AE. Racing Club
20 กรกฎาคม 2568 22:26:23 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [«5]  «  1 ... 4 5 [6] 7 8  »    ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง  (อ่าน 27271 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
N u T 7 a_9 0 ™
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,121


New Doraemon Verion


ดูรายละเอียด
« ตอบ #100 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2552 11:43:38 »

หัวเป็ดอ่ะครับที่ใส่ชุดสีขาวฟ้า ที่มันใช้ไดมอนดัสเป็นท่าไม้ตาย
บันทึกการเข้า

ไปเรื่อยๆ... กูไม่รีบ
จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ>
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6,635


เข้าป่าพอไหว..ขับไวเค้ากัววว


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #101 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2552 11:44:59 »

อืมมม

ทบทวนๆๆๆ
บันทึกการเข้า

หันมาเล่นออฟโรดดีกว่า

ไม่ได้เหลือ..แค่เบื่ออะไรเดิมๆ
N u T 7 a_9 0 ™
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,121


New Doraemon Verion


ดูรายละเอียด
« ตอบ #102 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2552 11:47:51 »

ดูเคเบิ้ลช่อง 51 บ่อย แต่มันชอบฉายซ้ำ
บันทึกการเข้า

ไปเรื่อยๆ... กูไม่รีบ
Tatum + Apple
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,899


ปิดตำนาน น้องส้มแห่งโซนศรีฯ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #103 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2552 13:34:59 »

ซึบาสะ.. มิซากิ.. เฮียวงะ.. วากาบายาชิ.. อิชิซากิ.. วากาชิมัตสึ ...
บันทึกการเข้า

N u T 7 a_9 0 ™
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,121


New Doraemon Verion


ดูรายละเอียด
« ตอบ #104 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2552 15:06:03 »

ซึบาสะ.. มิซากิ.. เฮียวงะ.. วากาบายาชิ.. อิชิซากิ.. วากาชิมัตสึ ...
ที่น้าตั้มว่ามา รู้อันแรกอันเดียว -*-
บันทึกการเข้า

ไปเรื่อยๆ... กูไม่รีบ
landslots รัก ในหลวง
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,048


- ก็ได้แค่นั้นแหละ -


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #105 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2552 10:46:59 »

ใครมี อาราเล่ บ้างครับ
บันทึกการเข้า

กลับมาแล้ว

Jigging man
[/center]
N u T 7 a_9 0 ™
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,121


New Doraemon Verion


ดูรายละเอียด
« ตอบ #106 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2552 10:50:48 »

เนื้อเรื่อง
ระวังเสียอรรถรส ข้อความด้านล่างนี้กล่าวถึงเนื้อเรื่องหรือฉากจบ

เนื้อเรื่องตอนต้น
เรื่องเกิดขึ้นในหมู่บ้านเพนกวิน โดย ดร.สลัมป์ หรือ ดร.โนริมากิ เซมเบ้ ซึ่งเป็นนักประดิษฐ์ ได้ทำการประดิษฐ์หุ่นยนต์ที่เหมือนมนุษย์ที่ชื่อว่าโนริมากิ อาราเล่ขึ้นมา แต่ในเวอร์ชันใหม่นั้น ดร.สลัมป์ตั้งใจจะสร้างหุ่นยนต์คนใช้สุดสวย แต่ได้เกิดฟ้าผ่าขึ้น จนทำให้อุปกรณ์ได้รวนขึ้นมา แล้วสร้างหุ่นยนต์เด็กผู้หญิงมาแทน หลังจากนั้น ก็ได้พบกับไข่ในยุดไดโนเสาร์ ซึ่งฟักออกมาแล้วก็ได้เด็กผมสีเขียว (ในเวอร์ชันใหม่เป็นสีทอง) อาราเล่ได้ตั้งชื่อว่า"โนริมากิ กั๊ตซิลล่า"ซึ่งเป็นคำประสมระหว่าง ก็อตซิลล่ากับกาเมล่า โดยเรียกสั้นๆว่า"กั๊ตจัง"

เนื้อเรื่องตอนกลาง
ในช่วงนี้ โนริมากิ เซมเบ้ ได้แต่งงานกับยามาบุกิ มิโดริ เพราะการพูดขอแต่งงานเล่นๆของเซมเบ้ (แต่ในเวอร์ชันใหม่จะเป็นการซ้อมขอแต่งงานแทน) ซึ่งอาราเล่ได้ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปลายไปด้วย โดยมีครูคนใหม่ที่หัวคล้ายลูกเกาลัดมาแทน (เพราะครูมิโดริจะสอนเฉพาะชั้นมัธยมต้นเท่านั้น) แล้ววันหนึ่ง อาราเล่ได้เห็นอะไรแปลกๆ จึงใช้ลำแสงดีจ้าใส่สิ่งนั้น ซึ่งก็คือยานอวกาศของครอบครัวซุนที่กำลังจะไปดวงจันทร์นั่นเอง ทำให้ยานอวกาศลำนั้นได้ตกไปที่ข้างๆบ้านของเซมเบ้ จึงทำให้ครอบครัวซุนกลายเป็นเพื่อนบ้านของเซมเบ้ไปโดยปริยาย

เนื้อเรื่องตอนปลาย
เป็นช่วงที่ดร.มาชิริโตะได้สร้างหุ่นยนต์ที่เหมือนอาราเล่ทุกประการ (ยกเว้นเพศ,ความคิดและนิสัย) แล้วใช้ชื่อว่า"คาราเมลแมนหมายเลข4"(ดร.มาชิริโตะเคยสร้างหุ่นยนต์ตระกูล"คาราเมลแมน"มาแล้ว3ตัว) เพื่อกำจัดอาราเล่โดยอ้างว่า อาราเล่จะยึดครองโลก แต่คาราเมลแมนหมายเลข4กลับตกหลุมรักอาราเล่ทำให้สับสน แต่ก็เข้าใจแล้วว่าอาราเล่ไม่ใช่คนร้ายแต่อย่างใด จึงไม่ทำอะไรกับอาราเล่ ทำให้ดร.มาชิริโตะไล่ออกจากบ้าน ทำให้เขาตัดสินใจสร้างบ้านเอง แต่เขาได้เห็นบ้านร้างอยู่หลังหนึ่ง (ความจริงแล้วเป็นบ้านของซุปเปอร์แมนที่ไม่ได้ล็อกกลอนประตู) คาราเมลแมนหมายเลข4จึงนำบ้านหลังนั้นมาวางไว้ใกล้ๆกับบ้านของเซมเบ้ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น โอโบจามะ หลังจากนั้น โอโบจามะก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่อาราเล่อยู่ แล้วเป็นเพื่อนกัน

จบเนื้อหาส่วนที่เสียอรรถรสแล้ว ข้อความด้านบนนี้กล่าวถึงเนื้อเรื่องหรือฉากจบ

ตัวละครหลัก
ดร.โนริมากิ เซมเบ้ หรือ ดร. เซมเบ้ (ญี่ปุ่น: 則巻千兵衛 Norimaki Senbei  "Seaweed-wrapped Rice cracker" ?)
นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ชอบประดิษฐ์ของประหลาดออกมาเสมอ เป็นคนลามก ชอบแอบดูสาวๆสวยๆ ที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือกำลังอาบน้ำ



โนริมากิ อาราเล่ (「則巻アラレ」, Norimaki Arare, 則巻アラレ?)
เป็นตัวละครในการ์ตูนเรื่อง ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ เป็นหุ่นยนต์ที่ดร. เซมเบ้ สร้างขึ้นมา ให้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 13 ปีอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแพนกวิน มีนิสัยร่าเริง และมีพลังอย่างมหาศาล ชื่ออาราเล่ตั้งมาจากชื่อขนมญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายขนมเซมเบ้แต่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งเป็นนัยว่าเป็นน้องสาวของ ดร.เซมเบ้ (เพราะดร.เซมเบ้อ้างว่าเป็นน้องสาวของตน จึงต้องตั้งชื่อนี้เพื่อไม่ให้ชาวหมู่บ้านเพนกวินรู้ความลับ) ส่วนคำว่า โนริมากิ แปลว่า "ห่อด้วยสาหร่าย"
เป็นหุ่นยนต์แอนดรอยด์ล้ำยุคที่ ดร.สลัมป์ สร้างขึ้น เนื่องจากสร้างหัวก่อน ทำให้อาราเล่เรียนรู้สิ่งต่างๆจากได้จากทีวีเท่านั้น การจ้องมองทีวีทั้งวันทั้งคืนเลยทำให้อาราเล่สายตาสั้น และชอบทำตัวรุนแรงเลียนแบบรายการมวยปล้ำในทีวี ความสามารถพิเศษของอาราเล่ คือ พลังอันแข็งแกร่งและวิ่งเร็วเหมือนติดเทอร์โบ

อาราเล่เป็นเด็กมีนิสัยร่าเริง แต่ด้วยเธอที่เป็นหุ่นยนต์ที่มีพลังมหาศาลนั้น ไม่ว่าเวลาเธอจะทำอะไร มักทำให้หมู่บ้านเพนกวินเดือดร้อนเสมอ ตั้งแต่สัตว์ไปถึงคน อาราเล่ชอบเล่นอุนจิ โดยการเอาไม้ไปจิ้มอุนจิแล้วพูดออกมาว่า "จิ้มๆๆๆ" (ญี่ปุ่น: 則巻アラレ Norimaki Arare  "Seaweed-wrapped Mini-rice cracker" ?)




กั๊ตจัง หรือ โนริมากิ กั๊ตซิล่า (ญี่ปุ่น: 則巻ガジラ Norimaki Gajira? / Gadzilla? "Gatchan" ?)
ตัวละครในการ์ตูนเรื่อง ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ เป็นมนุษย์ต่างดาว มีปีก สามารถบินได้ อาศัยอยู่กับอาราเล่ในหมู่บ้านเพนกวิ้น เป็นเด็กที่ร่าเริงเหมือนอาราเล่ และสามารถใช้ไฟฟ้าช๊อตใส่ศัตรูได้ ความสามารถพิเศษนอกจากปล่อยกระแสไฟได้แล้ว กินสิ่งของได้ทุกอย่าง ยกเว้น วัตถุที่ทำจากยาง


อาจารย์มิโดริ (ญี่ปุ่น: 山吹みどり Yamabuki Midori?  "Orange-yellow Green" ?)
เป็นคุณครูในโรงเรียนมัธยมต้นของอาราเล่ ภายหลังได้แต่งงานกับ ดร.เซมเบ้
ตัวละครรอง
โอโบจามะ
อากาเนะ
ทาโร่
พีสึเกะ
ซุน ซุกซุ่น
ซุน เหมยหลิง
[แก้] ตัวละครอื่นๆ
คิโนโกะ
ซุปเปอร์แมน
ราชานิโคจัง
ดร.มาชิริโตะ
คุณครูหัวเกาลัด
สป็อค นักเรียนแลกเปลี่ยนจากดาววัลแคน จากเรื่องสตาร์ เทรค
ป้าฮารุ (ป้าร้านขายบุหรี่)

 
บันทึกการเข้า

ไปเรื่อยๆ... กูไม่รีบ
จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ>
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6,635


เข้าป่าพอไหว..ขับไวเค้ากัววว


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #107 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2552 01:19:03 »

ประวัติศาสตร์การสู้รบอันยาวนาน ด้วยสาเหตุทางศาสนา ที่นำมาเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้ ก็คือ สงครามครูเสด (THE CRUSADES) อันยิ่งใหญ่และยาวนาน

ดินแดนปาเลสไตน์ อันเป็นถิ่นกำเนิดของ พระเยซูไครสท์นั้นถือ กันว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคริสต์ศาสนิกชน พากันไปจาริกแสวงบุญ ตั้งแต่ต้นคริสตกาล โดยชนชาติซาราเซ็น ที่ปกครองปาเลสไตน์อยู่นั้นก็ยินดีต้อนรับ เพราะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจาก นักแสวงบุญเหล่านั้น หากทว่าตั้งแต่ ค.ศ. 1076 เป็นต้นมา พวกเติร์กมุสลิมได้เข้ามาเป็นใหญ่เหนือดินแดน ศักดิ์สิทธิ์นี้ และได้ปล้นฆ่านักจาริกแสวงบุญ อย่าง..น่ารัก..มโหดรวมทั้งทำลายโบสถ์ ของชาวคริสต์เกือบหมดสิ้น


ในช่วงนี้มีพระคริสเตียนรูปหนึ่งนามว่า ปีเตอร์ เป็นชาวฝรั่งเศส ซึ่งชอบใช้ ชีวิตสันโดษ ได้จาริกไปยังนครเยรูซาเลม โดยที่นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ปอนๆ และพำนักอาศัยอยู่ใน ถ้ำตามภูเขา ทำให้ผู้คนมีความชื่นชมศรัทธาและขนานนามให้ว่า ปีเตอร์มหาฤาษี (Peter the Hermit)

เมื่อสาธุคุณปีเตอร์ ได้เห็นชนมุสลิม กระทำทารุณกรรมต่อชาวคริสต์ จึงคิดอ่านที่จะแก้ไข ด้วยการทำศึก ชิงเอาดินแดนแห่งพระไครสท์คืนมา ท่านจึงเดินทางกลับยุโรป และทูลถึงแผนการนี้แด่ท่าน สังฆนายกเออร์บันที่ 2 (Urban II) ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนและ ให้ดำเนินการได้

เมื่อประชาชนชาวยุโรป ได้รับรู้ถึงความ โหดร้ายทารุณที่เกิดขึ้นกับ นักจาริกแสวงบุญจากการ ป่าวร้องของนักบุญปีเตอร์ ต่างก็โกรธแค้นและหลั่งไหลกันมาฝรั่งเศสจากทั่วยุโรป เพื่อสมัครไปรบแย่งชิง นครเยรูซาเลมคืนมา โดยสังฆนายกเออร์บันได้กำหนดให้ทุกคนที่ไปรบ ติดเครื่องหมายกางเขนไว้ที่ตัว กองทัพนี้จึงได้ชื่อว่า ครูเสด (Crusade) คือมาจากคำว่า (Cross) ที่หมายถึงไม้กางเขนนั่นเอง


ไม่มีใครคิดว่าสงครามครั้งนี้จะยืดเยื้อยาวนานเกือบ 200 ปี!

โดยสงครามครูเสดครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. 1096-1099 ชาวยุโรปที่กระหายจะไปรบ ได้รวมพลกันมากถึง 250,000 คน แต่ทว่าส่วนใหญ่เป็นชนชั้นต่ำ มีทั้งผู้หญิงและเด็กตามไปด้วย อาวุธก็ตามแต่จะหาได้ จึงเป็นเพียงกองกำลังมหึมาที่ปราศจาก อานุภาพ ภายใต้การนำของปีเตอร์มหาฤาษี ขาดทั้งวินัยและเสบียง ต้องหากินด้วยการปล้น ในระหว่างทางล้มตายไปก็มาก จึงถูกพวกเติร์กโจมตีแตกพ่ายอย่างง่ายดาย

ต่อมาใน ค.ศ. 1096 จึงได้มีการรวบรวม อาสาสมัครขึ้นใหม่ 600,000 คน และมีนักรบที่แท้จริงกว่าในหนแรก ประกอบด้วยอัศวินและ ทหารภายใต้การควบคุมของ เจ้าผู้ครองนครต่างๆในยุโรป จัดเป็นทหารชั้นดีมีอุปกรณ์ เพียบพร้อม ทั้งเสื้อเกราะ หมวกเหล็ก โล่ และอาวุธต่างๆ ครบครันเป็นทหารม้าสวมเกราะถึง 100,000 คน


อย่างไรก็ดี เนื่องจากมีนายหลายคนและ ปราศจาก แม่ทัพใหญ่ผู้มีอำนาจบัญชาการ สูงสุด จึงไม่มีความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันดั่งที่กองทัพพึงมี จึงจัดเป็นจุดอ่อนของทัพนี้


สมรภูมแห่งเมืองอันติอ๊อก (Antioch) 
ในช่วงแรกทัพครูเสดมีชัยตีได้เมืองต่างๆ ตามทาง จนกระทั่งได้ อันติอ๊อก (Antioch) เมืองหลวงของซีเรีย แต่ก็สูญเสียกำลังพลไปมาก เหลือม้าศึกเพียงแค่ 2,000 ตัวเท่านั้น ครั้นแล้วจึงมุ่งตรงไปยังนครเยรูซาเลม ซึ่งขณะนั้นตกอยู่ในการครอบครองของอียิปต์ ทัพครูเสดตีเยรูซาเลมได้ในเดือนกรกฎาคมปี 1099 จับมุสลิมและยิวฆ่าเสียราว 70,000 คน จากนั้นพวกครูเสดจึงตั้ง กอดเฟรย์แห่ง บุยอินยอง ผู้นำทัพเบลเยียม ขึ้นเป็นกษัตริย์ ปกครองเยรูซาเลม ส่วนเหล่านักรบครูเสดก็แยกย้ายกันเดินทางกลับภูมิลำเนาของตน


หลังจากสงบมาได้หลายสิบปี ก็ได้มีพวกเติร์กใหม่ซึ่งเข้มแข็ง ยกกำลังเข้ามารุกรานคุกคาม ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้อีก ชาวคริสต์ในเยรูซาเลมจึงขอความพิทักษ์ภัยไปยังยุโรป และก็สามารถระดมกำลังพลได้ถึง 300,000 คน แต่ก็อีกนั่นแหละ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกไร้ฝีมือทัพครูเสดภายใต้ การนำของกษัตริย์ คอนราดที่ 3 แห่ง เยอรมัน กับ พระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศส ที่ยกไปในช่วงปี ค.ศ. 1148 จึงถูกทัพมุสลิมตีแตกพ่ายไปตั้งแต่ยังไม่ทันถึงนครเยรูซาเลม


พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ 
สงครามครูเสดครั้งต่อมา จัดเป็นการศึกที่ยิ่งใหญ่และมีตำนานต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยทางฝ่ายคริสเตียน มีนายทัพชั้นดีหลายคน อาทิ พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ (Richard the lion hearted) แห่งอังกฤษ กษัตริย์ ฟิลลิป ออกัสตัส แห่งฝรั่งเศส พระเจ้า เฟร เดอริก บาร์บารอสซา แห่งเยอรมัน

ทางฝ่ายมุสลิมก็มีขุนทัพ ซาลาดิน (Sarla din) ผู้ เกรียงไกรของเติร์ก ซึ่งสามารถรวบรวมรัฐทั้งหลายของชนเผ่า ซาราเซนให้เป็นอาณาจักรเดียวกันได้สำเร็จ และสุดท้ายก็ตีได้นครเยรูซาเลม ในปี ค.ศ. 1187 อันเป็นสาเหตุให้ฝ่ายคริสต์ต้องยกขบวนครูเสดมาแย่งคืนนั่นเอง


ทัพครูเสดจากอังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมัน มารวมพลกันที่เมืองเอเคอร์ติดชายแดนซีเรีย ในปี ค.ศ. 1189 หลังจากสู้รบกับทัพที่สุลต่านซาลาดินส่งมาอยู่นานถึง 23 เดือน ก็ตีได้เมือง เอเคอร์ในที่สุด และจับชาวมุสลิมกระทำทารุณ อย่าง..น่ารัก..มโหด แล้วสังหารทิ้งถึง 25,000 คน ด้วยแค้นที่ รบต้านทานทรหดทำให้ต้องสูญเสียทหารคริสเตียนไปมากมาย

แม้ริชาร์ดใจสิงห์ จะทรงพลังเข้มแข็ง แต่ไม่สู้ลงรอยกับ ผู้นำของชาติอื่นๆ ทำให้เกิดความขัดแย้งกันตลอดเวลา ตรงกันข้ามกษัตริย์ริชาร์ดกลับมีความสัมพันธ์ฉันสหายกับ สุลต่านซาลาดิน ซึ่งเป็นคู่ปรับตัวฉกาจ ทั้งสองต่างยอมรับนับถือในฝีมือของกันและกัน รวมทั้งได้ มีการเจรจาออมชอมพักรบกันเป็นครั้งคราว โดยที่ทั้งสอง ต่างก็รักษาสัจจะวาจาอย่างเคร่งครัด

สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่ง ก็คือ ความแตกต่างระหว่าง นักรบฝ่ายคริสเตียนกับนักรบมุสลิม โดยนักรบจากยุโรปมักมีร่างกายใหญ่โตบึกบึน แต่งกายออกศึกในชุดหุ้มเกราะอันหนักอึ้ง แม้กระทั่งม้าศึกก็มีเกราะหุ้มกำบัง อาวุธที่ใช้ก็เป็น ดาบและโล่ที่มีน้ำหนัก ส่วนทางฝ่ายมุสลิมจะมีรูปร่างเล็กกว่า สวมเสื้อหนังและใช้ดาบซาระเซนรูปโค้งดั่งเคียวและ คมกริบ นักรบมุสลิมจะรบอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว ในขณะที่นักรบครูเสดอุ้ยอ้ายเทอะทะ แต่มีอาวุธที่หนักหน่วงกว่า และมีอุปกรณ์ป้องกันตนเหนือกว่า




มีข้อดีและข้อด้อยที่ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก จึงเป็นการรบที่น่าดูอย่างยิ่ง

ท้ายที่สุดในปี ค.ศ. 1192 สหายศึกทั้งสองคือริชาร์ดใจสิงห์ กับซาลาดิน ก็กินกันไม่ลง และได้ทำสัญญาสงบศึกต่อกัน แต่ หลังจากสัญญาสิ้นสุดลงก็ได้มีสงครามครูเสดเล็กๆ น้อยๆเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง


สงครามครูเสดครั้งสุดท้าย เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1229 โดยการนำทัพของ พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 2 แห่งเยอรมัน ซึ่งในระหว่างนั้นเหล่ามุสลิมกำลังเกิดความขัดแย้งระส่ำระสาย กองทัพคริสเตียนจึงได้ชัยชนะ และยึดเอาเมืองต่างๆ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไว้ได้ รวมทั้งเยรูซาเลม หลังจากปกครองอยู่ 10 ปี พวกอียิปต์ก็กลับเข้ามาตีเมืองเยรูซาเลมคืนในปี ค.ศ. 1244 และขับ ไล่นักรบครูเสดออกไปทีละเมืองจนหมดใน เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1291

และเป็นการยุติสงครามครูเสดอันยาวนานถึง 1,200 ปี โดยสิ้นเชิง



เรื่องราวของครูเสดได้เกิดเป็นตำนาน มากมาย อาทิ เรื่องของอัศวิน เทมพลา (The Knights Templar) ซึ่งเป็นนักรบผู้กล้าหาญ แต่หลังจากเสร็จสิ้นสงครามก็ถูกกล่าวหา ว่าปล้น หรือยักยอกสมบัติที่ยึดครองจากข้าศึก หรือตำนานความสัมพันธ์อันซับซ้อน ระหว่างริชาร์ด ใจสิงห์กับสุลต่านซาลาดินดัง มีอยู่ในนิยายเรื่อง THE TALISMAN ของ เซอร์ วอลเตอร์ สก็อตต์ หรือแม้กระทั่งเรื่องของขุนศึกครูเสดใจเพชร ในภาพยนตร์ THE KINGDOM OF HEAVEN ที่โด่งดัง

บันทึกการเข้า

หันมาเล่นออฟโรดดีกว่า

ไม่ได้เหลือ..แค่เบื่ออะไรเดิมๆ
landslots รัก ในหลวง
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,048


- ก็ได้แค่นั้นแหละ -


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #108 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2552 08:05:05 »

 
บันทึกการเข้า

กลับมาแล้ว

Jigging man
[/center]
N u T 7 a_9 0 ™
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,121


New Doraemon Verion


ดูรายละเอียด
« ตอบ #109 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2552 23:53:48 »

ที่มาของคำว่า .....เกรียน

เห็นเค้าชอบพูดกันว่าเกรียนๆๆ
ก็เอามาให้อ่านกันว่าแปลว่าอะไร

ไม่ได้อยากจะทำให้เครียดนะครับ แต่เอามาให้อ่านกันเฉยๆ


ความหมายของคำว่า "เกรียน"

ภาษาไทยวันละคำวันนี้ขอเสนอคำว่า เกรียน หากเปิดหาคำนี้ใน พจนานุกรรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หน้า 141 จะพบว่าถูกนิยามความหมายไว้ 3 ความหมายด้วยกันดังนี้



เกรียน ๑ [เกรียน] ว. สั้นเกือบติดหนังหัว ผิวหนังหรือ พื้นที่ เช่น ผมเกรียน หมาขนเกรียน หญ้าเกรียน

เกรียน ๒ [เกรียน] ดู เลี่ยน ๑.

เกรียน ๓ [เกรียน] น. แป้งซึ่งนวดด้วยน้ำร้อนแล้วไม่น่ายเป็นเม็ดปนอยู่ เม็ดนั้นเรียกว่า เกรียน; เรียกปลายข้าวขนาดเล็กว่า ข้าวปลายเรียน



แต่วันนี้ผมไม่ได้มาพูดถึงคำนี้ตามที่พจนานุกรรมให้นิยามไว้หรอกนะครับ แต่ผมขอพูดถึงมันในแง่มุมของมนุษย์ Cyber กันดีกว่าเราจะมาค้นหาความหมายของมันกันและเมื่อรู้ความหมายแล้วอย่าลืมสำรวจตัวเองด
้วยนะว่าคุณ “เกรียนหรือเปล่า”



ต้นกำเนิดแห่ง เกรียน



เกรียน คำนี้มีต้นกำเนิดมาจากที่ใดไม่มีหลักฐานระบุชี้ชัดได้ แต่ที่แน่ๆ บนศิลาจารึก หลักไหนๆ ก็คงไม่มีคำๆ นี้ปรากฏอยู่เป็นแน่ ผู้คว่ำวอร์ดในวงการณ์เกมบางคนบอกว่า พบเห็นคำนี้ครั้งแรกมาจากเกมออนไลน์ที่มีผู้นิยมเล่นสูงสุดเกมหนึ่ง ส่วนผู้คว่ำวอร์ดในวงการณ์บอร์ดบอกว่าเห็นครั้งแรกในเว็บซื้อขายแลกเปลี่ยนที่มีผู้ใ
ช้มากที่สุดแห่งหนึ่ง ผมจึงไม่สามารถอ้างอิงได้ว่ามันมีต้นกำเนิดจากที่ใดกันแน่ รู้แต่เพียงว่าวันนี้มันถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย



การขยายตัวของ เกรียน



เกรียน ไม่ใช่คำด่าพร่ำเพรื่อเหมือนอย่างคำด่าอื่นๆ ที่เราคุ้นเคยมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแห่ง แต่เป็นคำที่ใช้ เฉพาะเจาะจงสำหรับกลุ่มคนประเภทหนึ่ง กลุ่มคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนพิเศษนักวิชาการบางท่านบอกว่า เป็นอาการของคนที่เสพหญ้ามากเกินไป จนคอโรฟิวในหญ้าไปอุดตันสมอง จนส่งผลให้การทำงานของสมองซีกขวา ซึ่งเป็นสมองด้านของเหตุผลและการเรียนรู้ หดตัวลง ในขณะที่สมองซีกซ้ายที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการใช้อารมณ์ขยายตัวใหญ่ขึ้น จึงส่งผลให้คนกลุ่มนี้ใช้แต่อารมณ์มากกว่าเหตุผลและการวิเคราะห์ไตร่ตรอง ดังจะพบพฤติกรรมดังกล่าวได้บ่อยๆ ในเกมออนไลน์ หรือตามเว็บบอร์ดทั่วไป สาเหตุที่ทำให้คำนี้เกิดการใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นไม่ใช่เพราะมันถูกนำมาใช้เป็นคำแ
ฟชั่นหากแต่กลุ่มคนประเภทดังกล่าวขยายตัวมากขึ้นและลุกลามอย่างรวดเร็วจนยากที่จะหยุ
ดยั้งได้ต่างหาก



กลุ่มที่อยู่ในสภาวะ เกรียน



หลายคนอาจจะเข้าใจผิดจนเหมารวมไปเลยว่า เกรียน คือ กลุ่มเด็ก ตั้งแต่ ป.1 จนถึง มัธยมปลาย ที่ตัดผมสั้นเกรียน สาเหตุที่หลายคนตีความแบบนั้นอาจจะเป็นด้วยลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่นคือทรงผมที่เลี
่ยนเกรียนติดหนังหัว ซึ่งความจริงแล้วตาม “กฎของ เกรียน” หรือ “เกรียน Law” นั้นลักษณะดังกล่าวเป็นเพียงรากศัพท์ของคำว่า เกรียน เท่านั้นเอง หากแต่ในความเป็นจริง ตามหลักของ “เกรียน Law” คือ “ความเกรียนไม่จำกัด ทรงผม อายุ เพศ หรือ ฐานะ ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมในความเกรียนเหมือนกันหมด” ดังนั้นจึงพอจะสรุปได้ว่า สภาวะเกรียน เป็นสภาวะของพฤติกรรม ทางความคิด หาใช่ลักษณะทางกายภาพอย่างที่หลายคนเข้าใจกันไม่



ทำไมต้อง เกรียน



หลังจากที่ได้ทำการศึกษาและค้นคว้าเป็นเวลาหลายวันผมได้พบว่า คำเหยียดสติปัญญาคำนี้เกิดขึ้นด้วยสาเหตุที่ว่า กลุ่มคนที่อยู่ในสภาวะเกรียนส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก และเป็นกลุ่มเด็กที่เล่นเกมออนไลน์ อาจจะด้วยเพราะเกมออนไลน์ในบ้านเรา เปิดกว้างมากจนเกินไป จนเกิดการกระจุกตัวทางการแสดงออกในสถานที่เดียวกัน จนเมื่อเด็กๆ เกิดการคลุกคลีกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมบ่อยๆ จึงดูดซึมพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านั้นมาใช้โดยไม่มีคนคอยให้คำแนะนำ โดยพฤติกรรที่เราจะพบเห็นได้จากเด็กที่อยู่ในสภาวะเกรียนก็คือ การกระทำที่ไร้ความคิด พฤติกรรมไร้เหตุผล พฤติกรรมก้าวร้าวทางคำพูดและความคิด เมื่อเข้าสู่สภาวะเกรียนสมองซีกซ้ายจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งคนที่อยู่ข้างๆ ต้องเข้าระงับสติด้วยการ เบิร์ดกระบาล ซีกซ้ายซะหนึ่งที ก่อนที่อาการจะลุกลามถึงขั้น “โคบ้า” ถ้าเป็นพวกวิกฤติหนักๆ ก็อาจจะกลายเป็น “กระบือบ้า” ได้เหมือนกัน



อาการที่เรียกว่า เกรียน



- กลุ่ม เกรียน มักจะมีความเชื่อมั่นตัวเองสูงในจินตนาการ แต่ปฏิบัติตัวตรงกันข้าม อยากเทพแต่ทำตัว*** เกรียนประเภทนี้มีคนให้นิยามจำแนกออกมาเป็น กลุ่ม เทพเกรียน หรือ King of เกรียน หรือ เกรียน เหนือ เกรียน

- กลุ่ม เกรียน มักจะมีความอดทนต่อสิ่งเร้าภายนอกน้อยกว่าบุคคลปกติ และควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ มักแสดงออกทางคำพูด มากกว่าทางความคิด หรือทีเรียกว่า “พูดโดยไม่คิด” ในบางรายจะชอบด่าทอผู้อื่นแบบไร้เหตุผล โดยเชื่อมั่นว่าตัวเองถูกเสมอ จนบางครั้งก้าวล่วงไปถึงบุพการีของผู้อื่น

- ชาวเกรียนจะมีความสุขไปกับการ ด่าคนแบบไร้ เหตุผล และอดีนาลีนของชาวเกรียนจะสูบฉีดรุนแรงขึ้นเมื่อถูกด่าตอบ ชาวเกรียนมีพฤติกรรมที่ชอบเรียกร้องความสนใจ ดังจะพบได้ตามเว็บบอร์ด ในกระทู้ดักควายต่างๆ พอเห็นคนเข้ามาด่าก็นั่งยิ้มชื่นใจ จนกลายเป็นค่านิยมเสพติดของพวกเค้าไปแล้ว

- อาการหนึ่งที่เห็นได้ชัดจาก กลุ่มเกรียนคือจะเป็นกลุ่มคนที่มี IQ และ EQ ต่ำ เนื่องจากไม่ค่อยชอบใช้ความคิด ชอบใช้แต่อารมณ์ สมองไม่สามารถดูดซึมเหตุผลเข้าไปได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องปลุกเร้าอารมณ์ก้าวร้าวจะตื่นตัวในทันที
บันทึกการเข้า

ไปเรื่อยๆ... กูไม่รีบ
N u T 7 a_9 0 ™
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,121


New Doraemon Verion


ดูรายละเอียด
« ตอบ #110 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2552 23:57:56 »

ที่มาของกูรู

กูรู
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี



กูรู (गुरू สันสกฤต) เป็นคำทับศัพท์ หมายถึง ครู หรือ อาจารย์ ในศาสนาพราหมณ์ฮินดู มาจากปรัชญาความเชื่อในความสำคัญของการเข้าถึงความรู้ โดยมี กูรู หรือ อาจารย์เป็นผู้ชักนำไปสู่จุดสูงสุด ในประเทศอินเดียในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู และซิกข์ คำ กูรู นี้ยังคงความหมายของความศักดิ์สิทธิ์

อนึ่ง คำว่า กูรู นี้เป็นการทับศัพท์ในภาษาอังกฤษ โดยสะกดว่า "guru" ซึ่งหากทับศัพท์มาใช้ในภาษาไทย ก็จะต้องเขียน "คุรุ" ซึ่งมีศัพท์นี้อยู่แล้วในภาษาไทย เช่น คุรุสภา, คุรุศึกษา เป็นต้น (ในภาษาบาลีใช้ "ครุ" เช่น ครุศาสตร์, ครุภัณฑ์) อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีความนิยมใช้คำว่า กูรู นี้ในเชิงการบริหารและการศึกษา หมายถึง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในสาขานั้นๆ

กูรู ในภาษาสันสกฤตนั้นยังใช้หมายถึง พฤหัสบดี ซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง ซึ่งตรงกับเทพเจ้าจูปิเตอร์ของชาวโรมันนั่นเอง ตามความเชื่อในศาสนาฮินดูนั้น ดาว จูปีเตอร์/กูรู/พฤหัสบดี ถือว่าเป็นดาวที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ ในภาษาต่างๆ ของอินเดีย คำว่า พฤหัสปติวาร(วันพฤหัสบดี) จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าว่า คุรุวาร(วันกูรู) โดย วาร นั้นหมายถึงวัน

กูรู ในอินเดียในทุกวันนี้ใช้ในความหมายทั่วไป หมายถึง "ครู"

ในประเทศตะวันตก กูรู ยังใช้ในความหมายที่กว้างขึ้นหมายถึง บุคคลที่เผยแพร่ศาสนา หรือ กลุ่มความเชื่อตามปรัชญาต่างๆ คำนี้ยังใช้ในความหมายเชิงอุปมา หมายถึงบุคคลผู้ซึ่งอยู่ในสถานะที่เชื่อถือได้ เนื่องมาจากความรู้ และความชำนาญ ที่เป็นที่ประจักษ์ และ ยอมรับ
บันทึกการเข้า

ไปเรื่อยๆ... กูไม่รีบ
N u T 7 a_9 0 ™
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,121


New Doraemon Verion


ดูรายละเอียด
« ตอบ #111 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2552 00:01:43 »

ที่มาของคำว่า คาสโนวา

    “คาสโนวา” มาจากชื่อจริง “จิอาโคโม จิโรลาโม คาสโนวา Giacomo Girolamo Casnva” เกิด ค.ศ. 1725 ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี พ่อแม่เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงไปทั่วยุโรป เขาจบปริญญาเอกด้านกฎหมายตั้งแต่อายุ 17 ปี เข้าโรงเรียนศาสนาที่เซนต์ไซเปรียน เพื่อเป็นนักบวช แต่ถูกไล่ออกด้วยพฤติกรรมชู้สาว
ต่อมาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยพระคาร์ดินัลแอ๊คความวิวาแห่งโรม แต่ก็เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นอีก ต้องกลับเวนิส ทำงานหลายอย่างรวมถึงเป็นนักเขียน ผลงานตีพิมพ์มีทั้งบทละคร นิยาย บทกวี โด่งดังที่สุดชิ้นหนึ่งคือ อัตชีวประวัติ “History of My Life “เรื่อง “Casanova-คาสโนวา”  
    ในนิตยสารสารคดี ฉบับที่ 252 กุมภาพันธ์ 2549 พูดถึงเขาว่า ชื่อเสียงและอาชีพของเขาคือนักผจญภัยและนักเขียน แต่สถานภาพเขามีหลายอย่าง ไม่ว่าทหาร สายลับ นักการทูต นักไวโอลิน เลขาพระคาร์ดินัล โต้โผออกหวยแห่งชาติ นักโทษแหกคุย บรรณารักษ์ แถมยังเกือบจะได้เป็นบาทหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าไม่ถูกไล่ออกก่อนเพราะเรื่องเหล้ากับผู้หญิง
    คาสโนวามีทั้งโชคและความอับโชค เคยโกงและถูกโกง ต้องหนีภัยเพราะสิ่งที่ตังเองก่อ เคยพบกับบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายทั้งพระสันตะปาปา พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 รุสโซ  วอลแตร์  โมสาร์ต ฯลฯ แม้หลายคนจะไม่เชื่อว่าเขาผ่านการผจญภัยกับผู้หญิงมาถึง 122 คน อย่างที่ว่าไว้ในหนังสือ แต่ต้องยอมรับว่าภาพสังคมและชีวิตในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 18 ที่เขาสะท้อนไว้ในนั้น เป็นความจริง
    บทเรียนแรกเกี่ยวกับผู้หญิงของคาสโนวาเริ่มต้นเมื่อเขาอายุ 11-12 แต่รักครั้งสำคัญเกิดขึ้นตอนอายุ 24 กับอองเรียต สาวชาวฝรั่งเศส ซึ่งทิ้งเขาไป คาสโนวามีพรสวรรค์ด้านภาษาและวาทศิลป์ จึงประสบความสำเร็จในทางต้มตุ๋นคนในสังคมมั่งมี แต่นั่นก็เป็นเหตุให้ต้องติดคุก เขาแหกคุกออกมา และชีวิตหลังจากนั้นก็เป็นการผจญผภัยในอิตาลี ฝรั่งเศส เยอนมนี สเปน ออสเตรีย เช็ก ฯลฯ ทุกที่มีเรื่องเกี่ยวพันกับสตรี
    คาสโนวาเป็นผู้มีสติปัญญาสูง เรียนเก่ง มีงานเขียนงานแปลออกมามากมายตลอดชีวิต แต่งานเหล่านั้นไม่จับใจคนมากเท่าชีวิตอันโลดโผนของเขา อุปรากรเรื่อง “ดอนจิโอวานี” ที่คีตกวีโมสาร์ตแต่งขึ้นโดยมีเค้าเรื่องมาจากชีวิตของคาสโนวา สะท้อนความคิดของเขาไว้ว่า “สตรีต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบการกระทำอันชั่วร้ายของดอนจิโอวานี ค่าที่มันทำให้จิตใจเขาเคลิบเคลิ้ม และทำให้หัวใจเขาตกเป็นทาส”
     คาสโนวาตายเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1798 ในปราสาทที่ดักซ์ ซึ่งปัจจุบันเป็นเขตสาธารณะรัฐเช็ก เสียชีวิตไปแล้วแต่ชื่อเสียงกลับยิ่งโด่งดังในฐานะสัญลักษณ์แห่งการหมกมุ่นกับความรัก  
บันทึกการเข้า

ไปเรื่อยๆ... กูไม่รีบ
N u T 7 a_9 0 ™
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,121


New Doraemon Verion


ดูรายละเอียด
« ตอบ #112 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2552 00:08:58 »

ที่มาของคำไทย สุภาษิตไทยและ ชื่อต่าง ๆ และ อีกมากมาย

คำว่า “นิสิต” นั้นเป็นภาษาบาลี แปลว่า “ผู้อาศัยกับอุปัชฌาย์” เนื่องจากแต่เดิมสถาบันการศึกษาระดับสูงมักมีหอพักให้ผู้เรียนได้พักอาศัยภายในสถาบัน ประกอบกับความนิยมภาษาบาลีด้วยจึงได้ใช้คำนี้โดยทั่วไป

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเริ่มแรกเป็นโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราวุธ ได้สถาปนาขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย” และปรากฏใช้คำว่า “นิสิต” สำหรับนิสิตชาย และ “นิสิตา” สำหรับนิสิตหญิง ต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาใช้คำว่า “นิสิต” เพียงคำเดียว

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็ก่อตั้งขึ้นโดยที่ค่านิยมภาษาบาลีสันสกฤตยังเป็นที่นิยมและมีหอพักให้ผู้เรียนภายในสถาบันเช่นเดียวกัน จึงใช้คำว่า “นิสิต” มาตั้งแต่แรกเริ่ม

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นับเป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของไทย เริ่มต้นจากการเป็น “โรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูงถนนประสานมิตร” (สถาปนาเมื่อ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๒) ต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “วิทยาลัยวิชาการศึกษา” (สถาปนาเมื่อ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๙๗) นับเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกของไทยที่สามารถเปิดสอนวิชาชีพครูได้ถึงระดับปริญญา โดยมีสาขาทั่วประเทศทั้งสิ้น ๘ แห่งและทุกแห่งก็ใช้คำว่า “นิสิต” เหมือนกันหมด
ภายหลังวิทยาลัยวิชาการศึกษาทั้ง ๘ แห่ง ก็ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” (อ่านว่า สี-นะ-คะ-ริน-วิ-โรด) และปัจจุบันก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (คงสถานะเดิม)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน (ยุบวิทยาเขต)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พลศึกษา (ยุบวิทยาเขต)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางเขน (ยุบวิทยาเขต/ให้สถาบันราชภัฏพระนครเช่าตึกและอาคารเรียนทั้งหมด)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พิษณุโลก (ยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัยนเรศวร)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม (ยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัย มหาสารคาม)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน (ยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัยบูรพา)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา (ยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัยทักษิณ)
แม้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒแต่ละแห่งได้มีการเปลี่ยนไปด้วยประการต่าง ๆ แต่ทุกแห่งก็ยังคงใช้คำว่า “นิสิต” เหมือนกันหมด

ทุกมหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนกล่าวถึงทั้งหมดใช้คำว่า “นิสิต” ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ มีหอพักให้ผู้เรียนอยู่ภายในสถาบัน

ในสมัยที่ประชาธิปไตยพยายามจะเบ่งบาน มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ธรรมศาสตร์ หมายถึง วิชาว่าด้วยกฎหมาย) เป็นมหาวิทยาลัยเปิด ไม่มีหอพักให้ผู้เรียน จึงสร้างคำใหม่ขึ้นมาเพื่อให้เป็น “ไทย ๆ” มากขึ้น คือคำว่า “นักศึกษา”

มหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้นภายหลังหลาย ๆ แห่ง แม้จะมีหอพักนักศึกษาอยู่ภายในมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่นิยมใช้คำว่า “นิสิต” เหมือนมหาวิทยาลัย “โบราณ” ที่ก่อตั้งมานานแล้วทั้งหลาย จึงหันไปใช้คำว่า “นักศึกษา” เหมือนกันแทบทุกแห่ง แม้แต่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เอง แต่เดิมก็ใช้คำว่า “นิสิต” แต่ภายหลังอธิการบดีท่านหนึ่งซึ่งเป็นนายแพทย์ ก็ได้เปลี่ยนคำว่า “นิสิต” มาเป็นคำว่า “นักศึกษา” ดังนั้น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เองก็นับเป็นมหาวิทยาลัยที่เคยใช้คำว่า “นิสิต” มาก่อน

ผู้ที่ตอบกระทู้ในโต๊ะห้องสมุดหลายคน ก็ให้เหตุผลต่าง ๆ กัน เช่น
๑. สถานศึกษาที่ก่อตั้งมานานจะใช้คำว่านิสิต ก่อตั้งไม่นานใช้คำว่านักศึกษา
๒. สถานศึกษาใดต้องการใช้คำว่านิสิตต้องขอพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๓. สถานศึกษาใดที่ "เจ้าฟ้า" เสด็จเข้าทรงศึกษาจะเปลี่ยนไปใช้คำว่านิสิตทันที
เหตุผลเหล่านี้เป็นเหตุผลที่น่าแคลงใจทั้งสิ้น เพราะผู้เขียนพบว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง) เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ใช่น้อยก็ยังใช้คำว่านักศึกษา ในขณะที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ใช้คำว่านิสิตในเบื้องต้นทั้งที่ก่อตั้งมาทีหลัง แสดงว่าเหตุผลที่ ๑ เป็นอันตกไป

ส่วนเหตุผลที่ ๒ นั้นดูแปลกพิกลอยู่ เพียงแค่คำว่า "นิสิต" คำเดียว ถึงกับต้องขอพระราชทานเชียวหรือ ? แล้วอย่างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ต้องทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายคำว่า "นิสิต" คืนหรือไม่ ?

ส่วนเหตุผลที่ ๓ เป็นเหตุผลที่พิสดารกว่าใคร ๆ เพราะพบว่าเมื่อครั้งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เข้าศึกษา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยนั้น มหาวิทยาลัยได้ใช้คำว่า "นิสิต" อยู่แล้ว จากนั้นสมเด็จพระเทพฯ ทรงศึกษาต่อระดับปริญญามหาบัณฑิต ณ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยศิลปากรก็ไม่ได้เปลี่ยนคำเรียกไปใช้คำว่า "นิสิต" แต่อย่างใด

เรื่องยังไม่จบแค่นี้ สมเด็จพระเทพฯ เป็นผู้มีความวิริยอุตสาหะ ขวนขวายในศิลปวิทยาการทั้งปวงเป็นอย่างมาก จึงเสด็จเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร แต่..โอ้โอ๋กระไรเลย บ่มิเคย ณ ก่อนกาล... มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ใช้คำว่านิสิตมาก่อนหน้านั้นแล้ว เรียกว่าใช้คำนี้มาแต่อ้อนแต่ออกด้วยซ้ำไป

เรื่องของเรื่องที่ผู้เขียนได้อธิบายมาทั้งหมดจึงอยากสรุปว่าคำว่านิสิตหรือนักศึกษานั้นไม่สำคัญ คำว่า "นิสิต" ไม่ได้ทำให้ใครยิ่งใหญ่ หรือแสดงความเจ้ายศเจ้าอย่าง มีชนชั้นวรรณะเหนือกว่าใคร ถ้านิสิตไม่ตั้งใจเรียน ประพฤติไม่สมแก่ความมุ่งหมายของมารดาบิดร คำว่านิสิตนั้นจะภูมิใจอะไรเท่านักศึกษาที่ตั้งใจเรียนและประพฤติตนเป็นคนดีของสังคม

อีกประการหนึ่งนั้น อยากให้ผู้มีทัศนะต่าง ๆ นานานั้นได้เข้าใจให้ถูกต้อง เพื่อจะได้ไม่แสดงเหตุผลอันน่าเคลือบแคลงให้ผู้อื่นต้องจำผิด ๆ ไปอีกหลาย ๆ ทอด




ฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา


ในช่วงที่น้าเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ได้ให้สัมภาษณ์ 'สารคดี' เมื่อเดือนตุลาคม 2532 ว่า "ค่านิยมเหล่านี้มันไม่เกี่ยวกับความเป็นซ้ายเป็นขวา" และ "คนเราเวลารู้สึกผิดมักจะออกไปทางซ้ายจัด" คำว่า "ซ้าย" และ "ขวา" ในที่นี้หมายความว่าอย่างไรครับ

คำว่า 'ซ้าย' และ 'ขวา' มาจากการแบ่งที่นั่งของสมาชิกพรรคการเมืองในสภาของฝรั่งเศส พรรที่นั่งข้างซ้ายจะเป็นพรรคที่ถือเหตุผลสากลนิยม ประชาธิปไตย ต่อต้านลัทธิอาณานิคม มีความเชื่อมั่นในความกว้างหน้า เชื่อตลอดเวลาว่าประชาชนสามารถปกครองตนเองได้ ต่อต้านชนชั้นสูง ศาสนา กองทัพ ระบบการเงิน คือต่อต้านองค์การแห่งอำนาจรัฐ

ส่วนพรรคที่นั่งข้างขวาเป็นกลุ่มชาตินิยม ติดอยู่กับจารีตประเพณีโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนา เทิดทูนอำนาจอธิปไตยว่ามาจากเบื้องบนไม่เชื่อมั่นว่าจะมาจากเบื้องล่าง นิยมในอำนาจ ชอบออกคำสั่งและให้คนเคารพเชื่อฟัง เกี่ยวพันกับธุรกิจเอกชน

การแบ่งที่นั่งของพรรคการเมืองฝรั่งเศสที่มีความชัดเจนเช่นนี้ จึงเกิดความนิยมเรียกพรรคหรือคนที่มีแนวคิดต่างๆ กันว่าเป็น 'ฝ่ายซ้าย' หรือ 'ฝ่ายขวา' ดังคำอธิบายข้างต้น

ที่มา : 108 ซองคำถาม เล่ม 1 หน้า 91 – 92

 

 

ทำไมพ่อครัวต้องสวมหมวกสีขาวทรงสูง ?

“ซองคำถาม” เคยตอบคำถามนี้แล้วว่า หมวกของพ่อครัวใหญ่หรือเชฟ (Chef) ออกแบบให้เป็นหมวกทรงสูงเพื่อระบายอากาศร้อน ต่อมาได้ข้อมูลเพิ่มเติมในเชิงประวัติความเป็นมา จึงขอนำมาขยายต่อดังนี้

ธรรมเนียมปฏิบัติของเชฟในการสวมหมวกทรงสูงพองโป่งด้านบนย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ ๑๕ ในยุคนั้นพ่อครัวเป็นอาชีพที่ทำรายได้สูงมากและยังเป็นที่ยกย่องนับถือของชาวกรีกในกรุงไบแซนเทียม (ชื่อโบราณของกรุงอิสตันบูล จนถึงปี ๓๓๐ ก่อนคริสตกาล) เมื่อพวกเติร์กล้มล้างจักรวรรดิไบแซนทีนใน ค.ศ. ๑๔๕๓ บรรดาพ่อครัวต้องหนีไปหลบซ่อนตัว สถานที่หลบภัยก็คือสำนักสงฆ์ เพื่อให้กลมกลืน พวกเขาสวมใส่เครื่องแต่งกายเช่นเดียวกับพระที่พวกเขามาขออาศัยอยู่ด้วย

เครื่องแต่งกายชิ้นหนึ่งของพระก็คือ หมวกสีดำทรงสูงที่พองโป่งตรงส่วนยอด ต่อมาพวกพ่อครัวได้เปลี่ยนเฉพาะสีของหมวกเป็นสีขาวเพื่อให้พอแยกออกระหว่างพวกเขากับพระจริง ๆ ส่วนรูปทรงของหมวกนั้น เข้าใจว่าพวกพ่อครัวคงชอบมาก จึงคงไว้แบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

พูดถึงเชฟแล้ว คุณณัชชารู้หรือไม่ว่า เรื่องตำแหน่งหน้าที่ในครัวฝรั่งดูแล้วไม่ต่างอะไรจากกองทัพที่มีนายร้อย นายพัน นายพลเลย อแมนดา เกล เชฟหญิง เล่าไว้ใน จีเอ็ม ปักษ์หลังกรกฎาคม ๒๕๔๗ ว่า โดยทั่วไปที่เป็นพื้นฐานเลยก็คือตำแหน่งฝึกงานซึ่งจะได้ค่าจ้างน้อย ๆ ก่อน แล้วพอทำงานไปเรื่อย ๆ อาจจะเป็น ๑ ปี ๒ ปี ๓ ปี ๔ ปี แต่ละปีก็จะได้เงินมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหลังจากนั้นก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเดมิเชฟเดอพาตี คำว่า เดมิ (demi) ก็คือ small หรือเล็ก จากนั้นถึงจะได้ขึ้นมาเป็นเชฟเดอพาตี มีหน้าที่ดูแลแผนกต่าง ๆ จากนั้นถึงจะเป็นเดมิซูส์เชฟ ก่อนจะเป็นซูส์เชฟ แล้วก็เชฟ และเอ็กเซ็กคูทีฟเชฟในที่สุด

 

 

 

 

กล่องดนตรี

 หรือ Music Box ถือเป็นต้นกำเนิดของตู้เพลงแบบหยอดเหรียญ มีต้นกำเนิดมาจากหมู่ระฆังในโบสถ์ที่ใช้สั่นบอกเวลาเป็นเสียงเพลง เริ่มจากปีค.ศ.1796 อองตวน ฟาเวร่ ชาวเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเทคนิคสร้างเสียงเพลงจากระฆังนี้มาดัดแปลง โดยใช้แท่งโลหะและลูกตุ้มไปติดแทน แล้วเชื่อมโยงด้วยหมุดเหล็ก พัฒนาให้เป็นนาฬิกาเสียงดนตรี จากนั้นในปี 1802 จึงนำผลงานประดิษฐ์ดังกล่าวมาย่อส่วนใส่ลงในกล่องยานัตถุ์ เป็นกล่องยานัตถุ์เพลง (Music snuff box) ซึ่งถือเป็นต้นแบบของมิวสิค บ๊อกซ์ เป็นต้นมา


          ในปีค.ศ.1815 ทั้งกรุงเจนีวาและเมืองสเต-ครัวซ์ กลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมผลิตกล่องเพลง โดยนายเดวิด เลอคูลเทร ถือเป็นนายช่างคน แรกที่นำโลหะทรงกระบอกมาใช้ตรึงหมุดในกล่องเพลงเป็นคนแรก ทั้งเป็นคนเพิ่มซี่เหล็กทำเสียงดนตรีออกเป็น 5 ซี่ (เหมือนหวี) เพื่อเพิ่มเสียงตัวโน้ตมากขึ้น ขณะเดียวกันพี่น้องตระกูลนิโคล ก่อตั้งโรงงานผลิตกลอ่งดนตรีชื่อ นิโคล-เฟรเรส์ พัฒนาเทคนิคทำกล่องเพลง เช่น ใช้ไม้ผลมาทำเป็นตัวกล่องให้สวยงาม และใช้ตัวควบคุมการทำงานของดนตรี 3 ตัว (ตัวเปลี่ยนเสียงเพลง ตัวเริ่มและหยุดเสียง และตัวหยุดเสียงทันที) นอกจากนี้ยังประดิษฐ์ตัวไขลานติดไว้ที่ด้านซ้ายของกล่อง (บริษัทนี้มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน)
         ในช่วงค.ศ.1850-1870 ถือเป็นช่วงที่มีการประดิษฐ์กล่องดนตรีที่ประณีตที่สุด ทั้งในด้านเสียงเพลงและตัวกล่อง จากนั้นในช่วง 1880 อุตสาหกรรมการผลิตกระบอกโลหะ (ตัวหมุน) เฟื่องฟูมาก เมื่อกล่องเพลงเป็นที่นิยมแพร่หลาย คนธรรมดาเดินดินก็ซื้อได้ แต่การผลิตกล่องเพลงมาชะงักราวปี 1910 เมื่อประชาชนหันไปนิยมเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เอดิสันประดิษฐ์ขึ้นในปี 1877 จากนั้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 การประดิษฐ์กล่องเพลงจึงซบเซาไป ในปัจจุบันกล่องเพลงที่มีชื่อเสียงยังคงเป็นของสวิส แต่บริษัทเยอรมันเองก็ไม่น้อยหน้า สามารถครองส่วนแบ่งของตลาดได้มากที่สุด
          เพลงที่นิยมใช้ในกล่องเพลง เป็นเพลงคลาสสิค และตอนนี้มีหลายแบบ ทั้งเพลงจากภาพยนตร์ เพลงของวงดนตรีดังๆอย่าง X-Japan ก็ยังมี ถ้าอยากเห็นชัดๆว่ากล่องเพลงทำงานอย่างไร ต้องไปดูอันที่ใช้แก้วเป็นฝาที่มองเห็นกลไกการทำงานภายใน จะเข้าใจได้ดีขึ้น

 

 

 

 

ไก่แก่แม่ปลาช่อน


สำนวนเป็นหนึ่งในความร่ำรวยทางภาษาไทย คนไทยนิยมใช้ถ้อยคำสำนวน เพื่อใช้ในการสื่อความหมายและเปรียบเปรยได้อย่างคมคายลึกซึ้ง สำนวน ?กระต่ายแก่แม่ปลาช่อน? เป็นสำนวนดั้งเดิมของไทย ซึ่งก็คือ สำนวน ?ไก่แก่แม่ปลาช่อน? ในปัจจุบันนั่นเอง
สำนวนไก่แก่แม่ปลาช่อน หมายถึง หญิงค่อนข้างมีอายุ มีมารยาและเล่ห์เหลี่ยมมาก หลักฐานที่อ้างอิงได้ว่าในอดีตเราใช้สำนวน กระต่ายแก่แม่ปลาช่อนนั้นมาจากวรรณคดีไทยหลายเรื่อง ดังในบทละครนอก คาวี พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กล่าวถึง ท้าวสันนุราชปรารถนาจะได้นางจันท์สุดาเป็นชายา แต่เพราะตัวเองชรามาก จึงอยากจะชุบตัวให้เป็นหนุ่มรูปงาม ทำให้หลงกลอุบายของหลวิชัย จนถึงแก่ความตาย คาวีสวมรอยเป็นท้าวสันนุราชขึ้นครองเมืองแทน นางคันธมาลี มเหสีท้าวสันนุราช พึงพอใจกับรูปโฉมใหม่ของท้าวสันนุราช นางน้อยใจที่ท้าวสันนุราชสนใจแต่นางจันท์สุดา คาวีที่สวมรอยเป็นท้าวสันนุราชต้องเข้าไปง้องอน นางก็แสดงกิริยาสะบัดสะบิ้ง

ไม่พอที่ตีวัวกระทบคราด สัญชาติกระต่ายแก่แม่ปลาช่อน
แสร้งสะบิ้งสะบัดตัดรอน จะช่วยสอนให้ดีก็มิเอา

วรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ก็พบสำนวนกระต่ายแก่แม่ปลาช่อน เป็นตอนที่พระอภัยมณีปรารภถึงนางสุวรรณมาลีที่หึงหวงนางละเวงว่า

ขี้เกียจเกี่ยวเคี่ยวขับข้ารับแพ้ กระต่ายแก่แม่ปลาช่อนงอนไม่หาย

กระต่ายแก่แม่ปลาช่อนเป็นสำนวนที่มีที่มาจากธรรมชาติ ธรรมชาติของกระต่ายเมื่อแก่มักจะเปรียว (ว่องไว) จึงนำมาเปรียบเทียบกับหญิงที่มีอายุมาก ย่อมมีมารยาและเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าสาว ๆ ส่วนปลาช่อน โดยทั่วไปมิได้ดุร้าย แต่ธรรมชาติของแม่ปลาช่อนเมื่อวางไข่จะดุสามารถกัดคนตายได้ ดังนั้นทั้งกระต่ายและแม่ปลาช่อนมีลักษณะคล้ายคลึงกันเมื่อแก่ตัว จึงนำมาเอ่ยเปรียบเทียบเป็นสำนวน

ประจักษ์ ประภาพิทยากร สันนิษฐานว่า สำนวนกระต่ายแก่แม่ปลาช่อน เพี้ยนมาเป็น ไก่แก่แม่ปลาช่อน เพราะมีเสียงใกล้เคียงกัน
คำว่าไก่แก่ตามความหมายในสำนวน คงมิได้หมายความว่าเปรียวแบบกระต่ายตามสำนวนดั้งเดิม ไก่เป็นสัตว์ที่เรานำมาปรุงเป็นอาหาร ธรรมชาติของไก่เมื่อแก่ย่อมจะมีเนื้อเหนียว เคี้ยวยากกว่าไก่รุ่น ๆ คำว่าไก่แก่จึงเทียบได้กับสาวแก่นั่นเอง


แหล่งที่มาของข้อมูล ประจักษ์ ประภาพิทยากร. วรรณคดีวิเคราะห์ พระอภัยมณี. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, 2526.
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย. บทละครนอก. พิมพ์ครั้งที่ 9 กรุงเทพ:บรรณาคาร, 2540.

 

 

 

ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 คืออะไร

 

เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ. ) ได้ส่งเสริมให้ประชาชนร่วมใจกันประหยัดการใช้พลังงานไฟฟ้าและใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจุดมุ่งหมายในการลดการใช้พลังงานโดยรวมของประเทศ จึงได้จัดทำโครงการ “ ประชาร่วมใจ ประหยัดไฟฟ้า ” โดยให้ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าผลิตหรือนำเข้าอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง สำหรับเครื่องปรับอากาศซึ่งเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีการเติบโตสูง และใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดทั้งในบ้านพักอาศัยและในภาคธุรกิจ กฟผ. ได้ขอความร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศให้เข้าร่วมโครงการ เพื่อกำหนดระดับประสิทธิภาพและพัฒนาเครื่องปรับอากาศ เพื่อติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพเบอร์แสดงระดับประสิทธิภาพตามมาตรฐานสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ( สมอ. ) โดยสถาบันไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์ ( สฟอ. ) เป็นหน่วยงานทดสอบค่าประสิทธิภาพ โดยเกณฑ์ที่ใช้กำหนดระดับประสิทธิภาพของเครื่องปรับอากาศ คือ

 

ฉลาก             ประสิทธิภาพ               อัตราส่วนประสิทธิภาพ (EER)
 5                  ดีมาก                          EER > = 11
 4                    ดี                        9.6 <= EER < 10.6
 3                ปานกลาง                   8.6 <= EER < 9.6
 2                  พอใช้                     7.6 <= EER < 8.6
 1                    ต่ำ                             EER < 7.6
 


 

 



"Z" อ่านว่า "ซี" หรือ "แซด" ??


ซึ่งผมหวังว่ามันคงจะเป็นประโยชน์ไ่ม่มากก็น้อยครับ และผมก็ยังคงยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่า "H อ่านว่า เอช แน่ๆ ไม่ใช่เฮด หรือ เฮ็ด"

คราวนี้มาต่อกันที่ตัว Z ครับ

"ตัว Z อ่านว่า ซี หรือ แซด กันแน่"

เวลาคุยกันเนี่ย ถ้าเราบอกว่าตัว Z ว่าตัว "ซี" เนี่ย คนฟังมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นตัว "C" ครับ

ดังนั้น ผมจึงเรียกตัวนี้ว่า "แซด" มาตลอด

แม้บางทีเราจะรู้สึกว่าอ่านผิด แต่วันนั้น ผมรู้แล้่วว่า ที่อ่านไปน่ะไม่ผิดหรอก

มันเป็นแค่ "สำเนียง" ครับกล่่าวคือ

ตัว Z จะอ่านว่า "ซี" ในการพูดภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน (American English) คือสำเนียงแบบคนอเมริกัน

ส่วนมันจะอ่านว่า "แซด" ในภาษาอังกฤษแบบบริติช (British English) หรือสำเนียงคนอังกฤษนั่นเอง ซึ่งในแบบอังกฤษ ตัว "Z" จะอ่านได้อีกเสียงคืออ่านว่า "เซด" ครับ

รับรองว่าชัวร์ ไม่มั่วนิ่มแน่นอน เพราะที่ๆผมเจอคือสารนุกรมออนไลน์ Wikipedia ครับ ที่ลิ้งค์นี้

เป็นยังไงล่ะครับ หวังว่าวันนี้คงได้รับความรู้ และโล่งอกไปนะครับ

ปล.ส่วนตัวแล้ว ผมชอบภาษาอังกฤษแบบอังกฤษมากกว่า เพราะสมัยก่อนที่ผมเรียนภาษาอังกฤษมา เรียนกันแบบ British English ครับ ซึ่งสมัยนี้อาจจะเรียนกันแบบอเมริกัน เพราะดูง่ายกว่าแบบอังกฤษครับ




 

ลมเกิดขึ้นได้อย่างไร
ความหมาย ลม (wind) คือ อากาศซึ่งเคลื่อนที่เนื่องจากความแตกต่างด้านความกดอากาศ (air pressure) ของสองบริเวณ โดยจะเคลื่อนที่จากบริเวณซึ่งมีความกดอากาศสูง (high air pressure) ไปสู่บริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ (low air pressure) โดยมีอุณหภูมิเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความกดอากาศต่ำ (low air pressure) ตามทฤษฎีการพาความร้อน (convection theory) กล่าวคือ ในสภาพที่อุณหภูมิสูงมากกว่า 27 องศาเซลเซียส มวลอากาศร้อนจะขยายตัว ทำให้มีน้ำหนักเบาและลอยตัวขึ้น ทำให้มวลอากาศบริเวณนั้นเบาบางลง เมื่อเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จะเกิดเป็นความกดอากาศต่ำ ทำให้อากาศที่อยู่บริเวณข้างเคียงซึ่งมีความหนาแน่นกว่าเคลื่อนที่เข้ามาสู่บริเวณนั้นเกิดเป็นลมขึ้น




โอ่งราชบุรีทำไมต้องเขียนลายมังกร


คนจีนซึ่งเคยทำเครื่องปั้นดินเผามาก่อนจากเมืองจีน ได้มาริเริ่มทำโอ่ง อ่าง ไห ขาย
จีนรุ่นบุกเบิกชื่อ นายจือเหม็ง แซ่อึ้งและพรรคพวก ได้รวบรวมทุนได้ 3,000 บาท ตั้งโรงงานเถ้าเซ่งหลีขึ้น
เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2476 เป็นโรงงานขนาดเล็กบริเวณสนามบินอยู่ตรงข้ามโรงเรียนอนุบาลราชบุรีเดี๋ยวนี้
แหล่งดินสีแดงที่ราชบุรีก็ค่อนข้างจะมีคุณภาพเหมือนที่เมืองจีน ดังนั้น จากเดิมเราใช้โอ่งอ่างไหจากเมืองจีน
ผู้ริเริ่มก็ทำอ่าง ไห กระปุก และโอ่งบ้างเล็กน้อย ให้ชาวมอญราชบุรีใส่เรือไปเร่ขาย
การทำโอ่งได้ริเริ่มอย่างจริงจังก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ดินขาวที่ใช้แต่งลวดลายเดิมได้มาจากเมืองจีน
ต่อมาได้หาทดแทนจากดินที่ท่าใหม่จันทบุรี และสุราษฏร์ธานี
เมื่อกิจการรุ่งเรืองขึ้น โรงงานจึงขยายกิจการและผลิตโอ่งเพิ่มมากขึ้น
หุ้นส่วนหลายคนแยกตัวไปตั้งโรงงานเอง โดยเฉพาะในจังหวัดราชบุรี
ปัจจุบันมีโรงงานผลิตโอ่งอยู่ถึง 42 แห่ง และเป็นโรงงานผลิตเครื่องเคลือบรูปแบบต่าง ๆ ออกไปอีก 17 แห่งตามจังหวัดอื่น ๆ ที่แยกไปจากนี้ คือ ที่อำเภอ
หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จังหวัดชลบุรีและในกรุงเทพมหานครบริเวณ สามเสน เป็นต้น
เจ้าของโรงงาน ช่างปั้น และประชาชนส่วนใหญ่ของจังหวัดราชบุรี เมื่อครึ่งศตวรรษมาแล้วล้วนเป็นลูกหลานจีน ดังนั้นช่างปั้นจึงได้คิดคัดเลือกลวดลายที่เป็นมงคล และมี
ความหมายที่ดี เพื่อให้เกิดความรู้สุกที่ดีต่อผู้ใช้ นอกเหนือจากความงามเพียงอย่างเดียว ที่สุดก็ได้เลือกสรรลวดลายมังกร ซึ่งแฝงและฝังไว้ด้วยความหมายตามความเชื่อ
คตินิยมในวัฒนธรรมจีน
ลวดลายมังกรดั้นเมฆ มังกรคาบแก้ว และมังกรสองตัวเกี่ยวพันกัน ล้วนเป็นสัตว์สำคัญในเทพนิยายของจีน เป็นเทพแห่งพลัง แห่งความดี และแห่งชีวิต ช่างปั้นเลือกเอา
มังกรที่มี 3 เล็บหรือ 4 เล็บ เป็นลวดลายตกแต่งโอ่ง ช่างผู้ชำนาญปาดเนื้อดินด้วยหัวแม่มือเป็นรูปมังกร โดยไม่ต้องร่างแบบ ขีดเป็นลายมังกรด้วยปลายซี่หวี เป็นหนวด นิ้ว
เล็บ ส่วนเกล็ดมังกรหยักด้วยแผ่นสังกะสีแล้วเน้นลูกตาให้เด่นออกมา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 พฤศจิกายน 2552 00:11:52 โดย N u T T z » บันทึกการเข้า

ไปเรื่อยๆ... กูไม่รีบ
N u T 7 a_9 0 ™
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,121


New Doraemon Verion


ดูรายละเอียด
« ตอบ #113 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2552 00:12:28 »

ถ้าเยอะไปขอ อภัยด้วยครับ
บันทึกการเข้า

ไปเรื่อยๆ... กูไม่รีบ
จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ>
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6,635


เข้าป่าพอไหว..ขับไวเค้ากัววว


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #114 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2552 08:48:04 »

เชื่อว่าใครที่เกิดหลังปี 1970 คงต้องคุ้นหน้าคุ้นตา ตัวการ์ตูนเฮลโล คิตตี้ กันบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ เวลาช่างผ่านไปเร็ว เผลอเดี๋ยวเดียว คิตตี้ อายุ 35 ปีแล้วค่ะ...
       
       Hello kitty ถูกสร้างขึ้นในปี 1974 เมื่อครั้งบริษัทซานริโอยังเป็นบริษัทน้องใหม่ในวงการธุรกิจที่โตเกียว บริษัทได้มอบหมายให้ อิคุโกะ ชิมิซุ Ikuko Shimizu เป็นผู้ออกแบบตุ๊กตาสัตว์ที่ต้องโดนใจสาวๆทุกคนที่เห็น ในช่วงเวลานั้น ซานริโอมีตุ๊กตาหมีและสุนัขอยู่แล้ว พวกเขาต้องการตัวการ์ตูนใหม่เพื่อทำการตลาด
       
       ชิมิซุนึกถึงลูกแมวน้อยน่ารักตัวเมีย เธอจึงเริ่มต้นร่างลูกแมวตัวน้อยสีขาวมีโบว์สีแดงหน้าตาบ๊องแบ๊ว และในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 1974 เฮลโล คิตตี้ก็ปรากฏตัวต่อสาธารณชนครั้งแรก ในท่านั่งอยู่ระหว่างขวดนมกับตุ๊กตาปลาทอง เอียงใบหน้าเล็กน้อยอย่างน่าเอ็นดู เท่านี้ก็ทำให้สาวๆ ตกหลุมรักคิตตี้ทันที
       
       แล้วประวัติของคิตตี้ก็ตามออกมา เธอถูกอุปโลกน์ให้เป็นคนชาติอื่นที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น อาศัยอยู่ที่ชานเมืองลอนดอน กับพ่อแม่และแฝดที่ชื่อว่า mimmy ในสูติบัตรของคิตตี้ ระบุชื่อจริงของเธอว่า คิตตี้ ไวท์ kitty white แฝดทั้งคู่ถูกวาดให้เหมือนกัน แตกต่างกันก็เพียงสีของโบว์ คิตตี้จะมีโบว์สีแดงอยู่ที่หูข้างซ้าย ขณะที่มิมมี่จะมีโบว์สีเหลืองอยู่ที่หูข้างขวา
       
       คิตตี้ชอบทำคุ้กกี้ แต่เธอจะมีความสุขมากกว่าหากได้ลิ้มรสแอปเปิ้ลพายฝีมือแม่ของตัวเอง เหล่าสาวกคิตตี้ที่หลงใหลในตุ๊กตาหน้าตาน่ารักตัวนี้ ต่างก็ค่อยๆเรียนรู้ประวัติของคิตตี้นับตั้งแต่ปี 1974 กระทั่งปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรกที่เธอชอบอ่านหนังสือ ฟังและเล่นดนตรี รวมทั้งชื่นชอบลูกกวาด และสะสมดาวดวงน้อย รวมทั้งตุ๊กตาปลาทอง และสิ่งที่ถือเป็นลักษณะเด่นของคิตตี้ ก็คือ เธอถูกสร้างให้เป็นแมวน้อยที่มีจิตใจดีงามชอบพบเจอผูกสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่อยู่เสมอ
       
       ประวัติความเคลื่อนไหวของคิตตี้ถูกเผยแพร่ออกมาทุกปี ด้วยวิธีการทำการตลาดที่ชาญฉลาด ทำให้ คิตตี้จัง ตัวนี้กลายเป็นสินค้าที่ขายดีไปทั่วโลก แม้กระทั่งบ้านเรา ยังมีสัญลักษณ์คิตตี้วางขายอยู่แทบทุกส่วน ตั้งแต่ตลาดสดยันห้างสรรพสินค้าชื่อดัง!!
       
       ความโด่งดังของคิตตี้กระจายออกไปทั่วโลก ลูกแมวน้อยน่ารักตัวนี้ ค่อยๆทำยอดขายให้กับเจ้าของบริษัทอย่างงดงาม สิ่งที่ยั่วยวนให้ผู้หลงใหลในตัวคิตตี้ตัวนี้ก็คือ เรื่องราวของมันที่ถูกผูกเรื่องให้คล้ายกับชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่ง คิตตี้มีน้ำหนักตัวเท่ากับแอปเปิ้ล 3 ลูก สูงเท่ากับแอปเปิ้ล 5 ลูก
       
       สินค้าที่ถูกผลิตออกมามีตั้งแต่กระเป๋าใส่สตางค์ไปกระทั่งผ้าเช็ดตัวและอุปกรณ์อิเลคโทรนิคต่างๆ ท่วงท่าของคิตตี้ถูกกำหนดพร้อมแผนการตลาดออกมาทุกปีนับจากท่านั่งที่อิคุโกะ ชิมิซุเป็นผู้เริ่มต้นสร้างเฮลโล คิตตี้ขึ้นมาแล้ว ในปีถัดมาคิตตี้ก็มาอยู่ในมือสร้างสรรค์ของเซ๊ตสึโกะ โยนิคุโบะอีก 5 ปีก่อนที่ ยูโกะ ยามางูชิ จะมารับหน้าที่ดูแลคิตตี้จนกระทั่งปัจจุบัน
       
       ในปี 1976 จากท่านั่งในแรกเริ่ม คิตตี้ก็ถูกออกแบบให้เป็นท่ายืน และเริ่มเปลี่ยนแปลงท่วงท่าในปีถัดๆ มา ทั้งขี่โลมา นั่งอยู่ในรถ และอีกหลายรูปแบบ ทั้งเป็นสปอตเกิร์ลด้วยกีฬาเทนนิส นอกจากนี้ สินค้าอย่างนาฬิกาข้อมือที่ถูกออกแบบในปี 1981 ก็ขายได้ชนิดถล่มทลาย กว่าล้านเรือน...

 
 
 
 
       การเจริญเติบโตของเฮลโล คิตตี้มีต่อเนื่องมาเรื่อยๆ พร้อมๆ กับสินค้าของซานริโอ กระทั่งในปี 1988 การ์ตูน เฮลโลคิตตี้ ถูกผลิตขึ้นในสถานีโทรทัศน์ CBS ชุด hello kitty‘s fairy tale theater ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนที่ญี่ปุ่นจะนำเฮลโลคิตตี้มาสร้างเป็นการ์ตูนชุด 16 ตอนในปี 1993 – 1994 ในชื่อชุด Hello kitty’s paradise ซึ่งการ์ตูนชุดนี้มีการนำไปแปลงเป็นภาคภาษาอังกฤษและออกอากาศในเดือนพฤศจิกายนปี 2002
       
       ที่ประเทศไต้หวัน กรุงไทเปมีร้านอาหารชื่อ hello kitty ที่ออกแบบตกแต่งร้านทั้งหมดด้วยคาแรกเตอร์ของคิตตี้ นอกจากนี้ในโรงพยาบาล yuanlin ที่ไต้หวันเจ้าของโรงพยาบาลยังนำคิตตี้ไปเป็นรูปแบบข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดในแผนกสูตินารี ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ ตะกร้า เตียง สูติบัตรรวมทั้งชุดนางพยาบาล นัยว่าเพื่อช่วยลดอาภาวะกดดันของคุณแม่เมื่อต้องคลอดลูก
       
       เฮลโล คิตตี้ใช่จะมีดีเพียงแค่เป็นสินค้าขายดีเท่านั้นนะคะ เพราะในปี 1994 คิตตี้จังกลายเป็นตัวแทนเด็กของ UNICEF ในประเทศญี่ปุ่น ไม่เพียงเท่านั้นคิตตี้ยังได้รับเกียรติให้เป็นเพื่อนพิเศษของเด็กๆยูนิเซฟในปี 200 4 ล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2008 ประเทศญี่ปุ่นประกาศให้ hello kitty เป็นตัวแทนของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่เดินทางไปเที่ยวยังประเทศจีนและฮ่องกงอีกด้วย
       
       ปีนี้เฮลโล คิตตี้อายุ 35 แล้วนะคะ การฉลองครบรอบของเธอปีนี้จัดอยู่เกือบทุกภาคส่วนของโลกเลยทีเดียว อย่างที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา มีโครงการศิลปะ Three apples ที่ชักชวนศิลปินกว่า 80 คนให้มาออกแบบสร้างสรรค์ผลงานในนามของ hello kitty เพื่อจัดแสดงและจำหน่าย โดยภัณฑารักษ์ชื่อ Jamie Rivadeneira ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายผลิตภัณท์ของญี่ปุ่นและอเมริกา รายได้จากการขายผลงานศิลปะในครั้งนี้จะถูกนำไปบริจาคเพื่อสาธารณะประโยชน์ในเขตท้องที่เมืองลอสแองเจลิสค่ะ (ดูรายละเอียดได้ที่ www.sanrio.com/threeapples)
       
       หากใครเป็นผู้ชื่นชอบเฮลโลคิตตี้ คงเห็นว่าปีนี้ คิตตี้มีโบว์หลากสีนะคะ โบว์ห้าสี ห้าความหมายที่สื่อต่อสังคมได้งดงามค่ะ สีแดงหมายถึงมิตรภาพ สีชมพูคือความน่ารัก สีเหลืองคือจิตใจที่ดีงาม สีเขียวคือความปรารถนาและสีม่วงคือความอ่อนหวานค่ะ.... แล้วคุณล่ะคะ...มีคอลเลคชั่นของเฮลโลคิตตี้ในปีนี้แล้วหรือยัง..
บันทึกการเข้า

หันมาเล่นออฟโรดดีกว่า

ไม่ได้เหลือ..แค่เบื่ออะไรเดิมๆ
จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ>
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6,635


เข้าป่าพอไหว..ขับไวเค้ากัววว


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #115 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2552 08:52:14 »

ติ่งหู หรือ กะลา คือ ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต(+คนในโลกความจริง)ประเภทหนึ่ง ที่มีนิสัยแย่ๆดังนี้

* บ้าดารา เป็นเนืองนิจ ทั้งดารานักร้องในประเทศ ต่างประเทศ และเลียนแบบต่างประเทศ โดยมักเรียกซูเปอร์สตาร์ในดวงใจของตนว่า ผัว ราวกับว่าตนเองได้ระลึกชาติว่าเคยเป็น ชะนี ในชาติที่แล้ว บางครั้งอาจรวมกลุ่มกันเป็นแฟนคลับสร้างเสริมความบ้า เข้าไปใหญ่

* ทำตัวเป็น คุณหนู ไฮโซ พวกชั้นสูง ตัวเองต้องเหนือกว่าชาวบ้าน ชอบอวด ปากดี ขี้โอ่ ชอบฟุ้งเฟ้อ ชอบพูดแต่เรื่องแฟชั่น (ในกรณีที่ไม่พูดเรื่องดารา) ถ้าใครมาทำตัวเด่นกว่า เก่งกว่า สูงศักดิ์กว่า ก็มักอิจฉาริษยา ไปถล่มเว็บไซต์ บล็อก หรือMy IDเขา บ้างก็ไปป่วนในบอร์ดของนิยายคนอื่น โดยเฉพาะที่ติดอันดับ Top Ten หรือจวนเจียนจะได้ตีพิมพ์นิยายแล้ว ด้วยภาษาที่ดูเหมือนสุภาพ หากแต่ทำร้ายจิตใจคนอ่านได้ดียิ่งกว่าภาษาเกรียนซะอี ก

* ไร้สาระ ไม่มีแก่นสารของชีวิต วันๆจะวนเวียนไปกับกระทู้ที่โพสรูปดารานักร้อง หรือ คนหน้าตาดีไว้ แล้วก็คอมเมนต์พล่ามยกย่องเชิดชูราวกับว่าเขาเป็นพระ เจ้าอย่างงั้นแหละ ภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันคือ ภาษาวิบัติ สังเกตได้ตั้งแต่ Username ยัน Signature อักขระวิธีจะวิบัติและเสื่อมทั้งดุ้น (แถมยังพ่นภาษา Emoticon ออกมาเป็นชุดอีกต่างหาก

* เป็น นักวิชากวน ทำตัวเป็นเด็กเรียน รอบรู้ทุกเรื่อง ทั้งๆที่ไม่รู้จริง มักจะใช้ภาษาสุภาพ ที่ดูสมเหตุสมผล ในการด่าและบั่นทอนจิตใจชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีใครก็ตาม มากล่าวบริภาษว่าร้ายแก่ตนเองหรือดารานักร้องคนโปรด คุณเธอก็จะเถียง+ด่าเป้าหมายด้วยภาษาสุภาพและคำศัพท์ วิชาการล้วนๆ ซึ่งคำด่าอาจยาวเกินสิบบรรทัดด้วยซ้ำไป หากแต่เมื่อลองตั้งใจอ่านดู กลับพบว่าเนื้อหาสาระนั้น ไม่มี! แถมยังพูดจาเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น

* น้ำเน่า ชอบอ่าน/แต่งนิยาย(+การ์ตูน)รักหวานแหววน้ำเน่า ประเภทแค่อ่านย่อหน้าแรกก็รู้ตอนจบได้ ก็แค่พระเอกกับนางเอกงอนกันไปงอนกันมาล่ะว้า แถมนางเอกก็มักบื้อจนโง่ พระเอกก็บ้ากามอีกต่างหาก (เช่นเรื่อง มาเรียที่ฟัก เป็นต้น) หรือไม่ก็อ่าน/แต่งนิยายแนวเวทมนตร์ มนตรา โรงเรียนเวทมนตร์ เทพนิยาย ยุคกลาง หรือมหากาพย์ ซึ่งมีโครงเรื่องออกไปทาง ก๊อปชาวบ้านทั้งนั้น อนึ่ง ปัจจุบันเราไม่นับญาติแนวเวทมนตร์ว่าเป็นแนวเดียวกับ แนวแฟนตาซีอีกแล้ว อันเนื่องมาจากเวทมนตร์เป็นศัพท์ที่พบกันจนเกร่อและช วนเอียน นิยายเรื่องไหนที่มีคำว่า เวทมนตร์ จึงมักไม่ใช่ แฟนตาซี ซึ่งหมายถึงจินตนาการอันเปี่ยมล้น (แถมบางคนชอบใช้ เวท กับ เวทย์ สลับกันมั่วอีกต่างหาก เวท - มาจาก เวท แปลว่า คำ,การพูด เวทย์ - มาจาก วิทฺย เป็นคำสันสกฤต ซึ่งแผลงจากบาลี วิชฺช แปลว่า วิชาความรู้)

* ชอบ อยู่เป็นฝูง หากอยู่ตัวเดียวโดดๆ
ติ่งหูจะไร้ซึ่งอำนาจในการคุกคามผู้อื่น เปลี่ยนการพูดจากลายเป็นแบบสาวน้อยไร้เดียงสา ใช้ภาษาวิบัติดัดเสียงให้ดูน่ารักๆ แต่หากอยู่กันครบหน้าแล้วล่ะก็... ใครขวางแม่ด่ายับแน่ โดยใช้เทคนิคเล่นพรรคเล่นพวก เหมือนนักการเมืองบางคน สนับสนุนพวกพ้อง รุมถองศัตรู (ถอง=..หม่ำ..) และหากใครเคยฟังบทสนทนาของกลุ่มพวกติ่งหูในโลกความจร ิงแล้ว จะพบว่าพวกนี้จะลืมศัพท์วิชากวนที่ใช้ในโลกอินเทอร์เน็ตไปจนหมดสิ้น ใช้แต่คำหยาบคายในการพูดจากับเพื่อนล้วนๆ และมีศัพท์ทางเพศปลอมปนอีกมาก แถมบางครั้งยังทะเลาะวิวาทกันเองเพื่อแย่งชิงกันว่าด ารานักร้องคนนั้นควรจะเป็นผัวของใครอีก เป็นต้น เรียกพวกติ่งหูพวกนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า แรด

* ดูคนที่ภายนอก คือ หน้าตา สัดส่วน และแฟชั่นเครื่องแต่งกายล้วนๆ ไม่สนใจเรื่องอุปนิสัย หรือระดับสติปัญญาของคนอื่น (ยกเว้นคนที่กำลังหมั่นไส้ เรดาห์จับผิดจะทำงานดีนักแล) แถมยังหัวอ่อน เชื่อคนง่ายอีกด้วย ใครพูดอะไรก็เชื่อหมด ไม่มีสมองในการกลั่นกรองพิจารณาแยกแยะระหว่างข้อเท็จ จริงกับโม้คำโต อันเนื่องมาจากติ่งหูมี EQ สูงมากจนหน้าด้าน แต่ดันมี IQ ติดลบ แถมยังชอบเอาแต่ใจ บางคนก็เรียนเก่งในโลกความจริง แต่สติปัญญาก็มิได้มีการกระเตื้องขึ้นเลยแม้แต่น้อย

* เชิดชูเกาหลี เมื่อมีคนมาพาดพิงถึงประเทศเกาหลี หรือบอกความจริงบางอย่างแก่ประเทศเกาหลี เหล่าติ่งหูจะรับไม่ได้ และด่าสาดเสียเทเสีย ด่าถึงบุพการีของผู้ที่พูดความจริง ทั้งๆ ที่มันจริงแท้ๆ อย่างเช่น ถ้ามีคนมาบอกว่า "คนเกาหลีส่วนใหญ่เห็นแก่ตัว"(เรื่องจริง) ติ่งหูเหล่านั้นจะด่ากราด กล่าวหาว่าไม่เคยเห็นคนเกาหลี ไม่เคยไปประเทศเกาหลีอย่างแท้จริง ซึ่งความจริงแล้วนิสัยคนเกาหลีก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ น่ะแหละ เพียงแต่ติ่งหูยอมรับความจริงไม่ได้ แล้วด่ากราด เท่านั้นเอง

* ไม่ชอบยอมรับความจริง เมื่อมีคนมาพูดเรื่องเกี่ยวกับดาราที่ตนชอบในแง่ลบ(แ ต่เป็นเรื่องจริง) ติ่งหูจะพยายามเถียง เมื่อเถียงแพ้(เนื่องจากมันเป็นความจริง)ก็จะด่ากราด ถึงบุพการี เนื่องจากไม่สามารถยอมรับความ จริงได้ ดังที่จะเห็นบ่อยๆ คือ มีคนมาบอกว่า "กอล์ฟไมค์ก็อปเพลงไอ้ยุ่น" ติ่งหูจะไม่สามารถยอมรับความจริงได้อย่างเต็มที่ สงผลให้เกิดการด่ากราด

ที่มาของติ่งหู
* ที่มาของคำว่า ติ่งหู หรือ กะลานั้น ต้นกำเนิดจะคล้ายๆกับเกรียน นั่นก็คือ มักจะเป็นกลุ่มเยาวชนตั้งแต่ ป.4 ไปจนถึง ม.ปลาย ซึ่งโรงเรียนที่ปกครองระบอบเผด็จการนั้น จะบังคับให้เด็กนักเรียนหญิง ตัดผมทรงกะลา ซึ่งมักจะสั้นไม่เกินคาง แต่ถ้าบางแห่งเผด็จการมากๆ ก็จะให้แค่สั้นมาก ถึงขั้นไม่เกินติ่งหู (แถมตัวมักจะดำอีกต่างหาก) ซึ่งถ้าหากเกรียนกำลังคลั่งเกมออนไลน์อยู่ ติ่งหูก็กำลังคลั่งดาราบนทีวีหรือไม่ก็คลั่งนิยายน้ำ เน่าบนบางเว็บไซต์อยู่แน่นอน แต่สมัยก่อนยังไม่มีคำว่า ติ่งหู หรือ กะลา เพราะพวกนี้เดิมทีมีอยู่เป็นจำนวนน้อยมาก (ประมาณ 1 ใน 10 ของเกรียน) แถมพวกนี้ยังชอบไปป่วนในโลกความจริงมากกว่า จึงไม่ค่อยมีใครรู้ว่ามีตัวตนอยู่

* แต่คำว่าติ่งหู หรือ กะลานั้น เริ่มแพร่หลายเมื่อ เด็กนักเรียนหญิงบางกลุ่มรวมหัวกันไปแรด ที่ห้างสรรพสินค้าหรือสถานเริงรมย์บางแห่ง โดยที่ถึงจะไปเปลี่ยนชุดจากชุดนักเรียนมาแล้ว แต่ผมทรงกะลากับติ่งหูโผล่ก็ยังคงเป็นหลักฐานบ่งบอกร ะดับวัยวุฒิและคุณวุฒิอยู่ดี ผู้ใหญ่บางท่านผ่านมาเห็นก็เอือมระอา พร้อมๆกับกล่าวว่า "โถๆยัยหนูกะลา อายุแค่นี้ทำซ่าจริงๆ" "ผมยังไม่ทันพ้นติ่งหูเล้ย เสียเด็กซะแล้ว" หรือ "น้องๆจ๊ะ มากับเสี่ยมั้ยจ๊ะ เดี๋ยวเสี่ยเลี้ยงฮอทดอกอุ่นๆให้นะจ๊ะ" อะไรทำนองนี้ เมื่อมีมากรายเข้า คำว่า ติ่งหู หรือ กะลา จึงแพร่หลายในที่สุด

* ติ่งหู หรือ กะลา เริ่มเป็นที่รู้จักในอินเทอร์เน็ต โดย
ชาวประมูลบางคน ได้มาตั้งกระทู้ก่นด่ากลุ่มคนพวกนี้ เนื่องจากไม่พอใจในพฤติกรรมของพวกไฮโซจากบางเว็บไซต์ ที่มักจะบ้าดาราจนเกินเหตุ แต่พอลองไปถามเรื่องพวกนี้ดู (ว่ามันมีดีตรงไหนเนี่ย ไอ้นักร้องเกาหลีหน้าตุ๊ดคนเนี้ย)ปรากฏว่า ถูกหลอกด่าด้วยศัพท์วิชากวนซะจนเละ จึงเอามาระบายอารมณ์ที่เว็บไซต์ของตน ซึ่งต่อมาจึงได้เกิดสงครามขึ้นระหว่าง เว็บประมูล กับ บางเว็บไซต์ อย่างรุนแรง

* อีกกรณีหนึ่ง ผู้หลักผู้ใหญ่ หรือ ผู้มีวุฒิภาวะบางท่าน ซึ่งไม่พึงพอใจในการกระทำหลายๆอย่างของเด็กนักเรียนห ญิงในสมัยปัจจุบันเป็นอย่างมาก (เรียกได้ว่าเป็น เกรียนผู้หญิง นั่นเอง) จึงได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เด็กพวกนี้ตามบอร์ดต่างๆ ทำให้เกิดเรื่องฮือฮา และตื่นตัวในไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้มากขึ้น นอกเหนือจากไวรัสเกรียนและโอตาคุ โดย เทหร้าสเฟียร์ เป็นท่านแรกที่เสนอให้ใช้คำว่า กะลา แต่บักมารินอส ผู้ปลุกระดมกระแสต่อต้านบางเว็บไซต์จากประมูลคนแรก รวมถึงพวกที่อยู่พันธุ์ทิพย์ด้วย ได้ใช้คำว่า ติ่งหู แทน ซึ่ง ทั่นผู้นั้น ได้เห็นว่า มันมีที่มาจากที่ๆเดียวกันทั้งคู่ นั่นก็คือ ผมทรงนักเรียนหญิงนั่นเอง

วิธีการรักษา
* กลับบ้านไปกราบเท้าแม่ซะ แล้วบอกว่า "ขอโทษค่ะ ที่หนูเป็นติ่งหู"
* อ่านหนังสือทบทวนตำราเรียนซะ เดี๋ยวจะเรียนไม่จบเอาเปล่าๆ
* หาหนังสือ "สมบัติผู้ดี" มาอ่านบ้างก็ได้นะครับ
* เข้าวัดเข้าวาซะหน่อย เผื่อจะเป็นผู้เป็นคนขึ้น
* ถ้าจะให้ดีที่สุด ไปเกิดใหม่ เลยก็ได้นะครับ
บันทึกการเข้า

หันมาเล่นออฟโรดดีกว่า

ไม่ได้เหลือ..แค่เบื่ออะไรเดิมๆ
Tatum + Apple
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,899


ปิดตำนาน น้องส้มแห่งโซนศรีฯ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #116 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552 00:49:18 »

 
บันทึกการเข้า

BirdZ_ZestUp
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,066


SR20DET!!


ดูรายละเอียด
« ตอบ #117 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552 01:02:21 »

ภาพนี้มิได้เป็นการดูหมิ่น   แต่ดูแล้วอึ้งคับ

http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_06_2008/post-22738-1214734473_thumb.jpg
เออจริงด้วยลองแล้ว ผนังสีขาวยิ่งชัดเลย





อึ้งครับ
บันทึกการเข้า


TOCOBU
Tatum + Apple
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,899


ปิดตำนาน น้องส้มแห่งโซนศรีฯ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #118 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552 23:58:54 »

 
บันทึกการเข้า

landslots รัก ในหลวง
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,048


- ก็ได้แค่นั้นแหละ -


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #119 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2552 13:28:23 »

http://moremeng.in.th/2009/03/tamiya-toys.html

ของเล่นสมัยเด็ก
บันทึกการเข้า

กลับมาแล้ว

Jigging man
[/center]
หน้า: [«5]  «  1 ... 4 5 [6] 7 8  »    ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!