ความสัมพันธ์ที่แปรเปลี่ยนในสังคมโลกออนไลน์

บนโต๊ะสีขาวตัวนั้นในร้านกาแฟ ความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเริ่มต้นขึ้น เธอกำลังนั่งจ้องมองโน้ตบุ๊คที่ออนไลน์อยู่อย่างไม่วางตา ภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ เต็มไปด้วยรูปถ่ายที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของชายหนุ่มจำนวนมาก ข้อความมากมายกระจายตัวอยู่บนภาพกราฟิกสีสันสะดุดตา เสียงเพลงสุดฮิตลอยมากระทบหู ทันทีที่เธอคลิกเปลี่ยนหน้าเว็บเพจของผู้ชายเหล่านั้นไปทีละคนสองคน
และนั่นคือสิ่งที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า "hi5"!
สำหรับคนทั่วไป มันคือ "เว็บไซต์หาเพื่อนใหม่" สุดฮอตที่ใครๆ ก็รู้จัก
สำหรับนักการตลาด มันคือ "ช่องทางโฆษณาประชาสัมพันธ์" ชั้นเยี่ยม
และสำหรับนักสังคมวิทยา มันคือ "กลุ่มสังคมใหม่" ของมนุษย์ในโลกยุคข้อมูลข่าวสาร
hi5 จึงกลายมาเป็น "ปรากฏการณ์" ที่เราควรจะต้องหันมาสนอกสนใจ และทำความรู้จักกับมันให้มากกว่านี้ โดยไม่ต้องสงสัย แล้วคุณจะพบว่า ความสัมพันธ์ของคนเราทุกวันนี้ มันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ !
Feb 2, 2008 00:09 AM
Let’s say "Hi" to "5"
ดึกมากแล้ว ผมยังคงนอนไม่หลับ จอคอม- พิวเตอร์เบื้องหน้ายังคงสว่างวิบวับ ผมค่อยๆ พิมพ์คำว่า
www.hi5.com ลงไปในช่องว่างทีละตัว
hi5 ถูกคิดค้นขึ้นมาเป็นครั้งแรกในราวปี 2002 โดยนักลงทุนชาวอเมริกันที่ชื่อ รามู ยาลา-มานชี (Ramu Yalamanchi) มันเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ประเภท "เครือข่ายทางสังคม" (Social Network) ที่ช่วยให้เราสามารถสร้างหน้าเว็บเพจสำหรับแสดงข้อมูลส่วนตัวในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ อายุ สัดส่วน วิถีชีวิต ความสนใจ ภูมิหลัง หรือแม้แต่รสนิยมทางเพศ รวมไปถึงรูปถ่ายของเรา เพื่อให้สมาชิกคนอื่นๆ ของ hi5 แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชม ทักทาย และกลายมาเป็น "เพื่อน" กับเราในที่สุด-เรียกง่ายๆ ว่าเป็นช่องทาง "พรีเซ้นต์ ตัวเอง" เพื่อ "หาเพื่อนใหม่" ก็คงไม่ผิดนัก
ความฮิตของเจ้าเว็บที่ว่านี้ไม่ธรรมดานะครับ เพราะเมื่อปลายปีที่แล้ว hi5 มีสมาชิกทั่วโลกรวมแล้วกว่า 98 ล้านคน และได้กลายเป็น 1 ใน 25 เว็บไซต์ประจำปี 2007 ที่มีผู้คนเข้าไปเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก เคียงคู่กับเว็บไซต์ประเภทอื่นๆ อย่าง Google และ Hotmail ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย
Did you know ? ชื่อของ hi5 มีที่มาจากสำนวนภาษาอังกฤษอย่าง "high five"
ที่หมายถึง ท่าทางการแสดงความยินดีระหว่างคน 2 คน โดยการยกมือขึ้นแตะกันกลางอากาศ-ทั้งนี้ทั้งนั้น คำว่า "high" มาจากลักษณะของการยกแขนให้สูงขึ้น ส่วนคำว่า "five" ก็มาจากนิ้วทั้ง 5 ที่ใช้สัมผัสกันนี่เองครับ
Feb 5, 2008 01:10 PM
What is "Social Network" ?
หลายคนคงสงสัยว่า "เครือข่ายทางสังคม" (Social Network) คืออะไร ?
ทฤษฎีหนึ่งที่สามารถอธิบายเรื่องของ "เครือข่ายทางสังคม" ได้แบบเห็นภาพชัดเจนที่สุด ก็คือ "6 Degrees of Separation" หรือแปลเป็นไทยอย่างง่ายๆ ว่า "ทฤษฎีระยะห่าง 6 ขั้น"
มันเป็นแนวความคิดที่เชื่อว่า "คนทุกคนบนโลกจะสามารถเชื่อมโยงกันได้ภายในระยะห่างไม่เกิน 6 ช่วงคน" กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน หรือจะอยู่ที่ใดในโลก สุดท้ายแล้วเราจะสามารถหาคนที่เชื่อมเราเข้าด้วยกันได้ในที่สุด โดยค่าเฉลี่ยของระยะห่างระหว่างกันจะอยู่ที่ "6 ขั้น" ของความสัมพันธ์เท่านั้น ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ เช่น เรากับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่อาจจะเชื่อมโยงกันได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผ่านความสัมพันธ์เพียงแค่ 6 ขั้นเท่านั้น
และก็เช่นเดียวกับแนวคิดของ "เว็บไซต์เครือ- ข่ายทางสังคม" อย่าง hi5 ที่เมื่อเรากลายมาเป็นเพื่อนกันภายใต้เครือข่ายที่ว่านี้ เราก็จะถือว่าเข้าไปอยู่ใน "ขั้นที่ 1" (1st Degree) ของความสัมพันธ์แล้ว และเมื่อเราคลิกไปหาเพื่อนของเพื่อน, เพื่อนของเพื่อนของเพื่อน และเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน ระยะห่างของความสัมพันธ์ก็จะแตกออกไปสู่ขั้นที่ 2, 3 และ 4 เรื่อยไปตามลำดับ
เว็บไซต์เครือข่ายทางสังคมอย่าง hi5 ก็ถูกรวมอยู่ในความหมายที่ว่านี้ด้วย แต่จะได้เปรียบกว่าเครือข่ายอื่นๆ ตรงที่ hi5 ตั้งอยู่บนช่องทางที่ "ไร้พรมแดน" อย่างอินเตอร์เน็ตนี่แหละครับ
Feb 8, 2008 09:12 AM
Here, There and Everywhere
hi5 โด่งดังอยู่ในตลาดต่างประเทศนอกอเมริกาเป็นหลัก
เพราะจุดเด่นของมันคือเรื่องของการเข้าถึงกลุ่มคนและวัฒนธรรมที่หลากหลายด้วย "ภาษา" ซึ่งตอนนี้ถูกแปลออกมากว่า 10 ภาษาแล้ว
กลุ่มของผู้ที่ใช้ภาษาสเปนและภาษาอื่นๆ ในแถบยุโรปและอเมริกาใต้ เช่น เปรู เม็กซิโก สาธารณรัฐโดมินิกัน โคลัมเบีย คอสตาริกา เอลซัลวาดอร์ เอกวาดอร์ กัวเตมาลา โรมาเนีย เวเนซุเอลา และโปรตุเกส เนื่องจากในตลาดของกลุ่มผู้ใช้ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะในอเมริกา ถูกครอบครองโดย MySpace และ Facebook อยู่แล้ว แถมยังลุกลามมาถึงประเทศในแถบยุโรปและเอเชีย-รวมถึงประเทศไทยด้วย
ในบ้านเรา hi5 เริ่มเข้ามาเมื่อปี พ.ศ. 2546 ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีลูกเล่น หรือการตกแต่งที่หลากหลาย เป็นเพียงพื้นที่ว่างสำหรับโชว์รูปภาพเพียงอย่างเดียว แต่ในปีที่ผ่านมา เมื่อ hi5 กลายมาเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นมากขึ้นจนถึงขีดสุด ทางเว็บไซต์จึงทำการปรับโฉมให้ hi5 ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยเพิ่มส่วนที่เป็นมัลติมีเดียขึ้นมา เช่น สไลด์โชว์รูป เพลง วิดีโอ และยังสามารถเข้าไป Comment รูปภาพได้อีกด้วย
ปัจจุบัน สมาชิกในเมืองไทยมีมากถึงเกือบ 10% ของจำนวนผู้เล่นอินเตอร์เน็ต ทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนประชากรที่ไม่น้อยเลย อีกทั้งยังมียอดลงทะเบียนสมาชิกราวๆ 8-9 พันคนต่อวัน และก็มีทีท่าว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วย นอกจากนี้ มันยังติด 1 ใน Top 5 ของเว็บไซต์ยอดนิยมของเด็กวัยรุ่น (สำรวจโดย เอแบค โพล) โดยช่วงอายุที่มีการเล่นมากที่สุดอยู่ระหว่าง 18-24 ปี คิดเป็นสัดส่วนถึง 42.19% และจำนวนของผู้หญิงที่เล่น hi5 จะมากกว่าผู้ชายอยู่เล็กน้อย
เบรต ฟิงเคลสไตล์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายของ hi5.com ยังได้ให้ข้อมูลว่า ประเทศไทยมีจำนวนสมาชิกมากเป็นอันดับ 12 ของโลก แต่มีอัตราการเติบโตสูงสุดติดอันดับ Top 3 เลยทีเดียว
Feb 13, 2008 02:22 PM
Learn How to "Five"
การเริ่มต้นเล่น hi5 นั้นเป็นเรื่องง่ายมากๆ ครับ
แค่คลิกเข้าไปยัง
www.hi5.com แล้วกรอกรายละเอียดต่างๆ ลงไป ทั้งอีเมล พาสเวิร์ดที่ต้องการ รวมถึงข้อมูลเบื้องต้น เพื่อสมัครเป็นสมาชิกให้เรียบร้อย ก่อนที่เราจะเข้าไปตะลุยโลกของ hi5 กันอย่างเต็มรูปแบบ ! สำหรับหน้า My Profile ของ hi5 ที่เรานำมาให้ดูนี้ เรียกได้ว่าเป็นหน้าแรกสุดที่คุณจะนำเสนอ "ความเป็นตัวเอง" ให้คนเข้ามาทำความรู้จัก ซึ่งเราสามารถตกแต่งในส่วนนี้ด้วยลูกเล่นที่หลากหลาย ทั้งเปลี่ยนภาพพื้นหลัง (Skin), อัพโหลดวิดีโอ และใส่เพลงฮิตที่เราชื่นชอบลงไป โดยจะประกอบไปด้วยหัวข้อหลักๆ ดังต่อไปนี้
>>Profile : ถือว่าเป็นส่วนแรกที่เราจะเห็นมันก่อนอะไรทั้งหมด โดยจะบรรจุข้อมูลพื้นฐานของตัวเรา (เพศ อายุ สถานภาพ ฯลฯ) และ hi5 ของเราเอาไว้ (จำนวนของ Friends, Fives และ Comments ทั้งหมดที่มีอยู่) ซึ่งคำสั่งหลักๆ ในการ "เล่น" hi5 ก็จะอยู่ในส่วนนี้เอง
>>Recent Updates : เป็นส่วนที่ช่วยเตือนให้เรารู้ว่า ได้ อัพเดทอะไรใหม่ๆ ลงไปบ้างแล้ว ทั้งเพื่อน ข้อมูลส่วนตัว และรูปภาพ
>>Lifestyle : ส่วนนี้เป็นส่วนที่จะขยายความถึงสไตล์การใช้ชีวิตของเรา ทั้งเรื่องรสนิยมทางเพศว่าเป็นแบบไหน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่หรือไม่ รวมถึงการอธิบายตัวตนของตัวเราเพิ่มเติมลงไปในส่วนนี้ด้วย
>>Interests : ช่องนี้สำหรับใช้อธิบายเรื่องที่เราสนใจเป็นพิเศษ ทั้งหนังที่ชอบ วงดนตรีที่รัก หรือหนังสือที่อ่านเป็นประจำ คนอื่นจะได้รู้ว่ารสนิยมของเราเป็นแบบไหน ยังไง
>>Background : อันนี้จะซีเรียสขึ้นมานิดหน่อยครับ เพราะเป็นเรื่องของภูมิหลังส่วนตัวอย่าง เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และอาชีพ ...ถ้าจะเปิดเผยรายได้ต่อเดือน ก็สามารถใส่ลงไปได้ด้วยนะครับ
>>Friends : ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นส่วนสำหรับ "เพื่อน" เรียกง่ายๆ ว่าเป็นรายนามของเพื่อนๆ ทั้งหมดที่คุณมีนั่นเอง เป็น หัวใจสำคัญ ที่ทำให้ hi5 กลายเป็น Social Network ที่ได้รับความนิยม ด้วยวิธีเชื่อมโยงแบบ "เพื่อนสู่เพื่อน" นั่นเอง
>>Photo Albums : เราสามารถสร้างอัลบั้มส่วนตัวได้ที่นี่ แต่จะ "ส่วนตัว" แค่ไหนนั้น คงขึ้นอยู่กับความมั่นใจของแต่ละคนด้วย
>>Fives : ส่วนนี้ต่อยอดความคิดมาจากชื่อ hi5 ของมันครับ เพราะ Five ที่ว่านี้ ก็คือสัญลักษณ์หลากแบบที่เอาไว้ใช้ "อธิบายความสัมพันธ์" ระหว่างเรากับเพื่อนแบบสนุกๆ...ถ้าเราได้รับ Five แบบไหนจากเพื่อนๆ ก็แปลว่าเพื่อนๆ รู้สึกแบบนั้นกับเราครับ
>>Comments : เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้การเล่น hi5 สนุกมากขึ้นไปอีกครับ เพราะเราสามารถรับ-ส่งComment โต้ตอบกับเพื่อนได้ คล้ายๆ กับการส่งข้อความหากันในโทรศัพท์ มือถือนั่นเองครับ
Feb 19, 2008 06:12 PM
Dark Side of "hi5"
อย่ามัวเล่น hi5 กันจนเพลิน...เพราะเรื่องต่อไปนี้อาจเกิดขึ้นกับคุณได้ทุกเมื่อ
• รูปสวยๆ หล่อๆ ที่เราเห็นใน hi5 ของคนอื่น อาจไม่ใช่รูป "จริงๆ" ของเจ้าตัว เพราะบางรายอาจจะเซฟเอารูปของคนอื่นลงแทนรูปของตัวเอง ในขณะที่บางรายอาจถึงขั้นที่บิดเบือน "เพศ" ของตัวเองกันเลยทีเดียว เช่น "กะเทยแต่งหญิง" บางคนระบุเอาไว้ว่าตัวเองเป็น "เพศหญิง" หรือ "ทอม" บางคนจงใจกรอกข้อมูลลงไปว่าเป็น "เพศชาย" ก็มี ดังนั้น "ตัวตน" ของใครหลายคนใน hi5 จึงเป็นได้แค่ "ภาพ" ที่เจ้าตัวอยากให้คนอื่น "เห็น" หาใช่ตัวตนที่แท้จริงไม่ !
• การกลั่นแกล้งในโลกไซเบอร์ (Cyber Bullying) สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เพราะเมื่อทุกคนมี hi5 เป็นของตัวเอง มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่คนอื่นๆ จะเข้าไปขโมยข้อมูลหรือรูปภาพส่วนตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงน่ารักๆ บางคนอาจโดนกลั่นแกล้งจากคนที่ไม่หวังดี ด้วยการนำรูปส่วนตัวของเธอไป "ตัดต่อ" จนกลายเป็นรูปที่ไม่เหมาะสม และนำไปเผยแพร่ลงอินเตอร์เน็ตอีกต่อหนึ่ง เป็นต้น
• เคยมีนักจิตวิทยาในบ้านเราออกมาเตือนว่า คนที่หมกมุ่นกับ hi5 มากเกินไป จนถึงขนาดนั่งเล่นอยู่หน้าจอวันละหลายๆ ชั่วโมง เพื่อปั่นยอดของ "เพื่อน" ในลิสต์ให้ได้มากที่สุด มีโอกาสที่จะกลายเป็น "โรคกลัวสังคม" (Social Phobia) ได้ง่ายๆ ไม่ต่างอะไรกับพวกที่ติดเว็บไซต์หรือโปรแกรมออนไลน์ประเภทอื่นอย่าง MSN หรือเกมออนไลน์เลย โดยอาการของโรคดังกล่าว คือ ไม่อยากออกจากบ้าน ไม่กล้ายอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์จากคนอื่น และยึดติดอยู่แต่กับตัวเอง-เชื่อไหมครับว่า ในปัจจุบัน มีเด็กไทยเป็นโรคนี้กันกว่า 1 ล้านคนแล้ว
อืมม์...ฟังแล้วอึ้ง ทึ่ง เสียวไปเลยใช่ไหมล่ะครับ
