พอเกิดการระบาดไข้หวัดใหญ่ 2009 ขึ้นมา ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนนอกจากการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อที่โผล่ออกอากาศในข่าวทุกช่วงแล้ว คือการระบาดของ ? หน้ากากอนามัย ? คะ ซึ่งในความเป็นจริง หน้ากากอนามัยเค้ามีไว้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดและโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้ใช้เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นคะ ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า การไอ 1 ครั้ง สามารถแพร่เชื้อได้ไกลถึง 1 เมตรเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามหากสักแต่ว่าใส่ แต่ไม่รู้วิธีใช้อย่างถูกสุขลักษณะ " หน้ากากอนามัย " ก็อาจกลายเป็น " หน้ากากอันตราย " ก็เป็นได้คะ
หน้ากากอนามัยที่นิยมใช้ มี 2 ประเภทคะ ประเภทแรก คือ ? หน้ากากผ่าตัด ? มีขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปคะ สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ 5 ไมครอน หรือป้องกันได้ร้อยละ 80 มีอายุการใช้งานประมาณ 3 วันคะ วิธีการสวมที่ถูกต้องคือ ต้องนำด้านที่มีสีเข้มออกทางข้างนอก หรือสังเกตจากรอยพับของผ้าด้านหน้าต้องพับลง ซึ่งหากใส่ผิดรอยพับจะกักเก็บฝุ่นละอองในรอยพับ ทำให้หายใจลำบาก ซึ่งภ้าหากหน้ากากเกิดการฉีกขาดหรือมีรอยเปื้อนควรทิ้งทันทีคะ
หน้ากากประเภทที่ 2 เรียกว่า ? N95 ? คะ สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ 0.3 ไมครอน ซึ่งกรองได้ละเอียดกว่าชนิดแรก หน้ากากแบบนี้ มีทั้งชนิดที่มีวาล์วเพื่อให้หายใจได้สะดวก และชนิดที่ไม่มีวาล์ว ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าเพราะมีราคาถูก แต่ข้อเสียของมันคือ หากใส่ไปนานๆจะทำให้หายใจลำบากคะ จึงไม่ควรให้เด็กที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ใส่ เพราะอาจทำให้ขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตได้คะ ในขณะเดียวกันหาก หน้ากากเกิดชำรุดหรืออยู่ในสภาพไม่สามารถใช้งานต่อได้ควรทิ้งทันทีคะ ซึ่งข้อควรปฎิบัติพื้นฐานในการใช้หน้ากากอนามัยทั้ง 2 ประเภทมีดังนี้คะ
1. ล้างมือให้สะอาดก่อนการสวมใส่
2. เมื่อทำการสวมใส่ควรหลีกเลี่ยงให้มือไปสัมผัสกับเนื้อผ้าบริเวณด้านในที่แนบกับจมูกและปาก เพราะในมืออาจมีเชื้อโรคทำให้เข้าสู่ร่างกายได้ ถือถ้าเป็นหน้ากากแบบผ่าตัด ต้องจับสายด้านข้างดึงแล้วร้อยกับหู ส่วนแบบ N95 ควรจับบริเวณด้านนอกเพื่อประคองและดึงสายสวม
3. ควรใส่ให้ผ้าปิดตั้งแต่จมูกจนถึงคาง เพื่อป้องกันเชื้อร้ายที่แฝงตัวมากับอากาศเข้าสู่ร่างกาย
4. การใส่หน้ากากอนามัยโดยดึงสายรัดให้แน่นมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องดีคะ เพราะจะทำให้หายใจไม่สะดวก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผู้ใส่ควรดัดเหล็กที่เป็นโครงให้เข้ากับดั้งจมูกให้แนบสนิท เนื่องจากเป็นจุดเสี่ยงที่เชื้อโรคจะเข้าสู่จมูกได้ง่ายคะ
5. เมื่อใส่หน้ากากอนามัยแล้วไม่ควรล้วงหรือเกาบริเวณที่ผ้าปิดอยู่ เพราะจะทำให้เชื้อโรคที่ติดมากับมือเข้าไปภายใต้หน้ากากอนามัยได้
อย่างไรก็ตาม จากความต้องการของประชาชนในการเลือกซื้อหน้ากากอนามัยที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ราคาหน้ากากผ่าตัดจากเดิมที่ไม่เกินแผ่นละ 5 บาท ถีบตัวสูงขึ้นอยู่ที่แผ่นละเกือบ 20 บาท ทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะซื้อมาใช้ได้ทุกวัน นพ.สมชัย นิจพานิช รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำว่า การประดิษฐ์หน้ากากอนามัยผ้าขึ้นมาเองก็สามารถป้องกันได้ถึง 80% คะ แถมยังช่วยประหยัดเงินเพราะไม่ต้องเสียเงินซื้อหน้ากากบ่อยๆ เพราะสามารถนำกลับมาซักใช้ใหม่ได้ โดยวัสดุที่ใช้ก็เช่น ผ้าสาลู ผ้าฝ้าย ผ้ายืด ผ้าอ้อมเด็ก ผ้าถุง เป็นต้น ซึ่งขั้นตอนการทำง่ายๆ มีดังนี้คะ
1. นำผ้าที่เตรียมไว้มาพับครึ่งตามความยาวผ้าแล้วพับจับจีบทวิช 1 นิ้ว ตรงกลางผ้ากลัดด้วยหมุดหรือเนาตรึงไว้ และทำอีกชิ้นเช่นเดียวกัน
2. นำผ้าที่พับไว้มาวาง โดยหันด้านนอกขึ้น และนำยางยืดมาวางที่มุมผ้าด้านกว้างข้างบนและข้างล่างด้านละ 1 เส้น กลัดเข็มหมุดหรือเนาตรึงไว้
3. นำผ้าที่พับไว้อีกชั้นมาวางซ้อนกับผ้าชิ้นแรกที่ตรึงยางยืดไว้ โดยหันผ้าด้านนอกชนกัน แล้วเย็บจักรหรือด้นถอยหลังรอบผ้าสี่เหลี่ยมให้ห่างจากริมผ้าด้านละครึ่งเซนติเมตร โดยเว้นช่องว่างไว้กลับตะเข็บประมาณ 1 นิ้ว
4. ขลิบผ้าตรงมุมทั้ง 4 มุม ให้ใกล้กับรอยเย็บ เพื่อเวลากลับตะเข็บจะได้เรียบร้อยสวยงาม
5. สอยปิดช่องว่างที่เว้นไว้ให้เรียบร้อย
แหล่งที่มา:
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=4673&categoryID=486