา พร้อมทำพิธีปัดรังควาน และสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณของผู้ต้องหารายหนึ่งที่เสียชีวิตจากการผูกคอตายในห้องขัง หลังผู้ต้องขังถูกผีเข้าสิง พูด "กูอยากกลับบ้าน อยากออกไป แต่กูออกไปไม่ได้ เพราะโดนอาญาแผ่นดินอยู่"



วันนี้ (13 ก.ค.) เวลา 10.30 น.ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองปราบปราม ว่า พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ รักษาการ ผบก.ป.ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ทำการนิมนต์พระครูโชติธรรมสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม เขตบางพลัด กทม.มาฉันเพลที่บริเวณหน้าห้องควบคุมตัวผู้ต้องหาของกองปราบปราม พร้อมกับทำพิธีปัดรังควานและสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณของผู้ต้องหารายหนึ่งที่เสียชีวิตจากการผูกคอตายในห้องขัง เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าเวรรักษาการอยู่ที่หน้าห้องขัง ร่วมทั้งกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวอยู่ด้วย

สำหรับพิธีดังกล่าวผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากตำรวจกองปราบปราม ว่า สืบเนื่องจากเมื่อคืนวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ได้รับรายงานจาก ด.ต.บุญเยี่ยม ลอยแก้ว และ ด.ต.คเชนทร์ งามสงวน สิบเวรที่เข้าเวรรักษาการหน้าห้องขัง ว่า เมื่อเวลาประมาณ 23.30 น.ได้ยินเสียงกลุ่มผู้ต้องหาร้องเอะอะโวยวาย จึงได้สังเกตไปที่กล้องทีวีวงจรปิด ที่จับภาพภายในห้องขัง และมองเห็นกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวในคดีต่างๆ ทั้งหมด 6 คน เป็นชาย 5 คน หญิงอีก 1 คน มีอาการตื่นตกใจ จึงรีบเข้าไปตรวจสอบและทราบจาก นายนันทวัฒน์ เพียเกตุ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาคดีปลอมแปลงบัตรเครดิต ที่ถูกขังอยู่ในห้องขังซอยห้องแรกพร้อมกับเพื่อนๆ ผู้ต้องหาชายทั้งหมด ว่า นายพิพัฒน์ แนบเนียน อายุ 34 ปี ที่ถูกจับกุมในคดีเดียวกันเกิดมีอาการผิดปกติ ถ้าเป็นชาวบ้านก็จะเรียกกันว่าคล้ายถูกผีสิง คือ ในขณะนั้นผู้ต้องหาทั้งหมดกำลังนอนหลับพักผ่อนกันตามปกติ จนช่วงดึกได้ยินเสียงนายพิพัฒน์ นอนดิ้นร้องครวญครางโหยหวน ทั้งๆ ที่ไม่มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังได้ลุกขึ้นนั่งทำตาขวาง ตัวสั่น ทำให้ทุกคนรีบลุกขึ้นมาดูก็ได้ยินเสียงนายพิพัฒน์ พูดขึ้นว่า "กูอยากกลับบ้าน อยากออกไป แต่กูออกไปไม่ได้ เพราะโดนอาญาแผ่นดินอยู่"

ต่อจากนั้น เมื่อทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ จึงได้รีบเข้าไปช่วยกันจับตัว นายพิพัฒน์ ช่วยกันเขย่าตัวเพื่อให้ได้สติ นอกจากนี้ ยังทราบจาก นายพิษณุ นาคคน ผู้ต้องหาคดีหาพยายามฆ่า ที่ถูกขังอยู่ด้วยกัน ที่สงสัยว่า อาจจะเป็นวิญาณของนายฉลาด เสเนารัตน์ ผู้ต้องหาคดีข่มขืนหลานสาววัย 11 ปี ของตัวเองจนตั้งท้อง ที่ใช้เสื้อผูกคอตายคาห้องขังกองปราบฯไปเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา โดย นายพิษณุ ได้เล่าให้เพื่อผู้ต้องหาทุกคนฟังว่าหลังจากถูกตำรวจจับกุมตัวแล้ว ก็ถูกนำตัวเข้าห้องขังเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 12 ก.ค.จำได้ว่าวันนั้นมีผู้ต้องหาเป็นจำนวนมากประมาณ 10 คน ทำให้ไม่น่ากลัวอะไร เพราะรู้มาก่อนแล้วว่าเพิ่งมีผู้ต้องหาผูกคอตาย กระทั่งเวลาประมาณสามทุ่ม ได้สังเกตเห็นว่ามีชายคนหนึ่ง ใส่เสื้อกล้ามสีแดง นั่งอยู่บนลังใส่ของกลาง แต่อยู่ในห้องขังซอยเพียงคนเดียว ก็คือ ในห้องที่อยู่ติดกัน โดยชายคนนั้นยังได้หันมองมาทางนายนายพิษณุ ด้วย แต่ขณะนั้นก็ไม่ได้บอกใคร กระทั่งมาเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นทำให้เชื่อว่าอาจเป็นวิญญานของนายฉลาดก็ได้

ส่วน นายพิพัฒน์ หลังจากได้สติแล้ว เล่าให้เพื่อนๆ ฟังด้วยความหวาดกลัวว่า คืนแรกที่ถูกคุมขัง ก็ยังไม่รู้สึกกลัวอะไร และยังได้เดินสำรวจไปทั่วห้องขังอีกด้วย กระทั่งเวลาประมาณตีสองในขณะนั้นผู้ต้องหาทั้งหมดต่างก็นอนหลับกันไปหมดแล้ว แต่ นายพิพัฒน์ ได้ตื่นขึ้นมาพอดี ก็ได้มองไปทางห้องขังซอยที่อยู่ติดกัน ซึ่งก็เห็นว่ามีผู้ต้องหานั่งอยู่เพียงคนเดียว ใส่เสื้อกล้ามสีแดงนั่งอยู่บนลังใส่ของกลาง แต่เนื่องจากไม่ทราบมาก่อน จึงทำให้คิดว่าอาจเป็นผู้ต้องหาที่ถูกแยกขังก็เลยไม่สนใจอะไร กระทั่งในคืนที่สองที่เกิดเหตุนี้ขึ้น ขณะนั้น นายพิพัฒน์ ได้นอนหลับฝันห็นชายเสื้อกล้ามสีแดงคนเดียวกันกับที่เห็น เดินเข้ามาหาและจะกระโจนเข้าใส่ จึงชกสวนกลับไป แต่ไปถูกเพื่อนที่นอนอยู่ข้างๆแทน ก่อนจะมารู้สึกตัวเมื่อถูกเพื่อนเขย่า จึงได้ทราบจากเพื่อนๆว่าสงสัยว่าจะถูกผีสิง ทำให้ทั้งหมดเกิดความกลัว เพราะว่าต่างก็ไม่เคยพบเรื่องแบบนี้กันมาก่อน จากนั้นทางผู้ต้องหาทั้งหมด จึงได้ร้องขอธูปจำนวนหนึ่งจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อนำไปจุดธูปไหว้พระ และขอขมาวิญญาณที่อยู่ในห้องขัง โดยหลังเกิดเหตุแล้วทำให้ผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ยอมนอน และทนนั่งคุยด้วยกันทั้งคืนด้วยความหวาดกลัวจนเช้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเรื่องดังกล่าวได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วกองปราบปรามว่าอาจเป็นวิญญานของนายฉลาด เนื่องจากตั้งแต่ที่กองปราบปราม ย้ายมาจากที่เดิมแล้วก็ไม่เคยมีผู้ต้องหายรายใดตายในห้องขังมาก่อน เมื่อ พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ทราบเรื่องก็ได้สอบถามข้อเท็จจริงทั้งหมดและเพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายจึงได้สั่งการให้ตำรวจนิมนต์พระมาทำพิธีปัดรังควาน และอุทิศส่วนกุศลดังกล่าวเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกๆ คนสบายใจ
 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #249 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:33:14 »

พบ"กล้วยไม้ผี" รูปถ่ายแรกในรอบ12ปี

ไม่นึกว่าจะมีจริง

ก็ "กล้วยไม้ผี" ที่ขึ้นชื่อในความลึกลับ น่ากลัว น่ะสิ

ชื่อของ "กล้วยไม้ผี หรือ Ghost Orchid" โด่งดังจากนวนิยายเรื่อง "The Orchid Thief" และต่อมานำมาทำเป็นหนังเรื่อง "Adaptation"

แต่ที่จริงแล้วมันเป็นต้นไม้หายาก มักพบแถวป่าต้นไซเปรส ในพื้นที่ป่าธรรมชาติทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา

นักถ้ำมองนกที่นัดมาดูนกฮูกที่ออกหากินยามค่ำคืน ณ ศูนย์อนุรักษ์หนองน้ำคอร์กสกรู เมืองเนเปิลส์ รัฐฟลอริดา เป็นผู้ถ่ายรูปล่าสุดของต้นไม้ประหลาด

แม้ว่ารูปล่าสุดของ "กล้วยไม้ผี" ที่ได้ดูจะมืดดำไปสักนิด แต่คุ้มค่ากับการเขม้นตาดู เพราะมันไม่ได้ถ่ายมาได้ง่ายๆ

เอ็ด คาร์ลสัน ผู้ดูแลศูนย์อนุรักษ์ ยืนยันหนักแน่นว่า รูปนี้เป็นรูปแรกในระยะเวลา 12 ปี ที่กล้วยไม้ผีปรากฏให้เห็น

ราล์ฟ อาร์วู้ด ช่างภาพคนเก่ง ใช้เวลานานหลายชั่วโมง ด้อมๆ มองๆ เอียงคอตั้งบ่าในป่า จนพบกล้วยไม้ผีเกาะอยู่บนต้นไม้สูง 14 เมตร หรือเกือบเท่ากับตึกสูง 5 ชั้น

อาร์วู้ดบรรยายว่า จะเห็นกล้วยไม้ผีได้ต้องใช้กล้องส่องทางไกลดู และต้องมีแสงผ่านในปริมาณที่พอสมควร

กล้วยไม้ผีเป็นไม้หายาก ดอกของมันใหญ่เท่าๆ กับฝ่ามือ

เมื่อปีนขึ้นไปบนต้นไม้พบว่า รากของมันใหญ่และเกาะกับต้นไม้แน่นหนา คาดว่ามันอยู่บนต้นไม้นี้มาหลายสิบปีแล้ว

รากที่เกาะกับต้นไม้แน่น จนดอกของมันดูเหมือนลอยอยู่กลางอากาศนี่เอง ทำให้มันได้ชื่อ "กล้วยไม้ผี"

ฌอง จูลส์ นักสะสมพันธุ์พืชชาวเบลเยียม เป็นผู้พบกล้วยไม้ผีคนแรกของโลก ที่ประเทศคิวบา เมื่อค.ศ. 1844 ต่อมาจึงพบแถวตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐฟลอริดาและบาฮามาส

ดอกกล้วยไม้ผีบานในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม มันมีดอกสีขาว กว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร ยาว 7-9 เซนติเมตร ช่วงเวลาบานประมาณ 2 อาทิตย์

จากการที่มันหายากทำให้มีคนตั้งราคามันไว้สูงลิบ มีคนพยายามนำมันไปเพาะปลูก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมันพอใจที่จะขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ

กล้วยไม้ผีจึงยังคงเป็นต้นไม้ลึกลับสำหรับเราต่อไป
 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #250 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:33:54 »

ตำนานชื่อ ผีไทย...
 
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ได้ให้คำจำกัดความของ "ผี" ว่าคือ สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและเลว หรืออาจหมายถึง คนที่ตายไปแล้ว หรือเทวดาก็ได้ ส่วน "วิญญาณ" หมายถึง สิ่งที่เชื่อกันว่ามีอยู่ในกายเมื่อมีชีวิต เมื่อตายจะออกจากกายล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่

ด้วยเหตุที่ "ผี" เป็นสิ่งที่ยากจะบอกได้ ถึงรูปพรรณสัณฐานที่แน่นอน มีความลึกลับ ขึ้นกับความเชื่อ และจินตนาการ จึงถูกหยิบยกมาขู่เด็กอยู่เสมอ จนทำให้บางคนแม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความรู้สึกกลัวผีก็ยังมีอยู่ หนัง/ละครหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นของไทย หรือต่างประเทศ ต่างก็สร้างสรรค์ "ผี" ออกมาในรูปแบบต่างๆ มีทั้งแนวตลกขบขัน แนวสยองขวัญ น่ากลัว หรือแม้แต่แนวรักโรแมนติก ที่ฮิตๆ อมตะสร้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ได้แก่ พวกแดร็กคิวร่า, แฟรงเก็นสไตน์, แวมไพร์ม, ส่วนไทยก็มี แม่นาคพระโขนง, ผีปอบ, ผีกระสือ, ผีกระหัง เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ผีที่เราเห็นในหนังหรือละคร นับว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผีทั้งหลาย ที่ยังมีอีกหลากหลายในไทย ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงอยากจะขอแนะนำ "ผีไทย" ในแบบอื่นๆ ให้รู้จักกันบ้าง โดยทั่วไป คนไทยแต่เดิมได้แบ่งผีออกเป็นประเภทใหญ่ๆ คือ

1. ผีฟ้า ได้แก่ผีที่อยู่บนฟ้า ซึ่งต่อมาเมื่อเรารับความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์มาจากพุทธศาสนา คนไทยภาคกลางจึงเรียกผีที่อยู่บนฟ้าว่า "เทวดา" หรือ "เทพ" และถือว่าเทวดามีหลายองค์ ส่วนคนทางภาคอีสานจะเรียกว่า "แถน"

2. ผีคนตาย ได้แก่ผีที่เชื่อกันว่า เป็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว ผีชนิดนี้มีทั้งผีดีและผีไม่ดี ซึ่งผีดีที่คนนับถือยังแบ่งย่อยเป็นอีก 3 ระดับ คือ ผีเรือน เป็นผีประจำครอบครัว คนไทยโบราณและชนชาติไทบางกลุ่มเรียกว่า "ผีด้ำ" หมายถึง ผีบรรพบุรุษ หรือผีปู่ย่าตายายพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ยังสถิตอยู่ในบ้านเรือน เพื่อคอยคุ้มครอง และดูแลช่วยเหลือลูกหลาน และลูกหลาน จะต้องเซ่นสรวงตามโอกาสอันสมควร ผีบ้าน คือ ผีประจำหมู่บ้าน บางแห่งเรียก"เสื้อบ้าน" ได้แก่ผีที่คอยคุ้มครอง และให้ความอนุเคราะห์แก่คนในหมู่บ้าน ซึ่งแต่ละหมู่บ้านมักจะมีสถานที่ สำหรับทำพิธีบูชาบวงสรวง ผีเมือง หรือบางแห่งเรียก "เสื้อเมือง" ได้แก่ วิญญาณของเจ้าเมืององค์ก่อนๆ หรือวีรบุรุษของกลุ่มชน คอยคุ้มครอง และให้ความอนุเคราะห์ดูแลคนทั้งเมืองหรือรัฐ บางแห่งก็เรียก "เทพารักษ์" และมักมีการสร้างศาลให้เป็นที่สถิต

3. ผีไม่ปรากฎรายละเอียดในด้านความเป็นมาได้แก่ ผีที่ประจำอยู่กับสิ่งต่างๆ ที่มีในธรรมชาติ เช่น ผีป่า ผีเขา ผีน้ำ ผีประจำต้นไม้ เป็นต้น ผีดังกล่าวให้คุณและโทษได้ จึงต้องเซ่นสรวงให้ถูกวิธี โดยเฉพาะเมื่อต้องการความช่วยเหลือ หรือขออนุญาตใช้ประโยชน์

นอกจากนี้ ยังมีผีตามสภาพที่ปรากฏ เช่น บอกสภาพการตาย ได้แก่ ผีตายโหง ผีหัวกุด ผีตายทั้งกลม เป็นต้น ต่อไปนี้จะขอแนะนำผีแต่ละจำพวกให้ได้รู้จักกัน ดังนี้ ผียอดนิยม ซึ่งเป็นที่รู้จักและมักถูกนำมาสร้างหนัง/ละครบ่อยๆ ได้แก่

- ผีกระสือ คือผีที่เข้าสิงในตัวผู้หญิง และชอบกินของโสโครก คู่กับผีกระหัง ที่ชอบเข้าสิงผู้ชาย เชื่อกันว่าผีกระหังเป็นผู้ชายที่เรียนวิชาอาคม เมื่อแก่กล้าก็มีปีกมีหาง จะไปไหนก็ใช้กระด้งต่างปีก สากตำข้าวต่างขา สากกะเบือ ต่างหาง ชอบกินของโสโครกเช่นเดียวกับกระสือ

- ผีปอบ คือ ผีที่สิงอยู่ในตัวคน พอกินตับไต้ไส้พุงหมดแล้วก็จะออกไปและคนๆ นั้นก็จะตาย

- ผีดิบ คือ ผีที่ยังไม่ได้เผา หรือผีดูดเลือด ผีตายทั้งกลม คือ หญิงที่ตายในขณะที่ลูกอยู่ในท้อง

- ผีตายโหง คือ คนที่ตายผิดธรรมดา เช่น ถูกฆ่าตาย ตกน้ำตายหรือตายด้วยอุบัติเหตุ

- ผีพราย หมายถึงหญิงที่ตาย อันเนื่องมาจากคลอดลูกหรือตายในขณะที่ลูกเกิดมาได้ไม่นาน เชื่อกันว่าวิญญาณหญิงดังกล่าว จะมีความร้ายกาจมาก ,ส่วนผีพราย อีกประเภทหนึ่ง คือคนแก่ที่ป่วยไข้ออดแอด จนไม่มีกำลังต้องนอนซมอยู่เสมอ แต่พอคนอื่นไม่อยู่หรือเผลอ คนแก่นั้นก็เปลี่ยนไป ดวงตากลับวาวโรจน์ และมีเรี่ยวแรงลุกไปหาของกินที่เป็นของสดหรือมีกลิ่นคาว หากมีใครมาพบ ก็จะทำท่าหมดแรงต้องนอนซมเหมือนเดิม บางแห่งก็ว่าผีพรายสามารถจำแลงกายเป็นสัตว์ต่างๆ ได้ โดยเฉพาะนกเค้าแมว หากบ้านไหนมีคนป่วยและมีนกเค้าแมวมาเกาะ จะเชื่อกันว่าผีพรายแปลงกายมาซ้ำเติมคนป่วยให้ตายโดยเร็ว ส่วนผีที่มีลักษณะคล้ายกับกลุ่มข้างต้น แต่ชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไรก็ได้แก่

- ผีโพง และ ผีเป้า คือผีที่ชอบกินของสด ของคาว เช่น เลือดสด และสิงในคนได้ บ้างก็ว่าผีโพงสิงคนแล้ว จะทำให้มีแสงสว่างออกมาทางจมูกเวลาหายใจ และชอบหากินเวลากลางคืน

- ผีโขมด เป็นพวกเดียวกับผีกระสือหรือผีโพง เห็นเป็นแสงเรืองวาวในเวลากลางคืน ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าคนถือไฟอยู่ข้างหน้า

- ผีกองกอย คือ ผีชนิดหนึ่งที่มีตีนเดียว ไม่มีสะบ้าหัวเข่า จึงต้องเดินเขย่งเกงกอย ชอบออกมาดูดเลือดที่หัวแม่เท้าของคนที่นอนหลับพักแรมในป่า
สำหรับผีที่ให้คุณก็มี ผีขุนน้ำ คือ อารักษ์ประจำต้นน้ำแต่ละสาย ซึ่งสถิตอยู่บนดอยสูง ผีขุนน้ำมักอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ ชาวบ้านจะอัญเชิญมาสถิตที่หอผี ที่ปลูกอย่างค่อนข้างถาวรใต้ต้นไม้เหล่านี้ ผีขุนน้ำที่อยู่ต้นแม่น้ำใด ก็มักจะได้ชื่อตามแม่น้ำนั้น เช่น ขุนลาว เป็นผีอยู่ต้นแม่น้ำลาว ในจ.เชียงราย ผีมด และ ผีเมง คือ ผีบรรพบุรุษตามความเชื่อชาวล้านนา ( คำว่า "มด" หมายถึงระวังรักษา) ส่วนผีเมงนี้เข้าใจกันว่ารับมาจากชนเผ่าเม็ง หรือมอญโบราณ ผีเจ้าที่ คือผีที่รักษาประจำอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เป็นผู้ดูแลรักษาเขตนั้นๆ ดังนั้น คนโบราณเมื่อเดินทางและหยุดพักที่ใด มักจะบอกขออนุญาตเจ้าที่ทุกครั้ง

- ผีเจ้านาย คือ ผีที่มาประทับทรงเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ของชาวบ้านชาวเมือง แต่มิใช่เสื้อบ้าน เสื้อเมืองหรือผีปู่ย่าตายาย ผีย่าหม้อหนึ้ง เป็นผีจำพวกผีเรือนสถิตอยู่กับหม้อที่ใช้นึ่งข้าว เมื่อใครจะเดินทางไกลก็นำข้าวเหนียวหนึ่งปั้น และกล้วยหนึ่งผล ไปสังเวยบอกกล่าวผีย่าหม้อหนึ้งเพื่อให้คุ้มครอง หรือหากลูกหลานไม่สบายร้องไห้โยเยกลางคืน ชาวบ้านก็มักไปเอายาจากผีย่าหม้อหนึ้งโดยขูดเอาดินหม้อ ที่ติดกับหม้อไปผสมน้ำให้ลูกอ่อนกิน นอกจากดูแลคุ้มครองทรัพย์สินในครัวเรือนแล้ว ยังมีอำนาจในการพยากรณ์ได้ด้วย ซึ่งการลงผีย่าหม้อหนึ้งนี้ มักทำเมื่อบุตรหลานไม่สบายหรือของหาย
นอกเหนือไปจากผีดังกล่าวแล้ว ในแต่ละท้องถิ่นยังมีผีอีกหลายประเภท ซึ่งหลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน อาทิผีกละ หรือ ผีกะเป็นผีที่มักเข้าสิงคนเพื่อเรียกร้องจะกินอาหาร เมื่อเข้าสิงใคร ก็จะแสดงกิริยาผิดปกติไป เมื่อคนสังเกตเห็นก็มักร้องขอกินอาหารและจะกินอย่างตะกละตะกลาม จึงเรียกผีกละตามลักษณะการกิน แต่มักเขียนเป็นผีกะ ผีกละยักษ์ เป็นผีที่อยู่รักษาสถานที่ต่างๆ เช่น วัดร้าง ถ้ำ หรือที่ซึ่งมีสมบัติฝังหรือซ่อนอยู่ ผีกละยักษ์จะคอยพิทักษ์สมบัติเหล่านั้น จนกว่าเจ้าของจะรับทรัพย์สินเหล่านั้นไป

ในกรณีผีกละยักษ์ที่อยู่ในวัด เล่ากันว่า มักจะเป็นวิญญาณของพระหรือเจ้าอาวาสที่ผิดวินัย เมื่อตายแล้วไปเกิดไม่ได้ จึงต้องทำหน้าที่พิทักษ์วัดไปจนกว่าจะสิ้นกรรม รูปร่างของผีกละยักษ์ ไม่แน่นอน บ้างก็ว่าเป็นหมูตัวใหญ่ที่มีร่างกายเป็นทองแดง บ้างก็ว่าเป็นสุนัขใหญ่สีดำสนิททั้งตัว ผีตามอย (อ่านว่า ผี-ต๋า-มอย) หมายถึงผี 2 ชนิด ชนิดแรกเป็นผีที่อาศัยอยู่ในเขตที่มีคน ผีชนิดนี้จะคอยมาเลียก้นคนที่ไปถ่ายอุจจาระ เพราะคนสมัยก่อนมักไปถ่ายตามขอนไม้ เมื่อถ่ายเสร็จก็จะใช้ไม้แก้งขี้ปาดไปตามร่องก้นให้สะอาด ถ้าแก้งขี้ไม่สะอาดก็จะถูกผีตามอยมาเลียก้น ทำให้เจ็บไข้ได้ วิธีแก้คือให้เอาดุ้นไฟสุดหรือไม้ที่เหลือจากไฟไหม้แล้วมาแก้งขี้เสีย (แก้ง-หมายถึงขูดให้สะอาด)

ผีตามอย อีกชนิด เป็นผีที่คอยจับเอาหนุ่มหรือสาววัยรุ่นที่แตกกลุ่มเพื่อนที่เข้าไปในป่าหรือในดง นำไปมีเพศสัมพันธ์กับตน โดยคนที่ถูกกุมไปมักมีสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ผีโป่ง เป็นผีที่อยู่ตามโป่งซึ่งอาจเป็นโป่งดิน คือบริเวณที่มีดินเค็มซึ่งสัตว์มักไปแทะกิน หรือโป่งน้ำ คือที่มีน้ำผุดออกมาจากดิน ผู้ที่ไปสู่บริเวณโป่ง หากไม่สำรวมอาจจะถูกผีโป่งทำร้าย ทำให้เจ็บปวดที่เท้าหรือขา หรืออาจมีอาการเจ็บไข้รักษาไม่หาย
นอกจากผีลักษณะต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว เรายังมีทั้งการละเล่น สำนวน ช่วงเวลา กิริยาอาการและคำหลายคำที่เกี่ยวกับผี เช่น ผีด้งหรือผีนางด้ง เป็นผีที่หนุ่มสาวในท้องที่จะเชิญมาเล่นตามลานบ้านช่วงสงกรานต์, ผีถ้วยแก้ว เป็นการเล่นทรงเจ้าเข้าผีโดยผู้เล่นเอานิ้วแตะก้นแก้ว ให้เคลื่อนไปตามตัวอักษร เพื่อสื่อความหมาย, ผีถึงป่าช้า หมายถึงจำใจทำเพราะไม่มีทางเลือก, ผีบุญ คือ ผู้อวดคุณวิเศษว่ามีฤทธิ์ทำได้ต่างๆ นานา, ผีบ้านไม่ดี ผีป่าก็พลอย หมายถึง คนในบ้านเป็นใจให้คนนอกบ้านเข้ามาทำความเสียหายได้,

ผีซ้ำด้ำพลอย คือ ถูกซ้ำเติมเมื่อพลาดพลั้งหรือเมื่อคราวเคราะห์ร้าย, ผีอำ คือ อาการที่ปรากฏเมื่อเวลานอนเคลิ้มไปว่ามีคนมาปลุกปล้ำหรือยึดคร่า ทำให้มีอาการเหนื่อยหอบจนตื่นขึ้น บางคนก็เรียก ผีทับ จะมีอาการอึดอัด พูดจาไม่ได้ ลุกไม่ได้ ผีผลัก คืออุบัติเหตุที่ทำให้บาดเจ็บหรือล้มตาย เนื่องจากใช้ของแหลมมาจี้ใส่กันเป็นเชิงล้อเล่น, ผีเจาะปาก หมายถึงมีปากก็สักแต่พูดเรื่อยเปื่อย พูดไม่มีสาระ,

ผีพุ่งไต้ หมายถึงดาวตก ผีตากผ้าอ้อม หมายถึง แสงแดดที่สะท้อนกลับมาสว่างในเวลาเย็นจวนค่ำ มีสีส้มอมเหลือง, ผีขนุน หมายถึงหญิงขายบริการตามต้นขนุนริมคลองหลอด กรุงเทพฯ, ผีเพลีย คือดิถีวันห้าม ไม่ให้แรกนา ฯลฯ (ดิถี คือการนับวันตามจันทรคติ เช่น ขึ้น 1 ค่ำ แรม 2 ค่ำ เป็นต้น)ทั้งหมดที่กล่าวข้างต้น แม้จะเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องผีๆ แต่เชื่อว่าคงจะทำให้ท่านได้รู้จัก "ผีของไทย"มาก ยิ่งขึ้น



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 กรกฎาคม 2552 23:46:23 โดย ~POOMZA~ » บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #251 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:35:22 »

พลิกตำนานเล่าขาน ?อาถรรพณ์ สน.บางเขนกับศาลเจ้าพ่อไทร?



หมายเหตุ-หลังจากเกิดเหตุการณ์โจรยิง 2 สายตรวจ สน.บางเขนจนเสียชีวิตในคืนที่ผ่านมา ทีมข่าวอาชญากรรม ซึ่งเคยนำเสนอบทความนี้ไปแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงนำกลับมาเสนออีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

หลังเกิดเหตุการณ์คนร้ายยิง ด.ต.วัชระ สตารัตน์ ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สน.บางเขน เสียชีวิต ขณะปฏิบัติหน้าที่ ทำให้"ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์" เข้าเกาะติดการคลี่คลายคดีนี้อย่างใกล้ชิด เพราะคนร้ายก่อเหตุอย่างอุกอาจ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย เหมือนเป็นการ "ตบหน้า" เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างจัง

จากเหตุนี้เองทำให้"ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์" ได้รับการบอกเล่าจากชาวบ้านในพื้นที่ ถึงเรื่องราวอาถรรพ์ ที่มักจะเกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.บางเขนถึง "อาถรรพ์แห่งเจ้าพ่อต้นไทร" ที่ตั้งอยู่ด้านหลังโรงพัก ความเชื่อของตำรวจประจำสน. และชาวบ้านในพื้นที่ ที่รับรู้ "ความเฮี้ยน" ของเจ้าพ่อต้นไทร โดยเฉพาะเมื่อช่วง 10 ปีก่อน ที่มีตำรวจบางเขน เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง เสมือนเป็น"เครื่องเซ่น สังเวย" ให้กับเจ้าพ่อต้นไทร "ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์" จึงอยากนำเสนอมุมมองที่แตกต่าง ด้วยการนำความเชื่อของคนในพื้นที่ มาบอกเล่าให้รับรู้ นอกเหนือไปจาก การจากไปอย่างกล้าหาญของด.ต.วัชระ ที่ต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือโจรสวะ 3 คน

ด.ต.วิกรม ตังศุภศิริ ผบ.หมู่สน.บางเขน เจ้าหน้าที่งานธุรการ ฝ่ายเปรียบเทียบปรับ อายุ 52 ปี คือแหล่งข่าวที่ "ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์" เสาะหาจนพบ เนื่องจากทราบข้อมูลว่านายดาบคนดังกล่าว รับราชการตำรวจที่สน.บางเขนมาตั้งแต่ช่วงปีพ.ศ. 2511 นับรวมอายุราชการที่อยู่สน.บางเขนแล้ว มากกว่า 30 ปี จึงน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องอาถรรพ์ อันเป็นที่ร่ำลือในหมู่ตำรวจ และชาวบ้านในพื้นที่สน.บางเขน

ด.ต.วิกรมได้ทบทวนความจำ และเล่าประวัติความเป็นมาของ "ศาลเจ้าพ่อทองคำ" ให้ "ทีมข่าวอาชญากรรมผู้จัดการออนไลน์" ฟังว่า ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อตั้งโรงพักบางเขน มีต้นกระทุ่มตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังโรงพักซึ่งเป็นพื้นที่โล่งว่าง จากนั้นได้มีการก่อสร้างศาลขึ้น ตำรวจและชาวบ้านในละแวกนั้น จึงเรียกชื่อศาลว่า "ศาลเจ้าพ่อต้นกระทุ่ม" ต่อมาได้มีต้นไทรขึ้นโอบล้อมต้นกระทุ่มที่อยู่ข้างศาลกระทั่งต้นกระทุ่มตายลงไป

ด.ต.วิกรม ท้าวความให้ฟังอีกว่า ในช่วงที่ พ.ต.ต.บุญเลิศ มณีกาญจณ์ มาดำรงตำแหน่งเป็น สว.จร.ที่สน.บางเขน ได้ทำการบูรณะศาลขึ้นมาใหม่ เนื่องจากมีสภาพทรุดโทรม มีการเชิญคนเข้าทรงมาทำพิธีตามความเชื่อ และตั้งศาลใหม่ขึ้นมาบริเวณต้นไทรหลังสน. พร้อมกับใช้ชื่อว่า "ศาลเจ้าพ่อทองคำ" ซึ่งเป็นที่นับถือของเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.บางเขนทุกนาย รวมถึงประชาชนทั่วไปที่มีความเชื่อ เดินทางมาเคารพสักการะ

นายดาบตำรวจผู้นี้ บอกกับเราอีกว่า ในส่วนของความเชื่อที่ว่า "เจ้าพ่อต้นไทร" นำชีวิตของตำรวจสน.บางเขนไปรับใช้ในทุกๆ ปีนั้น โดยส่วนตัวแล้วก็มีความเชื่อบ้าง เพราะก่อนหน้าเมื่อช่วงราว 10 ปีก่อน มีเหตุให้เจ้าหน้าที่สน.บางเขน ต้องมีอันเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นเพียงความเชื่อที่มีการเล่าต่อกันมาเท่านั้น ซึ่งทางสน.ได้มีการทำบุญให้กับ "ศาลเจ้าพ่อทองคำ" ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี

"ตำรวจทุกนายที่อยู่สน.บางเขน จะร่วมกันทำบุญให้กับศาลเจ้าพ่อทองคำในช่วงวันสงกรานต์ มีการถวายหัวหมู อาหาร และเชิญร่างทรงมาทำพิธี เพื่อแสดงความเคารพ สักการะต่อเจ้าพ่อ" ด.ต.วิกรม กล่าว

ขณะที่ พ.ต.อ.สันติ แสงเพ็ญจันทร์ ผกก.สน.บางเขน (ในขณะนั้น) บอกว่า ได้รับรู้ถึงเรื่องเล่าขาน และอาถรรพ์ของ "ศาลเจ้าพ่อทองคำ"เป็นอย่างดี จึงให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำบุญเป็นประจำทุกปี โดยผู้กำกับสันติบอกกับ "ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์" ทิ้งท้ายว่า เชื่อไม่เชื่อก็ต้องเคารพ ไม่เคยลบหลู่

ด.ต.บัญชา ประสงค์ อายุ 50 ปี ผบ.หมู่ จร. เล่าให้ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ฟังว่า เกิดและอาศัยอยู่ที่นี่มาตลอด อีกทั้งก็รับราชการตำรวจมาตั้งแต่ พ.ศ. 2520 ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ประจำอยู่ที่ สน.บางเขนมาตลอด แต่ย้ายมาเมื่อ พ.ศ. 2536 และก็อาศัยอยู่ที่นี่ไม่เคยย้ายไปที่ไหน เพราะบิดาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจนกระทั่งเกษียณอายุราชการอยู่ที่นี่

ด.ต.บัญชา ย้อนอดีตให้ฟังว่า เดิมทีศาลเจ้าพ่อนั้นเป็นเพียงศาลเล็ก ๆ มีต้นกระทุ่มขึ้นอยู่ข้างศาล ต่อมามีต้นไทรขึ้นมาทับจนต้นกระทุ่มตายลง และศาลก็ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาเพราะขาดคนดูแล ชาวบ้านรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงช่วยกันบูรณะใหม่ โดยช่วยกันออกค่าใช้จ่ายในการบูรณะ เพราะทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและบุคคลที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ต่างก็เคารพนับถือศาลเจ้าพ่อทั้งนั้น

สำหรับศาลเจ้าพ่อทองคำนั้น ตนก็ให้ความเคารพนับถือ โดยมักเรียกติดปากว่า "ศาลพ่อปู่" ทุกครั้งที่ออกจากบ้านจะต้องไหว้สักการะศาลเจ้าพ่ออยู่เสมอมิเคยขาด และมักจะขอให้พ่อปู่ ช่วยคุ้มครองดูแลเสมอทุกครั้ง

ด.ต.บัญชา เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เชื่อว่า ศาลพ่อปู่คอยคุ้มครองคือ เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2548 ขณะที่กำลังออกปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเช้าตามปกติ ก็ต้องมาประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงจนต้องนอนพักรักษาตัวนานกว่า 2 เดือน

"วันนั้นเป็นช่วงเช้า หลังจากปล่อยแถวจราจร ผมซึ่งต้องเข้าเวรป้อมจราจรที่แยกมัยลาภ ได้ขับรถยนต์กระบะ ไมตี้เอ็กซ์ ส่วนตัวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ขณะที่กำลังเลี้ยวรถเพื่อเข้าจอด จังหวะนั้นเองได้มีรถบรรทุก 6 ล้อ วิ่งฝ่าไฟแดงเข้ามาชนกลางลำ จนผมสลบ ไปรู้สึกตัวอีกครั้งที่โรงพยาบาล"

ด.ต.บัญชา ยังเล่าให้ฟังอีกว่า ผลจากการถูกชนนั้นทำให้หางคิ้วซ้ายแตก หมอต้องผ่าตัดเพื่อดามเหล็ก และเย็บถึง30 เข็ม และยังได้รับบาดเจ็บตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอีกหลายแห่ง แต่เมื่อดูจากสภาพรถที่พังยับทั้งคันจนไม่สามารถซ่อมได้ ทำให้เชื่อว่าเป็นบารมีของ พ่อปู่ ที่ตนกราบไหว้และให้ช่วยคุ้มครองอยู่เสมอ จึงรอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้ราวปาฏิหาริย์

ส่วนที่มีคำร่ำลือถึงอาถรรพ์ ศาลเจ้าพ่อทองคำนั้น ด.ต.บัญชา ได้กล่าวว่า ตั้งแต่ตนอาศัยอยู่ที่นี่มาจนบัดนี้ก็อยู่ในช่วงปลายของการรับราชการ ไม่เชื่อว่าการที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเสียชีวิตนั้นจะเป็นเพราะอาถรรพ์ของเจ้าพ่อ เนื่องจากเจ้าพ่อจะคอยคุ้มครองตำรวจของ สน.บางเขน และทุกคนที่นี่ให้ความเคารพนับถือเจ้าพ่อทุกคน จึงไมน่าจะมีความเป็นไป

"ผมคิดว่าการที่มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต คงเป็นเรื่องของเวรกรรมมากว่า ส่วนข่าวที่เกิดขึ้นผมคิดว่าน่าจะเป็นข่าวลือ ที่เกิดจากปากต่อปาก จนทำให้คิดว่าเมื่อมีตำรวจตาย จึงเป็นการเซ่นสังเวยแก่เจ้าพ่อ ทั้งที่เจ้าพ่อคอยคุ้มครองแล้ว เจ้าพ่อจะเอาชีวิตตำรวจทำไม" ด.ต.บัญชา ตั้งข้อสังเกต

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงมุมมองหนึ่งของตำรวจสน.บางเขน ความเชื่อ หรืออาถรรพ์ที่ว่า จะเป็นจริงตามคำล่ำลือหรือไม่ ส่วนหนึ่งเชื่อว่า เกิดจากการกระทำของตัวบุคคลนั้นๆมมากกว่า หากระมัดระวัง หรือดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ก็ย่อมที่จะช่วยผ่อนคลายทุกอย่างได้ดี เพียงแต่อาชีพ ตำรวจ ทหาร และแม้กระทั่งคนร้าย ย่อมมีชีวิตที่ค่อนข้างเสี่ยงกว่าบุคคลปกติทั่วไปเท่านั้นเอง





ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 กรกฎาคม 2552 23:46:39 โดย ~POOMZA~ » บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #252 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:35:36 »

"เจ้าแม่แก่นจันทร์" ตำนานแห่งเทพเมืองราชบุรี
 
ในความเชื่อและศรัทธาของคนไทยนั้น มีความนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายประเภท ชาวราชบุรีก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้คอยยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งเขาให้ความเลื่อมใสศรัทธามาช้านานนั่นก็คือ "เทพเจ้าแม่แก่นจันทร์"
         ตำนาน "เจ้าแม่แก่นจันทร์" เล่ากันมาว่า ท่านเป็นเทพที่สถิตอยู่ในไม้แก่นจันทร์ ซึ่งเป็นไม้ที่มีกลิ่นหอม มีอายุนานนับร้อยปี จึงมีความศักดิ์สิทธิ์มาก โบราณว่าไว้ ต้นไม้ต้นใดที่มีแก่นสูงตั้งแต่ 1 คืบขึ้นไป จะมีวิมานของรุกขเทวดาสถิตอยู่ เพื่อคอยดูแลรักษาผู้ที่มากราบไหว้บูชา และมักจะเรียกชื่อของรุกขเทวดาประจำต้นไม้ตามชื่อของต้นไม้นั้น เช่น ต้นตะเคียนทองก็จะเรียกชื่อรุกขเทวดาว่า "เจ้าพ่อหรือเจ้าแม่ตะเคียนทอง" ดังนั้น "ไม้แก่นจันทร์" จึงมีผู้เลื่อมใสตั้งให้เป็น "เจ้าแม่แก่นจันทร์"
         ความเป็นมาของ "เจ้าแม่แก่นจันทร์" ที่ชาวราชบุรีให้ความเคารพศรัทธานิยมมากราบไหว้ขอบารมีคุ้มครองนั้น มีมานานหลายสิบปี ศาลเจ้าแม่แก่นจันทร์ตั้งอยู่ใน อ.เมือง บริเวณใกล้เชิงเขาแก่นจันทร์ ตัวศาลสร้างเป็นแถวยาวชั้นเดียว แต่เดิมศาลเจ้าแม่เป็นศาลไม้เล็กๆ ตั้งตรงข้ามศาลหลังใหม่ที่เห็นในปัจจุบัน
        จากตำนานที่เล่ากันต่อๆมา ความว่า เดิมทีเจ้าแม่องค์เดิมเป็นท่อนไม้แก่นจันทร์ แต่ภายหลังมีหญิงสาวไปเข้าฝันชาวบ้านคนหนึ่งบอกว่าไม่อยากอยู่ในสภาพขอนไม้แบบนี้อีกแล้ว อยากมีรูปร่างเป็นมนุษย์ ครั้งแรกชาวบ้านก็ไม่เชื่อไม่สนใจ เจ้าแม่จึงไปเข้าฝันชาวบ้านอีกหลายๆคน เมื่อฝันประหลาดตรงกันชาวบ้านจึงเริ่มเชื่อและได้ทำการแกะสลักไม้แก่นจันทร์ให้มีรูปร่างเป็นหญิงสาว
         เมื่อแกะสลักเสร็จเรียบร้อยก็ทำพิธีอัญเชิญให้ขึ้นไปประดิษฐานในศาลไม้หลังเก่า แต่เจ้าแม่ก็มาเข้าฝันชาวบ้านอีกว่าที่ตั้งของศาลไม่ถูกทิศ ท่านต้องการให้ย้ายตัวศาลไปอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ชาวบ้านก็ยังไม่ย้าย เพราะการย้ายศาลค่อนข้างยุ่งยาก และเมื่อยังไม่ย้ายพวกลูกหลานชาวบ้านก็เริ่มปวดหัว ตัวร้อน ไม่สบายกันเป็นแถวๆ เป็นต่อๆกันไปทุกบ้าน และบริเวณที่ตั้งของศาล ซึ่งเป็นทางโค้งก็มักจะมีอุบัติเหตุรถราเฉี่ยวชนล้มคว่ำกันเป็นประจำ ชาวบ้านจึงอัญเชิญเจ้าแม่มาประทับทรง ท่านบอกว่าเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของภูตผีปีศาจ องค์ท่านไม่ได้ประทับอยู่ในศาลนานแล้ว ชาวบ้านจึงถามเจ้าแม่ว่าทำไมจึงทิ้งพวกเขาไป ท่านก็บอกว่าท่านไม่อยากทิ้งชาวบ้านไปหรอก แต่ท่านอยู่ที่ศาลนี้ไม่ได้ เพราะทิศทางที่ตั้งศาลไม่ถูกต้อง ท่านเคยบอกแล้วแต่ไม่มีใครเชื่อ ท่านจึงต้องไป แต่ถ้าตั้งศาลอย่างถูกต้องท่านก็จะกลับมาประทับอีก ต่อมาชาวบ้านจึงช่วยกันย้ายศาลของเจ้าแม่มาตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นที่ตั้งในปัจจุบัน
         ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่แก่นจันทร์ ไม่ใช่แค่จะแสดงให้ชาวบ้านรู้เห็นอยู่กลุ่มเดียวเท่านั้น ข้าราชการระดับผู้ใหญ่ใน จ.ราชบุรี ท่านหนึ่งก็เคยรู้เห็น และได้สัมผัสกับปาฏิหาริย์ขององค์เจ้าแม่มาแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นกับอดีตนายอำเภอเมืองของ จ.ราชบุรี เมื่อ พ.ศ. 2538 ขณะที่ท่านมาประจำอยู่ที่นั่น ปีนั้นเป็นปีที่ จ.ราชบุรี เกิดน้ำท่วมหนัก หน่วยงานราชการต้องระดมกำลังออกช่วยเหลือชาวบ้านตลอดทั้งวันทั้งคืน ข้าราชการทุกคนรวมทั้งท่านนายอำเภอต้องทำงานอย่างหนัก และยังต้องผจญกับอุปสรรคนานัปการ หลายๆวันเข้าร่างกายก็เริ่มอ่อนล้า จนวันหนึ่งขณะที่นายอำเภอนั่งพัก จู่ๆท่านก็เกิดวูบ หน้ามืดขึ้นมากะทันหัน พยาบาลจึงพาท่านไปนอนพัก พอไปถึงที่พักท่านก็วูบหลับไปทันทีด้วยความอ่อนเพลีย ขณะที่กำลังหลับสนิทท่านก็ฝันเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งร่างกายมอมแมม ผ่ายผอมกำลังนั่งร้องไห้ ดูน่าสงสาร น่าเวทนามาก ท่านจึงตกใจตื่น และเหมือนเป็นอุปาทานที่ยังคงได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กคนนั้นก้องอยู่ในหูตลอดเวลา โดยสามัญสำนึกที่ผ่านประสบการณ์มานาน ทำให้ท่านพอจะรู้ว่าสิ่งที่สัมผัสได้ในฝันน่าจะเป็นนิมิตที่เป็นจริง เด็กหญิงคนนั้นจะต้องรอการช่วยเหลืออยู่ที่ไหนสักแห่ง ท่านจึงวิทยุสั่งการให้เจ้าหน้าที่ออกค้นหาเด็กคนนั้นทันที ทั้งที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ และขณะเดียวกันท่านนายอำเภอก็พยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ในฝันอย่างช้าๆ
         แล้วจู่ๆ ท่านก็เห็นภาพของศาลแห่งหนึ่งแว็บเข้ามา เห็นภายในศาลมีรูปปั้นของผู้หญิง ท่านจึงบอกให้เจ้าหน้าที่ทราบ เมื่อเจ้าหน้าที่รู้ว่าภายในศาลมีรูปปั้นของผู้หญิงอยู่ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจึงพูดว่า "สงสัยจะเป็นศาลเจ้าแม่แก่นจันทร์" แล้วพวกเขาก็รีบเดินทางไปที่ศาลเจ้าแม่ทันที และก็เป็นที่น่าตกใจเมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงศาลเขาก็พบกับเด็กผู้หญิงหน้าตามอมแมมนอนขดอยู่ภายในศาลเพียงลำพัง ในสภาพร่างกายผอมโซและมีไข้สูง แพทย์จึงรีบทำการปฐมพยาบาลให้เด็กคนนั้นอย่างเร่งด่วน และยังบอกแก่นายอำเภอด้วยว่า หากเด็กมาถึงมือหมอช้ากว่านี้นิดเดียวจะต้องตายแน่นอน เพราะไม่ได้กินอาหารมาหลายวันแถมยังติดเชื้อจากน้ำดื่ม และหมอเองก็ยังสงสัยว่านายอำเภอรู้ได้อย่างไรว่ามีเด็กติดอยู่ในศาล นายอำเภอก็เล่าไปตามความจริง
         หลังจากนั้นราว 2 อาทิตย์ เมื่อระดับน้ำท่วมในตัวเมืองราชบุรีเริ่มลดลง ท่านนายอำเภอก็กลับไปเยี่ยมเด็กคนนั้นอีกครั้ง ซึ่งเด็กก็มีอาการดีขึ้นแล้ว แกเล่าให้นายอำเภอฟังว่าอาศัยอยู่กับยายเพียงสองคน พ่อแม่ตายหมดแล้ว ตอนน้ำท่วมยายได้พามาอาศัยอยู่ที่ศาลเจ้าแม่แล้วยายก็จากไป จากนั้นก็ไม่พบเจอยายอีกเลย แล้วตอนนั้นระดับน้ำบริเวณหน้าศาลเจ้าแม่ก็สูงมาก ไม่มีใครผ่านมาเลย ไม่รู้จะขอให้ใครช่วย มีสิ่งเดียวที่จำได้ เพราะยายบอกไว้ก่อนไปว่า "เจ้าแม่แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์มาก ใครเดือดร้อนก็จะนึกถึงท่าน" เด็กหญิงคนนั้นจึงอธิษฐานจิตขอให้เจ้าแม่ช่วย
         สิ่งที่เกิดราวปาฏิหาริย์ถ้าไม่ใช่เรื่องอันเกิดจากบุญฤทธิ์ของเจ้าแม่แก่นจันทร์แล้วจะเรียกว่าอะไร และในโลกนี้ก็ยังมีเรื่องราวแปลกๆแบบนี้เกิดขึ้นกับบางคนอยู่เป็นประจำเสียด้วย เขาจึงบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครองคนดี เพราะฉะนั้นจงคิดดีและทำดีให้สม่ำเสมอ เมื่อถึงคราวเคราะห์ความดีที่ตนเคยสร้างบวกกับแรงปาฏิหาริย์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรามองไม่เห็นก็จะช่วยให้พ้นภัยได้







ข้อมูลจาก http://www.yingthai-mag.com/ 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #253 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:36:25 »

หลวงพ่อเกษม เขมโก เผชิญอสุรกาย ป่าช้าแม่อาง
 
ชื่อเสียงกิตติคุณของหลวงพ่อ เกษม เขมโก เมื่อครั้งที่ท่านยังไม่ละสังขารขันธ์ ขจรขจายเลื่องลือกว้างไกล ไปในหมู่พุทธบริษัท ณ ที่ท่านจำพรรษา มีพุทธศาสนิกชน ไปกราบไหว้สักการะด้วยความเคารพศรัทธาท่าน เนืองแน่นทุกวัน แม้จะไม่ได้ พบตัวท่าน ก็ขอได้กราบนมัสการ กุฏิหลังน้อย ที่ท่านพักผ่อน อยู่ภายใน ก็เกิดปีติปราโมทแล้ว

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ผู้ใกล้ชิดที่สุด ได้มาจากบันทึกสั้น ๆ เป็นคำบอกเล่า ของเจ้าประเวท ณ ลำปาง ซึ่งเป็นหลานของท่าน มีความว่า....

เวลานั้นเจ้าประเวทบวชเป็นสามเณรคอยรับใช้อุปัฏฐาก หลวงพ่อเกษม อยู่ที่ป่าช้าแม่อาง ปฏิปทาของหลวงพ่อเกษม ท่านพอใจจำพรรษา ในป่าช้ามาโดยตลอด เสนาสนะของท่านคือกระต๊อบหลังเล็ก ๆ ที่ญาติโยมปลูกสร้างถวาย ขณะที่เกิดเหตุนี้ สามเณรประเวท นอนอยู่กับพระหวันอีกที่หนึ่ง (พระหวันบวชหน้าไฟเพียง ๗ วัน เนื่องจากบุพการีเสียชีวิต แล้วนำศพมาเผา ที่ป่าช้าแม่อาง ในวันนั้นพระหวันบวชแล้วก็ขออยู่ในป่าช้ากับหลวงพ่อเกษม)

เช้าวันรุ่งขึ้น... สามเณรประเวทมาหาหลวงพ่อเกษมที่กระต๊อบกุฏิเพื่อปรนนิบัติท่าน เมื่อพบหน้ากันหลวงพ่อเกษม ถามสามเณรหลานด้วยความสงสัย

"เมื่อคืนนี้ มาที่นี่หรือ? ใครบุกเข้ามาเมื่อคืนนี้ มาจับมือเรา"
"ผมไม่ได้ขี้นไปครับ ผมอยู่ข้างล่าง..." สามเณรเจ้าประเวทตอบตามความเป็นจริง
"ถ้าอย่างนั้น อสุรกายก็มาจับมือเรา...."

จากนั้นหลวงพ่อเกษมได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้สามเณรเจ้าประเวทฟังว่า

เมื่อคืนนี้เวลาประมาณตีหนึ่ง ขณะหลวงพ่อเกษมนั่งภาวนาอยู่ในกระต๊อบกุฏิ ท่านรู้สึกว่ามีมือใครคนหนึ่งเอื้อมมาจับข้อมือท่าน ซึ่งกำลังประสานฝ่ามือไว้บนหน้าตัก จับข้อมือไว้แล้วบีบเสียแน่น แม้จะมีผู้ล่วงเกินท่านขณะกำลังเจริญภาวนา หลวงพ่อเกษม ก็มิได้สะดุ้งหวั่นไหว ท่านคงเจริญภาวนาต่อไป โดยท่านเล่าว่า

"จับมือเราก็ให้จับ ภาวนาติ๊ก ๆ..." หมายถึงหลวงพ่อเกษมภาวนาไปเรื่อยๆ ครู่หนึ่งมือลึกลับ ที่มาจับข้อมือของท่าน ก็ถอนออกไป แต่ไม่ยังยอมผละจากไปเลย กลับมาบีบนวดที่เอวของท่านแทน จนท่านอดรนทนไม่ไหวเอื้อมมือ มาจับแขนนั้น เพื่อห้ามมิให้รบกวนท่านอีก สัมผัสที่หลวงพ่อเกษมรับรู้ก็คือแขนข้างนั้นรุงรังไปด้วยขนหยาบ ๆ แล้วแขนข้างนั้น ก็อันตรธานหายไป แต่มีเสียงกระซิบที่หูท่านว่า "อยู่ดี ๆ เน้อพ่อเน้อ..."
ต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไรมารบกวนท่านอีกตลอดคืน ตราบได้อรุณของวันใหม่
เจ้าประเวทเล่าว่าตอนเช้าที่มาหาหลวงพ่อเกษมและถูกท่านซักถามดังกล่าวข้างต้น เจ้าประเวทยังจับข้อมือ ของหลวงพ่อเกษม มาดู เห็นรอยแดงเป็นจ้ำตรงข้อมือท่านชัดเจน

นี่คือประสบการณ์เกี่ยวกับวิญญาณ ที่หลวงพ่อเกษม เขมโก เล่าไว้เพียงเรื่องเดียวในอัตประวัติของท่าน อาจจะมีวิญญาณ ที่ทุกข์ทรมาน มาขอความเมตตาจากพระอริยะสงฆ์เช่นท่านอีกก็ได้ เพียงแต่ไม่เป็นที่เปิดเผยเท่านั้น....


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 กรกฎาคม 2552 23:46:51 โดย ~POOMZA~ » บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #254 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:36:50 »

คิดสักนิด...ก่อนคิดจะลอง (ของ)
 
เรื่องของเรื่องเริ่มต้นจากตัวผมเอง เพราะ?? เพราะอะไรไม่รู้

  เหตุเกิดที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ก่อนที่จะเข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยและเป็นส่วนหนึ่งนั้น ทางมหาลัยจะต้องมาการเข้ามาไหว้ขอขมาแก่เจ้าที่ ในบริเวณศาลภายในหาวิทยาลัย แต่เนื่องด้วยผมติดธุระจึงไม่สามารถมาไหว้ขอขมาในครั้งนั้น จึงเข้ามาศึกษาและอยู่อาศัยภายในมหาวิทยาลัยเลย (เรื่องที่เกิดตอนอยู่ปี 1)

  เหตุเกิดขึ้นที่หอพักนักศึกษาในมหาลัย เนื่องจากตัวอาคารเป็นอาคาร 2 ชั้นและมีอายุสิบกว่าปีแล้วจึงทำหใอคารค่อนข้างเก่าและทรุดโทรม วันที่เกิดเรื่องนั้น เพราะอะไรไม่รู้ ทำให้ผมพูดท้าทายสิ่งศักสิทธิ์ไปว่าภายในหอพักนักศ฿กษา "กูไม่กลัวผีหรอก กูอยากเห็นว่ะ ถ้ามีจิงมาให้กูเห็นหน่อยสิ" มันก็เป็นคำพูดเดิมๆของคนที่ชอบท้าทาย ซึ่งฟังกันมาบ่อยๆ และหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรครับ จบ

ล้อเล่นน่ะครับ!!

  หลังจากนั้นผมก็ได้เข้านอนซึ่งภายในตัวห้องที่ผมพักอยู่นั้นเป็นเตียงสองชั้น มีอยู่ 2 เตียง ผมนอนอยู่เตียงทางติดประตูบานเกล็ดฝั่งซ้ายทางด้านบนโดยที่ห้องอยู่ได้4คน แต่เพื่อนๆย้ายไปอยู่หอนอกหมดแล้วทำให้ผมก็นอนค้างอยู่เพียงคนเดียว(ตอนนี้ยังพักอยู่ในชั้นที่ 1 ของพอพัก) ตอนนั้นดึกมากแล้ว และผมก็เริ่มง่วงในไม่ช้าผมก็หลับ และเหตุที่ผมไปพูดท้าทายไว้ก่อนนอนนั้น ตอนนั้นมันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าเวลาเท่าไหร่แต่รู้ว่าดึกมาก เพราะเงียบเสียงจากนักศึกษาภายในหอพักหมดแล้ว และไม่นานผมก็เริ่มรู้สึกอึกอัด ทั้งหนักทั่งแน่นอย่างบอกไม่ถูก ผมจึงพยายามดิ้นแต่ไม่เป็นผล เพราะมันสายไปแล้ว ผมลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย และทั้นใดที่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่ามีร่างดำๆมานั่งทับไว้ที่ตัวผมแล้ว โดยใช้ขาสองข้างของเค้าทับแขนผมไว้ และร่างดำๆนั้น ได้บีบคอผมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
  ตอนนั้นผมไม่ง่วงแล้วครับ ผมก็พยายามสู่ดิ้นให้แรง แต่ก็ไร้ผลซึ่งผมก็พยายามดิ้นอยู่นาน แล้วก็เริ่มหายใจไม่ออก ผมจึงพูดในใจว่ากับเงาดำ "..คุณ..จะยังไง" แต่ก็ไม่มีการตอบรับ หนำซ้ำยังบีบคอผมจนหายใจไม่ออกแล้วในตอนนี้ ผมเองก็ไม่อยากจะพูดคำขอขมาเพราะจำได้ดีว่าไปกล่าวลบลู่เอาไว้ สุดท้ายเมื่อรู้ว่าไม่มีทางชนะและไม่มีอากาศให้หายใจต่อแล้ว เป็นทางเดียวที่คิดว่าทำแล้วจะรอดคือ ผมต้องพูดขอขมาตรงนั้น ทั้งที่ร่างดำๆยังทับอยู่บนยอดอก ผมพูดขึ้นว่า "ผมยอมแล้วครับ ผมไม่พูดแล้ว ปล่อยผมไปเถอะ อโหสิที่ผมพูดไม่ดีด้วยเถอะ." ซึ่งตอนนั้นผมพูดอะไรก็จำไม่ค่อยได้แล้วเพราะไม่มีอากาศหายใจ และหลังจากนั้นร่างดำๆที่ทับและบีบคอผมไว้ก็หายไปในความมืด
  ผมจึงลุกขึ้นมาจากเตียง หายใจยังติดๆขัดๆอยู่ หอบเลยทีเดียวเหงื่อแตกพรักเลย จึงลงจากเตียงมาล่างหน้าและนั่งรอเวลาให้ถึงตอนเช้า รุ่งเช้าก็อาบน้ำไปเข้าชั่วโมงเรียนตามปรกติ ทั้งที่เรื่องเมื่อคืนผมจำได้ว่าร้องให้คนช่วยแต่กลับไม่มีใครได้ยิน แปลก??? และเรื่องนี้ก็ไม่มีใครทราบ จนผ่านมาสัก 2 - 3 วันได้ เพื่อนสนิทผมเองชื่อโอ๋นครับ จบมาจากโรงเรียนเดียวกันห้องเดียวกันด้วย วันมันก็มานั่งคุยเล่นไปเรื่อยกับผมในห้องตอนนั้นเราคุยกันและเปิดไฟไว้ตลอด และเรื่องที่เกิดกับผมนั้นผมยังไม่ได้บอกอะไรกับมัน เราคุยกันไปได้สักพักเพื่อนผมมันก็เงียบไปผมก้มลงไปมองเตียงชั้นล่างซึ่งผมนอนอยู่ชั้นบนปรกติอยู่แล้ว ก็เห็นเพื่อนมันหลับไปแล้ว ตอนนั้นประมานสามทุ่มกว่าเมื่อเพื่อนมันหลับผมก็ไม่มีใครคุยด้วยก็เลยหลับไปอีกคนครับ นอนทั้งที่ไม่ปิดไฟ ปรกติถ้ามีแสงไฟผมจะนอนไม่หลับครับ จนกระทั่งเวลาประมาณห้าทุ่มกว่าไอ้โอ๋นเพื่อนผมมันตื่นขึ้นมาอย่างเสียงดัง(ผมไม่รู้ว่ามันหลับรึเปล่าและตื่นมาตั้งแต่ตอนไหน) จนทำให้ผมตื่นขึ้นมาด้วย มันทำท่าทำทางลุกลี้ลุกลน สีหน้ามันไม่ค่อยจะดีเลยในตอนนั้นแล้วมันก็.........บอกผมว่า
โอ๋น:เอ้ย! เมื่อกี้ผีบีบคอกูว่ะ ..คุณ..ไม่เห็นเหรอ ทำไม..คุณ..ไม่ช่วยกูว่ะ
ผม :ไม่เห็นว่ะกูหลับ กูไม่เห็นมีรัยเลย
โอ๋น:ไม่มีไงว่ะ เมื่อกี้ยังบีบคอกูอยู่เลย กูร้องให้ช่วย..คุณ..ไม่ได้ยินรึไงว่ะ
ผม:ไม่ว่ะ กูไม่ได้ยินอะไรเลย
โอ๋น:เอ้ย! เป็นไปได้ไงว่ะ กูเรียกให้ช่วยตั้งหลายครั้ง
ผม:ถ้าได้ยินเพื่อนห้องข้างๆเค้าก็มาช่วยแล้วสิว่ะ
โอ๋น:มันทำหน้างงๆ สีหน้าไม่ค่อยดีแล้ว กูไม่นอนเล่นแล้วห้องนี้
ผม:เออๆ ตามใจ..คุณ.. ก่อนมันจะลุกเดิน ผมบอกว่าเมื่อ 2 - 3 วันก่อนกูก็เจอเหมือนที่..คุณ..เจอมา
โอ๋น:ทำหน้างง ..คุณ..เจออะไรว่ะ
ผม:ผีบีบคอกูเหมือน..คุณ..เลย แต่กูไม่ได้บอก..คุณ..
โอ๋น:มันทำหน้าเสียแล้วรีบออกจากห้องผมไปเลย

หลังจากนั้นผมก็สวดมนต์ไหว้พระแล้วก็นอนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คิดในใจถ้าวันนี้ผีกลับมาบีบคอเราอีกจะทำไงว่ะ นอนคนเดียวด้วย เรื่องนี้ก็จบลง

  ไม่นานหนักพอดีเพื่อนในหอเดียวกันมาบอกว่าห้องว่างโดยมีเพื่อนคนนี้นอนอยู่คนเดียว เพื่อนคนนี้ชื่อป๋อง ผมจึงไม่รอช้ารีบย้ายของออกจากห้องเก่าทันที เพื่อไปอยู่กับเพื่อนห้องของเพื่อนมีลักษณะเช่าเดียวกับห้องผมเพราะเป็นหอพักนักศึกษา ห้องนี้อยู่กันได้ 4 คน แต่ผมอยู่กันแค่สองคนกับเพื่อน และห้องที่ผมย้ายไปเป็นห้องบ้วยหรือห้องสุดท้าย อยากจะบอกว่าห้องนี้มันแปลก เพราะเมื่อถึงหน้าหนาวอากาศมันหนาวสิครับ<---แปลกตรงไหนว่ะไอ้บร้า ก็มันหนาวยังกับห้องดับจิตเลยล่ะครับ แล้ว สี่ห้องสุดท้ายน่ะครับเวลาเดินผ่านจะรู้สึกว่ามันเย็นถึงขั่วหัวใจเลย นอนในห้องนี้สั่นๆทั้งคืนเลยครับ ถ้ามีเวลาว่างผมจะออกมานั้งตากแดดตรงระเบียงครับแต่มันไม่ช่วยอะไรสักเท่าไหร่เลย
  และเหตุการณ์ก็เกิด ในช่วงหน้าหนาว คือนั้นก็ปรกติดีอากาศกำลังดีเลย ผมเละเพื่อนๆจำได้ซื้อของมาทานกันในห้อง ซึ่งสองห้องของเรานั้นห้องจะตรงกันและมีทางเดินขั้นกลางเท่านั้น เมื่อเปิดประตูทั้งสองห้องก็จะเห็นภายในห้องทั้งสองได้เลย วันนั้นเราซื้อของมากินกันอย่างสนุก และเราก็เปิดประตูห้องไว้ เพราะว่ากลัวใครมาหาจะไม่เจอ จึงเปิดไว้ระหว่างสองห้อง ไม่นานเราก็กินอาหารจนหมด และผมก็เห็นคนสวมเสื้อดำเดินมามองหลบๆทางประตูนิดหน่อย เห็นเฉพาะช่วงบน แล้วเค้าคนนั้นก็หายไป เพราะผมลุกออกไปเปิดประตู่ตามไปดู ผมก็เอ๋ยปากว่า "เมื่อกี้ใครมาว่ะ หายไปไหนแล้ว มาหาพวก..คุณ..เปล่าว่ะ" มีผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เห็นคนเสื้อดำนั้น แต่อีกสามคนที่นั่งด้วยกันกลับไม่เห็น แถมบอกว่ามีใครมาเมื่อไหร่ ทำไมเห็นกันแค่สองคนว่ะ เราก็ไม่ได้ติดความอะไร แต่ผมมานึกดูกับเพื่อนอีกคนที่เห็นก็รู้ว่าเมื่อครู่นี้คงไม่ใช่คนแล้วล่ะ พอตกดึกก็แยกย้ายกันเข้าห้อง ไม่นานหนักก็มีเสียงนกแซกมาร้องไกล้ๆห้อง เพื่อนผม ไอ้ป๋องมันก็พูดขึ้นว่าสงสัยคงจะมีใครตายอีกแล้ว ผมก็เงียบสักพักแล้วบอกว่าไม่มั่ง ไม่มีอะไรหรอก จากนั้นเราก็นอน เวลาประมาณตี3 แม่ของไอ้ป๋องโทรมาบอกว่า พ่อของมันเสียแล้ว โอ้ว!....อะไรกันนี้ ที่นกมันร้องเพราะเหตุนี้เหรอ แล้วคนเสื้อดำที่เห็นนั้นคงไม่ใช่ใครนอกไปจาก.....................

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #255 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:39:42 »

หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม สอนผีให้รับศีล
 
       หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม แห่งวัดอรัญญวิเวกบ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ท่านเป็นศิษยองค์สำคัญรูปหนึ่งของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
หลวงปู่ตื้อ เป็นพระสุปฎิปันโน ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ปฎิบัติตรงต่อ องค์มรรคคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัย, จิตใจของท่านเป็นคนจริง คนตรง คิดอย่างไรก็จะพูดอย่างนั้น ไม่นิยมปรุงแต่งถ้อยคำวาจาให้ไพเราะรื่นหู ดังนั้นการแสดงธรรมคำสอนของท่านจึงเผ็ดร้อนไม่มีอ้อมค้อมเยิ่นเย้อ ว่ากันว่าคนหน้าบาง หรือมีกิเลสครอบงำอย่างหนา เจอถ้อยคำวาจาของ หลวงปู่ตื้อ
เข้าถึงกับหูร้อนฉ่า ผิวหน้าผะผ่าวไปเลยทีเดียว
คำพูดของปลวงปู่ตื้อเป็นที่เลื่องลือว่าตรงไปตรงมา จี้จุดเข้าเป้าตรงเผ็ง ถ้าจะให้อุปมาก็คงเปรียบได้ดั่งขวานใหญ่คมกริบที่หวดกระน่ำเข้าผ่าท่อนฟืน เปรี้ยงเดียว ท่อนฟืนถูกผ่าตั้งแต่หัวยันท้าย
แยกกระเด็นเป็นสองซีกทันที
ปฎิปทาอันโลดโผนโผงผาง และตรงไปตรงมาของท่านนั้นเป็นจริตนิสัยที่ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น ผิดหรือถูกชั่วหรือดีท่านแยกแยะจนกระจ่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องเทศนาสอนคนด้วยแล้ว ท่านสอนชนิดเผ็ดร้อนถึงใจทีเดียว หลวงปู่ตื้อมักพูดเสมอว่า
"เราเทศน์เรื่องจริง เราไม่เอาใจใคร เอาใจผู้คนก็เท่ากับเลี้ยงกิเลสให้อ้วนพี เรามีความจริงใจ
เราไม่ได้เทศน์เอาบุหรี่เกล็ดทองของใคร"

เช่นครั้งหนึ่ง หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม มีหมายกำหนดการไปเทศนา และอบรมกรรมฐานที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ สานุศิษย์และศรัทธาญาติโยมไปประชุมกันเนืองแน่นเต็มศาลาใหญ่
ในวันนั้นหลวงปู่ตื้อเทศนาแสดงธรรมได้กระจ่างชัด ทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง กระทั่งปริโยสาน ท่านชี้ให้เห็นตัวทุกข์ เหตุแห่งความทุกข์ และวิธีจะดับทุกข์ได้อย่างไร พร้อมกันนั้นท่านยังอรรถาธิบายถึงความยึดติดยึดมั่นความเป็นตัวตนของกูตัวกูไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง หากปล่อยวางเสียได้ จิตใจย่อมจะผ่องใสปลอดโปร่ง ความโกรธ ความโลภ ความหลงใดๆ ก็จะผ่อนคลายเบาบางและถึงขั้นอันตรธานสิ้นไป เหลืออยู่แต่ความเบาสบายในที่สุด
อุบาสก อุบาสิก ศรัทธาญาติโยมรับฟังแล้วและใช้ความคิดพินิจไตร่ตรองตามข้อธรรมที่ท่านแสดง ต่างบังเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและเห็นจริงตามความเป็นจริง จิตใจเริ่มปล่อยวางจากความเป็นตัวตนของตน ไม่อยากยึดมั่นถือมั่นต่อไปอีก
อุบาสิกาท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง เมื่อเทศน์จบลง
อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้าธรรมาสน์ที่ท่านนั่งแสดงธรรม พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า " หลวงปู่เจ้าค่ะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ"
"อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม"
"อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่"
หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า
"อีตอแหล!"
สิ้นคำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่า
หลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่าทำไมท่านจึงมาด่าว่าตรนท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้ หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึๆ ไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะที่คนทั้งศาลา หัวเราะกันครืน
เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน
นี่ละ...คือปฎิปทาโลดโผนโผงผางของหวงปู่ตื้อ

       หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม มีเหื่อนสหธรรมมิกที่สนิทกันอย่างมากรูปหนึ่ง ท่านผู้นั้นคือ หลวงปู่แหวน สุจณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ ความสนิทสนมเป็นที่ถูกอัธยาศัยของหลวงปู่ทั้งสองนี้ออกจะเป็นเรื่องแปลกไม่น้อย เนื่องจากจริตนิสัยของแต่ละท่านห่างไกลกันชนิดสุดขั้ว
หลวงปู่ตื้อเป็นคนพูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมาและพูดเก่ง แต่หลวงปู่แหวนไม่ชอบพูด วันทั้งวันไม่ได้ยินเสียงพูดของท่านเลยก็ว่าได้ หากไม่มีความจำเป็นท่านจะไม่พูด ทว่าท่านทั้งสองกลับถูกอัธยาศัยกันอย่างยิ่ง
หลวงปู่ตื้อพบกับหลวงปู่แหวนครั้งแรก ขณะที่ท่านทั้งสองเพิ่งจะเริ่มออกจาริกธุดงค์ได้ไม่นานและยังเป็นพระมหานิกายอยู่ ไปพบกันในป่าบนเทือกเขาภูพานโดยต่างฝ่ายต่างมาคนละทิศ หลังจากท่านทั้งสองสนทนาปราศรัยกันพอสมควรจึงทราบจุดประสงค์เหมือนกันอีกว่า ปรารถนาจะไปฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เพื่อศึกษาข้อธรรมกระทำความเพียงให้ถึงที่สุด เมื่อยังไม่มีวาสนาได้พบท่านพระอาจารย์ใหญ่ก็จะจาริกธุดงค์กระทำความเพียรไปเรื่อยๆ
เมื่อจะเป็นพระใหม่อ่อนพรรษา แต่พระหนุ่มทั้งสองรูปมีส่วนหนึ่งที่เหมือนกันคือ มีความองอาจกล้าหาญที่จะจาริกไปตามป่าเขาแนวไพรเพียงรูปเดียว เพื่อบำเพ็ญธรรมกระทำความเพียรอย่างแน่วแน่ มิได้หวั่นไหวพรั่นพรึงต่อความยากลำบากใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อหลวงปู่ทั้งสองต่างสบอัธยาศัยต่อกันยิ่ง จึงได้ตกลงร่วมทางจาริกไปยังฝั่งลาวด้วยกัน โดยออกจากเขตไทยทางอำเภอเชียงคานข้ามแม่น้ำโขงไปสู่ราชอาณาจักรลาว สมัยนั้นแผ่นดินลาวยังมีป่าอุดมสมบูรณ์ครอบ
คลุมไปทั่วประเทศ นับเป็นสถานรื่นรมย์ของพระธุดงค์กรรมฐานที่จะท่องเที่ยวจาริกไปเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม
กระทำความเพียร
เหตุการณ์เผชิญวิญญาณ ซึ่งเป็นประสบการณ์ธุดงค์ของ หลวงปู่ตื้อและหลวงปู่แหวน ที่จะนำมาแสดงครั้งนี้ เกิดขึ้นคราวที่ท่านทั้งสองจาริกธุดงค์ ไปยังประเทศลาวและพม่า กระทั่งกลับคืนสู่ประเทศไทยทาง
"กอกะเรก" เข้ามายังอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก เมื่อถึงแผ่นดินไทยแล้วท่านก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากทราบข่าวว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตอยู่ที่เชียงใหม่ เส้นทางซึ่งหลวงปู่ทั้งสองจาริกไปนั้นผ่านป่ามาโดยตลอด
ไม่พบหมู่บ้านหรือผู้คนสัญจร แม้แต่คนเดียว
ระหว่างทางพบศาลาเก่าๆ หลังหนึ่งปลูกสร้างอยู่กลางป่า แสดงว่าคงมีหมู่บ้านไม่ไกลนัก ศาลาแห่งนี้ชาวบ้านคงปลูกสร้างไว้เพื่อให้เป็นที่พักชั่วคราวสำหรับคนเดินทาง หลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่แหวนตกลงพักอยู่ที่ศาลานี้โดยแขวนกลดไว้ตรงมุมศาลาคนละฟาก คืนนั้นผ่านไปโดยปกติ เช้ารุ่งขึ้นท่านทั้งสองก็ออกโคจรบิณฑบาตไปที่หมู่บ้าน ได้อาหารกลับมาที่ศาลาแล้ว พอวางบาตรลงเท่านั้นก็เกิดเรื่องทันที
หลวงปู่แหวนซึ่งนั่งอยู่บนพื้นศาลา พลันมีกิริยาอาการผิดปกติขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ท่านเอนตัวไปข้างหน้า เอมมือสองข้างยันพื้นกระดานไว้ ขากรรไกรแข็ง น้ำลายไหลยือ หน้าท้องก็แข็งไปหมด หลวงปู่ตื้อเห็นตอนแรกคิดว่าเพื่อน สหธรรมมิกเป็นลม จึงถามไปว่า
"ท่านแหวนเป็นอะไร"
หลวงปู่แหวนไม่ตอบ ได้แต่นั่งตัวแข็งน้ำลายไหลไม่หยุด คราวนี้หลวงปู่ตื้อ ฉุกคิดสงสัยขึ้นมาว่าคงไม่ได้การแน่ ท่านจึงฉุกคิดสงสัยขึ้นมาว่าคงไม่ได้การแน่ ท่านจึงกำหนดจิตเข้าสมาธิพิจารณาดูก็รู้ว่ามีผีบังอาจกระทำฤทธิ์กับหลวงปู่แหวน
เมื่อถอนจิตออกจากสมาธิแล้วหลวงปู่ตื้อยังไม่รู้จะกำราบปราบผีด้วยวิธีไหน เนื่องจากขณะนั้นท่านกับหลวงปู่แหวนยังฝึกจิต ไม่ถึงขึ้นมีอำนาจกล้าแข็งเท่าไหร่ วิชาอาคมอะไรก็ไม่ได้เรียนมา
แต่จะให้หลวงปู่ตื้อยอมพ่ายแพ้ต่อฤทธิ์อำนาจภูตผีวิญญาณง่ายๆ ย่อมมิใช่วิสัยของท่าน หลวงปู่จึงข่มขู่ด่าว่าผีที่กำลังกระทำต่อหลวงปู่แหวนไม่ยั้งกันหละ แต่ผีมันไม่กลัวท่านเอาเสียเลย หลวงปู่ตื้อต้องหาอุบายใหม่ จัดแจงหอบ ใบไม้แห้งมากองไว้แล้วจุดไฟ พอไฟลุกท่านก็เอาก้อนดินแห้งใส่เข้าไปเผาจนร้อน แล้วเอาไม้มาทำเป็น ไม้หนีบคีบดินร้อนๆ ขึ้นมา พลางขู่ผีเสียงดังลั่นว่า
"คราวนี้ ถ้าเจ้าไม่ออกจากร่างพระสงฆ์องค์เจ้า ไม่เกรงกลัวบาปกรรมละก้อเราจะเผาเจ้า"
ยื่นไม้หนีบก้อนดินร้อนฉ่าไปใกล้ๆ หน้าหลวงปู่แหวนเพื่อนข่มขู่ผีที่เข้าสิงท่าน แต่ผีมันยังไม่กลัวอีก
ขัดใจขึ้นมาหลวงปู่ตื้อไม่คิดแค่ขู่แล้ว หากเอาจริงๆ
"หากเจ้าไม่ออก เราจะเผาเจ้าด้วยดินจี่นี่ให้ดู"
ว่าแล้วหลวงปู่ตื้อก็เอาดินเผาไฟร้อนฉ่าวางลงบนศรีษะหลวงปู่แหวนจริงๆ ผีเจอเข้าแบบนี้มันถึงกับยอมออกไป หลวงปู่แหวนจึงกระดุกกระดิกได้ เมื่อรู้ตัวเป็นปกติแล้วหลวงปู่แหวนบอกแก่เพื่อนสหธรรมมิกของท่านสั้นๆ ว่า " มันเอาผมตายจริงๆ นะ ท่านตื้อ"
เช้าวันนั้น หลังจากฉันเสร็จ ล้างบาตรเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่แหวนเก็บอัฐบริขารเพื่ออกจาริกต่อไป
แต่หลวงปู่ตื้อไม่ยอมไป ท่านบอกกับหลวงปู่แหวนว่า
"ท่านแหวนไปรอข้างหน้านะ ผมจะจัดการกับผีตนนี้สักหน่อย"
หลวงปู่แหวนไม่ยอมอยู่ด้วย เก็บอัฐบริขารเสร็จก็เดินล่วงหน้าไปเพียงลำพัง ปล่อยให้หลวงปู่ตื้อรับมือกับผี ที่ศาลากลางป่าเพียงรูปเดียว
ตลอดวันนั้นหลวงปู่ตื้อนั่งเจริญสมาธิ เดินจงกรมอยู่ศาลา กลางป่าเป็นปกติ กระทั่งเวลาล่วงเข้าสายัณห์สมัย ท่านก็ทำวัตรสวดมนต์อันเป็นกิจของสงฆ์ จากนั้นจึงเข้าที่ภาวนาภายในกลด กำหนดจิตเข้าสู่สมาธิตามลำดับ เมื่อ จิตรวมเป็นหนึ่งเดียวก็บังเกิดแสงโอภาสสว่างไสวไปทั่ว
ขณะอยู่ในสมาธิได้เกิดนิมิตเป็นผีผู้หญิงผุดขึ้นมาเบื้องหน้า และผีตนนั้นก็ดิ่งเข้ามาหาหลวงปู่ตื้อด้วยกิริยาไม่น่าไว้วางใจ วิสัยของหลวงปู่ตื้อท่านไม่เคยหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อสิ่งใดอยู่แล้ว เมื่อเห็นผีตรงรี่เข้ามาหาท่านจึงเพิ่งจิตเข้าหยุดมันให้ชะงักงัน แล้วท่านก็ถามว่า " เจ้ามาจากไหน จึงกล้าล่วงเกินต่อพระภิกษุผู้ทรงศีล"
ผีนางนั้นตอบว่า "ฉันตายทั้งกลม ลูกตายทั้งกลม ลูกตายในท้อง เขาเอามาฝังไว้ที่นี่"
หลวงปู่ตื้อถามอีกว่า "เจ้าใช่ไหมที่กระทำต่อพระภิกษุ" ผีก็รับว่า "ใช่"
ท่านถามต่อไปอีกว่า " ทำไมบังอาจกระทำเช่นนั้น ไม่รู้หรือว่าเป็นบาปกรรม"
ผีตอบว่า "ฉันชอบพระรูปนั้น ท่านสวยดี ฉันจะเอาพระรูปนั้นไปเป็นผัว"
หลวงปู่ตื้อได้ฟังแล้วก็เกิดความสลดสังเวช พิจารณาเห็นภัยแห่งกามกิเลส ซึ่งร้อยรึดมัดตรึงจิตใจของสัตว์โลกให้ตกต่ำมืดอยู่กับดำกฤษณา ไม่รู้ดีรู้ชั่วถึงเพียงนี้ ดูเช่นผีตายทั้งกลมนางนี้เอาเถิด ขนาดตายไปผุดเกิดอยู่ในภูมิอัน เป็นทุกข์ ก็ยังไม่วายจะเกิดอารมณ์ปฎิพัทธ์รักใคร่พระภิกษุที่ตนพึงใจอย่างหน้ามืดตามัว ไม่กลัวบาปกรรมใดๆ ทั้งสิ้น
หลวงปู่ตื้อเห็นนางผีมีอกุศลเช่น ท่านจึงว่ากล่าวให้รู้ว่าเจตนา และการกระทำของมัน ที่ล่วงเกินพระภิกษุผู้กำลังบำเพ็ญสมณธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฎเช่นนี้เป็นบาปกรรมอันหนักยิ่ง ตนเองเป็นผีเป็นเปรตได้รับทุกขเวทนาสาหัสอยู่แล้วยังอยากจะตกนรกหมกไหม้หนักเข้าไปกว่าเดิมอีกหรือ หลังจากชี้แจงแสดงเหตุผลให้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษแล้ว หลวงปู่ตื้อก็ให้ผีตายทั้งกลมรับศีลไปปฎิบัติรักษา เพื่อจะได้มีโอกาสไปผุดเกิดในภพภูมิอันประเสริฐยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
นี่ละ คือ หลวงปู่ตื้อ แม้แต่ผีท่านก็ยังให้รับศีลจนได้
ผีตายทั้งกลมนางนั้นหลังจากได้รับการอบรมจากหลวงปู่ตื้อ มิจฉาทิฐิก็ผ่อนคลายลง เริ่มรู้ดีรู้ชั่วมากข้นกว่าเดิม ผีสารภาพว่าไม่รู้หลวงปู่แหวนเป็นพระภิกษะ เห็นท่านสวย ผิวขาวผ่องใส ก็เกิดนึกรักอยากจะให้มาอยู่ด้วยกัน
แสดงว่าขณะที่ผีตนนั้นเป็นมนุษย์คงไม่รู้จักพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นคนบ้านป่าถิ่นเถื่อนห่างไกลความเจริญอย่างแท้จริง
หลวงปู่ตื้อพักอยู่ที่ศาลาแห่ง นี้เป็นเวลา 1 เดือนเต็มๆ ตลอดระยะเวลาเหล่านั้นท่านแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ผีตายทั้งกลมสม่ำเสมอ และสอนนางผีตนนั้น ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ กระทั่งจิตวิญญาณอ่อนโยนลง
คร้นเห็นผีเกิดกุศลความดีขึ้นในจิตพอสมควรแล้วจึงสั่งสอนเป็นครั้งสุดท้ายว่า
"ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าจงอย่างกระทำล่วงเกินพระธุดงค์ที่จาริกผ่านมาเป็นอันขาด เห็นท่านพบท่านจงอนุโมทนาสงเคราะห์ทุกรูป ทุกองค์ไป"
จากนั้นหลวงปู่ตื้อก็เก็บอัฐบริขารจาริกออกจากศาลากลางป่าติดตามหลวงปู่แหวนไปที่เชียงใหม่ เมื่อพบหลวงปู่แหวนแล้วท่านทั้งสองพากันไปกราบนมัสการพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่เชียงใหม่ และถวายตัวเป็นศิษย์ท่านตั้งแต่บัดนั้น......

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 กรกฎาคม 2552 23:47:06 โดย ~POOMZA~ » บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #256 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:40:47 »

เมื่อหลวงปู่ศุข เจอผีสมภารวัดร้างลองดี


หลวงปู่ศุข เกสโร (พระครูวิมลคุณากร)
วัดปากคลองมะขามเฒ่า ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท

เป็นพระอาจารย์ที่เคารพนับถือของ พล.ร.อ.พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งกองทัพเรือ ท่านเป็นพระอภิญญาที่ทรบงบารมีธรรม และทรงคุณวิเศษในเวทวิทยายากจะหาผู้ใดเทียบเท่า

ตลอดช่วงชีวิตแห่งการครองเพศสมณะ เชื่อได้ว่าหลวงปู่ศุขย่อมมีประสบการณ์เผชิญกับวิญญาณมาไม่น้อย เพียงแต่ท่านไม่เปิดเผยให้ผู้ใดมีโอกาสได้รับรู้ นอกจากเรื่อง
"ผีสมภารวัดร้าง" ซึ่งนายยอด สุขทอง ลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านรับฟังมาและนำมาเล่าต่อ ดังมีรายละเอียดดังนี้

ครั้งนั้นหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าจาริกธุดงค์ ไปนมัสการพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี เมื่อท่านได้ถวายอภิวาทต่อรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความปิติอิ่มใจแล้วจึงได้เดินธุดงค์กลับวัดปากคลองมะขามเฒ่าของท่าน ระหว่างเดินทางกลับ

ท่านได้จากริมาพบวัดร้างแห่งหนึ่งในเวลาเย็นย่ำสนธยา ซึ่งถึงกาลอันสมควรหาสถานที่เหมาะสมเพื่อปักกลด หลวงปู่ศุข พิจารณาวัดร้างแห่งนี้เห็นว่าพอจะอาศัยเป็นสถานที่พักผ่อนในราตรีกาลที่จะมาถึงได้ ท่านจึงแบกกลดเข้าไปในเขตธรณีสงฆ์แห่งนั้น

บริเวณทั่วไปของวัดร้างสงัดเงียบ มีโบสถ์ ศาลาการเปรียญและกุฎิ พระครบสมบูรณ์ เพียงแต่ปราศจากพระเณรจำพรรษาคอยดูและรักษาทำนุบำรุง เสนาสนะต่างๆ ดังนั้นศาสนสถานโดยทั่วไปจึงชำรุดทรุดโทรมผุพังเป็นที่น่าสังเวช หลวงปู่ศุขรู้สึกแปลกใจระคนสงสัยทีวัดนี้ ไม่ควรจะปล่อยร้างวังเวงดังที่เห็น เพราะสังเกตดูที่ตั้งขอวัดก็อยู่ในพื้นภูมิทำเลที่เหมาะสม ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหมู่บ้านชุมชนเท่าไหรนัก เหตุใดจึงขาดผู้มีจิตกุศลศรัทธาอุปัฎฐากพระเณรถึงเพียงนี้

หลวงปู่เพียงแค่สงสัย แต่ไม่คิดใฝ่ใจใคร่รู้สาเหตุที่มาของวัดร้าง ท่านจึงมองหาที่พักสำหรับคืนนี้ เห็นบริเวณระเบียงด้านหน้ากุฎิหลังใหญ่ดูกว้างขวาง และเปิดโล่งโปร่งสบายก็ตรงไปยังที่น้น วางอัฐบริขารลง แล้วไปเก็บแขนงไม้มารวมกันปัดกวาดพื้นให้สะอาดพอปูอาสนะได้

ขณะที่หลวงปู่ศุขกำลังปัดกวาดอยู่นั้น มีชาวบ้านเป็นชาย 2 - 3 คน เดินมาหาท่านแล้วนังยกมือไหว้นมัสการ คนที่มีอาวุโสที่สุดถามขึ้นว่า "หลวงพ่อมาจากไหนขอรับ" พวกกระผมเห็นหลวงพ่อเดินลัดตัดทุ่งตรงมาที่นี่ จึงรีบมาพบ"
"อาตมาไปนมัสการพระพุทบาทสระบุรีมา กำลังจะกลับวัดปากคลองมะขามเฒ่า คืนนี้คงต้องพักที่วัดนี้ชั่วคราว พวกโยมเป็นคนบ้านี้กระมัง"

"ใช่ขอรับ กระผมเองอยูเลยหลังวัดนี้ไปไม่เท่าไหร่ เอ้อ หลวงพ่อขอรับ ท่านพักอยู่ตรงระเบียงหน้ากุฎินี้เห็นทีจะไม่เหมาะสมกระมังครับ"
"ทำไมหล่ะโยม อาตมาเห็นว่าเป็นวัดร้างไม่มีใครดูแลเป็นเจ้าของจึงไม่ได้ขออนุญาตใคร"

" ไม่ใช่เรื่องขออนุญาต หรือไม่ขออนุญาตหรอกขอรับ แต่พวกกระผมเป็นห่วงหลวงพ่อ กลัวว่าหลวงพ่อจะเจอเรื่องไม่ดีไม่งามเข้าตอนกลางค่ำกลางคืน "
"เรื่องไม่ดีไม่งามที่โยมว่านั่นน่ะ มันเรื่องอะไร" ชายสูงวัยทำท่าอึกอักก่อนจะตัดสินใจไปกราบเรียน "ผีที่นี่เฮี้ยนเหลือกำลังขอรับหลวงพ่อ สาเหตุที่วัดนี้กลายเป็นวัดร้าง ก็เพราะผีดูนี่แหละครับ กระผมเองเคยเป็นมัคทายกวัดนี้รู้เรื่องดีเชียวละ"

แล้วอดีตมัคทายกก็เล่าเรื่องผีวัดร้างให้ปลวงปู่ฟังว่า เมื่อก่อนวัดนี้มีพระเณรจำพรรษาไม่เคยขาด ชาวบ้านร้านตลาดมาทำบุญทำทานกันตลอดเวลา
ต่อมาสมภารเจ้าวัดมรณภาพ ยังไม่ทันจะหาสมภารรูปใหม่มาปกครองดูแลวัด ผีสมภารเปิดฉากออกอาละวาดหลอกหลอนแทบทุกคืนจนพระเณรอกสั่นขวัญหาย แม้ชาวบ้านจะร่วมกันทำบุญแผ่กุศลสักเท่าไหร่ ผีสมภารก็ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ยังคงหลอกหลอนเหมือนเดิม กระทั่งพระเณรทนไม่ไหวพากันหนีหายย้ายไปอยู่วัดอื่นหมด

เคยมีพระใหม่ใจกล้ารับอาสาจะมาช่วยบูรณะวัดฟื้นฟูวัด แต่อยู่ได้ไม่กี่วันก็หอบอัฐบริขารจากไป เพราะผีสมภารเล่นงาน
หลวงปู่ศุขรับฟังอดีตมัคทายกวัดเล่าเรื่อผีสมภารโดยสงบมิได้แสดงความคิดเป็นแต่ประการใด เมื่อมัคทายกกราบเรียนแนะนำให้ท่านย้ายที่ปักกลดไปอยู่นอกเขตวัดจะดีกว่า ท่านก็เฉยเสีย บอกแต่เพียงว่าคงไม่เป็นไร เพราะท่านมาอาศัยคืนเดียวแล้วก็ไป ผีสมภารคงไม่ทำอะไร เมื่อหลวงปู่ยืนยันเช่นนี้ ชาวบ้านก็จำต้องนมัสการกราบลากลับไป ทั้งที่ห่วงใยท่านจะทานวิญญาณร้ายของสมภารเจ้าวัดที่ตายไปไม่ไหว

หลวงปู่กางกลด จัดวางบริขารและปูอาสนะเรียบร้อย เมื่อความมืดของราตรีมาเยือน วัดก็ยิ่งวังเวงหนักขึ้น หลวงปู่ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเย็นตามกิจของท่านแล้วเข้ากลด เจริญสมาธิภาวนาเช่นที่เคยปฎิบัติมา โดยไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น

ตราบกระทั่งดึกสงัด ก็ปรากฎเสียงบานหน้าต่างของกุฎิหลังใหญ่กระแทกเปิดปิดดังสนั่น ทั้งๆ ที่ประตูหน้าต่างใส่ดาลลั่นกลอนปิดสนิท จะเป็นเพราะลมก็ไม่ใช่เพราะเวลานั้นลมสงบเงียบเชียบ

หลวงปู่ศุข กำลังพักผ่อนต้องลุกขึ้นมานั่ง คอยดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีก ท่านก็ไม่ต้องคอยนาน เมื่อตรงหน้ากลดนั้นร่างดำมึนดูทะมึนของสมภารวัดได้ผุดวูบขึ้นมาให้เห็นถนัดชัดเจน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงแหบห้าวดุจไม่พอใจ
" มาทำไม?"

"ผมไปรุกขมูลมา จะขออาศัยนอนที่นี่สักคืน" หลวงปู่ศุข ตอบ
ผีสมภารนิ่งแล้วหายวับ คราวนี้เกิดเสียงดังโครมครามสนั่นหวั่นไหว ภายในกุฎิไม่ยอมหยุด ประหนึ่งต้องการขับไล่หลวงปู่ศุข ทว่าหลวงปู่มิได้หวั่นไหวต่อการแสดงฤทธิ์ของผีสมภาร

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังรู้สึกสงสารเวทนาต่อดวงวิญญาณมิจฉาทิฐิที่หลงวนเวียนยึดเหนี่ยวในสถานที่นี้ไม่ยอมไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า ทั้งๆที่บวชเรียนในพระพุทธศาสนามานานถึงขึ้นเป็นสมภารเจ้าวัด

หลวงปู่ศุขสำรวมจิตแผ่เมตตาไปให้ แต่เสียงสนั่นหวั่นไหวภายในกุฎิ ก็ไม่ยอมหยุด สวดมนต์อีกหลายบท ผีสมภารก็ยังไม่รับรู้ มิหนำซ้ำ ผีสมภารยังมาปรากฎร่างยืนตระหว่างตรงหน้ากลด แผดเสียงหัวเราะเย้ยหยันแล้วคำรามลั่นบอกว่า "ไม่กลัวหรอก มีคาถาอะไรก็ว่ามาอีกซิ"

หลวงปู่ศุขเห็นผีสมภารดื้อด้านถึงเพียงนี้ ท่านจึงกล่าวออกมาดังๆว่า
"อนิจจาเอ๋ยไม่เคยเห็น ผีตายหรือจะสู้กับผีเป็น นะโมพุทธายะ"

ด้วยถ้อยคำประโยคนี้ ผีสมภารก็หายวับไปไม่มีเสียงโครมครามใดๆ ตามมาอีก และหลวงปู่ศุขก็ไม่ใส่ใจสนใจอีกต่อไป เอนกายลงพักผ่อนตามปกติของท่าน
เช้าวันรุ่งขึ้นอดีตมัคทายกและชาวบ้านกลุ่มใหญ่รีบมาที่วัดแต่เช้า เห็นหลวงปู่ศุขเป็นปกติดีไม่มีอะไร ต่างปีตีดีใจเข้ามากราบไหวันมัสการสอบถาม ว่าเมื่อคืนมีเหตุการณ์ร้ายๆอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ หลวงปู่ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆ ทำนองมิให้ซักไซร้ให้มากความ ชาวบ้านจึงไม่กล้าละลาบละล้วงถามอีก

จากนั้นก็กลับไปจัดหาภัตราหารเช้ามาถวาย
เมื่อท่านกระทำภัตกิจเรียบร้อย ชาวบ้านนิมนต์ให้ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อน เพื่อพวกเขาจะได้มีโอกาสทำบุญสร้างกุศลกันบ้าง หลวงปู่ศุขก็เมตตารับนิมนต์
หลวงปู่พำนักอยู่ที่กุฎิร้างของสมภารเก่า ๕ คืน ไม่กรากฎมีผีสมภารออกอาละวาดอีกเลย

ท่านเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงเก็บอัฐบริขารเพื่อเดินทางต่อไปชาวบ้านอ้อนวอนให้ท่านเป็นสมภารวัดร้างแห่งนี้ แต่หลวงปู่ไม่อาจรับศรัทธาญาติโยมข้อนี้ได้




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 กรกฎาคม 2552 23:47:18 โดย ~POOMZA~ » บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #257 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:44:21 »

เขตหวงห้ามเกี่ยวกับเรื่องพญานาค
 
ท่านที่เดินทางผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์บ่อย ๆ อาจเคยเห็นปั๊มน้ำมันร้างแห่งหนึ่ง มีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง มีทั้งบ้านพักเจ้าของและสำนักงาน มีมินิมาร์ท อีกทั้งทำเลก็ไม่เลวนัก แต่ทำไมผู้เป็นเจ้าของจึงเลิกกิจการปล่อยทิ้งทรุดโทรมไว้เช่นนั้น

แรกเริ่มเดิมทีนั้น บริเวณแถบดังกล่าวยังไม่ค่อยมีผู้ไปจับจองทำประโยชน์นัก
มีสภาพเป็นป่าละเมาะกลาย ๆ ต่อมาเมื่อความเจริญขยายตัวขึ้น ผู้คนก็มองหาที่ดินทำมาหากิน แล้วก็เลยมาครอบครองที่บริเวณนี้ เพื่อใช้ในการเลี้ยงสัตว์ โดยมีการสร้างคอกเลี้ยงวัวไว้ ซึ่งดูๆ ไปก็เหมาะสมดี เพราะไม่ไกลจากตัวหมู่บ้านเท่าใดนัก

แต่เขาหารู้ไม่ว่า ที่ดินที่มีสภาพปกตินี้ มีความน่ากลัวแฝงอยู่

โดยในยามดึก ฝูงวัวในคอกจะมีอาการตื่นกลัวโดยหาสาเหตุไม่ได้ มันทั้งร้องและตะกายคอก ไม่เป็นอันหลับนอน จนเจ้าของต้องมานอนเฝ้าดูแล แต่แล้วคนเฝ้าเองก็กลับฝันร้ายทุกคืน หนัก ๆ เข้าก็ทนไม่ไหว จึงต้องถอนวัวออกไปเลี้ยงยังเนินที่อยู่ห่างออกไปจาก เดิม

ติดกับบริเวณที่เคยเป็นคอกวัวนั้น มีสระน้ำที่มีน้ำใสเต็มเปี่ยมตลอดปีแม้ในยามแล้ง ริมสระมีต้นโพธิ์และต้นไทรใหญ่ขึ้นอยู่อย่างละต้้น มีเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นต่อสายตาชาวบ้านเป็นประจำ เช่น พอถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ จะมีลูกไฟลอยขึ้นจากพื้นดินและสระน้ำ วันดีคืนดีก็จะมีงูใหญ่เลื้อยผ่านหมู่บ้าน แล้วเลื้อยลงสระน้ำหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในช่วงฤดูฝน แม้ท้องฟ้าจะโปร่งใส แต่ก็มีสายฟ้าฟาดดังกัมปนาทจนแผ่นดินสะเทือน

ที่ดินบริเวณนี้แม้จะมีผู้ปันส่วนจับจองหลายคน แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว ต่างรู้ถึงอาถรรพณ์ที่แฝงอยู่ในที่ดิน หากทว่าทุกคนก็เงียบไม่ปริปากให้คนภายนอกได้รับ รู้ เพราะกลัวที่ดินจะไร้ราคานั่นเอง

หลายปีผ่านไป มีนายทหารยศพันตรีจากต่างถิ่น ผ่านมาเห็นที่ดินผืนนี้เข้าก็เกิดความพอใจ ติดต่อขอซื้อจากชาวบ้าน แต่มีเงื่อนไขว่าต้องถากถางปรับพื้นที่ดินให้
ราบเรียบเสียก่อน เจ้าของที่ดินต่างก็ดีใจที่จะได้รับเงินโดยไม่คาดฝัน จึงเอารถไถมาช่วยกันขับปรับที่ แต่พอรถไถแล่นมาถึงต้นโพธิ์ ต้นไทรทีไร เครื่องยนต์ก็ดับทุกที ทั้ง ๆ ที่ตรวจดูเครื่องยนต์ก็เรียบร้อยดี

เมื่อนึกถึงคำเล่าของคนเก่าแก่ที่บอกว่า ที่ดินผืนนี้มีอาถรรพณ์ จึงเกิดมีคนอุตริคิดแก้อาถรรพณ์ โดยนุ่งแต่กางเกงในขับรถไถ ปรากฏว่าเครื่องรถไถทำงานได้โดยไม่ติดขัด แต่ยังไม่ทันใช้งานได้มากนัก ก่อนบ่ายสามโมงก็มีข่าวแจ้งมาบอกให้หยุดการทำงานทุกอย่าง เพราะผู้พันรถคว่ำ...เสียชีวิตแล้ว!

เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นี้ เนื่องจากนายคนที่อุตริขับรถไถโดยนุ่งกางเกงในตัวเดียว อยู่ ๆ ก็เกิดล้มป่วยลงอย่างกะทันหันในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง หมอมาดูอาการก็ไม่พบสาเหตุ อาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ สองสามวันต่อมาก็ถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด แล้วก็สิ้นใจ

สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งย้ำเตือนถึงความเชื่อของชาวบ้าน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องดังกล่าวซาลงไป ก็มีญาติต่างถิ่นของชาวบ้านมาเยี่ยมเยียน แล้วเกิดชอบใจที่ดินแปลงนั้น โดยไม่ฟังคำตักเตือนของญาติ ๆ ความโลภได้เข้ามาบังตาจนไม่ฟังเสียงใด เขาวางแผนสร้างปั๊มน้ำมันใหญ่โต กะจะร่ำรวยมหาศาล หลังจากตกลงซื้อขายที่ดินจากญาติได้ในราคาถูกเหมือนได้เปล่า เขาก็ลงมือดำเนินการก่อสร้าง มีทั้งบ้านพักและมินิมาร์ท สมบูรณ์เพียบ

เมื่อเริ่มเปิดบริการ สิ่งประหลาดก็เกิดขึ้น นั่นคือ รถบางคันทำท่าจะเลี้ยวเข้ามาในปั๊ม แต่แล้วก็หันหัวออกไปเหมือนเข้าใจผิดอะไรบางอย่างราว กับไม่มีปั๊มอยู่ตรงนั้นงั้นแหละ จากเพียงแค่คันสองคันในระยะแรก ต่อมาก็กลายเป็นรถแทบทุกคัน ที่แล่นผ่านไปเติมน้ำมันในปั๊มที่อยู่ถัดไป เล่นเอาเจ้าของปั๊มหน้ามืด กิจการที่ลงทุนไปมากมาย มีเค้าว่าจะล้มละลาย

ในที่สุด เจ้าของปั๊มก็หันไปพึ่งพระภิกษุสายวิปัสสนากรรมฐาน ทั้ง ๓ รูปที่อยู่คนละแห่งต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นประตูสู่บาดาลของพญานาคสามเศียร ท่านพิโรธที่ไปสร้างปั๊มบดบังสถานที่บำเพ็ญเพียรของท่าน
จึงบันดาลให้ผู้ผ่านไปมามองไม่เห็นปั๊ม และเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นที่สถิตของท่านมาช้า นาน การแก้ไขคงจะกระทำไม่ได้ มีแต่จะต้องรื้อถอนปั๊มออกไป

และก็ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เอง ปั๊มแห่งนี้จึงได้ปิดกิจการ
และปล่อยร้างตั้งแต่นั้นมา

อ้อ...ก็ไม่ถึงกับร้างเสียเลยทีเดียวเพราะบางวันบางคืน ชาวบ้านจะเห็นหญิงชายวัยชราแปลกหน้าเดินจงกรมอยู่ในบริเวณนั้น แล้วลงสระหายไป



 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 กรกฎาคม 2552 23:47:28 โดย ~POOMZA~ » บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #258 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:44:55 »

ตำนานเร้นลับแห่ง "ถ้ำจอมพล"
 
         อีกหนึ่งตำนานความเชื่อที่เกี่ยวโยงกับความเร้นลับของสถานที่หนึ่งในอำเภอจอมบึง จ.ราชบุรี ที่นั่นมีเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับอาถรรพณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะในอดีตได้มีพระมหากษัตริย์ไทยถึง 3 พระองค์ รวมทั้งเชื้อพระวงศ์เคยเสด็จประพาส
         ถ้ำจอมพล มีตำนานความเร้นลับและอาถรรพณ์เกิดขึ้นมากมาย ที่มาของชื่อถ้ำจอมพลได้รับการพระราชทานนามจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อคราวที่พระองค์ท่านได้เสด็จฯพร้อมด้วยสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ มาเยือนที่ถ้ำแห่งนี้ เมื่อปีพุทธศักราช 2438 ทรงทอดพระเนตรความงดงามตามธรรมชาติภายในถ้ำ ซึ่งมีหินงอกหินย้อยที่วิจิตรพิสดาร จึงทรงจินตนาการไปว่าสวยงามราวกับริ้วไหมอินทรธนูบนบ่าของท่านจอมพลสมัยก่อน พระองค์ยังทรงสลักพระปรมาภิไธย จปร.114 ไว้ตรงปากทางเข้าถ้ำก่อนเสด็จกลับ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ครั้งหนึ่งพระองค์เคยเสด็จฯมาเยือน

          นอกจากรัชกาลที่ 5 แล้ว มาถึงสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เคยเสด็จประพาสที่ถ้ำจอมพลถึง 2 ครั้งเช่นกัน โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2457 พระองค์ได้นำพลเสือป่ามาซ้อมรบ ณ บริเวณนี้ และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2457 ในคราวเสด็จฯวางศิลาฤกษ์โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ได้ทรงหยุดประทับเพื่อเสวยพระกระยาหารกลางวันที่สวนรุกขชาติหน้าถ้ำจอมพล
          ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ก็เคยเสด็จฯพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ มาประพาสที่ถ้ำจอมพลพร้อมทั้งได้ทรงปลูกต้นสัก กัลปพฤกษ์ และต้นนนทรีไว้เป็นที่ระลึก พระองค์ยังทรงสลักสัญลักษณ์พระปรมาภิไธย ภปร.99 ไว้บนหินผาบริเวณปากทางเข้าถ้ำ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2499
         ถ้ำจอมพลนี้ ข้างในถ้ำยังมีพระนอนอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนนิยมมาสักการะ ถ้ำนี้มีขนาดกว้าง 30 เมตร ยาว 240 เมตร สูง 25 เมตร มีบันไดทางขึ้นสู่ถ้ำ 57 ขั้น ภายในมีหินงอกหินย้อยสวยงาม และมีชื่อเรียกอย่างไพเราะ เช่น ผาวิจิตร แส้จามรี ธาตุเนรมิต บรมอาสน์ มัสยาสถิตย์ เกศาสยาม สร้อยระย้า และประสิทธิ์เทวา ซึ่งนอกจากความสวยงามของถ้ำแล้ว ภายในถ้ำจอมพลยังมีเรื่องเล่าถึงอาถรรพณ์มากมาย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับ หินฤาษี และ รูปปั้นฤาษี

          หินฤาษี นี้เป็นก้อนหินที่มีรูปร่างประหลาด คล้ายฤาษีกำลังนั่ง แล้วยิ่งมีผู้เอาผ้าลายหนังเสือไปห่มคลุม ก็เลยยิ่งดูขลังไปกันใหญ่ ชาวบ้านแถบนี้เรียกหินฤาษีว่า พ่อปู่ฤาษี ทุกคนเชื่อว่าท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ บันดาล โชคลาภ และความสุขความเจริญมาให้ เล่ากันว่าพวกนายหน้าค้าที่ดินชอบมาบนบานและมักประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องเลขหวยนั้น เขาบอกว่าท่านมักให้อย่างแม่นยำโดยเฉพาะคนต่างถิ่น ทุกๆงวดจะเห็นมีคนเอาของมาแก้บน เป็นผลไม้ หมากพลู และผ้าลายหนังเสือ
         นอกจากนี้ใกล้ๆหินพ่อปู่ฤาษีก็ยังมีหินที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายคน 2 คน กำลังยืนกอดกัน ซึ่งชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า ก้อนหินทั้งสองนี้เป็นแม่ลูกกัน แล้วยังมีหินอีกก้อนที่มีลักษณะเหมือนคน ซึ่งเขาบอกว่าเป็นพ่อ และมีตำนานเล่าว่า พ่อ แม่ ลูก ครอบครัวนี้ถูกพ่อปู่ฤาษีสาปให้กลายเป็นหิน จึงได้กลายเป็นอาถรรพณ์ชวนขนหัวลุกว่า ในวันดีคืนดีในยามค่ำคืน ชาวบ้านแถบถ้ำจอมพลจะได้ยินเสียงคนคุยกัน บางครั้งก็จะมีเสียงเด็กร้องลั่นถ้ำ และบางคืนก็จะได้ยินเสียงกรีดร้อง โหยหวน ดังออกมาจากถ้ำ จึงสันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากหินทั้ง 3 ก้อนนี้
         เรื่องราวอาถรรพณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในถ้ำจอมพลยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะยังมีเรื่องเล่าของใครอีกหลายๆคน เล่ากันว่านอกจากในถ้ำจะมีหินฤาษีที่มีความอัศจรรย์อยู่แล้ว ก็ยังมีรูปปั้นของฤาษีอีกฅนหนึ่ง ที่มีความมหัศจรรย์ไม่แพ้กัน เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากพระภิกษุรูปหนึ่งที่เฝ้าถ้ำว่าเป็นความจริง รูปปั้นฤาษีตนนี้อยู่ด้านในสุดของตัวถ้ำ ชาวบ้านเรียกว่า ฤาษีพ่อแก่ ที่น่าประหลาดคือที่หน้ารูปปั้นของฤาษีพ่อแก่จะมีป้ายเขียนไว้ว่าห้ามถ่ายรูป ซึ่งเมื่อสอบถามจากหลวงพ่อในถ้ำก็ได้ความว่า ฤาษีตนนี้ไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปท่าน หลายคนไม่เชื่อคำเตือน ชอบลองของท้าทายท่าน ถ่ายรูปท่านไปไม่นานก็ต้องรีบเอารูปที่ถ่ายไปมาคืน
         มีเรื่องเล่าว่ามีชายคนหนึ่งอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี พาครอบครัวมาเที่ยวถ้ำจอมพล แล้วถ่ายรูปฤาษีพ่อแก่ไป 3 ใบ พอถึงบ้านตกกลางคืนขณะกำลังหลับเขาก็ฝันเห็นฤาษีตนหนึ่ง ที่แต่งตัวเหมือนฤาษีในถ้ำจอมพล เหาะลงมาจากฟ้าตรงมาที่ตัวเขาแล้วใช้เท้าเหยียบที่หน้าอกพร้อมชี้หน้าว่า เอ็งนี่ดื้อรั้นนัก ข้าบอกแล้วว่าห้ามถ่ายรูปข้าอย่างเด็ดขาด ในเมื่อเอ็งไม่เชื่อข้าก็ต้องสั่งสอน เอ็งต้องเอารูปไปคืนที่ถ้ำ ถ้าไม่เชื่อเอ็งจะได้เห็นดี เมื่อฤาษีตนนั้นจากไป เขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา แล้วยังรู้สึกเจ็บหน้าอกเหมือนถูกเหยียบจริงๆ ดังนั้น พอรุ่งเช้าเขาจึงรีบเดินทางมายังถ้ำ เพื่อเอารูปถ่ายมาคืนทันที เพราะเกรงว่าถ้ายังขืนไม่เชื่ออีก ก็ไม่รู้ว่าจะโดนอาถรรพณ์อะไรอีกบ้าง
         ผู้เขียนเองก็ไม่กล้าลบหลู่ ลองดีกับ ฤาษีพ่อแก่ เช่นกัน เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีรูปของท่านมาให้ดู แต่อยากจะให้คนอ่านที่ชื่นชอบเรื่องราวเร้นลับเหล่านี้ลองมาเยี่ยมเยือนที่ถ้ำจอมพล อ.จอมบึง นี้ดู ระยะทางจากตัวเมืองราชบุรีไปยังถ้ำจอมพลประมาณ 30 กิโลเมตรเท่านั้น แล้วที่นั่นใกล้ๆกันยังมีสวนรุกขชาติและมีพันธุ์ไม้แปลกๆสวยงามหายากอีกมากมาย ซึ่งดูแล้วสบายตาสบายใจ
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #259 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552 23:48:40 »

 ที่มาของการห้อย ตุ๊กตา ท้ายรถ
 
ในเริ่มแรกเดิมทีนั้น
ตอนแรกๆจะห้อยตุ๊กตาที่มีรูปร่าง "เหมือนคน"  พวกตุ๊กตาบาบี้ หรืออะไรก็ได้ ที่ดูออกว่า "เป็นรูปคน"

แล้วเค้าห้อยทำไม ... การห้อยตุ๊กตารูปคน ทำเพื่อแก้เคล็ด
สำหรับรถที่เคย "ลากคนไปอยู่ใต้ท้องรถ" มาแล้ว
ด้วยความเชื่อที่ว่า เพื่อไม่ให้วิญญาณคนที่ถูกลาก ตามติดอยู่ใต้ท้องรถตลอดไป จะขายราคาก็ตก เงินก็ไม่มี เดี๋ยวไม่มีรถใช้

[คล้ายๆกับเรื่องที่เราไปแย่งนอนเตียงผี ถ้าเราไปนอนแทน ผีก็นอนไม่ได้]

เรื่องตุ๊กตาห้อยท้องรถก็เช่นกัน ห้อยไว้ เพื่อเอาตุ๊กตามา "แย่งที่" ไม่ให้วิญญาณ มาอาศัยใต้ท้องรถเราอยู่

บางคนซื้อรถมือสอง แล้วเห็นอะไรแปลกๆขณะขับรถ หรือไม่ไว้ใจประวัติรถ ก็มักจะมาห้อย กันเอาไว้ก่อน

มาตอนนี้กลายเป็นว่า ... ห้อยเป็นแฟชั่น

แต่การห้อยเป็นรูปตุ๊กตาหมีหรืออะไรต่างๆน่ะ กันวิญญาณไม่ได้
แต่อาจจะทำให้วิญญาณเร่ร่อน ตามติดรถไปได้อีก การโชว์ ตุ๊กตา หรืออะไรต่างๆที่เป็นของที่มนุษย์ใช้ที่มันดูน่ารักน่าเล่นน่ะ
ไม่ต่างอะไรกับการ "เชื้อเชิญ" ถ้าใส่ไว้ในรถจะไม่เป็นไร แต่ถ้านอกรถเป็นการ แสดงการเชื้อเชิญ
[คล้ายๆกับการตอบ "ครับ" หรือเปิดประตูรับ ทำให้วิญญาณเข้ามาในบ้านเราได้]

ถ้าเผลอไปลากคนไปอยู่ใต้ท้องรถมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องห้อยตลอดไป แค่ 49 วันก็พอ กลัวนับผิด จะห้อยเกินไปบ้างก็ไม่เป็นอะไร

วิญญาณใต้ท้องรถน่ะ แม้โดนแย่งที่ แต่มีสิ่งเหนี่ยวอยู่สิ่งเดียว ก็คือใต้ท้องรถที่ลากเค้าน่ะแหละ วิญญาณที่สามารถยึดติดอยู่กับสิ่งเหนี่ยวได้ จะไม่ไปผุดไปเกิด

แต่ถ้าไม่สามารถยึดติดได้ จะไปผุดไปเกิดในช่วง 49 วัน

ฉะนั้น ถ้าเผลอห้อยแล้วหลุด หรือโดนหมางับหายไป ให้เริ่มต้นห้อยและนับ 1 ใหม่ ไปอีก 49 วัน

นั่น คือ สาเหตุ และ ดูเหมือนการห้อย จะมีผลร้าย ด้านความเชื่อ ซึ่ง ถ้า ไม่ห้อยรูป คน อาจทำให้มีวิญญานติด รถไปได้

สรุป ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า

ห้อยตุ๊กตารูปคน = กันผี = แฟชั่น = ห้อยได้ไม่มีผลเสีย

ห้อยรูป อื่นๆที่ไม่ใช่รูปคน = เรียกผีมา = แฟชั่น = น่ารัก แต่อาจมีวิญญาณคนตายตามท้องถนนติดมา = มีผลเสีย (ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร)

ถ้าอยากห้อยรูป อื่นๆที่ไม่ใช่รูปคน = ห้อยได้ตามปกติ = แฟนชั่นสวยงาม = ดึงดูดผีตามตุ๊กตามา = มีผีติดรถ = เอาพระมาห้อยในรถ = ผีจะโดนพระไล่ไปเองโดยอัตโนมัติ = ผีตัวไหม่ไม่รู้ว่ามีพระ ก็ เข้ามาตามตุ๊กตาอีก = โดนพระไล่ ไปอีก เป็นแบบนี้ เรื่อยไป
 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
หน้า: [«10] [«5]  «  1 ... 11 12 [13] 14 15  »    ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!