AE. Racing Club
18 สิงหาคม 2568 04:49:03 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า:  «  1 ... 3 4 [5] 6 7 8  »    ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย  (อ่าน 41695 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #80 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553 15:52:31 »

ตาก
สมัยก่อนกรุงสุโขทัย
ตากเป็นเมืองที่สร้างขึ้นก่อนสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เมืองเดิมตั้งอยู่บนดอยเล็ก ๆ ลูกหนึ่ง อยู่เหนือที่ว่าการอำเภอบ้านตากในปัจจุบันนี้ไปประมาณ ๔ กิโลเมตร และอยู่ห่างจากแม่น้ำปิงไปทางทิศตะวันตก ๔๐๐ เมตร ที่หมู่บ้านท่าพระธาตุ ตำบลเกาะตะเภาอำเภอบ้านตาก สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า๑ เดิมเป็นเมืองที่พวกมอญมาสร้างขึ้นไว้ เพราะอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิงและอยู่ตรงปากน้ำวังทางไปเมืองนครลำปางออกลำน้ำปิง เป็นเส้นทางสำคัญในทางคมนาคมในสมัยนั้น แต่เนื่องจากยังไม่มีผู้ใดเคยทำการสำรวจโดยละเอียด และกรมศิลปากรก็ยังไม่เคยทำการขุดค้น จึงไม่ปรากฏร่องรอยในทางโบราณคดีอันจะแสดงให้เห็นว่าเป็นเมืองของมอญแต่อย่างใด๒
แต่มีข้อที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งว่า  ถ้าเมืองตากเป็นเมืองที่พวกมอญมาสร้างไว้จริง ก็เป็นเรื่องก่อนสมัยกรุงสุโขทัย เพราะปรากฏว่าในปี พ.ศ. ๑๘๐๐ มอญก็มิได้ครอบครองเมืองนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าเมื่อพ่อขุนบางกลางท่าวและพ่อขุนผาเมืองยึดอำนาจจากขอมและประกาศตั้งกรุงสุโขทัยขึ้นเป็นอิสระ เมืองต่าง ๆ ที่มีคนไทยเป็นเจ้าเมืองก็ยอมรวมกับอาณาจักรสุโขทัยทั้งหมด และโดยเฉพาะเมืองตากนี้ปรากฏว่า ได้รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสุโขทัยแต่โดยดีตั้งแต่ต้น  ถ้าเป็นเมืองที่มีชนชาติอื่นที่ไม่ใช่ไทยปกครองอยู่ เห็นจะไม่ยินยอมร่วมมือกันโดยง่ายดายเช่นนั้น๓
นอกจากนี้ในหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย ของพระบริหารเทพธานี ได้กล่าวถึงความสำคัญของเมืองตากว่า เดิมเคยเป็นเมืองราชธานีของแคว้นเหนือมาก่อน ต่อมาในสมัยพระยากาฬ-     วรรณดิส  ได้ย้ายจากเมืองตากไปครองเมืองละโว้แทน เมืองตากจำถูกทิ้งให้เป็นเมืองร้าง ต่อมาเมื่อพระนางจามเทวี เสด็จขึ้นไปครองเมืองหริภุญไชย ในราว พ.ศ. ๑๒๐๐ พระนางได้บูรณะเมืองตาก ขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงน่าที่จะช่วยยืนยันว่าเมืองตากเป็นเมืองที่มีมาก่อนสมัยกรุงสุโขทัยได้อีกทางหนึ่ง
สมัยกรุงสุโขทัย
หลังจากที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ประกาศตั้งกรุงสุโขทัยขึ้นเป็นอิสระ เมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๐ จากนั้น ในราว พ.ศ. ๑๘๐๕ ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับเมืองตากขึ้น ครั้งหนึ่งคือ ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด (อยู่ในอำเภอแม่สอดปัจจุบัน) ยกทัพมาตีเมืองตาก ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของกรุงสุโขทัย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึงยกกองทัพมาช่วยป้องกันเมืองตากและได้ปะทะกันที่เชิงดอย นอกเมืองตากออกไปประมาณสักกิโลเมตรเศษ แต่เนื่องจากภูมิประเทศของเมืองตากเป็นป่าเขาโดยมาก การซุ่มซ่อนพลจึงกระทำได้อย่างสะดวกสบาย ดังปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงว่า เมื่อพ่อขุนศรีอินทรา-ทิตย์ต้อนพลเข้าไปทางซ้ายเพื่อหวังจะโอบล้อมกองทัพของขุนสามชน แต่ขุนสามชนคงรู้ทีจึงขับพลเลี่ยงเข้ามาทางขวาเข้าโอบล้อมกองทัพของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เสียก่อน ไพร่พลในกองทัพของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ไม่นึกว่าเหตุการณ์จะกลับตรงกันข้ามเช่นนั้น ก็เสียกำลังใจถอยร่นลงมา ขณะนั้นราช-โอรสองค์เล็กของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๑๙ พรรษา ได้ติดตามมาด้วยเห็นว่าถ้าขืนปล่อยให้ไพร่พลในกองทัพถอยร่นลงมาเรื่อยเช่นนั้น ผลสุดท้ายต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน จึงทรงขับช้างต้อนพลให้เข้าต่อตีกองทัพของขุนสามชนอีกครั้งหนึ่ง แล้วทรงไสช้างบุกเข้าไปจนถึงตัวขุนสามชน ซึ่งกำลังต้อนพลรุกไล่กองทัพของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เข้ามาพ่อขุนรามคำแหงทรงปะทะช้างกับขุนสามชนจนได้กระทำยุทธหัตถีกัน ขุนสามชนสู้ไม่ได้ก็พ่ายหนีไป เมืองตากจึงรอดพ้นจากการรุกรานของ ขุนสามชน และตลอดสมัยของกรุงสุโขทัยไม่ปรากฏในศิลาจารึกหรือจดหมายใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของเมืองตากนี้อีกเลย๔
เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในการชนช้างคราวนี้  จึงได้มีการสร้างพระเจดีย์แบบสุโขทัย ซึ่งเรียกว่า พระปรางค์ขึ้น สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าก่อสร้างในสมัยกรุงสุโขทัย ขนาดพระปรางค์สูงตลอดยอดประมาณ ๑๐ วา แต่ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกี่ยวกับเมืองตาก จนกระทั่งแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ปรากฏว่า ทางประเทศพม่ามีกษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้า-ตะเบ็งชเวตี้ กษัตริย์องค์นี้ทรงมีอุปนิสัยกล้าหาญ พอพระราชหฤทัยในการทำศึกสงคราม และได้คู่คิดการสงครามพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ทรงพระนามว่าบุเรงนอง ทั้งสองพระองค์นี้ทรงคิดตระเตรียมกำลังที่จะทำสงครามแผ่อาณาจักรให้กว้างขวาง ทรงยกกองทัพไปปราบปรามได้รามัญประเทศและไทยใหญ่ไว้ในอำนาจทั้งสิ้น ครั้นทรงทราบข่าวว่าเกิดจราจลในกรุงศรีอยุธยาเนื่องจากการผลัดแผ่นดินใหม่ พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ ทรงเห็นเป็นทีว่าจะตีเอากรุงศรีอยุธยามาไว้เป็นเมืองขึ้นอีกประเทศหนึ่งได้โดยง่าย จึงโปรดให้กะเกณฑ์กองทัพมาตั้งประชุมพลที่เมืองเมาะตะมะ แล้วเสด็จเป็นจอมทัพยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ หมายจะตีเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้น แต่เมื่อยกกองทัพมาถึงชานพระนครแล้ว ก็ไม่สามารถจะตีหักเข้าไปได้ ครั้นได้ข่าวว่ามีกองทัพไทยยกลงมาจากหัวเมือง ฝ่ายเหนือจะมาตีกระหนาบก็ตกพระทัยจะเลิกทัพกลับไปทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นทางที่ยกเข้ามาแต่เดิมนั้น ก็ทรงเห็นว่าหัวเมืองรายทางที่ผ่านมานั้นยับเยินหมด จะหาเสบียงอาหารเลี้ยงกองทัพได้ยากจึงโปรดให้ยกทัพขึ้นไปทางข้างเหนือ เดินทัพไปออกทางด่านแม่ละเมา แขวงเมืองตาก เพราะทรงเห็นว่ากองทัพของพระองค์มีกำลังมากกว่ากองทัพไทยหลายเท่า คงจะตีหักออกไปได้โดยไม่ยากลำบากเท่าใดนัก แต่กองทัพพม่าก็ถูกกองทัพของพระราเมศวรราชโอรสของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิกับพระมหาธรรมราชาราชบุตรเขยติดตามตีไปทั้งสองทางและฆ่าฟันรี้พลพม่าล้มตายเป็นอันมาก แต่ผลสุดท้ายพม่าวางกลอุบายล้อมจับได้ทั้งพระมหาธรรมราชาและพระราเมศวร สมเด็จพระมหา-จักรพรรดิต้องยอมหย่าทัพ เอาช้างพลายศรีมงคลและพลายมงคลทวีปอันเป็นช้างชนะงา ถวายตอบแทนพระเจ้าหงสาวดีแลกเอาพระมหาธรรมราชากับพระราเมศวรกลับมา  และปล่อยให้กองทัพของ พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ยกกลับไปได้โดยสะดวก
ก่อนที่จะกล่าวถึงเหตุการณ์ต่อไป จะขอกล่าวถึงทางคมนาคมที่ติดต่อกันในระหว่างประเทศพม่ากับประเทศไทย ซึ่งมีมาแต่ในสมัยโบราณเสียก่อน เพื่อจะได้เข้าใจภูมิประเทศของจังหวัดตากดีขึ้น คือแต่เดิมมีทางคมนาคมสำหรับไปมา ในระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่าอยู่ ๒ ทาง โดยมีทางมาร่วมกันที่เมืองเมาะตะมะ ผู้ที่สัญจรไปมาหรือแม้แต่กองทัพก็ต้องเดินตามทางคมนาคมทั้งสองนี้ มิฉะนั้นจะเดินทางไม่สะดวกเพราะต้องข้ามเทือกเขาบรรทัด ซึ่งเป็นเขาเขื่อนกั้นขวางหน้าอยู่ทางคมนาคมทั้งสองทางนี้ คือสายเหนือออกจากเมืองเมาะตะมะขึ้นไปทางแม่น้ำจนถึงบ้านตะพู (เมือง    แกรง) แล้ว เดินบกมาข้ามแม่น้ำกลีบ แม่น้ำเม้ย๕ แม่น้ำแม่สอด ผ่านเข้ามาทางด่านแม่ละเมา มาลงท่า   แม่น้ำปิง ตรงบ้านระแหง (ที่ตั้งเมืองตากปัจจุบัน) ทางสายนี้เป็นทางคมนาคมกับหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยตลอดขึ้นไปจนถึงเมืองเชียงใหม่ ส่วนทางสายใต้นั้นออกจากเมืองเมาะตะมะไปตามแม่น้ำอัตรัน (เมืองเชียงกราน) จนถึงเมืองสมิแล้วเดินบกมาข้ามแม่น้ำสะกลิกและแม่น้ำแม่กษัตริย์ ข้ามภูเขาเข้าแดนไทยทางด่านพระเจดีย์สามองค์ มาลงลำน้ำแควน้อยที่สามสบ แล้วใช้เรือล่องลงมาทางไทรโยคจนออกแม่น้ำแควใหญ่ที่ลิ้นช้างได้ทางหนึ่ง ถ้าจะเดินบกก็เดินแต่สามสบมาทางเมืองไทรโยคเก่า แล้วตัดข้ามมาลงลำน้ำแควใหญ่ที่เมืองศรีสวัสดิ์ หรือที่ท่ากระดานด่านกรามช้างแล้วเดินเลียบลำน้ำแควใหญ่ลงมาจนถึงเมืองกาญจนบุรีเก่า ซึ่งตั้งอยู่ในทุ่งหญ้าใกล้เขาชนไก่จากเมืองกาญจนบุรีเก่าลงมาเป็นที่ราบจะได้เกวียนเดินทางบกหรือใช้เรือล่องตามลำน้ำลงมาก็สะดวกทั้งสองทาง กองทัพพม่าที่ยกเข้ามาตีกรุงศรี-อยุธยาหรือกรุงรัตนโกสินทร์ก็ยกผ่านเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์นี้แทบทุกคราว
การสงครามได้ว่างเว้นมาเป็นระยะเวลา ๑๕ ปี ประเทศพม่าได้เปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินใหม่ พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ซึ่งยกกองทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๑ นั้นพอกลับไปถึงเมือง หงสาวดีได้ไม่นานเท่าใด ก็เกิดสติฟั่นเฟือนไม่สามารถจะว่าราชการบ้านเมืองได้ บุเรงนองซึ่งเป็น   พระมหาอุปราชต้องสำเร็จราชการแทน ในที่สุดพระเจ้าหงสาวดีตะเบ็งชเวตี้ ถูกขุนนางเชื้อชาติมอญคนหนึ่งชื่อ สมิงสอดวุต ทูลลวงให้ไปจับช้างเผือกในป่าใกล้พระนคร แล้วช่วยกันจับพระเจ้าหงสาวดีตะเบ็งชเวตี้ปลงพระชนม์เสีย บุเรงนองซึ่งเป็นพระมหาอุปราชอยู่จึงทำพิธีราชาภิเษกเป็นพระเจ้าหงสาวดี เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๖ และเมื่อเสวยราชสมบัติแล้วไม่นาน พระเจ้ากรุงบุเรงนองก็เริ่มทำสงครามแผ่อาณาจักรเรื่อยมาเป็นเวลา ๑๐ ปี จนได้ประเทศน้อยใหญ่ที่มีอาณาเขตติดกับประเทศพม่าไว้ในอำนาจทั้งสิ้นแล้วพระเจ้าบุเรงนองก็ทรงดำริที่จะยาตรากองทัพอันเกรียงไกรของพระองค์เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา


ก่อนที่จะยกกองทัพเข้ามา พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองก็หาเหตุอันจะเป็นการจุดชนวนสงครามขึ้นก่อน ด้วยการส่งพระราชสาส์นมาขอช้างเผือกจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ๒ เชือก การที่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมีพระราโชบายเช่นนี้ก็เพื่อจะหยั่งพระทัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิดูว่าจะยอมเป็นเมืองขึ้นแก่กรุงหงสาวดีโดยตรงโดยไม่ต้องรบ หรือว่าจะรบลองดูกำลังกันดูก่อนเพราะถ้าสมเด็จพระจักรพรรดิทรงพระราชทานช้างเผือกไปให้ ก็หมายความว่าทรงยอมอ่อนน้อมต่อพระองค์โดยดี ถ้าไม่พระราชทานก็หมายถึงว่าจะต้องเตรียมรบมีทางเลือกแต่เพียงสองทางเท่านั้น ซึ่งผลที่สุดสมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็ทรงเลือกเอาข้างการรบเพื่อรักษาพระเกียรติของพระองค์และของประเทศชาติไว้ แล้วสงครามก็เกิดขึ้นจริง ๆ ในปี พ.ศ. ๒๑๐๖ นั้น
การสงครามคราวนี้ถึงแม้ว่าเมืองตากจะไม่เป็นสนามรบโดยตรงก็ตาม แต่ก็ได้รับความเดือดร้อนด้วยเนื่องจากเมืองตากอยู่ในเส้นทางที่จะผ่านมาจากเมืองเชียงใหม่ เพราะฉะนั้นกองทัพของพระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งในเวลานั้นเป็นฝ่ายพม่าได้คุมกองเรือลำเลียงเสบียงอาหารลงมาบรรจบกับทัพหลวงที่เมืองตาก แล้วก็ลาดตระเวนหาเสบียงอาหารในเขตเมืองตากเพื่อสะสมไว้สำหรับเลี้ยงไพร่พลในกองทัพหลวงต่อไป
พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงยกกองทัพเข้ามาทางด่านแม่ละเมา แล้วเข้าตีหัวเมืองทางต่าง ๆ เหนือเรื่อยลงมา และได้รบกับเมืองใหญ่ ๆ หลายเมือง เช่น เมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร และเมืองสุโขทัย แต่ไม่ปรากฏว่าเมืองตากได้สู้รบกับกองทัพของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ทั้งนี้คงจะเนื่องจากเมืองตากเก่าตั้งอยู่เหนือด่านแม่ละเมาขึ้นไปมาก กองทัพพม่ายกเข้ามาทางด่านแม่ละเมาจึงไม่จำเป็นที่จะอ้อมขึ้นไปตีเมืองตากซึ่งอยู่ห่างออกไปตั้ง ๓๐  กิโลเมตรอีก คงเดินทัพตัดตรงเข้ามายังบ้านป่ามะม่วง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านระแหง๖ แล้วเดินทัพไปทางทิศตะวันออกเข้าตีเมืองสุโขทัยและเมืองพิษณุโลกทางหนึ่ง อีกทัพหนึ่งแยกลงไปทางใต้เข้าเมืองกำแพงเพชร และเมืองนครสวรรค์ เมื่อตีได้หัวเมืองใหญ่ ๆ เหล่านี้แล้วก็รวบรวมกำลังกันยกเข้าตีกรุงศรีอยุธยาต่อไป
เนื่องจากศึกพม่าในคราวนี้เป็นเหตุให้ไทยคิดเห็นว่า ตัวเมืองตากเก่าตั้งอยู่ลึกเข้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือมาก กองทัพพม่าซึ่งยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมาก็เดินทัพเข้ามาได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องเสียกำลังลี้พลเพื่อเข้าตีเมืองตากแต่สักคนเดียว จึงได้ย้ายตัวเมืองลงมาตั้งในที่ซึ่งพม่าเดินทัพผ่าน คือที่บ้านป่ามะม่วง๗ การย้ายเมืองตากมาตั้งที่บ้านป่ามะม่วงนี้ เข้าใจว่ายังไม่ทันย้ายในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เพราะในแผ่นดินนี้ปรากฏในหนังสือพงศาวดารว่ามัวเตรียมการแต่เรื่องป้องกันข้าศึกที่ยกเข้ามาทางใต้เท่านั้น เช่น รื้อกำแพงเมืองเขื่อนขันธ์กันพระนครทั้ง ๔ ทิศออกหมด เพื่อไม่ให้ข้าศึกเข้าอาศัยในเมื่อตีเมืองเหล่านั้นได้ และตั้งเมืองบางเมืองขึ้นใหม่ เช่นเมืองนครไชยศรีกับ
เมืองนนทบุรี ซึ่งเป็นเมืองใกล้พระนครเพื่อจะได้เป็นที่ระดมกำลังสำหรับเรียกคนเข้ารักษาพระนครและจัดหาเสบียงอาหารได้ง่าย
การย้ายเมืองตากมาอยู่ที่บ้านป่ามะม่วงนี้ คงจะย้ายมาในแผ่นดินพระมหาธรรมราชา๘ภายหลังที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพแล้วเป็นแน่ เพราะปรากฏว่าหลังจากนั้น ไทยเราเตรียมรับศึกพม่าอย่างเต็มที่ เนื่องจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงตระหนักพระราชหฤทัยดีแล้วว่า ถึงอย่างไรก็ดีก็จะต้องรบรับขับเคี่ยวกับกองทัพพม่าเป็นการใหญ่และก็เป็นจริงสมดั่งพระราชดำริเพราะในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชา และในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้น ปรากฏว่าไทยกับพม่าได้รบกันเป็นมหาสงครามถึง ๗ ครั้ง
เมืองตากที่ย้ายมาตั้งใหม่ที่บ้านป่ามะม่วง มิใช่จะเป็นเมืองหน้าด่านสำหรับป้องกันกองทัพพม่า ที่จะยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมาเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองที่กองทัพใช้เป็นที่ชุมนุมพล ในเวลาที่จะยกไปตีเมืองเชียงใหม่อีกด้วย เมื่อพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงอานุภาพมาก เช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งทรงได้เมืองเชียงใหม่มารวมอยู่ในพระราชอาณาจักรทั้ง ๓ พระองค์นี้ ก็มีปรากฏอยู่ที่เมืองตากนี้ด้วย๙
หลังจากแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประเทศไทยก็เว้นว่างจากการทำสงครามขับเคี่ยวพม่ามาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งประมาณว่าไม่ต่ำกว่า ๑๕๐ ปี ในระยะเวลานี้ชาวเมืองตากก็อยู่กันอย่างสงบสุข จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๓๐๘ เงาแห่งการสงครามจึงได้เริ่มฉายแสงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง การสงครามคราวนี้ทำให้ชาวเมืองตากต้องพลอยเดือนร้อนกันไปแทบทุกครัวเรือน เพราะกองทัพพม่าซึ่งยกมาทางเมืองเชียงใหม่ได้เข้าตีเมืองตากด้วยสงครามคราวนี้น่าจะยกย่องเทิดทูนชาวเมืองตากที่ได้รวมแรงร่วมใจกันต่อสู้กองทัพพม่าแต่เมืองเดียว หัวเมืองเหนืออื่น ๆ แม้จะเป็นเมืองที่ใหญ่กว่า และมีพลเมืองมากกว่าเมืองตากมาก เช่น เมืองสุโขทัย เมืองสวรรคโลก เมืองพิชัย เมืองกำแพงเพชร และเมืองนครสวรรค์ก็หามีเมืองใดต่อสู้กองทัพพม่าแต่อย่างใดไม่ คงปล่อยให้กองทัพพม่าเดินเข้ายึดตัวเมืองได้อย่างสบาย
สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวเรื่องราวที่กองทัพพม่าเข้าตีประเทศไทยครั้งนั้นไว้ ในเรื่องไทยรบกับพม่าดังนี้
"ในพงศาวดารพม่าว่า กองทัพที่ยกมาครั้งนี้มีข้ออาณัติอย่าง ๑ คือถ้าที่ไหนต่อสู้พม่าตีได้ก็เก็บริบทรัพย์สมบัติและจับผู้คนทั้งเด็กผู้ใหญ่ชายหญิงเอาไปเป็นเชลยสงครามไปเมืองพม่า บ้านเรือนทรัพย์สมบัติพม่าไม่ต้องการก็ให้เผาผลาญทำลายเสียสิ้น ถ้าที่ไหนผู้คนอ่อนน้อมยอมเข้าเป็นพวก   พม่าๆ ให้ทำสัตย์แล้วไม่ทำร้าย เป็นแต่กะเกณฑ์เอาสิ่งของที่พม่าต้องการ เช่น เสบียงอาหารและพาหนะเป็นต้นและเรียกเอาคนมาใช้การงานต่าง ๆ เหมือนอย่างเป็นบ่าวของพม่า"
ดังได้กล่าวมาในตอนต้นแล้ว การสงครามคราวนี้ ปรากฏว่าหัวเมืองรายทาง ๆ เหนือของประเทศไทยไม่มีเมืองใดต่อสู้กองทัพพม่าเลย คงมีแต่เมืองตากแต่เพียงเมืองเดียวเท่านั้น ที่ได้สู้รบกับกองทัพพม่า และเนื่องจากพม่าได้ตั้งกฎเกณฑ์ไว้เช่นนี้แล้วจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าชะตากรรมของเมืองตากจะเป็นอย่างไรต่อไป ทำให้นึกวาดภาพได้ว่า ในขณะที่พม่าเข้าเมืองได้ บ้านเรือนและทรัพย์สมบัติของชาวเมืองตากตลอดจนผู้คนพลเมืองจะเป็นประการใดบ้าง  ย่อมเป็นการแน่นอนเหลือเกินที่จะกล่าวได้ว่า ชาวเมืองตากจะต้องถูกฆ่าฟันล้มตายไปไม่น้อยและบ้านเรือนตลอดจนทรัพย์สินต่าง ๆ ของชาวเมืองก็จะต้องถูกทำลายหรือเผาผลาญไปอย่างไม่มีชิ้นดียิ่งกว่านี้พวกที่รอดตายถ้าหนีเข้าป่าเข้าดงไปไม่ทัน ก็จะถูกพม่าจับไปเป็นเชลย ส่งไปเป็นข้าเป็นทาสยังประเทศพม่าต่อไปด้วยเหตุนี้ เมืองตากจึงกลายเป็นเมืองร้างอย่างสิ้นเชิง และคงอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อมาจนถึงสมัยกรุงธนบุรี๑๐
สมัยกรุงธนบุรี
ดังได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยามาแล้วว่า กองทัพพม่าได้ยกทัพมาทางด่านแม่ละเมา โจมตีและทำลายเมืองตากจนกลายเป็นเมืองร้างไปประมาณ ๕ ปี จนกระทั่งถึงสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พระเจ้ากรุงธนบุรี) กษัตริย์องค์แรกและองค์เดียวในสมัยนี้ได้ทรงจัดการปกครองหัวเมืองเหนือทั้งปวง ภายหลังจากได้ตีเมืองพิษณุโลกและเมืองฝางได้ใน พ.ศ. ๒๓๑๓ แล้ว ได้ทรงแต่งตั้งเจ้าเมืองไปครองเมืองเหนือใหม่หมดทุกเมืองรวมทั้งเมืองตากด้วย๑๑
เมื่อเจ้าเมืองใหม่มาครองเมืองตากแล้ว คงจะพยายามเสริมแต่งค่ายคูและหอรบของเมืองตากให้มั่นคงยิ่งขึ้น แล้วพยายามเกลี้ยกล่อมราษฎรให้เข้ามาตั้งทำมาหากินตามถิ่นที่อยู่ของตนเหมือนอย่างเดิม ในขณะนั้นเข้าใจว่าพลเมืองของเมืองตากคงจะเหลืออยู่ไม่มากนักประมาณว่าคงจะไม่ถึง ๑,๐๐๐ คน เพราะเมืองกำแพงเพชรเองซึ่งเป็นเมืองชั้นโทและเป็นที่มิได้สู้รบกับกองทัพพม่าไม่ได้รับความเสียหายเท่าใดนัก ก็ยังเหลือพลเมืองเพียง ๓,๐๐๐ คน เท่านั้น
เมืองตากมีเวลาว่างจากการทำศึกสงครามเพียง ๔ ปีเท่านั้น พอถึง พ.ศ. ๒๓๑๗ ก็ต้องเป็นที่ชุมนุมพลของกองทัพไทย เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจะทรงยกไปตีเมืองเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง และในเวลาติด ๆ กันนี้ก็เกิดรบกับกองทัพทหารพม่า ซึ่งติดตามครัวมอญเข้ามาทางด่านแม่ละเมาอีก แต่การรบคราวนี้เป็นการรบย่อยกับทหารพม่าที่ติดตามครัวมอญเข้ามานั้นเมืองตากจึงไม่ได้รับความเสียหายอย่างใด เรื่องราวที่เกี่ยวกับการสงครามในคราวนี้ สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชา-นุภาพทรงกล่าวไว้โดยละเอียดในเรื่องไทย รบพม่าดังนี้.-
"สงครามคราวนี้เกิดติดต่อจอแจกับที่ไทยไปตีเมืองเชียงใหม่ซึ่งกล่าวมาในตอนก่อนมูลเหตุเกิดแต่เรื่องมอญเป็นกบฏขึ้นในเมืองพม่าดังได้บรรยายมาแล้ว พระเจ้ามังระให้อะแซหวุ่นกี้ ยกกองทัพลงมาจากเมืองอังวะ ๓๕,๐๐๐ พวกมอญกบฏซึ่งขึ้นไปล้อมเมืองร่างกุ้งสู้พม่าไม่ได้ก็ถอยหนี อะแซ-หวุ่นกี้ยกกองทัพพม่าติดตามลงมา พวกมอญกบฏ จึงอพยพครอบครัวพากันออกจากเมืองมอญจะหนีมาอยู่ในเมืองไทย อะแซหวุ่นกี้ให้กองทัพยกตามมาจับครอบครัวมอญที่หนีนั้น พม่าจึงมาเกิดรบขึ้นกับไทย
ครัวมอญที่หนีพม่าเข้าเมืองไทยครั้งนี้ มีหลายพวกและมาหลายทางด้วยกันครัวพวกสมิงสุหร่ายกลั่นเข้ามาทางด่านเมืองตากก่อน สมิงสุหร่ายกลั่นตัวนายได้เฝ้าพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่เมืองตากก่อนเสด็จขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ ทูลให้ทรงทราบ ว่าพวกมอญจะพากันเข้ามาอยู่ในเมืองไทยมาก พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงคาดการว่าพม่าเห็นจะยกกองทัพตามครัวมอญเข้ามา จึงตรัสสั่งให้พระยากำแหงวิชิตคุมพล ๒,๐๐๐ ตั้งคอยรับครัวมอญอยู่ที่บ้านระแหง แขวงเมืองต่างทาง ๑ และให้พระยายมราช (แขก) คุมกำลังไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่ท่าดินแดงในลำน้ำไทรโยคคอยรับครัวมอญที่จะเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์อีกทาง ๑ แล้วจึงเสด็จยกกองทัพหลวงขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ด้วยประมาณการว่า คงจะตีเมืองเชียงใหม่ได้ทันกลับลงมาต่อสู้พม่าที่ยกเข้ามาทางข้างใต้
ด้วยเหตุนี้พอตีเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว ๗ วัน พระเจ้ากรุงธนบุรีก็เสด็จยกกองทัพหลวงกลับลงมา มาถึงนครลำปางก็ได้ทราบว่ามีกองทัพพม่ายกล่วงด่านแม่ละเมาเข้ามาในแดนเมืองตาก จึงรีบเสด็จกลับลงมา พอถึงท่ามืองตากเมื่อ ณ วันพฤหัสบดีเดือน ๓ ขึ้น ๒ ค่ำก็พอกองทัพพม่าที่ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมานั้น มาใกล้จวนจะถึงเมืองตาก ทำนองในเวลานั้น รีบเสด็จลงมาโดยลำลองมีแต่กองทัพสำหรับรักษาพระองค์ กองอื่นยังตามมาไม่ถึงจึงตรัสสั่งให้หลวงมหาเทพ กับจมื่นไวยวรนาถคุมทหาร ๒,๐๐๐ คน ยกไปตีกองทัพพม่ายกไปก็ได้รบในวันนั้นเอง แต่พอค่ำพม่าก็ถอยหนีกลับไป ขณะนั้นกระบวนเรือพระที่นั่งคอยรับเสด็จอยู่ที่ค่ายหลวงบ้านระแหง ใต้เมืองตากลงมาระยะทางที่เดินวัน ๑ ด้วยเดิมกำหนดว่าจะเสด็จกลับทางบกจนถึงบ้านระแหง หาได้คาดว่าจะต้องมารบพุ่งกับข้าศึกที่เมืองตากไม่ครั้นทรงทราบว่าหลวงมหาเทพกับ จมื่นไวยวรนาถ ตีพม่าถอยหนีกลับไปทำนองพระเจ้ากรุง   ธนบุรี จะทรงดำริว่าพม่าที่ถอยหนีไปเป็นแต่กองหน้ากองหลังยังจะตามมาอีกจะวางใจไม่ได้ ถ้าไม่รีบตีให้แตกไปให้หมด ช้าไปพม่าจะรวมกำลังกันยกกลับเข้ามาเป็นกองใหญ่จึงมีรับสั่งให้กองทัพบกสวนทางพม่าลงมาแล้วเสด็จทรงเรือของจมื่นจงกรมวัง รีบล่องลงมาบ้านระแหงในเวลา ๒ ยามค่ำวันนั้น เรือที่ทรงมาโดนตอล่มลง ต้องว่ายน้ำขึ้นหากทรงพระดำเนินมาจนถึงค่ายหลวงที่บ้านระแหง มีรับสั่งให้    พระยากำแหงวิชิต รีบยกกองทัพออกไปก้าวสกัดตัดหลัง กองทัพพม่าที่ยกตามเข้ามาทางด่านแม่ละเมา ให้ถอยหนีไปให้สิ้นเชิงพระเจ้ากรุงธนบุรีประทับรอฟังอยู่ที่บ้านระแหง ๗ วัน และในระหว่างนั้นที่กรุง-    ธนบุรีมีใบบอกขึ้นไปว่า มีครัวมอญเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์เป็นอันมาก ก็เข้าพระทัยว่าคงมีกองทัพพม่ายกติดตามครัวมอญเข้ามาทางนั้นอีก พอได้ทรงทราบว่ากองทัพพระยากำแหงวิชิตตีพม่าที่เข้ามาทางด่านแม่ละเมาถอยหนีกลับไปหมดแล้ว ก็เสด็จยกกองทัพหลวงโดยทางชลมารค ลงมาจากบ้านระแหงเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๓ ขึ้น ๙ ค่ำ รีบมาทั้งกลางวันและกลางคืน ๕ วันก็ถึงกรุงธนบุรี"
รุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง คือใน พ.ศ. ๒๓๑๘ เมืองตากก็ถูกศึกใหญ่อีกครั้งหนึ่ง คือเมื่อคราวอะแซ-หวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ ได้ยกกองทัพเข้ามาทางด่านแม่ละเมา แต่เจ้าเมืองตากเห็นว่ากำลังไพร่พลของเมืองตากน้อยไม่สามารถจะต่อสู้กับกองทัพของอะแซหวุ่นกี้ได้ ก็พาครัวราษฎรอพยพหลบหนีออกจากเมืองไป กองทัพพม่าจึงยกจากเมืองตากไปทางบ้านด่านลานหอย ตรงไปยังเมืองสุโขทัย และเมื่อคราวที่อะแซหวุ่นกี้ถอยทัพ ก็ถอยผ่านเมืองตากตามไปตามทางเดิม คือทางด่านแม่ละเมาอีกเหมือนกัน ในการสงครามคราวนี้เมืองตากคงจะไม่เสียหายมากมายเท่าใดนัก เพราะไม่ได้สู้รบกับกองทัพพม่า แต่หัวเมืองใหญ่ ๆ ของไทย เช่นเมืองพิษณุโลกและเมืองสุโขทัยนั้นเสียหายมาก๑๒
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ สมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กองทัพของพม่าจึงเข้าตีประเทศไทยเป็นการใหญ่โดยพระเจ้าปะดุงกษัตริย์พม่า ทรงโปรดให้จัดกองทัพแบ่งออก ๙ ทัพด้วยกัน และให้กองทัพเหล่านี้ยกเข้าตีเมืองไทยทุกทิศทุกทาง ทั้งทางเหนือทางตะวันตกและทางใต้ กองทัพที่ ๙ ของพระเจ้าปะดุงอันมีจอข่องนรทาเป็นแม่ทัพ ได้ยกเข้ามาทางด้านแม่ละเมา เมื่อเข้าตีเมืองตากได้แล้ว ก็ยกข้ามฟากมาตั้งอยู่ที่บ้านระแหง เพื่อรอฟังผลการรบของกองทัพอื่น ๆ ต่อไป แต่เนื่องจากจอข่องนรทาได้ทราบข่าวว่ากองทัพพม่าอีกกองหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่ปากพิงถูกกองทัพไทยตีแตกกลับไปแล้ว และบางทีได้ทราบว่ากองทัพหลวงซึ่งพระเจ้าปะดุง ทรงเป็นจอมพลยกเข้ามาทางด่าน  พระเจดีย์สามองค์ถอยกลับไปแล้วด้วย เฉพาะฉะนั้นเมื่อได้ทราบข่าวว่ากองทัพไทยยกตามขึ้นไปถึงเมืองกำแพงเพชร จึงไม่รอต่อสู้รีบถอยหนีกลับไปด่านแม่ละเมา
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #81 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553 15:52:46 »

ตาก ๒
หลังจากสงครามคราวนี้ ก็ไม่มีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นกับเมืองตากอีก ชาวเมืองตากที่อพยพหลบหนีข้าศึกเข้าป่าเข้าดงไปก็ค่อย ๆ กลับเข้ามาหากินอยู่ในเมืองตากต่อไปตามเดิมอีก๑๒ จนกระทั่งถึง      รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชดำริเห็นว่าตัวเมืองเดิมเอาแม่น้ำไว้ข้างหลัง ในเวลาถอยทัพย่อมได้รับความลำบากเนื่องจาก แม่น้ำน้ำกว้างใหญ่ขวางกั้นอยู่ สู้ย้ายเมืองข้ามฟากมาตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งไม่ได้ เพราะการที่ย้ายมาตั้งฟากนี้จะทำให้มีแม่น้ำขวางหน้าเป็นเสมือนคูเมืองขนาดใหญ่ ทำให้ข้าศึกเข้าตีลำบาก ทั้งการที่จะส่งกองทัพไปช่วย หรือถอยทัพหนีข้าศึกก็จะทำได้สะดวก เพราะฉะนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดให้ย้ายตัวเมืองตากจากที่เดิม มาตั้งใหม่ที่บ้านระแหง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับเมืองตาก ที่บ้านป่ามะม่วง๑๓ ตัวเมืองที่ย้ายมาใหม่นี้ตั้งอยู่ตำบลนี้เรื่อยมา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้
จากประวัติความเป็นมาของจังหวัดตากและเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในสมัยต่าง ๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว พอที่จะมองได้ว่าจังหวัดตากในสมัยโบราณนับว่าเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าขาย การคมนาคมทางเรือ ระหว่างคนไทยกับมอญ และต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ยังใช้เป็นเส้นทางคมนาคม
ระหว่างเชียงใหม่ นครสวรรค์ และกรุงเทพฯ เพราะในครั้งนั้นยังไม่มีทางรถไฟ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ลักษณะการทั้งบ้านเรือนของราษฎรในจังหวัดตากเป็นไปตามความยาวของแม่น้ำ ห่างจากฝั่งออกไปไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่ แต่อย่างไรก็ตามจังหวัดตากในสมัยก่อนก็ยังนับว่าเป็นเมืองที่

บริบูรณ์และครึกครื้นเมืองหนึ่ง สินค้าต่างเมืองมารวมกันหลายทาง คือ มาจากเมืองเชียงใหม่บ้าง เมืองมะละแหม่งบ้าง ขึ้นไปจากกรุงเทพฯ บ้าง ชาวพื้นเมืองในจังหวัดส่วนมากมีเชื้อสายลาวมากกว่าไทย๑๔
ความสำคัญของจังหวัดตากอีกประการหนึ่งคือ เป็นเมืองหน้าด่านที่พม่าจะใช้เป็นเส้นทางเดินทัพ ตัวอย่างเช่น พระเจ้าบุเรงนองของพม่าได้ยกทัพเข้ามาทางด่านแม่ละเมาแขวงเมืองตาก ทำสงครามกับไทยในสมัยแผ่นดินของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เป็นต้น ยิ่งกว่านั้น จังหวัดตากยังเป็นเมืองที่ชุมนุมทัพเมื่อคราวที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จไปตีเมืองเชียงใหม่ดังได้ทรงสร้างพระเจดีย์ปรากฎไว้เป็นอนุสรณ์ตราบจนทุกวันนี้
การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบการปกครองและบริหารราชการขึ้นใหม่ อันเป็นการปูพื้นฐานในรูปการจัดระเบียบการปกครองสมัยใหม่ โดยมีนโยบายรวมหัวเมืองต่างๆ  ให้เข้าเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่ง      อันเดียวอย่างเป็นปึกแผ่นมั่นคง คือเปลี่ยนจากแบบราชาธิราช มาเป็นแบบราชอาณาจักร ดังนั้น เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๔๓๕ พระองค์จึงได้ประกาศจัดตั้งกระทรวงขึ้น ๑๒ กระทรวง มีการแบ่งการงานในหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้แน่นอนลงไป และแต่ละกระทรวงให้มีเสนาบดีเป็น   หัวหน้ารับผิดชอบกระทรวงทั้ง ๑๒ กระทรวงที่จัดตั้งขึ้น คือ
๑. กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่เกี่ยวกับการปกครองและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในหัวเมือง
๒. กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ฝ่ายทหารและการป้องกันประเทศ
๓. กระทรวงนครบาลมีหน้าที่เกี่ยวกับการตำรวจ และรักษาความสงบเรียบร้อยใน     พระนคร
๔. กระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการต่างประเทศ
๕. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ มีหน้าที่เกี่ยวกับการเก็บภาษีอากร รับจ่าย เก็บ รักษาเงินของแผ่นดินโนวโรรส
๖. กระทรวงเกษตรพาณิชย์การ มีหน้าที่เกี่ยวกับการเกษตร และการค้าขาย ป่าไม้ แร่
๗. กระทรวงวัง มีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการในพระราชวัง และกรมซึ่งใกล้เคียงกับราชการในพระองค์
๘. กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่เกี่ยวกับชำระความ อรรถคดี ทั้งแพ่งและอาญา
๙. กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง ทำถนน ขุดคลอง การไปรษณีย์  โทรเลข รถไฟ และการช่างทั้งหลาย
๑๐. กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษา โรงเรียนและการบังคับบัญชา     พระสงฆ์
๑๑. กระทรวงมุรธาธร มีหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาพระราชลัญจกร รักษาพระราชกำหนด    กฎหมายและหนังสือราชการทั้งปวง
๑๒. กระทรวงยุทธนาธิการ มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดทหารบก ทหารเรือ
แต่ละกระทรวงมีเสนาบดีเป็นหัวหน้าบังคับบัญชา และในการประชุมเสนาบดีของแต่ละกระทรวงเพื่อหารือข้อราชการนั้น พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประธานในที่ประชุมกระทรวงต่างๆ  ที่กล่าวข้างต้นนี้ แต่ละกระทรวงมีกรมกอง ในสังกัดของตนมากน้อยตามความเหมาะสม และได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขต่อมาทุกรัชกาล ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมตามเหตุการณ์ของบ้านเมืองและตามกาลสมัย
สำหรับการปกครองหัวเมืองในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นได้เป็นไปในทำนองเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่เปลี่ยนเรียก ชื่อเสียใหม่ คือ มีการแบ่งการปกครองออกเป็น จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน และในรัชสมัยของพระองค์นี้ การปกครองหัวเมืองในรูปการแบ่งอำนาจในการปกครองหัวเมืองได้ปรากฏเป็นรูปร่างเด่นชัดขึ้น เมื่อได้มีการตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ ซึ่งต่อมาได้ยกเลิกและประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๓ แทน ซึ่งได้ถือเป็นหลักมาจนกระทั่งทุกวันนี้ จะมีการแก้ไขบ้างก็เพียงบางมาตราเพื่อความเหมาะสมในการปกครองเท่านั้นและได้เปลี่ยนการปกครองหัวเมืองเรียกเป็น การปกครองท้องที่ตามชื่อพระราชบัญญัติ
อนึ่ง ตั้งแต่รัชสมัยของรัชกาลที่ ๕ เรื่อยมาจนถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ได้ทรงดำริจัดตั้งมณฑลและภาคขึ้นโดยรวมหลาย ๆ จังหวัดขึ้นเป็นมณฑล มีข้าหลวงใหญ่หรือข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ และต่อมาได้โอนมาขึ้นอยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ และในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้มีการจัดตั้งภาคขึ้นหลาย ๆ มณฑลรวมกันเป็นภาคและมีอยู่ ๔ ภาค คือ ภาคพายัพ ภาคปักษ์ใต้ ภาค
อีสาน และภาคตะวันตก มีอุปราชซึ่งเป็นพระราชวงศ์หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ปกครองขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ แต่การจัดรูปการปกครองโดยมีภาคนี้ ได้นำมาใช้เพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และได้ยกเลิกไปเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๔๖๘ คงเหลือแต่มณฑล และให้มณฑลต่าง ๆ นี้มาขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยในปี ๒๔๖๙ ดังที่กล่าวมาแล้ว สำหรับจำนวนมณฑลนี้มิได้มีจำนวนแน่นอน คงเพิ่มลดกันตลอดมาเพื่อความสะดวกเหมาะสมในการปกครอง จนในที่สุดใน พ.ศ. ๒๔๗๔ ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองคงเหลือเพียง ๑๐ มณฑล และได้ยกเลิกไปหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว๑๕

อนึ่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้มีการรวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า จังหวัดตากในสมัยนั้นจัดเป็นหัวเมืองที่ขึ้นกับมณฑลนครสวรรค์เรื่อยมา จนกระทั่งได้มีการยกเลิกไป
การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน๑๖
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ระบอบการ     ปกครองได้เปลี่ยนมาเป็นระบอบประชาธิปไตย หรือปรมัตตาญาสิทธิราชย์ซึ่งหมายความว่า การ     ปกครองโดยมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของชาติ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจทั้ง ๓ ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ โดยทางสภาผู้แทนราษฎร ทางคณะรัฐมนตรีและทางศาลตามลำดับ
ปัจจุบันนี้การจัดระเบียบการบริหารงานทางการปกครองของประเทศ ได้แบ่งลักษณะการปกครองออกเป็น ๓ ส่วน คือ
๑. ส่วนกลาง คือ กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ และส่วนราชการอื่นที่เทียบเท่า
๒. ส่วนภูมิภาค ได้แก่ จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการปกครองในการแบ่งอำนาจในการปกครอง
๓. ส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล และสภาตำบล และการปกครองท้องถิ่นรูปพิเศษ คือ กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา ซึ่งเป็นการปกครองท้องถิ่นในรูปการกระจายอำนาจในทางปกครอง
องค์การปกครองท้องถิ่นทุกรูปได้ถูกจัดตั้งโดยอาศัยอำนาจกฎหมาย และมีอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องได้กำหนดไว้ และมีสภาพเป็นนิติบุคคล เว้นแต่ในรูปสภาตำบล ได้จัดตั้งขึ้นโดยคำสั่งของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๖ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕

๑๖ เจริญศุข  ศิลาพันธุ์, เพิ่งอ้าง. หน้า ๑๘-๑๙




ที่มา : ประวัติศาสตร์ส่วนภูมิภาคจังหวัดตาก. กรุงเทพฯ : ศักดิ์ดาการพิมพ์, ๒๕๒๗.
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #82 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553 15:53:10 »

อุตรดิตถ์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หวน พินพันธุ์ ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของจังหวัดอุตรดิตถ์ และเรียบเรียงไว้ดังนี้๑
ในท้องที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้มีคนอาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว ต่อมาในสมัยสุโขทัยก็มีการตั้งเมืองขึ้นหลายเมือง เช่น เมืองทุ่งยั้ง และเวียงเจ้าเงาะในท้องที่อำเภอลับแลปัจจุบัน เมืองตาชูชกในท้องที่อำเภอตรอนปัจจุบัน เมืองสวางคบุรีในท้องที่อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ปัจจุบัน ในสมัยอยุธยาก็มีการตั้งเมืองพิชัยในท้องที่อำเภอพิชัยปัจจุบัน เป็นต้น ในสมัยรัตนโกสินทร์ก็มีการย้ายเมืองจากเมืองพิชัยมาตั้งใหม่ที่ตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ปัจจุบัน นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงรายละเอียดของอุตรดิตถ์ในอดีต ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ดังต่อไปนี้

อุตรดิตถ์สมัยก่อนประวัติศาสตร์
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นสมัยโบราณก่อน พ.ศ. ๑๐๐๐ ยังไม่มีตัวอักษรใช้กัน อุตรดิตถ์ก็คงมีคนอาศัยอยู่แล้ว เพราะหลักฐานการค้นพบโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือพบลองมโหระทึกสมัยก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งขุดพบที่ตำบลท่าเสา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ และนายแจ้ง เลิศวิลัย ได้ส่งไปให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐๒ (ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร) นอกจากนี้ยังเคยขุดพบกลองมโหระทึก และพร้าสัมฤทธิ์ในบริเวณเวียงเจ้าเงาะ อำเภอลับแล๓ อีกด้วย แสดงว่าในบริเวณทั้ง ๒ แห่งนี้มีคนเคยอาศัยอยู่มาก่อนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และจากโบราณวัตถุที่ทำด้วยสัมฤทธิ์นี้เอง แสดงว่าเป็นยุคสัมฤทธิ์ หรือยุคโลหะตอนต้น

อุตรดิตถ์สมัยสุโขทัย
ในสมัยสุโขทัยท้องที่ของจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้มีการตั้งเมืองขึ้นหลายเมืองด้วยกัน เช่น เมืองฝางหรือเมืองสวางคบุรี   ซึ่งปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ เมืองทุ่งยั้งและเวียงเจ้าเงาะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอลับแลและเมืองตาชูชก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอตรอน เมืองเหล่านี้มีหลักฐานทางศิลาจารึกบ้าง หลักฐานทางโบราณสถานบ้างที่แสดงว่าเป็นเมืองที่ตั้งขึ้นในสมัยสุโขทัย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
เมืองแรกคือ เมืองฝาง หรือเมืองสวางคบุรี ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อปรากฏในศิลาจารึกของกรุงสุโขทัยเป็นครั้งแรก เมื่อคราวที่พระมหาธรรมราชาลิไทย แห่งกรุงสุโขทัยได้ทรงสร้างพระมหาธาตุที่เมืองนครชุม เมืองมหาศักราช ๑๒๗๙ (พ.ศ. ๑๙๐๐) และตอนท้ายของศิลาจารึกหลักที่ ๓ นั้น ได้กล่าวถึงเมืองฝางด้วย ดังข้อความตอนหนึ่งดังนี้
"...ขุนผู้ใดกระทำชอบด้วยธรรมดังอันขุนผู้นั้น ...กินเมืองเหินนานแก่กม ผู้ใดกระทำบ่ชอบด้วยธรรมดังอันขุนผู้นั้น บมิยืนเยิงเหิงนานเลย คำนี้กล่าวคันสเล็กสน้อยและคำอันพิสดารไซร้ กล่าวไว้ในจารึกอันมีในเมืองสุโขทัย...นักพระมหาธาตุพู้น และจารึกอันหนึ่งมีในเมือง .....อันหนึ่งมีในเมืองฝาง อันหนึ่งมีในเมืองสระหลวง......หมทลประดิษฐานไว้ด้วยพระบาทลักษณะหั้น...."๔
จากข้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๓ นี้ จึงกล่าวได้ว่าเมืองฝางเป็นเมืองหนึ่งของอาณาจักรสุโขทัย ในสมัยสุโขทัย และยังเป็นเมืองต่อมาจนถึงสมัยอยุธยา
อีกเมืองหนึ่งคือ เมืองทุ่งยั้ง และเวียงเจ้าเงาะ ถึงแม้จะไม่ปรากฏชื่อเมืองนี้ในศิลาจารึกกรุงสุโขทัย แต่จากการพบตัวเมืองมีลักษณะเป็นกำแพงเมือง ๓ ชั้น และคูน้ำ ๒ ชั้น ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับเมืองโบราณสมัยสุโขทัยโดยทั่วไป และยังพบพระสถูปเจดีย์ที่มีมาแต่สมัยสุโขทัยหลายแห่ง เช่นในเขตวัดพระยืน กุฏิฤาษี และวัดทองเหลือ เป็นต้น นอกจากนี้ในกฎหมายลักษณะลักพาครั้งรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ แห่งกรุงศรีอยุธยามีชื่อเมืองทุ่งยั้งอยู่ในทำเนียบด้วยย่อมเป็นสิ่งยืนยันให้เห็นว่า เมืองทุ่งยั้งเป็นเมืองอยู่ในสมัยสุโขทัยอย่างแน่นอน๕
เมืองโบราณอีกเมืองหนึ่ง คือ เมืองตาชูชก ซึ่งอยู่ในท้องที่ตำบลหาดสองแคว อำเภอตรอน และอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่านฟากตะวันออก ลักษณะของตัวเมืองมีกำแพงเมือง ๓ ชั้น และคูน้ำ ๒ ชั้น และใช้แม่น้ำน่านเป็นคูเมืองธรรมชาติ ลักษณะของกำแพงเมือง ๓ ชั้นนี้เหมือนกับเมืองทุ่งยั้ง และเหมือนกับเมืองโบราณสมัยสุโขทัยอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองสุโขทัยเก่า ได้ปรากฏข้อความที่บรรยายถึง
ลักษณะตัวเมือง ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของกรุงสุโขทัยว่า "รอบเมืองสุโขทัยนี้ ตรีบูร ได้สามพันสี่ร้อยวา"๖คำว่า "ตรีบูร" หมายถึงกำแพง ๓ ชั้นนั่นเอง ดังนั้นเมืองตาชูชกและเมืองทุ่งยั้ง ซึ่งมีกำแพง ๓ ชั้นเช่นกัน จึงเชื่อว่าเป็นเมืองโบราณสมัยสุโขทัยอย่างไม่มีปัญหา
จึงกล่าวได้ว่าอุตรดิตถ์ในสมัยสุโขทัย มีเมืองอยู่ถึง ๓ เมืองด้วยกัน

อุตรดิตถ์ในสมัยอยุธยา
ในสมัยอยุธยาเริ่มตั้งแต่พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ ปรากฏว่ามีเมืองขึ้นถึง ๑๖ เมืองด้วยกัน ในจำนวน ๑๖ เมืองนี้ มีเมืองพิชัย ซึ่งอยู่ในท้องที่ของอุตรดิตถ์ในปัจจุบันอยู่ด้วย ดังปรากฏข้อความตอนหนึ่งในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ดังนี้
"ศุภมัศดุศักราช ๗๑๒ ปีขาล โทศก (พ.ศ. ๑๘๙๓) วันศุกร์ เดือนห้า ขึ้นหกค่ำ เพลาสามนาฬิกาเก้าบาทสถาปนากรุงพระมหานครศรีอยุธยา ชีพ่อพราหมณ์ให้ฤกษ์ตั้งพิธีกลปบาต ได้สังข-ทักษิณวัตรใต้ต้นหมันขอนหนึ่งแลสร้างพระที่นั่งไพฑูรย์มหาปราสาทองค์หนึ่งสร้างพระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาทองค์หนึ่ง สร้างพระที่นั่งไอศวรรย์มหาปราสาทองค์หนึ่งแล้วพระเจ้าอู่ทองเสด็จเข้ามาครอง
ราชสมบัติ ชีพ่อพราหมณ์ถวายพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว กรุงเทพทวาราวดี ศรีอยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์,จึงให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระ
ราเมศวรขึ้นไปครองราชสมบัติในเมืองลพบุรี ครั้งนั้นพระยาประเทศราชขึ้น ๑๖ เมือง คือ เมืองมลากา, เมืองชวา, เมืองตะนาวศรี, เมืองนครศรีธรรมราช, เมืองทวาย, เมืองเมาะตะมะ, เมืองเมาะลำเลิง, เมืองสงขลา, เมืองจันทบุรี, เมืองพิษณุโลก, เมืองพิชัย, เมืองสวรรคโลก, เมืองพิจิตร, เมืองกำแพงเพชร, เมืองนครสวรรค์…"๗
จะเห็นได้ว่าเมืองพิชัย เป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาเมืองหนึ่ง ส่วนเมืองทุ่งยั้ง เมืองฝาง และเมืองตาชูชกคงเป็นเมืองที่หมดความสำคัญลงไปก็ได้ จึงไม่ได้กล่าวไว้ในพระราชพงศาวดาร ส่วนเมืองพิชัยคงเป็นเมืองที่มีความสำคัญขึ้นนั่นเอง
ต่อมา พ.ศ. ๒๐๓๓ ได้มีการก่อกำแพงเมืองพิชัยขึ้น๘ (ซึ่งตรงกับรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ แสดงว่าก่อนหน้านี้ เมืองพิชัยยังไม่มีกำแพงเมือง เพิ่งทำการก่อกำแพงเมืองในปีนี้ ลักษณะของกำแพงเมือง เป็นกำแพงดินชั้นเดียว ตัวเมืองอยู่ริมแม่น้ำน่านฟากตะวันออก
ในปี พ.ศ. ๒๑๐๖ ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระเจ้าหงสาวดี บุเรงนองยกกองทัพมาตีเมืองเหนือซึ่งในพระราชพงศาวดารเรืองไทยรบพม่ากล่าวว่า เป็นสงครามครั้งที่ ๓ คราวนั้นรบกันด้วยเรื่องช้างเผือกในครั้งนี้ปรากฏว่ากองทัพพระมหาอุปราชากับพระเจ้าแปรยกไปถึงเมืองสุโขทัย พระยาสุโขทัยต่อสู้ได้รบพุ่งกันเป็นสามารถกำลังไทยน้อยกว่าพม่ามากนักก็เสียเมืองสุโขทัย ตัวพระยาสุโขทัยพม่าก็จับได้ ฝ่ายพระยาสวรรคโลก พระยาพิชัยเมื่อรู้ว่าเสียเมืองสุโขทัยแล้วก็ไม่ต่อสู้ พากันไปยอมอ่อนน้อมต่อพระมหาอุปราชาทั้ง ๒ เมือง๙ จะเห็นได้ว่า เมืองพิชัยเป็นเมืองหน้าด่านเมืองหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาในสมัยนี้ด้วย และในการที่พม่ายกกองทัพมาตีเมืองเหนือครั้งนี้ พม่าให้รวบรวมเรือในหัวเมืองฝ่ายเหนือจัดเป็นกองทัพเรือ ยกลงมาตีกรุงศรีอยุธยา และพระยาพิชัยได้ตามเสด็จมาในกองทัพหลวงด้วย๑๐
ต่อมา พ.ศ. ๒๑๒๗ ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชา ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชประกาศอิสรภาพ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จขึ้นไปขับไล่กองทัพพม่าทางหัวเมืองเหนือ ปรากฏว่าพระยาสวรรคโลกและพระยาพิชัยแข็งเมืองไม่ยอมเกณฑ์กำลังไปช่วยขับไล่กองทัพพม่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงยกกองทัพเข้าตีเมืองสวรรคโลก และเมืองพิชัย และสามารถเข้าเมืองได้ จับได้ตัวพระยาสวรรคโลก พระยาพิชัย มีรับสั่งให้ประหารชีวิตเสียทั้งสองคน แล้วให้กวาดต้อนผู้คนพลเมืองทั้งเมืองสวรรคโลก และเมืองพิชัย ลงมายังเมืองพิษณุโลกจนสิ้นเชิง๑๑
เหตุการณ์ในสมัยอยุธยาที่เกี่ยวข้องกับเมืองพิชัยก็มีเพียงเท่านี้ แต่จะปรากฏเรื่องของเมืองพิชัยอีกในสมัยธนบุรี สำหรับเมืองสวางคบุรี หรือเมืองฝาง และเมืองทุ่งยั้งได้มีเหตุการณ์ในสมัยอยุธยาอีก ซึ่งจะกล่าวต่อไป
ในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตามพระราชพงศาวดารได้กล่าวถึงเมืองฝาง คือในปี พ.ศ. ๒๑๓๕ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชให้เตรียมทัพหลวงที่จะไปปราบเมืองอังวะ แล้วได้เสด็จยกทัพหลวงไปทางเชียงใหม่ แล้วเสด็จต่อไปทางเมืองหางหลวง ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถก็ยกทัพหลวงเสด็จไปทางเมืองฝาง เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จถึงเมืองหลวงนั้น ได้ทรงพระประชวรหนักก็ตรัสให้ข้าหลวงไปกราบทูลพระกรุณาถึงเมืองฝางสมเด็จพระเอกาทศรถก็เสด็จจากเมืองฝางมายังเมืองหางหลวง รุ่งขึ้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็เสด็จสวรรคต๑๒ แสดงว่าในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมืองฝางคงเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง
ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ได้เสด็จเมืองทุ่งยั้ง และเมืองสวางคบุรี ในปี พ.ศ. ๒๒๘๓ เพื่อนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ณ เมืองทุ่งยั้ง และนมัสการพระมหาธาตุ ณ เมืองสวางคบุรี แต่ในพระราชพงศาวดารกล่าวถึงเมืองทุ่งยั้งว่าเป็นเมืองศรีพนมมาศ ทุ่งยั้ง๑๓ ความจริงก็คือเมืองทุ่งยั้งนั่นเอง ส่วนเมืองสวางคบุรีก็เป็นเมืองเดียวกับเมืองฝาง อาจจะเปลี่ยนชื่อจากเมืองฝางมาเป็นเมืองสวางคบุรีในภายหลัง
สำหรับในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนี้ ยังมีเรื่องราวที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารอีกว่า มีพระภิกษุชาวเมืองเหนือรูปหนึ่งชื่อเรือนลงมาเล่าเรียนอยู่ในกรุงศรีอยุธยาจนได้เป็นที่พระพากุลเถร ตำแหน่งพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระอยู่ ณ วัดศรีอโยธยา อยู่มาสมเด็จพระบรมโกศทรงตั้งให้เป็นตำแหน่งสังฆราชา ขึ้นไปเป็นเจ้าคณะสงฆ์ เมืองสวางคบุรี อยู่ ณ วัดพระฝาง๑๔
ต่อมา พ.ศ. ๒๓๑๐ ในรัชกาลพระที่นั่งสุริยามรินทร์ กรุงศรีอยุธยาได้เสียแก่พม่า หัวเมืองทั้งปวงไม่มีพระราชาธิบดีปกครอง ก็พากันตั้งตัวเป็นเจ้าขึ้นหลายก๊กหลายเหล่า๑๕ พระสังฆราชาเรือน ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าอีกตำบลหนึ่ง แต่หาสึกเป็นคฤหัสไม่ คงอยู่ในเพศสมณะแต่นุ่งห่มผ้าแดง คนทั้งปวงเรียกว่า เจ้าพระฝาง บรรดาเจ้าเมืองกรมการหัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่เหนือเมืองพระพิษณุโลกขึ้นไป ก็กลัวเกรงนับถืออยู่ในอำนาจทั้งสิ้น และเมืองเหนือครั้งนั้นมีเจ้าขึ้นสองแห่ง แบ่งแผ่นดินออกเป็นสองส่วน ตั้งแต่เมืองพระพิษณุโลกลงมาจนถึงเมืองนครสวรรค์กับแควปากน้ำโพนั้น เป็นอาณาเขตของเจ้าพระพิษณุโลก ตั้งแต่เหนือเมืองพระพิษณุโลกขึ้นไปจนถึงเมืองน้ำปาด กระทั่งแดนลาว กับแควแม่น้ำปากพิงนั้น เป็นอาณาเขตข้างเจ้าพระฝาง๑๖

อุตรดิตถ์สมัยธนบุรี
ต่อมาเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติเป็นบรมกษัตริย์ ณ กรุงธนบุรีแล้ว ในรัชกาลของพระองค์นี้ปรากฏว่า เจ้าพระพิษณุโลกถึงพิราลัย เจ้าพระฝางจึงยกกองทัพลงมาตีเมืองพิษณุโลกอีก หลังจากเคยยกทัพลงมาตีครั้งหนึ่งแล้ว แต่เอาเมืองมิได้ แต่ครั้งนี้เจ้าพระฝางสามารถตีเอาเมืองพิษณุโลกได้๑๗ ต่อมา พ.ศ. ๒๓๑๓ พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ยกกองทัพขึ้นไปปราบหัวเมืองซึ่งเป็นอาณาเขตของเจ้าพระฝางทั้งหมด ส่วนตัวเจ้าพระฝางนั้นหนีแล้วเลยหายสูญไป๑๘ เป็นอันว่าเมืองสวางคบุรี และอาณาเขตทั้งหมดขึ้นกับกรุงธนบุรีแต่นั้นมา
ต่อมา พ.ศ. ๒๓๑๔ พระเจ้ากรุงธนบุรีจะเสด็จไปตีเมืองเชียงใหม่ครั้งแรก ได้ไปตั้งที่ประชุมทัพหลวงที่เมืองพิชัย ต่อมา พ.ศ. ๒๓๑๕ โปสุพลาแม่ทัพพม่าที่ไปตีได้เมืองหลวงพระบาง ให้ชิกชิงโบ นายทัพพม่ายกมาตีได้เมืองลับแล แล้วเลยมาตีเมืองพิชัย พม่าตั้งค่ายอยู่ที่วัดเอกา ขณะนั้นเมืองพิชัยรี้พลมีน้อย พระยาพิชัยได้แต่ตั้งมั่นรักษาเมือง แล้วบอกขอกองทัพเมืองพิษณุโลกขึ้นไปช่วย กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เมื่อยังเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ เสด็จยกกองทัพขึ้นไปตีค่ายพม่า พระยาพิชัยยกออกตีกระหนาบอีกด้านหนึ่ง พม่าก็แตกหนีกลับไป๑๙
ต่อมา พ.ศ. ๒๓๑๖ โปสุพลายยกกองทัพมาตีเมืองพิชัยอีก พระยาพิชัยก็ยกพลทหารออกไปต่อรบแต่กลางทางยังไม่มาถึงเมือง เจ้าพระยาสุรรีห์ก็ยกกองทัพเมืองพระพิษณุโลกขึ้นไปช่วย ได้รบกับพม่าเป็นสามารถ และพระยาพิชัยถือดาบสองมือคุมพลทหารออกไล่ฟันพม่าจนดาบหัก จึงลือชื่อปรากฏเรียกว่า พระยาพิชัยดาบหักแต่นั้นมา ครั้งถึง ณ วันอังคารเดือนยี่ แรม ๗ ค่ำ กองทัพพม่าแตกพ่ายหนีไป จึงบอกหนังสือลงมากราบทูลพระกรุณา ณ กรุงธนบุรี๒๐
จะเห็นได้ว่าอุตรดิตถ์ในสมัยอยุธยา และสมัยธนบุรี เมืองพิชัยเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง และเมืองสวางคบุรีก็คงเป็นเมืองที่มีความสำคัญที่รองลงมา หรืออาจเท่าเทียมกันก็ได้ สังเกตได้จากเมืองพิชัยเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาในสมัยอยุธยาตอนต้น และคงเป็นเมืองหน้าด่านของกรุงศรีอยุธยาด้วย ส่วนเมืองสวางคบุรีก็คงเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ สังเกตได้จากเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าแล้ว เจ้าพระฝางได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้ามีอำนาจในหัวเมืองเหนือตั้งแต่เหนือเมืองพิษณุโลกขึ้นไปจนถึงแดนลาวทีเดียว ส่วนเมืองทุ่งยั้ง คงขาดความสำคัญลงไปมาก แต่ในพระราชพงศาวดาร กรุงศรีอยุธยาก็ยังกล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เสด็จนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ณ เมืองทุ่งยั้งคราวเดียวกับเสด็จนมัสการพระมหาธาตุ ณ เมืองสวางคบุรีด้วย ส่วนเมืองตาชูชกคงขาดความสำคัญลงไปมากจนอาจเป็นเมืองร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาก็ได้ เพราะไม่ปรากฏว่า พระราชพงศาวดารได้กล่าวถึงเมืองนี้เลย

อุตรดิตถ์สมัยรัตนโกสินทร์
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมืองต่าง ๆ ในท้องที่จังหวัดอุตรดิตถ์ปัจจุบันที่ยังมีความสำคัญอยู่คือ เมืองพิชัยส่วนเมืองทุ่งยั้งก็ดี เมืองสวางคบุรีก็ดี คงจะลดความสำคัญลงไปมากทีเดียว สำหรับเมืองพิชัยมาเป็นเมืองสำคัญขึ้นในรัชกาลที่ ๓ เพราะเมื่อเจ้าอนุเวียงจันทน์เป็นขบถ กองทัพกรุงเทพฯ ขึ้นไปปราบปรามราบคาบ แล้วโปรดให้เลิกอาณาเขตกรุงศรีสัตนาคนหุตมิให้มีดังแต่ก่อน เมืองพิชัยได้หัวเมืองขึ้นของเมืองเวียงจันทน์ ที่อยู่ต่อแดนมาเป็นเมืองขึ้นหลายเมือง ขยายเขตแดนออกไปถึงแม้น้ำโขง ต้องตรวจตรารักษาการทางเมืองแพร่ เมืองน่าน ตลอดจนเมืองหลวงพระบางเป็นเมืองหน้าด่านแต่นั้นมา๒๑ แสดงว่าในสมัยรัชกาลที่ ๓ นี้ เมืองพิชัยเป็นเมืองที่มีความสำคัญอย่างมากทีเดียว
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนี้เอง ปรากฏว่าที่ตำบลบางโพท่าอิฐซึ่งเป็นที่ตั้งตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ปัจจุบันและอยู่ริมแม่น้ำน่าน มีเรือเดินจากกรุงเทพฯได้สะดวกถึงตำบลบางโพท่าอิฐนี้เท่านั้น เพราะเหนือขึ้นไปแม่น้ำตื้นเขินและเป็นเกาะแก่งเรือเดินไม่สะดวก เพราะฉะนั้นตำบลบางโพท่าอิฐจึงเป็นย่านสำคัญ เพราะเป็นที่รวมสินค้า ซึ่งพ่อค้าได้นำสินค้าทางเมืองใต้ขึ้นไปสุดทางเพียงแค่นั้น และพ่อค้าทางเมืองเหนือ เช่น เมืองหลวงพระบาง เมืองแพร่ เมืองน่าน ตลอดจนแคว้นสิบสองปันนา ก็นำสินค้าพื้นเมืองเดินบกลงมาจำหน่ายแล้วคอยรับซื้อสินค้าที่ส่งไปจากกรุงเทพฯ ที่ตำบลบางโพท่าอิฐนี้ เมื่อตำบลบางโพท่าอิฐเป็นทำเลการค้าดีเช่นนี้ ราษฎรจึงพากันอพยพจากเมืองพิชัยมาอยู่ที่ตำบลบางโพท่าอิฐมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ผู้คนในเมืองพิชัยร่วงโรยลง แต่ตำบลบางโพท่าอิฐกลับมีราษฎรมาตั้งถิ่นฐานกันหนาแน่นเพิ่มขึ้นทุกปี จนกลายเป็นชุมชนใหญ่กว่าเมืองพิชัยเสียอีก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเห็นว่า ที่ตำบลนี้คงเจริญต่อไปในภายหน้า จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเป็นเมืองขึ้น เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๓๐ เรียกว่า "เมืองอุตรดิตถ์" (อุตร = เหนือ,ดิตถ์ = ท่า เมืองอุตรดิตถ์ จึงน่าจะหมายถึง เมืองท่าเหนือ) และโปรดให้เป็นเมืองขึ้นของเมืองพิชัย๒๒ ดังนั้นในตอนนี้ เมืองพิชัยจึงแบ่งการปกครองออกเป็น ๕ เมืองด้วยกันคือ เมืองอุตรดิตถ์ เมืองตรอน เมืองลับแล และเมืองน้ำปาด๒๓
ต่อมา พ.ศ. ๒๔๔๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ย้ายศาลากลางเมืองไปตั้งบังคับบัญชาที่เมืองอุตรดิตถ์ และให้คงไว้แต่อำเภอพิชัยเก่า และนามเมืองพิชัยก็เลยนำไปใช้ที่เมืองอุตรดิตถ์ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาใช้เมืองอุตรดิตถ์๒๔ เหตุที่ย้ายศาลากลางเมืองไปตั้งใหม่ที่เมืองอุตรดิตถ์ ก็เพราะเมืองพิชัยร่วงโรยลงไป แต่เมืองอุตรดิตถ์มีผู้คนไปประกอบการค้ามากขึ้น
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ปรากฏว่าพวกเงี้ยวได้ก่อการจลาจลขึ้นที่เมืองแพร่ ทางเมืองเหนือรวมทั้งเมืองอุตรดิตถ์ด้วย ต้องจัดกำลังขึ้นไปช่วยก่อนที่กองทัพจากกรุงเทพฯ จะเดินทางขึ้นไป และในเดือนนั้นเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์
มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เมื่อยังเป็นพลโท ยกกองทัพขึ้นไปปราบเงี้ยวที่ก่อการจลาจลในเมืองแพร่ ก็ได้ไปพักกองทัพเพื่อยกขึ้นเดินทางบกที่เมืองนี้๒๕ และตั้งประชุมไพร่พลอยู่ที่เมืองนี้หลายวัน แล้วจึงเดินบกต่อไปยังเมืองแพร่๒๖
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมณฑลฝ่ายเหนือในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ และได้เสด็จเมืองพิชัยเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ เสด็จเมืองตรอนตรีสินธุ์ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๔๔ และเสด็จเมืองอุตรดิตถ์เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๔๔ และการเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือนี้พระองค์ได้มีพระราชหัตถเลขาถึงกรมหลวงเทวะษาโรประการด้วย สำหรับการเสด็จเมืองอุตรดิตถ์นี้ มีพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งกล่าวถึงตลาดของเมืองอุตรดิตถ์ "…..ในตลาดนั้นมีเรือนแถวฝากระดาน ๒ ชั้น แต่ใหญ่ ๆ กว่าที่กรุงเทพฯ ที่แล้วก็มาก ที่ยังทำอยู่ก็มี เป็นร้านขายของอย่างครึกครื้น ที่เป็นบ้านเรือนแลห้างก็มีบ้าง เขาว่าตลาดบกที่นี่ดีกว่าที่ปากน้ำโพซึ่งฉันไม่ได้เห็น แต่ตลาดเรือนั้น ที่นี่สู้ปากน้ำโพไม่ได้…." และในการเสด็จเมืองอุตรดิตถ์ครั้งนั้น พระองค์ได้เสด็จต่อไปยังเมืองลับแลในวันที่ ๒๔ ตุลาคม และเสด็จเมืองฝางเก่าในวันที่ ๒๕ ตุลาคม อีกด้วย
ยังมีพระราชหัตถเลขาอีกตอนหนึ่ง ที่กล่าวถึงการย้ายที่ว่าเมือง ดังข้อความดังนี้
"อนึ่งเมืองพิไชยนั้น โดยภูมิฐานที่ตั้งไม่ดีมีแต่ร่วงโรยลง ที่เมืองอุตรดิตถ์นี้ความเจริญขึ้นรวดเร็ว มีการค้าขายแลผู้คนมาก จนเป็นอำเภอก็จะไม่ใคร่พอที่จะปกครองรักษา ฉันจึงได้สั่งให้ย้ายที่ว่าการเมืองขึ้นมาตั้งที่พลับพลานี้แต่อำเภออุตรดิตถ์ก็คงเป็นอำเภออุตรดิตถ์อยู่ อำเภอเมืองพิไชยก็คงเป็นอำเภอเมืองพิไชย ย้ายแต่ที่ว่าการเมืองแลศาลเมืองขึ้นมาตั้งที่นี่ แลพลับพลาที่สร้างขึ้นนี้จะใช้ได้ต่อไปอีกหลายปี กว่าการปลูกสร้างใหม่จะแล้วสำเร็จ"๒๗
และใน พ.ศ. ๒๔๔๔ นี้เอง สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ได้เสด็จเมืองอุตรดิตถ์ด้วยและได้ทรงนิพนธ์ไว้ตอนหนึ่งว่า "เวลาบ่าย ๓ โมง ขี่ม้าขึ้นไปตามถนนริมน้ำ ดูตลาดท่าอิฐ ซึ่งอยู่เหนืออุตรดิตถ์หน่อยหนึ่ง ที่แท้จริงอุตรดิตถ์ไม่มีคนมากเท่าท่าอิฐ แลท่าอิฐนั้นควรจะเป็นเมือง เมืองทั้งปวงในมณฑลพิษณุโลก เมืองไหนจะดีเท่าอุตรดิตถ์ไม่มี เป็นเมืองที่โคราช เป็นที่รวมทางที่มาแต่ที่ดอน คือ แพร่ น่าน เป็นต้น มาสู่อุตรดิตถ์เป็นท่าเป็นบ้านร้านตลาดหาได้จับบางแต่ตามลำน้ำเช่นเมืองอื่นไม่ คับคั่งแน่นหนาประดุจตลาดน้อยกรุงเทพฯ เวลานี้ที่ตลาดกำลังทำโรงร้านใหม่เพราะขยายถนน โรงร้านนั้นทำด้วยไม้เป็นสองชั้น… เมืองอุตรดิตถ์เป็นที่งอก แผ่นดินเป็นกพักสองชั้นอย่างเมือง  พิไชยเกือบทุกแห่ง…"๒๘
ต่อมา พ.ศ. ๒๔๔๘ - ๒๔๔๙ ทางการได้เตรียมการที่จะสร้างทางรถไฟสายเหนือ
ไปเชียงใหม่โดยผ่านอุตรดิตถ์ด้วย ได้เตรียมถางทาง โค่นต้นไม้ถมดิน ทางรถไฟตรงมาทางหลังวัด
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #83 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553 15:53:39 »

อุตรดิตถ์ ๒
ท่าถนน ผ่านป่าช้าของวัดท่าถนน (คือสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ปัจจุบัน) สร้างมุ่งตรงไปถึงป่าไผ่หนาทึบ (คือที่ตั้งสถานีรถไฟท่าเสาในปัจจุบัน) ตัดผ่านหน้าวัดใหญ่ท่าเสาไปถึงหน้าวัดดอยท่าเสา และในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ก็ได้วางรถไฟไปตามเส้นทางดังกล่าว ขณะที่ทางการวางรางรถไฟก็มีรถจักรทำงานจูงรถพ่วงที่บรรทุกดิน หินกรวดไปด้วย ประชาชนชาวอุตรดิตถ์ จึงได้เห็นรถไฟที่มาถึงอุตรดิตถ์ในปีนี้ และในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ - ๒๔๕๓ ทางการจึงได้จัดการสร้างสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ขึ้นในบริเวณที่เป็นป่าช้าหลังวัดท่าถนนซึ่งเป็นสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ในปัจจุบันนั่นเอง๒๙
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ นี้ เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชได้เสด็จขึ้นไปประพาสเมืองกำแพงเพชร เมืองสุโขทัย    เมือง สวรรคโลก เมืองอุตรดิตถ์ และเมืองพิษณุโลก ขณะที่เสด็จประพาสอุตรดิตถ์ พระองค์ได้ทอดพระเนตรทางรถไฟด้วย และพระองค์ได้ทรงพระนิพนธ์เกี่ยวกับเมืองอุตรดิตถ์ไว้ตอนหนึ่ง ดังนี้
"เมืองอุตรดิตถ์ หรือเรียกตามที่ตั้งใหม่ว่าเมืองพิชัยนี้ เป็นเมืองใหม่แท้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องป่วยการเที่ยวหาของโบราณอะไร ดูแต่ของใหม่ๆ มีดูหลายอย่าง ที่นี่เป็นเมืองสำคัญในมณฑลนี้แห่งหนึ่ง เพราะเป็นเมืองด่านที่พักสินค้าขึ้นล่องมาก เพราะฉะนั้นผู้คนพ่อค้าพาณิชย์อยู่ข้างจะมีมาก ตลาดท่าอิฐมีร้านรวงอยู่มากครึกครื้น มีข้อเสียใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง คือท่าอิฐนี้ต้องน้ำท่วมทุกปี จึงไม่น่าจะเป็นที่ถาวรอยู่ได้ น่าจะขยับขยายย้ายตลาดเข้าไปเสียให้ห่างจากฝั่งแม่น้ำอีกสักหน่อย"๓๐
และอีกตอนหนึ่งทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า
"เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวที่ลับแล    ออกจากที่พักที่อุตรดิตถ์ ขี่ม้าไปทางบ้านท่าอิฐ เดินตามถนนอินทใจมีไปเมืองลับแล พระศรีพนมมาศได้จัดแต่งที่พักไว้ที่ตำบลม่อนชิงช้า ที่ริมที่พักนี้พระศรีพนมมาศกับข้าราชการและราษฎรได้เรี่ยไรกันสร้างโรงเรียนขึ้นโรงหนึ่ง ซึ่งขอให้ข้าพเจ้าเปิด ข้าพเจ้าได้เปิดให้ในเวลาบ่ายวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ นั้น และให้นามว่า "โรงเรียนพนมมาศพิทยากร" แล้วได้เลยไปออกที่เขาม่อนจำศีล บนยอดเขานี้แลดูเห็นที่แผ่นดินโดยรอบได้ไกล มีทุ่งนาไปจนสุดสายตา และเห็นเขาเป็นทิวเทือกซ้อนสลับกันเป็นชั้น ๆ รวมกับกำแพงน่าดูหนักหนา"๓๑
ต่อมาวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๗ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เสด็จเมืองพิชัยเก่า และเมืองพิชัยใหม่คือเมืองอุตรดิตถ์ และพระองค์ได้ทรงบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า "....เสด็จพระดำเนินมาตามถนนผ่านตลาดบางโพ ชาวตลาดอยู่เป็นปรกติตามเคย ไม่ได้แสดงอาการรับเสด็จ นอกจากจุดเทียนธูปไม่กี่ร้าน บ่าย ๕ โมง ๔๘ นาที ถึงจวน ซึ่งผู้ว่าราชการเมืองจัดถวายให้เป็นที่ประทับแรม..."๓๒
สำหรับนามเมืองพิชัยยังใช้ที่เมืองอุตรดิตถ์ ตั้งแต่ย้ายศาลากลางเมืองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรอให้เปลี่ยนนามเมืองพิชัยเป็นเมืองอุตรดิตถ์ให้ตรงกับนามท้องที่ ๆ ตั้งเมือง ส่วนอำเภอพิชัยเก่า โปรดเกล้าให้เรียกว่าอำเภอพิชัยคงไปตามเดิม๓๓ แสดงว่าชื่อเมืองอุตรดิตถ์จึงเป็นชื่อเมืองที่เรียกกันตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๘ เป็นต้นมา
ต่อมา พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดแล้วให้เปลี่ยนคำว่าเมืองเป็นจังวหวัด ดังนั้นเมืองอุตรดิตถ์จึงเปลี่ยนเป็นจังหวัดอุตรดิตถ์๓๔ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
และในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ นี้เอง ได้มีประกาศใช้ชื่ออำเภอที่เปลี่ยนใหม่ให้ตรงกับชื่อตำบลที่ว่าการอำเภอลงวันที่ ๘ - ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ คืออำเภอเมืองเปลี่ยนเป็นอำเภอบางโพ อำเภอลับแลเปลี่ยนเป็นยางกระใด อำเภอเมืองพิไชย คงเรียกอำเภอเมืองพิไชย อำเภอตรอนเปลี่ยนเป็นอำเภอบ้านแก่ง อำเภอน้ำปาด เปลี่ยนเป็นอำเภอแสนตอ๓๕ (แต่ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนไปใช้อย่างเดิมอีก)
ต่อมา พ.ศ. ๒๔๖๕ ได้มีพระบรมราชานุญาตโอนอำเภอท่าปลา จากจังหวัดน่านมาขึ้นจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อสะดวกแก่การปกครองท้องที่ เนื่องจากอำเภอท่าปลา จังหวัดน่านตั้งอยู่ไกลศาลากลางจังหวัดมาก ทางเดินไปมา ๑๔ วัน ทางเรือ ๑๕ วัน เป็นทางกันดาร ถ้าถึงฤดูฝนก็ยิ่งลำบากทั้งทางน้ำและทางบก แต่ทางไปมาระหว่างอำเภอนี้กับจังหวัดอุตรดิตถ์ทางเดิน ๓ วัน ก็ถึง ทางน้ำก็สะดวก เห็นควรโอนไปขึ้นจังหวัดอุตรดิตถ์๓๖
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ได้ตั้งเป็นสุขาภิบาลขึ้น และได้ยกฐานะเป็นเมืองเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘๓๗
ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นปีที่อุตรดิตถ์เกี่ยวข้องกับกรณีพิพาทอินโดจีน คือไทยได้เรียกร้องขอเอาดินแดนของไทยคืนจากฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสขู่บังคับเอาจากไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นจังหวัดที่ตั้งติดกับพรมแดนอินโดจีน ด้านปากลายริมแม่น้ำโขง กองพันทหาร ร.พัน ๒๘นครสวรรค์ มีหลวงหาญสงครามไชยเป็นแม่ทัพ ได้ยกกองทหารมาตั้งที่อุตรดิตถ์ และได้ทำการยึดปาก-ลายไว้ได้ มีนักเรียนฝึกหัดครูอุตรดิตถ์ และชาวอุตรดิตถ์ได้ช่วยกองทหารอย่างมากด้วย๓๘
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้มีการย้ายศาลากลางจังหวัดจากที่เดิม ซึ่งอาศัยพลับพลาที่ปลูกรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ศาลากลางหลังใหม่นี้ ตั้งอยู่เหนือวัดวังเตาหม้อ (วัดท่าถนน)๓๙
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ซึ่งเป็นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เดินทัพผ่านประเทศไทย เพื่อมุ่งเข้าไปยึดพม่า และได้ยึดสถานีรถไฟอุตรดิตถ์เป็นที่พักรถไฟ เพื่อจะมุ่งต่อไปยังเชียงใหม่ ผ่าน
แม่ฮ่องสอนเข้าพม่า ทำให้สหรัฐอเมริกาและอังกฤษคิดจะปราบญี่ปุ่น และตัดการลำเลียงทางรถไฟของญี่ปุ่น ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้โจมตีอุตรดิตถ์ด้วยการทิ้งระเบิด และยิงปืนกล เช่น ทิ้งระเบิดที่สะพานดารา สะพานแม่ต้า ยิงปืนกลกราดบ้านวังกะพี้ บ้านท่าทองโรงงานน้ำตาลอุตรดิตถ์ สถานีรถไฟท่าเสา และสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ (สถานีรถไฟอุตรดิตถ์ได้ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักด้วย) ทำให้อุตรดิตถ์เสียหายมาก๔๐
พ.ศ. ๒๕๐๑ ได้มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะกิ่งอำเภอฟากท่า เป็นอำเภอฟากท่า เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ สำหรับอำเภอฟากท่านี้เดิมตั้งเป็นกิ่งอำเภอตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๐ ขึ้นกับอำเภอน้ำปาด และเพิ่งยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ นี้เอง๔๑
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นต้นมา รัฐบาลได้จัดการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำน่านขึ้นที่แก่งผาซ่อม อำเภอท่าปลาเขื่อนนี้มีชื่อว่า "เขื่อนสิริกิติ์" และสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕๔๒
วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ ทางจังหวัดได้กระทำพิธีวางศิลาฤกษ์แท่นฐานอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหักโดย นายถวิล สุนทรศารทูล ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในขณะนั้นมาเป็นประธานในพิธี ต่อมาวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้กระทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก โดยนายพ่วง สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี๔๓
วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ได้มีประกาศจัดตั้งกิ่งอำเภอในปกครองอีก ๑ กิ่งคือ กิ่งอำเภอบ้านโคกขึ้นกับอำเภอฟากท่า๔๔
วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ มีประกาศตั้งกิ่งอำเภอทองแสนขึ้น โดยแยกมาจากอำเภอตรอน๔๕
ดังนั้น การแบ่งการปกครองของจังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงแบ่งออกเป็น ๗ อำเภอ ๒ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ อำเภอพิชัย อำเภอตรอน อำเภอลับแล อำเภอท่าปลา อำเภอน้ำปาด อำเภอฟากท่า กิ่งอำเภอบ้านโคก และกิ่งอำเภอทองแสนขัน




ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดอุตรดิตถ์. อุตรดิตถ์, ๒๕๒๙.
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #84 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553 15:54:26 »

อำนาจเจริญ
มองอดีต
เมืองอำนาจเจริญ ตั้งเมื่อปี พ.ศ.  ๒๓๙๓ โดยท้าวอุปราชเจ้าเมืองจำพรแขวงสุวรรณเขต ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบัน ได้อพยพครอบครัวมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่ที่บ้านค้อใหญ่ ซึ่งก็คือบ้านอำนาจ ตำบลอำนาจ กิ่งอำเภอลืออำนาจปัจจุบัน ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองลืออำนาจ มีฐานะเป็นเมืองในความปกครองของนครเขมราฐ
พ.ศ.  ๒๔๑๐ พระอมรอำนาจ (เสือ อมรสิน) ผู้ครองเมืองอำนาจเห็นว่า ถ้าย้ายเมืองอำนาจมาขึ้นต่อเมืองอุบลราชธานี จะสะดวกในการติดต่อราชการมากจึงได้มีใบบอกกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ได้โปรดเกล้าตามที่ขอ ให้เมืองอำนาจขึ้นต่อเจ้าผู้ปกครองเมืองอุบลราชธานีตั้งแต่นั้นมา
สมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการปฏิรูปบริหารราชการแผ่นดิน ให้เป็นไปตามแบบอย่างยุโรป เมืองอำนาจได้เปลี่ยนฐานะเป็นเมืองอำนาจเจริญ อยู่ในความปกครองของมณฑลเทศาภิบาลปกครองท้องที่อุบลราชธานี ทางราชการได้แต่งตั้งท้าวพระยาในราชวงศ์มาปกครองเมืองอำนาจเจริญติดต่อกันมาโดยตลอด จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้มีการแต่งตั้งนายอำเภอขึ้นปกครองอำเภออำนาจเจริญ นายอำเภอคนแรกคือ รองอำมาตย์โทหลวงเอนกอำนาจ (เป้ย สุวรรณกูฎ) ต่อมานายอำเภอท่านนี้ได้ย้ายอำเภออำนาจเจริญตามคำแนะนำของพระยาสุนทรพิพิธ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขามณฑลอีสาน ซึ่งพิจารณาเห็นว่าที่ตั้งใหม่เป็นชุมทางสี่แยก ระหว่างเมืองเขมราฐ เมืองอุบล
เมืองมุก และเมืองยศ (ยโสธร) ทำให้การคมนาคมสะดวกและคาดว่าจะมีความเจริญยิ่งๆ ขึ้น โดยย้ายจากบ้านอำนาจ ตำบลอำนาจ ไปตั้งที่บ้านบุ่ง ตำบลบุ่ง อำเภออำนาจเจริญ จนถึงปัจจุบัน
พ.ศ. ๒๕๑๐ ทางราชการได้แยกการปกครองของอำเภออำนาจเจริญออก ๔ ตำบล ตั้งขึ้นเป็นกิ่งอำเภอหัวตะพาน และยกฐานะเป็นอำเภอหัวตะพานในปี พ.ศ. ๒๕๒๖
พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้แยกการปกครองของอำเภออำนาจเจริญ ๕ ตำบล ตั้งขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ
เสนางคนิคม และยกฐานะเป็นอำเภอเสนางคนิคม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖
เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๓๔ ได้แยกการปกครองของอำเภออำนาจเจริญอีก ๖ ตำบล
ตั้งขึ้นเป็นกิ่งอำเภอลืออำนาจ
   และเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๖ ได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดอำนาจเจริญ ประกาศ
ในราชกิจานุเบกษา ฉบับพิเศษ หน้า ๔,๕,๖, เล่มที่ ๑๑๐ ตอนที่ ๑๒๕ ลงวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๖ โดย
พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวให้มีผลใช้บังคับหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ๙๐ วัน คือมีผล
บังคับใช้ในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๖ เป็นต้นไป    


ที่มา : สำนักงานจังหวัดอำนาจเจริญ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 พฤศจิกายน 2553 16:44:52 โดย ~POOMZA~ » บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
ou ae110
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,115



ดูรายละเอียด
« ตอบ #85 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553 16:24:06 »

ชุดใหญ่เลย
บันทึกการเข้า

Ae.ถึงจะเก่า. แต่ก็อึดนะคร๊าบ
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #86 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553 16:48:04 »

กาฬสินธุ์
เมืองกาฬสินธุ์ หรือจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ยกฐานะขึ้นเป็น "เมือง" ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในช่วงนี้มีความกล่าวว่าเคยเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวละว้า และได้เคยตกอยู่ในอำนาจของพม่า
สมัยกรุงธนบุรี
ในช่วงนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญต่อการตั้งเมืองกาฬสินธุ์เป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐  พระเจ้าองค์เวียนดาแห่งนครเวียงจันทน์ ได้สิ้นพระชนม์ลง โอรสท้าวเพี้ยเมืองแสน ได้ยกกองทัพเข้ายึดเมืองเวียงจันทน์ประสบความสำเร็จ และได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบแทนพระนามว่า "พระเจ้าศิริบุญสาร"
เมื่อพระเจ้าศิริบุญสารขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ได้กดขี่ข่มเหงเบียดเบียนประชาราษฎร์ให้ได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส ดังนั้น ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๒๐ ท้าวโสมพะมิตร และอุปฮาดเมืองแสนฆ้อนโปง เมืองแสนหน้าง้ำ ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เกิดขัดใจกับพระเจ้าศิริบุญสาร เจ้าผู้ครองนคร  เวียงจันทน์จึงได้รวบรวมผู้คนที่เป็นสมัครพรรคพวกอพยพจากดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ข้ามมาตั้งบ้านเรือนอยู่แถวบริเวณลุ่มน้ำก่ำแถบบ้านพรรณา หนองหาร ธาตุเชียงชุม เมืองพรรณานิคม ซึ่งเป็น หมู่บ้าน และอำเภอของจังหวัดสกลนครในปัจจุบัน
ครั้นต่อมาท้าวศิริบุญสารได้ยกกองทัพติดตามมา เพื่อกวาดต้อนผู้คนที่หลบหนีมา ให้กลับคืนสู่นครเวียงจันทน์ ทำให้ท้าวโสมพะมิตรและพรรคพวกต้องอพยพต่อไปและได้แบ่งแยกเป็น ๒ สาย
สายที่ ๑
โดยมีเมืองแสนหน้าง้ำเป็นหัวหน้า นำสมัครพรรคพวกบ่าวไพร่ บุตรหลาน มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก สมทบกับพระวอ พระตา ซึ่งแตกทัพมาจากเมืองนครเขื่อนขันท์กาบแก้วบัวบาน (เมืองหนองบัวลำภู) พระตาถูกปืนข้าศึกตายในสนามรบ พระวอกับเมืองแสนหน้าง้ำ รวบรวมไพร่พลที่เหลือหลบหนีไปจนกระทั่งถึงนครจำปาศักดิ์ และได้นำเครื่องบรรณาการเข้าถวายพอพึ่งบารมีของพระเจ้าหลวงแห่งนครจำปาศักดิ์ พระเจ้าองค์หลวงรับสั่งไปตั้งอยู่ ณ ดอนค้อนกอง พระวอจึงสร้างค่ายขุดคูขึ้นเพื่อป้องกันข้าศึก เรียกค่ายนั้นในเวลาต่อมาว่า "ค่ายบ้านดู่บ้านแก" ใน พ.ศ. ๒๕๒๑ พระเจ้าศิริบุญสารยังมีความโกรธแค้นไม่หาย จึงแต่งตั้งให้เพี้ยสรรคสุโภย ยกกองทัพกำลังหมื่นเศษติดตามลงมา เพื่อจับ พระวอและพรรคพวก พระวอได้ยกกำลังออกต่อสู้ด้วยความห้าวหาญยิ่ง แต่สู้กำลังที่เหนือกว่าไม่ได้จนวาระสุดท้ายได้ถึงแก่ความตาย ณ ค่ายบ้านดู่บ้านแกนั่นเอง ท้าวคำผง ท้าวทิดพรหม และท้าวก่ำผู้เป็นบุตรหลาน ได้พาผู้คนที่เหลือหลบหนีเข้าไปอยู่ในเกาะกลางลำแม่น้ำมูลมี ชื่อว่า "ดอนมดแดง" อยู่ในท้องที่จังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน

สายที่ ๒
ท้าวโสมพะมิตรเป็นหัวหน้า ได้พาสมัครพรรคพวกยกพลข้ามสันเขาภูพานลงมาทางใต้ และได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านกลางหมื่น ขณะที่ให้ผู้คนจัดสร้างที่พักอยู่นั้น ท้าวโสมพะมิตรได้สำรวจผู้คนของตน ปรากฏว่ามีอยู่ประมาณ ๕,๐๐๐ คน (ครึ่งหรือกลางหมื่นเหมือนชื่อหมู่บ้านปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอเมืองกาฬสินธุ์) และท้าวโสมพะมิตรได้ส่งท้าวตรัยและผู้รู้หลายท่านออกเสาะหาชัยภูมิ เลือกทำเลที่จะสร้างเมืองใหม่ ท้าวตรัยและคณะใช้เวลาสำรวจอยู่ประมาณปีเศษ จึงได้พบทำเลอันเหมาะสม คือได้พบลำน้ำปาว และเห็นว่าแก่งสำโรงชายสงเปลือย มีดินมีน้ำอุดมสมบูรณ์ ควรแก่ตั้งเป็นบ้านเป็นเมือง จึงได้อพยพผู้คนมาตั้งบ้านเรือนบริเวณนี้ และได้จัดสร้างหลักเมืองขึ้น ณ ที่ตั้งศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในปัจจุบัน โดยตั้งตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อใคร อยู่มาได้ประมาณ ๑๐ ปีเศษ
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ครั้นต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้สถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นเมืองหลวงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ และเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ามาก ท้าวโสมพะมิตรเห็นเป็นโอกาสดีจึงได้นำเครื่องบรรณาการเข้าถวายสวามิภักดิ์ และกราบทูลขอตั้งบ้านแก่งสำโรงขึ้นเป็นเมือง   ปี พ.ศ. ๒๓๓๔ โดยถือเอานิมิตเมืองพรรณานิคมและเมืองหนองหาญธาตุเชิงชุม อันเป็นเมืองเดิมใช้ลุ่มน้ำก่ำ เป็นแหล่งประกอบอาชีพ ซึ่งชาวพื้นเมืองเรียกว่าแม่น้ำ "ก่ำ" แปลว่า "ดำ" นั่นเอง ประกอบกับครั้งนั้นท้าวโสมพะมิตรได้นำกาน้ำสัมฤทธิ์ทูลเกล้าถวาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้ากระหม่อมให้ยกฐานะบ้านแก่งสำโรงขึ้นเป็นเมือง พระราชทานนามว่า "กาฬสินธุ์" เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๖ พร้อมทั้งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ท้าวโสมพะมิตรเป็นพระยาชัยสุนทรครองเมืองกาฬสินธุ์เป็นคนแรก และผู้คนในถิ่นนี้จึงได้นามว่า "ชาวกาฬสินธุ์" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ซึ่งมีคำกลอนเป็นภาษาถิ่นกล่าวอ้างไว้ว่า
"กาฬสินธุ์นี้ดำดินน้ำสุ่ม ปลากุ่มบ้อนคือแข่แก่งหาง ปลานางบ้อนคือขางฟ้าลั่น
จั๊กจั่นฮ้องคือฟ้าล่วงบน แตกจ่น ๆ คนปีบโฮแซว เมืองนี้มีสู่แนวแอ่นระบำฟ้อน" หมายถึงกาฬสินธุ์ เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์มาก มีดินดี น้ำดี ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ประชาชนมีความสุข      สดชื่นรื่นเริงทั่วไป
ในครั้งนั้น ท้าวโสมพะมิตร (พระยาชัยสุนทร) ได้ปกครองอาณาประชาราษฎร์ ในเขตดินแดนด้วยความร่มเย็นเป็นสุขด้วยดีเสมอมา จนกระทั่งท้าวโสมพะมิตร (พระยาชัยสมุทร) ได้ถึงแก่      นิจกรรม เมื่ออายุ ๗๐ ปี ท้าวหมาแพงบุตรอุปฮาดเมืองแสนฆ้อนโปง ได้รับพระราชทานเป็นพระยาชัย -สุนทรครองเมืองกาฬสินธุ์แทน ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๓๔๘ และยังได้โปรดเกล้าให้ท้าวหมาสุ่ยเป็นอุปฮาด ให้ท้าวหมาฟองเป็นราชวงศ์ ครั้นต่อมาเจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์เป็นกบฏ ได้มาเกลี้ยกล่อมท้าวหมาแพงให้ร่วมด้วย แต่ท้าวหมาแพงและชาวเมืองกาฬสินธุ์ ทั้งมวลยังมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีไม่เปลี่ยนแปลง เป็นเหตุให้ท้าวหมาแพงถูกทารุณเฆี่ยนตีและตัดหัวเสียบประจาน ณ ทุ่งหนองหอย ตรงกับปี พ.ศ. ๒๓๖๙
เมื่อความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทางกรุงเทพมหานคร จึงได้มอบให้พระยาราชสุภาวดี (พระยาบดินทร์เดชา) ยกกองทัพขึ้นไปปราบเมืองเวียงจันทน์จนมีชัยชนะแล้วกวาดต้อน    ผู้คนเมืองลาวมารวมกันอยู่ที่เมืองกาฬสินธุ์เป็นจำนวนมาก และได้โปรดเกล้าแต่งตั้ง ท้าวบุตรเจียม บ้านขามเปีย ซึ่งมีความชอบต่อเจ้าพระยาบดินทร์เดชา คือจัดส่งเสบียง ครั้งตีเมืองเวียงจันทน์ขึ้นเป็นพระยาชัยสุนทรเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ และแต่งตั้งท้าวหล้าขึ้นเป็นอุปฮาด และท้าวอินทิสารผู้เป็นมิตรสหายของท้าวหล้าขึ้นเป็นที่ราชวงศ์ แล้วแต่งตั้ง ท้าวเชียงพิมพ์ขึ้นเป็นราชบุตร ครั้นโปรดเกล้าฯ จัดแจงแต่งตั้ง  เจ้าเมืองกรมการเมืองกาฬสินธุ์ ทั้งปวงเสร็จแล้ว เจ้าพระยาบดินทร์เดชาแม่ทัพจึงยกทัพกลับไป
การปกครองบ้านเมืองในระบอบมณฑลเทศาภิบาล
พระยาชัยสุนทร (ท้าวบุตรเจียม) ได้ปกครองบ้านเมืองโดยเรียบร้อยต่อมาจนถึงสมัย  พระยาชัยสุนทร (ท้าวเก) ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้เปลี่ยนรูปแบบการปกครองแบบให้เจ้าเมืองปกครองขึ้นตรงต่อกรุงเทพ มาเป็นรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล มีมณฑล, จังหวัด, อำเภอ, ตำบล และมีพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เมืองร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดร้อยเอ็ด บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ให้ยุบเป็นอำเภอ คือ เมืองกาฬสินธุ์ เป็นอำเภออุทัยกาฬสินธุ์
จนกระทั่งถึงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๕๖ ได้ทรงพระกรุณายกฐานะจังหวัดร้อยเอ็ด ขึ้นเป็นมณฑล ยกฐานะอำเภออุทัยกาฬสินธุ์เป็นจังหวัดกาฬสินธุ์ ให้จังหวัดมีอำนาจปกครองอำเภอ คือให้อำเภออุทัยกาฬสินธุ์ อำเภอสหัสขันธ์ อำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอกมลาไสย อำเภอยางตลาด ขึ้นกับจังหวัดกาฬสินธุ์ และให้จังหวัดกาฬสินธุ์ขึ้นต่อมณฑลร้อยเอ็ด ให้พระภิรมย์บุรีรักษ์ เป็นปลัดมณฑลประจำจังหวัดกาฬสินธุ์
ต่อมามีเหตุการณ์สำคัญ คือเกิดข้าวยากหมากแพงเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ การเงินฝืดเคือง จำเป็นต้องยุบจังหวัดต่าง ๆ ลงเพื่อให้สมดุลกับรายได้ของประเทศ จังหวัดกาฬสินธุ์ ก็ถูกยุบเป็นอำเภอ ขึ้นกับจังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๔ และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอรรถ- เปศลสรวดี เป็นข้าหลวงประจำจังหวัดมหาสารคาม (แทนพระยามหาสารคามคณาภิบาลซึ่งออกรับบำนาญ) เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย
การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับ ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมดังนี้
จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล เดิมไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล
อำนาจการบริหารจังหวัดเดิมเป็นของคณะกรมการจังหวัด ได้เปลี่ยนมาเป็นมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือผู้ว่าราชการจังหวัด
ในฐานะกรมการจังหวัด เดิมมีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดได้กลายเป็นคณะที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด
ในที่สุดได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น

๑. จังหวัด
๒. อำเภอ
จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคลการตั้ง ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของ ผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น




ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดกาฬสินธุ์. กาฬสินธุ์ : โรงพิมพ์จินตภัณฑ์, ๒๕๒๖.
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #87 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553 16:48:32 »

มหาสารคาม
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ประกาศตั้งกรุงสุโขทัยเป็นอิสระในปี พ.ศ. ๑๘๐๐ ชนชาวไทยส่วนหนึ่งที่อพยพมาตั้งแต่อาณาจักรน่านเจ้าแตกได้อพยพลงมาทางใต้ และตะวันออกเฉียงใต้ แถบลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำมูล แม่น้ำชี เรียกตัวเองว่า “ลานช้าง หรือ ล้านช้าง” ในระยะแรกที่อพยพเข้าสู่ดินแดนบริเวณนี้ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของขอมเช่นเดียวกันจนถึงรัชสมัยของพระเจ้ารามคำแหง ได้ทรงขยายอาณาเขตเข้าครอบคลุมลานช้างด้วยจนถึงปี พ.ศ. ๑๘๙๓ พระเจ้าอู่ทองได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทย ขณะเดียวกันทางกรุงสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลง หัวเมืองประเทศราชพากันกระด้างกระเดื่องในปี พ.ศ. ๑๙๒๑ พระบรมราชา 
(ขุนหลวงพะงั่ว) แห่งกรุงศรีอยุธยาได้ยกทัพไปตีสุโขทัยไว้ในอำนาจได้

ชนชาติไทยในลานช้าง
ในระยะก่อนตั้งกรุงสุโขทัยมาจนถึงต้นสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ขุนบรมแห่งอาณาจักรน่านเจ้าได้ให้โอรสองค์ใหญ่ชื่อ “ขุนลอ” มาครองเมืองเซ่า (หลวงพระบาง) และได้มีกษัตริย์สืบทอดมาอีก ๒๒ พระองค์ จนถึงปี ๑๘๖๙ เจ้าฟ้างุ้มได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ ได้เปลี่ยนชื่อเมืองเซ่าเป็นเมืองลานช้าง แต่เนื่องจากระยะนั้นขอมยังมีอิทธิอยู่ในบริเวณนี้ ชาวไทยจึงได้รวมตัวกัน โดยสร้างสัมพันธ์ทางสายเลือด เพื่อต่อต้านอำนาจขอม ในปี พ.ศ. ๒๐๘๙ พระเจ้าโพธิสาร กษัตริย์ลานช้าง ได้รับราชสมบัติลานนา (เชียงใหม่) ให้แก่โอรส คือ พระไชยเชษฐา  เพราะมีสิทธิทางฝ่ายมารดาซึ่งเป็นเจ้าหญิงเชียงใหม่  พ.ศ. ๒๑๐๒ พระเจ้าโพธิสารสิ้นพระชนม์ พระโอรสของพระองค์แย่งราชสมบัติกัน พระไชยเชษฐาจึงทิ้งเมืองเชียงใหม่และได้อันเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย และได้ยกกองทัพมาลานช้างบังคับให้น้องสละราชสมบัติลานช้างแล้วครอบครองราชสมบัติใช้พระนามว่า “ท้าวไชยเชษฐาธิราช” ส่วนทางเมืองเชียงใหม่เกิดความไม่สงบเพราะพระเจ้าบุเรงนองแผ่อำนาจขึ้นไปทางเมืองไทยใหญ่ แล้วมุ่งมาตีเมืองเชียงใหม่ ขณะนั้นเชียงใหม่มีพระเจ้าเมกุติเจ้าไทยใหญ่ เชื้อสายเจ้าเชียงใหม่ครองอยู่ พระเจ้าเมกุติยอมแพ้พม่าโดยไม่สู้รบเลยและสัญญาว่าจะส่งบรรณาการต่อบุเรงนองทุกปี พอทัพพม่าออกจากเชียงใหม่ พระไชยเชษฐาธิราชก็ยกทัพเข้าเชียงใหม่ขับไล่พระเจ้าเมกุติออกจากราชบัลลังก์ บุเรงนองได้ยกทัพย้อนกลับมาอีก ขับไล่ทหารของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชออกจากเชียงใหม่ และประกาศถอดพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชออกจากบัลลังก์ลานช้าง พระไชยเชษฐาได้รวบรวมผู้คนและชักชวนเจ้าผู้ครองนครแถบนั้นเข้าเป็นพันธมิตร แล้วยกทัพไปตีเชียงแสน บุเรงนองก็ตามไปโจมตีเมืองต่างๆ ที่เป็นพันธมิตรพระไชยเชษฐาได้จนหมดสิ้น พระไชยเชษฐาจึงหนีกลับไปลานช้าง
พ.ศ. ๒๑๐๓ พระไชยเชษฐาได้ทำไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ในปี ๒๑๐๖ ได้ย้ายราชธานีไปเวียงจันทน์ สร้างค่ายคูประตูหอรบสร้างวัดพระธาตุหลวงและวัดพระแก้วเปลี่ยนชื่อเมืองเซ่าหรือลานช้าง เป็นหลวงพระบางพระไชยเชษฐามีนโยบายเป็นมิตรกับคนไทยด้วยกัน และได้รักษาสัมพันธไมตรีอันดีเมื่อคราวที่พม่ามารบไทย พระไชยเชษฐาได้ยกทัพมาช่วย ทำให้พม่าเคียดแค้นจึงได้ยกทัพตีเมืองเวียงจันทน์ได้และพระไชยเชษฐาได้หายสาบสูญไป เหตุการณ์ระยะปี พ.ศ. ๒๑๑๒ ถึง ๒๑๓๓ พม่าได้ปกครองดินแดนลานช้างและพม่ากำลังเสื่อมอำนาจลงเพราะสิ้นบุเรงนอง ประกอบกับได้ทำสงครามติดพันกับกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (๒๑๓๓–๒๑๔๘) จึงทำให้ลานช้างปลอดจากอิทธิพลพม่า
ในปี พ.ศ. ๒๑๓๔ พระสงฆ์ของเวียงจันทน์ได้ขอให้พม่าส่งพระหน่อแก้วเชื้อพระวงศ์พระไชยเชษฐาธิราชคืนกลับมาเป็นกษัตริย์ เมื่อกลับถึงเวียงจันทน์พระหน่อแก้วได้ประกาศเอกราชจากพม่า แล้วจึงยกทัพไปตีเมืองหลวงพระบางได้ไว้ในอำนาจ และมีความสงบอยู่เกือบร้อยปี

อพยพจากลานช้างสู่อีสาน
เหตุที่ทำให้คนไทยลานช้างต้องอพยพลงใต้นั้น เนื่องจากพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชเจ้ากรุงศรีสัตนาคณหุต (เวียงจันทน์) ถึงแก่พิราลัยเมื่อพุทธศักราช ๒๒๓๑ ซึ่งตรงกับรัช-สมัยของพระเพทราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์มีพระราชโอรส ๑ องค์นามว่า เจ้าองค์หล่อ ซึ่งมีชนมายุ ๓ พรรษา และมีพระนางสุมังคละมเหสี กำลังทรงครรภ์อยู่ด้วย  ขณะนั้นมีเสนาบดี      ผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อว่า พระยาเมืองแสน มีอำนาจมากกว่าคนอื่นๆ ได้ราชาภิเษกให้แก่เจ้าองค์หล่อราชโอรสครองราชสมบัติ ต่อมาก็ยกตัวเองเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทน โดยอ้างว่าเจ้าองค์หล่อยังเยาว์นัก ประกาศว่าเมื่อเจ้าองค์หล่อเจริญวัยขึ้นจะถวายราชสมบัติ โดยสิทธิ์ขาดในภายหลัง ด้วยเลห์เหลี่ยมอันฉลาดแกมโกงของพระยาเมืองแสนๆ ก็ได้ครองบัลลังก์ โดยไม่มีการราชาภิเษกแต่อย่างใด ขับเจ้าองค์หล่อจากราชบัลลังก์อย่างเงียบๆ และคิดการจะรับเอามารดาของเจ้าองค์หล่อที่ทรงครรภ์มาเป็นภรรยาของตน แต่มารดาของเจ้าองค์หล่อทราบระแคะระคายจึงพาเจ้าองค์หล่อกับคนสนิทลอบหนีไปขออาศัยอยู่กับเจ้าครูโพนเสม็ด (สมเด็จเจ้าหัวครูโพนเสม็ดอยู่ในตำแหน่งเจ้าหัวครูยอดแก้ว "พระสังฆราช") ซึ่งเป็นที่เคารพและมีลูกศิษย์มาก เจ้าหัวครูโพนเสม็ดเห็นว่าถ้าให้นางอาศัยอยู่ด้วยก็เกรงความครหานินทาทั้งไม่เป็นการปลอดภัยจึงส่งไปไว้ที่ตำบลภูชะง้อหอคำและได้ประสูติพระโอรสอีกองค์หนึ่งนามว่า “เจ้าหน่อกษัตริย์” ที่นั้น
ฝ่ายพระยาเมืองแสนเห็นว่า เจ้าหัวครูโพนเสม็ดมีผู้รักใคร่นับถือมาก เกรงว่าจะคิดการแย่งชิงเอาบ้านเมือง จึงคิดการกำจัด แต่เจ้าหัวครูโพนเสม็ดรู้เสียก่อนจึงรวบรวมพวกพ้องเหล่าสานุศิษย์ประมาณ ๓,๐๐๐ คน เดินทางหลบไป เมื่อผ่านไปทางใดก็มีราษฎรอพยพตามไปด้วยจนเดินทางถึงแขวงเมืองบันทายเพชร์ ดินแดนเขมร ฝ่ายพระเจ้ากรุงกัมพูชาได้สั่งให้มีการสำรวจสำมะโนครัวและให้เรียกเก็บเงินจากชาวเวียงจันทน์ ครัวละ ๒ ตำลึง เจ้าหัวครูโพนเสม็ดเห็นว่า เป็นการเดือนร้อนแก่เหล่าศิษยานุศิษย์ จึงอพยพออกจากดินแดนเขมรจนบรรลุถึงเมืองนครกาละจำบากนาคบุรีศรี การเดินทางออกจากเมืองเวียนจันทน์จนถึงนครกาละจำบากนาคบุรีศรีนี้ เจ้าหัวครูโพนเสม็ดต้องอาศัยเจ้าแก้วมงคล (บรรพบุรุษชาวมหาสารคาม) เป็นแม่กองใหญ่ และจารย์หวด รองแม่กอง ในการควบคุมดูแลบริวารของท่านมาตลอดทาง
ฝ่ายนางเภา นางแพง ซึ่งเป็นธิดาของผู้ครองเมืองนครกาละจำบากนาคบุรีศรีเมื่อบิดาของนางถึงแก่พิราลัยแล้ว นางก็เป็นผู้บัญชาราชการบ้านเมืองต่อมา จนกระทั่งถึงปีที่เจ้าหัวครูโพนเสม็ดมาถึงเมือง นางทั้งสองทราบข่าวก็มีความเลื่อมใจ จึงพาแสนท้าวพญาเสนามาตย์ออกไปอาราธนาเจ้าหัวครูโพนเสด็ดเข้ามาในเมืองครั้งเวลาต่อมานางและประชาชนมีความเคารพนับถือเจ้าหัวครูโพนเสม็ดมากขึ้น และนางทั้งสองก็ชราลงมากจึงอาราธนาให้เจ้าหัวครูโพนเสม็ดเป็นผู้ช่วยทำนุบำรุงฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักรให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
เมื่อเจ้าองค์หล่อได้เจริญวัยขึ้นหน่อยก็สามารถไปอยู่ที่ประเทศญวน ต่อมาได้เกลี้ยกล่อมสมัครพรรคพวกได้มากจึงยกกำลังมาล้อมเมืองเวียงจันทน์ เมื่อราว พ.ศ. ๒๒๔๕ จับ  พระยาเมืองแสนประหารชีวิต เจ้าองค์หล่อได้ครองราชสมบัติต่อมา
ครั้น พ.ศ. ๒๒๕๒ ปรากฏว่าชาวเมืองนครกาละจำบากนาคบุรีศรี บางพวกได้ซ่องสุมพรรคพวกก่อการกำเริบเป็นโจรผู้ร้ายเที่ยวปล้นสะดมในตำบลต่างๆ ทำให้ราษฎรผู้มีความสุจริตธรรมต้องเดือนร้อนทั่วไป เจ้าหัวครูโพนเสม็ดได้พยายามปราบปรามโดยการเที่ยวอบรมสั่งสอนในทางดีก็หาได้ผลไม่  ครั้นจะทำการบำราบปราบปรามโดยอำนาจอาชญาจักร์ก็เป็นการเสื่อมเสียทางพรหมจรรย์ ทั้งจะเป็นที่ครหานินทาของประชาชนทั้งหลาย จึงดำริหาวิธีที่จะระงับเหตุร้ายโดยละม่อมที่สุดก็เห็นว่า เจ้าหน่อกษัตริย์ซึ่งอยู่ที่ตำบลงิ้วพันลำน้ำโสมสนุก เวลานี้ก็ทรงเจริญวัยขึ้นแล้ว และเป็นผู้ประกอบด้วยเกียรติยศเกียรติคุณอันดีงาน สมควรจะปกครองไพร่บ้านพลเมืองให้ได้รับความร่มเย็นได้ จึงจัดให้ท้าวพระยาเสนาบดีแลบ่าวไพร่ออกไปอัญเชิญเจ้าหน่อกษัตริย์กับพระมารดาเข้ามายังเมืองนครกาละจำบากนาคบุรีศรี แล้วเจ้าหัวครูโพนเสม็ดก็กระทำพิธียกเจ้าหน่อกษัตริย์ขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินของนครกาละจำบากนาบุรีศรี และได้ถวายพระนามว่า “พระเจ้าสร้อยศรีสมุทพุทธางกูร” และได้เปลี่ยนนามเมืองนครกาละจำบากนาคบุรีศรีเป็นเมือง “นครจำปาศักดิ์นัคบุรีศรี” ตั้งแต่นั้นมา เจ้าสร้อยศรีสมุทฯ ได้จัดการปกครองแลปราบปรามยุคเข็ญสงบราบคาบลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยมีจารย์แก้วหรือเจ้าแก้วเป็นกำลังสำคัญในการปราบปรามยุคเข็ญนั้น
เมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อยแล้ว เจ้าสร้อยศรีสมุทฯ ก็เริ่มดำริหาเมืองขึ้น โดยให้มีการสร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่หลายเมือง แล้วจัดให้บรรดาบุคคลที่มีปรีชาสามารถแลมีผู้รักใคร่นับถือออกไปเป็นเจ้าเมือง (เจ้าเมืองสมัยนั้นก็เสมือนกษัตริย์เมืองขึ้น เพราะการแต่งตั้งตำแหน่งหน้าที่ ตลอดจนคำพูดที่ใช้ในสำนักของเจ้าเมืองนั้นๆ ก็ใช้เป็นราชาศัพท์) ให้จารย์หวดไปสร้างเมืองขึ้นชื่อเมืองโขงตั้งจารย์หวดเป็นเจ้าเมือง ให้ท้าวจันทร์ (นับว่าเป็นน้องจารย์แก้ว) ไป
รักษาเมืองตะโปน เมืองพิน เมืองนอง



สร้างเมืองบรรพบุรุษของชาวอีสาน
ส่วนจารย์แก้วหรือเจ้าแก้วมงคลให้ไปสร้างเมืองทง (สุวรรณภูมิ) ให้จารย์แก้วเป็นเจ้าเมือง (ชื่อของจารย์แก้วในภายหลังก็ได้นำมาใช้เป็นชื่อเจ้าเมืองและนายอำเภอเมืองนี้ ต่อมาจนถึงรัชกาลที่ ๖ เช่น พระยารัตนวงศา พระรัตนวงศาฯ หลวงรัตนาวงศา (เมืองนี้ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่าเมืองสุวรรณภูมิแล้วยุบลงเป็นอำเภอสุวรรณภูมิจังหวัดร้อยเอ็ด ราว พ.ศ. ๒๔๕๔)
ครั้น พ.ศ. ๒๒๖๘ อาจารย์แก้วเจ้าเมืองทงก็ถึงแก่อนิจกรรม มีบุตรรวม ๓ คน คือ (๑) เจ้าองค์หล่อหน่อคำ (หลานเจ้านครน่าน)  (๒) ท้าวมือดำดล หรือท้าวมืด (๓) ท้าวสุทนต์มณี หรือท้าวทนต์ (ปรากฏในพงศาวดารว่าเหตุที่ชื่อท้าวมืดเพราะเวลาคลอดนั้นเป็นเวลาสุริยุปราคามืดมิดไปทั่วเมือง ที่ชื่อท้าวสุทนต์มณี เพราะเวลาตั้งครรภ์บิดาฝันว่าฟันของตนได้เกิดเป็นแก้วมณีขึ้น) เมื่อจารย์แก้วถึงแก่อนิจกรรมแล้ว เจ้าสร้อยศรีสมุทฯ ก็ตั้งให้ท้าวมืดเป็นเจ้าเมือง ท้าวทนต์เป็นอุปฮาช รักษาบ้านเมือง ต่อไปในภายหลัง ท้าวมืดดำดลเจ้าเมืองถึงแก่กรรมลง ท้าวสุทนต์มณีน้องชายได้เป็นเจ้าเมืองแทน ท้าวสุทนต์ผู้นี้นับว่ายังเป็นผู้ยังไม่สิ้นเคราะห์พอขึ้นเป็นเจ้าเมืองไม่ทันไรก็ถูกอิจฉา โดยท้าวเชียง ท้าวสูนบุตรของท้าวมืดซึ่งเป็นหลานชาย อยากเป็นเจ้าเมืองเสียเอง จึงพากันลงไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (เจ้าฟ้าเอกทัศน์ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) ณ พระนครศรีอยุธยา ขอกำลังมาทำการขับไล่ท้าวสุทนต์ผู้อา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพรหม พระยากรมท่าออกไปจัดการกับท้าวเชียง ท้าวสูน โดยมีพระประสงค์จะให้ประนีประนอมกันแต่โดยทางดี
ฝ่ายท้าวสุทนต์เจ้าเมืองเมื่อทราบข่าวว่ากองทัพกรุงยกมาก็ดำริเห็นว่า เราเป็นเมืองน้อยมีกำลังน้อยไม่สามารถต้านทานกำลังของกองทัพกรุงได้ ถ้าหากมีการต่อสู้กันขึ้นมา คงเป็นฝ่ายย่อยยับจึงอพยพครอบครัวออกไปอยู่ที่ทุ่งตะมุม (หรือขมุม หรือกระหมุม ที่นั่นได้เรียกว่าคงเมืองจอกมาจนทุกวันนี้) ในครั้งนั้นมีประชาชนที่จงรักภักดีติดตามท้าวทนต์ไปอยู่ที่ทุ่งตะมุมด้วยเป็นจำนวนมาก
ครั้นพระยาพรหม พระยากรมท่ามาถึงเมืองทงเมื่อทราบว่าท้าวทนต์ฯ ได้หนีไปแล้ว จึงมีใบบอกขอตั้งท้าวเชียงเป็นเจ้าเมืองท้าวสูนเป็นอุปฮาช ได้โปรดพระราชทานตามที่ขอ แต่นั้นมาเมืองทง (ทุ่ง) ก็เป็นอันขาดจากความปกครองของเมืองนครจำปาศักดิ์ฯ ครั้นเรียบร้อยแล้วพระยาพรหม พระยากรมท่าก็ออกไปตั้งสำนักอยู่ที่ทุ่งสนามโนนกระเบา (ในท้องที่อำเภอสุวรรณภูมิ)

สร้างบ้านร้อยเอ็ด
เมืองร้อยเอ็ดได้ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๘ (ก่อนเมืองมหาสารคาม ๙๐ ปีบริบูรณ์) ปรากฏในพงศาวดารภาคอีสานของหอสมุดว่า สมัครพรรคพวกที่ไปขอขึ้นด้วยมากขึ้นทุกที ในที่สุดพระยาพรหม พระยากรมท่าเห็นว่าท้าวทนต์เป็นตระกูลสูงเก่าแก่ และมีความเฉลียวฉลาดประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมเป็นอันดีทั้งมีคนเคารพเลื่อมใสยอมตนเข้าเป็นพรรคพวกเป็นอันมาก สมควรจะเป็นเจ้าเมืองต่อไปอีกได้ จึงพร้อมด้วยเจ้าราชวงศ์เวียงจันทน์ เจ้าหมื่นน้อย เจ้าธรรมสุนทรซึ่งเป็นญาติของท้าวสุทนต์ กับท้าวเชียง ท้าวสูน มาว่ากล่าวประนีประนอมให้คืนดีกันจนเป็นผลสำเร็จแล้วพระยาพรหม พระยากรมท่าก็มีใบบอกขอยกเอาดงกุ่มขึ้นเป็นเมือง ขอท้าว 
สุทนต์เป็นเจ้าเมือง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวสุทนต์เป็นพระขัติยะวงศาให้ยกดงกุ่มเป็นเมืองร้อยเอ็ดในปี พ.ศ. ๒๓๑๘ นั้นเอง (เหตุที่ให้นามว่า ขัติยะวงศา เพราะท้าวแก้วต้นตระกูลเป็นผู้สืบสายจากกษัตริย์เวียงจันทน์) ต่อจากนั้นพระขัติยะวงศา (สุทนต์) ได้เริ่มอำนวยการให้ราษฎรแผ้วป่าดงกุ่มสร้างเมืองใหม่ตามมีพระบรมราชโองการ ต่อจากนั้นก็มีการสร้างวัดวาอาราม ปรับปรุงบ้านเมืองในด้านการปกครองการศาสนาตลอดจนส่งเสริมการทำมาหากินของราษฎรให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ครั้น พ.ศ. ๒๓๒๖ พระขัติยะวงศา (สุทนต์) ชราภาพลงมาก จึงกราบถวายบังคมลาออกจากราชการ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระนิคมจางวาง พระนิคมจางวาง (สุทนต์) ได้โปรดเกล้าฯ ให้ท้าวศีลัง เป็นพระขันติยะวงศา เจ้าเมืองแทนบิดา ให้ท้าวภูเป็นอุปฮาช ท้าวอ่อนเป็นราชวงศ์ ต่อมาพระขัติยะวงศา (ศีลัง) มีความชอบในราชการสงครามจึงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นเป็น พระยาขัติยะวงศาพิสุทธาธิบดี และปี พ.ศ. ๒๓๘๐ หลังจากปราบปรามกบฏเจ้าอนุวงษ์เวียงจันทน์สงบราบคาบแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเห็นว่า สามพี่น้องมีความชอบในราชการเป็นอันมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยาขัติยะวงศา (ศีลัง) ขึ้นเป็นพระยาชั้นพานทองและพระราชทานพานทองคำขนาดใหญ่ ๑ ใบ โปรดเกล้าฯ ให้ท้าวภูเป็นพระรัตนวงศาเจ้าเมืองสุวรรณภูมิ ให้ท้าวอ่อนเข้าไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กหลวงอยู่ในพระบรมหาราชวัง เมื่องพระรัตนวงศา (ภู)  ผู้นี้ถึงอนิจ-กรรมแล้ว ก็โปรดเกล้าฯ ให้ท้าวอ่อนมหาดเล็กออกมาเป็นเจ้าเมืองสุวรรณภูมิต่อไป

ตั้งเมืองมหาสารคามแยกออกจากร้อยเอ็ด
เมื่อพระยาขัติยะวงศาถึงแก่อนิจกรรมลง อุปฮาชสิงห์พร้อมด้วยท้าวจันทร์และราชวงศ์อินได้นำใบบอกไปขอศิลาหน้าเพลิง ณ กรุงเทพฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระพิชัยสุริวงศ์เป็นผู้รักษาราชการเมืองร้อยเอ็ดแทนบิดาหลังจากจัดการพระราชทานเพลิงศพบิดาเสร็จแล้ว อุปฮาชสิงห์ได้จัดให้มีการเล่นโปขึ้นที่หอนั่งในจวนของพระยาขัติยะวงศา และชักชวนให้พระพิชัยพี่ชายเล่นด้วย พอยามดึกสงัดพระพิชัยได้ถูกคนร้ายลอบแทงถูกสีข้างข้างซ้ายถึงแก่กรรม
ขณะนั้นพระรัตนวงศา (ภู) น้อยชายพระยาขัติยะวงศาได้มาทำการปลงศพพี่ชายที่เมืองร้อยเอ็ดด้วย ได้พร้อมกับกรมการเมืองทำการสืบหาตัวผู้ร้าย จับตัวเจ๊กจั๊นผู้ชึ่งเป็นผู้ร้ายได้ พระรัตนวงศา (ภู) สงสัยอุปฮาชสิงห์หลายชาย จึงจับตัวส่งไปกรุงเทพฯ พร้อมเจ๊กจั๊น ครั้นเดินทางใกล้ถึงเมืองนครราชสีมาอุปฮาชสิงห์ได้กินยาพิษถึงถึงแก่กรรมเสียก่อนยังมิได้มีการไต่สวนพิพากษาแต่อย่างใด คดีจึงเป็นอันระงับไป
ฝ่ายท้าวศรีวงศ์บุตรของอุปฮาชสิงห์ ซึ่งมีอายุ ๑๑ ปี เมื่อบิดาถูกส่งไปกรุงเทพฯ ญาติหวาดหวั่นว่าจะได้รับภัยด้วย จึงส่งตัวท้าวศรีวงศ์ไปไว้ที่เมืองสุวรรณภูมิ และได้ถูกส่งตัวไปจนถึงเขตแขวงเมืองยโสธรนัยว่าไม่ได้ฝากฝังไว้กับใคร ชีวิตจึงต้องระเหเร่ร่อนได้รับความทรมานลำบากยากแค้น ถึงกับต้องอาศัยนอนตามถนนหนทางและศาลาวัดและเที่ยวขอทานประทังชีวิตไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น ท้าวศรีวงศ์ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้ ๖ เดือนเศษ  จึงได้พบกับสมภารทองสุก ซึ่งมีวัดใกล้เมืองยโสธร โดยพบขณะนอนหลับอยู่ใต้ธรรมาสน์บนศาลา จึงปลุกขึ้นมาสอบถามความเป็นมา เมื่อได้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนต้องหลบหนีมาสมภารทองสุกเกิดความสงสารจึงชักชวนให้อยู่ด้วยและได้เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า “ท้าวกวด” และทำการบรรพชาให้เป็นสามเณร ให้เล่าเรียนภาษาบาลี พระธรรมวินัย ภาษาไทย จนแตกฉาน ต่อมาได้อุปสมบทได้สองพรรษาก็ลาสิกขาบทออกไปทำราชการที่เมืองอุบลฯ ทำราชการมีความชอบจนได้รับแต่งตั้งเป็นที่ท้าวมหาชัย
ครั้น พ.ศ. ๒๓๙๙ ท้าวมหาชัยได้รับจดหมายของพระขัติยะวงศา (จันทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดเรียกให้กลับไปรับราชการที่เมืองร้อยเอ็ด จึงได้กลับไปรับราชการอยู่กับญาติของตน
พ.ศ. ๒๔๐๒ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยากำแหงสงคราม (แก้ว สิงหเสนี) เจ้าเมืองนครราชสีมา (ภายหลังเป็นเจ้าพระยายมราช) เป็นข้าหลวงแม่กองสักออกไปสักเลขทางหัวเมืองตะวันออกตั้งอยู่ที่เมืองยโสธรคราวนี้กรมการเมืองร้อยเอ็ดได้นำตัวเลขไปสักที่เมืองยโสธรเป็นจำนวน ๑๓,๐๐๐ คนเศษ
พระขัติยะวงศา (จันทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดเห็นว่า พลเมืองของร้อยเอ็ดมีมากขึ้นประกอบกับท้าวมหาชัยเป็นผู้มีความชอบในราชการหลายอย่าง ทั้งชื่อสัตย์มั่นคง มีสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลม สมควรเป็นเจ้าเมืองได้ ถ้าแยกออกไปตั้งเมืองหนึ่งก็จะเป็นการสมควร จึงปรึกษาหารือกับกรมการเมืองแล้วเห็นชอบให้ตั้งเมืองใหม่ พระขัติยะวงศาจึงให้ท้าวมหาชัย (กวด) กับอุปฮาชภูไปสำรวจที่ตั้งเมือง และได้เลือกที่ดินระหว่างห้วยคะคางและกุดนางใย เพราะเป็นโคกเนินสูงน้ำไม่ท่วมถึง หน้าแล้งก็ได้อาศัยน้ำห้วยคะคางและกุดนางใย  หนองกระทุ่มเป็นที่ใช้สอย บริโภคของประชาชน  เมืองได้ถูกสร้างขึ้นในปี ๒๔๐๘ เมื่อสร้างเมืองเสร็จแล้วพระขัติยะวงศา ขอท้าวมหาชัย (กวด) เป็นเจ้าเมือง ขอท้าวบัวทอง (พานทอง)  เป็นอรรคฮาช (ทั้งสองคนเป็นหลานพระยาขัติยะวงศา) ขอท้าวไชยวงศา (ฮึง) บุตรพระยาขัติยะวงศา (ศีลัง) เป็นอรรควงศ์ ขอท้าวเถื่อนบุตรพระขัติยะวงศา (จันทร์) เป็นอรรคบุตร และให้ท้าวมหาชัย (กวด) กับพวกทั้งสามคนทำใบบอกลงไปทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ ๔ ที่กรุงเทพฯ
พ.ศ. ๒๔๑๒ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเมืองมหาสารคาม ซึ่งเกิดใหม่และเป็นเมืองขึ้นของเมืองร้อยเอ็ดให้ยกไปขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร ฐานะของอรรคฮาช อรรควงศ์ อรรคบุตร ก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นอุปฮาชราชวงศ์ ราชบุตร พร้อมกันทันที และในปีนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เสด็จสวรรคต
พ.ศ. ๒๔๑๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โปรดเกล้าฯ ให้มีตราถึงเมืองมหาสารคาม และหัวเมืองตะวันออกว่า ให้ยกเลิกธรรมเนียมตั้งข้าหลวงกองสักที่มาสักเลขตามหัวเมือง และขอให้ไพร่บ้านพลเมืองไปอยู่ในความปกครองของเมืองใดก็ได้ตามใจสมัคร และโปรดเกล้าฯ ให้ทำสำมะโนครัวตัวเลขส่งไปยังกรุงเทพฯ ในปีนี้พลเมืองของร้อยเอ็ดได้พากันอพยพมาขอขึ้นอยู่กับเมืองมหาสารคามอย่างมากมาย

ไทยรบกับฮ่อ
พ.ศ. ๒๔๑๘ พวกฮ่อได้ยกทัพมาตีหัวเมืองต่างๆ ของหลวงพระบางซึ่งเวลานั้นเป็นเมืองขึ้นของไทย และตระเตรียมกองทัพจะยกมาตีเมืองเวียงจันทน์ และหนองคายจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น กัลยาณมิตร)  เป็นแม่ทัพใหญ่ให้เกณฑ์กำลังทางหัวเมืองตะวันออกไปปราบฮ่อทางเมืองหนองคาย
พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น) ได้ส่งให้พระเจริญราชเดช (ท้าวมหาชัย กวด ภวภูตานนท์) เกณฑ์กำลังเมืองมหาสารคาม เมืองร้อยเอ็ด เป็นแม่ทัพหน้ายกไปสมทบทัพของพระพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์เจ้าเมืองอุบลราชธานี และพระยาชัยสุนทร (ทน) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ โดยให้ราชบุตร (เสือ)  เมืองร้อยเอ็ดเป็นนายกองผู้ช่วยพระเจริญราชเดช (มหาชัยกวด) ทัพไทยได้ยกข้ามโขงไปโจมตีและเกิดตลุมบอนกันจนฮ่อแตกกระจาย ผลปรากฏว่าราชบุตรเสือถูกฮ่อยิงถูกมือขวาโลหิตไหล พวกพลจึงเข้าพยุงกลับมา ส่วนพระเจริญราชเดชได้ถูกกระสุนปืนของฮ่อที่ต้นขาซ้าย และแขนซ้าย  ตกจากหลังม้าอาการสาหัสไพร่พลจึงเข้าพยุงขึ้นใส่บ่าจะพากลับที่พัก แต่พระเจริญราชเดชไม่ยอมกลับ โดยอ้างว่า  “กลับไปก็อายเขา  เมื่อถึงที่ตายก็ขอให้ตายในที่รบ ฯลฯ” จึงสั่งให้ไพร่พลพยุงขึ้นบนหลังม้าแล้วพยายามขับขี่ต่อไปอีก ในวันต่อมากองทัพไทยได้ยกเข้าตีค่ายโพธานาเลา ได้ชัยชนะอีก พวกฮ่อได้แตกหนีไป ไทยจับได้พวกฮ่อและ
สาตราวุธมากมาย
เมื่อเสร็จการปราบฮ่อแล้ว พระยามหาอำมาตย์ ข้าหลวงใหญ่ภาคอีสานได้กลับ
ไปจัดราชการอยู่ที่เมืองร้อยเอ็ด  กองทัพอื่นๆ ก็กลับไปยังบ้านเมืองตามเดิม ส่วนพระเจริญ-
ราชเดช  ที่ถูกยิงและตกจากหลังม้านั้น มีอาการป่วยได้เข้าพักรักษาตัวอยู่ที่คุ้มเจ้าราชวงศ์
เวียงจันทน์ และต่อมาได้กลับมารักษาตัวที่เมืองมหาสารคามและได้ถึงแก่อนิจกรรมลงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๑ อุปฮาช (ฮึง) ผู้เป็นอาพร้อมด้วยกรมการเมืองปรึกษากันเห็นว่า ท้าวสุพรรณ บุตรพระเจริญราชเดชสมควรจะเป็นเจ้าเมืองต่อไปได้ จึงเขียนใบบอกให้ท้าวสุพรรณนำลงไปยังกรุงเทพฯ ขณะที่ท้าวสุพรรณเดินทางไปยังไม่ถึงกรุงเทพฯ ก็ได้ถึงแก่กรรมเสียก่อนที่กลางทาง ตำแหน่งเจ้าเมืองมหาสารคามจึงได้ว่าง ต่อมาถึง ๒ ปี โดยมีอุปฮาช (ฮึง) รักษาการแทนอยู่
พ.ศ. ๒๔๒๒ ขุนหลวงสุวรรณพันธนากร (คำภา) ขุนสุนทรภักดีสมมุติตนเองขึ้นเป็นข้าหลวงเชิญท้องตราพระราชสีห์ขึ้นไปเที่ยวตามหัวเมืองตะวันออก อ้างว่าโปรดเกล้าฯ ให้มาชำระถ้อยความของราษฎรที่เกิดขึ้น แต่หนังสือที่ว่าเป็นท้องตรานั้นประทับเป็นรูปราชสีห์ถือเศวตฉัตรสองตัวเป็
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #88 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553 16:48:56 »

มหาสารคาม ๒
เส้นลายทอง และถือหนังสือของขุนบรรเทาพินราชกรมมหาดไทยว่า ตนเป็นนายเวรของกรมพระบำราบปรปักษ์มาถึงอุปฮาช ราชวงศ์ราชบุตรเมืองมหาสารคามว่า ตนมาชำระคดีเรื่องขุนสุนทรและท้าวจันทร์ชมภู อุปฮาชฮึงและกรมการเมืองมหาสารคามมีความสงสัย เพราะเห็นว่ามีพิรุธแต่ครั้นจะกักตัวไว้ก็ไม่ปรากฏว่าทุจริต จึงได้มีใบบอกไปยังกรุงเทพฯ จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีตราถึงหัวเมืองตะวันออกให้ทำการตรวจจับขุนแสวงฯ และขุนสุนทรภักดีส่งไปกรุงเทพฯ
พ.ศ. ๒๔๒๒ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้อุปฮาชฮึงเป็นพระเจริญราชเดชเจ้าเมืองมหาสารคาม และในปีนี้ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองพยัคฆภูมิพิสัย ขึ้นในปกครองของเมืองสุวรรณภูมิแต่มาตั้งเมืองในเขตของเมืองมหาสารคาม
พ.ศ. ๒๔๒๕ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านนาเลาเป็นเมือง “วาปีปทุม” แต่บ้านนาเลาไม่เหมาะสมกับการตั้งเมือง จึงได้มาตั้งที่บ้านหนองแสง และโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านวังทาหอขวางเป็นเมือง “โกสุมพิสัย”
พ.ศ. ๒๔๓๒ อุปฮาชผู้รักษาเมืองสุวรรณภูมิ มีใบบอกกล่าวโทษเมืองมหาสารคามสุรินทร์ ศรีสะเกษ ว่าแย่งเอาเขตของตนไปตั้งเป็นเมือง เฉพาะเมืองมหาสารคาม ถูกหาว่าขอเอาบ้านนาเลาตั้งเป็นเมืองวาปีปทุม ได้โปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงนครจำปาศักดิ์ ข้าหลวงอุบลฯ ทำการไต่ส่วนว่ากล่าวในเรื่องนี้ แต่เมืองเหล่านี้ได้ตั้งมานานแล้วรื้อถอนไม่ได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เมืองวาปีปทุมเป็นเมืองขึ้นของเมืองมหาสารคามไปตามเดิม โดยมิได้โยกย้ายประการใด

การจัดแบ่งเขตปกครอง
พ.ศ. ๒๔๓๓ โปรดเกล้าฯ แบ่งเขตปกครองหัวเมืองตะวันออกเป็น ๔ ส่วน หรือ
สี่กอง กองหนึ่งๆ มีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้กำกับราชการ
๑. หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือมีเมืองใหญ่ ๑๖ เมือง เมืองเล็กขึ้น ๓๖ เมือง อยู่ในความปกครองของข้าหลวงเมืองหนองคาย
๒. หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก มีเมืองใหญ่ ๑๑ เมือง เมืองขึ้น ๒๖ เมือง อยู่ในความปกครองของข้าหลวงเมืองนครจำปาศักดิ์
๓. หัวเมืองลาวฝ่ายกลางมีเมืองใหญ่ ๓ เมือง เมืองขึ้น ๑๖ เมือง อยู่ในความ
ปกครองของข้าหลวงเมืองนครราชสีมา
๔. หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมืองใหญ่ ๑๒ เมือง เมืองขึ้น ๒๙ เมือง ขึ้นอยู่ในความปกครองของข้าหลวงเมืองอุบลราชธานี (ภายหลังเรียกมณฑลอีสาน) เมืองมหาสารคาม ร้อยเอ็ด และเมืองกาฬสินธุ์ ขึ้นอยู่ในความปกครองของข้าหลวงเมืองอุบลฯ
พ.ศ. ๒๔๓๕ โปรดเกล้าฯ ให้นายรองชิต (เลื่อง ณ นคร ) จมื่นศรีบริรักษ์ มาเป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองมหาสารคาม และเมืองร้อยเอ็ดเป็นครั้งแรก ตั้งอยู่ที่เมืองมหาสารคาม
พ.ศ. ๒๔๓๗ ทางการได้โอนเมืองชุมพลบุรีจากเมืองสุรินทร์มาขึ้นเมืองมหาสาร-
คาม (พ.ศ. ๒๔๔๓ ยุบเป็นอำเภอแล้วโอนกลับไปขึ้นเมืองสุรินทร์)
พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ขึ้นเพื่อวางระเบียบแบบแผนการปกครองท้องที่ให้เรียบร้อยดียิ่งขึ้น แต่เวลานั้นมณฑลอีสานยังมิได้จัดการปกครองให้เป็นไปอย่างมณฑลอื่น
พ.ศ. ๒๔๔๓ โปรดเกล้าฯ ให้แบ่งหัวเมืองมณฑลอีสานออกเป็นบริเวณ ๕ บริเวณ คือ
๑) บริเวณอุบล
๒) บริเวณจำปาศักดิ์
๓) บริเวณขุขันธ์
๔) บริเวณสุรินทร์
๕) บริเวณร้อยเอ็ด
บริเวณร้อยเอ็ดแบ่งเป็น ๕ หัวเมือง คือ
๑) เมืองร้อยเอ็ด
๒) เมืองมหาสารคาม
๓) เมืองกาฬสินธุ์ (ยุบลงเป็นอำเภอขึ้นจังหวัดมหาสารคาม ปี ๒๔๗๔ แล้ว กลับตั้งเป็นจังหวัดกาฬสินธุ์อีก เมื่อปี ๒๔๙๐)
๔) เมืองกมลาไสย (ยุบลงเป็นอำเภอจนทุกวันนี้)
๕) เมืองสุวรรณภูมิ (ยุบลงเป็นอำเภอจนทุกวันนี้)
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่า “เจ้าเมือง” เป็น “ผู้ว่าราชการเมือง” อุปฮาช เป็น ปลัดเมือง ราชวงศ์ เป็น ยกกระบัตร ราชบุตร เป็น ผู้ช่วยราชการเมือง
ชาเนตร เป็น เสมียนตราเมือง
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ เมืองมหาสารคาม ได้จัดการแบ่งเขตเมืองตั้งขึ้นเป็นอำเภอคือ (๑) อำเภออุทัยสารคาม (๒) อำเภอประจิมสารคาม ส่วนเมืองวาปีปทุม โกสุมพิสัย ก็คงให้เป็นเมืองขึ้นของเมืองมหาสารคามไปตามเดิม และได้ให้เปลี่ยนเป็นอำเภอในปีนี้ เช่นเดียวกัน
พ.ศ. ๒๔๔๔ เมืองมหาสารคาม มีอำเภอขึ้นอยู่ในความปกครอง ๔ อำเภอ คือ อุทัยสารคาม ประจิมสารคาม วาปีปทุมและโกสุมพิสัย ยุบเมืองพยัคฆภูมิพิสัย ลงเป็นอำเภอ
พยัคฆภูมิพิสัย และย้ายที่ว่าการอำเภอจากบ้านนาข่าไปตั้งที่ตำบลปะหลานแต่นั้นมา แล้วโอนอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยจากเมืองสุวรรณภูมิมาให้ขึ้นอยู่ในความปกครองของร้อยเอ็ดในปีนั้น
พ.ศ. ๒๔๔๖ ยุบตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการเมืองโดยทั่วไป
พ.ศ. ๒๔๕๑ ทางราชการได้สั่งให้เปลี่ยนคำที่เรียกว่า “บริเวณ”  เป็น “เมือง” ตามเดิม และปี พ.ศ. ๒๔๕๖ เปลี่ยนคำที่เรียกว่า “ที่ว่าการเมือง” เป็น “ศาลากลางจังหวัด” และเปลี่ยนคำว่าคุ้มหรือบ้านของเจ้าเมืองเรียกว่า “จวนผู้ว่าราชการเมือง”
พ.ศ. ๒๔๕๔ ย้ายอำเภอประจิมสารคาม จากเมืองมหาสารคามไปตั้งทางทิศตะวันตก เมืองมหาสารคาม ไปติดตั้งกับหนองบรบือ เรียกใหม่ว่าอำเภอท่าขอนยาง และเปลี่ยนนามอำเภออุทัยสารคาม เรียกว่า อำเภอเมืองมหาสารคาม
พ.ศ. ๒๔๕๙  เปลี่ยนค่ำว่า “ผู้ว่าราชการเมือง” เป็น “ผู้ว่าราชการจังหวัด” และยกเลิกตำแหน่งปลัดมณฑลประจำจังหวัดปีนี้
พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งมณฑลร้อยเอ็ดขึ้น ตั้งศาลารัฐบาลที่เมืองร้อยเอ็ด (ที่ทำการมณฑลเรียกว่า ศาลากลางรัฐบาลมณฑล) โอนเมืองกาฬสินธุ์ เมืองมหาสารคามจากมณฑลอีสาน (ซึ่งเปลี่ยนเป็นมณฑลอุบลราชธานี) มาขึ้นมณฑลร้อยเอ็ดซึ่งตั้งใหม่ และในปีนี้ได้จัดตั้งศาลยุติธรรมขึ้นในจังหวัดมหาสารคามเป็นครั้งแรก
โอนอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยจากจังหวัดร้อยเอ็ดมาขึ้นในความปกครองของจังหวัดมหาสารคาม โอนอำเภอกันทรวิชัย (แล้วเปลี่ยนเป็นอำเภอโคกพระ) จากจังหวัดกาฬสินธุ์มาขึ้นกับจังหวัดมหาสารคาม ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ จังหวัดมหาสารคามจึงมี ๖ อำเภอ คือ
๑) อำเภอเมืองมหาสารคาม (เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอตลาด)
๒) อำเภอเมืองวาปีปทุม
๓) อำเภอโกสุมพิสัย
๔) พยัคฆภูมิพิสัย
๕) อำเภอโคกพระ
๖) อำเภอท่าขอนยาง (ถึง พ.ศ. ๒๔๖๐ เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบรบือ)
พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้ก่อสร้างศาลากลางจังหวัด (ต่อมาได้ใช้เป็นที่ว่าการอำเภอเมืองมหาสารคาม เพราะได้มีการสร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นใหม่ เสร็จในปี ๒๔๖๗)
พ.ศ. ๒๔๖๘ โปรดเกล้าฯ ให้ยุบมณฑลร้อยเอ็ดเป็นจังหวัด โอนจังหวัดทั้งสาม คือ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ ไปขึ้นอยู่มณฑลนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๔๗๔ ทางราชการได้ยุบจังหวัดกาฬสินธุ์มารวมขึ้นในความปกครองของจังหวัดมหาสารคามอีก ๕ อำเภอรวมเป็น ๑๑ อำเภอ

เปลี่ยนแปลงการปกครอง
วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ คณะราษฎร์ซึ่งมีพระยาพหลพลพยุหเสนา พระยา
ทรงสุรเดช และพระยาฤทธิอาคเณ เป็นหัวหน้า ได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตย มาเป็นประชาธิปไตย
วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ชาวสยาม และในเดือนนี้รัฐบาลได้สั่งให้จัดตั้ง “สาขาสมาคมคณะราษฎร์ ขึ้นในจังหวัดต่างๆ จังหวัดมหาสารคามได้จัดตั้งขึ้นโดยใช้ชื่อว่า “สาขาสมาคมคณะราษฎร์” ประจำจังหวัดมหาสารคาม
กันยายน ๒๔๗๖ จังหวัดมหาสารคามได้จัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนตำบลขึ้นเป็นครั้งแรก
พฤศจิกายน ๒๔๗๖ จังหวัดมหาสารคามได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรขึ้นเป็นครั้งแรก  โดยวิธีให้ผู้แทนตำบลทั่งทั้งจังหวัดเป็นผู้ลงคะแนนเลือกตั้ง (มีผู้แทนตำบล ๑๑ อำเภอ
รวมกัน ๖๑ คน และได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในเมืองไทย เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๖
พ.ศ. ๒๔๗๖ รัฐบาลได้เปลี่ยนคำที่เรียกว่า ”ผู้ว่าราชการจังหวัด” เป็น “ข้าหลวงประจำจังหวัด” ภายหลังได้เปลี่ยนกลับไปใช้คำว่า” ผู้ว่าราชการจังหวัด” อีกครั้งหนึ่งจนกระทั่งบัดนี้
พ.ศ. ๒๔๙๖ ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม ได้สร้างเสร็จและเปิดใช้มาจนถึงปัจจุบัน โดยแบ่งเขตการปกครอง ออกเป็น ๙ อำเภอ ๑ กิ่งอำเภอ ดังนี้
๑. อำเภอเมืองมหาสารคาม
๒. อำเภอบรบือ
๓. อำเภอกันทรวิชัย
๔. อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย
๕. อำเภอนาดูน
๖. อำเภอวาปีปทุม
๗. อำเภอนาเชือก
๘. อำเภอเชียงยืน
๙. อำเภอโกสุมพิสัย และ
๑๐. กิ่งอำเภอแกดำ
 


ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดมหาสารคาม. มหาสารคาม : โรงพิมพ์ปรีดาการพิมพ์ มหาสารคาม, ๒๕๔๒
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #89 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553 16:49:21 »

หนองคาย
สมัยกรุงธนบุรี
   ปี พ.ศ. ๒๓๑๔ ในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี พระวอ (พระวรราชภักดี) อุปราชแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต และพระตา เสนาบดี เกิดขัดใจกันกับพระเจ้าศิริบุญสาร กษัตริย์แห่งเวียงจันทน์ ในครั้งนั้น พระวอพระตาเป็นนายกองอยู่บ้านหินโงม จึงรวบรวมไพร่พลไปสร้างเมืองใหม่ที่บริเวณหนองบัวลำภู(จังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน) ใช้ชื่อเมืองใหม่ว่า "เมืองนครเขื่อนขันธ์ กาบแก้วบัวบาน" (ในพระราชวิจารณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี เรียกว่า เมืองจำปา นครขวางกาบแก้วบัวบาน)
   พระเจ้าศิริบุญสารได้ยกกองทัพมาปราบแต่ไม่สำเร็จ ต่อมาพระวอพระตาเกรงจะถูกรุกรานอีก จึงไปขออ่อนน้อมต่อพม่าเพื่อขอกำลังมาโจมตีเวียงจันทน์ เมื่อทางเวียงจันทน์ทราบเรื่องก็ส่งทูตไปขออ่อนน้อมต่อพม่าบ้าง แล้วยกกองทัพเข้าตีเมืองหนองบัวลำภูแตก พระตาตายในที่รบ พระวอจึงอพยพหนีไปตั้งมั่นอยู่ที่ตำบลหนองมดแดง (อยู่ในเขตอุบลราชธานีในปัจจุบัน) แล้วแต่งเครื่องบรรณาการไปขอเป็นเมืองขึ้นต่อกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินยอมรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย
   ปี พ.ศ. ๒๓๑๘   (ค.ศ. ๑๗๗๖)   พระเจ้าศิริบุญสารได้ยกกองทัพมาโจมตีพระวอที่ดอนมดแดง กองทัพเวียงจันทน์ได้จับตัวพระวอฆ่าตาย พรรคพวกของพระวอจึงถือสาส์นไปยังเมืองนครราชสีมาเพื่อขอกำลังพระเจ้าตากสินไปช่วย พระเจ้าตากสินโปรดให้สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกและพระยาสุรสีห์เป็นแม่ทัพยกไปตีเวียงจันทน์ กองทัพไทยยกไปทางนครจำปาศักดิ์ แต่กองทัพเวียงจันทน์ถอยกลับไปแล้วเจ้าไชยกุมาร ผู้ครองนครจำปาศักดิ์ได้ยอมอ่อนข้อแต่โดยดี จากนั้นกองทัพไทยได้ยกไปตีเวียงจันทน์ล้อมอยู่นานถึงสี่เดือนจึงตีเมืองเวียงจันทน์ได้   และการตีเมืองเวียงจันทน์ครั้งนั้น   ทางหลวงพระบางได้ยกทัพมาช่วยไทยตีเมืองเวียงจันทน์ด้วย เมื่อไทยยึดได้เวียงจันทน์ หลวงพระบางก็ยอมอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้นต่อไทยกองทัพไทยได้กวาดต้อนผู้คนชาวลาวและทรัพย์สิน พร้อมทั้งได้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากเวียงจันทน์  และพระบางจากหลวงพระบางลงมากรุงเทพฯ    (ภายหลังได้คืนพระบางให้หลวงพระบางตามเดิม เพราะเชื่อมั่นว่าถ้าพระบางและพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในเมืองเดียวกัน เมืองนั้นจะเกิดวิบัติขึ้น)

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
   ปี พ.ศ. ๒๓๓๘ (ค.ศ. ๑๘๙๕) ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระเจ้าศิริบุญสาร ได้กลับมาที่เวียงจันทน์ ได้จับพระยาสุโภซึ่งรั้งเมืองเวียงจันทน์ฆ่าเสีย แล้วตั้งมั่นอยู่ในเวียงจันทน์ต่อมาเจ้านันทเสนได้ครองเวียงจันทน์      แต่อ่อนแอจึงถูกถอดออกจากราชสมบัติ   แล้วโปรดเกล้าฯ   ให้เจ้าอินทวงศ์ เป็นกษัตริย์แทน เมื่อสิ้นเจ้าอินทวงศ์แล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอนุวงศ์อุปราชเป็นกษัตริย์ครองเวียงจันทน์แทน



   เจ้าอนุวงศ์เป็นกบฏ
ในสมัยรัชกาลที่ ๒ เจ้าอนุวงศ์ยังคงแสดงความจงรักภักดีดังเดิม เช่นเมื่อคราวเกิดกบฏโดยพวกข่าก่อความวุ่นวายขึ้นที่เมืองจำปาศักดิ์   ใน พ.ศ. ๒๓๖๒    เรียกว่า  "กบฏไอ้สาเขียดโง้ง" เจ้าอนุวงศ์รับอาสาไปปราบจนได้ชัยชนะ แล้วขอให้เจ้าราชบุตร (โย้) ไปเป็นเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ รัชกาลที่ ๒ ก็ทรงอนุญาต
   ครั้นรัชกาลที่ ๒ เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗ ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพฯ กับ
เวียงจันทน์ก็ค่อยห่างเหินไปในรัชกาลที่ ๓
   พ.ศ. ๒๓๖๘ เจ้าอนุวงศ์มาถวายบังคมพระบรมศพรัชกาลที่ ๒ แล้วกราบทูลขอละคร
ผู้หญิงในวังไปแสดงที่เวียงจันทน์ สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ไม่ทรงอนุญาตตามที่ขอ เจ้าอนุวงศ์ก็ไม่พอใจ นอกจากนี้เจ้าอนุวงศ์ได้กราบทูลขอพระบรมราชานุญาต พาชาวเวียงจันทน์ที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีกลับบ้านเมืองเดิม ก็ไม่ทรงโปรดอนุญาต เป็นเหตุให้เจ้าอนุวงศ์รู้สึกอัปยศอดสูและขัดเคืองเป็นอย่างยิ่ง
   ขณะนั้น เป็นเวลาที่ญวนกำลังแย่งอำนาจเข้าครอบครองเขมร และคิดจะยึดเอาหัวเมืองลาวไว้ในอำนาจของตนด้วย จึงส่งคนมาเกลี้ยกล่อมเจ้าอนุวงศ์ เจ้าอนุวงศ์จึงได้โอกาสหันไปฝักใฝ่กับญวน โดยหวังให้ญวนหนุนหลังตน และเป็นระยะเวลาที่ไทยขัดใจกับอังกฤษเรื่องเมืองไทรบุรี ครั้นเจ้าอนุวงศ์สืบทราบว่าไทยมีผู้ชำนาญศึกเหลือน้อยลง เหลือแต่เจ้านายรุ่นหนุ่ม ๆอ่อนอาวุโส เจ้าอนุวงศ์จึงตั้งแข็งเมืองและเป็นกบฏขึ้น
   พ.ศ. ๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์เป็นกบฏ ยกกองทัพผ่านหัวเมืองรายทางมาจนถึงนครราชสีมาทางกรุงเทพฯ   ได้โปรดให้พระยาราชสุภาวดี   (ภายหลังได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยาบดินทร์เดชา "สิ่งห์สิงหเสนี") เป็นแม่ทัพมาปราบ โดยมีท้าวสุวอธรรมา (บุญมา) ยกทัพมาจากเมืองยโสธร และพระยาเอียงสา มาช่วยเป็นกำลังสำคัญ ในที่สุดสามารถจับตัวเจ้าอนุวงศ์ลงไปกรุงเทพฯ สำเร็จ และได้พระราชทานบำเหน็จทุกถ้วนหน้า แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวสุวอธรรมาเลือกทำเลที่จะสร้างเมือง ๔ เมือง คือ
   ๑. เมืองพานพร้าว อยู่ตรงข้ามกับเวียงจันทน์ (ปัจจุบันคืออำเภอศรีเชียงใหม่)
   ๒. เมืองเวียงคุก
   ๓. เมืองปะโค
   ๔. บ้านไผ่ (บ้านบึงค่าย)
   พ.ศ. ๒๓๗๐ ท้าวสุวอธรรมา (บุญมา) ได้เลือกเอาบ้านไผ่สร้างขึ้นเป็นเมืองหนองคายโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวสุวอธรรมา (บุญมา) เป็นพระปทุมเทวาภิบาล (บุญมา) ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองหนองคายคนแรก และให้เมืองเวียงจันทน์ขึ้นตรงต่อเมืองหนองคาย
   พ.ศ. ๒๔๓๔ ภายหลังกบฏฮ่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นสมุหเทศาภิบาลประจำมณฑลลาวพวนตั้งที่ทำการมณฑลอยู่ที่เมืองหนองคาย (ต่อมาเป็นมณฑลฝ่ายเหนือและมณฑลอุดร)
   พ.ศ. ๒๔๓๖ (เหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒) ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้แกฝรั่งเศสและระบุในสัญญาว่า   "ห้ามมิให้ไทยตั้งหรือนำกองทัพทหารอยู่ในเขต ๒๕ กิโลเมตร จากชายแดน" กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมจึงได้ย้ายที่ทำการมณฑลไปอยู่บริเวณบ้านเดื่อหมากแข้ง และตั้งเป็นมณฑลอุดรมาจนถึงรัชกาลที่ ๖
   ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้มีการแก้ไขการปกครองมณฑลที่มีอยู่ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๖ ให้เป็นลักษณะเทศาภิบาลขึ้น รวมหัวเมืองเข้าเป็นบริเวณมีฐานะเท่าจังหวัดเดี๋ยวนี้ มณฑลอุดรได้รวมหัวเมืองเป็นบริเวณ ๕ บริเวณ คือ
   ๑. บริเวณหมากแข้ง ตั้งที่ทำการที่บ้านหมากแข้ง คือ จังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน
   ๒. บริเวณธาตุพนม ตั้งที่ทำการที่เมืองนครพนม
   ๓. บริเวณน้ำเหือง ตั้งที่ทำการที่เมืองเลย
   ๔. บริเวณพาชี ตั้งที่ทำการที่เมืองขอนแก่น
   ๕. บริเวณสกลนคร ตั้งที่ทำการที่เมืองสกลนคร
   ส่วนเมืองหนองคายซึ่งเคยเป็นที่ตั้งบัญชาการมณฑลอุดรมาแต่ก่อนนั้นไม่มีรายชื่อ บริเวณซึ่งได้จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ แต่การปฏิบัติราชการของเมืองนั้นก็ยังคงดำเนินมาในฐานะเสมือนเมืองหรือบริเวณหนึ่ง ดังนั้นในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงโปรดให้ประกาศตั้งเมืองหนองคายขึ้นเป็นเมือง โดยมีข้าหลวงคนแรกชื่อว่าพระยาสมุทรศักดารักษ์ (เจิม วิเศษรัตน์)
   พ.ศ. ๒๔๕๗ ในรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ขึ้น โดยให้ยกเลิกระบอบเจ้าปกครองนคร (เจ้าเมือง) ทั่วประเทศ พ.ศ. ๒๔๕๙ เปลี่ยนคำเรียกชื่อ "เมือง" มาเป็น "จังหวัด" มีข้าหลวงปกครอง (ต่อมาเรียก "ผู้ว่าราชการจังหวัด")

การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล
   หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงหมาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบอบการปกครองอันสำคัญยิ่ง ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นระบอบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีดั้งเดิมของไทย คือระบบกินเมืองให้หมดไป
   การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบากหัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมือง
อื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมือง และมีอำนาจอย่างกว้างขวาง ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกันโดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งหมายความว่า    รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง    ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ "การเทศาภิบาล" ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า
   "การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาค อันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถัดลงไปเป็นเมือง คือจังหวัดรองไปอีกเป็นอำเภอ    ตำบลและหมู่บ้าน     จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็วแก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย
   จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลดังนี้
   การเทศาภิบาล นั้น หมายความว่า เป็น "ระบบ" การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า "การปกครองส่วนภูมิภาค" ส่วน "มณฑลเทศาภิบาล" นั้น คือส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางและริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง
   นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร   ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตกบัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต
   การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาลการจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับ ดังนี้
   พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรก ที่ได้วางแผนงาน จัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จกระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรีมณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้ เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง
   พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง
   พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร
   พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมลายูตะวันตกเป็นมณฑลไทรบุรี และในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง
   พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล
   พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย
   พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี ระยองและตราด
   พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
   พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้
   พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด
   พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ

การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน
   การปรังปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น   ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง   นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว  ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก
   ๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง
   ๒) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง
   ๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น
   ๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้นและการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง
   ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้
   ๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่
   ๒) อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่คณะกรมการจังหวัดนั้นได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด
   ๓) ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด     ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด
   ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น
   ๑) จังหวัด
   ๒) อำเภอ
   จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การจัดตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #90 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553 16:49:54 »

ศรีษะเกษ
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา
จากการพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายครั้งหลายหนในระยะหลังๆ นี้ อาทิ เครื่องปั้นดินเผา พระพุทธรูป อัญมณีเครื่องประดับ ของใช้ประจำบ้านและเงินพดด้วง ซึ่งขุดพบใต้ฐานเจดีย์เก่าที่บ้านโนนแกด ตำบลทุ่ม อำเภอเมืองศรีสะเกษ เมื่อต้นเดือนมีนาคม ๒๕๒๖ และที่หลายแห่งในพื้นที่ของกิ่งอำเภอห้วยทับทัน และอำเภออื่นๆ
นักโบราณคดีได้วิเคราะห์เปรียบเทียบหลักฐานศิลปวัตถุ เช่น เจดีย์บ้านโนนแกด ซึ่งเป็นเจดีย์รูปดอกบัว ตัวเจดีย์ย่อมุมมีบัวคว่ำบัวหงาย อายุประมาณ ๑,๒๐๐-๑,๓๐๐ ปี และได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหญ่มาแล้ว ๒ ครั้งหลังจากที่ได้สร้างเสร็จ ครั้งแรกเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๗๐๐-๑๘๐๐ และครั้งที่ ๒ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๐๐๐-๒๑๐๐
นอกจากนั้นวัตถุโบราณอื่นๆ ที่ขุดพบ อาทิ เป็นถ้วยชาม หม้อ ไห สันนิษฐานว่า เป็นเครื่องปั้นดินเผาของชนชาติสยาม และบางส่วนเป็นศิลปะของชนชาติขอมแต่ไม่มากนัก ซึ่งอาจจะเกิดจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันระหว่างชนชาติสยามกับชนชาติขอม ประกอบกับมีปราสาทหินที่เก่าแก่หลายแห่งในจังหวัดศรีสะเกษ เช่น ปราสาทหินสระกำแพงใหญ่ ปราสาทหินสระกำแพงน้อย อำเภออุทุมพรพิสัย ธาตุหรือปรางค์บ้านปราสาท ธาตุบ้านเมืองจันทร์ อำเภอห้วยทับทันปราสาทปรางค์กู่บ้านกู่ ปราสาทบ้านสมอ อำเภอปรางค์กู่ ปราสาทเยอ ธาตุจังเกา อำเภอไพรบึงและประสาทหรือธาตุที่เก่าแก่ซึ่งยังพอมีซากปรากฏอยู่ในท้องที่อำเภอต่างๆ ของจังหวัดศรีสะะเกษและจากหลักฐานที่พบในหนังสือที่เขียนไว้เป็นภาษาขอมโบราณเป็นเรื่องราวที่กล่าวถึงการสร้างปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทบ้านกู่ อำเภอปรางค์กู่ ซึ่งสร้างในสมัยที่ขอมเรืองอำนาจเวลาไล่เลี่ยกันคือราวในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ในสมัยพระเจ้าวรมันที่ ๑ ปกครองเขมร
อาศัยหลักฐานต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวแล้วพอจะอนุมานได้ว่า พื้นที่จังหวัด
ศรีสะเกษในปัจจุบัน เป็นที่อยู่อาศัยของชนชาติสยามและขอมมาเป็นเวลาช้านานประมาณไม่ต่ำกว่า ๑,๓๐๐ ปี แต่ก็ได้มีการอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นฐานเป็นครั้งคราว ซึ่งอาจจะเป็นการอพยพหลบหนีภัยน้ำ
ท่วมใหญ่หรือเกิดจากการกันดารน้ำและโรคภัยไข้เจ็บ

สมัยกรุงศรีอยุธยา
ชนชาติลาวซึ่งอยู่ทางเหนือ ได้แก่ เมืองศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ได้อพยพเคลื่อนย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐานแย่งที่ทำกินของพวกข่า ส่วย กวย ซึ่งตั้งหลักแหล่งอาศัยทำมาหากินอยู่ตามป่าดง แขวงเมืองอัตบือแสนแป ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ประเทศลาวปัจจุบัน๑ ชาวลาวมีสติปัญญาดีกว่าเพราะเป็นชาวเมือง มีภาษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมดีกว่าจึงมีความเจริญก้าวหน้า ลาวได้สร้างบ้าน
แปงเมืองและยกหัวหน้าขึ้นเป็นผู้ปกครองเมืองเป็นปึกแผ่นแน่นหนาจนรุ่งเรือง และสถาปนาขึ้นเป็นนครจำปาศักดิ์
เมื่อพวกส่วยถูกชาวลาวเข้ามารุกรานแย่งที่ทำกิน จึงได้รวบรวมสมัครพรรคพวกไปหาที่ทำกินแห่งใหม่ ในราว พ.ศ.๒๒๒๐ ได้มีพวกส่วยหลายกลุ่มอพยพลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ข้ามแม่น้ำโขงเข้ามายังประเทศไทย๒ สู่ดินแดนอีสานตอนใต้ซึ่งยังรกร้างว่างเปล่าอยู่มาก ชาวไทยเจ้าของถิ่นในขณะนั้นเสื่อมอำนาจ๓ เนื่องจากขอมซึ่งตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองพิมาย (อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา)  ได้ยกทัพมารบกวน ทำให้คนไทยต้องถอยร่นไปอยู่ที่อื่น พวกส่วยเหล่านี้จึงตั้งเป็นชุมนุมต่างๆ อาศัยดินแดนแถบนี้ทำไร่นาหาของป่าเลี้ยงชีพสืบกันต่อมาด้วยความเป็นสุข บรรดาชาวส่วยที่อพยพเข้ามาเหล่านี้ได้แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน เท่าที่ทราบมีดังนี้๔
กลุ่มที่ ๑ หัวหน้าชื่อเชียงปุ่ม ตั้งหลักแหล่งที่บ้านเมืองทรี (ปัจจุบันคือเมืองที จังหวัดสุรินทร์)
กลุ่มที่ ๒ หัวหน้าชื่อเชียงสี ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านหนองกุดหวาย (ท้องที่อำเภอรัตนบุรีจังหวัดสุรินทร์)
กลุ่มที่ ๓ หัวหน้าชื่อเชียงสง ตั้งหลักแหล่งที่อยู่ที่บ้านเมืองลิง (ปัจจุบันคืออำเภอจอมพระจังหวัดสุรินทร์)
กลุ่มที่ ๔ หัวหน้าชื่อเชียงขัน ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านปราสาทสี่เหลื่ยมดงลำดวน (ปัจจุบัน คือ บ้านดวนใหญ่ ตำลบดวนใหญ่ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ)
กลุ่มที่ ๕ หัวหน้าชื่อเชียงฆะ ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านอัจจะปะนึ่ง (ปัจจุบันคือบ้านสังขะ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์
กลุ่มที่ ๖ หัวหน้าชื่อเชียงชัย ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านจารพัด (ปัจจุบันคืออำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์)

การติดตามช้างเผือกและกำเนิดเมืองขุขันธ์
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๒๕ในแผ่นดินของสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ หรือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งสุริยามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) ช้างเผือกของพระองค์ได้แตกออกจากโรงช้างต้นในกรุงศรีอยุธยา แล้วเดินทางมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสให้ทหารเอกคู่พระทัยสองพี่น้อง คือ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พระนามเดิมทองด้วง กับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระนามเดิมบุญมา ให้คุมไพร่พลและทหารกรมช้างต้น ๓๐ นายออกติดตาม ได้ติดตามพญาช้างเผือกมาทางแขวงเมืองพิมาย ผ่านมาจนถึงบริเวณป่าดงดิบทางฝั่งทิศใต้ลำน้ำมูลจึงได้ข่าวจากพวกชาวป่าว่า พญาช้างเผือกผ่านมาทางบ้านหนองกุดหวาย (อำเภอรัตนบุรี) นายทหารเอกสองพี่น้องจึงได้เข้าไปหาเชียงสีหัวหน้าบ้านหนองกุดหวายเพื่อให้เชียงสีช่วยพาไปหาหัวหน้าบ้านต่อ ๆ ไป
เชียงสีได้พาไปหาเชียงปุ่มที่บ้านเมืองทรี (เมืองที) เชียงชัยที่บ้านจารพัด (ศีขรภูมิ) ไปหาตากะจะและเชียงขันที่บ้านปราสาทที่เหลี่ยมดงลำดวน (บ้านดวนใหญ่) แล้วยกต่อไปหาเชียงฆะที่บ้านอัจจะปะนึง (สังขะ) เชียงฆะแจ้งให้ทราบว่า เห็นช้างเผือกกับโขลงช้างป่ามาเล่นน้ำที่หนองโชก ครั้นวันรุ่งขึ้นนายทหารสองพี่น้องกับพวกหัวหน้าส่วยจึงขึ้นไปแอบอยู่บนต้นไม้ริมหนองโชกพอตะวันบ่ายประมาณ ๒ โมง โขลงช้างก็ออกจากป่ามาเล่นน้ำ พญาช้างเผือกเดินอยู่กลางโขลงมีช้างป่าล้อมหน้าล้อมหลัง นายทหารสองพี่น้องจึงนำเอาก้อนอิฐ ๘ ก้อนที่นำมาจากเมืองทรีขึ้นเสกเวทย์มนต์คาถาอธิษฐานแล้วขว้างไปยังโขลงช้างป่าทั้งแปดทิศ ช้างป่าแตกหนีเข้าป่าหมดเหลือแต่พญาช้างเผือก
นายทหารสองพี่น้องจึงนำพญาช้างเผือกกลับกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับพวกทหารและหัวหน้าชาวส่วย
ที่ช่วยติดตามช้าง เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยาแล้วนายทหารทั้งสองได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบถึงความดีความชอบของพวกหัวหน้าส่วยที่ช่วยติดตามช้างหลวงจนสำเร็จ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้
๑. ตากะจะ     เป็นหลวงแก้วสุวรรณ        อยู่บ้านปราสาทที่เหลี่ยมดงลำดวน
๒. เชียงขัน     เป็นหลวงปราบ      อยู่บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน
๓. เชียงฆะ     เป็นหลวงเพชร      อยู่บ้านสังขะ
๔. เชียงปุ่ม     เป็นหลวงสุรินทร์ภักดี   อยู่บ้านคูปะทายสมัย (จังหวัดสุรินทร์)
๕. เชียงสี        เป็นหลวงศรีนครเตา      อยู่บ้านหนองกุดหวาย
ให้เป็นหัวหน้าควบคุมพวกเขมรส่วยป่าดงในตำบลบ้านที่ตนอยู่ ทำราชการขึ้นอยู่กับเมืองพิมาย พวกนายกองทั้งห้าคนได้เดินทางกลับบ้านของตนและปฏิบัติราชการตามรับสั่ง
ต่อมาพวกนายกองเหล่านี้ได้นำสัตว์และของป่าต่างๆ ไปส่งส่วยยังกรุงศรีอยุธยา ของส่วย๖ เหล่านี้ได้แก่ ช้าง ม้า แก่นสน ยางสน ปีกนก นอแรด งาช้าง ขี้ผึ้ง เป็นต้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้
หลวงแก้วสุวรรณ  (ตากะจะ)  เป็นพระไกรภักดีศรีนครลำดวน ยกบ้านปราสาท สี่เหลี่ยมดงลำดวน (บ้านดวนใหญ่) ขึ้นเป็นเมืองขุขันธ์ ให้พระไกรภักดีศรีนครลำดวนเป็นเจ้าเมือง
หลวงเพชร (เชียงฆะ) เป็นพระสังขะบุรีศรีนครอัจจะ ยกบ้านโคกอัจจะขึ้นเป็นเมืองสังขะ
หลวงสุรินทร์ภักดี (เชียงปุ่ม) เป็นพระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวางเจ้าเมืองสุรินทร์ยกบ้านคูปะทายสมันขึ้นเป็นเมืองสุรินทร์


หลวงศรีนครเตา (เชียงสี) เป็นพระศรีนครเตาเจ้าเมืองรัตนะ ยกบ้านหนองกุดหวาย (หรือบ้านเมืองเตา) ขึ้นเป็นเมืองรัตนบุรี๗ ให้เมืองเหล่านี้ขึ้นกับเมืองพิมาย
ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยามีเรื่องราวตามพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสานว่า กรุงศรีอยุธยาศรีสัตนาคนหุต ล้านช้าง หลวงพระบาง และนครจำปาศักดิ์ ต่างเป็นแคว้นเอกราชและเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน ปรากฏว่าอำนาจปกครองของนครจำปาศักดิ์ครั้งนั้นได้แผ่เข้ามาถึงดินแดนบางส่วนของเมืองทางภาคอีสานหลายเมือง รวมทั้งเมืองขุขันธ์ด้วย
เมืองนครจำปาศักดิ์แต่เดิมนั้นเป็นแคว้นเอกราช มีเขตแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือมาจนจดเขตแขวงเมืองพิมาย ซึ่งเป็นชายแดนทางตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา มีอาณาเขตแบ่งปันกันที่
ลำห้วยขะยูงและเมืองท่ง ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ดและเมืองรัตนบุรี (อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์) ก็เคยเป็นเมืองที่อยู่ในเขตแขวงของแคว้นนครจำปาศักดิ์มาก่อน
เมืองนครจำปาศักดิ์ได้เป็นประเทศราชของไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๑ สมัยกรุงธนบุรี จนถึง พ.ศ. ๒๔๔๖ ไทยจึงได้เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตรงกันข้ามปากเซ อันมีเมืองนครจำปาศักดิ์และมะโนไพร ซึ่งเป็นเมืองขึ้นกับขุขันธ์ให้แก่ฝรั่งเศส

 สมัยกรุงธนบุรี
แผ่นดินอยุธยาต้องพินาศสิ้นเพราะน้ำมือพม่าใน ปี พ.ศ. ๒๓๑๐  สมเด็จพระเจ้าตากสินครองกรุงธนบุรีปกครองแผ่นดินสยามสืบมา เมืองขุขันธ์ก็ยังขึ้นอยู่กับกรุงธนบุรีเป็นปกติ

ชาวขุขันธ์เข้าร่วมราชการสงครามในศึกลานช้าง
สาเหตุเกิดจากพระวอ พระตา ซึ่งเดิมเป็นเสนาบดีของกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) แต่มีเหตุบาดหมางกันขึ้นกับเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต จึงได้พาครอบครัวบ่าวไพร่หนีมาอยู่ที่เมืองลุ่มภู แล้วตกแต่งบ้านเมืองจัดสร้างค่ายคูประตูหอรบให้มั่งคงแข็งแรง ขนานนามเมืองใหม่ว่า "เมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน" เจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้ข่าวและถือว่า พระวอ พระตา เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน จึงได้แต่งกองทัพยกมาตีอยู่ ๓ แต่กำลังของพระวอ พระตา มีน้อยจึงสู้ไม่ได้ พระตาได้สิ้นชีพในที่รบ พระวอกับพวกได้ตีฝ่าวงล้อมไปได้ แล้วไปขอพึ่งพระเจ้าองค์หลวงแห่งเมืองนครจำปาศักดิ์ (เจ้าไชยกุมาร) โดยไปตั้งมั่นอยู่ที่เวียงดอนกอง เจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้แต่งกองทัพติดตามไป แต่เจ้าไชยกุมารได้ไกล่เกลี่ยไว้จึงทำให้การศึกยุติลงชั่วระยะเวลาหนึ่ง อยู่ต่อมาประมาณ ๓ ปี เจ้าเมืองจำปาศักดิ์กับพระวอเกิดขัดใจและเป็นอริกันขึ้นพระวอจึงแต่งให้ท้าวเพี้ยถือศุภอักษรคุมเครื่องราชบรรณาการไปยังนครราชสีมา และขอขึ้นกับกรุงธนบุรีสืบไป
ฝ่ายพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตทราบข่าวว่า พระวอเป็นอริกับเจ้านครจำปาศักดิ์ เห็นเป็นโอกาสที่จะกำจัดพระวอได้ จึงแต่งให้พระยาสุโพเป็นแม่ทัพยกมาตีพระวอเมื่อจุลศักราช ๑๑๓๙ (พ.ศ. ๒๓๒๐) กองทัพพระวอสู้ไม่ได้จึงแตกทัพหนีไป กองทัพเวียงจันทน์ตามไปล้อมจับพระวอได้ที่บ้านสักเมืองสมอเลียบ ริมฝั่งแม่น้ำโขงเหนือเมืองเก่า (ตรงกันข้ามปากเซ) ขึ้นมาเล็กน้อยและได้ฆ่าเสีย
ฝ่ายท้าวก่ำบุตรพระวอ ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวคำผง ท้าวทิดพรหมบุตรพระตาหนีไปได้ จึงแต่งให้คนถือหนังสือบอกไปยังเมืองนครราชสีมา ให้นำความกราบบังคมทูลพระเจ้ากรุงธนบุรีเพื่อทรงทราบ
มรณกรรมของพระวอนับเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญของประวัติหัวเมืองมณฑลอีสานและประวัติศาสตร์ไทยมาก โดยทางกรุงธนบุรีถือว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นกรุงศรีสัตนาคนหุตกระทำการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบังอาจยกทัพมารังแกไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินในขอบขันธสีมา
ครั้นจุลศักราช ๑๑๔๐ (พ.ศ. ๒๓๒๑) สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพยกไปทางบกสมทบกับกำลังเกณฑ์ไพร่พลจากเมืองสุรินทร์ เมือง   ขุขันธ์ เมืองสังขะ และโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาสุรสิงหนาทแต่ครั้งดำรง
พระยศเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ เป็นแม่ทัพยกไปทางกัมพูชาเกณฑ์พลเมืองเขมรต่อเรือรบยกขึ้นไปตามลำน้ำโขง กองทัพพระยาสุโพรู้ข่าวก็ถอยกลับไปยังกรุงศรีสัตนาคนหุต กองทัพไทยยกขึ้นไปตีได้เมืองนคร-จำปาศักดิ์ พระเจ้าองค์หลวง (ไชยกุมาร) พาครอบครัวไปตั้งอยู่ที่เกาะไชยกองทัพไทยตามไปจับตัวได้ ต่อจากนั้นกองทัพไทยก็เลยยกไปตีเมืองนครพนมแล้วยกไปล้อมเมืองเวียงจันทร์ไว้ พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้หนีไปอยู่ที่เมืองคำเกิด กองทัพไทยตีได้เมืองเวียงจันทน์แล้วตั้งให้พระยาสุโพเป็นผู้รั้งเมืองเวียงจันทน์
การศึกครั้งนี้เป็นผลทำให้กรุงศรีสัตนาคนหุตและนครจำปาศักดิ์ ตกมาเป็นประเทศราชของไทยตั้งแต่นั้นมา และกองทัพไทยได้อัญเชิญพระแก้วมรกตลงมายังกรุงธนบุรีด้วย ซึ่งปัจจุบันได้ประดิษฐานอยู่ที่อยู่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทยอยู่จนบัดนี้
ในการไปราชการทัพครั้งนี้ หลวงปราบ (เชียงขัน) ได้เป็นทหารเอกร่วมไปในกองทัพด้วย ทำศึกจนได้ชัยชนะ ขากลับเมืองขุขันธ์หลวงปราบ (เชียงขัน) ได้หญิงม่ายชาวลาวคนหนึ่งกลับมาเป็นภรรยามีลูกชายติดมาด้วยชื่อท้าวบุญจันทร์
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นความดีความชอบของเจ้าเมืองทั้งสามที่ช่วยราชการทัพในการตีเมืองนครจำปาศักดิ์ และเมืองเวียงจันทน์ได้สำเร็จ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าเมืองขุขันธ์ เจ้าเมืองสุรินทร์ และเจ้าเมืองสังขะ เลื่อนขึ้นเป็นตำแหน่งพระยาในบรรดาศักดิ์เดิมทั้งสามเมือง
ในปีเดียวกันนี้ (พ.ศ. ๒๓๒๑) พระยาขุขันธ์ (ตากะจะ) ถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงปราบ (เชียงขัน) เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองคนที่ ๒ และในปีนั้นเองเจ้าเมืองขุขันธ์คนใหม่ ได้อพยพพลเมืองย้ายเมืองมาอยู่ที่บ้านแตระ (อำเภอขุขันธ์ ในปัจจุบัน) เพราะเมืองขุขันธ์เดิม (บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน) กันดารน้ำ

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ลุ พ.ศ. ๒๓๒๕ (ปีขาล จุลศักราช ๑๑๔๔) สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ราชสมบัติปราบดาภิเษกขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (เชียงขัน) ได้เปลี่ยนนามเป็น พระยาขุขันธ์ภักดี ได้มีใบบอกกราบทูลขอตั้งท้าวบุญจันทร์ (บุตรเลี้ยงชาวลาวที่ติดภรรยาม่ายมาจากเวียงจันทน์) ขึ้นเป็นพระไกร ตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าเมืองอยู่มาวันหนึ่งพระยาขุขันธ์ภักดี (เชียงขัน) เผลอเรียกพระไกร (ท้าวบุญจันทร์) ว่าลูกเชลย พระไกรโกรธมากคิดจะแก้แค้นให้ได้ ภายหลังมีพวกญวนประมาณ ๓๐ คน เป็นพ่อค้ามาชื้อโคกระบือถึงเมืองขุขันธ์ พระยาขุขันธ์ภักดีได้จัดให้พวกญวนพักที่ศาลากลาง แล้วเกณฑ์คนนำทางไปส่งที่ช่องโพย ให้พวกญวนนำโคกระบือไปเมืองพนมเปญ พระไกรจึงบอกกล่าวโทษมากรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงให้เรียกพระยาขุขันธ์ภักดีไปไต่สวน ได้ความตามข้อกล่าวหาจึงให้นำพระยาขุขันธ์ภักดี (เชียงขัน) กักขังไว้ที่กรุงเทพฯ และโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระไกรเป็นพระยาขุขันธ์ภักดี เจ้าเมืองคนที่ ๓
ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ นั้น พระภักดีภูธรสงคราม (อุ่น) ปลัดเมืองขุขันธ์ ไม่พอใจพระยาขุขันธ์ภักดี (บุญจันทร์) จึงลงมากราบบังคมทูลที่กรุงเทพฯ ขอเป็นเจ้าเมืองอีกเมืองหนึ่งแยกจากขุขันธ์โดยไปตั้งที่บ้านโนนสามขา สระกำแพงใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านโนนสามขา สระกำแพงใหญ่ขึ้นเป็นเมืองศรีสระเกศ (มิได้เขียน ศรีสระเกษ ดังเช่นทุกวันนี้) ให้พระภักดีภูธรสงคราม (อุ่น) ขึ้นเป็นพระยารัตนวงษา เจ้าเมืองศรีสระเกศให้ท้าวมะนะ เป็นพระภักดีภูธรสงคราม ปลัดเมืองขุขันธ์แทน และให้ท้าวเทศ เป็นพระแก้วมนตรียกกระบัตรเมืองขุขันธ์
พ.ศ. ๒๓๒๘ พระยารัตนวงษา (อุ่น) เจ้าเมืองศรีสระเกษถึงแก่อนิจกรรม จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งท้าวชม บุตรพระยารัตนวงษา ขึ้นเป็นพระยาวิเศษภักดี เจ้าเมืองแทนบิดา
พ.ศ. ๒๓๒๙ เจ้าเมืองศรีสะเกศกับเมืองขุขันธ์เกิดวิวาทชิงเขตแดนกัน จึงโปรดเกล้าฯ แบ่งปันเขตแดนให้เรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ขึ้นครองราชย์พระยาวิเศษภักดี เจ้าเมืองศรีสะเกศถึงแก่กรรมใน พ.ศ. ๒๓๓๐ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระภักดีภูธรสงคราม
ปลัดเมือง เป็นพระยาวิเศษภักดี เจ้าเมือง ให้หลวงยกระบัตรเป็นที่พระปลัดให้ราชบุตรเป็นหลวงยกกระบัตร ให้ทิดอูด เป็นหลวงมหาดไทย ให้ขุนไชยณรงค์เป็นหลวงธิเบศร์

กบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์
ลุจุลศักราช ๑๑๘๕ ปีมะเส็ง (พ.ศ. ๒๓๖๔) พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าราชบุตร (โย่) เมืองเวียงจันทน์เป็นเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ได้เปลี่ยนธรรมเนียมเก็บส่วยแก่ชายฉกรรจ์ที่มีภรรยาแล้ว เป็นไหม หรือ ป่าน หรือ ผลเร่ว คนหนึ่งหนักชั่งห้าตำลึง ส่วนข้าวเปลือกให้เก็บตามเดิม ลำดับนั้น ตั้งแต่เขตแขวงเมืองนครจำปาศักดิ์ไปจนถึงเมืองเวียงจันทน์ อยู่ในอำนาจของเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์กับเจ้าราชบุตร (โย่) ผู้ครองเมืองนครจำปาศักดิ์
พ่อลูกทั้งสองเห็นว่ามีเขตแขวงและกำลังไพร่พลมากขึ้นก็กำเริบใจคิดกบฏต่อกรุงเทพฯ
ครั้งปีจอ  จุลศักราช ๑๑๘๘ (พ.ศ. ๒๓๖๙) เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ได้แต่งตั้งให้เจ้าอุปราช (สีถาน) กับเจ้าราชวงศ์เมืองเวียงจันทน์ ยกกองทัพมาตีเมืองรายทางจนถึงกาฬสินธุ์ จับเจ้าเมืองอุปฮาดกับกรมการเมืองฆ่าเสียแล้วกวาดต้อนเอาครอบครัวไพร่พลเมืองการฬสินธุ์ส่งไปเมืองเวียงจันทน์ แล้วยกไปตีเมืองเขมราฐจับเจ้าเมือง (ท้าวก่ำ บุตรพระวอ) ฆ่าเสีย แล้วยกกองทัพไปถึงเมืองร้อยเอ็ด
เจ้าเมืองร้อยเอ็ดเห็นว่าจะสู้ไม่ได้จึงคบคิดกับกรมการเมืองพาเอานางหมานุย นางตุ่ม นางแก้ว บุตรสาวยกให้เจ้าอุปราช เจ้าอุปราชจึงไม่ทำอันตราย แล้วยกกองทัพต่อไปถึงเมืองสุวรรณภูมิ จับข้าหลวงกองสักได้ให้ฆ่าเสีย แต่พระรัตนวงษา เจ้าเมืองสุวรรณภูมิมิได้ยกนางออมบุตรสาวเจ้าเมืองสุวรรณภูมิคนเก่าและม้าผ่าน ๑ ให้เจ้าอุปราช เจ้าอุปราชจึงงดไม่ทำอันตราย แล้วยกกองทัพของเจ้าอุปราชและเจ้าราชวงศ์ได้ยกเลยไปตีหัวเมืองรายทางจนถึงเมืองนครราชสีมา
ฝ่ายเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ (โย่) ได้เกณฑ์ไพร่พลยกกองทัดมาตีเมืองขุขันธ์ เมืองสังขะและเมืองสุรินทร์ จับพระยาขุขันธ์ภักดี (บุญจันทร์) เจ้าเมืองขุขันธ์ พระภักดีภูธรสงคราม (มะนะ) ปลัดเมือง พระแก้วมนตรี (ท้าวเทศ) ยกกระบัตร กับกรมการเมืองได้และให้ฆ่าเสียเพราะไม่ยอมเข้ากับพวกกบฏ ส่วนเจ้าเมืองสังขะและเจ้าเมืองสุรินทร์หนีเอาตัวรอดไปได้ ครั้งนั้นกองทัพเจ้าโย่ได้กวาดต้อนเอาครอบครัวไทย เขมร ส่วย ไปไว้ที่เมืองนครจำปาศักดิ์เป็นจำนวนมาก แล้วได้ยกไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี พระพรหมราชวงศา เจ้าเมืองอุบลราชธานีจำต้องยอมเข้าด้วยกับพวกกบฏ เจ้านครจำปาศักดิ์จึงมิได้ทำอันตราย  ครั้งนั้นเจ้าโย่และเจ้าอนุวงศ์ ได้มาตั้งค่ายอยู่ที่มูลเค็ง แขวงเมืองพิมายแห่ง ๑ ที่บ้านส้มป่อย แขวงเมืองขุขันธ์ แห่ง ๑ ที่ทุ่งมนแห่ง ๑ ที่บ้านบกหวาน แขวงเมืองหนองคายอีกแห่ง ๑ 
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพเป็นทัพหลวง ให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชาเมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นทัพหน้า ยกกองทัพมาปราบกบฏ ถึงแขวงเมืองนคราชสีมาได้พบเป็นกองทัพเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์และได้สู้รบกันเป็นสามารถ กองทัพเวียงจันทน์ต้านทานมิได้ก็แตกถอยร่นไปอยู่ที่ค่ายมูลเค็งกองทัพไทยได้ตามไปตีค่ายมูลเค็งแตกแล้วยกตามไปตีค่ายส้มป่อย ค่ายทุ่งมน ค่ายน้ำคำ แตกทุกค่ายจนถึงกองทัพเจ้านครจำปาศักดิ์ ขณะนั้นฝ่ายครัวไทย เขมร ส่วย ที่เจ้านครจำปาศักดิ์ได้กวาดต้อนไปไว้ที่เมืองนครจำปาศักดิ์รู้ข่าวกองทัพไทยยกขึ้นมาช่วยก็พากันเอาไฟเผาเมืองนครจำปาศักดิ์ ราษฎรพลเมืองพากันแตกตื่นเป็นอลหม่านเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๖ ปีกุน จุลศักราช ๑๑๘๙ (พ.ศ. ๒๓๗๐)
 เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เห็นว่าจะสู้กองทัพไทยไม่ได้ จึงถอยกลับไปตั้งรับอยู่ที่เมืองหนอง-บัวลำภูกองทัพไทยตามขึ้นไปตีจนถอยร่นหนีไปแล้ว กองทัพไทยได้ยกขึ้นไปตีได้เมืองเวียงจันทน์
เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ทิ้งเมืองหนีไปอยู่ที่เมืองญวน ต่อจากนั้นได้ยกไปตีเมืองนครจำปาศักดิ์ จับตัว
เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ได้จึงยกทัพกลับกรุงเทพฯ โดยแบ่งทหารบางส่วนให้อยู่รักษาเมืองเวียงจันทน์ต่อมาทหารที่จัดให้อยู่รักษาเมืองเวียงจันทน์หลงเชื่อคำหลอกลวงของญวนว่า จะพาเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เข้ามาอ่อนน้อมแต่โดยดี แต่แล้วเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์กลับรวบรวมไพร่พลยกเข้ามาปล้นฆ่าคนไทยที่รักษาเมืองตายเกือบหมด ที
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #91 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553 16:50:12 »

ศรีษะเกษ ๒
เหลือได้หนีรอดมาได้และได้รายงานให้เจ้าพระยาบดินทร์ทราบ ซึ่งขณะนั้นเจ้าพระยาบดินทร์เดชาได้รับพระบรมราชโองการให้ยกทัพไปรักษาเมืองเวียงจันทน์แต่เดิมทัพไปยังไม่ถึงเมืองเวียงจันทน์ก็ได้ทราบข่าวเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในเวียงจันทน์และเห็นว่ากำลังทัพมีไม่พอที่จะยกไปตีเมืองเวียงจันทน์ได้ จึงสั่งให้ถอยทัพไปรวบรวมไพร่พลที่เมืองยโสธรให้พร้อมเสียก่อนจึงจะยกไป แต่กองทัพเวียงจันทน์ได้ยกตามมาทันกันที่ค่ายบกหวานแขวงเมืองหนองคาย กองทัพเจ้าพระยาบดินทร์เดชาจึงได้รบกับกองทัพเวียงจันทน์ กองทัพเวียงจันทน์สู้ไม่ได้แตกพ่ายไป กองทัพเจ้าพระยาบดินทร์ เดชาจึงยกไปตีเมืองเวียงจันทน์ได้เมืองเวียงจันทน์เป็นครั้งที่สอง และคราวนี้จับเจ้าอนุวงศ์
เวียงจันทน์ได้
การกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ครั้งนี้ นับเป็นการกบฏที่ยิ่งใหญ่ หัวเมืองสำคัญๆ ทางภาคอีสานหลายเมืองตกอยู่ในอำนาจของพวกกบฏเกือบทั้งสิน ในระหว่างปราบกบฏทางเมืองนครราชสีมาได้เกิดวีรสตรีขึ้นท่านหนึ่ง จากการต่อสู้กับทหารของเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ที่ทุ่งสำริดแขวงเมืองพิมาย ท่านผู้นั้นคือ คุณหญิง "โม" ซึ่งเป็นภริยาของพระยาสุรเดชวิเศษฤทธิ์ทศธิศวิชัยปลัดเมืองนครราชสีมา ได้รับพระราชทานนามว่า "ท้าวสุรนารี"
เมื่อปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เรียบร้อยแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระยาสังขะบุรีไปเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ คนที่ ๔ ให้พระไชย (ใน) เป็นพระภักดีภูธรสงคราม ปลัดเมือง  ให้พระสะเพื้อน
(นวน) เป็นพระแก้วมนตรี ยกกระบัตรเมือง ให้ท้าวหล้าบุตรพระยาขุขันธ์ (เชียงขัน) เป็นพระมหาดไทย ช่วยกันรักษาเมืองขุขันธ์สืบไป
ตามพงศาวดารกล่าวว่า พวกกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ได้มาตั้งค่ายไว้แห่งหนึ่งที่แขวงเมืองขุขันธ์ เรียกว่าค่ายส้มป่อย (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอราษีไศล ทางตะวันตกบ้านส้มป่อย) ที่แห่งนี้ ปรากฏว่ามีโพน (จอมปลวก) ตั้งเรียงรายกันอยู่เป็นแนวติดต่อกันไป เริ่มตั้งแต่ทางตะวันตกบ้านส้มป่อยจนเกือบถึงบ้านบึงหมอก ชาวบ้านเรียกกันว่า "ค่ายส้มป่อยโพนเลียน" (โพงเรียง) เข้าใจว่าที่แห่งนี้จะเป็นค่ายส้มป่อยของกองทัพลาว เพระลักษณะโพนที่ตั้งเรียงรายกันอยู่อย่างมีระเบียบเป็นแถวเดียวกัน และมีระยะห่างเท่ากันไปโดยตลอด คงจะไม่ใช่โพนหรือจอมปลวกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และที่ริมฝั่งแม่น้ำมูลใกล้ๆ กับโพนเรียงไปทางทิศใต้มีหมู่บ้านหนึ่งชื่อว่าบ้านโก คนในหมู่บ้านนี้พูดภาษาไทยสำเนียงโคราช ชาวบ้านมีอาชีพปั้นหม้อขาย สองถามชาวบ้านได้ความว่า พวกที่มาตั้งบ้านโกครั้งแรกนั้นเป็นชาวโคราชที่ถูกกองทัพลาวกวาดต้อนมา
ลุ พ.ศ. ๒๓๘๘ หลวงธิเบศร์ หลวงมหาดไทย และหลวงอภัย กรมการเมืองศรีสะเกศไม่สมัครที่จะทำราชการกับพระยาวิเศษภักดีเจ้าเมืองศรีสระเกศ ได้อพยพครอบครัวไปตั้งอยู่ที่บ้านน้ำโดมใหญ่ พรมแดนเมืองจำปาศักดิ์ต่อกับอุบลฯ และขุขันธ์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านน้ำโดมใหญ่ขึ้นเป็นเมืองเดชอุดม ตั้งให้หลวงธิเบศร์เป็นพระศรีสุระ เป็นเจ้าเมือง ให้หลวงมหาดไทยเป็นหลวงปลัด หลวงอภัยเป็นหลวงยกกระบัตร รักษาราชการเมืองเดชอุดมต่อไป และในปีเดียวกันนี้โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านไพรตระหมัก (บ้านดาสี)  ขึ้นเป็นเมืองมะโนไพรให้หลวงภักดีจำนง (พรหม) เสมียนตรากรมการเมืองขุขันธ์ซึ่งเป็นบุตรเขยพระยาเดโช (เม้ง-เขมร) เป็นพระมะโนจำนง เจ้าเมืองมะโนไพร ขึ้นต่อเมืองขุขันธ์ และครั้งนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้หลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ เป็นข้าหลวงขึ้นไปจัดราชการบ้านเมืองตะวันออก และจัดปันเขตแดนเมืองนครจำปาศักดิ์กับเมืองขุขันธ์ ให้เป็นเขตแดนของเมืองมะโนไพรต่อไป (ปัจจุบันเมืองนะโนไพรอยู่ในเขตประเทศเขมร เขมรเรียกว่าเมืองมูลไปร ไทยได้เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงกันข้ามปากเซซึ่งมีนครจำปาศักดิ์ และเมืองมะโนไพร ให้แก่ฝรั่งเศสไปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖)
จุลศักราช ๑๒๑๒ (พ.ศ. ๒๓๙๓) พระยาขุขันธ์ภักดีเจ้าเมืองคนที่ ๔ ซึ่งมาจากเมืองสังขะถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ  ตั้งให้พระภักดีภูธรสงคราม (ใน) ปลัดเมือง เป็นพระยาขุขันธ์ภักดีเจ้าเมืองขุขันธ์ คนที่ ๕ เลื่อนพระมหาดไทย (หล้า) เป็นพระภักดีภูธรสงคราม ปลัดเมือง เมื่อพระภักดีภูธรสงคราม (หล้า) ถึงแก่กรรม ได้ตั้งให้ท้าวกิ่ง บุตรพระยาขุขันธ์ (เชียงขัน) เป็นปลัดเมืองและให้ท้าวศรีเมืองเป็นพระมหาดไทย  ต่อมาพระยาขุขันธ์ภักดี (ใน) ถึงแก่กรรม ได้โปรดเกล้าฯ  ให้ตั้งยกระบัตร   (นวน) เป็นพระยาขุขันธ์ภักดี เจ้าเมืองคนที่ ๖ เลื่อนพระมหาดไทย (ศรีเมือง) เป็นพระยกกระบัตร
ในศกเดียวกันนี้ พระยาขุขันธ์ภักดี (นวน) ถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระภักดีภูธรสงคราม (กิ่ง) เป็นพระยาขุขันธ์ภักดี เจ้าเมืองคนที่ ๗ เลื่อนยกกระบัตร (ศรีเมือง) เป็นพระปลัดเมือง ให้พระวิเศษ (พิมพ์) เป็นพระแก้วมนตรี พ.ศ.๒๓๙๕ พระยาขุขันธ์ภักดี (กิ่ง) ถึงแก่กรรม โปรดเกล้าฯ ตั้งให้
พระวิไชย (วัง) ผู้เป็นน้องพระยาขุขันธ์ภักดี เป็นเจ้าเมืองแทน เป็นเจ้าเมืองคนที่ ๘
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๑๐ ปลายรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระยาขุขันธ์ภักดี (วัง) ได้จับพระพล (รส) ผู้น้อง บอกส่งมายังกรุงเทพฯ และถูกจองจำอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงถึงแก่กรรมและยังได้บอกกล่าวโทษพระปลัดเมือง (ศรีเมือง) ว่าเบียดบังเงินหลวง ได้มีพระบรมราชโองการให้ส่งตัวพระปลัดเมืองมาพิจารณาที่กรุงเทพฯ พิจารณาได้ความตามที่กล่าวโทษ ตุลาการตัดสินให้พระปลัดเมืองชดใช้เงินหลวง เสร็จแล้วให้กลับไปรับราชการตามเดิม ขณะเดินทางกลับเดินทางมาถึงเมืองปราจีนบุรีก็ล้มป่วยและถึงแก่กรรมกลางทาง ฝ่ายท้าวอ้น บุตรพระปลัดเมือง (ศรีเมือง) เห็นว่า ถ้าจะรับราชการอยู่ในเมืองขุขันธ์ดังแต่ก่อนมา เกรงว่าจะได้รับความเดือนร้อนจึงลงไปกรุงเทพฯ กราบทูลขอออกไปทำราช-การเป็นกองนอกก็ได้รับกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวอ้นเป็นพระบริรักษ์ภักดี กองนอกทำราชการขึ้นกับเมืองขุขันธ์ และโปรดเก้ลาฯ ให้ตั้งท้าวบุญนาคบุตรพระยาขุขันธ์ภักดี (วัง) เป็นพระอนันต์ภักดี
ผู้ช่วยราชการเมืองขุขันธ์ตามที่พระยาขุขันธ์ภักดี (วัง) มีใบบอกขอมา
พ.ศ. ๒๔๒๖ ในแผ่นดินสมเด็จพระปิยมหาราช พระยาขุขันธ์ภักดี (ปัญญา) เจัาเมืองขุขันธ์กับพระปลัดเมือง (จันลี) ได้นำช้างพังสีประหลาย ๑ เชือก กับช้างพังตาดำ ๑ เชือก ลงมาน้อมเกล้าฯ ถวายที่กรุงเทพฯ
พ.ศ. ๒๔๓๓ มีตราสารโปรดเกล้าฯ ให้เมืองศรีสะเกษไปอยู่ในบังคับบัญชาของข้าหลวงเมืองอุบลราชธานี
เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๔ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิดปรีชากร ข้าหลวงใหญ่ได้โปรดให้หลวงจำนงยุทธกิจ (อิ่ม) กับขุนไผท ไทยพิทักษ์ (เกลี่ยน) เป็นข้าหลวงเมืองศรีสะเกษ
พ.ศ. ๒๔๓๕ ให้พระศรีพิทักษ์ (หว่าง) เป็นข้าหลวงเมืองขุขันธ์
พ.ศ. ๒๔๓๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้อยู่จัดรูปการปกครองเป็นแบบมณฑล มีสมุหเทศาภิบาลเป็นผู้สำเร็จราชการมณฑล จังหวัดศรีสะเกษขึ้นอยู่ในมณฑลอีสาน กองบัญชาการมณฑลอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี
พ.ศ. ๒๔๔๗ ย้ายที่ตั้งเมืองขุขันธ์ (ซึ่งอยู่ที่ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ในปัจจุบัน) มาอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า (ปัจจุบัน คือ ตำบลเมืองเหนือ ในเขตเทศบาลเมืองศรีสะเกษ) และยังคงใช้ชื่อเมือง
ขุขันธ์อยู่เหมือนเดิม และยุบเมืองขุขันธ์เดิมลงเป็นอำเภอ เรียกว่าอำเภอห้วยเหนือ
พ.ศ. ๒๔๕๕ เปลี่ยนชื่อมณฑลอีสาน เป็นมณฑลอุบล มีเมืองที่ขึ้นต่อมณฑลนี้เพียง ๓ เมือง คือ เมืองอุบลราชธานี เมืองขุขันธ์ และเมืองสุรินทร์ (เข้าใจว่าเมืองศรีสระเกศคงถูกยุบลงเป็นอำเภอ ขึ้นอยู่กับเมืองขุขันธ์)
พ.ศ. ๒๔๕๕ กระทรวงมหาดไทยประกาศให้เปลี่ยนชื่อเมืองทุกเมือง เป็นจังหวัด เมือง
ขุขันธ์จึงเปลี่ยนเป็นจังหวัดขุขันธ์ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๙
พ.ศ. ๒๔๘๑ มีพระราชกฤษฎีกา ให้เปลี่ยนชื่อจังหวัดขุขันธ์ เป็นจังหวัดศรีสะเกษ 

ศรีสะเกษ กับ ศรีสระเกศ
คำว่าศรีสะเกษ นี้ เดิมเขียนว่า ศรีสระเกศ ดังที่ปรากฏในเรื่องกำเนินเมืองศรีสระเกศแล้ว โดยเขียนตามหนังสือพงศาวดารที่เขียนไว้ ซึ่งเป็นการถูกต้องตามหลักภาษาที่ระบุไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ตรงกับความหมายของตำบลที่ตั้งเมืองศรีสระเกศแต่เดิมดังนิยามปรับปรากล่าวถึงที่มาของคำว่า ศรีสระเกศ ดังนี้
นิยามที่ ๑ พระยาแกรกเจ้าเมืองเขมร ได้เดินทางท่องเที่ยวไปจนถึงประเทศลาว ไปพบเนื้อคู่เป็นธิดาเจ้าเมืองลาวชื่อนางศรี ได้สู่ขอแต่งงานอยู่กินดัวยกันเรียบร้อยที่ประเทศลาวต่อมาพระยาแกรกเดินทางกลับประเทศเขมรก่อนทิ้งนางศรีไว้ที่เมืองลาว นางศรีมีครรภ์แก่และคิดถึงสามีจึงออกเดินทางติดตามสามีไปเมืองเขมร เดินทางไปถึงทำเลหนึ่งมีสระน้ำใสเย็นนางศรีได้คลอดทารกทิ่ริมสระแห่งนั้น และนางได้ลงชำระสระสรงอาบน้ำล้างตัว พร้อมทั้งชำระล้างทารกบุตรของนางที่สระน้ำ แล้วนางจึงเดินทางต่อไปยังเมืองเขมร สระนี้จึงได้ชื่อว่าศรีสระเกศ แต่นั้นมา
นิยามที่ ๒ กล่าวถึงพระยาศรีโคตรตะบองเพชรครองกรุงกัมพูชา (เขมร) มีตะบองเพชรเป็นอาวุธวิเศษ พระยาศรีโคตรตะบองเพชรกับพระมเหสีเดินทางไปเมืองลานช้าง ขากลับแวะลงสระสรงน้ำที่สระกำแพงทั้งสององค์ จึงได้ชื่อว่า ศรีสระเกศ
นิยามที่ ๓ เล่าว่าพระนางศรีนางพญาขอม (เขมรโบราณ) เดินทางจากเมืองพิมายผ่านมาและลงสระผมที่สระนี้ จึงได้ชื่อว่า ศรีสระเกศ
จึงสรุปได้ว่า มีคนชื่อศรี มาสระผมที่สระนี้ เกศ แปลว่า ผม (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ หน้า ๑๖๒) ส่วนคำว่า สระ แปลว่า ชำระ ฟอก ล้าง (หน้า ๘๗๗) ดังนั้น ที่เขียนตามพงศาวดารว่า ศรีสระเกศ นั้นถูกต้องตรงกับความหมายทางภาษาทุกประการ แต่ที่เขียนเป็น ศรีสะเกษ ยังหาที่มาไม่พบ

การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล
หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศ และควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่า เป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลในสมัยนั้น การปกคอรงแบบเทศาภิบาลเป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อยและเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือระบบกินเมืองให้หมดไป
การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใดก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากการคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวาง ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกันโดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชา
หัวเมืองทั้งปวง ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ซ. ๒๔๓๙ จนถึง พ.ซ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จ และเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของการเทศาภิบาล ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า
"การเทศาภิบาล คือการปกครองโดยลักษณะที่จัดให้หน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วย ตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้น ออกไปดำเนินงานในส่วน
ภูมิภาคอันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่วมเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นลำดับ ดังนี้ คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑลรองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัด รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานีและจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทางตามตำแหน่งหน้าที่ มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็วแก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย"
จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนั้น การเทศาภิบาลนั้น หมายความรวมว่า เป็น "ระบบ" การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า " การปกครองส่วนภูมิภาค" ส่วน "มณฑลเทศาภิบาล นั้น คือส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราช-การส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียนการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อต่อไปนี้ เมื่องพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่งคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้างและกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม  พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล มีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนี้มีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียง หรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวน หรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาว หรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมร หรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองฝั่งทะเลตะวันตก บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต
การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมาและก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับ ดังต่อไปนี้
พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จกระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล ขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเดียวกัน จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง
พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนคร
ชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง
พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรี-
ธรรมราช และมณฑลชุมพร
พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันออก เป็นมณฑลไทรบุรี และในปีเดียวกันนั้นเอง ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง
พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าฯ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล
พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย
พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี ระยอง และตราด
พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษเพื่อแลกเปลี่ยนกันการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อกู้ยืมเงินจากอังกฤษมาสร้างทางรถไฟ
พ.ศ. ๒๔๕๕ ให้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบลมีเมืองที่ขึ้นอยู่ในการปกครอง ๓ เมือง คือ เมืองอุบลราชธานี เมืองขุข้นธ์ และเมือง
สุรินทร์ (เข้าใจว่าเมืองศรีสะเกศ คงจะถูกยุบลงเป็นอำเภอขึ้นอยู่กับเมืองขุขันธ์จึงไม่ปรากฏชื่อเมืองศรีสะเกศ)
พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ

การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน
การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมากรจังหวัดเป็นผู้บริหารเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลแล้วยังแบ่งออกเป็นจังหวัดและอำเภออีกด้วย เมื่อมีประกาศใช้พระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องมาจาก
(๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง
(๒) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง
(๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น
(๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัด มีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้
(๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่
(๒) อำนาจบริหารในจังหวัดซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคลได้แก่ คณะกรรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือผู้ว่าราชการจังหวัด
(๓) ในฐานะของคณะกรรมการจังหวัดซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการ
แผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด
ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการ
ส่วนภูมิภาคเป็น
(๑) จังหวัด
(๒) อำเภอ
จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น


ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดศรีสะเกษ, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เทพนิมิต
การพิมพ์,๒๕๓๙.
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #92 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553 16:51:16 »

  พรุ้งนี้มาต่อครับ ตาลาย 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #93 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2553 08:40:20 »

อุบลราชธานี
๑.  สมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ ดินแดนอันเป็นที่ตั้งของเมืองหรือจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียงในปัจจุบัน ได้มีกลุ่มชนตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่ประปรายบ้างแล้ว ส่วนใหญ่เป็นพวกที่สืบเชื้อสายมาจากขอมหรือที่เรียกกันในสมัยต่อมาว่าพวกข่า ส่วย กวย ฯลฯ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ได้เกิดการแย่งชิงราชสมบัติขึ้นในกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ไพร่บ้านพลเมืองต่างอพยพหลบภัยสงครามข้ามลำน้ำโขงมาทางฝั่งตะวันตก และได้ตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่ตามบริเวณพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และบริเวณใกล้เคียง (ในปัจจุบัน) เรื่อยลงไปโดยตลอดจนถึงเมืองนครจำปาศักดิ์ โดยแยกย้ายกันตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ในท้องที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ บุคคลผู้เป็นที่เคารพนับถือของแต่ละกลุ่มชน ก็จะได้รับการยกย่องนับถือและยอมรับให้เป็นหัวหน้าปกครองดูแลพลเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข และพ้นจากการรุกรานของกรุงศรีสัตนาคนหุต
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ ขณะที่กรุงศรีอยุธยากำลังจะเสียแก่พม่านั้นได้เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อแย่งชิงราชสมบัติในกรุงศรีสัตนาคนหุตอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพราะพระเจ้าองค์หล่อผู้ครองกรุงศรี-สัตนาคนหุตถึงแก่กรรม โดยไม่มีโอรสสืบราชสมบัติ แสนท้าวพระยานายวอ และนายตา จึงพร้อมใจกันอัญเชิญกุมารองค์หนึ่ง (ในจำนวน ๒ องค์ ที่สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตองค์ก่อนและได้หลบหนีภัยการเมืองมาอยู่กับนายวอ นายตา  เมื่อคราวพระเจ้าองค์หล่อยกกำลังกองทัพมาจับพระ-ยาแสนเมืองฆ่าเสีย เมื่อ พ.ศ. ๒๒๗๕) ขึ้นครองกรุงศรีสัตนาคนหุตทรงพระนามว่า “พระเจ้าสิริบุญสาร”
เมื่อพระเจ้าสิริบุญสาร ครองกรุงศรีสัตนาคนหุต พระองค์ทรงแต่งตั้งราชกุมารผู้อนุชาเป็นพระมหาอุปราช พร้อมทั้งทรงแต่งตั้งนายวอ นายตา เป็นเสนาบดี ให้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระ เป็นผลให้พระวอพระตาเกิดความโทมนัสเป็นอย่างยิ่ง  ด้วยมิได้เป็นพระมหาอุปราชดังประสงค์ ดังนั้น พระวอพระตาจึงอพยพครอบครัวไพร่พลจากกรุงศรีสัตนาคนหุตข้ามลำน้ำโขงมาทางฟากตะวันตก ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เมืองหนองบัวลำภู ดำเนินการปรับปรุงสภาพเมืองใหม่ สร้างค่ายประตูหอรบให้แข็งแรง เปลี่ยนนามเมืองใหม่ว่า “เมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน” หรือที่ปรากฏในเอกสารบางแห่งว่า “เมืองจำปานครขวางกาบแก้วบัวบาน”
พระเจ้าสิริบุญสารทรงทราบข่าวการสร้างเมืองใหม่ของพระวอ พระตา พระองค์เข้าพระทัยว่าการที่พระวอ พระตา  ปรับปรุงสร้างบ้านเมืองก็เพราะจะคิดการศึกต่อพระองค์ จึงทรงให้แสนท้าว-พระยาไปห้ามปรามพระวอ พระตาไว้แต่ทั้งสองกับไม่ยอมรับฟัง พระเจ้าสิริบุญสารทรงมีรับสั่งให้ยกกองทัพไปปราบปราม ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอยู่เป็นเวลานานถึงสามปีก็ไม่สามารถจะเอาชนะกันได้ พระ-วอ พระตา เห็นว่ากำลังของฝ่ายตนมีน้อยกว่าคงจะต้านทานไว้ไม่ได้ ในที่สุดจึงได้แต่งเครื่องราชบรรณาการไปอ่อนน้อมต่อพม่า พร้อมทั้งขอกำลังกองทัพมาช่วยการศึกที่เกิดขึ้น แต่เมื่อทัพพม่ายกมา


ถึง มองละแงะ แม่ทัพพม่ากลับนำทัพเข้าช่วยพระเจ้าสิริบุญสารทำสงครามกับพระวอ พระตา แม้ว่าพระวอ พระตา    และไพร่พลจะพยายามต้านทานกองทัพฝ่ายพระเจ้าสิริบุญสารและทัพมองละแงะอย่างสุดความสามารถก็ตาม แต่ด้วยจำนวนไพร่พลน้อยกว่าจึงพ่ายแพ้ไปในที่สุด พระตาเสียชีวิตในสงคราม ดังนั้น พระวอ ท้าวคำผง ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวทิดพรหม บุตรพระตา และท้าวก่ำบุตรพระวอ จึงพากันอพยพครอบครัวไพร่พลหนีภัยลงมาทางใต้ จนถึงเมืองนครจำปาศักดิ์ได้รับความอนุเคราะห์จากพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ ให้ตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ในบริเวณตำบลเวียงดอน-กอง หรือที่เรียกว่าบ้านดู่บ้านแก แขวงเมืองนครจำปาศักดิ์
   ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๑๔ (จ.ศ. ๑๑๓๓ ปีเถาะ ตรีศก) รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระเจ้าสิริบุญสารทราบว่า พระวออพยพครอบครัวไพร่พลมาตั้งอยู่ที่เวียงดอนกอง แขวงเมืองนคร-จำปาศักดิ์ จึงให้อัครฮาดคุมกำลังกองทัพลงมาปราบปรามพระวออีกเมื่อพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร ทราบเหตุ จึงให้พระยาพลเชียงสายกทัพจากเมืองนครจำปาศักดิ์ มาช่วยพระวอต้านทานทัพของพระ-เจ้าสิริบุญสาร พร้อมทั้งทรงมีศุภอักษรไปถึงพระเจ้าสิริบุญสาร เพื่อขอยกโทษให้พระวอ พระเจ้าสิริบุญ-สารมีพระราชสาส์นตอบมาว่า “พระวอเป็นคนอกตัญญู จะเลี้ยงไว้ก็คงไม่มีความเจริญแต่เมื่อเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ให้มาขอโทษไว้ดังนี้แล้ว  ก็จะยกให้มิให้เสียไมตรี” จากนั้นพระองค์จึงโปรดให้อัครฮาดยกกำลังกองทัพกลับกรุงศรีสัตนาคนหุต
ในปลายปี พ.ศ. ๒๓๑๔ พระวอเกิดขัดใจกับพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารเกี่ยวกับกรณีการสร้างเมืองใหม่ที่ตำบลศรีสุมังของพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร จึงอพยพครอบครัวไพร่พลมาอยู่ที่บริเวณดอนมดแดง (ริมฝั่งซ้ายแม่น้ำมูล ห่างจากที่ตั้งศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ไปทางทิศตะวันออกระยะทางประมาณ ๑๖ กิโลเมตร) และได้แต่งตั้งให้ท้าวเพี้ยคุมเครื่องราชบรรณาการไปถึงเจ้าเมืองนครราชสีมา ขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของราชอาณาจักรสยามเพื่อหามิตรประเทศเพราะมีศัตรูอยู่รอบด้าน ทางเหนือก็พระเจ้าสิริบุญสารแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต ทางใต้ก็พระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารแห่งเมืองนครจำปาศักดิ์ ประกอบกับยังไม่มีกองกำลังที่เข้มแข็งพอที่จะต่อสู้กับข้าศึกศัตรูได้ในยามที่ถูกศัตรูรุกราน แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็มิได้ทรงดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้แต่ประการใด คงเนื่องด้วยเพราะกำลังติดพันกับศึกพม่าและอีกประการหนึ่งในช่วงระยะเวลานั้น ดินแดนที่ราบสูงเลยเมืองนครราชสีมาขึ้นไปนั้น เป็นอาณาเขตของกรุงศรีสัตนาคนหุต ซึ่งพระเจ้าสิริบุญสาร และพระเจ้าตากสินมหาราชได้เคยทำสัญญาทางพระราชไมตรีกันไว้
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๙ (จ.ศ. ๑๑๓๘ ปีวอก อัฐศก) พระเจ้าสิริบุญสารทราบข่าวการทะเลาะวิวาทระหว่างพระวอกับพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร พระวออพยพครอบครัวไพร่พล มาอยู่ที่ดอนมดแดง พระองค์จึงแต่งตั้งให้พระยาสุโพคุมกำลังกองทัพไปรุกรานพระวออีกครั้งหนึ่ง พระวอเห็นว่ากำลังของตนมีน้อยคงไม่สามารถจะต้านทานไว้ได้ จึงอพยพครอบครัวไพร่พลกลับไปอยู่ที่เวียงดอน-กองตามเดิม พร้อมกับขอกำลังกองทัพจากพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เมืองจำปาศักดิ์มาช่วยเหลือ แต่เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ไม่ยอมให้เพราะความบาดหมางใจกันเมื่อหลายปีก่อนผลที่สุดกองกำลังของ พระวอจึงพ่ายแพ้ พระวอถูกจับได้และถูกประหารชีวิตที่เวียงดอนกองนั้นเอง ส่วนท้าวคำผง ท้าวฝ่าย-หน้า ท้าวทิดพรหม บุตรพระตา และท้าวก่ำ  บุตรพระวอจึงได้พาครอบครัวไพร่พลหนีออกจากวงล้อมของกองทัพกรุงศรีสัตนาคนหุต และได้นำใบบอกแจ้งความไปยังเมืองนครราชสีมา เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชขอกำลังกองทัพมาช่วย แต่ทางกรุงธนบุรีก็มิได้ดำเนินการเป็นประการใด
ต่อมา พ.ศ. ๒๓๒๑ (จ.ศ. ๑๑๔๐ สัมฤทธิศก)  สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงโปรด-เกล้าฯ ให้สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยา-มหากษัตริย์ศึก) และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์) นำทัพขึ้นไปปราบพระยาสุโพที่เวียงดอนกองแขวงเมืองนครจำปาศักดิ์ เมื่อพระยาสุโพทราบข่าวจึงรีบยกทัพกลับกรุงศรีสัตนาคนหุต ขณะเดียวกันพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เกรงว่าจะไม่สามารถที่จะต้านทานกองทัพไทยไว้ได้  จึงอพยพครอบครัวไพร่พลหนีไปอยู่ที่เกาะไชยในที่สุดกองทัพไทยตีได้นคร-จำปาศักดิ์ และตามจับพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารไว้ได้
หลังจากนั้นกองทัพไทยก็ตีได้เมืองนครพนม หนองคาย และเข้าล้อมเมืองเวียงจันทน์ไว้ พระเจ้าสิริบุญสารหนีไปอาศัยอยู่ที่เมืองคำเกิด     กองทัพไทยก็ยึดเมืองเวียงจันทน์ไว้ได้และให้พระยา-สุโพเป็นผู้รั้งเมือง แล้วนำตัวพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารพร้อมทั้งอัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางที่อยู่เมืองเวียงจันทน์มายังกรุงธนบุรี ต่อมาอีกไม่นานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารกลับไปครองเมืองนครจำปาศักดิ์ตามเดิม ดังนั้นเมืองนคร-จำปาศักดิ์จึงกลายเป็นเมืองประเทศราชของไทยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ท้าวคำผง บุตรพระตา ได้สมรสกับนางตุ่ย บุตรีของเจ้าอุปราชธรรมเทโว (อนุชาของพระ-เจ้าองค์หลวงไชยกุมาร) พระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารกับท้าวคำผง จึงมีความเกี่ยวดองในฐานะเป็นเขย และเป็นผู้ที่มีครอบครัวไพร่พลมาก จึงให้เป็นพระประทุมสุรราชนายกองใหญ่ ควบคุมครอบครัวตัวเองขึ้นตรงต่อเมืองนครจำปาศักดิ์ โดยให้ตั้งมั่นอยู่เวียงดอนกองนั้นเอง ตั้งแต่ในราวปี พ.ศ. ๒๓๒๒-๒๓๒๓ และอยู่ที่เดิมต่อมาจนสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
สมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองอุบลราชธานียังคงเป็นเพียงชุมชนที่กลุ่มชนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เวียงดอนกองเท่านั้น ยังมิได้มีการสถาปนาขึ้นเป็นเมืองอุบลราชธานีอย่างเป็นทางการจนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แต่ก็จะมีผู้คนอาศัยอยู่ประปรายบ้างแล้ว

๒.  สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๔๑๑)
การตั้งเมืองอุบลราชธานีและเมืองใกล้เคียง ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระ-พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช    สถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานีนั้น พระประทุมวรราชสุริยวงศ์เจ้าเมืองอุบลราชธานีคนแรก พร้อมด้วยครอบครัวไพร่พลยังคงตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เวียงดอนกอง แขวงเมืองนครจำปาศักดิ์   แต่ด้วยเหตุว่าตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๑๐    ที่กรุงศรีอยุธยาต้องพ่ายแพ้แก่พม่าเป็นต้นมาตลอดสมัยกรุงธนบุรี บ้านเมืองต้องตกอยู่ในภาวะสงครามโดยตลอด ทำให้ไพร่บ้านพลเมืองต้องได้รับความเดือดร้อนและหลบหนีภัยสงครามไปอาศัยอยู่ตามป่าเขากระจัดกระจายอยู่ทั่ว ๆ ไปนั้น พระ-บาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงมีพระราชประสงค์ที่จะรวบรวมพลเมืองเพื่อเป็นกำลังของประเทศ  จึงมีพระบรมราโชบายให้เจ้าเมืองหรือบุคคลสำคัญในกลุ่มชนต่าง ๆ     ออกไปเกลี้ยกล่อมผู้คนที่หลบหนีภัยสงคราม ที่ได้กระจัดกระจายอยู่ตามป่าเขา ให้มารวมกันอยู่เป็นกลุ่มก้อนโดยที่ทรงมีพระราชกำหนดว่าหากเจ้าเมืองใดหรือบุคคลใดสามารถรวบรวมไพร่พลได้มาก จนเมืองที่ตนปกครองมีความมั่นคงขึ้นหรือสามารถนำครอบครัวไพร่พลไปตั้งเมืองเป็นปึกแผ่นมั่นคงใหม่ได้ ก็จะได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง ซึ่งเจ้าเมืองก็จะสามารถเรียกเก็บทรัพย์เศษส่วนและได้ผู้คนไพร่พลไว้ใช้สอยมากขึ้น ดังนั้นจึงมีผู้รวบรวมไพร่พลตั้งหลักแหล่งมั่นคง จนได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งขึ้นเป็นเมือง และผู้รวบรวมได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นจำนวนมาก ดังที่ปรากฏว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งเมืองขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก
   ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้ว ใน พ.ศ. ๒๓๒๙ พระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) จึงได้พาครอบครัวไพร่พลจากเวียงดอนกองมาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่ ณ บริเวณห้วยแจระแม (ปัจจุบันคือบริเวณบ้านท่าบ่อ)   อันเป็นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำมูล  ได้อาศัยอยู่  ณ  บริเวณห้วยแจระแมด้วยความปกติสุขมาเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๓๓๔ อ้ายเชียงแก้วผู้อาศัยอยู่ ณ ตำบลเขาโอง แขวงเมืองโขง (ปัจจุบันอยู่ในดินแดนของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว)  ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ มีผู้คนนับถือเป็นจำนวนมาก ประกอบกับในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์กำลังป่วยหนักอยู่ อ้ายเชียงแก้วเห็นเป็นโอกาสดีจึงคิดกบฏ ยกกองกำลังเข้าล้อมเมืองนครจำปาศักดิ์  พระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารไม่คิดต่อสู้อาการป่วยก็ยิ่งทรุดลงและถึงแก่พิราลัยในที่สุด    อ้ายเชียงแก้วจึงเข้ายึดเมืองนครจำปาศักดิ์ได้
   เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงทราบข่าวกบฏอ้ายเชียงแก้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) เมื่อครั้งเป็นพระยาพรหมภักดียกกระบัตรเมืองนครราชสีมายกกองทัพไปปราบอ้ายเชียงแก้ว ขณะที่กองทัพเมืองนครราชสีมาไปยังไม่ถึงนั้น พระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) และท้าวฝ่ายหน้าผู้น้อง ซึ่งตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่ที่บริเวณบ้านสิงทา (บริเวณอำเภอเมืองยโสธรในปัจจุบัน) ได้นำกองกำลังไปปราบอ้ายเชียงแก้วอยู่ก่อนแล้ว มีการต่อสู้กันหลายครั้ง มีการรบครั้งใหญ่ที่บริเวณแก่งตะนะ (อยู่ในท้องที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน) กองกำลังของฝ่ายอ้ายเชียงแก้วแตกพ่ายไป อ้ายเชียงแก้วถูกจับได้ และถูกประหารชีวิต เมื่อกองทัพเมืองนครราชสีมาไปถึงเมืองนครจำปาศักดิ์ เหตุการณ์สงบเรียบร้อยแล้ว จึงยกกองทัพไปปราบปรามพวกข่า “ชาติกระเสง สวาง จะรวย ระแดร์) ที่ตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ฝั่งตะวันออกของลำน้ำโขง และสามารถจับพวกข่าเป็นเชลยได้เป็นจำนวนมาก
   ด้วยความสามารถในการนำทัพของพระปทุมฯ (ท้าวคำผง)   และท้าวฝ่ายหน้าผู้น้อง  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ    แต่งตั้งให้ท้าวฝ่ายหน้าเป็นเจ้าพระ-วิไชยราชขัตติยวงศาครองเมืองนครจำปาศักดิ์ พระปทุมสุรราชเป็นพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ครองเมืองอุบลราชธานี พร้อมกันนั้นก็โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านแจระแมขึ้นเป็นเมืองอุบลราชธานี ตามนามพระประทุมฯ ขึ้นต่อกรุงเทพฯ (คงเป็นทำนองเดียวกับบ้านคูปะทายสมัน ที่เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองสุรินทร์ ตามนามของหลวงสุรินทร์ภักดีเจ้าเมืองนั่นเอง) เมื่อวันจันทร์แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๘ จุลศักราช ๑๑๕๔ (พ.ศ. ๒๓๓๕) ดังปรากฏในจดหมายเหตุทรงตั้งเจ้าประเทศราช สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นความว่า “ด้วยพระบาทสมเดจ์พระพุทเจ้าอยู่หัวผู้พานพิภพกรุงเทพพระมหาณครศรีอยุทธยา มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ตั้งให้พระประทุมเปนพระประทุมววรราชสุริยวงษ ครองเมืองอุบล-ราชธานีศรีวะนาไล ประเทษราชเศกให้  ณ  วัน  ๒ฯ๘ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๕๔ ปีชวด จัตวาศก” (๑)
                                                                         ๑๓
   อย่างไรก็ดี แม้ว่าในจดหมายเหตุกำหนดให้เมืองอุบลราชธานี มีฐานะเป็นเมืองประเทศ-ราชก็ตาม แต่ในกฏมณเฑียรบาลที่กล่าวถึงรายชื่อเมืองประเทศราชในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธ-ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ไม่ปรากฏชื่อเมืองอุบลราชธานีเป็นเมืองประเทศราชไว้ด้วยและในทางปฏิบ้ติแล้ว ไม่ปรากฏว่าเจ้าเมืองอุบลราชธานีต้องส่งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองถวาย เพื่อแสดงความจงรักภักดีปีละครั้ง หรือสามปีต่อครั้งเฉกเช่นเจ้าประเทศราชทั่วไปแต่อย่างใด คงเพียงแต่ให้ส่งส่วยปีละครั้ง ตามที่กำหนดไว้ คือ “ส่วยผึ้ง ๒ เลขต่อเบี้ย น้ำรัก ๒ ขวดต่อเบี้ยป่าน ๒ เลขต่อขวด” (๒)
   หลังจากที่พระประทุมวรราชสุริวงศ์ได้รับแต่งตั้งครองเมืองอุบลราชธานี แล้วไม่นานและเนื่องด้วยความเหมาะสมตามสภาพภูมิศาสตร์ จึงย้ายครอบครัวไพร่พลไปตั้งเมืองใหม่ในบริเวณริมฝั่งแม่น้ำมูลที่เรียกกันว่า “ดงอู่ผึ้ง” อันเป็นที่ตั้งเมืองอุบลราชธานี ในปัจจุบันพร้อมทั้งสร้าง “วัดหลวง” ขึ้นเป็นวัดคู่เมืองดังที่ปรากฏจนถึงปัจจุบัน
   อาณาเขตของเมืองอุบลราชธานี เมื่อแรกตั้งปรากฏในพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสานว่า “ทิศเหนือถึงน้ำยังตกลำน้ำพาชีไปยอดบังอี่ ตามลำบังอี่ไปถึงแก่งตนะ ไปภูจอกอ ไปช่องนาง ไปยอด ห้วยอะลีอะลองตัดไปดงเปื่อยไปสระดอกเกศ ไปตามลำกะยุงตกลำน้ำมูลปันให้เมืองสุวรรณภูมิ ฝ่ายเหนือหินสิลาเลข หนองกองแก้วตีนภูเขียว ทางใต้ปากเสียวตกลำน้ำมูล ยอดห้วยกากวากเกี่ยวชีปันให้เมืองขุขันธ์ แต่ปกห้วยทัพทันตกมูลภูเขาวงก์” (๓)
   จากอาณาเขตเมืองอุบลราชธานีที่ปรากฏ ก็พอจะเห็นได้ว่า การแบ่งอาณาเขตเมืองในสมัยก่อนนั้นใช้เส้นเขตแดนธรรมชาติเช่นภูเขา แม่น้ำ ลำห้วย เป็นเกณฑ์ และอาณาเขตของเมืองอุบลราชธานีในระยะแรกตั้งนั้นก็ไม่แตกต่างไปจากอาณาเขตของจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบันมากนัก
   จากนั้นเป็นต้นมาถึง พ.ศ. ๒๔๒๘ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว-พระบรมราโชบายในการตั้งเมืองเป็นไปในทำนองเดียวกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา-โลกมหาราช ดังที่ปรากฏว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าว มีการจัดตั้งเมืองขึ้นเป็นจำนวนมาก และขั้นตอนในการจัดตั้งเมืองนั้นก็ไม่สลับซับซ้อนนัก เพียงแต่ให้ผู้ที่มีความประสงค์จะตั้งเมืองขึ้นใหม่ รวบรวมผู้คนให้ได้จำนวนพอควรพร้อมทั้งเลือกหาทำเลที่ตั้งเมืองให้เหมาะสม แล้วให้เจ้าเมืองใหญ่ที่ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ทำหนังสือแจ้งความจำนงไปยังสมุหมหาดไทย ผู้ปกครองดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวง เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต ซึ่งส่วนมากก็จะได้รับพระบรมราชานุญาตดัง-ประสงค์
   ในช่วงนี้ ในอาณาบริเวณเมืองอุบลราชธานี (อาณาเขตจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน) มีการตั้งเมืองขึ้นใหม่เป็นจำนวน ๑๖ เมือง เรียงตามลำดับดังนี้
   พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านสิงทาเป็นเมืองยโสธร ตั้งบ้านโคกคงพะเบียงเป็นเมืองเขมราษฎร์ธานี (อำเภอเขมราฐในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๗  และตั้งบ้านนาค้อเป็นเมืองโขงเจียม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๔ โดยกำหนดให้เมืองยโสธร และเมืองเขมราฐ ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ส่วนเมืองโขงเจียมขึ้นตรงต่อเมืองนครจำปาศักดิ์
   พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านช่องนางเป็นเมืองเสนางค-นิคม ตั้งบ้านน้ำโดมใหญ่เป็นเมืองเดชอุดม ตั้งบ้านคำเมืองแก้วเป็นเมืองคำเขื่อนแก้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๘ และตั้งบ้านดงกระชุเป็นเมืองบัว (บุณฑริก) ใน พ.ศ. ๒๓๙๐ โดยกำหนดให้เมืองเสนางนิคมขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี เมืองเดชอุดมขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เมืองคำเขื่อนแก้ว ให้ขึ้นตรงต่อเมืองเขมราฐ ส่วนเมืองบัวให้ขึ้นต่อเมืองนครจำปาศักดิ์
   พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านค้อใหญ่เป็นเมืองอำนาจเจริญ ใน พ.ศ. ๒๔๐๑ และตั้งบ้านกว้างลำชะโดเป็นเมืองพิบูลมังสาหาร ตั้งบ้านสะพือเป็นเมืองตระการพืชผล ตั้งบ้านเวินไชยเป็นเมืองมหาชนะไชย ใน พ.ศ. ๒๔๐๖ โดยกำหนดให้เมืองอำนาจเจริญ ขึ้นตรงต่อเมืองเขมราฐ ส่วนเมืองพิบูลมังสาหาร เมืองตระการพืชผล  เมืองมหาชนะไชย ให้ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี
   ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านท่ายักขุเป็นเมืองชาณุมารมณฑล ตั้งบ้านเผลาเป็นเมืองพนานิคม ใน พ.ศ. ๒๔๒๒ โดยกำหนดให้ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานีทั้งสองเมือง ตั้งบ้านนากอนจอเป็นเมืองวารินชำราบ ใน พ.ศ. ๒๔๒๓ ตั้งบ้านจันลา-นาโดมเป็นเมืองโดมประดิษฐ์ ใน พ.ศ. ๒๔๒๔ และตั้งบ้านทีเป็นเมืองเกษมสีมา ใน พ.ศ. ๒๔๒๕ โดยกำหนดให้เมืองวารินชำราบและเมืองโดมประดิษฐ์ขึ้นตรงต่อเมืองนครจำปาศักดิ์ ส่วนเมืองเกษมสีมาให้ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี
   กล่าวโดยสรุปในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน (และบางส่วนของจังหวัดยโสธรที่เคยขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานี ก่อน พ.ศ. ๒๕๑๕) ได้มีการตั้งเมืองขึ้นทั้งหมด ๑๗ เมือง เป็นเมืองใหญ่ที่ขึ้นต่อกรุงเทพฯ ๔ เมือง คือ เมืองอุบลราชธานี เมืองยโสธร เมืองเขมราฐ และเมืองเดชอุดม นอกนั้นก็เป็นเมืองเล็ก ๆ เทียบได้กับเมืองจัตวาที่ขึ้นกับเมืองใหญ่ ๆ เหล่านี้อีก ๑๓ เมือง กล่าวคือ  เมืองคำเขื่อนแก้ว  เมืองอำนาจเจริญขึ้นตรงต่อเมืองเขมราฐ  เมืองเสนางคนิคม  เมืองพิบูลมังสาหาร  เมืองตระการพืชผล  เมืองมหาชนะไชย  เมืองชาณุมารมณทล  เมืองพนานิคม  เมืองเกษมสีมา ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี และเมืองโขงเจียม เมืองบัว (บุณฑริก) เมืองวารินชำราบ เมืองโดมประดิษฐ์ ขึ้นตรงต่อเมืองนครจำปาศักดิ์
   เกี่ยวกับการตั้งเมืองดังที่กล่าวมาแล้วมีข้อสังเกตได้หลายประการ กล่าวคือ ประการแรกอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะได้รับการยกฐานะให้เป็นเมืองมาแล้วตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประการที่สอง การจัดการปกครองดูแลเมืองใดขึ้นกับเมืองใดนั้นไม่เป็นระบบที่แน่นอนหรือตายตัวเท่าใดนัก และไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมตามสภาพภูมิศาสตร์ เช่น กำหนดให้เมืองเสนางคนิคมขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี เมืองอำนาจเจริญขึ้นตรงต่อเมืองเขมราฐ หรือที่กำหนดให้พิบูลมังสาหารขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี ส่วนเมืองวารินชำราบขึ้นตรงต่อเมืองนครจำปาศักดิ์ เป็นต้น ทั้งนี้คงเป็นเพราะการคมนาคมไม่สะดวกยากลำบาก จึงไม่สามารถนำเอาเรื่องการคมนาคมมาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดว่าเมืองใดควรจะขึ้นกับเมืองใดได้ จึงเพียงแต่คำนึงถึงว่าเจ้าเมืองที่จะตั้งขึ้นใหม่เคยสังกัดอยู่กับเมืองใด เมื่ออพยพครอบครัวไพล่พลไปตั้งเมืองขึ้นใหม่ ก็จะขอขึ้นกับเมืองเดิม ทั้งนี้คงเพื่อความสะดวกในการส่งส่วยสาอากร หรือไม่ก็คำนึงถึงลำดับเครือญาติของแต่ละเมืองเป็นสำคัญ
การจัดระบบการปกครองภายใน  การจัดการปกครองในส่วนภูมิภาคหรือการปกครองดูแลหัวเมืองต่าง ๆ  ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  ได้แบ่งความรับผิดชอบไว้ ดังนี้  คือ     สมุหพระกลาโหม  ดูแลบ้านเมืองปักษ์ใต้และตะวันตก  สมุหนายก  ดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ  กรมท่า  ปกครองดูแลหัวเมืองชายทะเล ส่วนใหญ่เป็นหัวเมืองชายทะเลด้านตะวันออกที่มีเรือไปมาค้าขาย    มาก ๆ สำหรับเมืองอุบลราชธานี เมืองขึ้น และเมืองใกล้เคียงอยู่ในความปกครองดูแลของสมุหนายก เมืองต่าง ๆ ตามเมืองหรือส่วนภูมิภาคโดยทั่วไป มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองสูงสุด ทำหน้าที่ปกครองดูแลให้ไพร่บ้านพลเมืองมีความร่มเย็นเป็นสุขต่างพระเนตรพระกรรณ อีกทั้งคอยกราบบังคมทูลรายงานสภาพและเหตุการณ์ในหัวเมืองที่ตนปกครอง เจ้าเมืองทำหน้าที่ทั้งผู้ปกครอง หัวหน้าผู้พิพากษา เป็นแม่ทัพในเวลาที่มีสงคราม ฯลฯ  นอกจากตำแหน่งเจ้าเมืองแล้วก็ยังมีตำแหน่งผู้ปกครองหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเมืองต่าง ๆ โดยทั่วไป คือมีปลัดเมืองมหาดไทย ยกกระบัตรเมือง ฯลฯ
   อย่างไรก็ดี ตำแหน่งผู้ปกครองเมืองในส่วนภูมิภาคตามหลักการดังกล่าว มิได้หมายรวมถึงเมืองอุบลราชธานี เมืองขึ้นหรือเมืองใกล้เคียงในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้เพราะตำแหน่งผู้ปกครองเมืองอุบลราชธานี เมืองใกล้เคียง ในดินแดนภาคอีสานจะมีลักษณะที่แปลกและแตกต่างไปจากตำแหน่งผู้ปกครองเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคอื่น ๆ กล่าวคือ มิได้มีตำแหน่งเจ้าเมือง ปลัดเมืองยกกระบัตรเมืองเหมือนเช่นเมืองโดยทั่วไป แต่มีการจัดโครงสร้างระบบการปกครองภายในที่ถือธรรมเนียมการปกครองภายในมาจากประเทศลาวในสมัยนั้น โดยจัดแบ่งระดับตำแหน่งการปกครองภายในออกเป็น ๕ ระดับ แต่ละระดับก็มีหลายตำแหน่งด้วยกัน คือ
ก.  ตำแหน่งอาญาสี่หรืออาชญาสี่ เป็นคณะผู้ปกครองสูงสุดของแต่ละเมือง มีอยู่ ๔ ตำแหน่ง คือ
๑.  เจ้าเมือง  เป็นผู้ปกครองสูงสุดทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของพลเมือง มีอำนาจสิทธิขาด ในการบังคับบัญชาสั่งการโดยทั่วไปยกเว้นอำนาจสิทธิขาดในการบางอย่าง เช่น การตัดสินประหารชีวิตโจรผู้ร้ายในคดีอุกฉกรรจ์ (นอกจากเวลาที่มีศึกสงคราม) เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนเมือง เรื่องการสงครามหรือการแต่งตั้งกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ เช่น อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร แต่มีอำนาจแต่งตั้งกรมการระดับรองลงมา ตั้งแต่เมืองแสน เมืองจันทร์ลงไปจนถึงจ่าบ้าน
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #94 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2553 08:41:03 »

อุบลราชธานี ๒
๒.  อุปฮาด  มีอำนาจหน้าที่แทนเจ้าเมืองได้ทุกอย่าง ขณะที่เจ้าเมืองไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ส่วนหน้าที่โดยตรงก็คือ รวบรวมสำมะโนครัว ตัวเลข จัดทำรวบรวมบัญชีส่วย อากร เร่งรัด การจัดเก็บส่วยในแต่ละปี พร้อมทั้งจัดส่งส่วยสาอากรให้เมืองราชธานีให้ทันตามกำหนด ตลอดจนการเกณฑ์ไพร่ พลเมืองไปทำสงคราม
๓.  ราชวงศ์  ยามที่บ้านเมืองเป็นปกติสุข ราชวงศ์ จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเจ้าเมืองและอุปฮาด และผลัดเปลี่ยนกับราชบุตรในการนำเงินส่วยและสิ่งของส่วยส่งเมืองราชธานี ตลอดจนรวบรวมบัญชีไพร่บ้านพลเมืองที่เป็นชายฉกรรจ์ที่ควรจะจัดเข้าเป็นพลทหารสำหรับเมืองนั้น ๆ ในยามสงครามราชวงศ์ทำหน้าที่เป็นแม่ทัพที่สำคัญควบคุมไพร่พลออกทำการศึกหรืออาจทำหน้าที่เกณฑ์ไพร่พล จัดหาเสบียงอาหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มเติม
๔.  ราชบุตร  มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับราชวงศ์  กล่าวคือ  ทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกับราชวงศ์ ทั้งในการส่งส่วยของหลวง การสงครามอื่น ๆ เป็นต้นว่า ถ้าราชวงศ์เป็นผู้ควบคุมกำลังไพร่พลออกไปทำสงคราม ราชบุตรก็จะทำหน้าที่เกณฑ์ไพร่พลจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ และเสบียงอาหารเพิ่มเติม
ในคณะอาชญาสี่หรืออาญาสี่ของแต่ละเมือง จะจัดตำแหน่งการปกครองและการควบคุมออกเป็น ๔ กอง คือ กองเจ้าเมือง กองอุปฮาด กองราชวงศ์ กองราชบุตร โดยให้ราษฎรเลือกขึ้นทะเบียนไพร่พลในกองใดกองหนึ่งตามความสมัครใจ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในการปกครองควบคุมดูแลเป็นอย่างมากเพราะแต่ละกองต่างก็มุ่งหาไพร่พลมาขึ้นสังกัดกองของตนให้มากที่สุด  โดยไม่คำนึงถึงภูมิลำเนาที่ไพร่บ้านพลเมืองอาศัยอยู่ เมื่อถึงเวลาเก็บส่วยสาอากรจึงเกิดความสับสน  เพราะไม่ทราบชัดเจนว่าไพร่ที่อาศัยอยู่เขตพื้นที่ใด ขึ้นสังกัดกับกองใด เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มดำเนินการปฏิรูปการปกครองในระยะแรก จึงได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาแก้ไขก่อนปัญหาอื่น ๆ
ตำแหน่งอาชญาสี่หรืออาญาสี่นี้นับเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญมาก เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองขึ้นใหม่ก็โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอาญาสี่พร้อมกันไป หรือเมื่อตำแหน่งใดว่างลง ก็จะโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เหมาะสม เช่น กรณี ตั้งเมืองยโสธร ใน พ.ศ. ๒๓๕๗ ก็โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ราชวงศ์ (สิง) เมืองโขงเป็นที่พระสุนทรราชวงษา เจ้าเมือง ให้ท้าวสีชา (หรือสีกา) เป็นอุปฮาด ให้ท้าวบุตร เป็นราชวงศ์ให้ท้าวสนเป็นราชบุตร และในกรณีเจ้าเมืองอุบลราชธานีว่างลง เมื่อมีการแต่งตั้งเจ้าเมืองอุบลราชธานี คนที่ ๓ ใน พ.ศ. ๒๓๘๘ นอกจากโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้อุปฮาด (กุทอง)  เป็นพระพรหม-ราชวงศาเจ้าเมืองแล้ว ก็โปรดเกล้าฯ ให้ราชวงศ์ เป็นอุปฮาดให้ท้าวโพธิสาร หลานพระพรหมราชวงศา-(กุทอง) เป็นราชวงศ์ และให้ท้าวสุริย บุตรพระพรหมราชวงศา (กุทอง) เป็นราชบุตร พร้อม ๆ กันไปด้วย ส่วนการแต่งตั้งเจ้าเมืองเล็ก ๆ ที่ขึ้นกับเมืองใหญ่นั้นเจ้าเมืองใหญ่ที่ทำหน้าที่ปกครองดูแลเมืองเหล่านั้นจะเป็นผู้ทำหนังสือขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอตั้งเจ้าเมือง และแต่งตั้งอุปฮาด ราชวงศ์  ราชบุตร พร้อมกันด้วย ดังจะเห็นได้จากเมื่อเจ้าเมืองโขงเจียมถึงแก่กรรมใน พ.ศ. ๒๔๐๒ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตรเมืองเขมราฐ ได้ประชุมปรึกษาหารือกับท้าวเพียกรมการเมืองโขงเจียม หาผู้ที่มีความเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าเมืองคนต่อไปแล้วรายงานต่อสมุหนายก เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูล และทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
ตำแหน่งอาญาสี่สำหรับเมืองเล็ก ๆ เทียบได้กับเมืองจัตวา ที่มิได้ขึ้นกับกรุงเทพฯ โดยตรง หากขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี เมืองเขมราฐ อันเป็นเมืองที่ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ แล้วตำแหน่งอาญาสี่ก็จะเรียกเป็นเจ้าเมือง อัครฮาด อัครวงศ์ อัครบุตร  ดังเช่น อาญาสี่เมืองเสนางคนิคมเป็นต้น
ข. ตำแหน่งผู้ช่วยอาชญาสี่หรือผู้ช่วยอาญาสี่ มีหน้าที่เกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีต่าง ๆ ตลอดจนควบคุมดูแล การปฏิบัติงานในแผนกการต่าง ๆ แทนอาญาสี่ตามความเหมาะสม มีอยู่ ๔ ตำแหน่งด้วยกันคือ
๑.  ท้าวสุริย หรือท้าวขัตติยะ
๒.  ท้าวสุริโย
๓.  ท้าวโพธิสาร
๔ ..ท้าวสุทธิสาร
ค.  ตำแหน่งขื่อบ้านขางเมือง  เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญ รองลงมาจากคณะผู้ช่วยอาญาสี่ มี ๑๗ ตำแหน่ง คือ
๑.  เมืองแสน ทำหน้าที่กำกับการฝ่ายทหาร
๒.  เมืองจันทร์ ทำหน้าที่กำกับการฝ่ายพลเรือน
นอกจากหน้าที่ดังกล่าวนี้แล้ว เมืองแสน เมืองจันทร์ ยังมีหน้าที่ ต้องรับผิดชอบร่วมกัน คือ ออกหนังสือเดินทางแก่ราษฎรที่จะเดินทางไปมาค้าขายยังเขตแขวงต่าง ๆ จัดทำรายงานและใบบอกเกี่ยวกับราชการทั่ว ๆ ไปที่จะต้องส่งไปยังเมืองหลวง เป็นตุลาการในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของราษฎรโดยทั่ว ๆ ไป ดูแลจัดแจง ว่ากล่าว ท้าวฝ่าย ตาแสง และจ่าบ้าน ให้ดูแลทุกข์สุขของราษฎรให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่กดขี่ข่มเหง รังแกซึ่งกันและกัน ตลอดจนการติดตามจับกุมโจรผู้ร้ายที่เกิดขึ้นในเมืองนั้น ๆ ด้วย
๓.  เมืองขวา เมืองซ้าย เมืองกลาง ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาการเกี่ยวกับนักโทษในเมือง เป็นต้นว่า รักษาบัญชีนักโทษ ดูแลนักโทษ ปล่อยหรือขังนักโทษ จัดทำที่ขังหรือซ่อมแซมที่กักขังนักโทษ ตลอดจนดูแลวัดวาอาราม ที่ควรจะปฏิสังขรณ์ หรือก่อสร้างขึ้นใหม่ เป็นผู้กำกับการสัก-เลก และรักษาบัญชีเลกเขยสู่จากต่างเมืองด้วย
๔.  เมืองคุก เมืองฮาม เมืองแพน ทำหน้าที่ควบคุมระวังนักโทษโดยเฉพาะไม่ให้นักโทษหนีไปได้ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับ “พะทำมะรง” หรือเรียกว่า “พัสดี” ในปัจจุบัน
๕.  นาเหนือ นาใต้ ทำหน้าที่จัดหาเก็บเสบียงอาหารไว้ในยุ้งฉางของเมือง เพื่อใช้ในยามเกิดศึกสงคราม เป็นผู้ออกเดินเก็บส่วยในเขตเมืองของตนหรือ ออกไปเก็บเงินส่วยจากไพร่พลที่อพยพไปมีบุตรภรรยาอยู่ที่เมืองอื่น โดยมีภูมิลำเนาเดิมอยู่แล้วหรืออาจจะยังไม่มีภูมิลำเนาก็ตาม ต้องถือว่าเป็นเลกเขยสู่ ซึ่งเรียกกันว่า  “การเดินทุ่ง”  มารวมส่งที่เมืองที่ตนสังกัดอยู่เดิม นอกจากนี้ยังทำหน้าที่สำรวจสำมะโนครัวในเมืองของตน โดยกำหนดประมาณ ๓ ปีต่อครั้ง เป็นผู้ควบคุมดูแลรักษาสัตว์พาหนะ เป็นผู้ลงบัญชีจำหน่าย “เลก” ในกรณีสูญหาย ตาย พิการหรืออุปสมบทเป็นต้น
๖.  ซาเนตร  ซานนท์  สองตำแหน่งนี้เป็นเสมียนของเมือง ถ้าจะเปรียบเทียบกับปัจจุบันคล้ายกับ “เสมียนตราจังหวัด”
๗. ซาบัณฑิต   ทำหน้าที่เกี่ยวกับการอ่านท้องตราที่ส่งมาจากเมืองใหญ่อ่านประกาศของเจ้าเมืองหรือกรมการเมืองผู้ใหญ่ในเวลาที่มีการประชุม ณ ศาลากลางเมือง เช่น อ่านประกาศ แช่งน้ำในพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา  ประกาศตั้งชื่อกรมการเมืองชั้นผู้น้อยที่เจ้าเมืองอุปฮาด ราชวงศ์ได้แต่งตั้งขึ้น เป็นผู้รวบรวมรายงานกิจต่าง ๆ  ของเมือง  และคำนวณศักราช  วันเดือน  ปีในแต่ละปี  เช่น  การประกาศสงกรานต์  นอกจากนี้ยังทำหน้าที่รักษาห้องสมุดแต่งตำราต่าง ๆ  ของเมืองอีกด้วย
๘. มหาเสนา มหามนตรี  เป็นหัวหน้าซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการออกคำสั่งนัดประชุมหารือข้อราชการ หรือการกำหนดการทำพิธีต่าง ๆ ของเมือง
๙.   กรมเมือง ทำหน้าที่รักษาประเพณีของเมือง
๑๐. สุโพ (บางทีเขียนเป็นสุโภ-ผู้เขียน)  เป็นแม่ทัพของเมือง   อันเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายทหาร ถ้าเป็นเมืองใหญ่จะมียศพระยานำหน้า เช่น พญาสุโพหรือพระยาสุโพ
ตำแหน่ง ขื่อบ้าน ขางเมือง ตั้งแต่เมืองแสน เมืองจันทร์ ลงไปจนถึงสุโพ ถ้าหากเป็นเมืองเอกราชหรือเมืองที่มีพระมหากษัตริย์ปกครอง ก็เรียกว่า พญาหรือพระยา ทั้งสิ้น เช่น พระยาเมืองแสน พระยาเมืองจันทร์ หรือพระยาสุโพ เป็นต้น หากเป็นหัวเมือง เอก โท ตรี จัตวา ตำแหน่งเหล่านี้ก็ใช้คำว่า เพียหรือเพี้ยนำหน้าเสมอเช่น เพียเมืองแสน เพียเมืองจันทร์ เพียเมืองขวา เป็นต้น
ง.  ตำแหน่งพิเศษ นอกจากตำแหน่งต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว ยังมีตำแหน่งพิเศษอีกหลายตำแหน่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นตามความจำเป็น เช่น
๑.  เพียซาโนชิต ซาภูธร ราชต่างใจ คำมงคุณ เป็นผู้มีหน้าที่ใกล้ชิดกับเจ้าเมืองซึ่งอาจจะเปรียบได้กับองครักษ์หรือคนสนิท
๒.  เพียซาบรรทม เป็นผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดที่นอนของเจ้าเมือง
๓.  เพียซาตีนแท่นแล่นตีนเมือง เป็นพนักงานติดตามเจ้าเมือง
๔.  เพียซาหลาบคำ  มีหน้าที่เชิญพระแสง  หรือดาบของเจ้าเมือง   (น่าจะเป็นซาดาบคำ-ผู้เขียน)
๕.  เพียซามณเฑียร มีหน้าที่รักษาพระราชฐาน วัง หรือปราสาทของเจ้าเมือง
๖.  เพียซาบุฮม มีหน้าที่เกี่ยวกับกั้นกลดหรือพัดจามรให้แก่เจ้าเมือง
๗.  เพียซามาตย์อาชาไนย มีหน้าที่เกี่ยวกับการช่างการก่อสร้างหรือวิศวกรรม
๘.  เพียแขกขวาเพียแขกซ้าย มีหน้าที่เกี่ยวกับการรับแขกเมือง
๙. เพียศรีสุนนท์ เพียศรีสุธรรม เพียศรีบุญเฮือง เพียศรีอัครฮาด และเพียศรี-อัครวงศ์ มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาและการพระศาสนาของเมือง
จ.  ตำแหน่งผู้ปกครองระดับหมู่บ้าน มีอยู่ ๔ ตำแหน่ง ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับตำแหน่งการปกครองในปัจจุบัน ก็คือ
๑.  ท้าวฝ่าย เทียบเท่ากับตำแหน่งนายอำเภอในปัจจุบัน
๒.  ตาแสง เทียบได้กับตำแหน่งกำนันในปัจจุบัน
๓.  พ่อบ้านหรือนายบ้าน เทียบเท่ากับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านในปัจจุบัน
๔.  จ่าบ้าน เทียบเท่ากับสารวัตรหมู่บ้านหรือสารวัตรประจำตำบลในปัจจุบัน
การแบ่งแยกตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าว เห็นได้ว่าการจัดระบบการปกครองภายในเมืองอุบลราชธานีในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนพอสมควร การจำแนกหน้าที่อาจมีการซ้ำซ้อนกันบ้าง หากเป็นการร่วมกันรับผิดชอบในหน้าที่นั้น ๆ มากกว่าจะเป็นการแบ่งแยกหน้าที่กันอย่างเด็ดขาด

๓.  การปฏิรูปการปกครองในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จากที่ได้กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่า เมืองอุบลราชธานีมีบทบาทและมีความสำคัญต่อเมืองอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงเป็นอย่างมาก เพราะต้องควบคุมดูแลเมืองขึ้นโดยตรงถึง ๗ เมือง และรับผิด-ชอบ จัดรวมส่วยสาอากรที่เก็บได้จากเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ทั้งหมดแล้วจัดส่งไปยังกรุงเทพมหานครเป็นประจำทุกปี ส่วนระบบการปกครองนั้นจะมีคณะอาญาสี่ เป็นคณะผู้ปกครองสูงสุด และมีตำแหน่งผู้ปกครองระดับต่ำลงมาอีกหลายตำแหน่ง หลายระดับตามความเหมาะสม รูปแบบ ลักษณะหรือวิธีการจัดการปกครองดังกล่าว  จะมีการดำเนินการสืบเนื่องต่อมาจนถึงสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอม-เกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓) เรียกได้ว่าเป็นยุคของการปฏิรูป (AGE OF REFORM) หรือยุคของการทำประเทศให้ทันสมัย (AGE OF MODERNIZATION) อย่างแท้จริง เพราะตลอดระยะเวลาอันยาวนานในรัชกาลของพระองค์ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจการหลายอย่าง จนปรากฏผลชัดเจนสมบูรณ์ เหมาะสมแก่กาลสมัยเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านการปกครอง การทหาร การศึกษา การคมนาคม ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิรูปการปกครองส่วนกลางจากแบบจตุสดมภ์ ที่เคยใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มาเป็นการจัดตั้งกระทรวงขึ้น ๑๒ กระทรวง มีเสนาบดีแต่ละกระทรวงเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกันนั้น นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงดังที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่-หัวทรงมีพระราชวิจารณ์ไว้ว่า “..การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากแบบเดิม เป็นตั้งกระทรวง ๑๒ กระทรวงนี้ต้องนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ซึ่งเรียกได้อย่างพูดกันตามธรรมดาว่า “พลิกแผ่นดิน” ถ้าจะใช้คำภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า “REVOLUTION” ไม่ใช่ “EVOLUTION….””
ในส่วนภูมิภาค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นการปฏิรูปเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการปกครอง การทหาร การศึกษา การเก็บภาษีอากร ฯลฯ โดยเฉพาะบริเวณเมืองอุบลราชธานีและเมืองใกล้เคียงที่มีลักษณะการปกครองภายในที่แปลกและแตกต่างไปจากเมืองในภูมิภาคอื่น ๆ
จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๒๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชอำนาจในการปกครองบ้านเมืองอย่างเต็ม  ที่  ประกอบกับทรงเล็งเห็นปัญหา  อุปสรรคในการจัดการปกครองภายในของเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะในบริเวณเมืองอุบลราชธานี เมืองใกล้เคียงที่อยู่ติดกับดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านที่ตกอยู่ใต้การปกครองของคนต่างชาติ อันอาจเกิดภัยอันตรายต่อชาติบ้านเมืองได้ ด้วยเหตุทั้งสองประการคือ ความบกพร่องของการจัดการปกครองภายใน และภัยที่จะถูกคุกคามจากต่างชาติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงดำเนินการปรับปรุงแก้ไขการจัดการปกครองหัวเมืองในภูมิภาคแถบนี้เป็นการเร่งด่วน กล่าวคือ ใน พ.ศ. ๒๔๒๕ โปรดเกล้าฯ  แต่งตั้งให้พระยามหาอำมาตยาธิบดี  (หรุ่น ศรีเพ็ญ)   เจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายเหนือเป็นข้าหลวง    พร้อมด้วยข้าราชการหลายนายออกไปตั้งรักษาการหัวเมืองลาวตะวันออกอยู่ ณ เมืองนครจำปาศักดิ์และพร้อมกันนั้นก็โปรดเกล้าฯ ให้หลวงภักดีณรงค์  (ทัด  ไกรฤกษ์)   ปลัดบัญชีกระทรวงมหาดไทยไปดำรงตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการอยู่ ณ เมืองอุบลราชธานีอีกด้วย การดำเนินการเช่นนี้ นับว่าเป็นการขยายอำนาจการปกครองจากเมืองราชธานีคือกรุงเทพฯ ไปสู่หัวเมืองลาวภาคตะวันออกอย่างแท้จริง และรัดกุมยิ่งขึ้นและนับเป็นครั้งแรกที่เมืองราชธานีได้จัดส่งข้าหลวงจากส่วนกลางออกไปควบคุมดูแล กำกับราชการ ณ เมืองอุบลราชธานีทั้ง ๆ ที่เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร ซึ่งเป็นคณะผู้ปกครองสูงสุดของเมืองก็ยังคงทำหน้าที่ปกครองบ้านเมืองอยู่ตามปกติ
ถึงแม้จะโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าหลวงออกไปกำกับราชการอยู่ ณ เมืองอุบลราชธานีและนครจำปาศักดิ์แล้วก็ตาม แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ยังไม่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในเหตุการณ์ชายพระราชอาณาเขตแถบนี้มากนัก ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำนุบำรุงเมืองต่าง ๆ ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น  เพื่อความสงบสุขของชาติบ้านเมือง   และเพื่อให้รอดพ้นจากภัยรุกรานของชนต่างชาติที่ขยายอำนาจใกล้เข้ามาทุกขณะ  ดังจะเห็นได้จากการที่ฝรั่งเศส  สามารถครอบครองเขมรได้ทั้งหมดใน พ.ศ. ๒๔๑๐ และสามารถยึดครองญวนได้ทั้งหมดใน พ.ศ. ๒๔๒๖
ด้วยเหตุดังกล่าว ใน พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดรูปแบบการปกครองหัวเมืองในภูมิภาคแถบนี้เสียใหม่ คือ แทนที่จะให้เมืองใหญ่และสำคัญบางเมืองขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ แล้วให้เมืองเล็ก ๆ เทียบได้กับเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อเมืองใหญ่ ดังที่ได้เคยดำเนินการมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มาเป็นการแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ออกเป็นกอง แล้วรวมเอาหัวเมืองเอก โท ตรี และจัตวา เข้าไว้ในกองเดียวกันตามความเหมาะสม ในแต่ละกองก็จะมีข้าหลวงกำกับราชการ ทำหน้าที่ปกครองดูแลชำระคดีความ เร่งรัดจัดเก็บเงินส่วย สิ่งของส่วยกองละ ๑ คน โดยมีข้าหลวงใหญ่กำกับราชการอยู่ที่เมืองนครจำปาศักดิ์อีก ๑ คน ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะได้ทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า มีความสงบเรียบร้อย และมีความใกล้ชิดกับเมืองราชธานีมากยิ่งขึ้น
ในการรวบรวมเมืองต่าง ๆ เป็นกองหัวเมือง และให้มีข้าหลวงกำกับราชการกองละ ๑ คนนั้น มีผลให้เมืองต่าง ๆ ในภาคอีสานถูกจัดแบ่งออกเป็น ๔ กองหัวเมือง คือ หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก ตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการอยู่ที่นครจำปาศักดิ์ หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการอยู่ที่เมืองหนองคายและหัวเมืองลาวฝ่ายกลาง ตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการอยู่ที่เมืองนครราชสีมา
สำหรับหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการอยู่ที่เมืองอุบลราชธานีนั้น มีพระยาราชเสนา (ทัด  ไกรฤกษ์) และพระภักดีณรงค์ (สิน  ไกรฤกษ์) เป็นข้าหลวง นอกจากเมืองอุบลราชธานีที่เป็นศูนย์กลาง และเป็นที่ตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการแล้วยังประกอบด้วยหัวเมืองเอกที่เคยขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ อีก ๑๑ เมือง คือ  กาฬสินธุ์  สุวรรณภูมิ  มหาสารคราม  ร้อยเอ็ด  ภูแล่นช้าง กมลาสัย เขมราฐ ยโสธร สองคอนดอนดง ศรีสะเกษ และเมืองนอง ส่วนหัวเมืองโท ตรี และจัตวา ที่ขึ้นกับหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ ก็มีอีก ๒๙ เมือง คือ  เมืองเสนางคนิคม  พิบูลมังสาหาร ตระการพืชผล มหาชนะไชย ชาณุมารมณฑล พนานิคม เกษมสีมา แซงมาดาล กุฉิ-นารายณ์ ท่าขอนยาง กันทรวิชัย สหัสขันธุ์  เกษตรวิสัย พนมไพรแดนมฤค จตุรพักตร์พิมาน พยัคฆ-ภูมิพิสัย  วาปีปทุม โกสุมพิสัย ธวัชบุรี โขงเจียม เสมียะ คำเขื่อนแกล้ว อำนาจเจริญ ลำเนาหนองปรือ เมืองพอง  เมืองพิน  เมืองพาน  และเมืองราษีไศล  รวมเป็นเมืองเอก  โท  ตรี  จัตวา  ที่รวมอยู่ในกองหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งสิ้น ๔๑ เมือง
การแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ออกเป็นกองแล้วมีข้าหลวงกำกับราชการดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าเมืองอุบลราชธานี เป็นศูนย์กลางการปกครองที่มีบทบาท มีความสำคัญต่อหัวเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคแถบนี้เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามการจัดแบ่งหัวเมืองโดยวิธีการดังกล่าว ซึ่งรัฐบาลหวังว่า ข้าหลวงกำกับราชการจะคอยสอดส่องดูแลสุขทุกข์ของราษฎร ให้มีความสงบเรียบร้อยและทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า ตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นให้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดระหว่างไทยกับฝรั่งเศสได้บ้าง     แต่ปรากฏว่าบรรดาข้าหลวงกำกับข้าราชการประจำหัวเมืองต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นที่พอใจของรัฐบาล โดยเฉพาะคราวเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส เป็นผลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และที่ประชุมเสนาบดี จำต้องหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในที่สุดที่ประชุมเสนาบดีมีความเห็นพ้องต้องกันว่า ควรแต่งตั้งเจ้านายเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เสด็จไปปกครองดูแลหัวเมืองต่าง ๆ ในบริเวณเหล่านี้อย่างใกล้ชิด โดยให้ทรงดำรงตำแหน่ง “ข้าหลวงต่างพระองค์” พร้อมกับจัดแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุดังกล่าว ประกอบกับความจำเป็นอีกหลายประการ ฉะนั้นใน พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงออกไปทรงจัดราชการในหัวเมืองลาวภาคตะวันออก  โดยโปรดเกล้าฯ   ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวง-พิชิตปรีชากร เป็นข้าหลวงใหญ่ พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนออกไปตั้งรักษาราชการอยู่ ณ เมืองนครจำปาศักดิ์ เรียกว่า   “ข้าหลวงหัวเมืองลาวกาว”   ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวง-ประจักษ์ศิลปาคม เป็นข้าหลวงใหญ่ พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนออกไปตั้งรักษาราช-การอยู่ที่เมืองหนองคาย เรียกว่า “ข้าหลวงเมืองลาวพวน” และให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพ-สิทธิประสงค์  เป็นข้าหลวงใหญ่ไปตั้งรักษาราชการอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง  โดยเรียกว่า  “ข้าหลวง- หัวเมืองลาวพุงขาว”
“หัวเมืองลาวกาว” ที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงเป็นข้าหลวงใหญ่ หรือที่เรียกว่า “ข้าหลวงต่างพระองค์” มีเมืองต่าง ๆ ที่ขึ้นกองสังกัด ๒๑ เมือง คือ นครจำปาศักดิ์ เชียงแตง แสนปาง สีทันดอน ลาละวัน อัตปือ คำทองใหญ่ สุรินทร์ สังขะ ขุขันธ์ เดชอุดม ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ยโสธร เขมราฐ กมลาไสย กาฬสินธุ์ ภูแล่นช้าง สุวรรณภูมิ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม
การรวมหัวเมืองต่าง ๆ เข้าเป็นหัวเมืองลาวกาวดังกล่าว จะเห็นว่ามีส่วนที่แปลกและแตกต่างไปจากการจัดตั้งกองข้าหลวง  ใน  พ.ศ. ๒๔๓๓  อยู่บ้าง  เพราะเป็นการรวมเอาเมืองต่าง  ๆ  ในหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกและหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือเข้าด้วยกัน ส่วนเมืองอุบลราชธานี ที่เคยเป็นศูนย์กลางปกครอง การเก็บส่วยสาอากรมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และเป็นที่ตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือใน พ.ศ. ๒๔๓๓ ก็ดูเหมือนจะถูกลดบทบาทและความสำคัญบ้าง เพราะไม่ได้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการข้าหลวงเหมือนเช่นคราวก่อน หากเป็นเพียงเมืองหนึ่งที่ขึ้นกับหัวเมืองลาวกาว ที่ตั้งกองบัญชาการอยู่ที่เมืองนครจำปาศักดิ์เท่านั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงพิชิตปรีชากร เสด็จมายังหัวเมืองลาวกาวแล้ว แทนที่จะเสด็จประทับที่เมืองนครจำปาศักดิ์ตามที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง กลับตัดสินพระทัยตั้งกองบัญชาการที่เมืองอุบลราชธานี และทรงประทับที่เมืองอุบลราชธานีนั่นเอง ดังนั้นเมืองอุบลราชธานี จึงเป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลมาโดยตลอด
ในช่วงระยะเวลาปีเศษ (๔ ก.พ. ๒๔๓๔-๑๑ พ.ย. ๒๔๓๖ รวมเวลา ๑ ปี ๙ เดือน ๗ วัน) ที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงพิชิตปรีชากร เสด็จประทับที่เมืองอุบลราชธานี และทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์สำเร็จราชการหัวเมืองลาวกาวนั้น ได้ทรงปรับปรุงบ้านเมืองในหลาย ๆ ด้านแต่ก็ไม่บรรลุผลเต็มที่นัก เพราะเป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงปีเศษ ประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่ชาติบ้านเมืองอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติสุขเท่าใดนัก โดยเฉพาะการกระทบกระทั่งกับฝรั่งเศส เกี่ยวกับดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงที่ถึงจุดระเบิดใน พ.ศ. ๒๔๓๖ ซึ่งเรียกกันในปัจจุบันว่า “วิกฤตการณ์สยาม ร.ศ. ๑๑๒” หลังจากนั้นแล้ว พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงพิชิตปรีชากร ได้เสด็จกลับกรุงเทพมหานคร  เพื่อทรงรับตำแหน่งใหม่ต่อไป
พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เมื่อครั้งเป็นกรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ ได้เสด็จมาประทับที่เมืองอุบลราชธานี     เพื่อทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการ  หัวเมืองลาวกาวสืบต่อจากกรมหลวงพิชิตปรีชากร ประทับอยู่นานเกือบ ๑๗ ปี ระยะที่ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการหัวเมืองลาวกาวนั้น ได้ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองโดยเฉพาะในบริเวณเมืองอุบลราชธานี ให้เจริญก้าวหน้าในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในด้านการปกครอง การศึกษา การทหาร การคมนาคม ฯลฯ ประกอบกับในช่วงเวลาดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงดำเนินการปรับปรุงบ้านเมืองเป็นการใหญ่จนเรียกได้ว่า เป็นการปฏิวัติ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว
ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับปรุงการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานีนั้น เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์เสด็จประทับที่เมืองอุบลราชธานีแล้วไม่นาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็โปรดเกล้าฯ ให้รวมหัวเมืองชั้นในบางส่วนเข้าเป็นมณฑลเทศาภิบาล แต่การดำเนินการดังกล่าวในระยะแรก ก็ไม่มีผลกระทบถึงเมืองอุบลราชธานีมากนักจนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๔๐ เพื่อที่จะให้การปกครองในส่วนภูมิภาคเป็นไปในลักษณะเดียวกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติบ้านเมือง และเพื่อประโยชน์สุขแก่ไพร่บ้านพลเมืองอย่างเต็มที่ พระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระราชโองการ ให้ประกาศใช้ “พระราชบัญญัติ ลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖” ซึ่งนับเป็นพระราชบัญญัติที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเกี่ยวกับการจัดการปกครอง และการบริหารราชการในส่วนภูมิภาค นับเป็นการสร้างลักษณะความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของรูปแบบการปกครอง ทั้งพระราชอาณาจักร เพราะถึงแม้ว่าใน พ.ศ. ๒๔๓๕ จะได้มีการแบ่งแยกการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น   ๑๒   กระทรวง    และให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบในการจัดการปกครองส่วนภูมิภาคทั้งหมด หรือใน พ.ศ. ๒๔๓๗ จะได้กำหนดให้รวมหัวเมืองชั้นในบางส่วนเป็นมณฑลเทศาภิบาลก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติก็หาได้มีผลกระทบต่อหัวเมืองในส่วนภูมิภาคทุกเมือง หรือแม้แต่เมืองอุบลราชธานี
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #95 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2553 08:41:31 »

อุบลราชธานี ๓
อย่างเต็มที่ไม่ แต่การประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วพระราชอาณาจักร เพราะในพระราชบัญญัติได้กำหนดให้ชุมชนที่รวมกันอยู่เกิน ๑๐ หลังคาเรือน หรือมีราษฎรไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ คน รวมกันเข้าเป็นหมู่บ้าน และให้เลือกบุคคลที่เหมาะสมขึ้นเป็นผู้ใหญ่บ้านปกครองดูแลลูกบ้านของตน หลาย ๆ หมู่บ้านหรือราว ๑๐ หมู่บ้านขึ้นไป รวมกันเป็นตำบล มีกำนันเป็นผู้ปกครองดูแลรับผิดชอบ หลายตำบลหรือท้องที่ที่มีพลเมืองมากเกิน ๑๐,๐๐๐ คน ขึ้นไป รวมกันเป็นอำเภอ มีนายอำเภอเป็นผู้ปกครองดูแลรับผิดชอบ หลาย ๆ อำเภอรวมกันเข้าเป็นเมืองมีผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้ปกครองดูแลรับผิดชอบ หลายเมืองรวมกันเป็นมณฑลมีข้าหลวงเทศาภิบาล (ในมณฑลอีสานและอุดรเป็นตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์) เป็นผู้บังคับบัญชาดูแลรับผิดชอบ
จากบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ เป็นผลให้ตำแหน่งผู้ปกครองเมืองต่าง ๆ ทั้งในเมืองอุบลราชธานีและเมืองใกล้เคียงที่มีอยู่เดิมต้องเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องและเป็นไปตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่  ร.ศ.  ๑๑๖    ตำแหน่งอาญาสี่อันเป็นคณะผู้-ปกครองสูงสุดในแต่ละเมืองตลอดจนตำแหน่งผู้ปกครองในระดับท้องถิ่น เช่น ตำแหน่งท้าวฝ่าย ตาแสง จ่าบ้านหรือนายบ้าน ที่มีอยู่เดิมก็จำเป็นต้องยกเลิกไปหมด
การปรับปรุงตำแหน่งผู้ปกครองที่สำคัญ ๆ ในบริเวณเมืองอุบลราชธานีเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ ดูเหมือนว่าไม่ค่อยจะมีปัญหาและอุปสรรคมากนัก เพราะตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์และราชบุตรที่มีอยู่เดิมนั้น สามารถปรับเข้ากับตำแหน่งใหม่อันได้แก่ ผู้ว่าราชการเมือง ปลัดเมือง ยกกระบัตรเมือง และผู้ช่วยผู้ว่าราชการเมืองได้พอดี แต่ถ้าหากพิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว ก็จะเห็นได้ว่า การดำเนินการดังกล่าวประสบปัญหาและอุปสรรคมากพอสมควร เพราะในบริเวณเมืองอุบลราชธานี มีเมืองเล็กที่ขึ้นกับเมืองใหญ่หลายเมือง เป็นต้นว่า เมืองเสนางคนิคม เมืองพิบูลมังสาหาร เมืองตระการพืชผล เมืองมหาชนะไชย เมืองชาณุมารมณฑล เมืองพนานิคม เมืองเกษมสีมา ขึ้นกับเมืองอุบลราชธานี เมืองโขงเจียม เมืองคำ-เขื่อนแก้ว เมืองอำนาจเจริญขึ้นกับเมืองเขมราฐ ส่วนเมืองบุณฑริก เมืองวารินชำราบ เมืองโดมประดิษฐ์ขึ้นกับเมืองนครจำปาศักดิ์ ฯลฯ
การปรับปรุงตำแหน่งทางการปกครองในเมืองใหญ่ ๆ ที่เคยขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เช่น เมืองอุบลราชธานี เมืองเขมราฐ เมืองยโสธร และเมืองเดชอุดมนั้น ไม่ค่อยประสบปัญหานักเพราะตำแหน่งผู้ปกครองเมืองทั้ง ๔ คือ คณะอาญาสี่นั้น สามารถปรับเข้ากับตำแหน่งที่กำหนดขึ้นใหม่ได้ แต่ปัญหาการปรับปรุงตำแหน่งให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ จะเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ ที่เคยขึ้นกับเมืองใหญ่ดังกล่าวเพราะเมืองเล็ก ๆ เหล่านั้นก็มีคณะอาญาสี่ อันได้แก่ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร ทำหน้าที่ปกครองเช่นกัน เมื่อลดฐานะเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ ลงเป็นอำเภอและลดฐานะเจ้าเมืองลงเป็นเพียงนายอำเภอ จึงก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในเชิงปฏิบัติอยู่มาก
ในระหว่างที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงดำเนินการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานี และหัวเมืองลาวกาวอยู่โดยทั่วไปนี้เอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกมณฑลใหม่ จากมณฑลลาวกาวเป็นมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือใน พ.ศ. ๒๔๔๒ และเปลี่ยนชื่ออีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. ๒๔๔๓ เป็นมณฑลอีสาน
ใน พ.ศ. ๒๔๔๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่าเมืองที่ได้จัดแบ่งไว้ในท้องที่มณฑลต่าง ๆ มีมากเกินความจำเป็น และไม่สะดวกต่อการจัดการปกครอง จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองในท้องที่มณฑลต่าง ๆ เข้าเป็นบริเวณตามความจำเป็นและเหมาะสม ดังนั้นมณฑลอีสานจึงแบ่งออกเป็น  ๕  บริเวณคือ  บริเวณอุบลราชธานี  บริเวณขุขันธ์  บริเวณสุรินทร์  บริเวณ-นครจำปาศักดิ์ และบริเวณร้อยเอ็ด
การดำเนินการปรับปรุงการปกครอง ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายนักเพราะการรวมเมืองสำคัญ ๆ ที่เคยขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ให้เข้าเป็นบริเวณเดียวกัน แม้จะไม่ประสบปัญหามากนัก แต่การยุบเมืองเล็ก ๆ ลงเป็นอำเภอ แล้วลดฐานะเจ้าเมืองให้เป็นนายอำเภอคงไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้โดยง่าย อย่างไรก็ดี ปรากฏว่าใน พ.ศ. ๒๔๔๕ การดำเนินการรวมเมืองเข้าเป็นบริเวณและการยุบเมืองเล็ก ๆ ลงเป็นอำเภอมีนายอำเภอเป็นผู้ปกครองก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และบริเวณอุบลราชธานี ก็มีอยู่ ๓ เมือง ๑๙ อำเภอ คือ เมืองอุบลราชธานี ๑๑ อำเภอ เมืองเขมราฐ ๖ อำเภอ และเมืองยโสธร ๒ อำเภอ
จากทำเนียบหัวเมือง ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ได้แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับรายชื่อเมือง อำเภอ ตลอดจนชื่อนายอำเภอ ดังนี้

มณฑลอีสานตั้งกองบัญชาการที่เมืองอุบลราชธานี
   ข้าหลวงต่างพระองค์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนสรรพสิทธิประสงค์
   ปลัดมณฑล
-
   ยกกระบัตรมณฑล
-
   ข้าหลวงมหาดไทยมณฑล
หม่อมอมรวงศ์วิจิตร (ม.ร.ว. ปฐม  คเนจร)


เมืองอุบลราชธานีบริเวณอุบลราชธานี
   ผู้ว่าราชการเมือง
-
   ปลัดเมือง
พระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ) แทน
   ยกกระบัตรเมือง
พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ) แทน
   ผู้ช่วยราชการสรรพากร
-
   ข้าหลวงคลัง
ขุนบริบาลนิคมเขตร (ลำใย)
   ผู้บังคับการตำรวจภูธร
-
   ผู้พิพากษา
ขุนราญอริพล (สอน)
   นายอำเภอบุพุปลนิคม
พระวัณโกเมศ (เจียง) แทน
   นายอำเภอทักษิณูปลนิคม
พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู) แทน
   นายอำเภอปจิมูปลนิคม
พระนิโลศบลพยุรักษ์ (ทุย) แทน
   นายอำเภออุตรูปลนิคม
ท้าวอักษรสุวรรณ (หนู) แทน
   นายอำเภอพิบูลมังษาหาร
ราชบุตร (ผู) แทน
   นายอำเภอตระการพืชผล
ท้าวสุริยะ (มั่น) แทน
   นายอำเภอมหาชนะไชย
ท้าวสุริยวงษ์ (บุญเรือง) แทน
   นายอำเภอเกษมสีมา
อุปฮาด (ค้ำ) แทน
   นายอำเภอพนานิคม
ท้าวกรมช้าง (ทองจัน) แทน
   นายอำเภอเสนางคนิคม
ขุนสากลยุทธกิจ (อ่ำ)
   นายอำเภอชานุมารมณฑล
พระประจญจตุรงค์ (คำเคน)


เมืองเขมราฐบริเวณอุบลราชธานี
   ผู้ว่าราชการเมือง
พระเขมรัฐเดชชนารักษ์ (คำบุ)
   ปลัดเมือง
พระเขมรัฐศักดิชนาบาล (หล้า)
   ยกกระบัตรเมือง
พระเขมรัฐกิจบริหาร (ห้อ)
   นายอำเภออุไทยเขมราฐ
ท้าวสิทธิกุมาร แทน
   นายอำเภอประจิมเขมราฐ
ท้าวมหามนตรี แทน
   นายอำเภออำนาจเจริญ
หลวงธรรมโลภาศพัฒนเดช (ทอง) แทน
   นายอำเภอคำเขื่อนแก้ว
ท้าวจานจำปา (แทน)
   นายอำเภอโขงเจียม
ท้าวสน แทน
   นายอำเภอวารินชำราบ
ราชวงศ์ (บุญ)


เมืองยโสธรบริเวณอุบลราชธานี
   ผู้ว่าราชการเมือง
อุปฮาด (แก)
   ปลัดเมือง
หลวงศรีวรราช (แข้)
   ยกกระบัตรเมือง
หลวงยศไกรเกรียงเดช (ทองดี)
   นายอำเภออุไทยยโสธร
หลวงยศเยศรรามฤทธ (ตา)
   นายอำเภอประจิมยโสธร
หลวงยศเขตรวิมลคุณ (ฉิม)
   ส่วนเมืองเดชอุดมในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ มีฐานะเป็นเมืองอยู่ในบริเวณขุขันธ์ มีผู้ว่าราชการเมืองและนายอำเภอ ดังนี้

เมืองเดชอุดมบริเวณขุขันธ์
   ผู้ว่าราชการเมือง
หลวงภักดีภูเบศร์ (ภู)
   ปลัดเมือง
หลวงวิเศษสงคราม (ทองปัญญา)
   นายอำเภอกลาง
ท้าวสิง (แทน)
   นายอำเภอตะวันออก
สัสดี (จานซิน)
   นายอำเภอตะวันตก
ท้าวไชยกุมาร (แทน)
   นอกจากนี้แล้ว ในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ เมืองบัวและเมืองโดมประดิษฐ์ก็มีฐานะเป็นอำเภอที่ขึ้นกับเมืองนครจำปาศักดิ์ และมีที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งว่า เมืองใหญ่ที่เคยขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เช่น อุบลราชธานี เขมราฐ ยโสธรและเดชอุดมก็จะมีการแบ่งเขตการปกครองภายในเป็นหลายอำเภอด้วย ทั้งนี้คงเพราะเป็นเมืองใหญ่มีอาณาเขตกว้างขวางและมีประชากรหนาแน่นนั่นเอง
แม้ว่าจะทรงดำเนินการปรับปรุงการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานีใน พ.ศ. ๒๔๔๕ แล้ว พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ก็ยังทรงมีพระประสงค์ที่จะปรับปรุงการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานีให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นอยู่ตลอดเวลา และหลังจากที่ได้ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงการปกครองในมณฑลอีสานให้เป็นลักษณะเทศาภิบาลอย่างแท้จริงได้ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ แล้ว พระองค์ก็ได้ดำเนินการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในบริเวณเมืองอุบลราชธานีให้เป็นที่เรียบร้อยและเหมาะสมอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ (คงราว ตุลาคม-มีนาคม อันเป็นครึ่งหลังของปีในช่วงเวลานั้น) โดยมีการยุบและรวมบางอำเภอให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ดังนี้
๑) รวมอำเภออุตรูปลนิคมและอำเภอเกษมสีมาเข้าด้วยกันเรียกชื่อใหม่ว่า อำเภออุดรอุบล
๒) ยุบอำเภอตระการพืชผลไปรวมกับอำเภอพนานิคมเรียกชื่อว่า อำเภอพนานิคม
๓) รวมอำเภออุไทยยโสธรกับอำเภอปจิมยโสธรเข้าด้วยกันเรียกชื่อว่า อำเภอปจิมยโสธร
๔) ยุบเมืองเขมราฐลงเป็นอำเภอเขมราฐแล้วให้ขึ้นกับเมืองยโสธร  และพร้อมกันนั้นก็ให้ยุบอำเภอประจิมเขมราฐไปรวมกับอำเภออุไทยเขมราฐ เรียกชื่อว่า อำเภออุไทยเขมราฐ
๕) เปลี่ยนนามอำเภอคำเขื่อนแก้วที่ขึ้นกับเมืองเขมราฐมาเป็นอำเภออุไทยยโสธรแล้วให้ขึ้นกับเมืองยโสธร
การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในบริเวณเมืองอุบลราชธานีครั้งนี้ เป็นผลให้จำนวนอำเภอที่เคยมีอยู่ในบริเวณอุบลราชธานีในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ จำนวน ๑๙ อำเภอ (ใน ๓ เมือง คือ อุบลราชธานี เขมราฐและยโสธร) เหลือเพียง ๑๕ อำเภอ (ในสองเมืองคืออุบลราชธานีและยโสธร) ดังปรากฏรายชื่อ เมืองและอำเภอ ตลอดจนผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองและนายอำเภอต่าง ๆ ในบริเวณเมืองอุบลราชธานี (ในช่วงนี้เอกสารบางแห่งเรียกว่าจังหวัดอุบลราชธานีแล้ว) ในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๔๕๒ (ตุลาคม-มีนาคม) ดังนี้

มณฑลอิสาณ
ตั้งศาลารัฐบาลที่เมืองอุบลราชธานี
   ข้าหลวงต่างพระองค์
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์
   ข้าหลวงมหาดไทย
หลวงอภัยพิพิธ
จังหวัดอุบลราชธานี
   ปลัดมณฑลประจำจังหวัด
พระภิรมย์ราชา (พร้อม)
   ปลัดเมือง (คงเป็นปลัดจังหวัด-ผู้เขียน)
หม่อมเจ้าถูกถวิล


เมืองอุบลราชธานีจังหวัดอุบลราชธานี
   ปลัดเมือง
พระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ)
   ยกกระบัตรเมือง
พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ)
   นายอำเภอบูรพาอุบล
เพียซามาตย์ (แท่ง)
   นายอำเภอปจิมอุบล
หลวงพิพัฒน์พงษ์พิณฑุปลัดภ์ (โหง่นคำ)
   นายอำเภอทักษิณอุบล
ท้าวธรรมกิติกา (เบีย)
   นายอำเภออุดรอุบล
ท้าวอักษรสุวรรณ (หนู)
   นายอำเภอพิบูลมังษาหาร
ท้าวสิทธิกุมาร (เทศ)
   นายอำเภอเสนางคนิคม
พระเขมรัฐกิจบริหาร (บ่อ)
   นายอำเภอพนานิคม
ท้าวอุปชิด (กิ่ง)
   นายอำเภอชาณุมารมณฑล
ราชวงศ์ (บุศย์)
   นายอำเภอมหาชนะไชย
หลวงวัฒนวงษ์  โทนุบล (โทน)


เมืองยโสธรจังหวัดอุบลราชธานี
   ผู้ว่าราชการเมือง
พระสุนทรราชเดช (แข่)
   นายอำเภออุไทยยโสธร
ท้าวสุทธิสาร (ทุม)
   นายอำเภอปจิมยโสธร
ท้าวอุเทนวงษา (เขียน)
   นายอำเภออุไทยเขมราฐ
หลวงเขมรัฐการอุตส่าห์ (แสง)
   นายอำเภออำนาจเจริญ
ราชวงศ์ (ซาว)
   นายอำเภอโขงเจียม
ท้าวบุญธิสาร (คำบ่อ)
   นายอำเภอวารินชำราบ
อุปฮาด (บุญ)
กล่าวโดยสรุปแล้ว ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างช่วงระยะเวลาที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ประทับที่เมืองอุบลราชธานี ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว (หรือมณฑลอีสาน) ได้ทรงปรับปรุงกิจการบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการปกครอง การทหาร  การศาล  การศึกษา ฯลฯ  ในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองนั้นพอจะเรียกได้ว่าเป็นการปฏิรูปเลยทีเดียว เพราะการเปลี่ยนระบบการปกครองจากการที่มีคณะอาญาสี่ อันได้แก่ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตรซึ่งเป็นคณะผู้ปกครองสูงสุดของเมือง  มาเป็นระบบการปกครองแบบใหม่ ตามพระ-ราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ โดยมี มณฑล เมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ซึ่งก็ไม่แตกต่างไปจากปัจจุบันนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดฐานะเมืองเล็กที่เคยขึ้นกับเมืองใหญ่ ลงเป็นอำเภอและลดฐานะเจ้าเมืองลงเป็นเมืองนายอำเภอนั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยในเชิงปฏิบัติ แต่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ก็ทรงดำเนินการได้จนเป็นที่เรียบร้อย แม้จะมีปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้างก็นับว่าเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ด้วยเหตุที่กล่าวมาแล้วทั้งมวล จึงพอสรุปได้ว่า การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานี ในระยะ ที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรม-หลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑล ที่เมืองอุบลราชธานี เป็น “การปฏิรูปการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานี”

๔.  การจัดรูปแบบการปกครองในระหว่างที่เป็นมณฑลอุบลราชธานี
ใน พ.ศ. ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่าพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์   ได้ทรงตรากตรำทำงานในถิ่นที่ทุรกันดารมาเป็นเวลานานพอสมควรและพระชันษาก็มาก ควรที่จะได้ทรงพักผ่อนในบั้นปลายชีวิตบ้าง ประกอบกับตำแหน่งเสนาบดีว่างลง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จกลับกรุงเทพมหานครเพื่อทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวัง ในเดือน พฤษภาคม ๒๔๕๓ และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการปรับปรุงแก้ไขการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานี ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นหลายครั้ง คือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล คือ มณฑลอุบลกับมณฑลร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕ ทั้งนี้เพราะมณฑลอีสานเดิมมีพื้นที่กว้างขวางมากเกินไป และจำนวนประชากรก็มากจึงเป็นการยากลำบากในการปกครองควบคุม ดูแล ให้สงบเรียบร้อยและเจริญก้าวหน้า ดังนั้นเมื่อแยกมณฑลอีสาน ๒ มณฑล แล้ว มณฑลอุบล ประกอบด้วยจังหวัดอุบลราชธานี ขุขันธ์ และจังหวัดสุรินทร์ ส่วนมณฑลร้อยเอ็ดประกอบด้วยจังหวัดร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และจังหวัดมหาสารคาม
หลังจากที่โปรดเกล้าฯ ให้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑลแล้วเพียงไม่กี่เดือนกระทรวงมหาดไทยก็ได้ดำเนินการปรับปรุงการปกครองในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้น คือ ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้ประกาศยุบบางอำเภอที่มีจำนวนประชากรน้อยเกินไปหรือไม่ค่อยมีความเหมาะสม และประกาศลดฐานะบางอำเภอเป็นกิ่งอำเภอ
ผลจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลให้จังหวัดอุบลราชธานี มี ๑๒ อำเภอ กับ ๒ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอบูรพาอุบล อำเภอทักษิณอุบล อำเภอปจิมอุบล อำเภออุดรอุบล อำเภอพิบูลมัง-สาหาร อำเภอพนานิคม อำเภอมหาชนะไชย อำเภออุไทยยโสธร อำเภอปจิมยโสธร อำเภอเขมราฐ อำเภออำนาจเจริญ และอำเภอวารินชำราบ ส่วนอำเภอชานุมานมณฑลและอำเภอเสนางคนิคมถูกลดฐานะลงเป็นกิ่งอำเภอขึ้นกับอำเภอเขมราฐ และอำเภออำนาจเจริญตามลำดับ นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทย ก็ได้สั่งยุบอำเภอโดมประดิษฐ์เสีย ส่วนอำเภอบุณฑริกถูกลดฐานะลงเป็นกิ่งอำเภอและให้ขึ้นกับอำเภอเดชอุดม
ใน พ.ศ. ๒๔๕๖ ก็ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงชื่อเรียกอำเภอต่าง ๆ ในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยเปลี่ยนชื่ออำเภอใหม่ ๖ อำเภอ เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๖ ดังนี้
๑.  อำเภอบูรพาอุบล   เปลี่ยนชื่อเป็น   อำเภอเมือง
๒.  อำเภอทักษิณอุบล           ”      อำเภอวารินชำราบ
๓.  อำเภออุดรอุบล              ”      อำเภอเกษมสีมา
๔ ..อำเภอปจิมอุบล              ”      อำเภอตระการพืชผล
๕.  อำเภออุไทยยโสธร           ”      อำเภอคำเขื่อนแก้ว
๖.  อำเภอปจิมยโสธร           ”      อำเภอยโสธร
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ได้มีการเปลี่ยนแปลงในด้านการปกครองส่วนภูมิภาคที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกเมืองที่เป็นศูนย์กลางที่มีอำเภอมารวมขึ้นอยู่ด้วยนั้น เป็น “จังหวัด” ทั้งหมด เช่น เมืองอุบลราชธานีก็เปลี่ยนเป็นจังหวัดอุบลราชธานี เมืองสุรินทร์ก็เปลี่ยนเป็นจังหวัดสุรินทร์ ฯลฯ ในทำนองเดียวกันผู้ปกครองเมืองที่เคยเรียกว่า ผู้ว่าราชการเมืองนั้นก็ให้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนับตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๙ เป็นต้นไป
เพื่อให้เป็นการสอดคล้องกับการประกาศเรียกนามเมืองเป็นจังหวัด ดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีประกาศเปลี่ยนแปลง  และกำหนดชื่อของจังหวัดและอำเภอเสียใหม่ทั่วพระราชอาณา-จักร เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ ดังนั้นจึงปรากฏว่า บริเวณจังหวัดอุบลราชธานีมีอยู่ ๑๒ อำเภอกับ ๒ กิ่ง บางอำเภอได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่ส่วนบางอำเภอยังคงชื่อเดิม ไว้ดังนี้
๑.  อำเภอเมือง      เปลี่ยนชื่อเป็น   อำเภอเมืองอุบล
๒.  อำเภอตระการพืชผล           ”      อำเภอเขื่องใน
๓.  อำเภอเกษมสีมา           ”      อำเภอม่วงสามสิบ
๔.  อำเภอโขงเจียม              ”      อำเภอสุวรรณวารี
๕.  อำเภอพนานิคม           ”      อำเภอขุหลุ
๖.  อำเภอมหาชนะไชย           ”      อำเภอฟ้าหยาด
๗.  อำเภอคำเขื่อนแก้ว           ”      อำเภอลุมพุก
๘.  อำเภออำนาจเจริญ           ”      อำเภอบุ่ง
๙.  อำเภอเสนางคนิคม                    ”      กิ่งอำเภอหนองทับม้า
(ขึ้นกับอำเภอบุ่ง)
๑๐. อำเภอวารินชำราบ     คงเรียกว่า      อำเภอวารินชำราบ
๑๑. อำเภอพิบูลมังสาหาร           ”      อำเภอพิบูลมังสาหาร
๑๒. อำเภอยโสธร        คงเรียกว่า      อำเภอยโสธร
๑๓. อำเภอเขมราฐ              ”      อำเภอเขมราฐ
๑๔. กิ่งอำเภอชานุมาน           ”      กิ่งอำเภอชานุมาน
(ขึ้นกับเขมราฐ)
ส่วนในบริเวณจังหวัดขุขันธ์ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่ออำเภอเช่นกัน ในจำนวนนี้อำเภอเดชอุดมยังคงชื่ออำเภอเดชอุดม แต่กิ่งอำเภอบัวบุณฑริกที่เคยขึ้นกับอำเภอเดชอุดมมาก่อนนั้นก็ให้ขึ้นกับอำเภอเดชอุดมไปตามเดิม แต่เปลี่ยนนามเสียใหม่ว่า กิ่งอำเภอโพนงาม
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #96 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2553 08:41:48 »

อุบลราชธานี ๔
การจัดรูปแบบการปกครองในบริเวณมณฑลอุบลราชธานี ที่มีอยู่ ๓ จังหวัด และจังหวัดอุบลราชธานีแบ่งออกเป็น ๑๒ อำเภอกับ ๒ กิ่งนี้คงเป็นอยู่เช่นนี้ต่อไปจนถึงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๖๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้รวมมณฑลอุบลราชธานี มณฑลร้อยเอ็ด และมณฑลอุดรเข้าเป็นภาคเรียกว่า ภาคอีสาน ดังที่ปรากฏในพระราชโองการตอนหนึ่งว่า “เวลานี้ การคมนาคมเจริญขึ้น ถึงเวลาสมควรที่จะจัดทนุบำรุงมณฑลฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ คือ มณฑลอุดร มณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบลให้ยิ่งขึ้นเพราะฉะนั้น จึงทรง โปรดเกล้าฯ ให้ยกมณฑลทั้ง ๓ ขึ้นเป็นภาค  มีอุปราชกำกับราชการดังเช่นภาคพายัพ พระราชทานนามว่า “ภาคอีสาน” พร้อมกันนั้นก็โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระยาราชนิกุลสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลอุดรดำรงตำแหน่งอุปราชภาคอีสานอีกตำแหน่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เอง กองบัญชาการภาคอีสานจึงตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ส่วนจังหวัดอุบลราชธานียังคงเป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลอยู่เช่นเดิมจนสิ้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ-เกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยสาเหตุที่ประเทศตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างร้ายแรง  จึงโปรดเกล้าฯ  ให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองในส่วนภูมิภาคหลายประการ  สำหรับจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครอง  การเก็บส่วยสา-อากร ฯลฯ มานับตั้งแต่แรกตั้งเมือง พ.ศ. ๒๓๓๕ และเป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลมาโดยตลอด ก็ถูก ลดฐานะลงเป็นเพียงจังหวัดหนึ่งของมณฑลราชสีมา ตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นต้นมา และก็คงอยู่ในสภาพเช่นนี้มาตลอดมา จนกระทั่งมีการยุบเลิกมณฑลทั้งหมดใน พ.ศ. ๒๔๗๖
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ได้มีทั้งจัดตั้งอำเภอ การยุบหรือลดฐานะอำเภอลงเป็นกิ่งอำเภอตามความเหมาะสมและที่สำคัญที่สุด คือ  ใน พ.ศ. ๒๕๑๕  รัฐบาลได้มีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๗๐ ลงวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ ยกฐานะอำเภอยโสธรขึ้นเป็นจังหวัดยโสธร โดยแยกอำเภอต่าง ๆ ที่เคยขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานี ๕ อำเภอ คือ อำเภอยโสธร คำเขื่อนแก้ว มหาชนะชัย ป่าติ้วและอำเภอเลิงนกทา รวมเป็นจังหวัดยโสธรอันเป็นผลให้จำนวนพื้นที่ และ จำนวนพลเมืองของจังหวัดอุบลราชธานีต้องลดไปบ้าง หลังจากนั้นแล้วก็ได้มีการจัดตั้งอำเภอใหม่ในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีอีกหลายอำเภอจนถึง พ.ศ. ๒๕๒๗ จังหวัดอุบลราชธานีจึงแบ่งการ     ปกครองออกเป็น ๑๙ อำเภอ ๒ กิ่งอำเภอ
สรุปความเป็นมาเกี่ยวกับการจัดการปกครองของจังหวัดอุบลราชธานี ถึงในสมัยรัตน-โกสินทร์ตอนต้น จังหวัดอุบลราชธานีมีฐานะเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งที่ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ และมีเมืองในปกครองหลายเมืองเป็นเมืองที่มีบทบาทและมีความสำคัญต่อเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้เป็นอย่างมาก เป็นศูนย์กลางการปกครองและการเก็บส่วยสาอากรและอื่น ๆ    การจัดการปกครองภายในก็จะมีคณะผู้ปกครองสูงสุดของเมืองเรียกว่า คณะอาญาสี่ หรืออาชญาสี่ ซึ่งประกอบด้วยตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร ทำหน้าที่ปกครองตามแบบอย่างที่สืบทอดมาจากกลุ่มชนที่เคยอาศัยอยู่ในประเทศลาวที่อพยพมาอยู่ในภูมิภาคนี้
ในช่วงแห่งการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า-อยู่หัวนั้น จังหวัดอุบลราชธานีได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองภายใน จากระบบที่คณะอาญาสี่เป็นคณะผู้ปกครองสูงสุดเป็นระบบที่มีเจ้าเมือง นายอำเภอ กำนันผู้ใหญ่บ้าน และเป็นระบบที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีเพียงตำแหน่งเจ้าเมืองเท่านั้นที่ได้เปลี่ยนแปลง เป็นผู้ว่า-ราชการจังหวัด สำหรับเมืองอุบลราชธานีก็เป็นศูนย์กลางการปกครองเช่นเดียวกับสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  เพราะได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลมาโดยตลอด  นับตั้งแต่มีการปรับปรุงการปกครองครั้งใหญ่เป็นต้นมา จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจวบจนกระทั่งได้มีการยุบเลิกมณฑลอุบลราชธานี ใน พ.ศ. ๒๔๖๘
นับได้ว่าจังหวัดอุบลราชธานี เป็นจังหวัดที่ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในระบบและสิ่งต่าง ๆ จนกลายเป็นจังหวัดที่มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมจังหวัดต่าง ๆ ของเมืองไทยในปัจจุบันหลายจังหวัด





ที่มา  : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดอุบลราชธานี,
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #97 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2553 08:42:19 »

ขอนแก่น
อาณาบริเวณซึ่งมีพื้นที่ ๑๓,๔๐๓.๙๖๕ ตารางกิโลเมตร แบ่งออกเป็น ๑๖ อำเภอ ๔ กิ่งอำเภอ ๑๖๐ ตำบล ๑,๗๔๙ หมู่บ้าน ประชากร ๑,๕๒๐,๖๑๐ คน ในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ จังหวัดขอนแก่น มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจไม่แพ้ท้องถิ่นใด ดังหัวข้อต่อไปนี้

สมัยก่อนประวัติศาสตร์
   หลักฐานการสำรวจบริเวณโนนนกทา บ้านนาดี ตำบลบ้านโคก อำเภอภูเวียง
แม้ว่าตัวที่ตั้งจังหวัดพึ่งเป็นเมืองขึ้นมาในเวลาใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ ไม่เก่าแก่เท่าสุโขทัย นครวัด โรม เอเธนส์ แต่เรื่องที่น่าสนใจยิ่งทางด้านประวัติศาสตร์ และมานุษย์วิทยานั้นปรากฏว่าอาณาบริเวณจังหวัดขอนแก่นเคยเป็นดินแดนที่มีผู้คนอาศัยตั้งบ้านเรือนเจริญรุ่งเรืองมีอารยธรรมสูงส่งมาหลายพันปีแล้ว ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์คือยุคหินใหม่ ยุคโลหะตอนต้นได้แก่ ยุคสำริด จากรายงานของ วิลเฮล์ม จี โซลโฮม์ เรื่อง Early-Bronze in Northeastern Thailand (นิตยสารศิลปากร ปีที่ ๑๑ เล่มที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๑๐) มีข้อความสำคัญว่าในการสำรวจหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณวัตถุ ซึ่งน้ำอาจท่วมถึงในอาณาเขตเขื่อนพองหนีบได้รับความสำเร็จที่น่าภาคภูมิยิ่งคือ บริเวณโนนนกทา บ้านนาดี ตำบลบ้านโคก อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ได้ทำการขุดค้นป่าช้าโบราณดึกดำบรรพ์ พบชั้นดิน ๘ ชั้น เรียงกันอยู่ใต้ดินอีก ๑๒ ชั้น ในชั้นดิน ๘ ชั้น มีหลักฐานที่แน่นอนบ่งถึงการทำเครื่องสำริด ส่วนในชั้นดินอีก ๑๒ ชั้น พบทั้งเครื่องสำริดและเหล็ก เครื่องสำริดพบเป็นครั้งแรกในชั้นดินที่ ๒๐ การกำหนดอายุโดยพิสูจน์คาร์บอน ๑๔ จากชั้นดินที่ ๑๙ ปรากฏว่ามีอายุ ๔,๒๗๕  ±  ๒๐๐ ปี มาแล้ว (คืออาจคลาดเคลื่อนได้ไม่มากนักไม่น้อยเกิน ๒๐๐ ปี) หมายความว่าได้มีการทำเครื่องสำริดที่นั่นมากกว่า ๑,๐๐๐ ปี ก่อนที่จะเริ่มทำเครื่องสำริดที่ประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ชาง และก่อนที่เจ้าของวัฒนธรรมฮาร์ปปาในลุ่มแม่น้ำสินธุ ประเทศอินเดีย จะเริ่มทำเครื่องสำริดเกือบหรือกว่า ๑๐๐ ปี
เครื่องสำริดต่าง ๆ ที่ขุดค้นได้ในบริเวณหลุมฝังศพดึกดำบรรพ์แห่งนี้ได้นำออกแสดงไว้แล้วที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ มีทั้งเครื่องมือเครื่องใช้เป็นขวาน รวมตลอดทั้งแบบพิมพ์ที่ใช้หล่อ มีกำไลแขนสำริดคล้องอยู่กระดูกท่อนแขนซ้อนกันหลายวง มีปลายหอก มีภาชนะลักษณะคล้ายตะเกียงหรือกาน้ำ นอกจากสำริดยังมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินขัดหลายชิ้น ในการขุดค้นสองครั้ง ครั้งหลังสุด มีผู้เชี่ยวชาญและนักศึกษาที่จะทำวิทยานิพนธ์ชั้นปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาวายกำลังทำการสำรวจอยู่ ในการสำรวจปีที่ ๒ ได้ขุดตรวจบริเวณส่วนระดับดินตอนบนมีการเผาศพ (คงเป็นระยะที่นับถือพุทธศาสนาแล้ว) ระดับต่ำลงไปเป็นการฝังศพในลักษณะยาวเหยียดตรง เครื่องประดับที่โครงกระดูกบางชิ้นเป็นหินประเภทรัตนชาติมีหม้อดินวางอยู่บนอกบนหัว บางศพก็วางอยู่ระหว่างขา หม้อดินเหล่านี้เป็นเครื่องปั้นดินเผา มีลายเชือก ทาบและลายเส้นทแยง บางใบก็มีปุ่มที่คอคล้ายเขาสัตว์ จัดว่าเป็นลวดลายเก่าแก่ที่สุด เพราะว่าส่วนมากเป็นวัฒนธรรมสมัยหินใหม่ พบขวานสำริดมีบ้องและเครื่องมือสำริดรูปคล้ายตัว (T) เครื่องประดับกายมีลูกปัดทำด้วยเปลือกหอย กำไลทำด้วยเปลือกหอย รวมทั้งได้พบแวเหล็กไน แสดงว่ามีการปั่นด้าย ทอผ้าใช้ในยุคนั้นแล้ว
หัวขวานทองแดง อายุประมาณ ๔,๖๐๐ ปี ถึง ๔,๘๐๐ ปี เป็นหัวขวานหัวเดียวที่พบในประเทศไทย และเป็นหัวขวานที่ทำจากทองแดงที่ไม่ได้ถลุง นำมาทุบให้เป็นหัวขวานมีอายุเก่าแก่ที่สุดในเอเซียอาคเนย์
ห่างจากที่ขุดค้นในป่าช้าบริเวณโนนนกทาไปประมาณไม่เกินสองกิโลเมตร มีบริเวณแห่งหนึ่งเรียกชื่อว่า "โนนข่า" มีลักษณะเป็นเนินอาณาเขตกว้างขวางสันนิษฐานว่าเป็นจุดที่ตั้งบ้านเมืองเพราะซากเศษของเครื่องปั้นดินเผาลายเชือกทาบเกลื่อนไปหมด
ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ที่ถ้ำฝ่ามือแดง บ้านหินหล่อง ตำบลเมืองเก่า อำเภอภูเวียง ที่ผนังถ้ำมีภาพฝ่ามือหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ๙ มือ เป็นมือขนาดใหญ่ ๗ มือ มือขนาดเด็ก ๒ มือ รูปมือเหล่านี้เป็นแบบพ่นสีแดงรอบมือซึ่งต่างกับบางแห่งที่ใช้สีแดงทามือแล้วทาบ หรือประทับลงไปในหิน เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่างานศิลปกรรมที่ปรากฏอยู่บนผนังถ้ำในลักษณะแบบนี้เป็นวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์
จากหลักฐานข้างต้นนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าอาณาบริเวณจังหวัดขอนแก่นเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมอันสูงส่งมาแต่ดึกดำบรรพ์ มีอายุนานกว่าจีน และอินเดีย มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนสมัยพุทธกาลหลายพันปี (เพราะเครื่องมือบางชิ้นผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ว่ามีอายุกว่า ๖,๐๐๐ ปี) ชุดสำรวจรุ่นแรกมีความเห็นว่าเป็นบริเวณที่น่าศึกษามากที่สุด แม้จะตั้งสถาบันค้นคว้ากันจริง ๆ ใช้เวลาถึง ๒๐ ปี ก็อาจจะยังไม่เสร็จ

สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา
สมัยทวาราวดี
บริเวณบ้านโนนเมือง และวัดป่าพระนอน ตำบลชุมแพ อำเภอชุมแพ เป็นที่ดอนสูงกว้างใหญ่ซึ่งแวดล้อมด้วยที่ลุ่ม หนอง บึง ลักษณะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ กว้าง และยาวมากอยู่ทางทิศเหนือ ลักษณะเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณ มีโคกเนินที่เป็นโบราณสถาน มีเศษอิฐและกระเบื้องอยู่บนผิวดินทั่วไป และรูปสี่เหลี่ยมแบน ที่ฐานมีลวดลายในลักษณะต่าง ๆ แต่ที่น่าสนใจก็คือ เป็นจำนวนมากมีรอยสลักเป็นรูปกลีบบัวกลีบเดียวหรือสองกลีบ
แท่งหินสำคัญที่สุดชาวบ้านเรียกว่าเสาหลักเมือง เป็นรูปทรงกลม มีรอยจารึกซึ่งเข้าใจว่าเป็นตัวอักษรมอญโบราณ ยังไม่มีการถอดเป็นภาษาปัจจุบัน
มีผู้เคลื่อนย้ายแท่งหินในเมืองโบราณแห่งนี้ไปไว้หลายแห่ง เช่น นำเอาไปทำเป็นหลักเมืองขอนแก่น หลักหินแท่งนี้มีขนาดกว้างด้านละ ๔๒ ซม. สูง ๑.๓๔ ม. มีรูปกลีบบัวสี่กลีบที่ฐาน มีผู้นำใบเสมาแท่งหินไปไว้ยังวัดต่าง ๆ หลายแห่ง เช่น วัดโพธิธาติ ตำบลชุมแพ เป็นแบบแผ่นหินขนาดหนา ๒๒ ซม. กว้าง ๔๘ ซม. สูง ๗๘ ซม. แกะสลักเป็นรูปกลีบบัวที่ฐานนำไปอยู่วัดศรีนวล อำเภอเมืองขอนแก่น ๒ หลัก หลักหนึ่ง เป็นแบบแท่งหินมีขนาดหนา ๕๐ ซม. กว้าง ๖๐ ซม. สูง ๑.๗๕ ม. มีจารึกอยู่ด้วย ฐานเสมาแกะเป็นรูปกลีบบัว ส่วนอีกหลักหนึ่งเป็นแบบแผ่นหินไม่มีจารึก มีขนาดหนา ๒๕ ซม. กว้าง ๗๕ ซม. สูง ๑.๗๐ ม. ส่วนหลักอื่น ๆ ได้ถูกนำไปไว้ที่อำเภอภูเวียง อำเภอน้ำพอง อำเภอบ้านไผ่
ในเขตวัดป่าพระนอน อาณาบริเวณเดียวกัน อยู่ทางตะวันตกของเมืองราวครึ่งกิโลเมตร บริเวณวัดเป็นที่ดอนสูง มีพระนอนหินสีน้ำตาลขนาดยาว ๕.๒๖ ม. องค์หนึ่ง หันพระเศียรไปทางใต้ (สังเกตดูคงจะเป็นพระยืนอุ้มบาตร ภายหลังล้มลง) ลักษณะเป็นศิลปะแบบทวาราวดี ฝีมือช่างพื้นเมือง การวางพระหัตถ์แนบพระวรกาย มีลักษณะเช่นเดียวกับพระนอนที่พบในเมืองเสมา ในเขตอำเภอสูง-เนิน นครราชสีมา นอกนั้นพบชิ้นส่วนของพระแบบลพบุรี หรือแบบขอม สร้างด้วยหินทรายสีแดงในบริเวณวัดด้วย
เมืองโบราณแห่งนี้ กรมศิลปากรกำลังทำการขุดค้น ได้พบโครงกระดูกมนุษย์โบราณฝังอยู่อย่างเป็นระเบียบ มีโบราณวัตถุหลายอย่างฝังรวมอยู่ด้วย สันนิษฐานว่าเป็นเมืองที่มีคนอยู่อาศัยมาหลายยุคหลายสมัย ทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยทวาราวดี ตลอดจนสมัยขอมด้วย กรมศิลปากรกำลังดำเนินการเพื่อจัดตั้งให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งชาติขึ้นแล้ว
บริเวณยอดเขาภูเวียง ระหว่างเขตอำเภอชุมแพ และอำเภอภูเวียง บนเทือกเขาภูเวียง ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปวงกลม โอบล้อมหมู่บ้านถึง ๓ ตำบล ไว้ภายในนั้น มีพระพุทธรูปแบบทวาราวดี และที่สำคัญคือพระนอนสลักอยู่บนหน้าผาบนยอดเขาลูกนี้ มีขนาดยาว ๓.๗๕ ม. หันพระเศียรไปทางตะวันตกและหันพระพักตร์ไปทางใต้ ช่วงตอนพระเศียรถึงหน้าอกสลักในลักษณะนูนสูง ส่วนบริเวณต่ำจากบั้นเอวลงมาสลักนูนต่ำ  ลักษณะพระพักตร์เป็นศิลปะแบบทวาราวดีในท้องถิ่น คล้าย ๆ  กันกับพระพุทธรูปแบบทวาราวดีที่พบในเขตชัยภูมิหลายองค์   ลักษณะการนอนนั้นละม้ายทางพระนอนเชิงภู  ที่ภูปอ  จังหวัดกาฬสินธุ์มาก   มีรอยจารึกบนแผ่นผา   ถัดจากพระเศียรไปเล็กน้อย  ใต้แผ่นผาที่สลักพระนอนมีถ้ำเพิงผา ๒ แห่ง อยู่เยื้องมาทางตะวันออกแห่งหนึ่งพอเป็นที่พักพิงได้ เข้าใจว่าแต่ก่อนคงมีพระภิกษุขึ้นไปจำศีล
การพบพระนอนแบบทวาราวดีที่ภูเวียงนี้ทำให้ได้เห็นคติการสร้างสลักพระนอนบนแผ่นผาในภาคอีสานอย่างชัดเจนว่าเป็นคติที่พบในบริเวณลุ่มน้ำชี ซึ่งมีการนับถือพระพุทธศาสนาติดต่อกันมาแต่เดิม โดยปราศจากการเจือปนของวัฒนธรรมขอม
เสมาหินที่เมืองชัยวาน เขตอำเภอมัญจาคีรี พบกลุ่มเสมาหินบริเวณเมืองร้างสมัยทวาราวดีที่มีชื่อว่าเมืองชัยวาน เสมาเหล่านี้ปักกระจายกันอยู่ในบริเวณเมืองเป็นจุด ๆ เอาตำแหน่งทิศทางแน่นอนไม่ได้ ลักษณะเสมาเป็นแบบแผ่นหิน บางแห่งปักเป็นคู่ ๆ ในเขตเมืองนี้ยังมีแผ่นหินขนาดใหญ่แผ่นหนึ่ง มีการสลักเป็นรูปได้มีขอบเป็นหลัก ๆ ลวดลายบนแผ่นหินเป็นแบบทวาราวดี และอีกแผ่นหนึ่งได้ถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ในศาลามีลวดลายกนก และก้านขดอยู่เหนือฐาน
เสมาหิน๑ ในภาคอีสานจัดได้ว่าเป็นวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่มีอายุตั้งแต่สมัยลพบุรีหรือสมัยขอมขึ้นไปเสมาหินเป็นโบราณวัตถุสำคัญอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าดินแดนภาคอีสานเคยมีวัฒน-ธรรมเก่าแก่เป็นของตนเองมาก่อน
ความเป็นมาของแท่งหินหรือเสาหินแต่เดิมคงเป็นเรื่องของหินตั้ง ซึ่งเป็นประเพณีและลัทธิเนื่องในการนับถือบรรพบุรุษ อันเป็นระบบความเชื่อที่มีอยู่ทั่วไปของประชาชนในภูมิภาคเอเซียอาคเนย์
ต่อมาเสมาหินกลายเป็นของเนื่องในพุทธศาสนา ในสมัยแรกชาวอีสานไม่ใคร่นิยมสร้างพระสถูปเจดีย์ขึ้นบูชา ส่วนมากจะปักลงเสมาหินรอบ ๆ เนินดิน หรือปักเสมาหินให้ทำหน้าที่เป็นหลักเขตของบริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ใบเสมาของโบสถ์ เป็นต้น

เมืองโบราณขนาดใหญ่ที่สุดรองจากนครปฐมโบราณ
จากภาพถ่ายทางอากาศพบเมืองโบราณหลายเมือง อยู่ใกล้กับลำน้ำพอง ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาหนึ่งของลำน้ำชี เมืองที่ควรกล่าวถึงคือเมืองโบราณที่วัดศรีเมืองแอม ในเขตอำเภอน้ำพอง ตัวเมืองตั้งอยู่เหนือลำน้ำพองขึ้นมา ๙ กม. ตำแหน่งในทางภูมิศาสตร์ อยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๖ํ ๔๙´ตะวันออก ลักษณะเมืองเป็นรูปเหลี่ยมมน ที่น่าสนใจอย่างมากก็คือ เมืองนี้มีขนาด ๒,๙๐๐ x ๓,๐๐๐ ม. ซึ่งเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่สุดในภาคอีสานที่ได้พบเห็นมาในประเทศไทยเท่าที่เห็นเป็นรองอยู่ก็เฉพาะเมืองนครชัยศรี (นครปฐมโบราณ) เท่านั้น ภายในหมู่บ้านตั้งอยู่คือบ้านดงเมืองแอม และบ้านโนนขี้ผึ้งทางตะวันตก บ้านดงเฮียงทางด้านตะวันออกและมีวัดศรีเมืองแอมอยู่บริเวณกลางเมือง เมืองแอมนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มตอนเหนือตัวเมืองขึ้นไปเป็นที่ดอนสูงเป็นที่ลุ่มเล็กน้อย มีลำน้ำอีกสายหนึ่งซึ่งแยกจากลำน้ำห้วยเสือเต้นในบริเวณตัวเมืองทางเหนือ ผ่านคูเมืองด้านตะวันออกไปเรียกว่าลำน้ำห้วยคำม่วง
ภายในเมืองทางด้านตะวันตกมีร่องรอยของคันดินที่วกจากคูเมืองด้านตะวันตกออกมาบรรจบกันเป็นรูปกลมรี ทำให้เมืองแอมกลายเป็นเมืองมี ๒ เมืองซ้อนกันอยู่ ลักษณะเช่นนี้เป็นธรรมดาของเมืองโบราณในอีสาน คันดินรูปกลมรีภายในตัวเมืองอาจจะเป็นเมืองเดิม ส่วนตัวเมืองใหญ่อาจจะมาขยายในตอนหลังหรือไม่ก็เป็นเมืองรุ่นเดียวกัน  แต่จัดให้มีคูน้ำและคันดินรูปกลมรีภายในเพื่อการ    ชลประทานชักน้ำเข้าใช้ในเมือง จากภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นว่าเมืองแอม อาศัยน้ำจากลำห้วยเสือเต้นที่ไหลจากที่สูงทางเหนือของตัวเมือง เข้ามาใช้ในคูเมืองและมีคันดินตัดเป็นช่อง ๆ ระหว่าง     คูเมืองกับคันดินที่แล่นขนาน แสดงให้เห็นว่าเป็นอ่างเก็บน้ำ เมืองแอมนี้ยังไม่ได้มีการสำรวจกัน แต่ลักษณะของเมืองควรมีอายุในสมัยทวาราวดีลงมา
ห่างจากเมืองแอมลงไปทางใต้เพียง ๔๐๐ เมตร มีเมืองโบราณรูปหัวเหลี่ยมยาวรีตั้งขนานไปกับลำห้วยเสือเต้นที่ไหลผ่านตัวเมืองแอมลงมา มีขนาด ๒,๓๐๐ x ๖๐๐ เมตร ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๖ํ ๔๘´ เหนือเส้นแวงที่ ๑๐๒ํ ๔๗´ ตะวันออก ตอนส่วนยอดของเมืองนี้มีหมู่บ้านคำท่าโพตั้งอยู่ ห่างจากเมืองนี้ไปทางตะวันตกราว ๘๐๐ เมตร มีวัดโนนดงมัน และหมู่บ้านโนนดงมัน จากลักษณะผังเมืองที่เป็นรูปเหลี่ยมมีระเบียบแสดงให้เห็นว่า ควรเป็นเมืองในสมัยหลังลงมาอย่างน้อยก็คงมีอายุอยู่ในราวสมัยลพบุรี ที่น่าสนใจสำหรับเมืองนี้ก็คือเมืองที่หมู่บ้านค้อท่าโพมีผังเมืองเป็นแบบเดียวกันกับเมืองกำแพงเพชร คือเป็นรูปสี่เหลี่ยมรีมีโงนไปตามลำน้ำเช่นกัน ความคล้ายคลึงกันของลักษณะผังเมืองทั้งสองควรได้มีการศึกษาเปรียบเทียบให้ทราบถึงความสัมพันธ์ ระหว่างเมืองในภาคกลางกับเมืองในอีสานสมัยโบราณเป็นอย่างยิ่ง
ต่ำจากเมืองแอมลงไปตามลำน้ำพอง ซึ่งหักวกลงใต้ที่บ้านโคกสูง ทางด้านตะวันออกของลำน้ำใกล้กับบ้านท่าเกษมและบ้านจำปา ตรวจพบเมืองโบราณรูปกลมจากภาพถ่ายทางอากาศเมืองหนึ่ง มีขนาด ๗๐๐ x ๘๐๐ เมตร ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๖ํ ๓๗´ ๓๐´´ เหนือและเส้นแวงที่ ๑๐๒ํ ๕๓´ ตะวันออก ลักษณะเป็นเมืองสองชั้น เช่นเมืองโบราณส่วนมากในอีสาน คือมีวงกลมอยู่ภายในวงกลมชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง มีคูน้ำกว้างมาก ตัวเมืองตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มต่ำ อันเป็นบริเวณที่ลำน้ำพองคดเคี้ยวเปลี่ยนทางเดิน มีลำน้ำด้านที่เรียกว่า Ox bow Lake มากมาย คูเมืองด้านตะวันออกกว้าง และอยู่ติดกับที่ลุ่มชาวบ้านเรียกว่า หนองงู และห่างจากตัวเมืองลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว ๑,๕๐๐ เมตร มีบึงน้ำกว้างใหญ่ ชื่อหนองแม่ชัด หนองนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของลำน้ำพองอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งที่น่าสนใจก็คือ จากตัวเมืองหนองงู มีร่องรอยคันดินออกไปติดต่อกับบริเวณที่เป็นชุมชนทั้งโบราณและปัจจุบัน เช่นมีคันดินออกจากตัวเมืองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือไปยังหมู่บ้านทรายมูล และมีคันดินอีกสายหนึ่งแยกออกจากคันดินดังกล่าว วกลงไปยังหมู่บ้านหนองบัวน้อยและหนองแม่ชัด ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากตัวเมืองไปในรัศมี ๓ กม. มีร่องรอยของชุมชนโบราณและสระน้ำตลอดจนคันดินหลายแห่ง เมืองโบราณที่หนองงูดังกล่าวนี้ ยังไม่ได้มีการสำรวจหาโบราณวัตถุเพื่อกำหนดอายุ แต่จากรูปลักษณะก็คงจะเป็นเมืองแต่สมัยทวาราวดีลงมา
พระธาตุบ้านขาม๒ อยู่บ้านขาม ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง ประวัติการสร้างเจดีย์องค์นี้มีว่า เดิมมีตอมะขามใหญ่อยู่ตอหนึ่งซึ่งได้ตายไปนานแล้ว กลับงอกงามขึ้นอีก คนเจ็บไข้ได้ป่วยเมื่อกินใบซึ่งงอกขึ้นใหม่นี้จะหายจากโรคร้ายทั้งปวง จึงมีประชาชนจากทุกสารทิศมาตั้งบ้านเรือนเป็นชุมชนหนาแน่น หากผู้ใดไปทำมิดีมิร้ายเชิงดูถูกไม่เคารพสักการะตอมะขาม จะมีอันเป็นไปโดยปัจจุบันทันด่วน ชาวเมืองจึงพร้อมใจกันก่อพระธาตุหรือเจดีย์ครอบตอมะขามนี้ไว้ โดยสลักบรรจุคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ๙ บทเข้าไว้บนตอมะขามนั้นเรียกว่า พระเจ้า ๙ พระองค์ เหตุนี้จึงเรียกชื่อว่า พระธาตุบ้านขามมาแต่โบราณ ได้มีผู้บูรณะพระธาตุองค์นี้หลายครั้ง ทำให้รูปทรงเดิมเปลี่ยนไป ห่างจากเจดีย์นี้ไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๑๕ เส้น มีซากโบราณสถานซึ่งเข้าใจว่าเป็นวังหรือตำหนัก ประชาชนมาชุมนุมนมัสการพระธาตุองค์นี้ในวันเพ็ญเดือน ๖ ทุกปี
ภายในโบถส์ใกล้พระธาตุองค์นี้มีพระประธานก่อด้วยอิฐโบกปูนขาวเป็นศิลปะแบบล้าน-ช้างโบราณมีพุทธลักษณะงดงาม สันนิษฐานว่าคงจะสร้างขึ้นภายหลังในยุคล้านช้างเวียงจันทร์
ที่บ้านกระนวนซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านขามนัก มีพระพุทธรูปโบราณศิลปะแบบล้านช้างเป็นพระประธานในโบสถ์เก่าแก่ ประชาชนในอาณาบริเวณใกล้เคียงให้ความเคารพบูชามาก


สมัยลพบุรีหรือสมัยขอม
ซากโบราณสถานและโบราณวัตถุซึ่งมีแท่งหินหรือเสาหินตลอดจนเสมาหิน และซากเมืองโบราณที่มีรูปร่างไม่สม่ำเสมอมีรูปกลม หรือสี่เหลี่ยมกลมมีคูน้ำล้อมรอบหลายชั้น นักโบราณคดีเชื่อว่ามีอายุก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ซึ่งอยู่ในยุคทวาราวดี
ในอาณาบริเวณจังหวัดขอนแก่นยังมีซากโบราณวัตถุ และโบราณสถานซึ่งมีลักษณะแตกต่างออกไป เช่น ซากเมืองโบราณที่มีรูปร่างสม่ำเสมอ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าบ้าง รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบ้าง มีคูน้ำชั้นเดียว มีศาสนสถานและสระน้ำศักดิ์สิทธิ์กรุด้วยศิลาแลงเป็นชั้น ๆ คติการสร้างศาสนสถานมีความผูกพันกับคติเทวราชาและการปกครองที่มีระเบียบแบบแผน คือถือว่ากษัตริย์หรือเจ้านายเป็นส่วนหนึ่ง หรือภาคหนึ่งของเทพเจ้า จึงมีการสร้างเทวาลัยถวายเป็นที่สถิต ดังนั้นเทวาลัยจึงมีลักษณะที่เป็นทั้งตัวแทนของเทพเจ้า และกษัตริย์หรือเจ้านายที่ปกครองชุมชนเขตนั้น
โดยเฉพาะปราสาทศิลาแลง ซึ่งมีผังประกอบด้วยองค์ปราสาทหรือปรางค์เพียงองค์เดียวอยู่ตรงกลางมีวิหารเล็ก ๆ ตั้งอยู่ข้าง ๆ ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ มีกำแพงล้อมรอบที่กำแพงมีซุ้มประตูเข้าทางด้านตะวันออก ร่องรอยของศาสนสถานและโบราณสถานแบบดังกล่าวนี้เป็นศิลปกรในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ มีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ขอมมีอำนาจปกครองถึงดินแดนจังหวัดขอนแก่นดังปรากฏโบราณสถาน และโบราณวัตถุต่อไปนี้
บริเวณเมืองแอม๓ หรือเมืองเพ็งโบราณดังกล่าวแล้วข้างต้นนั้น สันนิษฐานว่าพวกขอมมาสร้างทับเมืองเก่าเพราะปรากฏว่ามีคันดิน (คล้ายกำแพงดินที่ละลายลงมา) มีความสูงพอสมควรและยาวเป็นเส้นตรงเป็นระเบียบแบบแผน แต่ละด้านยาว ๒-๓ กม. เมื่อประมาณปี ๒๕๐๐ มีผู้นำเอาพระพุทธรูปหินแบบนาคปรกหลายองค์จากดงเมืองแอมมาไว้ที่วัดท่าน้ำพอง อำเภอน้ำพอง ทั้งองค์ใหญ่องค์เล็ก มีพุทธลักษณะเป็นศิลปะสวยงามมาก พระพุทธรูปหินนาคปรกนี้เป็นศิลปะขอมสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
นอกจากนี้ยังได้พบพระพุทธรูปหินแบบนาคปรกอีกหลายแห่งในจังหวัดขอนแก่นโดยเฉพาะที่กรุในหมู่บ้านใกล้ที่ตั้งอำเภอภูเวียง พบหลายองค์มีความประณีตสวยงามมากจนกระทั่งเคยนำเอาไปแสดงที่มาเลเซีย แต่ภายหลังถูกขโมย และบางองค์ถูกบั่นพระเศียรอย่างน่าอนาถมาก
กู่ทอง ตั้งอยู่บ้านหัวขัว กิ่งอำเภอเปือยน้อย ห่างจากอำเภอบ้านไผ่ประมาณ ๓๒ กม. เป็นกู่ใหญ่และสวยงามที่สุดในจังหวัดขอนแก่น ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงศิลาแลงล้อมรอบมีรูปหัวสิงห์แกะสลักด้วยหิน รูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ สลักนูนลวดลายประณีตมาก เป็นแท่งหินทับหลังประตู ขนาดใหญ่ กว้าง ๑ ม. ยาว ๒ ม. เคยถูกขโมยแต่ในที่สุดผู้ร้ายเอาไปไม่ได้ต้องทิ้งกลางทาง กู่นี้ถูกรื้อทำลายโดยพวกแสวงหาทรัพย์ตามลายแทง เที่ยวขุดค้นของมีค่าเมื่อเกือบร้อยปีมานี้ แต่ก็ยังมีสภาพที่สมบูรณ์กว่าทุกแห่งในจังหวัดขอนแก่น
กู่บ้านเหล่า ตำบลบ้านโต้น กิ่งอำเภอพระยืน มีลักษณะเหมือนกู่ทองแต่ย่อมกว่า มีกำแพงหิน กว้าง ๑๕ วา ยาว ๑๕ วา
กู่บ้านนาคำน้อย ตำบลบัวใหญ่ อำเภอน้ำพอง เป็นแบบกู่ทั่วไปซึ่งก่อด้วยศิลาแลง ยังมีความสมบูรณ์อยู่มาก แต่ขนาดย่อมกว่ากู่ทอง
ทุก ๆ กู่จะมีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์กรุด้วยศิลาแลงเป็นชั้น ๆ โดยเฉพาะกู่บ้านนาคำน้อยบริเวณใกล้เคียงมีบ่อน้ำซับระดับน้ำอยู่ตื้นมากมีน้ำใสจืดสนิท
นอกจากนี้ก็มีกู่เล็กกู่น้อยอีกหลายแห่ง เช่น กู่ที่บ้านโนนกู่ ตำบลสาวะถี อำเภอบ้านฝาง กู่ตำบลกุดเค้า กู่ภูวดี อยู่ในบริเวณภูวัด ตำบลโพนเพ็ก อำเภอมัญจาคีรี

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
การตั้งเมืองชลบถ (ชื่อเดิมมิใช่ชนบท) และเมืองขอนแก่น
พงศาวดารภาคอีสานฉบับของพระยาขัตติยวงษา (เหลา  ณ ร้อยเอ็ด) มีความสำคัญตอนหนึ่งว่า
“ถึงระหว่างจุลศักราช ๑๑๔๔ ปีกุน จัตวาศก (พ.ศ. ๒๓๒๕) ทราบข่าวว่ากวนเมืองแสน เมืองสุวรรณภูมิจ้างทิดโกดบังฟันท้าวสูนเมืองสุวรรณภูมิตาย เมืองแสนกลัวความผิดหลบตัวหนีลงไปพึ่งพระยาโคราช ๆ บอกให้เมืองแสนลงไปเป็นเจ้าเมือง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระจันทประเทศขึ้นมาตั้งบ้านกองแก้วเป็นเมืองชลบถ มีไพร่พลสมัครไปด้วย ๓๔๐ คน”
“ครั้นถึงจุลศักราช ๑๑๕๐ (พ.ศ. ๒๓๓๑) ได้ทราบว่าเมืองแพนบ้านชีโหล่น แขวงเมืองสุวรรณภูมิ (ปัจจุบันนี้อยู่ในท้องที่อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด เวลานั้นเป็นแขวงเมืองสุวรรณภูมิ ซึ่งมีอาณาเขตมาถึงสันเขาภูเม็ง ฝายพระยานาคจดพองหนีบ) พาราษฎรไพร่พลประมาณ ๓๓๐ คน แยกจากเมืองสุวรรณภูมิไปขอตั้งฝั่งบึงบอนเป็นเมือง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เมืองแพนเป็นพระนครศรีบริรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองขอนแก่น”
พงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสาน ฉบับหม่อมอมรวงษ์วิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจรรณกรุงเทพ) ปลัดมณฑลอีสานแต่ง มีข้อความสำคัญว่า
“ลุจุลศักราช ๑๑๕๙๔ ปีมเสงนพศก (พ.ศ. ๒๓๔๐) ฝ่ายเพี้ย๕ เมืองแพน บ้านชีโหล่น เมืองสุวรรณภูมิเห็นว่าเมืองแสนได้เป็นเจ้าเมืองชลบถก็อยากจะได้เป็นบ้าง จึ่งเกลี้ยกล่อมผู้คนได้อยู่ในบังคับสามร้อยเศษ จึ่งสมัครขึ้นอยู่ในเจ้าพระยานครราชสีมา แล้วขอตั้งบ้านบึงบอนเป็นเมือง เจ้าพระยานครราชสีมาได้มีบอกมายังกรุงเทพฯ จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เมืองแพนเป็นที่พระนครศรีบริรักษ์เจ้าเมืองยกบ้านบึงบอนขึ้นเป็นเมืองขอนแก่น”
หนังสือโบราณวัตถุสถาน ชิน  อยู่ดี เรียบเรียง กรมศิลปากรจัดพิมพ์ในงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ มีประวัติจังหวัดขอนแก่น ดังนี้ :-
“ในรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๒๖ (ภายหลังตั้งกรุงเทพฯ ได้ปีเดียว) กวนเมืองแสนจากเมืองทง (เดี๋ยวนี้อยู่ในอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด) มาตั้งเมืองขึ้นที่บ้านบึงแก้ว (หนองแก้ว อำเภอชลบท) ชื่อเมืองชลบถ ต่อมาเพี้ยเมืองแพน ต้นสกุลเสมอพระ บ้านชีโหล่น หลานเจ้าแก้วบูฮม พาผู้คนเข้ามาตั้งอยู่ที่บ้านบึงบอน (บ้านเมืองเก่า) สมัครขึ้นอยู่กับพระยานครราชสีมา ๆ มีใบบอกมายังกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๐ โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านบึงบอนขึ้นเป็นเมืองขอนแก่น และตั้งให้เพี้ยเมืองแพนเป็นพระยานครบริรักษ์เจ้าเมือง
พ.ศ. ๒๓๕๒  ท่านราชานนท์ย้ายเมืองไปตั้งที่ริมบึงหนองเหล็กดอนพันชาด  หรือดงพันชาด (หมู่บ้านในเมือง ตำบลแพง อำเภอโกสุมพิสัย)
พ.ศ. ๒๓๖๙  ตั้งบ้านภูเวียง  ซึ่งเดิมเคยเป็นเมืองโบราณ  เป็นเมืองภูเวียงขึ้นกับเมืองขอนแก่น
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #98 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2553 08:42:36 »

ขอนแก่น ๒
พ.ศ. ๒๓๘๐ ย้ายเมืองขอนแก่นกลับมาตั้งอยู่ริมฝั่งบึงบอน (ตะวันตกเฉียงใต้ของบ้านโนนทัน)
พ.ศ. ๒๓๙๘ ย้ายมาทางฝั่งตะวันออก คือบ้านโนนทันเดี๋ยวนี้
พ.ศ. ๒๔๑๐ ย้ายไปตั้งที่บ้านดอนบม ริมลำน้ำชี
พ.ศ. ๒๔๓๔ โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมเป็นข้าหลวงต่างพระ-องค์ และโปรดให้ย้ายเมืองขอนแก่นมาตั้งที่บ้านทุ่ม
พ.ศ. ๒๔๔๒ โปรดให้ย้ายกลับไปตั้งที่บ้านบึงตามเดิม (เมืองเก่า)
พ.ศ.๒๔๔๗ โปรดให้เรียกตำแหน่งข้าหลวงประจำเมืองขอนแก่นว่าข้าหลวงประจำ    บริเวณพาชี
พ.ศ. ๒๔๕๑  ย้ายศาลากลางเมืองขอนแก่นมาตั้งที่บ้านพระลับ  และให้เปลี่ยนตำแหน่งข้าหลวงประจำบริเวณเป็นผู้ว่าราชการเมือง
พ.ศ. ๒๔๕๙ โปรดให้เปลี่ยนคำว่าเมืองเป็นจังหวัด
สมัยรัชกาลที่ ๓ เหตุการณ์ครั้งศึกเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ มีข้อความสำคัญเกี่ยวกับจังหวัดขอนแก่นดังต่อไปนี้ “พระยาราชสุภาวดียกขึ้นไปทางเมืองสุวรรณภูมิ พบกองทัพเจ้าโถงหลานอนุซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองพิมายก็ยกเข้าตีกองทัพเจ้าโถงแตกกระจัดกระจายไปสิ้น แล้วพระยาราชสุภาวดีก็ยกจากเมืองพิมายไปตั้งอยู่เมืองขอนแก่น แล้วก็มีหนังสือไปถึงเจ้าอุปราชว่าเมื่ออุปราชลงไปกรุงเทพมหานคร พูดไว้แต่ก่อนว่าอนุจะเป็นกบฏนั้นก็สมจริง ครั้งนี้เรายกขึ้นมาสมคะเนแล้ว ให้อุปราชยกไปตีเมืองเวียงจันทน์เสียให้ได้ ทัพหลวงจะได้ขึ้นมาโดยสะดวกเราจะได้ยกหนุนอุปราชไป ครั้นอุปราชได้หนังสืออ่านดูแจ้งความแล้วจึงส่งต้นหนังสือไปให้อนุที่ตำบลช่องเขาสาร อนุแจ้งความแล้วก็ให้หวาดหวั่นสงสัยนายทัพนายกองผู้คนของตัวว่าจะมีไส้ศึกอยู่ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้”
แสดงให้เห็นว่าแม่ทัพใหญ่ฝ่ายไทยได้เห็นความสำคัญของจังหวัดขอนแก่น จึงใช้เป็นฐานทัพมาครั้งหนึ่งเพราะเป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสาน จนประสบชัยชนะ เมื่อทางราชการจัดตั้งหน่วยทหารม้าขึ้นครั้งแรกในจังหวัดนี้จึงให้ชื่อว่า “ค่ายบดินทรเดชา” และมีสนามมวยในชื่อนี้ด้วย
หนังสือประชุมจดหมายเหตุเรื่องปราบกบฏเวียงจันทน์
มีข้อความเกี่ยวกับจังหวัดขอนแก่นบางตอนดังนี้
คำให้การอ้ายพระยานรินทร์
“แล้วอ้ายอนุกับอ้ายสุทธิสารข้าพเจ้าก็พากันขึ้นมาถึงบ้านหนองบัวลำภู อ้ายอนุตั้งให้เป็นเจ้าเมืองหนองบัวลำภู แล้วอ้ายอนุจัดแจงให้ตั้งค่ายไม้จริงยาว ๓๐ เส้น กว้าง ๑๖ เส้น อ้ายอนุจัดให้ข้าพเจ้ากับอ้ายปลัดหนองบัวลำภูคนเก่า  อ้ายวรจักรบ้านบัว  อ้ายหามองค์บ้านเทวี  อ้ายอุปราชบ้าน ภูเวียง อ้ายวรวงศ์บ้านมะโดด อ้ายตะนามบ้านลำภูคุมไพร่ ๑,๘๐๐ คนปืนคาบศิลา ๓๐๐ บอก อยู่รักษาค่ายแล้วอ้ายอนุจัดครัวเมืองโคราชที่ไว้ใจได้ให้ข้าพเจ้า ๓๐ ครัว ชายหญิงประมาณ ๗๐ คน กับครัวข้าพเจ้า ๑,๐๐๐ คนเศษอยู่กับข้าพเจ้า แต่ครัวอ้ายมีชื่อทั้งนี้บ้านใคร ๆ อยู่ ครั้นอ้ายอนุกลับไปถึงบ้านส้มป่อยให้อ้ายราชวงศ์เจ้าเมืองชลบถกับไพร่ครัวฉกรรจ์ ๖๐๐ คน กับปืนคาบศิลา ๗๐ บอก กลับลงมาอยู่รักษาค่ายกับข้าพเจ้าด้วยกัน ไพร่ฉกรรจ์ ๒,๓๐๐ ครัว ๘๐๐ คน ปืนคาบศิลา ๑๙๐ บอก”
“แต่เจ้าเมืองขอนแก่นไล่ครัวมาอยู่บ้านสระแจ้ง ไพร่ฉกรรจ์ ๒,๕๐๐ แต่ตัวเจ้าเมืองขอนแก่นกับไพร่ฉกรรจ์นั้นรักษากับอ้ายสุทธิสาร แต่ครัวเจ้าเมืองชลบถมาอยู่บ้านคาง ไพร่ฉกรรจ์ ๒,๗๐๐ เจ้าเมืองชลบถอยู่รักษาครัว ให้แต่บุตรกับไพร่ ๙๐๐ คน มาอยู่กับข้าพเจ้า ณ ค่ายหนองบัวลำภูเมืองนอกนั้นตามระยะทางมีมากอยู่”
ข้อความที่ว่าอ้ายอุปราชภูเวียง แสดงว่าภูเวียงมีฐานะเป็นเมืองมาก่อนจึงมีตำแหน่งอุปราช มิใช่หมู่บ้านธรรมดา
คำให้การอ้ายจันโคช
วันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีกุนนพศก ได้ถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอ้ายจันโคชให้การว่าข้าพเจ้าตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ บ้านสามพันแขวงเมืองชลบถ อายุข้าพเจ้าได้ ๕๐ เศษ  ภรรยาข้าพเจ้าชื่อ  อีสั้น มีบุตรชาย ๔ คน หญิง ๓ คน เป็น ๗ คน ข้าพเจ้าเป็นบ่าวพระยาพรหมภักดียกกระบัตรเมืองโคราช  ครั้นอยู่มา  ณ  เดือน  ๓  กี่ค่ำข้าพเจ้าจำมิได้  ปีวอกอัฐศก  ข้าพเจ้าได้ยินผู้มีชื่อพูดกันว่าอ้ายเวียงจันท์ ยกกองทัพมาตั้งอยู่ ณ เมืองครสวรรค์ ประมาณ ๒,๐๐๐ คน ๓,๐๐๐ คน ว่าจะลงไปช่วยทำการพระบรมศพ ณ กรุงเทพฯ แล้วอ้ายเวียงจันท์ได้ให้ตำรวจลงมาบอกพระยาจันตประเทศกับเพียสิง-หนาทราชบุตร เมือชลบถ ให้ขึ้นไปหาอ้ายเวียงจันท์ พระยาประจันตประเทศ กับเพียสิงหนาทราชบุตร ก็พากันไปหาอ้ายเวียงจันท์ ณ เมืองครสวรรค์ ไปได้ ๒ คืนแล้ว พระยาจันตประเทศ กับเพียสิงหนาท-ราชบุตร ก็พากันกลับมาบ้านได้คืน ๑ อ้ายเจ้าเวียงจันท์ ก็ยกกองทัพมา ณ เมืองโคราช  แล้วพระยา-จันตประเทศจึงมาป่าวร้องแก่ราษฎรชาวบ้านว่า  ใครจะสมัครไปกับเจ้าเวียงจันท์บ้าง  ถ้าสมัครไปกับอ้ายเวียงจันท์จะให้ไปอยู่บ้านคูเวียง ถ้าใครมิสมัครไปจะฆ่าเสีย เพียแสนกับอุปฮาตจึงว่ากับพระยา-จันตประเทศว่า ท่านจะไปก่อนก็ไปเถิดข้ายังไม่ไปจะฟังดูก่อน ครั้น ณ วันเดือนข้างขึ้นจะเป็นกี่ค่ำข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ พระยาจันตประเทศกับเพียสิงหนาท เพียกวาน ก็พาบุตรภรรยาผู้คนบ่าวไพร่ยกไปจากเมืองชลบถไปอยู่บ้านผขุ ได้เดือน ๑ ครั้น ณ วันเดือน ๕ ข้างขึ้น แต่จะเป็นกี่ค่ำข้าพเจ้าจำมิได้  อ้ายเจ้าเวียงจันท์ใช้ตำรวจลาวลงมาไล่ครัวที่เมืองชลบถให้ไปอยู่บ้านคูเวียงให้สิ้นเชิง ถ้าผู้ใดมิไปจะตัดศีรษะเสีย ราษฎรชาวบ้านกลัวก็พากันยกครอบครัวไปอยู่ ณ บ้านคูเวียง ครั้น ณ วันเดือน ๕ ข้างขึ้น อ้ายเจ้าเวียงจันท์ยกจากโคราชไปพักอยู่บ้านคูเวียงคืน  ๑  แล้วยกไปอยู่บ้านหนองบัว  แล้วอ้ายเจ้า-  เวียงจันท์จึงใช้ให้ตำรวจลาวมาไล่ครัวที่บ้านคูเวียงไปอยู่ที่บ้านหนองบัว ครั้นพากันไปอยู่บ้านหนองบัว พระยาจันตประเทศ จึงไปหาอ้ายเจ้าเวียงจันท์ ๆ จึงสั่งให้พระยาจันตประเทศไล่ครัวให้ไปอยู่บ้านนาแตง  อ้ายเจ้าเวียงจันท์ก็จะยกไปทางด้านป่าเข้าสาร พระยาจันตประเทศไล่ครัวไปทางบ้านนาแตง ไปถึงบ้านนาแตงได้ ๕ วัน อ้ายพระยานรินทร์ ที่เป็นแม่ทัพอยู่ที่ค่ายบ้านหนองบัว จึงให้ตำรวจลาวมาจัดเอาคนผู้ชายที่ครัวบ้านนาแตง ๒๐๐ คน ทั้งข้าพเจ้าให้เข้าค่ายบ้านหนองบัว ข้าพเจ้ามายืมเอาหอกของทิดโสภาหลานข้าพเจ้าได้เล่ม  ๑  มาเข้าค่าย  ค่ายหนองบัวกว้างยาวประมาณ  ๑๐  เส้น คนรักษาค่ายอยู่ประมาณ ๑,๒๐๐ คน มีปืนคาบศิลาอยู่ในค่ายประมาณ ๑๐๐ เศษ อ้ายพวกเวียงจันท์ให้ข้าพเจ้ารักษาค่ายข้างตะวันออก ครั้น ณ วันขึ้นค่ำ ๑ เดือน ๖ เพลาเย็น ทัพไทยเข้าไปตีค่ายได้รบกันอยู่จนเพลาสว่าง ทัพลาวจึงแตกหนีไป ทัพไทยไล่จับเอาข้าพเจ้าได้มาจำข้าพเจ้าไว้ได้ ๒ คืน จึงส่งตัวข้าพเจ้าลงมาที่ทัพหลวงแม่น้ำปชีได้ ๒ คืน แล้วส่งข้าพเจ้าลงมา ณ กรุงเทพฯ สิ้นคำให้การข้าพเจ้าแต่เท่านี้
หนังสืออานามสยามยุทธ
มีข้อความสำคัญตอนหนึ่งว่า
“ครั้น ณ วันเดือนอ้ายแรมสิบสามค่ำ เจ้าพระยาราชสุภาวดีมีบัญชาสั่งให้พระอนุรักษ์โยธา ๑ พระโยธาสงคราม ๑ หลวงเทเพนทร ๑ หลวงพิไชยเสนา ๑ พระนครศรีบริรักษ์เจ้าเมืองขอนแก่น ๑ ราชวงศ์  เมืองชลบถ  ๑  พระมหาดไทยเมืองนครราชสีมา  ๑  รวมเป็นนายทัพนายกองแปดนายคุมไพร่พลแปดร้อยคุมตัวเจ้าอนุและครอบครัวลงมาส่งให้ถึงเมืองสระบุรีซึ่งพระยาพิไชยวารี (โต) ขึ้นไปตั้งรับครอบครัวส่งเสบียงอาหารอยู่ที่เมืองสระบุรีนั้นแล้ว พระยาพิไชยวารีจึงสั่งให้ทำการขังเจ้าอนุตั้งประจานไว้กลางเรือ”
แสดงหลักฐานให้เห็นว่าเมืองขอนแก่นและเมืองชลบถมีความชอบในราชการสงครามครั้งนี้และได้รับความไว้วางใจอย่างยิ่ง จึงได้รับหน้าที่ให้ควบคุมเชลยคนสำคัญลงไปกรุงเทพฯ
เหตุการณ์หลังจากศึกเจ้าอนุวงศ์เวียงจันท์
ภูเวียง เคยมีฐานะเป็นเมืองขึ้นต่อนครเวียงจันทน์มาแล้วเมื่อเสร็จศึกเวียงจันท์ปี พ.ศ. ๒๓๖๙ จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นเมือง ขึ้นต่อเมืองขอนแก่น และเมืองขอนแก่นขึ้นโดยตรงต่อกรุงเทพฯ ปรากฏในหนังสือบอกสมัยรัชกาลที่ ๓ มีเจ้าเมืองชื่อหลวงไกรสงครามเมืองนี้มีหน้าที่ส่งส่วยทองคำผงจำนวนน้ำหนักปีละ ๒๕–๓๐ ตำลึง แสดงให้เห็นว่าในท้องที่นี้จะต้องมีแหล่งแร่ทองคำ ข้าพเจ้าอ่านพบในหนังสือก้อมว่าเมืองนี้มีหน้าที่ส่งส่วยทองแดงมาแต่โบราณ (หัวขวานทองแดงซึ่งทำจากทองแดงที่ไม่ได้ถลุง และทองสำริดที่ค้นพบบริเวณโนนนกทาคงจะได้ทองแดงจากแหล่งนี้) ครั้งสุดท้ายเคยไปส่งส่วยทองแดงที่ค่ายหมากแข้ง (อุดรธานี) ข้าพเจ้าจึงสำรวจหาแหล่งแร่ทองแดงบริเวณที่เคยขุดไปส่งส่วยซึ่งมีชื่อว่า “ฮ่อมอัดผักตูตึหมา” ในที่สุดจึงได้พบแร่ยูเรเนียม
คำกราบบังคมทูลของกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ลงวันที่ ๒ มกราคม ร.ศ. ๑๑๓
มีข้อความเกี่ยวกับการเลือกภูมิประเทศเป็นที่ตั้งเมืองศูนย์กลางการปกครองของข้าหลวงต่างพระองค์เมื่อมีความจำเป็นต้องถอยห่างจากชายแดน ๒๕ กม. ตามข้อตกลงกับฝรั่งเศส ร.ศ. ๑๑๒ ดังนี้
“ประการหนึ่งท่านผู้มาเป็นข้าหลวงต่อไปนั้น ถ้าครบ ๆ ชนิดเดียวกัน คงจะชอบที่นี้เป็นแน่ ถ้าสติท่านดี เมืองสกลนครนั้นก็ได้สร้างไว้แล้ว แต่ก็เท่ากัน ทางที่จะเข้ามาจากสกลถึงนคร ตั้งแต่หนองคายถึงหมากแข้งก็เท่าเพราะเราเสียช่องทางที่คับขันเสียหมดแล้ว อีกแห่งหนึ่งเป็นที่ดีอย่างที่สุดคือเมืองภูเวียงเขาว่ามีเขาสูงล้อมรอบมีทางจำเภาะเข้า จนผู้ร้ายลักสัตว์พาหนะไม่ได้ น้ำก็บริบูรณ์ที่นาก็มากอยู่นั้นทั้งสิ้น ตามที่เสียงว่าฆ่าศึกจะล้อมไว้สิบปีก็ไม่อด แต่ใช้เป็นอย่างอุกริษเป็นการขัดอยู่เช่นนี้
จึงเห็นด้วยเกล้าว่าที่ใดสู้ที่บ้านหมากแข้งไม่ได้ ด้วยเหตุผลดังที่ได้รับพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณามานี้”



ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดขอนแก่น . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จินดาสาส์น , ๒๕๒๙ .
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #99 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2553 08:43:00 »

มุกดาหาร
เดิมดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง เต็มไปด้วยป่าดงพงไพร ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพวกคนป่าอันสืบเชื้อสายมาจากขอม เช่น พวกข่า ส่วย กระโซ่ เมืองสำคัญส่วนมากตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เช่น กรุงศรีสัตนาคนหุต เมืองพวน (เชียงขวาง) ตลอดทั้งดินแดนสิบสองจุไทยและหัวพันทั้งห้าทั้งหก ซึ่งเป็นเผ่าไทยที่อพยพลงมาทางใต้ แต่แยกออกเป็นอาณาจักรต่าง ๆ เช่น อาณาจักรโยนก อาณาจักรเชียงแสน อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรล้านช้าง เป็นต้น
จนถึง พ.ศ. ๒๒๓๑ เมื่อพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) สวรรคต พระยาเมืองแสนได้ชิงเอาราชสมบัติขึ้นครองเวียงจันทน์ พระมเหสีของพระเจ้ากรุงเวียงจันทน์องค์เดิมได้พาโอรส ๒ พระองค์ คือ เจ้าองค์หล่อ และเจ้าองค์หน่อ (เจ้าหน่อกุมาร) อพยพหลบหนีตามลำน้ำโขงมาอาศัยอยู่กับ พระครูโพนเสม็ด เมื่อเจ้าองค์หล่อเจริญวัยขึ้น มีความโกรธแค้นพระยาเมืองแสนซึ่งชิงเอาราชสมบัติ จึงพาบ่าวไพรไปอยู่เมือง ญวน ซ่องสุมผู้คนคอยหาโอกาสแก้แค้นพระยาเมืองแสน ฝ่ายพระยาเมืองแสนผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุตเห็นว่าพระครูโพนเสม็ดมีผู้คนรักใคร่เกรงกลัวนับถือมาก หากปล่อยไว้อาจจะคิดแย่งชิงเอาบ้านเมือง จึงคิดจะกำจัดพระครูโพนเสม็ดเสีย เมื่อพระครูโพนเสม็ดรู้ระแคะระคายว่าพระยาเมืองแสนจะคิดทำร้ายจึงรวบรวม ผู้คนได้ ๓ พันเศษ พาเจ้าหน่อกุมารพร้อมด้วยมารดา (พระมเหสีของพระเจ้ากรุงเวียงจันทน์) อพยพลงมาตามลำน้ำโขง เมื่อเห็นว่าที่ใดทำเลดีอุดมสมบูรณ์ก็ให้ผู้คนที่ติดตามแยกย้ายกันตั้งบ้านตั้งเมืองขึ้นตามความสมัครใจในแถบถิ่นสองฝั่งแม่น้ำโขง จึงเกิดเป็นเมืองต่าง ๆ ขึ้นและแผ่ขยายต่อมาออกไปทั่วภาคอีสานในปัจจุบัน
ท่านพระครูโพนเสม็ด อพอพผู้คนลงมาตามลำน้ำโขง เมื่อถึงที่ใดก็มีคนเลื่อมใสศรัทธามากขึ้นตามลำดับ ท่านพระครูโพนเสม็ดได้บูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๓ และได้แบ่งคนจำนวนหนึ่งให้อยู่อุปฐากพระธาตุพนม แล้วได้อพยพต่อไปถึงนครจำบากนาคบุรีศรี (นครจำปาศักดิ์) จึงได้ยกเจ้าหน่อกุมารขึ้นเป็นกษัตริย์ ถวายพระนามว่า เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทชางกรูเปลี่ยนนามนครจำบากนาคบุรีศรี เป็นนครจำปาศักดิ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๕๖
เมืองมุกดาหารได้ก่อกำเนิดขึ้นในยุคนี้ โดยได้อพยพลงมาทางใต้ตามลำดับ จากเมืองไร่เมืองปุงบ้านน้ำน้อยอ้อยหนู ลงมาตามลำน้ำโขงและตั้งบ้านตั้งเมืองอยู่ ณ บ้านหลวงโพนสิม (บริเวณธาตุอิงฮ้งแขวงสุวรรณเขตในปัจจุบัน) เมื่อเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทชางกรู สถาปนานครจำปาศักดิ์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๒๕๖ จึงได้ตั้งเจ้าเมืองขึ้นคือ
๑) ตั้งเจ้าจันทร์สุริยวงษ์ เป็นเจ้าเมืองหลวงโพนสิม (ต่อมาได้อพยพมาตั้งเมืองมุกดาหาร)
๒) ตั้งให้ท้าวสุด เป็นพระชัยเชษฐฯ เจ้าเมืองหางโค (เมืองเชียงแตง)
๓) ตั้งให้เจ้าแก้วมงคล (จารย์แก้ว) เป็นเจ้าเมืองเมืองทง (ภายหลังเปลี่ยนนามเป็นเมืองสุวรรณภูมิ และต่อมาได้แยกเป็นเมืองร้อยเอ็ด สารคาม กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ฯลฯ
๔) ตั้งให้ท้าวมั่น เป็นหลวงเอกอาษาเจ้าเมืองสาลวัน (ต่อมาแยกเป็นเมืองสาลวัน เมืองคำทองใหญ่ เมืองคำทองน้อย ซึ่งอยู่ในแขวงสาลวันและแขวงวาปีคำทองในประเทศลาวปัจจุบัน)
๕) ตั้งให้อาจารย์โสม เป็นเจ้าเมืองอิ๊ดตะบือ (เมืองอัตบือ)
เมืองต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีบุตรหลานสืบสกุลเป็นเจ้าเมืองต่อ ๆ กันมา และได้แตกแยกออกเป็นเมืองต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย
ฝ่ายเมืองหลวงโพนสิม เมื่อเจ้าจันทร์สุริยวงษ์ถึงแก่กรรมแล้ว เจ้ากินรีได้เป็นเจ้าเมืองสืบต่อมาอีกจนถึง พ.ศ. ๒๓๑๐ จึงได้อพยพข้ามโขงมาตั้งเมืองใหม่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงปากห้วยมุก มูลเหตุที่เจ้ากินรีจะย้ายเมืองมาตั้งใหม่มีอยู่ว่า วันหนึ่งนายพรานจากบ้านหลวงโพนสิมได้ข้ามโขงมาล่าสัตว์ตรงปากห้วยบังมุก ได้พบต้นตาลต้นหนึ่งมี ๗ ยอด และเห็นกองอิฐปรักพังอยู่บริเวณใต้ต้นตาล ๗ ยอดนั้น จึงสันนิษฐานว่าคงเป็นบ้านเมืองในสมัยโบราณมาก่อนนายพรานจึงนำไปเล่าให้เจ้ากินรีฟัง เมื่อเจ้ากินรีมาตรวจดูเห็นว่าเป็นทำเลดีเหมาะสมที่จะตั้งบ้านตั้งเมือง จึงได้ชักชวนพรรคพวกมาตั้งเมืองขึ้นใหม่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงปากห้วยมุก
วันหนึ่งขณะที่เจ้ากินรีควบคุมบ่าวไพร่ในกลางป่าอยู่ใกล้ต้นตาล ๗ ยอด เจ้ากินรีได้พบพระพุทธรูป ๒ องค์ องค์ใหญ่เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน องค์เล็กเป็นพระพุทธรูปเหล็กอยู่ใต้ต้นโพธิ์ เจ้ากินรีจึงให้สร้างวัดขึ้น ในบริเวณนั้นและตั้งชื่อว่า วัดศรีมุงคุณ (วัดศรีมงคล) เพื่อเป็นมงคลนามแก่ชาวเมืองและเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสององค์ เมื่ออัญเชิญพระพุทธรูปสององค์ไปไว้ในโบสถ์แล้ว วันรุ่งขึ้นอีกวันเมื่อพระภิกษุประจำวัดจะเข้าไปสักการะ ก็ปรากฏว่าไม่พบพระพุทธรูปเหล็ก (องค์เหล็ก) เมื่อค้นดูรอบ ๆ บริเวณวัด ปรากฏว่าพระพุทธรูปเหล็กกลับไปประดิษฐานอยู่ใต้ต้นโพธิ์ที่เดิมแต่จมลงไปในดิน และวันต่อ ๆ มาก็ค่อย ๆ จมลงในดิน เหลือแต่ยอดพระโมฬี เจ้ากินรีจึงให้สร้างแท่นสักการะบูชาไว้ ณ ที่นั้นและถวายพระนามว่า พระหลุมเหล็กส่วนพระพุทธรูปองค์ใหญ่คงประดิษฐานอยู่ในโบสถ์วัดศรีมงคล เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเจ้ากินรีตั้งเมืองขึ้นใหม่ ตอนกลางคืนจะเห็นแก้วดวงหนึ่งสีสดใสลอยออกจากต้นตาล ๗ ยอด แล้วลอยกลับมาที่ต้นตาลตอนเช้ามืดแทบทุกคืน เจ้ากินรีจึงเรียกนามแก้วศุภนิมิตรนั้นว่า แก้วมุกดาหาร เพราะอยู่ใกล้ห้วยบังมุก (บัง แปลว่า ลำห้วย) และตั้งนามเมืองว่า เมืองมุกดาหาร เมื่อเดือน ๔ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๓ (มุกดาหาร หมายถึง แก้วไข่มุก) เป็นต้นมา และมีเจ้าปกครองสืลบต่อกันมาตามลำดับ รวม ๘ คน คือ
เจ้ากินรี
เจ้ากินรี ได้เป็นเจ้าเมืองมุกดาหารคนแรก ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๑ พระวอ พระตา   เจ้าเมืองหนองบัวลำภู (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุดรธานี) เกิดวิวาทกับเจ้าผู้ครองนครเวียง-จันทน์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงได้ให้เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพมาตามลำน้ำโขงเพื่อปราบปรามเมืองนครจำปาศักดิ์และนครเวียงจันทน์ให้ขึ้นอยู่ในอาณาจักรธนบุรีบรรดาหัวเมืองน้อยใหญ่ตามลำน้ำโขงและเมืองมุกดาหารจึงรวมอยู่ในข้าขอบขัณฑสีมาของกรุงธนบุรีตั้งแต่นั้นมา   เจ้ากินรีได้รับสถาปนาขึ้นเป็น พระยาจันทร์ศรีสุราชอุปราชาพัณฑาตุราช มีบุตรธิดา รวม ๗ คน คือ ท้าวกิ่ง ท้าวอุ่น ท้าวชู และธิดาอีก ๔ คน
เจ้ากินรีได้แต่งตั้งกรมการเมืองขึ้น คือ
๑. ท้าวกิ่ง  เป็นอุปฮาด
๒. ท้าวอุ่น เป็นราชวงษ์
๓. ท้าวชู   เป็นราชบุตร
เจ้ากินรีได้ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๗
พระยาจันทร์สุริยวงษ์ (กิ่ง)
ท้าวกิ่งผู้เป็นบุตรเจ้ากินรีและเป็นอุปฮาดเมืองมุกดาหาร ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองในอันดับ ๒ ต่อมาได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นที่ พระยาจันทร์สุริยวงษ์ (ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุง-รัตนโกสินทร์)
พระยาจันทร์สุริยวงษ์ได้ขอพระราชทานแต่งตั้งกรมการเมืองมุกดาหารตามตำแหน่งคือ
๑. ท้าวอุ่น   เลื่อนขึ้นเป็นอุปฮาด
๒. ท้าวชู   เลื่อนขึ้นเป็นราชวงษ์
๓. ท้าวแผ่น   เป็นราชบุตร
พร้อมกับได้แต่งตั้งกรมการเมืองและท้าวเพี้ยชั้นผู้น้อยครบตามตำแหน่ง คือ เมืองแสน เมืองจันทร์ (ตำแหน่งฝ่ายทหาร) เมืองซ้าย เมืองขวา เมืองกลาง (ตำแหน่งฝ่ายมหาดไทย) ชาเนตร   ชานนท์ ชาบัณฑิต (ตำแหน่งหน้าที่ในการร่างและอ่านหนังสือราชการ) เมืองมุก เมืองฮาม (ตำแหน่งควบคุมเรือนจำ) นาเหนือ นาใต้ (ตำแหน่งรวบรวมเสบียงอาหารใส่ยุ้งฉางไว้รับศึกสงคราม
พระยาจันทร์สุริยวงษ์ มีบุตรธิดา หลายคน คือ
ภรรยาคนที่ ๑ ชื่อ เจ้านางยอดแก้ว มีบุตรธิดารวม ๖ คน คือ ท้าวพรม ท้าวทัง ท้าวคำ นางคิม นางเฮ้า นางรุน
ภรรยาคนที่ ๒ ชื่อ เจ้านางประทุม (เจ้านครจำปาศักดิ์) มีบุตรธิดารวม ๒ คน คือ      นางอ่อน ท้าวจีน
ภรรยาคนที่ ๓ ซึ่งเป็นชาวบ้านคำป่าหลาย มีบุตรธิดารวม ๖ คน คือ ท้าวตู้ ท้าวไข่    ท้าวปาน ท้าวเม้า ท้าวปุ่น นางไอ่
ภรรยาคนที่ ๔ ซึ่งเป็นชาวบ้านหนองหล่ม มีธิดาคนเดียว คือ นางอั้ว
ครั้นอยู่ต่อมาอุปฮาด (อุ่น) และราชวงษ์ (ชู) ได้ถึงแก่กรรม พระยาจันทร์สุริยวงษ์ จึงได้ขอพระราชทานสัญญาบัตรให้บุตร ๓ คน ขึ้นเป็นกรมการเมือง คือ
๑. ท้าวพรหม   เป็นอุปฮาด
๒. ท้าวทัง       เป็นราชวงษ์
๓. ท้าวคำ       เป็นราชบุตร
พ.ศ. ๒๓๔๙ เจ้าอนุวงษ์ (เจ้าอนุรุทธกุมาร) แห่งนครเวียงจันทน์ เจ้าเมืองนครพนมและเจ้าเมืองมุกดาหาร ได้ร่วมกันบูรณะพระอุโบสถในวัดพระธาตุพนม
พ.ศ. ๒๓๕๐ เจ้าอนุวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์ ให้ท้าวขัตติยะวงษาร่วมมือกับเจ้าเมืองมุกดาหารสร้างวัดท่งเว้าขึ้นในเขต เมืองมุกดาหาร (วัดท่งเว้า ปัจจุบันเป็นวัดร้างตลิ่งพังจนพระพุทธรูปจมลงไปในแม่น้ำโขง ชาวบ้านเรียกว่า เวินพระฯ อยู่ในแขวงสุวรรณเขตตอนใต้ตรงข้ามกับบ้านท่าใค้  อ.เมืองมุกดาหาร)
พ.ศ. ๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์ เป็นขบถต่อกรุงเทพพระมหานคร (สมัยรัช-กาลที่ ๓) โดยให้อุปราชติสสะแห่งนครเวียงจันทน์กรีธาทัพตีเมืองกาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุวรรณภูมิ ให้เจ้านครจำปาศักดิ์ตีเมืองอุบล สุรินทร์ และสังขะ ให้ชานนท์ตีเมืองตามลำแม่น้ำโขง เช่น เมืองมุกดาหารและเขมราฐกวาดต้อนผู้คนไปเป็นจำนวนมาก แต่ถูกกองทัพไทยซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์  สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพปราบปรามจนสงบราบคาบ
พ.ศ. ๒๓๘๓ พระยาจันทร์สุริยวงษ์ ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อเดือนเจียง (เดือนอ้าย) แรม ๕ ค่ำ
พระจันทร์สุริยวงษ์ (พรหม)
ท้าวพรหม อุปฮาดเมืองมุกดาหาร ซึ่งเป็นบุตรเจ้าเมืองได้เป็นเจ้าเมืองมุกดาหารในลำดับที่ ๓ ต่อมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๘๓ ได้ขอพระราชทานสัญญาบัตรแต่งตั้งกรมการเมืองขึ้นใหม่ คือ
๑. ท้าวคำ      เลื่อนขึ้นเป็นอุปฮาด
๒. ท้าวสุราช   เป็นราชวงษ์
๓. ท้าวจีน   เป็นราชบุตร (บุตรพระยาจันทร์ฯ เจ้าเมืองลำดับที่ ๒ มารดาเป็นเจ้านครจำปาศักดิ์ พ.ศ. ๒๓๘๘เนื่องจากกองทัพญวนได้เข้ารุกรานดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงอยู่เนือง ๆ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) จึงได้เกณฑ์ทัพเมืองอุบล ๔,๓๐๐ คน ทัพเมือง   เขมราฐ ๑,๗๐๐ คน ทัพเมืองมุกดาหาร ๑,๑๐๐ คน ทัพเมืองนครพนม ๕๐๐ คน ทัพเมืองสกลนคร ๑,๓๐๐ คน ฯลฯ ยกไปตีเมืองพิน เมืองนอง เมืองวัง เมืองตะโปน (เซโปน) เมืองผาบัง เมืองเชียงฮ่ม กวาดต้อนผู้คนมาอยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง ซึ่งต่อมาได้ตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้น เช่น เมืองเรณูนคร เมืองหนองสูง เมืองกุฉินารายณ์ เมืองวาริชภูมิ ฯลฯ
เจ้าเมืองมุกดาหารได้ขอให้ท้าวสิงห์ เป็นพระไกรสรราชเจ้าเมืองหนองสูงขึ้นเมืองมุกดาหารส่วนท้าวสายเมืองนครพนมขอให้เป็น พระแก้วโกมล เจ้าเมืองเรณูนคร
พระจันทร์สุริยวงษ์ (พรหม) มีบุตรธิดา คือ นายสะ ท้าวแท่ง ท้าวขว้าง นางคิม นางหล้า
พระยาจันทร์สุริยวงษ์ (พรหม) ได้ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๕
เจ้าจันทรเทพสุริยวงษ์ดำรงรัฐสีมามุกดาธิบดี (เจ้าหนู)
เมื่อเจ้าเมืองมุกดาหารถึงแก่อนิจกรรม ตำแหน่งเจ้าเมืองได้ว่างมา ๓ ปี จนถึง พ.ศ. ๒๔๐๗ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหนูซึ่งเป็นเจ้านคร เวียงจันทน์ เป็นราชนัดดา (หลานของเจ้าอนุวงศ์) เป็นพระโอรสของเจ้านันทเสน ซึ่งไปรับราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองมุกดาหารและพระราชทานสัญญาบัตรให้เจ้าหนู เป็นเจ้าจันทรเทพสุริยวงษ์ดำรงรัฐสีมามุกดาธิบดี (เนื่องจากไม่ไว้ในลูกหลานเจ้าอนุ จึงไม่ยอมให้กลับไป ปกครองเวียงจันทน์เลยตั้งมาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองมุกดาหาร) ปรากฏว่ากรมการเมืองไม่พอใจ ที่   เจ้าหนูเป็นเจ้าเวียงจันทน์มาปกครองเมืองมุกดาหาร จึงเกิดมีการทะเลาะเบาะแว้งบาดหมางกันอยู่เสมอ เจ้าจันทรเทพฯ (เจ้าหนู) จึงขอพระราชทานสัญญาบัตรให้
๑. ท้าวจีน   เลื่อนขึ้น เป็นอุปฮาด (ท้าวจีนเป็นบุตรเจ้าเมืองมุกดาหารลำดับที่ ๒)
๒. เจ้าวีรบุตร (บุตรเจ้าหนู)   เป็นราชวงษ์
๓. ท้าวแท่ง   เป็นราชบุตร (ท้าวแท่งเป็นบุตรเจ้าเมืองมุกดาหาร ลำดับที่ ๓)
ส่วนท้าวคำฮุปฮาดคนเดิม ซึ่งชาวบ้านชาวเมืองคิดว่าจะได้เป็นเจ้าเมือง เจ้าหนูได้ขอ  พระราชทานสัญญาบัตรให้เป็น พระพฤติมนตรี ตำแหน่งที่ปรึกษาราชการเมืองมุกดาหาร
พ.ศ. ๒๔๐๙ เจ้าจันทร์เทพฯ (เจ้าหนู) ได้ขอยกบ้านแขวงบางทรายขึ้นเป็นเมืองพาลุกา-กรภูมิ (ปัจจุบันคือหมู่บ้านพาลุกา ต. บ้านหว้าน) ขึ้นเมืองมุกดาหาร (พาลุกา เป็นภาษาบาลีมาจาก  คำว่า พาลุกะ แปลว่า ราย) และขอพระราชทานให้ท้าวทัด (บุตรท้าวทังราชวงษ์เมืองมุกดาหาร)
ฉะนั้นเมืองมุกดาหารจึงมีเมืองขึ้นในยุคนั้น คือ
๑. เมืองหนองสูง พระไกรสรราช (สิงห์)   เป็นเจ้าเมือง
๒. เมืองพาลุกากรภูมิ พระอมรฤทธิธาดา (ทัด)  เป็นเจ้าเมือง
ดินแดนของเมืองมุกดาหารในยุคนั้นกว้างขวาง อาณาเขตจดแดนญวนรวมถึงเมืองพิน เมืองนอง เมืองพ้อง เมืองพลาน เมืองเซโปน (ตะโปน) และเมืองวังมล
พ.ศ. ๒๔๐๙ เนื่องจากฝรั่งเศสได้ดินแดนญวนและเขมรกำลังจะรุกล้ำเข้ามาในพระราชอาณาเขตของกรุงสยามทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ประเทศลาว) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงเดชดัษกร หลวงอินทนอนันต์ ขุนวิสูตรและมิสเตอร์ โดยชักชวนชาวอังกฤษมาสำรวจทำแผนที่ตามลำน้ำโขงตั้งแต่เมืองหลวงพระบางถึงเมืองมุกดาหาร
เนื่องจากเจ้าจันทร์เทพฯ เป็นเจ้าเชื้อสายเวียงจันทน์และมีนิสัยชอบมากชู้หลายเมีย จึงเกิดความแตกแยกในเมืองมุกดาหาร ครั้งหนึ่งเจ้าจันทร์เทพนั่งคานหาม (เสลี่ยง) เข้าไปนมัสการพระธาตุพนม เกิดวิวาทกับเจ้าอาวาส (พระครูพรหมา) วัดพระธาตุพนมอย่างรุนแรง
พ.ศ. ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) สวรรคตเมื่อมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ (รัชกาลที่ ๕) ขึ้นครองราชย์เจ้าจันทร์เทพจึงถูกกล่าวโทษ โดยพระพฤติมนตรี ที่ปรึกษาราชการเมืองมุกดาหารอุปฮาดราชบุตรถวายฎีกาไปที่กรุงเทพฯ ให้ท้าวสีหาบุตร ท้าวสุริโยมหาราช เพี้ยเมืองแสน เพี้ยเมืองกลาง และท้าวอุทธา ถือใบบอก (คำกราบบังคมทูล) ลงไปกรุงเทพฯ เมื่อวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๙
เจ้าจันทร์เทพฯ ถูกถอดออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองและถึงแก่พิราลัยขณะเดินทางกลับพระนคร
เจ้าจันทร์เทพฯ มีบุตรและธิดาคือ เจ้านางบุญมี เจ้านางจำเริญ เจ้าวีรบุตร

พระพฤติมนตรี (คำ)
พระพฤติมนตรี เป็นบุตรพระยาจันทร์สุริยวงษ์ (กิ่ง) เจ้าเมืองมุกดาหาร เคยเป็นราชบุตร ราชวงษ์ และอุปฮาดเมืองมุกดาหารตามลำดับ เมื่อดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองมุกดาหารแล้วพระพฤติมนตรี ก็ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นที่ “พระจันทร์สุริยวงษ์” ตามทำเนียบนามและได้ขอพระราชทานสัญญาบัตรให้-
๑. ท้างแท่ง   เลื่อนขึ้นเป็นอุปฮาด (บุตรเจ้าเมืองในลำดับที่ ๓)
๒. ท้าวบุญเฮ้า   เป็นราชวงษ์
๓. ท้าวเล      เป็นราชบุตร (บุตรท้าวสุวอ)
พ.ศ. ๒๔๑๗ โปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น  กัลยาณมิตร) เป็นข้าหลวงใหญ่มาจัดราชการอยู่ที่เมืองอุบล อาณาเขตและอำนาจของข้าหลวงใหญ่ควบคุมถึงนครจำปาศักดิ์และเมืองมุกดาหาร
พ.ศ. ๒๔๑๘ เกิดศึกฮ่อทางเมืองหนองคายและเวียงจันทน์จึงให้เกณฑ์กองทัพเมืองมุกดาหารไปในการปราบปรามศึกฮ่อซึ่งมีเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงเป็นแม่ทัพ
พ.ศ. ๒๔๒๒ พระธิเบศวงศา (ดวง) เจ้าเมืองกุฉินารายณ์ ขึ้นเมืองกาฬสินธุ์เกิดวิวาทบาดหมางกับพระไชยสุนทร (หนู) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ เมืองกุฉินารายณ์ถวายฎีกาขอร้องไม่ยอมขึ้นเมืองกาฬสินธุ์ต่อไป จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งเหนือเกล้าฯ มาจากกรุงเทพฯ ให้เมืองกุฉินารายณ์ขึ้นเมืองมุกดาหาร อีกเมืองหนึ่ง
พระพฤติมนตรี (คำ) เจ้าเมืองมีบุตรธิดาคือ ท้าวสุริยวงษ์ (เสือ) นางโถน นางถ่วนคำ   ท้าวโอด ท้าวจันทร์ นางขาว พระพฤติมนตรีเจ้าเมืองได้ถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ. ๒๔๒๒
พระจันทร์สุริยวงษ์ (บุญเฮ้า)
เมื่อพระพฤติมนตรี เจ้าเมืองถึงแก่อนิจกรรมนั้น ท้าวแท่ง อุปฮาดก็ถึงแก่กรรมเสียก่อน ท้าวบุญเฮ้า ราชวงษ์ จึงได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น “พระจันทร์สุริยวงษ์” เจ้าเมืองสืบแทนต่อมา ท่านเป็นบุตรของพระราชกิจภักดี (บัว) ผู้ช่วยราชการเมืองมุกดาหารและเป็นบุตรเขยของท้าวแท่ง (อุปฮาด) ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร เป็นเจ้าเมืองเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีเถาะ ร.ศ. ๙๘ (พ.ศ. ๒๔๒๒) ได้ขอพระราชทานสัญญาบัตรตั้งกรมการเมือง คือ
๑. ท้าวเล (ราชบุตร)   เลื่อนขึ้นเป็นอุปฮาด
๒. ท้าวสุริยวงษ์ (เสือ)   บุตรเจ้าเมือง (คำ) เป็นราชวงษ์
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
หน้า:  «  1 ... 3 4 [5] 6 7 8  »    ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!