เด๋วลง ประโยชน์ ของการดูหนังโป๊ เด๋วไปหาข้อมูลก่อน

อันนี้ประโยชน์คือ ดูแล้วข้อมือแข็งแรงคร๊าบบบ
ตอนนี้น้าชาติยังใช้ข้อมืออีกรึคับ

ใช้ตอนเครื่องเสียคร๊าบน้าบอล555+
อันนี้สาระครับ ท่อ+เฮดเทพพพพพ
มาคราวนี้จะมาว่ากันถึงเรื่องของท่อเสียครับ คาดว่าคงไม่มีใครที่ขับรถแล้วไม่รู้จักท่อไอเสียนะครับ แล้วมันมีไว้ทำอะไรนอกจากปล่อยไอเสีย แล้วเราติดไปทำไม ท่อทิ้งไปเลยได้มั้ยประหยัดดี เอาละทีนี้เราจะมาดูว่าแท้จริงแล้วมันมีหน้าที่ทำอะไรกันบ้าง
1. ข้อแรกชื่อมันก็บอกอยู่แล้วครับว่ามันมีไว้ระบายไอเสียเสีย
2. เอาไว้ลดเสียงจากการจุดระเบิดของเครื่องยนต์
3. ลดมลพิษที่ออกมาพร้อมไอเสีย
ถ้าเท้าความ (สังเกตุง่ายๆนะครับ บทความของผม ของแท้ต้องมีเท้าความ 555+) ถึงที่มาที่ไปของระบบระบายไอเสียนั้นมันเกิดมาจากยุคกลางของศตวรรษที่ 19 เมื่อรถที่ใช้เครื่องยนต์แบบสันดาบภายในเริ่มแพร่หลาย ช่วงแรกๆ นั้นอากาศที่ผ่านการถูกเผาไหม้ในห้องเผาไหม้ถูกปล่อยสู่อากาศทันทีทำให้เกิดมลพิษอย่างมากเพราะในอากาศหลังเผาไหม้ไปแล้วประกอบไปด้วย สารหลายอย่าง เช่นคาร์บอนมอนนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ฟอสฟอรัส และพวกโลหะหนักต่างๆเช่น ตะกั่ว และ โมลิบดีนัม เมืองแรกที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือเมืองแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดสนธิสัญญาว่าด้วยเรื่องการควบคุมไอเสียจากเครื่องยนต์ เพื่อจำกัดไม่ให้ปล่อยสารพิษออกสู่ชั้นบรรยากาศมากเกินไป ระบบท่อไอเสียก็เลยถูกพัฒนานับจากนั้นเป็นต้นมา
หลังจากเครื่องยนต์เผาไหม้เสร็จแล้วนั้น ไอเสียที่เกิดจากการเผาไหม้จะไหลผ่านท่อร่วมไอเสีย ที่เรียกว่า เรียกว่า Exhaust Manifold หรือบางคันก็จะเป็น Header ซึ่งถ้าเป็น Header จะมีการไหลของอากาศที่ดีกว่าเพราะมีการออกแบบให้คล้ายท่อมากที่สุด จะดัดจะโค้งจะทำให้ยาวให้สั้นได้ดีกว่า ไอเสียมันก็เลยแยกกันไหลได้ดีกว่า ต่างจาก Exhaust Manifold ที่ส่วนใหญ่จะทำมาจากเหล็กหล่อเป็นดุ้นๆมากกว่าจะรูปร่างเป็นท่อ ทำหน้าที่เป็นต่อออกมาโดยตรงจากกระบอกสูบแล้วมารวมกัน ถ้าเครื่องสี่สูบก็จะมีสี่ท่อ จะรวมมาเป็นสองท่อก่อน หรือจะรวมทีเดียวเป็นหนึ่งท่อเลยก็แล้วแต่หัวคิดของแต่ละค่าย แต่ไอ้แบบสี่ท่อออกมาจนถึงท้ายรถยังไม่เคยเห็น ดุ้นรวมไอเสียแบบธรรมดานี้หน้าตาก็บอกแล้วค่อนข้างปล่อยให้ไอเสียไหลไม่ค่อย คล่อง เครื่องยนต์ก็เลยต้องใช้ความพยายามหนักหน่อยที่จะผลักให้ไอเสียมันผ่านดุ้น นี้ออกมา ก็เลยเสียกำลังไปบ้าง
แล้วถ้ามันวุ่นวายขนาดนั้น ทำไมไม่ติด เฮดเดอร์มันทุกคันไปเลยละ คำตอบก็คือมันแพงครับ ถ้าต้องมีการลดต้นทุนอีก ก็เลยใช้แค่ Exhaust Manifold ก็ได้ แถมติดตั้ง ถอด-ใส่ได้ง่ายๆอีก แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือรถที่ผลิตออกมา มันไม่จำเป็นต้องแรงเป็นรถแข่งทุกรุ่นหรอกครับ เอาไว้ขับทั่วไปซะมากกว่า
นอกเรื่องนิดหน่อย ไม่รู้ว่าทุกคนเคยได้ยินเสียงเครื่องเปล่าๆ ที่ไม่ได้ใส่ท่อร่วมไอเสียหรือเปล่า อยากจะบอกว่าเสียงดังมากๆๆ ครับ ดังนั้นมีจึงมีระบบลดเสียงหลังจากการจุดระเบิดเรียบร้อยไปแล้ว เดี๋ยวร่ายให้ฟังในย่อหน้าถัดๆ ไป
ต่อมาเมื่อไอเสียไหลผ่านท่อรวมไอเสียไปแล้ว ก็ไหลลอดใต้ท้องรถมาผ่านอุปกรณ์ตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า Catalytic Converter หรือที่คนชอบเรียกติดปากว่า แคท มีหน้าที่กรองสารพิษบางส่วนที่จะออกมาทำร้ายปอดของพวกเรา นอกจากนั้นยังช่วยลดความก้องของเสียงลงด้วย ควรมีคนพูดว่าถ้าถอด แคท ออกแล้วเครื่องยนต์จะแรงขึ้น อันนี้เรื่องจริงครับ ได้เพิ่มมาซัก 2-3 แรงม้าได้ แต่จะคุ้มมั้ยเมื่ออาจต้องขึ้นศาลโทษฐานปล่อยมลพิษเกินที่กฎหมายกำหนด ที่จริงซัก 2-3 แรงม้านี่ แค่เก็บสัมภาระไม่จำเป็นออกจากรถก็ได้แล้วนะครับ อย่างเช่นถ้าตุ๊กตาหน้ารถตัวเดิมมันใหญ่ดูอ้วนเทอะทะ ก็ควรไปหาตัวหมวยที่ ขาวหมวยสวยเอ๊กซ์นมเล็กจัดฟัน มาเปลี่ยนแทน 555+ หรือไม่ก็แค่ดูแลเครื่องยนต์ให้ดี ไม่ให้เก่าเกินไป แค่นี้แรงม้าก็ไม่ตกแล้วครับ
พอออกจากแคทแล้ว มันจะไปเข้าอุปกรณ์ที่มีชื่อว่า Resonator และ Muffler สองตัวนี้เรียกแบบไทยๆรวมกันว่า หม้อพัก แต่จริงๆแล้ว มันเป็นคนละชนิดกันนะครับ และทำงานไม่เหมือนกัน ไอ้เจ้า Resonator และ Muffler นี้อาจจะมีตัวเดียวหรือหลายตัวก็สุดแล้วแต่การออกแบบของยี่ห้อรถนั้นๆ บางคนอาจจะเคยได้ยินพวกโฆษนาว่า หม้อพักสูตรพิเศษ เพิ่มแรงม้าได้ อันนี้โม้ครับ เพราะการที่รถจะแรงได้เพิ่มขึ้นจริงๆ หม้อพักที่ดีที่สุดคือต้องไม่มีหม้อพัก เพราะหม้อพักจะทำให้แรงม้าของเครื่องดรอปลงนิดหน่อย แต่ถ้าคุณถอดมันออก รับรองคุณจะกลายเป็นที่สนอกสนใจของพี่ๆ ตำรวจที่ตั้งด่านอยู่ทั่วไปอย่างแน่นอนครับ เพราะเสียงท่ออันทรงพลังมันจะไปสะกิดติ่งหูพวกพี่ๆ เค้าอย่างจังเลย
หลักการทำงานของหม้อพักมีอยู่ 3 แบบ ต่างๆ กันไปแล้วแต่ยี่ห้อ คือ แบบดูดซับเสียง(Absorption), แบบจำกัดเสียง (Restriction), และแบบสะท้อนเสียง (Reflection) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหม้อพักทุกหม้อจะมีคุณสมบัติทั้งหมดที่ว่ามานี้ บางยี่ห้ออาจมีอย่างเดียว สองอย่าง หรือทั้งหมด แล้วแต่คุณภาพและราคา
โดยที่แบบดูดซับเสียง จะบุข้างในท่อด้วยใยแก้ว หรือใบโลหะ ธรรมดาจะเป็นห้องเดี่ยว แต่ถ้าแพงขึ้นมาอีกหน่อยมีจะการกั้นเป็นห้องๆ จากใหญ่ไปเล็ก โดยไอเสียจะวิ่งผ่านท่อข้างในที่เจาะเป็นรูพรุน (Perforated tube) เมื่อไอเสียวิ่งผ่านห้องพวกนี้ มันจะค่อยๆช้าลงเสียงมันจะลดลงด้วย ข้อดีคือไอเสียผ่านได้คล่อง แต่ข้อเสียคือไม่ค่อยลดเสียงเท่าไหร่
แบบจำกัดเสียง แบบนี้จะเป็นแบบมาตรฐาน พบได้เยอะตามรถยนต์ทั่วไป ข้อดีไม่มี ข้อเสียไม่ปรากฏ เรียกว่าอยู่ในระดับกลางๆ
แบบสุดท้ายอันเจ๋งดี คือแบบสะท้อนเสียง โดยภายในจะออกแบบผนังให้เสียงมีหักล้างกันเมื่อวิ่งผ่านผนังของหม้อพัก แต่ถ้าออกแบบไม่ดีส่วนใหญ่จะได้แค่ราคาคุย
ต่อมาจะฮธิบายถึง ธรรมชาติของระบบระบายไอเสียนะครับ ก่อนอื่นเลยอยากจะแนะนำให้รู้จักกับคำว่า Exhaust Pulse เรียกกันบ้านๆ ว่า จังหวะของไอเสีย แล้วไอจังหวะนี้มันยังไง คล้ายๆ กับจังหวะหัวใจของพี่บี้ มั้ย ตึงโป๊ะ ของหนึ่งมุขก่อนไปต่อ เจ้านี้สำคัญมากๆ มีผลต่อการออกแบบเฮดเดอร์ คือต้องให้มันสัมพันธ์กับค่านี้ครับ
ไอเสี่ยที่ถูกดันออกมาจากห้องเสื้อสูบ จะมีความดันสูงมาก แต่มันจะออกมาไม่พร้อมกันนะครับ เพราะถ้าลูกไหนมีการจุดระเบิด ลูกสูบนั้นก็จะดันดันไอเสียออกมาก่อน ตาม ไฟร์อิ้งออร์เดอร์ ดูด อัด ระเบิดคาย อ้องอิงจากเครื่องสี่สูบละกันง่ายดี โดยมันจะไม่เรียงสูบ 1 2 3 4 หรือหน้าไปหลังนะครับแต่ไม่ต้องเอาหูไปแหนบเครื่องฟังนะครับว่าสูบไหนมาก่อน จำง่ายๆ ก็ 1 3 4 2 ที่เป็นแบบนี้ก็เพื่อการกระจายแรงที่ดี จังหวะที่จุดระเบิดเสร็จเรียบร้อยลิ้นไอเสียจะเปิดเพื่อระบายไอเสียออกมา ไอความเลื่อมล้ำ (แต่ไม่สองมาตรฐาน) กันของการเปิดลิ้นของแต่ละสูบนี่ละครับ ที่เรียกว่า Pulse ครับ
คิดภาพตามง่ายๆ นะครับ หลับตาครับ... นั่นยัง ยังไม่หลับอีก 555+ มาครับ เมื่อไอเสียถูกปล่อยออกมาเข้า ท่อร่วมไอเสียเป็นช่วงๆ เป็นคลื่น ไหลตามกันอยู่ในท่อ โดยที่ท่อบริเวณใกล้เครื่องยนต์จะมีความดันสูงกว่าความดันบรรยากาศ และที่ปลายท่อจะมีความดันต่ำกว่าความดันบรรยากาศ Pressure different นี้จะสร้างแรงดูดให้เจ้าคลื่นไอเสียนี้ไหลในท่อไอเสียได้ครับ โดยมีความดันนี้เป็นตัวควบคุม
ดังนั้นประสิทธิภาพของการไหลของไอเสีย จะเกิดจากการสร้างท่อไอเสียให้เกิดความแตกต่างของความดันระหว่างต้นท่อกับ ปลายท่อให้มากที่สุด และต้องให้ สอดคล้องกับลักษณะของ Exhaust Pulse ด้วย เห็นมั้ยครับไม่ใช่ว่าจะเอาท่อไก่กาที่ไหนมาสร้างเป็นท่อไอเสียได้นะครับ แล้วยิ่งทาง ติด header ที่ออกแบบมาดี ให้ Pulse ที่สอดคล้องกับขนาดและความยาวท่อแล้ว จะยิ่งเสริมประสิทธิภาพกันครับ
ต่อมามาว่าถึงเรื่องขนาด ถ้าไปเจอช่างที่ไหนบอกท่อยิ่งใหญ่ยิ่งดี รีบขับรถออกมาจากอู่นั้นให้อย่างไวเลยนะครับ เพราะมันเตรียมจะฟันเงินเราแล้ว
แต่ ถ้าบอกว่า เครื่องยนต์ของคุณมันต้องการท่อขนาด 3 สิ นิ้ว เพราะท่อเดิมของคุณมันเป็น 1.5 นิ้วเอง คุณเล่นไปโมเครื่อง ติดระบบอัดอากาศมาแล้วมาถามว่าทำไม เร่งไม่ค่อยออก ไม่แรง ขึ้น คุณต้องเปลี่ยนท่อด้วยทำให้มันใหญ่ขึ้นเป็น 3 นิ้วสิมันถึงจะแรง อันนี้ไม่เถียง แต่ไม่ใช่ว่ารถที่วิ่งอยู่ปกติใช้ท่อ 1.5 นิ้วก็แล้วมาเปลี่ยน 3 นิ้วแล้วจะแรง อันนี้ไม่จริงครับ เพราะปกติรถยนต์ทั่วไปออกจากโรงงานเค้าออกแบบท่อไอเสียให้มีค่าการFlow ของไอเสียที่เหมาะสมกับมวลของไอเสีย ที่รอบเครื่องยนต์แต่ละย่านความเร็ว แล้วหาค่าเฉลี่ยของแรงม้าและแรงบิดที่ได้ออกมา โดยเลือกเอาค่าเฉลี่ยที่ดีที่สุด หากเครื่องไม่มีการModify ด้วยการเพิ่มน้ำมันและอากาศเข้าไปมากกว่าเดิม นั่นคือมวลของไอเสียเท่าเดิม เมื่อเราเพิ่มขนาดของท่อไอเสียเข้าไป( ให้ใหญ่ขึ้น ) มันจะส่งผลให้การFlow ของไอเสียลดลงครับ ศัพท์เด็กซิ่งคือ คายไอเสียไม่ออก เลยอ่า แสดดด ทำให้แรงม้าและแรงบิดลดลง การคายไอเสียไม่ออก ยังส่งผลให้เกิดความร้อนสะสมที่โข่งหลังของ Turbo ทำให้โข่งหลังแตก หรือร้าวได้
บางคนอาจจะบอกว่า ท่อใหญ่ได้ปลายดีนะ สาดดด อันนี้ไม่เถียง เพราะการที่จะให้Flow ของไอเสียเพิ่มขึ้นเพื่อให้การคายไอเสียได้ดีขึ้น ถ้าท่อใหญ่กว่าปกติ มันก็ต้องเร่งรอบสูงกว่าปกติด้วย แต่ท่อไอเสียที่มีขนาดเหมาะสมที่สุด ก็คือท่อที่ให้ค่าFlowของไอเสียคงที่ๆสุด ทั้งรอบสูงและรอบต่ำครับ แต่ของดีไปหมดหายากครับการที่จะให้ท่อไอเสียตอบสนองทุกย่านความเร็วรอบให้คงที่จึงเป็นไปไม่ได้ แต่ก็วิธีแก้ คือทดสอบเก็บค่าทุกย่านความเร็วรอบ และหาค่าเฉลี่ยที่ดีที่สุดเอา
สรุป ท่อไอเสียขนาดเล็กกว่า จะตอบสนองดีที่รอบต่ำ แต่อาจจะไม่ดีที่รอบสูงๆ ถ้ามันเล็กเกินไป
และท่อไอเสียขนาดใหญ่กว่า จะตอบสนองดีที่รอบสูง แต่อาจจะไม่ดีที่รอบต่ำๆ ถ้ามันใหญ่เกินไป ท่อที่ดีที่สุดคือท่อที่มีขนาดเหมาะสม สามารถระบายไอเสียออกได้หมดพอดี ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไปครับ
มันเกือบจะมีมาตรฐานที่เค้าวางเอาไว้ว่า รถกำลังเครื่องเท่านี้ ท่อควรมีขนาดเท่าไหร่ โดยสรุปได้ประมาณนี้
ประมาณ 200 แรงม้า 2.5-3นิ้ว
ประมาณ 300 แรงม้า 3-4 นิ้ว
ประมาณ 400-500 แรงม้า 4 นิ้ว
500 อัพ ก็ตามศรัทธาเลยครับ เต็มที่กับชีวิต
อ่านกันเพลินๆ หวังว่าจะได้ความรู้เพิ่มไม่มากก็น้อยนะครับ 55+