AE. Racing Club
18 มิถุนายน 2568 06:34:36 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
  แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2  » 
1  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / ไขข้อสงสัยเรื่องการแซงซ้าย ผิดกฎหมายหรือเปล่า เมื่อ: 12 มิถุนายน 2557 11:29:19

มารยาทในการขับในท้องถนนในบ้านเราสิ่งที่ไม่สมควรกระทำคือการแซงซ้าย แต่ก็มีบางก็จำเป็นที่จะแซงซ้ายเหมือนกัน เนื่องจากมีรถขับช้าขับแช่อยู่ในเลนขวา
 
การแซงซ้ายนั้นระบุไว้ชัดเจนว่าผิดกฎหมาย
ตามพรบ.จราจร ทางบก ปี 2522 หมวด 2 มาตรา 45  มาได้ระบุไว้ว่า ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ ขับรถแซงรถคันอื่นจากด้านซ้าย  ดังนั้นถือว่าการแซงซ้ายผิดกฏหมายอย่างแน่นอน
 
พวกขับรถช้า แช่ขวาอย่าดีใจไปคุณก็ผิดกฎหมาย เช่นกัน
ผู้ขับขี่รถยนต์ที่มีพฤติกรรมขับขี่รถความเร็วต่ำในช่องขวาสุด โดยไม่สนใจผู้ขับรถคันอื่นที่ขับตามมาด้วยความเร็ว เป็นเหตุการณ์ที่พบบ่อยตามถนนทางหลวงต่างๆ เช่นพอถนนเลนซ้ายวิ่งไม่ดีเนื้อถนนไม่ดี เลยมาวิ่งแช่อยู่เลนขวา
พรบ.จราจรทางบก มาตราที่35 ได้ระบุไว้ว่า รถที่มีความเร็วช้าความเร็วต่ำกว่ารถคันอื่น ผู้ขับขี่ต้องขับรถให้ใกล้ขอบเดินรถทางซ้ายเท่าที่จะกระทำได้ โดยมิได้กล่าวถึงอัตราความเร็ว มีความหมายว่าถึงใช้ความเร็วตามที่กฏหมายกำหนดไว้แล้ว แต่ต้องหลบเข้าเลนซ้ายไปเพื่อให้รถที่ตามมาที่ความเร็วมากกว่านั้นสามารถแซงทางเลนขวาไปได้
 
แต่ถ้ามีพวกขับช้ากว่าแช่ขวาอยู่ที่นี้จะทำยังไงละ
กฏหมายจึงได้ยกเว้นไว้ในพรบจราจรทางบก มาตรา 45 (2) ไว้ว่า ผู้ขับขี่สามารถแซงรถขึ้นไปซ้ายได้เมื่อเห็นว่าทางเลนซ้ายช่องซ้ายนั้นปลอดภัย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รถต่อแถวยาวและรถติดตามมา
 
ทิ้งท้ายกันซักหน่อยครับ เรื่องการขับรถนอกจากปฏิบัติตามกฎหมายกันแล้ว อาจเพิ่มเติมเรื่องการมีน้ำใจความเห็นใจต่อเพื่อนร่วมทางด้วย  เช่น ถนนบางเส้นนี้สภาพช่องถนนในช่องเลนซ้ายนี้ย่ำแย่มากเมื่อขับไปอาจทำให้ตัวรถเสียให้ได้ จึงอาจทำให้ต้องมาขับรถในเลนขวาบ้าง คันที่ขับช้าก็ควรหมั่นดูกระจกหลังว่ามีรถขับตามมาไหมความเร็วมากกว่าเราไหม ถ้าช่องซ้ายพอหลบได้ก็ควรหลบให้เขาไปก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาเข้าเลนใหม่ โดยใช้สัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายเพื่อให้เขารู้ว่าเรากำลังจะหลบให้
คนที่จะแซงไปก็เช่นควรดูเหตุการณ์ข้างหน้าว่า รถเขาจะหลบให้เราแซงได้หรือไม่ อย่าใจร้อนเกินไปบีบแตรกระโชกหรือจี้ตูดมากเกินไป จนอาจจะเกิดปัญหาทะเลาะเฉี่ยวชนกันตามมาได้ อยากจะฝากเอาไว้แค่นี้ละครับ

บทความจาก
ไขข้อสงสัยเรื่องการแซงซ้าย ผิดกฎหมายหรือเปล่า
www.toyotanon.com/
2  AE Racing Club - FreeStyle / Free Style - AE Racing Club / ตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ ต้องทำเมื่อไร แล้วทำเพื่ออะไร? เมื่อ: 02 เมษายน 2557 09:37:33
โดยปกติทั่วไป ในการใช้รถยนต์ปกติทั่วไป ถ้าเอาใจใส่ดูแลเรื่องรถ จะมีการสลับยางทุก 10,000 กม. และอายุของตัวยางก็จะอยู่ประมาณ 3 ปี  หรือราวๆ 5หมื่นกิโลเมตร  จึงจะถึงกำหนดในการเปลี่ยน ยางใหม่ อีกสิ่งหนึ่งต้องทำหลังเปลี่ยนยางคือ ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ


 
คุณรู้ไหมว่า การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ นั้นมันคือการทำคนละส่วนกัน เริ่มแรกเมื่อเปลี่ยนยางสิ่งแรกที่ต้องทำก่อน คือการถ่วงล้อ
โดยช่างยาง จะทำการถอดยางเก่าและใส่ยางใหม่เรียบร้อยแล้ว จะทำการเอาตะกั่วถ่วงล้ออันเดิมออก และนำตัวล้อไปเข้ากับเครื่องถ่วงล้อเพื่อติดตั้งตะกั่วถ่วงล้อใหม่ เพื่อทำให้ตัวล้อใหม่มีความสมดุลในการขับขี่
 
สาเหตุที่เมื่อเปลี่ยนยางทุกครั้งทำไมถึงต้องถ่วงล้อใหม่ก็เพราะว่า มวลของยางแต่ละเส้นนั้น ไม่ได้มีความหนาแน่นเท่ากันทุกจุดของเส้นรอบวง  จึงทำให้ต้องถ่วงใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยน ถ้าไม่ทำตัวล้อก็จะมีความสั่นสะเทือน ยางสึกเร็ว พวงมาลัยสั่น บังคับรถไม่ได้เต็มที่ และส่งผลกระทบต่อช่วงล่างรถอีก ผลร้ายๆทั้งนั้น
นอกจากนั้นมีการถ่วงจี้อีก ถ้าการถ่วงล้อแบบธรรมดายังทำให้อาการล้อสั่นไม่หาย  อาจจะเกิดมาจากความไม่สมดุล ของชิ้นส่วนต่างๆ เช่น จานเบรก เพลาขับ ลูกปืน 
 
โดยการถ่วงล้อแบบถ่วงจี้ จะมีตัวล้อหมุน ไปจี้กับแก้มยาง  เพื่อให้ตัวล้อหมุนและสังเกตอาการสั่น  และช่างจึงทำการถ่วงแก้ไขให้สมดุล
เมื่อถ่วงล้อเสร็จแล้วขั้นตอนต่อไปคือการตั้งศูนย์ การตั้งศูนย์คือการตั้งมุมต่างของล้อรถ ยิ่งเฉพาะล้อหน้าต้องตั้งค่าให้ตามมาตรฐานของโรงงานผลิตรถกำหนด เพื่อการควบคุมรถอย่างมีประสิทธิ์ภาพ และเมื่อวิ่งไปซักประมาณ 10,000 กิโลเมตร ก็จะทำให้ค่าของมุมล้อเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน  เนื่องจากการขับขี่บนถนน และผ่านเส้นทางที่ไม่เรียบขรุขระ

นการตั้งค่ามุมล้อต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญและเครื่องมือที่แม่นยำ โดยทั่วไปจะมีอยู่ 3 มุมหลักที่จำเป็น  คือ มุมโท มุมแคสเตอร์ และมุมแคมเบอร์
 
มุมโท เป็นมุมที่ทำช่วยให้รถนั้นวิ่งได้ตรงและนิ่ง คนขับควบคุมรถในทางตรงได้ง่าย ถึงบางครั้งละมือจากพวงมาลัยระยะเวลาสั้นๆ ทิศทางของรถก็ยังตรงอยู่ วิธีดูมุมโท เมื่อดูจากบนหลังคารถลงมาที่พื้น  ถ้าตรงจุดกึ่งกลางของล้อซ้ายและขวา ทั้งด้านหน้าและด้านหลังอยู่ในแนวขนานกัน มุมโทก็จะมีค่าเป็น  0  แต่ถ้าจุดกึ่งกลางของล้อซ้ายและขวาไม่ขนานกัน โดยด้านหน้าของล้อหุบเข้าหากัน เขาเรียกกันว่า โทอิน  แต่ถ้าล้อถ่างออก เรียกว่า โทเอาต์  การตั้งค่ามุมโทนั้นเขาจะตั้งให้ ค่าโทเป็น 0 หรือ โทอิน เล็กน้อย เพื่อที่เมื่อรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า จะเกิดแรงต้านจากพื้นถนน ทำให้ล้อด้านถ่างออกเพียงเล็กน้อย เพื่อทำให้ค่าโทใกล้เคียงกับ 0 มากที่สุด
 
มุมแคสเตอร์ คือมุมคอม้า ในระบบช่วงล่างหน้าแบบปีกนกสองชั้น ถูกออกแบบมาให้ส่วนบนของสลักแกนล้อหรือโช้คอัพเอียงไปทางด้านหลังของตัวรถ ลักษณะคล้ายกับตะเกียบรถจักรยาน หน้าที่ของมุมก็คล้ายๆกับมุมโท  คือช่วยรถวิ่งตรงและยังช่วยทำช่วยเลี้ยวรถมีความคล่องตัว ช่วยการคืนตัวของพวงมาลัยให้ดี ช่วยให้ล้อหมุนกับมาตรงดีขึ้นหลังจากการเลี้ยว  มุมแคศเตอร์นั้นจะมีค่ามาตรฐานของรถอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ไม่สามารถปรับได้
 
มุมแคมเบอร์ เป็นมุมเอียง ของแนวดิ่งของล้อ โดยมองจากด้านหน้ารถ ถ้าจุดศูนย์กลางของล้อซ้ายและขวาในแนวดิ่งขนานกัน ค่าแคมเบอร์เท่ากับ 0 ถ้าปรับจุดศูนย์กลางของล้อด้านบนถ่างออกและด้านล่างหุบเข้าจะเรียกว่า แคมเบอร์บวก ถ้าล้อด้านบนหุบเข้าและด้านล่างถ่างออกจะเรียกว่าแคมเบอร์ลบ โดยปกติทั่วไปแล้ว ค่าแคมเบอร์ของรถยนต์ทั้ง4ล้อจะตั้งค่าลบเล็กน้อย เพื่อให้การเข้าโค้งนั้นทรงตัวได้ดี
 
การตั้งศูนย์ล้อนอกจากทำหลังจากการเปลี่ยนยางใหม่ ก็ยังต้องทำ ถ้าตัวรถมีอาการ รถวิ่งไม่ตรง พวงมาลัยสั่น  มีอาการดึงซ้ายดึงขวา เกิด เสียงดังตอนเข้าโค้ง  หลังจากการซ่อมเปลี่ยนอะไหล่แล้ว หรือตรวจพบว่าตัวยางมีอาการสึกผิดปกติ ตัวอย่างเช่น ยางสึกเป็นด้านๆ ด้านใดด้านหนึ่ง
 
วิธีทดสอบหลังจากตั้งศูนย์ล้อ
สาเหตุที่ให้ไปทดสอบเพื่อให้ตัวเราคุ้นชินกับรถหลังจากตั้งศูนย์ และตรวจเช็คว่าตัวค่าศูนย์มุม นั้นถูกต้องใช้ได้หรือไม่
1. ในระหว่างทางตรงลองปล่อยพวงมาลัยโดยที่ตัวรถต้องไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง  แต่ถ้ารถคุณเอียงซ้ายไปหน่อยไม่ต้องตกใจค่าตั้งศูนย์ปกติแล้ว เพราะถนนบางเส้นด้านซ้ายมันจะเอียงกว่าด้านขวาเล็กน้อย  เพื่อระบายน้ำฝน ที่ขังออกไป
2. พวงมาลัยรถไม่เอียงไปด้านไหนด้านหนึ่ง  ในขณะที่วิ่งบนพื้นเรียบทางตรง
 
เท่านี้ก็ถือว่าการตั้งศูนย์ล้อของเรานั้นถูกต้องแม่นยำแล้ว ก็เหลือแต่ขับไปเรื่อยๆ ให้มันชินมือ และอีกไม่นานจะเข้าใกล้ช่วงเทศกาลสงกรานต์กันแล้วก็อย่าลืมเอารถไปเช็คและตรวจสภาพกันด้วยนะครับ ก่อนที่จะเดินทางไกลไปเที่ยวต่างจังหวัด เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ ครับ 

http://www.toyotanon.com/article_detail.php?article_id=262
http://www.toyotanon.com/article_detail.php?article_id=263
3  AE Racing Club - FreeStyle / Free Style - AE Racing Club / กิจกรรม Like&Share ครั้งที่ 4 จากโตโยต้านนทบุรี เมื่อ: 22 มีนาคม 2557 15:38:41
ขออนุญาตแอดมินประชาสัมพันธ์นะครับ


กิจกรรม Like&Share ครั้งที่ 4 จากโตโยต้านนทบุรี
"แจกจุใจ รางวัลใหญ่ยิ่งกว่าเดิม"
ลุ้นของรางวัลมากมาย
รางวัลที่ 1 เครื่องเล่น DVD พกพา Sony - 1 รางวัล
รางวัลที่ 2 Toyota Navigator - 1 รางวัล
รางวัลที่ 3 หมอนหูฟัง Altis - 3 รางวัล
รางวัลที่ 4 หมอนผ้าห่ม Toyota - 5 รางวัล

กติกาดังนี้
1. กด Like เพจ “โตโยต้านนทบุรี”
2. กด Like และ Share ภาพกิจกรรมนี้จากเพจของโตโยต้านนทบุรี (ตั้งค่าการแชร์เป็นสาธารณะ/Public)
3. ภาพที่ Share ของใครมีคนมากด Like มากที่สุด จะได้รางวัลเรียงตามลำดับ (ต้องมียอด Like ขั้นต่ำ 20 Like)

หมายเหตุ
* รางวัลที่ 1-2 สงวนสิทธิ์รับรางวัลที่โตโยต้านนทบุรี สาขารัตนาธิเบศร์
* ประกาศผลรางวัลวันที่ 31 มีนาคม 2557 เวลา 15.00 น.

ร่วมกิจกรรมได้ที่
Facebook โตโยต้านนทบุรี
โตโยต้านนทบุรี 
4  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / กล้องติดรถยนต์ พยานคดีชั้นยอด เมื่อ: 20 มีนาคม 2557 09:09:02


ถึงแม้ประเทศไทยเราไม่มีกฎบังคับให้ติดกล้องในรถยนต์แบบประเทศบางประเทศ แต่เพื่อนๆรู้ไหมครับว่ากล้องติดรถยนต์นั้นสามารถช่วยอะไรได้บ้าง  จะยกกรณีตัวอย่าง ซักเหตุการณ์เพื่อให้เพื่อนเห็นความสำคัญของการติดกล้องกันครับ
 
นายเอ ขับรถปกติด้วยความเร็ว 80 กม/ชม. แต่รถไม่ได้ติดกล้อง กำลังจะขับรถกลับบ้าน แต่ทันใดนั้นนายบี เกิดปาดหน้ารถนายเอขึ้นมาแบบกะทันหัน นายเอเบรกแล้วแต่ไม่สามารถควบคุมรถให้หยุดได้ ชนตูดรถนายบีอย่างจัง เมื่อเกิดเหตุทั้งคู่ก็เข้ามาเจรจากัน ว่าจะชดใช้ค่าเสียหายกันยังไง  ซึ่งนายเอเขารู้และมั่นใจมาก ว่าตัวเขาเป็นฝ่ายถูก จึงจะให้ให้นายบีจ่ายค่าเสียหายให้กับเขา  แต่นายบีไม่ยอมรับผิด แถมนายบีรู้เข้าว่านายเอไม่มีกล้องติดรถยนต์ และไม่มีคนเห็นเหตุการณ์ก็ได้สวนกับไปว่า "คุณต่างหากที่ขับรถชนท้ายผม จ่ายค่าเสียให้มาให้ผมซะดีๆ ไม่งั้นเรื่องถึงศาลถึงโรงพักแน่ๆ" คุณคิดว่าถ้านายเอมีกล้องติดรถยนต์ นายบีจะกล้าดีแบบนี้ไหม นี้แค่กรณีตัวอย่างนะครับ ยังมีเหตุการณ์อีกหลายเหตุการณ์ที่กล้องสามารถช่วยแก้ต่างและเป็นพยานยืนให้คุณได้
 
และอีกกรณีหนึ่งเช่น คุณจอดรถไว้ในลานจอดรถในห้างหรือในอาคารแต่ดันมีใครไม่รู้ ขับรถถอยมาชนรถคุณ ถ้าเขาชนแล้วอยู่และรับผิดชอบก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าหนีไปละ กล้องติดรถยนต์นี้ละครับจะช่วยคุณได้ ถึงแม้ตามตัวคนผิดไม่ได้แต่ก็เอาไปยืนยันกับประกันรถได้
 
พอจะเห็นความสำคัญของกล้องขึ้นมาแล้วสินะครับ ทีนี้เรามาดูวิธีเลือกซื้อกล้องติดรถยนต์ให้คุ้มค่ากันดีกว่า
 
1. สเปคของกล้อง
กล้องติดรถยนต์บางรุ่นบางยี่ห้อทำได้หลายอย่างมาก เช่น บันทึกวิดีโอ ถ่ายภาพ  มีGPS  เป็นกล้องวงจรปิด ฯลฯ
จึงต้องตรวจสอบให้ดีก่อนจะซื้อ เพื่อที่จะซื้อมาแล้วได้ใช้ประโยชน์ของมันแบบคุ้มค้า
 
2. ความคมความชัดของภาพวิดีโอ
ยิ่งชัดมากหลักฐานก็ยิ่งชัดเจน ซึ่งในระดับกล้อง Full HD ก็จะอยู่ในหลักพันบาทขึ้นไป  ถ้าเน้นถูกภาพก็อาจเบลอดูยากว่าใครเป็นใคร อันนี้ก็เลือกกันดีๆว่าจะเอาแบบไหน  แต่ถ้าเป็นผมเองติดแล้วเอาให้ชัดๆไปเลยดีกว่าคนผิดจะได้ดิ้นไม่หลุด
 
3. ภาพเมื่อถ่ายในเวลากลางคืน
กล้องบางตัว ตอนกลางวันก็ดีอยู่หรอก แต่พอกลางคืนถ่ายมายังกะอยู่ในถ้ำมืดๆ อันนี้ก็ไม่ไหว เพราะงั้นตอนซื้อก็ตรวจสอบให้ดีๆ เหมือนกันสำหรับคนที่ต้องเอารถไปจอดในที่มืดๆเปลี่ยวๆ ทางที่ควรหากล้องที่มีอินฟาเรดก็จะดีไม่น้อยจะได้มองเห็นในที่มืดได้
 
4. แนะนำกล้องแบบมุมภาพต้องกว้าง
ควรหาซื้อกล้องที่มีมุมกว้างตั้งแต่120องศาขึ้นไป เพราะว่าจะเห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นข้างรถๆได้ด้วย บางคนไปซื้อแบบมุมแคบมาติดก็เห็นแค่เหตุที่อยู่ตรงหน้ารถ เท่านั้นทำให้เป็นมุมอับสายตาได้ครับไม่สามารถเก็บข้อมูลอะไรได้กับเหตุการณ์ที่เกิดด้านข้างได้เลย
 
5. หาข้อมูลกล้องจากผู้ใช้งานจริง จากในอินเตอร์เน็ตในทีวี
ยิ่งในยุคนี้เป็นยุคอินเตอร์เน็ต ก็สามารถหาคลิปรีวิวต่างในช่องทางต่างมากมาย เช่นใน ยูทูป เพจแฟนคลับรักรถต่างๆ เพื่อเป็นตัวช่วยให้เราเลือกซื้อและตัดสินใจได้มากขึ้นครับ บางครั้งเขามีเปรียบเทียบให้ดูด้วยว่าอันไหนดีกว่ากันก็ลองไปหากันดูครับ
 
จริงอยู่ครับว่ากล้องมันอาจจะไม่ได้ช่วยให้รถแรงขึ้นหรือให้คุณขับรถเก่งขึ้นมา แต่เมื่อเกิดปัญหาเกิดอุบัติเหตุที่ต้องใช้ภาพหลักฐานยืนยัน มันช่วยคุณได้อย่างแน่นอน และคุ้มกว่าที่ต้องจ่ายค่าเสียหายไปแบบทั้งที่เราไม่ผิด

ข้อมูลจาก
กล้องติดรถยนต์ พยานคดีชั้นยอด
http://www.toyotanon.com
5  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / ระบบกันสะเทือน SUSPENSION SYSTEM เมื่อ: 23 ธันวาคม 2556 14:43:38


ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่าระบบกันสะเทือนรถยนต์ มีหน้าที่แค่ลดแรงสะเทือนที่เข้ามาในห้องโดยสาร เพื่อให้คนนั่งสบายขึ้นในการเดินทาง แต่ประโยชน์ที่สำคัญของระบบกันสะเทือนอีกอย่างที่ควรรู้คือ การทำให้รถวิ่งได้อย่างปลอดภัย เช่นการควบคุมรถให้วิ่งอยู่ในเส้นทาง ต้านแรงสะเทือนขณะเข้าโค้งหรือเส้นทางขรุขระ เพื่อให้รถทรงตัวได้ ไม่เสียการควบคุม และป้องกันส่วนชิ้นส่วนภายในรถที่สำคัญๆ จากกระสั่นสะเทือน
ระบบกันสะเทือนที่ใช้ในล้อหน้าและล้อหลังก็เป็นคนละประเภทกัน แถมยังแบ่งเป็นประเภทย่อยๆ ได้อีกมากมาย ซึ่งจะอธิบายได้ดังนี้
 
ล้อหน้า แบ่งได้ 3 ประเภทหลักๆ คือ
 
ระบบแม็คเฟอร์สันสตรัท
ระบบกันสะเทือนแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทนี้มักจะใช้กับล้อหน้าของรถได้หลายรุ่น ลักษณะเป็นโช๊คอัพยาว มีแกนเพลาล้อติดอยู่กับปลายล่างของโช๊คอัพ และมีเอเฟรมยึดส่วนล่างของโช๊คอัพนี้กีบแชสซีส์ของรถ
ชุดกันสะเทือนนี้ ผู้ขับรถเองสามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ ซึ่งจุดแรกที่ควรตรวจคือ
1. กระพุ้งล้อภายในห้องเครื่อง ตรงส่วนที่ปลายบนโช๊คยึดอยู่ โดยจุดนี้เป็นจุดที่รับแรงสะเทือนอย่างมาก และปลายบนส่วนที่ยึดโช๊คจะมีชุดกันสะเทือนแม็คเฟอร์สันสตรัทจะยึดอยู่กับตัวถังที่จุดนี้ด้วยน็อตสามหรือสี่ตัว โดยตรวจสอบน๊อตที่ยึด รวมถึงรอยร้าวของโลหะในบริเวณนี้
2. ตรวจน้ำมันที่รั่วซึมจากกระบอกโช๊คอัพ ถ้ามีน้ำมันรั่วซึม ควรเปลี่ยนหรือนำโช๊คอัพไปซ่อม
3. กรณีที่ไม่พบรอยน้ำมัน สามารถลองกดตัวถังรถ ใช้น้ำหนักตัวขย่มลงไปแรงๆ รถควรเด้งกลับในครั้งเดียว ถ้าเด้งมากกว่านั้นหรือกดแล้วไม่มีการซับน้ำหนักเลย โช๊คอัพข้างนั้นๆอาจเริ่มมีปัญหา
*โช๊คอัพระบบแม็คเฟอร์สันสตรัท มีราคาค่อนข้างสูง โดยมากมักนิยมซ่อมมากกว่าเปลี่ยน แต่กรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นที่แกนเพลาล้อ ส่วนที่เป็นชิ้นส่วนของโช๊คอัพ จำเป็นต้องเปลี่ยนโช๊คอัพทั้งตัว
 
ระบบปีกนกคู่
ระบบกันสะเทือนแบบปีกนกคู่ (Double wishbone) จะมีเหล็กรูปคล้ายปีกนก 2 ชิ้น ยึดซ้อนกันระหว่างคอยล์สปริง และโช๊คอัพ และปลายของเหล็กปีกนกทั้ง 2 ชิ้นก็ยึกกับแชสซีส์ของรถ การตรวจสอบก็คล้ายกับประเภทอื่นคือ
1. ตรวจการรั่วซึมของกระบอกโช๊คอัพ
2. ขย่มรถ เพื่อตรวจกระเด้งกลับของตัวถัง
3. นอกจากนั้น เป็นการตรวจความยึดแน่นระหว่างปลายปีกนกกับตัวแชสซีส์ โดยการดึงปีกออก และดันเข้าหาตัวรถ ถ้าปีกนกเคลื่อนไหวได้ในแนวนี้ ให้สงสัยไว้ก่อนว่า บู๊ชปีกนกหลวม
* โช๊คอัพของรถที่ใช้ระบบปีกนกคู่มักซ่อมไม่ได้ ถ้าเสียจำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งชิ้น และแนะนำให้เปลี่ยนพร้อมกันทั้ง ซ้าย-ขวา เพื่อให้โช๊คอัพมีการทำงานที่สมดุลกัน
 
ระบบแหนบขวาง
โดยมากจะพบในรถรุ่นเก่า ระบบนี้ใช้ตับแหนบ วางขวางขนานกับด้านหน้าของรถ ปลายแต่ละข้างของแหนบจับอยู่กับแกนใต้ปีกนกเดี่ยวตัวล่าง หรือ เอเฟรมบนปีนกจะเป็นที่ตั้งของโช๊คอัพแบบเทเลสโคปิดส่วนล่าง โช๊คอัพส่วนบนยึดติดกับด้านบนของกระพุ้งล้อ ภายในบังโคลนหน้าในระบบนี้ การตรวจสอบก็ทำเช่นระบบอื่น หากแต่ว่า เมื่อเป็นรถรุ่นเก่า จึงมักจะต้องอัดจารบีตามข้อต่อต่างๆ ตามระยะเวลา
 
ล้อหลัง มีหลายประเภท ซึ่งในที่นี้จะกล่าว ได้ 7 แบบ คือ
 
ฮอทช์คิสส์ ไดรฟ์ หรือ ระบบแหนบ
ในรถเก๋งสมัยนี้ไม่ใช้ระบบนี้กันแล้ว ซึ่งระบบแหนบยังมีใช้กับรถที่จำเป็นต้องบรรทุกของที่มีน้ำหนักมาก มีการยุบตัวของรถสูง เช่นรถบรรทุก รถกระบะ ส่วนการตรวจสอบ ดูแลรักษา มีดังนี้
1. ตรวจสอบความแน่นของน็อตรัดหูยึดแหนบ น็อตและยางหูแหนบทั้งสองปลายลูกยางรับแรงกระแทก ที่ยึดกับตัวถังหรือเสื้อเพลาซึ่งจะต้องยึดไว้อย่างมั่นคงปลายของแหนบ
2. แหนบจุดที่ต่อกับแชสซีส์ของรถยนต์อาจมีหรือไม่มีเหล็กปะกับเป็นหูแหนบ แต่จะต้องมีบู๊ชยางอยู่ภายในวงกลมปลายแหนบ เพื่อกันการเสียดสีของแหนบกับน็อตยึด และตรวจบู๊ชยางว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือไม่ กรณีที่มีเสียงออดแอดดัง สามารถใช้น้ำมันหล่อลื่นพ่นไปที่แหนบเพื่อลดเสียงและการเสียดสีได้
3. “สะดือแหนบ” คือน๊อตยาวที่ยึดกลางแหนบทุกตัวเข้าด้วยกัน หากหลวมหรือขาด รถจะวิ่งเซ หรือเอียงไปข้างหนึ่งโดยปกติแล้ว ใช้ประแจบล็อกสอดข้างใต้แผงยึดแหนบกับเพลาเข้าไปขันให้แน่นได้
4. โช๊คอัพของระบบนี้ก็เหมือนระบบอื่นที่ต้องคอยดูแลให้ก็เหมือนระบบอื่นที่ต้องคอยดูแล ให้ยางหูโช๊คอัพอยู่ในสภาพดี และตัวโช๊คอัพไม่มีรอยรั่วซึม
ในรถยนต์เก๋งส่วนมากจะต้องถอดเบาะหลังออกจึงจะเห็นฝาที่ทำด้วยยาง หรือโลหะเปิดได้ ซึ่งเมื่อเปิดฝานี้ ก็จะตรวจสภาพหูยึดโช้คอัพด้านบน และยางโช้คอัพได้ยางโช้คอัพนี้จะมีประกอบกันอยู่ 2 อัน หรือเป็นแบบกลมใช้น็อตร้อยก็ได้ ในบางครั้ง ยางหูโช้คอัพขาดหลุด โช้คอัพหลวม ทำงานรับแรงได้ไม่เต็มที่ เจ้าของรถอาจเปลี่ยนเองได้ง่ายๆ โดยการถอดน็อตออก ใส่ลูกยางตามแบบเดิมเข้าไป โดยการกดโช้คอัพลงก่อน เมื่อใส่ลูกยางตัวล่างแล้วจึงดึงโช้คอัพ ให้แกนโผล่พ้นรูรับ แล้ววางยางตัวบนประกอบใส่แหวนขันน็อตพอให้ยางยุบตัวเล็กน้อย ใช้รถไปสักสามสี่วัน เปิดออกมา ขันกวดน็อตอีกครั้งก็ได้ สำหรับโช้คอัพชนิดใช้ยางแบบสอดรูบนหรือล่างก็เปลี่ยนได้ง่าย โดยที่แทบไม่ต้องยกรถขึ้นโดยแม่แรง เพราะส่วนหลังรถมักจะสูงพอที่จะนอนทำได้ ขั้นแรกก็ถอดน็อต ดึงตัวโช้คอัพหลบทางไปเพื่อใส่ยางเสียก่อนจะใส่กลับเท่านั้น เพราะโช้คอัพจะเอียงตัวได้พอ ถึงแม้จะถูกยึดปลายใดปลายหนึ่งไว้ ลูกยางโช้คอัพมีขายทั่วไป ราคาอันละ 4-5 บาท สำหรับแบบประกอบ และประมาณ 7-10 บาท สำหรับแบบใส่หูโช้คอัพ
 
เทรลลิ่งอาร์ม
ระบบเทรลลิ่งอาร์ม เป็นแบบที่ใช้กันมากในระบบนี้จะมีแขนยื่นออกมาจากแชสซีส์ จับเข้ากับเสื้อเพลาหรือดุมล้อ ในกรณีของระบบกันสะเทือนอิสระของแต่ละล้อมี่สปริงขดรับน้ำหนัก ซึ่งอาจจะวางอยู่บนแขนหรือบนแป้นที่ตัวเพลาล้อ เช่นเดียวกับโช้คอัพ การดูแลรักษาและตรวจสอบระบบนี้ ก็คือตรวจการหล่อลื่นของจุดที่อัดจารบีตามกำหนดเวลา
 
ระบบปีกนกคู่
ระบบกันสะเทือน แบบปีกนกคู่อาจถูกนำมาใช้กับล้อหลัง โดยมีความแตกต่างกับการใช้กับล้อหน้าในบางส่วน เช่น ส่วนกว้างของปีกนกอยู่ใกล้กับล้อมากกว่า และอาจมี ไทรอด (Tie rod) เพื่อช่วยรับการโยนตัวของรถขณะออกรถเร่งความเร็วหรือหยุดรถ
 
ระบบกันสะเทือนของโฟล์คสวาเก้น
อันที่จริงแล้วระบบกันสะเทือนของโฟล์คสวาเก้นก็เหมือนกับรถอื่นเสียแต่ในรถโฟล์ค บีทเติ้ล และไมโครบัสนั้น บางคนหาแหนบ หรือสปริงรับน้ำหนักไม่พบ ทั้งๆที่เมื่อลองกดขย่มรถก็ทราบว่ามีสปริงอยู่ข้างใต้แน่นอนแต่มองไม่เห็น
ระบบของโฟล์ค บีทเติ้ล เป็นแบบแหนบขวางซ่อนอยู่ในท่อกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสองนิ้วกว่าเล็กน้อย ซึ่งทำหน้าที่เป็นคานของช่วงหน้าและหลังในขณะเดียวกันเลยแหนบที่ซ่อนอยู่ภายในเป็นแผ่นเหล็กแบน กว้างประมาณหนึ่งนิ้ว ซ้อนกันสามแผ่นยาวตลอดท่อ โผล่ปลายออกมาประมาณข้างละหนึ่งนิ้ว และมีแขนจับจากปลายนี้ลงไปต่อกับชุดล้อ กลางท่อดังกล่าวจะมีน็อตขันทะลุลงไปจับแผ่นแหนบดังกล่าวเอาไว้ไม่ให้เขยื้อนได้ ในจังหวะที่ล้อเคลื่อนที่เอง แผ่นแหนบจะบิดตัวฝืนไว้เหมือนสปริง และมีโช๊คอัพช่วยซับแรงอยู่
 
ระบบทีโฟล์คใช้นี้ เหมือนกับระบบทอร์ชั่นบาร์
โฟล์คใช้แหนบสองชุดกับช่วงหน้า และชุดหนึ่งกับช่วงหลัง ซึ่งใหญ่กว่าช่วงหน้า
การดูแลรักษาระบบกันสะเทือนของโฟล์ค ได้แก่การตรวจความรั่วซึมของน้ำมันโช๊คอัพ และอัดจารบีเข้าในท่อแหนบกับช่วงหมุนต่างๆ ของระบบและในทุกครั้งที่นำรถเดินทางผ่านเส้นทางทุรกันดาร หรือทุกหกเดือน ควรเปิดช่องในที่เก็บยางอะไหล่ ตรวจสอบความแน่นของน็อตยึดช่วงหน้าระหว่างตัวถังกับท่อแหนบอันเป็นคานรถด้วย บางครั้งน็อตหลวมหรือหลุดหน้ารถจะทรุดต่ำลง อันเป็นอาการเดียวกันกับแหนบล้าชุดแหนบดังกล่าวราคาตับละประมาณหนึ่งพันบาท ถ้าเปลี่ยนตับหน้า ควรเปลี่ยนทั้งสองตับในเวลาเดียวกัน
 
ไฮโดรแก็ส
ระบบนี้จะไม่มีโช๊คอัพหรือสปริงเหมือนระบบอื่นๆ แต่จะใช้แก็สและน้ำมันที่บรรจุในชุดลูกสูบทำงานในการลดแรงกระเทือน โดยลูกสูบจะมีแขนยึดไว้กับแต่ละล้อ และมีท่อเชื่อมน้ำมันระหว่างล้อหน้ากับล้อหลังแต่ละข้าง ในการเคลื่อนที่ของรถ เมื่อล้อหน้ามีการสะเทือน แขนที่ยึดจะดันลูกสูบขึ้น และส่งน้ำมันไหลไปยังล้อหลังให้ยกตัวสูงขึ้นตามล้อหน้า ลดการโยกตัวของรถ ส่วนการดูแลรักษา เนื่องจากระบบนี้ไม่มีโช๊คอัพ สปริงหรือปีกนก แค่คอยตรวจการรั่วซึมของน้ำมันเป็นประจำเท่านั้น
 
ระบบกันสะเทือนของซีตรอง
รถซีตรองไฮโดร-นิวแมติก กับระบบกันสะเทือนมาหลายปีแล้วในระบบนี้ เมื่อแขนต่อล้อกับชุดกันสะเทือนเคลื่อนตัวเปลี่ยนระดับขึ้นน้ำมันจะถูกดันต้านกัยแก็สในหม้อรูปกรวย ซึ่งบรรจุน้ำมันและแก็สไว้ แยกกันโดยแผ่นไดอะแฟรมยาง ในขณะที่ล้อตกต่ำลง แก็สจะช่วยดันสู้กับน้ำมันอันเป็นการกับการทำงาน
ระบบของซีตรอง บังคับให้สูงได้สามระดับ ได้โดยก้านบังคับ ปั๊มดูดจ่ายน้ำมันจากห้องเก็บในห้องขับขี่และมีชุดกรวยกันสะเทือนนี้ กับแต่ละล้อไม่เชื่อมโยงกัน

ระบบกันสะเทือน SUSPENSION SYSTEM
http://www.toyotanon.com
6  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / แบคไฟร์ ตอนที่ 2 หนทางป้องกัน เมื่อ: 16 ธันวาคม 2556 08:58:41


วิธีป้องกันไม่ให้เกิดแบคไฟร์
 
1.ถ้าระบบเดิมเป็นแบบมิกเซอร์ แล้วมีปัญหาเยอะ แนะนำให้เปลี่ยนเป็นระบบแก๊สหัวฉีด ซึ่งระบบนี้ตัวป้องกันชั้นดีในการป้องกันแบคไฟร์ เพราะระบบฉีดจะลดปริมาณแก๊สที่สะสมอยูในท่อให้น้อยลง ถ้าตัวเครื่องยนต์เกิดแบคไฟร์ขึ้นมา ก็จะติดไฟแค่นิดเดียว ก่อนที่เครื่องยนต์จะดับ ส่วนที่ควบการจ่ายแก๊สจะตัดการจ่ายแก๊สก่อน
 
2.ใส่ที่กันแบคไฟร์ หรือเรียกกันบ้านๆตัวกันจาม ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเข้าอุปกรณ์ตัวนี้ ไม่ได้ช่วยป้องกันการเกิดแบคไฟร์ แต่เป็นตัวช่วยลดแรงดันจากแบคไฟร์ ซึ่งจะลดอาการแบคไฟร์ให้เบาลง  และลดความเสี่ยงที่เกิดไฟไหม้
ตัวนี้มีโอกาสก็ซื้อเลยครับราคาเบาๆ คุ้มมาก แค่ประมาณ 100-150 บาท ส่วนการติดตั้ง ต้องติดตั้งอยู่หลังลิ้นปีกผีเสื้อหรือเรียกกันคอไอดี ถ้าเอาไปติดในส่วนอื่นก็จะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
 
3.เปลี่ยนมาใช้กรองอากาศเปลือยแบบแสตนเลส ตัวนี้ก็เหมือนตัวข้อ 2 คือการบรรเทาไม่ได้ป้องกันการเกิดแบคไฟร์ แบบเดิมทั่วไปนั้นจะเป็นกระดาษจึงทำให้ติดไฟง่าย ซึ่งทำให้ลุกลามไปยังหม้อกรองได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งดับช้าก็จะลุกลามไปยังไปยังส่วนอื่นอุปกรณ์อื่นอีก แต่ถ้าเราเปลี่ยนมาใช้แบบแสตนเลส ได้เยอะทั้งมีเวลาดับไฟและอาการลุกลามก็เป็นไปอย่างช้าๆ จึงมีเวลาให้เราตั้งสติ ตัดสินใจได้
ในส่วนของราคาจะอยู่ราวๆ 1,500 ถึง 2,000 บาท แต่ที่จะช่วยมากหรือไม่ต้องดูว่าในส่วนที่เราติดตั้งห่างจากเชื้อเพลิง และอุปกรณ์อื่นมากแค่ไหน แต่อาจจะมีการดักฝุ่นได้น้อยลงไปบ้างแต่เปลี่ยน มาใช้ก็นับว่าคุ้มกว่าอยู่ดีในเรื่องความปลอดภัย
 
4. เปลี่ยนหัวเทียนเป็นแบบคุณภาพสูง หัวเทียนนับว่าเป็นจุดที่บอบบางมาก ยิ่งถ้ารถเราใช้เป็นรถติดแก๊ส ต้องใช้อุณหภูมิเผาไหม้สูงกว่า น้ำมัน จึงทำให้อายุของหัวเทียนของรถที่ใช้แก๊ส นั้นสึกหรออย่างรวดเร็วกว่า พอสึกหรอไปมากๆ เขี้ยวหัวเทียนก็จะเริ่มห่างเยอะขึ้น ก็จะทำให้การจุดประกายไฟระเบิด ได้ช้าลง ทำให้ แก๊ส กับ อากาศ เกิดการสันดาปก่อนที่เขาเรียกกันว่า การชิงจุดระเบิด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดแบคไฟร์ได้บ่อยได้ง่าย
หัวเทียนแบบอย่างดี ในที่นี้คือหัวเทียนเขี้ยวแบบ Platinum หัวเทียน G-power Iridium ราคาหัวหนึ่งตกอยู่อันละประมาณ 120–450 บาท หัวเทียนพวกนี้จะอายุการใช้ยืนยาวมากกว่า การจุดระเบิดดีกว่า แถมช่วยลดความเสี่ยงแบคไฟร์ลงอีก
 
5. ดูแลเช็คสภาพอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบแก๊ส จุดที่มีความเสี่ยงการเกิดแบคไฟร์ โดยมีดังนี้
 
ก. หม้อต้มแก็ส ส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานไม่เกิน 2 ปี และจะเริ่มเสื่อมสภาพ วิธีสังเกตุหม้อต้มเราเริ่มจะชำรุดแล้ว ถ้าเครื่องเริ่มอืด  เดินเบาแล้วไม่นิ่ง  เครื่องดับ หรือต้องมานั่งปรับนั่งจูนหม้อต้มบ่อยๆ เพราะหม้อต้มเริ่มจ่ายแก๊สน้อย และถ้าเราใช้หม้อต้มที่คุณภาพไม่ดี หม้อต้มก็จะอายุสั้นเข้าไปอีกอาจจะไม่ถึงปี หรือเพียงไม่กี่เดือนผ้าหย่อน หม้อต้มรั่ว ถึงขั้นอาจถึงรั่วมาก ออกมาเป็นควันเลยก็มี เพราะฉะนั้นตอนซื้ออย่าเอาราคาเป็นตั้งในการตัดสินใจเพียงอย่างเดียว
 
ข. มิกเซอร์  ถ้าติดแบบวาริเอเบิล ตัววาริเอเบิลจะใช้แผ่นไดอะเเฟรม เป็นตัวควบคุมค่าจ่ายแก๊ส ถ้าตัวแผ่นนี้เริ่มหย่อนก็จะมีการจ่ายปริมาณ แก๊สผิดเพี้ยนทันที แบบธรรมดาก็เช่นกัน ก็มีการจ่ายแก๊สเพี้ยนได้เหมือนกัน ต้องสังเกตุดูว่าจุดที่ติดตั้งว่ามีการหลุดร่อนหรือไม่
 
ค. ท่ออากาศ  ต้องดูตั้งแต่ ท่อที่ต่อจากหม้อกรองอากาศเข้าลิ้นปีกผีเสื้อ มิกเซอร์บางตัวฝังอยู่ในท่อนี้ ท่อถ้าแตก หรือเหล็กมันคลายตัว อากาศจะรั่ว และทำให้มิกเซอร์จ่ายแก๊สได้ไม่ดี เบาลง  และอย่าลืมดูท่ออากาศรอบๆ เครื่องยนต์ สายลมหม้อเบรก  ท่อน้ำมันเครื่อง สายแว็คกรั้ม ด้วย ถ้ามีอาการรั่วขึ้นมา เครื่องมันจะไปดูดอากาศเข้ามาจากรอยที่รั่วๆนั้นแหละครับ และเป็นสาเหตุทำให้เป็นแบคไฟร์ได้
 
ง. แลมด้า หรือที่เรียกกันวาล์วปรับกลาง  หน้าที่ของมันคือเป็นตัวควบคุมปริมาณการจ่ายแก๊สโดยตรง คอยควบคุมส่วนผสมให้ได้ลงตัว ควรตรวจดูเช็คความแน่นหนาของท่อยาง อย่าให้มันบิดมันงอ หรือแฟ่บเพราะมีผลต่อการจ่ายแก๊สทั้งนั้น และร่วมถึงตัวเราเองที่ไปตั้งค่าความเบาความแรงของแก๊สใหม่ด้วยถ้าตัวเรายังขาดความชำนาญอย่าไปปรับเองลองไปปรึกษาช่างที่ติดแก๊สก่อนดีกว่า เพื่อไม่ให้เกิดแบคไฟร์
 
ถ้ารถเกิดแบคไฟร์ขึ้นมาต้องทำอย่างไร
 
1. มีอาการแบคไฟร์ ตั้งแต่สตาร์ทครั้งแรก ปัญหานี้ส่วนมากเกิดจาก ระบบออโต้ที่สตาร์ทด้วยน้ำมัน ในขณะที่มีแก๊สหลงเหลืออยู่ในระบบจากการขับเมื่อครั้งก่อน สั้นๆ คือแก๊สค้างท่อนั้นเอง และอีกสาเหตุเกิดจากอุปกรณ์แก๊สมีการชำรุดเสียหาย หรือเครื่องยนต์ชำรุดมีปัญหา จึงได้เกิดแบคไฟร์
วิธีแก้ไข ให้รีบเปิดฝากระโปรงรถมาดู มามีควันไฟเกิดขึ้นที่หม้อกรองอากาศหรือเปล่า ถ้าไม่มี ให้เว้นพักไปไว้ชั่วคราวก่อนแล้วค่อยกลับไปสตาร์ทใหม่ ถ้าไม่ติดอีก หรือเป็นแบคไฟร์อีก  ให้หยุดการสตาร์ทไว้เพียงแค่นี้ เพราะต้องมีปัญหากับระบบเครื่องยนต์หรือระบบแก๊สแน่ๆ แล้วถ้าใช้พวกเครื่องรถยุโรป เครื่องยนต์ไดเร็คคอยล์บางรุ่น อาจจะมีปัญหาแบคไฟร์ได้ทุกครั้งถ้าไม่ได้ใช้แก๊สระบบหัวฉีด
 
2. เป็นตอนที่เปลี่ยนใช้พลังงานจากน้ำมัน ไปเป็นแก๊ส ซึ่งส่วนมากจะเป็นระบบออโต้ เกิดได้จาก รอบเครื่องที่เปลี่ยนเป็นแก๊สนั้นต่ำเกินไป ,ระบบแก๊สมีปัญหา,เครื่องยนต์มีปัญหา อากาศในข้อนี้เสียงปุ๊กมันดังมาก และรุนแรงมีโอกาสเกิดไฟไหม้ได้สูง เพราะปริมาณของแก๊สต้องเกิดแบคไฟร์มีสูง
วิธีแก้ไข รีบจอดรถ เปิดฝากระโปรง ถ้ามีควันไฟให้รีบดับไฟ ถ้าไม่มีไปดูที่ห้องเครื่อง และตัวอุปกรณ์แก๊ส พร้อมสำรวจหา ดมกลิ่นแก๊ส ถ้าได้กลิ่นแก๊สฉุนแรงห้ามสตาร์ทรถต่อเพราะแก๊สรั่วแล้ว ให้รีบไปดับกุญแจรถและถอดขั่วแบตรถออก และถอยห่างจากรถ
 
3. เกิดจากตอนขับอยู่ปกติ แล้วเกิดดังปุ๊กแต่เครื่องยนต์ไม่ได้ดับ เกิดมาจากการปรับส่วนผสมจางเกินไป แต่ถ้าขับต่อไปแล้ว แบคไฟร์เสียงดังขึ้น แล้วเครื่องดับ
วิธีแก้ไข ให้รีบจอดรถเลยทันที เปิดฝากระโปรง ทิ้งไว้ซักพักให้แก๊สมันสลายตัว แล้วค่อยสตาร์ทใหม่ ลองทำอีก2-3ครั้ง แต่ไม่ควรเหยียบคันเร่ง แล้วสตาร์ท เพราะแก๊สมันจะท่วมและทำให้ติดยาก และไม่ควรกดระบบแก๊ส น้ำมันสลับกันไปมาในช่วงสตาร์ท เพราะจะเสี่ยงมากถึงขนาดรถไฟไหม้ได้

แบคไฟร์ ตอนที่ 2 หนทางป้องกัน
http://www.toyotanon.com
7  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / การดูแลรักษายางรถยนต์ เมื่อ: 13 ธันวาคม 2556 13:05:31
ด้วยหน้าที่การรับน้ำหนักของผู้ขับขี่และตัวรถยนต์ทั้งคัน ยางรถยนต์จึงมีผลกับความปลอดภัยอย่างมาก วันนี้โตโยต้านนทบุรี จะบอกถึงวิธีการดูแลรักษายางรถยนต์มาบอก


ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพของยางก็คือ ความดันลมยาง ถ้าความดันลมภายในยาง มากหรือน้อยกว่าที่กำหนด จะมีผลทำให้อายุการใช้งานของยางสั้นลง เช่น ถ้าความดัน ลมยางมากเกินไป จะมีผลทำให้ดอกยางสึก โดยเฉพาะบริเวณตอนกลางของหน้ายาง เพราะโครงยางจะเบ่งตัวเต็มที่ อาจทำให้ยางระเบิดได้ง่าย หากรับแรงกระแทกรุนแรง หรือของมีคม แต่ถ้าความดันลมยางน้อยเกินไปก็จะมีผลทำให้ไหล่ยางด้านข้างทั้งซ้าย และขวาสึก ส่วนตอนกลางของยางจะยุบตัวเข้าไปหรือที่เรามักเรียกว่า ยางแบน
 
การรับน้ำหนัก ถ้ารถมีน้ำหนักบรรทุกเกินอัตราส่งผลให้ยางเกิดความร้อนสูงสึกหรอเร็ว แล้วถ้าล้อใดล้อหนึ่งรับน้ำหนักมากกว่าล้ออื่น จะทำให้ล้อนั้น ๆ สึกหรอเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของสภาพถนนที่ขรุขระ สภาพรถเกี่ยวกับศูนย์ล้อ เช่น มุมโทอิน*, มุมโท-เอาต์* และมุมแคมเบอร์** ของรถยนต์ถ้าไม่ถูกต้องตามกำหนดของรถแต่ละรุ่น ก็จะทำให้ยางสึกหรอเร็วและที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ วิธีการขับขี่ของผู้ใช้รถยนต์ การขับรถด้วยความเร็วสูง หรือการหยุดที่ความเร็วสูง รวมทั้งการเบรกและออกตัว อย่างรุนแรงก็มีผลทำให้ยางสึกหรอเร็วยิ่งขึ้นอีก
 
การดูแลรักษา สามารถทำได้โดยหมั่นเช็กลมยางอยู่เสมออย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และหลีกเลี่ยงถนนหนทางที่ขรุขระ หลีกเลี่ยงการขับชนฟุตบาท นอกจากนี้ขณะออกรถไม่ควรเร่งเครื่องยนต์ และออกตัวอย่างรวดเร็ว เพราะจะทำให้ยางสึกเร็วกว่าปกติและไม่ควรจอดรถชิดจนติดกับฟุตบาท เพราะอาจทำให้โครงยางชำรุด ประการสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้ายางมีแผล และเป็นแผลชำรุดที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะซ่อมแซมได้ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่
 
ปัจจัยที่มีผลต่อการสึกหรอของยาง
ยางรถยนต์เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ทำให้รถยนต์เคลื่อนที่ไปได้ และยางรถยนต์ยังเป็นชิ้นส่วนเดียวของรถยนต์
ที่สัมผัสกับพื้นถนน ดังนั้น เมื่อมีการใช้งานไปนานๆ ยางก็ย่อมเกิดการสึกหรอ หากแต่การสึกหรอของดอกยาง
จากการใช้งานของผู้ขับขี่แต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งาน และการดูแลรักษา
เป็นสำคัญ นอกจากนี้ อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งปัจจัยหลักที่มีผลต่อการสึกหรอมีดังนี้
 
ความดันลมยาง
การเติมลมยางอ่อนกว่ามาตรฐาน ทำให้อายุยางสั้นลง บริเวณไหล่ยางจะเกิดความร้อนสูงและสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น ซึ่งอาจทำให้เนื้อยางไหม้ และโครงสร้างยางแยกตัวออกจากกัน อันนำไปสู่การบวมล่อนและระเบิดของยาง นอกจากนี้ อาจทำให้ โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาดหรือหักได้ และยังเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันอีกด้วย
การเติมลมยางมากเกินไป ไม่เป็นผลดีเช่นกัน เนื่องจากพื้นที่สัมผัสของหน้ายางกับพื้นถนนลดลง อาจทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย และโครงยางอาจระเบิดได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกตำเนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่ เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อย อายุยางก็จะลดน้อยลง เนื่องจากดอกยางจะสึกบริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่น และทำให้ความนุ่มนวลในขณะขับขี่ลดลงอีกด้วย
 
น้ำหนักบรรทุก
การบรรทุกน้ำหนักมากเกินไป จะทำให้มีการบิดตัวบริเวณหน้ายางที่สัมผัสพื้นผิวถนนมาก ทำให้เกิดความร้อนได้ง่าย เป็นผลให้มีการสึกหรอ ของเนื้อยางอย่างรวดเร็ว อายุยางก็จะสั้นลง
 
ความเร็ว
ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง จะมีแรงเสียดทานและความร้อนที่เกิดขึ้นตามมาด้วย ซึ่งจะมีผลต่อความต้านทาน ต่อการสึกหรอ ทำให้อายุของยางลดลงตามไปด้วย
 
การเบรกและการออกตัว
ในขณะที่รถยนต์วิ่งอยู่บนถนนจะเกิดแรงเฉื่อยซึ่งมีค่าสูงกว่าความเร็ว ดังนั้น เมื่อเบรกจนล้อหยุดหมุนแล้ว แรงเฉื่อยของตัวรถจะดันให้ล้อลื่นไถลไปกับพื้นถนน ทำให้ยางเกิดการสึกหรอ ซึ่งจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความเร็วและระยะในการเบรกเป็นสำคัญ ส่วนการออกตัวอย่างรุนแรง ทำให้ล้อหมุนฟรี หน้ายางจะเสียดสีกับพื้นถนนอย่างหนัก ทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้น
 
สภาพรถยนต์
เช่น ช่วงล่างและศูนย์ล้อ มีผลอย่างมากกับการสึกหรอที่รวดเร็ว หากระบบศูนย์ล้อผิดพลาดไปจากสเปคของรถ จะทำให้เกิดแรงเสียดทานและลื่นไถลที่หน้ายางมากกว่าปกติ
 
สภาพผิวถนน
ผิวถนนยิ่งราบเรียบมาก ยางก็จะยิ่งสึกหรอช้า ใช้งานได้นานกว่าการขับรถบนถนนที่ขรุขระ เพราะความต้านทาน ต่อการหมุนบนถนนเรียบมีน้อยกว่า ยางจึงเสียดสีกับผิวถนนเพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยแรงที่น้อยกว่า นอกจากนี้ ลักษณะเส้นทางก็มีผลเช่นกัน การขับขี่บนทางตรงจะเกิดการสึกหรอช้ากว่าการขับขึ้นเขาหรือขับบนถนนที่คดเคี้ยว
 
สภาพภูมิอากาศ
ยางรถยนต์มีส่วนผสมหลักเป็นยางธรรมชาติ จึงทนต่ออุณหภูมิสูงได้น้อยกว่ายางสังเคราะห์ ดังนั้น หากยางเกิดความร้อนมากขึ้นจากการใช้งาน ก็จะยิ่งส่งผลต่อการสึกหรอที่รวดเร็วขึ้น
ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้การสึกหรอเกิดขึ้นช้าที่สุด สม่ำเสมอใกล้เคียงกันในทุกตำแหน่งล้อ และให้ประสิทธิภาพของยางแต่ละเส้นใกล้เคียงกันมากที่สุด คือ ควบคุมปัจจัยอันเป็นสาเหตุหลัก ของการสึกหรอของยาง โดย...

ตรวจเช็คและปรับแต่งความดันลมยางให้อยู่ในค่ามาตรฐานด้วยวิธีการที่ถูกต้องเป็นประจำในขณะที่ยางยังเย็นอยู่หรือก่อนการใช้งาน
- ไม่บรรทุกน้ำหนักมากเกินไป หากเป็นการใช้งานเพื่อบรรทุกหนัก ควรเลือกใช้ยางที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ
- ไม่ควรขับขี่ด้วยความเร็วสูงมากเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนในยางสูง อันเป็นสาเหตุให้ยางสึกหรอเร็วขึ้น
- ใช้ความเร็วในการขับขี่ที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการเบรกหยุดรถอย่างกระทันหัน หรือการออกตัวอย่างรุนแรง
- ดูแลรักษาศูนย์ล้อและระบบช่วงล่างอย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงถนนที่มีสภาพทุรกันดาร ขรุขระ มีหลุมบ่อ หากต้องขับขี่บนถนนดังกล่าว ควรเลือกใช้ดอกยางให้ถูกประเภทและลดความเร็วในการขับขี่ลง

อายุการใช้งานของยาง
โดยปกติอายุของยางนั้นจะเริ่มนับตั้งแต่ถูกนำไปใช้งาน คือ หลังจากที่ยางประกอบเข้ากับกระทะล้อ และติดตั้งเข้ากับรถยนต์แล้วนำไปวิ่งใช้งาน ซึ่งยางรถยนต์ทุกเส้นจะได้รับการรับประกันคุณภาพจากบริษัทผู้ผลิตแต่ละราย โดยสามารถศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขได้จากคู่มือการรับประกันคุณภาพ

อายุของยางรถยนต์ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณเป็นสำคัญ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ยาวนานและปลอดภัย มีข้อแนะนำในการบำรุงรักษายางที่ถูกต้องดังต่อไปนี้
- ตรวจเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง โดยเติมลมยางตามมาตรฐาน ที่ระบุในคู่มือรถยนต์
- บรรทุกน้ำหนักให้เหมาะสม ไม่มากเกินอัตราที่กำหนด เพื่อป้องกันการบวมล่อนและ ระเบิดของโครงยาง
- ทำการสลับยางและตรวจเช็คศูนย์ล้อ ทุก ๆ ระยะทาง 10,000 กม. หรือตามคำแนะนำ ของผู้ผลิตรถยนต์
- ขับขี่อย่างระมัดระวังบนถนนขรุขระ และหลีกเลี่ยงสิ่งมีคมต่าง ๆ รวมทั้งน้ำมันหรือสารเคมี
 
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยและช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน จึงควรเพิ่มการดูแลเอาใจใส่ยางรถยนต์ มากยิ่งขึ้น และเลือกใช้ยางให้ถูกต้องเหมาะสมด้วย
 
หมายเหตุ :
1.มุมโท หมายถึง แนวที่กำหนดให้ล้อคู่หน้าพุ่งตรงไปข้างหน้าจะต้องขนานกันตลอดเวลา ถ้าด้านหน้าแยกออกจากกัน เรียกว่า โทเอาต์ ถ้าหุบเข้าหากันเรียกว่า โทอิน
2.มุมแคมเบอร์ หมายถึง มุมที่หน้ายางด้านล่างที่สัมผัสกับพื้นดิน ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเส้นตั้งฉากกั้บเส้นสลักเพลาล้อหน้าถ้ามุมแคมเบอร์เป็นบวก ระยะห่างของหน้ายางตอนล่างที่สัมผัสกับผิวถนนจะสั้นกว่าระยะห่างของหน้ายางตอนบน หมายถึง หน้ายางตอนล่างหุบเข้าตอนบนถ่างออก ถ้ามุมแคมเบอร์เป็นลบ ผลของระยะห่างหน้ายางก็จะออกมาในทางตรงกันข้าม แคมเบอร์มีผลต่อการขับและการยึดเกาะถนน

ข้อมูลจาก
การดูแลรักษายางรถยนต์
http://www.toyotanon.com/
8  AE Racing Club - FreeStyle / Free Style - AE Racing Club / แบคไฟร์คืออะไร สาเหตุจากอะไร เมื่อ: 26 พฤศจิกายน 2556 08:26:23


คนใช้รถบางท่านอาจจะยังไม่รู้จักอาการนี้ หรือไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามันคืออาการอะไร แบคไฟร์ ถ้าจะเอาความหมายตามศัพท์วิทยาศาสตร์   คือ การจุดระเบิดย้อนกลับ หรือแปลให้เข้าใจไปอีกหน่อยก็คือการเผาไหม้นอกกระบอกสูบของเครื่องยนต์ ขออธิบายสั้นๆ แค่นี้ก่อนนะครับเดี๋ยวจะกลับมาอธิบายเรื่องนี้กันต่อ
 
ใครที่ใช้รถติดแก๊ส อยากให้อ่านบทความนี้กันให้มากๆ เพราะอาการแบคไฟร์ เป็นสาเหตุแรกๆที่ทำให้รถไฟไหม้ เคยเป็นกันไหมละครับ อาการที่สตาร์ทรถแล้วมีดังปุ๊ก ขึ้นมาคล้ายๆ เสียงประทัดหรือปืนลม  บางคนท่านอาจได้ยินบ่อยๆเป็นจำ แต่ถ้ามีควันลอยออกมาด้วยรับรองว่าขำไม่ออกแน่ๆ  เพราะแบบนี้เพียงแค่แป๊บเดียวก็ไฟไหม้แล้ว  และยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีก ถ้าขับรถอยู่แล้ว อยู่ดีๆก็ดังปุ๊ก แล้วเครื่องยนต์ก็ดับไป สตาร์ทยังไงก็ไม่ติด พอไม่ติดก็ไปเหยียบคันเร่ง ทีนี้ละครับแก๊สท่วม  แล้วพอกดสวิทช์สลับจากแก๊สไปเป็นน้ำมัน  เพื่อจะได้ทำให้เครื่องยนต์ติด ทีนี้ดังปุ๊กอีกรอบ  พอรอบนี้มีควันออกมาด้วยจากฝากระโปรงหน้ารถ อาการแบบนี้เขาเรียกกันว่าไฟไหม้จากแบคไฟร์
 
สาเหตุที่มันไหม้และติดไฟ เนื่องจาก จำนวนปริมาณของแก๊ส บวกกับ อากาศ ที่ในท่อไอดี ถูกเครื่องยนต์ดูดผ่านวาล์วไอดี เข้ากระบอกสูบ แต่ด้วยความหนาแน่นของแก๊สน้อย อากาศมาก จึงทำให้ส่วนผสมนั้นลุกติดไฟได้เอง ก่อนที่หัวเทียนจะจุดประกายไฟ และก่อนที่ตัววาล์วไอดีจะปิดสนิทลง ทำให้มีเปลวไฟลุกไหม้ย้อนกลับคืนไปจากห้องเผาไหม้ ไปเผาไหม้เพิ่มขึ้นอีกในจุดที่มีส่วนผสมของแก็สกับอากาศคือท่อไอดี และออกมาเป็นเปลวไฟ
 
ยิ่งถ้าเหยียบคันเร่งไปด้วย ตัวลิ้นปีกผีเสื้อจะเปิดออกอ้าออก จึงทำให้มีโอกาสที่ตัวเปลวไฟวิ่งไปตรงส่วนที่มีปริมาณออกซิเจนมากกว่า นั้นก็คือ หม้อกรองอากาศ และที่แย่กว่านั้นก็คือ ตัวไส้กรองอากาศโดยส่วนใหญ่แล้วจะทำจากกระดาษ ที่ติดไฟได้ง่าย และแถมตัวหม้อกรองก็ทำจากพลาสติกอีก ก็เลยทำให้ไฟติดและแพร่กระจายเป็นวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งความความรุนแรงของไฟจะร้ายแรงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับปริมาณของแก๊ส
 
สาเหตุต้นตอที่ทำให้เกิดแบคไฟร์
1. ปรับอัตราส่วนผสมของน้ำมันหรือแก๊สไม่เหมาะสม น้อยหรือบางเกินไป
2. แก๊สใกล้จะหมดแต่ยังจะฝืนที่จะขับต่อ
3. หม้อต้มพังชำรุด จ่ายแก๊สได้ไม่เพียงพอ
4. หัวเทียนเสื่อมสภาพ หมดอายุ
5. ตั้งไฟเผาไหม้ของระบบเบาเกินไป
6. สายหัวเทียนพัง
7. เครื่องยนต์เริ่มหลวม และการที่มีคราบเขม่าในห้องเผาไหม้เยอะเกินไป
8. หัวนกกระจอก ฝากะลา เกิดการสึกหรอมากไป
9. เครื่องยนต์มีปัญหา ระบบวาล์วรั่ว อาการนี้เป็นกันเยอะในรถติดแก๊ส จึงได้มีการแนะนำให้เช็คระบบแก๊ส
10. เกิดจากการกดสลับใช้ชนิดของเชื้อเพลิง แก๊สไปน้ำมัน น้ำมันมาแก๊ส

ข้อมูลจาก
แบคไฟร์คืออะไร สาเหตุจากอะไร
http://www.toyotanon.com
9  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / ต้นกำเนิด เทคโนโลยี ถุงลมนิรภัย (AIR bag) เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2556 14:33:33


คงต้องย้อนไปเมื่อ 30 กว่าปีก่อน  รถยนต์ของเมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น S Class เป็นรุ่นแรก ที่ได้รับการติดตั้งระบบถุงลมนิรภัย จากโรงงาน ที่  Sindelfingen ประเทศเยอรมนี โดย บริษัท เมอร์เซเดสเบนซ์  ได้ใช้เวลาพัฒนาค้นคว้าทดลองอยู่ถึง 13 ปี ด้วยกัน และถือเป็นก้าวใหม่ของความปลอดภัยในรถยนต์เลยก็ว่าได้
 
สถิติข้อมูลจากหน่วยงานจราจรเพื่อความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกา (NHTSA) ได้ระบุไว้ว่า ถุงลมนิรภัยได้ปกป้องชีวิตของผู้ขับรถยนต์ได้ 28,000 กว่ารายในอเมริกา  และจนเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1992  ถุงลมนิรภัยจึงกลายเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐานของรถยนต์ นับตั้งแต่นั้นมา
ส่วนในเยอรมัน มีการบันทึกสถิติในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2010 เทียบกับ ครึ่งปีแรกของปี 2009 สามารถลดการเกิดการเกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงลงได้จาก 1966 เป็น 1675 หรือ 15 % เลยทีเดียว
 
และเมื่อไม่นาน หน่วยงานจราจรเพื่อความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาวิจัย การทำงานของเข็มขัดนิรภัยและถุงลมนิรภัย และได้ข้อสรุปผลว่า คนที่ใช้ถุงลมนิรภัย+เข็มขัดนิรภัยเมื่อไปเปรียบเทียบกับคนไม่คาดเข็มขัดนิรภัย โอกาสที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุรุนแรงถึงขั้นเสียชิวิตได้ลดลงถึง 61 เปอร์เซ็นต์
 
นอกจากนี้ เมอร์เซเดสเบนซ์ ก็เป็นเจ้าแรก ที่คิดระบบความปลอดภัยต้นแบบต่างๆ เช่น
โปรแกรมการควบคุมทรงตัวอัตโนมัติ EPS (Electronic Stability Program)
ระบบ PRE- SAFE หรือเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า การปกป้องก่อนเกิดอุบัติเหตุ โดยเริ่มติดตั้งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2002
ระบบถุงลมด้านข้าง  เมอร์เซเดสเบนซ์ได้คิดค้นเติมเข้าไปอีก ระบบถุงลมนิรภัยป้องกันศีรษะ  ซึ่งผลสำรวจผลออกมาว่าความเสี่ยงต่อชีวิตลดลงกว่าครึ่งเลยทีเดียว 
ในปี1970 ได้เกิดมีคำถามถึงอันตรายที่เกิดขึ้นจากถุงลมนิรภัยกับผู้ใช้งาน จึงทำให้ค่ายรถหลายค่ายหยุดการพัฒนาถุงลมนิรภัย แต่ เมอร์เซเดสเบนซ์ ก็ยังคงพัฒนาอุปกรณ์นี้ต่อไป จนเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น และในปี 1980 รถยนต์ของค่ายเมอร์เซเดสเบนซ์ได้ประกาศใช้ถุงลมนิรภัยทุกรุ่นในสายการผลิต
และตั้งแต่นั้นก็มีการค้นคว้าสำรวจการใช้ถุงลมนิรภัยอยู่ตลอด และในปี 2009 หน่วยงานจราจรเพื่อความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกา ได้พูดถึงการใช้ถุงลมนิรภัย สามารถช่วยชีวิต
 
คนขับได้ถึง  23,127 คน โดย 13,999 คนไม่ได้คาดเข็มนิรภัย และผู้โดยสารตอนหน้า 5,115 คน โดยเป็นผู้ไม่ได้คาดเข็มขัดถึง 2,883 คน และจากการสำรวจ ถุงลมนิรภัยจะทำงานได้มีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อผู้ใช้คาดเข็มขัดนิรภัยควบคู่ไปด้วย

ข้อมูลจาก
ต้นกำเนิด เทคโนโลยี ถุงลมนิรภัย (AIR bag)
http://www.toyotanon.com/
10  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / อุปกรณ์เสริมติดรถ 4 อย่าง ที่ควรมีในสมัยนี้ เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2556 08:43:21
ของ 4 อย่างที่จะเอ่ยถึงต่อไปนี้ แม้จะบอกว่ามีก็ได้ ไม่มีก็ได้ บางคนถึงกับบอกว่าบางชิ้นเป็นของเล่นกันเลยก็มี แต่ถึงเวลาจำเป็นจริงๆ มันมีประโยชน์กับเราแน่นอนครับ แล้วคุณจะนึกขอบใจที่มีของพวกนี้อยู่



Gps
เครื่องเอาไว้นำทาง  นับเป็นตัวช่วยที่ดีตัวเมื่อเราต้องเดินทางไปยังเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย หรือไม่ชำนาญ  หรือกลางคืนที่มองเห็นเส้นทางไม่ค่อยถนัด มันจะเป็นตัวค่อยเตือนเราว่าเส้นถนนทางข้างหน้าเป็นอย่างไร เป็นทางโค้ง ทางแยกฯลฯเพื่อให้เราเตรียมตัว แล้วลดอุบัติเหตุลงอีกด้วย แถมถ้าบางรุ่นถ้าดีหน่อยๆ อาจจะมีบอกที่พักรถ ปั้มน้ำมัน เพื่อสะดวกในการวางแผนการเดินทางไม่ให้น้ำมันหมด หรือ รถไปมีปัญหากลางทาง จะได้มีเห็นจุดหรือที่ขอความช่วยเหลือได้
จริงอยู่เมื่อก่อนมันจะค่อยไม่น่าใช่ แต่เดี๋ยวนี้ มีการสำรวจและรับสัญญาณจากจานดาวเทียม อินเตอร์เน็ต มีข้อมูลดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อนมาก และมีการอัพเดทข้อมูลอยู่สม่ำเสมอ และการใช้งานก็ง่ายสะดวกขึ้น

กล้องวิดีโอติดรถ
ใครหลายคนอาจมองข้ามไป แต่ความจริงมีติดรถไว้ก็ดีครับ เพราะถ้ารถเราเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา กล้องนี้ตัวจะเป็นพยานชั้นดีที่สามารถช่วยเราให้พิสูจน์ถูกผิดได้ เมื่อมีคดีความกันขึ้นมา และบางทีถ้าเราจอดรถทิ้งเอาไว้ที่ลานจอดแล้วเกิดมีรถมาชนรถเรา แล้วหนีไปก็ยังสามารถเอาไว้ตามตัวคนถอยชนรถเรา หรือเอาไว้ให้พวกเคลมประกันดูว่าเราไม่ได้เป็นคนทำเอง เห็นไหมครับ ช่วยได้เยอะแถมเป็นหลักฐานได้ด้วย ส่วนก็กล้องจะเอารุ่นไหน อยู่ที่เงินในกระเป๋าครับว่าจะเอาให้ดีขนาดไหน

ที่ชาร์จไฟของอุปกรณ์ต่างๆ
เผื่อเอาไว้สำหรับโทรศัพท์มือถือหรือคอมโน๊ตบุ๊ค เผื่อเราต้องใช้งานได้ยามฉุกเฉิน แล้วไฟแบตเกิดไม่พอจะได้ไม่ต้องเครียดวุ่นวายไปหาที่ชาร์จ  และควรหาซื้อควรเลือกที่ชาร์จที่มีคุณภาพอย่าห่วงในเรื่องของราคาเพียงอย่างเดียว และไม่แนะนำไม่ให้ชาร์จอุปกรณ์ใดก็ตามแต่ในระหว่างที่เรากำลังสตาร์รถ เพราะจะทำให้อุปกรณ์ที่ใช้เกิดอาการเสียหายจากไฟกระชากได้ครับ  และถ้ากลัวว่าอุปกรณ์ของท่านเกิดความเสียหาย ก็ลองหาซื้อที่แปลงกระแสไฟฟ้า จาก 12V มาเป็น 220V เพื่อกระแสไฟจะเสถียรมากขึ้นเพิ่มความอุ่นใจขึ้นมาหน่อย ปัจจุบันนี้ power bank (อุปกรณ์เก็บกระแสไฟสำรอง) ราคาถูกลงเยอะแล้ว จะหาซื้อมาใช้ก็ไม่เลวครับ

ชุดอุปกรณ์ฉุกเฉินไว้ใช้ในเหตุคับขัน
บางท่านอาจจะรู้อยู่แล้วว่ามีอะไรบ้าง  แต่ก็พูดถึงซะหน่อยเพื่อความปลอดภัย  ค้อนเหล็กเล็กก็พอเอาไว้ทุบกระจก ไฟฉายเอาไว้ซ่อมตรวจดูรถเวลากลางคืน หรือใครจะพกมีดไว้ช่องเก็บไว้ในช่องใกล้ที่ขับก็ได้เพื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินแล้วแกะปลดเข็มขัดไม่ได้ ก็จะได้ใช้มีดตัดเลย กรวยตั้ง เพื่อกรณีรถเสียจะได้เป็นตัวบอกรถคันอื่นให้เลี่ยงออกไป ที่เติมลมยาง ถ่านรีโมตถ่านไฟฉายเอาไว้ด้วยก็ดี หรือถ้าเราเป็นโรคประจำตัวอะไรก็ติดยาไว้ในรถด้วยก็ดีเหมือนกัน มีเผื่อไว้ดีกว่าขาดแล้วเกิดเหตุการณ์ขึ้น

ของที่จำเป็นแก่ตัวท่านอาจจะมากกว่านี้ก็ได้ อยู่ที่รูปการใช้ชีวิตเป็นแบบไหน ก็ลองเอาไปปรับเปลี่ยน ซื้อหามาไว้ติดรถของท่านดูนะครับ ว่าไปแอดมินกะจะสอยกล้องมาติดรถสักตัว

ข้อมูลจาก
อุปกรณ์เสริมติดรถ 4 อย่าง ที่ควรมีในสมัยนี้
http://www.toyotanon.com
11  AE Racing Club - FreeStyle / Free Style - AE Racing Club / รายละเอียด Yaris 2013 ฉบับสมบูรณ์ พร้อมตารางอุปกรณ์ตกแต่ง เมื่อ: 26 ตุลาคม 2556 11:15:44
ขออนุญาตประชาสัมพันธ์นะครับ
รายละเอียด All new Toyota Yaris 2013 ฉบับสมบูรณ์
ครบทั้ง ภายนอก ภายใน สีและราคา พร้อมโปรแกรมคำนวนเงินผ่อน


และ ตารางอุปกรณ์ตกแต่ง


จากโตโยต้านนทบุรี
12  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / หัวเทียน สิ่งสำคัญของเครื่องยนต์ เมื่อ: 22 ตุลาคม 2556 08:23:07


ก็คงเป็นที่ทราบดีแล้วนะครับเครื่องยนต์ที่ใช้ประเภทน้ำมันเบนซินทุกคันต้องมีก็คือหัวเทียน ที่ใช้ในการจุดระเบิดขับเคลื่อนกระบอกสูบ โดยทั่วไปหัวเทียนจะมีอายุการใช้งาน ตั้งแต่ 8,000 - 20,000 กม. ขึ้นอยู่กับการขับของเรา เมื่อถึงระยะจึงเปลี่ยนเพื่อรักษาความสมบูรณ์ในการทำงานของเครื่องยนต์ แต่ก็มีหัวเทียนแพลตตินั่ม ที่ราคาสูงกว่าและอายุการใช้งานทนทานกว่า แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนนักเรื่องอายุการใช้งานว่าทนกว่ากี่เท่า
 
สิ่งทีอยากจะแนะนำ เราควรจะมีหัวเทียนสำรองเก็บไว้บ้างอันสองอัน  ติดเอาไว้ในรถ เปลี่ยนเป็นไม่เป็นค่อยว่ากันอีกที เปลี่ยนไม่เป็นจริงๆ ก็ค่อยหาคนมาเปลี่ยนให้ก็ได้
เมื่อหัวเทียนทำงานอยู่นั้นหน้าที่ของมันก็คือการจุดระเบิดในห้องเผาไหม้   เมื่อใช้งานไปนานๆ เข้า  หัวเทียนก็จะสกปรกและสึกหรอ จากความร้อนและคราบเขม่าต่างๆ และแรงดัน เพราะอย่างนี้เราถึงต้องทำความสะอาดหัวเทียน และปรับตั้งของระยะเขี้ยวหัวเทียน  แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากหรือหัวเทียนสึกหรอจนปรับไม่ได้ หัวเทียนสำรองนี่ละที่มีประโยชน์
 
ถ้ารถคุณเป็นรถใหม่ก็ไม่ต้องกังวลในส่วนนี้  ถ้าคุณยังใช้บริการศูนย์อยู่ แล้วเข้าเช็คตามระยะ ก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหานี้ เพราะทางศูนย์บริการจะเปลี่ยนให้ เมื่อเวลาครบกำหนด
 
วิธีการถอดหัวเทียนด้วยตัวเอง
ก่อนอื่นต้องดับเครื่องยนต์  แล้วเปิดฝากระโปรงและดึงสายหัวเทียนออกก่อน แล้วทำสัญลักษณ์ตัวเลขกำกับไว้ด้วยว่าสายใดเข้าที่เบ้าไหน จะได้เวลาใส่กลับจะได้ใส่ถูก ตามแล้วแต่ประเภทของเครื่องยนต์ของรถ แล้วใช้บล็อคถอดหัวเทียนขันหัวเทียนออกมา
*ที่สำคัญก่อนที่จะถอดหัวเทียนออก ให้ทำความสะอาดเบ้าหัวเทียนและรอบๆให้สะอาด เพื่อไม่ให้ฝุ่นหรือสิ่งสกปรกตกลงไปในกระบอกสูบ 
ล้างทำความสะอาดหัวเทียน
ในกรณีที่มีความรู้เรื่องช่างอยู่บ้าง หลังจากถอดแล้วให้เราเอากระดาษทราย มาขัดทำความสะอาดที่ขั้วหัวเทียน และอย่าลืมตรวจสอบว่า มีความปกติอะไรหรือไม่ เช่น  มีความเปียกชื้น จากน้ำมันล่อลื่น  มากเกินไปไหมหรือมีคราบเขม่าควันเยอะกว่าปกติ  เพราะมาจากการทำงานผิดปกติของ  หลังจากใช้กระดาษทรายเช็ดจัดไปแล้ว ถ้าใครมีอุปกรณ์เช็คระยะหัวเทียนก็นำมาวัดระยะแล้วปรับตั้งหัวเทียนได้เลย ให้ทำการล้างต่อด้วยน้ำมันเบนซิน และใส่กลับคืนมันกลับไปเหมือนเดิม
 
*ถ้ารถของท่านมีปัญหา  สตาร์ทไม่ติด , ติดสะดุด เหมือนเดินไม่เต็มสูบไม่เต็มที่ ถ้าคิดอาการเหล่านี้เป็นเพราะหัวเทียน เราก็มีวิธีเช็คง่ายๆ ดังนี้
1. ให้ถอดตัวหัวเทียนออกมาจากเบ้า  แต่ให้เสียบสายหัวเทียนเอาไว้
2. ให้หาคีมที่ตัวด้ามจับเป็นฉนวน คีบหัวเทียน
3. นำไปจ่อกับชิ้นส่วนที่เป็นโลหะ ใกล้ๆง่ายๆหน่อยก็เป็นตัวถังรถ  แต่สิ่งระมัดระวังมากที่สุดห้ามอย่าจ่อไปกับ ที่มีน้ำมันเบนซิน และแบตเตอรรี่
4. แล้วลองไปติดเครื่องรถดู ว่ามีการเกิดประกายไฟหรือไม่ ถ้าไม่มีให้ทดสอบซ้ำ โดยนำหัวเทียนมาเปลี่ยนใส่สายหัวเทียนเส้นอื่น ถ้ายังไม่มีอีกแสดงว่าหัวเทียนเสียแล้วให้เปลี่ยนเลย
 
อาจจะเคยได้ยินเรื่องการเปลี่ยนหัวเทียน เปลี่ยนสายหัวเทียนเป็นรุ่นอื่น ทำให้รถแรงขึ้น ขอบอกไว้ก่อนว่า ถ้ารถเราเป็นรถเดิมๆ ไม่แต่งหรือจูนเครื่องยนต์ ก็เปล่าประโยชน์ครับแถมเสียเงินโดยใช้เหตุอีกด้วย ถ้าเปลี่ยนหัวเทียน สายหัวเทียนแล้วรถแรงขึ้นเขาก็คงจะเปลี่ยนกันหมดทั้งประเทศทั้งโลกแล้วละ ถ้ารถอยากรถให้รถแรงมันต้องเซ็ตทั้งระบบครับ

ข้อมูลจาก
หัวเทียน สิ่งสำคัญของเครื่องยนต์
http://www.toyotanon.com/
13  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / รู้ให้ทัน หลบให้ไกลจาก คนเมาขับรถ เมื่อ: 18 ตุลาคม 2556 08:58:37


เป็นที่ทราบดีนะครับการที่คนเมาสุรา แล้วไปขับรถ มักจะตัดสินใจช้าลงกว่าปกติและแถมยังสิทธิ์เกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าคนธรรมดาอีกด้วย จนต้องมีการประชาสัมพันธ์ของทางภาครัฐ และเอกชนมากมายที่รณรงค์เรื่องเมาไม่ขับ เพื่อ ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ
 
ทั้งนี้ ถึงจะมีกฎหมายบังคับใช้ก็แล้ว  แต่คนบางกลุ่มที่เมาแล้วดื้อรั้นจะขับรถ สุดท้ายพาให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อน วันนี้เราจะบอกวิธีสังเกตุพฤติกรรมคนเมาแล้วขับมาบอกกัน เพื่อตัวเราจะได้ระมัดระวังและปลอดภัย จากภัยที่เขาจะมามอบให้คุณก็ได้
 
1 .ขับคร่อมเลนกั๊กเลน  ถ้าคนเมาขับรถมักจะมีพฤติกรรมแบบนี้เหมือนกันหมด และถ้าขับแล้วเป๋ไปเป๋มาคล้ายงูเลื้อย ให้สันนิฐานได้เลยไม่เมาแล้วขับ ก็หลับในอย่างแน่นอน
 
2.การเข้าโค้งแบบแปลกๆ ให้ลองสังเกตุลองดูว่ารถคันไหนมีพฤติกรรมเข้าโค้งไม่ปกติ เช่น เข้าโค้งแล้วหักเร็วไปหรือช้าไป
 
3.เบรกบ่อยเบรกโดยไม่มีสาเหตุ  เมื่อขับตามหลังมาแล้วปรากฎว่าเห็นคันหน้าขับรถอยู่ดีๆทั้งที่ทางโล่ง อาจเป็นเพราะเขาหลับในแล้วสะดุ้งตื่่นจึงเบรค
 
4. ขับเร็ว ขับรถอันตรายหวาดเสียว  ข้อนี้บางทีเขาอาจะไม่เมาก็แต่อาจเป็นพวกขาซิ่งก็เป็นได้ แต่เราก็ไม่ควรเข้าไปใกล้อยู่ดี ถ้าเจอบุคคลขับรถแบบนี้ ย่อมสิทธิเกิดอุบัติเหตุได้สูงอยู่แล้ว
 
ข้อสังเกต 4 ข้อนี้ พอจะเป็นสัญญาณเตือนให้แก่เราได้ ว่าเขามีอาการปกติอย่างแน่นอน และเราบอกต่อในส่วนของการป้องกันกันต่อครับ ว่าเราควรทำอย่างไรดีเมื่อเจอเหตุการณ์ขึ้น
 
1. อย่าคิดได้ไปแซงเด็ดขาด  ปล่อยให้รถของเขาล่วงหน้าไป และไม่สมควรตาม และทิ้งระยะห่างไว้ เพื่อป้องกันตัวคุณเองไม่ให้ได้รับเคราะห์ ในเหตุการณ์ไม่คาดคิดจากการกระทำของเขาที่อาจเกิดขึ้นได้
 
2. เร่งหลบ ในกรณีเราอยู่เป็นคันหน้า ของคันที่ต้องสงสัยว่าเมาแล้วขับ ถ้ารถที่ตามหลังเรามาขับมาเป็นงูเลื้อยเป๋ไปเป๋มาก็เร่งเครื่องทิ้งห่างเขาไป แต่ถ้าเขาขับมาด้วยความเร็วมาก เราก็ลดความเร็วและก็หาข้างทางไหล่ทางหลบไปซักพัก น่าจะเป็นการดีกว่า
 
3. เปิดแตรใส่และเปิดไฟสูง  อาจจะใช้เสียงแตร บีบเตือนและไฟสูงเพื่อกระตุ้นสติของเขาให้ตื่นตัว โดยทำเป็นจังหวะสลับกันไปมา แต่ก่อนทำก็คิดให้ดีๆ ก่อน ดูสถานะการณ์ให้รอบๆ เดี๋ยวว่ากลายเป็นนึกว่าพาลหาเรื่องกันและกระทบกระทั้งกับเราอีก ควรหลบซ้าย และเว้นระยะห่างให้พอเหมาะด้วยเพื่อความปลอดภัยของเรา
 
4 โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ  ถึงแม้ว่าตัวเราจะปลอดภัยแล้ว แต่ก็ไม่ควรละเว้นการเป็นพลเมืองที่ดีทำประโยชน์เพื่อส่วนร่วมซะหน่อย  โดยบอกรายละเอียดต่างๆของรถคันดังกล่าว ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้เขาได้ทำการสกัดหรือป้องกันได้อย่างทันที เพื่อไม่ให้คนให้ขับรถคันดังกล่าวไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นและตัวของเขาเองได้น้อยลงด้วยครับ
 
เหตุการณ์เหล่านี้ เราไม่มีมีทางรู้หรอกครับว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่ถ้าคุณขับรถอยู่บนท้องถนนก็อย่าลืมสังเกตุพฤติกรรมการขับรถของเพื่อนร่วมทางด้วย เพราะบางทีภัยนั้น อาจจะมาเกิดขึ้นกับคุณโดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้ถ้าไม่สังเกตุ

ข้อมูลจาก
รู้ให้ทัน หลบให้ไกลจาก คนเมาขับรถ
http://www.toyotanon.com
14  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / ไฟหน้าและไฟฉุกเฉินใช้อย่างไรให้ถูกต้อง เมื่อ: 10 ตุลาคม 2556 16:18:54


นับวันจะมีรถรุ่นใหม่ออกมาแล่นอยู่บนถนนอยู่เสมอ และยิ่งเดี๋ยวนี้เอาไปติดไฟแบบประหลาดเพิ่มเติมกันเข้าไปอีก  ซึ่งจากกฎหมายจราจรของเรา ที่ใช้กันมานานก็ไม่กำหนดชัดถึงเรื่องไฟรถนี้ด้วย  ทำให้มีบางคนติดกันตามใจชอบ จนกลายเป็นกระแสแฟชั่นตามๆกันไปอีก
 
ซึ่งความจริงแล้วหน้าที่ของไฟรถ นับว่าเป็นสัญญาณเพื่อบอกตำแหน่งของรถเพื่อบอกให้เตือนบอกให้เห็นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่บนท้องถนน ซึ่งนับเป็นสากลแล้วก็ใช่กันทั้งทั่วโลกทั่วประเทศ วันนี้เราจะมาพูดของเรื่องไฟหน้าและไฟฉุกเฉินกันครับ
 
ไฟหน้า ใช้กันให้ถูก
ไฟหน้ากระพริบถี่ๆ  ที่ชอบเปิดกันในประเทศไทยแปลกันเองว่า ห้ามมานะขอฉันไปก่อน ซึ่งจะเข้าใจกันดีถ้าท่านขับรถอยู่ในประเทศไทย จนกลายเป็นการใช้ในแพร่หลายภายในประเทศและเป็นธรรมเนียมวัฒนธรรมปฏิบัติตามกันไปหมดแล้ว แต่ในความหมายในประเทศตะวันตกฝั่งอังกฤษ ยุโรป คือ การเชิญเรียกให้ไปหรือเข้ามาสิผมให้คุณเข้านะครับ
 
จึงทำให้เห็นบางทีเมื่อฝรั่งมาขับรถในประเทศไทยแล้วเกิดเหตุกันขึ้นมาเพราะความใจผิดของสัญญาณสื่อสาร แต่ก็รู้ไว้ไม่เสียหาย เผื่อท่านมีโอกาสขับในต่างประเทศ เพื่อให้เข้าใจหลักสากลบ้าง ในความหมายของประเทศไทยคงจะไปเปลี่ยนแปลงได้ยากแล้วอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเพิ่มไปอีก หรือถ้ามีโอกาสในการไปขับรถประเทศอื่นว่าเช้ามีอะไรทำเนียมอะไรแปลกๆไปหรือเปล่าก็อย่าลืมไปศึกษาให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุได้ครับ
 
และจะขอขยายความเพิ่มอีกหน่อยครับ ในส่วนของหลักสากล คือการเตือนให้รู้ว่ามีรถอยู่ตรงนี้นะ โปรดระวังด้วย หรืออาจเป็นถึงสัญญานบอกเตือนแทนแตร หรือบางเขตบางที่เขาจำกัดการใช้เสียงเช่นโรงพยาบาลเป็นต้น และแสงนั้นเดินทางเร็วกว่าเสียงมากอีกด้วย  ซึ่งได้ผลกว่าในกรณีวิ่งสวนทาง เป็นต้น
 
การใช้ไฟฉุกเฉิน
คงเคยได้ยินกันบ้าง ที่กดใช้ไฟฉุกเฉินแล้วเกิดอุบัติเหตุ ชนกันซ้ำเข้าไปอีก จะยกเหตุการณ์บางกรณีที่ใช้แบบผิดๆ ในบ้านเรา เช่น รถโดนลากจูงแล้วกดไฟฉุกเฉิน   หรือ เมื่อจะผ่าน 4 แยกแล้วกดไฟฉุกเฉิน การกระทำแบบนี้อันตรายมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน  รถที่สวนทาง รถตามหลังมาหรือตามมาอาจจะเข้าใจว่าจะตรงไป  อยู่แล้วแต่ในส่วนของรถแยกข้างๆนั้นจะเข้าใจผิดได้ว่าเราจะเลี้ยว เพราะเนื่องจากเขาเห็นสัญญาณไฟของรถเพียงด้านเดียวถึงอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ณ กลาง 4 แยก และยิ่งยิ่งมากันด้วยความเร็วอาจถึงขั้นพิการและเสียชีวิตได้เลย ใครที่ยังทำอยู่ก็อยากให้เลิกทำซะนะครับ และอีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือเมื่อฝนตกหนักๆ แล้วมองทางไม่ค่อยเห็นแล้วเปิดไปฉุกเฉิน ขับรถนี้ก็เป็นวิธีการที่ผิด อาจให้คันที่ตามหลังมา เข้าใจผิดนึกว่ารถคุณจอดหรือจอดเสียอยู่  และเมื่อเปลี่ยนจะเลน คันตามมาเขาก็ดูไม่รู้ว่าคุณจะไปเลนไหนอีกด้วย อาจจะทำให้เกิดปัญหาเฉี่ยวชนกันได้  ดังนั้นควรคิดให้ดีก่อนที่จะกดไฟฉุกเฉิน
 
การใช้ไฟฉุกเฉินที่ถูกต้องและถูกหลักมีดังนี้
ไฟฉุกเฉินคือไฟ ที่เราบอกสัญญาณกับรถคันอื่นว่า รถเราเสียหรือมีปัญหาไม่สามารถไปต่อได้หรือต้องการทำการจอดชั่วคราว ฯลฯ  ซึ่งจอดขวางอยู่ในเส้นทางเพื่อบอกให้คันอื่นหลบหรือเลี่ยงออกไป  ซึ่งหลักเป็นสากลใช้กันทั่วโลก
สรุปสั้นๆง่ายๆ คือการบอกให้รถคันอื่นว่ารถเราจอดอยู่นั้นเอง  ไม่ใช้ขับขี่รถอยู่กลางถนนแล้วไปเปิดมั่ว ทำให้เป็นปัญหาอย่างที่กล่าวไว้ด้านบนได้
นอกจากการขับรถแล้วเราก็ควรจะศึกษาเรื่องการใช้ไฟเปิดไฟด้วยเพื่อความปลอดมากขึ้นในการใช้รถใช้ถนนถึงจะเรียกได้ว่าเราขับรถเป็นและดีอย่างแท้จริงครับ

ข้อมูลจาก
ไฟหน้าและไฟฉุกเฉินใช้อย่างไรให้ถูกต้อง
http://www.toyotanon.com/
15  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / ไส้กรองอากาศรถยนต์ เมื่อ: 04 ตุลาคม 2556 11:25:55


ในการที่เครื่องยนต์จะทำงาน เข้าใจง่ายๆ คือการจุดระเบิดในกระบอกสูบ เพื่อส่งกำลังให้รถขับเคลื่อน โดยการจุดระเบิดนี้จะต้องมีการผสมกันของอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิง ในอัตราส่วนที่พอดี และมีจังหวะของการระเบิดที่พอดีกับการจ่ายน้ำมันด้วยเช่นกัน
 
ดังนั้น ใส้กรองอากาศจึงมีหน้าที่หลักคือกรองอากาศให้สะอาดก่อนเข้าไปเผาไหม้ในห้องเครื่อง ซึ่งจะลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ได้ และนอกจากนี้ยังป้องกันไม่ให้ประกายไฟจากการระเบิด ย้อนกลับไปทำลายห้องเครื่องอีกด้วย แถมยังลดเสียงดังจากการดูดอากาศเข้าเครื่องอีกด้วย
 
ไส้กรองอากาศที่ใช้กับรถยนต์ ในส่วนมากเป็นแบบกระดาษแห้ง เมื่อสกปรกก็สามารถเป่าทำความสะอาดได้ มีบางชนิดที่เป็นแบบกระดาษเคลือบน้ำมันแบบนี้เป่าไม่ได้ จะต้องเปลี่ยนอย่างเดียว
 
ไส้กรองอากาศถ้าสกปรกมากๆ จะทำให้อากาศไหลเข้าเครื่องได้น้อยลง อัตราส่วนของอากาศและน้ำมันผิดไปจากปกติ ทำให้เร่งเครื่องไม่ค่อยขึ้น รอบขึ้นช้า กินน้ำมัน ไอเสียมาก และถ้าฝุ่นผงหลุดเข้าไปในห้องเครื่อง ก็จะทำให้เครื่องยนต์สึกหรออย่างรวดเร็ว
 
ไส้กรองอากาศ สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ โดยทั่วไปจะปิดด้วยฝาครอบและล็อคด้วยคลิป เมื่อเปิดออกมาแล้ว ก็จับกรองอากาศยกขึ้นมาดูในด้านที่รับลม ถ้าเห็นว่าดำมากๆ ในกรณีเป็นกรองกระดาษก็เป่าไล่ฝุ่นได้ทันที จะเป็นที่เป่าลมแบบไฟฟ้าหรือ ที่เป่าตามปั้มก็ได้

ไส้กรองอากาศรถยนต์
http://www.toyotanon.com
16  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / วัตถุประสงค์ในการใช้หมอนพิงศีรษะ เมื่อ: 30 กันยายน 2556 14:43:48


รถยนต์ในปัจจุบันได้พัฒนาอุปกรณ์ ป้องกันให้ดีขึ้น และมีการเสริมเพิ่มเติมเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นระบบถุงลมนิรภัย ระบบเซ็นเซอร์ภายนอกรถ การปรับปรุงโครงสร้างตัวถัง แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่แม้จะผ่านไปหลายยุค จะรถกี่รุ่นก็ต้องมีคือ หมองพิงศีรษะ ซึ่งยังคงลักษณะการใช้งานแบบดั้งเดิม และเป็นสิ่งที่ผู้ขับหลายคนใช้กันผิดวัตถุประสงค์
 
ก่อนอื่นขออธิบายเกี่ยวกับการชนกันก่อน โดยส่วนใหญ่การชนมักเกิดขึ้นด้านหน้า เมื่อมีการชนเกิดขึ้นร่างกายจะสะบัดไปหน้ารถตามแรงกระแทก ซึ่งอุปกรณ์ป้องกันการบาดเจ็บในการชนลักษณะนี้ สายคาดนิรภัย ที่จะยึดตัวคนนั่งให้ติดกับเก้าอี้ และถุงลมนิรภัยที่จะป้องกันศีรษะของคนนั่งไม่ให้กระแทกกับคอนโซลและลดพื้นที่ที่ศีรษะจะสะบัดจนเกิดการบาดเจ็บที่คอได้
 
แต่การชนอีกอย่างคือการถูกชนจากด้านหลัง ซึ่งการชนแบบนี้จะส่งผลให้ตัวรถมีการพุ่งไปข้างหน้า ร่างกายโดยเฉพาะศีรษะจะถูกผลักไปด้านหลังจากแรงกระแทก การชนลักษณะนี้จะทำให้คอเงย ซึ่งอาจจะทำให้เกิด การบาดเจ็บของเอ็นยึดที่กระดูกต้นคอได้ ในภาษาแพทย์เรียกว่า Whiplsh Injury การบาดเจ็บที่บริเวณนี้ อาจส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทถึงขั้นอัมพฤต ได้เลยทีเดียว
 
อุปกรณ์ที่ป้องกันการบาดเจ็บจากการชนจากด้านหลังมี สายรัดนิรภัย ที่ยังทำหน้าที่ยึดตัวคนนั่งเอาไว้ และ หนอนพิงศีรษะ เพราะแม้ตัวจะถูกยึดกับที่ แต่รถก็ยังพุ่งไปข้างหน้า ขนาดที่ศีรษะจะแกว่งไปข้างหลังอย่างรุนแรง จึงต้องมีหนอนพิงศีรษะมารองรับ
 
แต่ปัญหาคือ คนขับรถส่วนใหญ่มัก จะไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้ของหมอนพิงศีรษะ มักเข้าใจว่าไว้หนุนเพื่อความสบาย ปรับหมอนพิงให้หนุนบริเวณต้นคอ ซึ่งกลับเป็นการสร้างความบาดเจ็บมากขึ้นไปอีก เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เหตุนี้จึงมีผู้ผลิตบางรายออกแบบหมอนพิงศีรษะไม่ให้ปรับได้ เพื่อตัดปัญหานี้ไป
 
จากการทดสอบพบว่า ระดับความสูงของหมอนพิงศีรษะที่จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บได้จะต้องไม่ต่ำกว่าระดับใบหู โดยสามารถทดสอบได้ง่ายๆ โดยเมื่อนั่งพิงพนักเต็มที่ หลังศีรษะของเราส่วนที่นูนที่สุดจะแตะหมอนพอดี แสดงว่าระดับของหมอนถูกต้อง

ข้อมูลจาก
วัตถุประสงค์ในการใช้หมอนพิงศีรษะ
http://www.toyotanon.com/
17  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / O2 Sensor ออกซิเจนเซนเซอร์คืออะไร เมื่อ: 27 กันยายน 2556 13:12:13


O2 Sensor (ออกซิเจน เซ็นเซอร์) ตัวจับค่าออกซิเจน ในไอเสีย เป็นตัวตรวจวัดความสมบูรณ์ในการเผาไหม้เชื้อเพลิง ในเครื่องยนต์
อากาศโดยทั่วไปจะมีออกซิเจนอยู่ 21 % แต่ในไอเสียรถยนต์ ที่เผาไหมดี จะมีปริมาณออกซิเจนอยู่ที่ 1-2 % ทั้งนี้ขึ้นอยู่ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ซึ่งเครื่องนี้จะอ่านค่าออกซิเจนในทางเดินไอเสีย และส่งค่าไปยังกล่องสมองกลเพื่อคำนวณว่าเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพเผาไหม้ไอดีอย่างไร
O2 Sensor สร้างขึ้นด้วยกระเปาะหลอดทรงถ้วย ซ้อนกันสองชั้น เปลือกของหลอดทำด้วยทองคำขาวที่มีรูพรุนและระหว่างเปลือก 2 ชั้นจะบรรจุเซรามิกที่นำไฟฟ้าได้ไว้
 
ตัวเซ็นเซอร์นี้จะถูกขันติดเข้าไปในทางเดินท่อไอเสีย ด้านหน้าของ แคทาลิติกคอนเวิร์ตเตอร์ เพื่อให้ส่วนที่เป็นกระเปาะเข้าไปรับไอเสีย และส่วนท้ายกระเปาะอยู่นอกทางเดินไปเสียเพื่อให้สายไฟมาเสียบต่อเข้ากับกล่องสมองกล
 
การทำงาน
เมื่อไอเสียไหลเข้าในกระเปาะ จนถึงเปลือกชั้นในของกระเปาะ ตัว O2 Sensor จะมีการเปรียบค่ากันระหว่างออกซิเจนในไอเสียกับออกซิเจนภายนอก ส่งผลให้เกิด ions ขึ้นภายในเซรามิกที่กั้นไว้ ซึ่ง ions เป็นอะตอมที่มีค่าความต่างของกระแสบวกและกระแสลบ และจะสร้างกระแส Voltage ขึ้น ยิ่งความต่างของออกซิเจนในไอเสียกับอากาศภายนอกมากเท่าไหร่ ions ก็ยิ่งมาก และกระแส Voltage ก็จะมากตามไปด้วย
กระแส Voltage ที่ได้จะส่งไปยังกล่องสมองกล เพื่อวัดค่าว่ากระแสอยู่ในระดับที่ควรเป็นหรือไม่
โดยปกติกระแสที่ปล่อยจากตัวออกซิเจนเซนเซอร์ จะมีค่า 0.2 - 0.9 โวลต์ และกล่องสมองกล จะจ่ายเชื้อเพลิงให้ตามอัตราข้อมูลที่ได้รับ ซึ่งถ้าค่าโวลต์ที่ได้รับมีมากแสดงว่า ส่วนผสมของเชื้อเพลิงมีน้อยเกินไป และถ้าถ้าค่าโวลต์มีน้อย แสดงว่าส่วนผสมของเชื้อเพลิงมีมากเกินไป
 
ออกซิเจนเซ็นเซอร์แบบนี้บางครั้งจะเรียกว่า narrow-range oxygen sensor เพราะการที่ตัวจับสัญญาณเปลี่ยนค่าเร็วมาก วินาทีละ 5-7 ครั้ง ในสภาพเครื่องปกติ ผู้ขับจึงรู้สึกว่ารถเดินเรียบนั่นเอง

ข้อมูลจาก
O2 Sensor ออกซิเจนเซนเซอร์คืออะไร
http://www.toyotanon.com
18  AE Racing Club - FreeStyle / Free Style - AE Racing Club / ป้ายทะเบียนรถ ประเภทต่างๆ เมื่อ: 25 กันยายน 2556 09:27:20
ถ้าบัตรประชาชนเป็นหลักฐานสำคัญการยืนยันตัวบุคคลแล้ว ทะเบียนรถก็คงไม่ต่างกับหลักฐานยืนยันความเป็นเจ้าของรถเช่นกัน และกฎหมายก็กำหนดรถทุกคันต้องติดป้ายทะเบียน
 


แต่ในปัจจุบัน ที่รถแต่งสวยๆบางคันไม่ยอมติดป้ายทะเบียน จะด้วยค่านิยมที่ติดแล้วดูไม่เท่ ดูขัดๆ ก็แล้วแต่ และยังมีแฟชั่นป้ายทะเบียนกราฟฟิก เพื่อความสวยงาม หรือจะแก้เลขป้ายทะเบียนตามความเชื่อ ที่ตัวเลขไม่สมพงษ์กับเจ้าของ ซึ่งมีหลากหลายมากกับการแก้ไขป้ายทะเบียน ตามเหตุผลที่ต่างกันไป
 
แต่ก็เพราะการแก้ไขป้ายทะเบียนmujมีอยู่ทั่วไป บางส่วนก็เพื่อประสงค์ไม่ดีก็มี เช่น นำป้ายทะเบียนทูตมาติดเพื่อให้ตำรวจไม่กล้าจับ หรือกรณี ที่รถนำเข้าหนีภาษี ถ้ายังพอกรถไม่ได้ ก็ไม่สามารถออกป้ายจากกรมขนส่งได้ จึงต้องใช้ป้ายปลอมไปแทน และยังมีการนำป้ายปลอมมาใส่เพื่อก่ออาชญากรรม เช่น ปล้นหรือขนยาเสพติด หรือแม้แต่ป้ายจริงไปขูดตัวเลข ตัวอักษรออก เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่
 
พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) บอกว่า ได้ให้นโยบายทุก สน. กวดขันเรื่องการไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน แฟชั่นดัดแปลงป้าย และแผ่นป้ายทะเบียนเลอะเลือน เช่น การขูดออก หรือมีวัสดุอื่นปิดบัง ใช้เครื่องหมายที่นายทะเบียนออกให้ไปใช้อีกคัน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน หรือติดแผ่นป้ายทะเบียนของทางราชการปรับแต่งพับเอียงได้ ไม่ติดตรึงกับรถทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้เห็นได้ไม่ชัดเจน และเป็นที่สังเกตว่าอาจจะนำไปก่ออาชญากรรมได้
การ กระทำในลักษณะดังกล่าว เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 (กฎกระทรวง พ.ศ. 2547) มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท เดิมตำรวจเคยจับปรับราว 100-200 บาท ขณะนี้ได้ให้นโยบายใหม่ปรับเต็มที่ 1,000 บาท ส่วนกรณีปลอมป้ายทะเบียนทั้งฉบับถือเป็นคดีอาญา เข้าข่ายการปลอมเอกสาร มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี ปรับ 1,000 บาท ถึง  10,000 บาทซึ่ง สถิติการจับปรับในปัจจุบันกรณีการไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนทั่วกรุงเทพฯ เฉลี่ยเดือนละกว่า 5,000 ราย ส่วนป้ายแฟชั่นอยู่ระหว่างรวบรวมซึ่งน่าจะมีตัวเลขใกล้เคียงกัน
 
อย่างไรก็ตามสำหรับป้ายทะเบียนที่ถูกกฎหมายนั้น กรมการขนส่งทางบก ซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลรถตามกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 โดยใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถตามประเภทของรถ ดังนี้
 
รถตาม พ.ร.บ. รถยนต์ แบ่งออกเป็น 17 ลักษณะ ดังนี้
1. รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ป้ายสีขาวอักษรดำ
2. รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ป้ายขาวอักษรฟ้า
3. รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ป้ายสีขาวอักษรสีเขียว
4. รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล ป้ายสีขาวอักษรสีแดง
5. รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด ป้ายสีเหลืองอักษรสีแดง
6. รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน(แท็กซี่) ป้ายสีเหลืองอักษรสีดำ
7. รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง ป้ายสีเหลืองอักษรสีฟ้า
8. รถยนต์รับจ้างสามล้อ ป้ายสีเหลืองอักษรสีเขียว
9. รถยนต์บริการธุรกิจ ป้ายสีเขียวอักษรสีขาว
10. รถยนต์บริการทัศนาจร ป้ายสีเขียวอักษรสีขาว
11. รถยนต์บริการให้เช่า ป้ายสีเขียวอักษรสีขาว
12. รถจักรยานยนต์ ป้ายสีขาวอักษรสีดำ
13. รถแทรกเตอร์ ป้ายสีแสดอักษรสีดำ
14. รถบดถนน ป้ายสีแสดอักษรสีดำ
15. รถใช้งานเกษตรกรรม ป้ายสีแสดอักษรสีดำ
16. รถพ่วง ป้ายสีแสดอักษรสีดำ
17. รถจักรยานยนต์รับจ้าง ป้ายสีเหลืองอักษรสีดำ
นอกจากนี้ยังมีเครื่องหมายพิเศษ (ป้ายแดง) สำหรับติดรถเพื่อขายหรือเพื่อซ่อม
ป้ายทะเบียนรถทูต ป้ายสีขาวอักษรสีดำ
ป้ายทะเบียนกราฟิกสำหรับเลขทะเบียนสวยที่นำออกประมูล เป็นรูปทิวทัศน์แต่ละจังหวัด ตัวอักษรสีดำ
ส่วนรถตาม พ.ร.บ การขนส่งทางบก แบ่งออกเป็น รถโดยสารและรถบรรทุก โดยใช้แผ่นป้ายทะเบียนดังนี้
 
รถโดยสาร
1.รถโดยสารประจำทาง เลขทะเบียนขึ้นต้นด้วยเลข 10-19 ป้ายสีเหลืองอักษรสีดำ
2.รถโดยสารขนาดเล็ก เลขทะเบียนขึ้นต้นด้วย 20-29 ป้ายสีเหลืองอักษรสีดำ
3.รถโดยสารไม่ประจำทาง เลขทะเบียนขึ้นต้นด้วย 30-39 ป้ายสีเหลืองอักษรสีดำ
 
รถบรรทุก
1.รถบรรทุกไม่ประจำทาง พื้นแผ่นป้ายสีเหลือง เลขทะเบียนขึ้นต้นด้วย 70-79
2.รถบรรทุกส่วนบุคคล พื้นแผ่นป้ายสีขาว เลขทะเบียนขึ้นต้นด้วย 80-89

ข้อมูลจาก
ป้ายทะเบียนรถ ประเภทต่างๆ
toyotanon
19  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / การคำนวนขนาดยางรถยนต์ เมื่อ: 19 กันยายน 2556 15:52:10


เจ้าของรถหลายคนที่คิดจะเปลี่ยนขนาดยาง เปลี่ยนล้อแม็ก คงจะเจอปัญหาปวดหัวไม่น้อยว่า "แล้วจะเปลี่ยนเป็นขนาดอะไรได้บ้าง" หรือ "แบบที่ชอบ ที่ถูกใจ จะใส่กับรถเราได้ไหม" หรือ "แล้วจะกินน้ำมันไหม มีผลกับการขับอย่างไร" หลักการเปลี่ยนขนาดยางมีไม่มากนัก ดังต่อไปนี้

1. ล้อและยางที่จะเปลี่ยนไม่ควรมีหน้ากว้างมากเกินไป เพราะรถจะหนัก พวงมาลัยหนัก เลี้ยวได้ลำบาก หรือบางทีก็ติดซุ้ม ยางเป็นรอย ฯลฯ

2. เส้นรอบวงรวมเท่าของเดิมจะดีที่สุด ซึ่งในที่นี้หมายถึงขนาดกระทะล้อบวกกับขนาดแก้มยาง ซึ่งถ้าเปลี่ยนแล้วจะต้องคำนวณให้ผลรวมของ 2 ค่านี้เท่าของเดิมหรือถ้าไม่ได้ก็ให้ใกล้เคียง

ตอนนี้คงจะมีคำถามตามมาแล้วว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ไม่ต้องห่วงครับ เรามีวิธีคำนวณมาบอก
เวลาดูขนาดยาง จะมีค่าตัวเลขอยู่บนยาง เช่น

195 / 55 / R15 โดยใช้ตัวแทนเป็น W / S / d

W = ความกว้างของหน้ายาง

S = ซีรี่ย์ยาง คิดเป็น % แต่ต้อง คูณ  2 เพราะต้องคิดทั้ง 2 ข้าง บนและล่าง

d = เส้นผ่าศูนย์กลางของล้อแม๊ก หรือกะทะล้อ หน่วยเป็นนิ้ว แต่เวลาใช้ต้องเปลี่ยนเป็น มิลลิเมตร

สูตรคำนวน  D = (W x S% x 2)  + d

และจะได้ค่าที่เราต้องการคือค่า  D  = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของยาง (หน่วยเป็น มิลลิเมตร )

 

ตัวอย่างที่ 1

ขนาดยาง 195 / 55 / R15

W = 195 , S = 55% คือ 0.55 , d = 15 นิ้ว เป็นมิลลิเมตร 15x25.4 =381

แทนค่าใน D=(W x S% x 2)+d

คือ D=(195 x 0.55 x 2) + 381 = 595.5

ดังนั้น ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลาง ได้เท่ากับ 595.5 มม.

 

ตัวอย่างที่ 2

ขนาดยาง 205 / 45 / R16

W = 205 , S = 45% คือ 0.45 , d = 16 นิ้ว เป็นมิลลิเมตร 16x25.4 = 406.4

แทนค่าใน D=(W x S% x 2)+d

คือ D=(205 x 0.45 x 2) + 406.4 = 590.9

ดังนั้น ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลาง ได้เท่ากับ 590.9 มม.

ในกรณีนี้ยางรถตัวอย่างที่ 1 และ 2 สามารถใส่แทนกันได้ครับ

ถือเป็นข้อสำคัญเวลาจะเปลี่ยนขนาดยางหรือล้อแม็กครับ ที่ต้องให้มีขนาดใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด เพื่อลดปัญหาหรือผลข้างเคียงในการขับขี่ครับ

ข้อมูลจาก
การคำนวนขนาดยางรถยนต์
http://www.toyotanon.com/
20  AE Racing Club - Knowledge Sharing / รวมบทความ ความรู้ต่างๆ / Child Seat ของดีที่ไม่ได้รับการสนับสนุน เมื่อ: 18 กันยายน 2556 14:34:02
พูดถึงการเดินทางเป็นครอบครัว ในยุคที่คนออกรถกันเกลื่อนถนนแบบนี้  แน่นอนว่าต้องเลือกเดินทางกันด้วยรถส่วนตัวมากกว่า ทั้งในแง่ความสะดวก การขนสัมภาระ หรือความยืดหยุ่นในการเดินทางที่กำหนดเองได้
 
แต่ถ้าครอบครัวไหนมีเด็กเล็กเดินทางไปด้วย คุณจะให้เขานั่งที่ไหน? ในประเทศที่พัฒนาแล้วมักจะติดตั้งที่นั่งสำหรับเด็กเล็ก(Child seat) เข้าไปในตัวรถ เพราะคนในประเทศต่างๆ ศึกษาและมองเห็นถึงอันตรายที่เกิดกับเด็กที่นั่งอยู่ในรถ


 
ซึ่งอุปกรณ์นี้จะเป็นตัวป้องกันเด็กเล็กได้อย่างดีเวลาเกิดอุบัติเหตุ แต่ในประเทศไทยกลับมอง Child seat นี้เป็นของฟุ่มเฟือย และตั้งภาษีสูงจนสินค้าตัวนี้มีราคาแพงอย่างมาก  อีกทั้งยังไม่มีการรณรงค์และให้ความรู้ถึงข้อดีในการใช้ ท้ายที่สุดจึงทำให้ Child Seat กลายเป็นอุปกรณ์ที่หลายคนในประเทศไม่รู้จักไป
 
และถ้าใครสนใจคิดจะซื้อ Child Seat มาติดตั้ง โตโยต้านนทบุรี มีคำแนะนำในการเลือก Child Seat มาฝาก
1. โครงสร้างของเบาะเหมาะกับตัวเด็ก เน้นให้นั่งสบายและป้องกันตัวเด็กได้ เพราะจะไม่มีประโยชน์เลยถ้า ขนาดไม่เหมาะสมกับการป้องกันอันตรายตัวเด็ก ยิ่งถ้าสามารถปรับขนาดได้ตามสรีระ และอัตราการเติบโตของเด็กด้วยก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี
2. สามารถทำความสะอาดได้ง่าย เช่น สามารถถอดเบาะหุ้มออกไปซักได้
3. มีการระบายอากาศที่ดี นั่งแล้วไม่ร้อน เพราะจะทำให้เด็กปฏิเสธการนั่ง Child Seat ไป
4. มีการผลิตที่ได้มาตรฐาน มีตรารับประกัน
5. ไม่มีส่วนที่เป็นเหลี่ยมคม ที่อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้
6. วัสดุที่ใช้ผลิตมีความแข็งแรง ทนทาน และควรมีน้ำหนักเบา เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
 
อย่างไรเสียถ้าใครไม่มี Child Seat เราก็มีวิธีประยุกต์การปกป้องเด็กๆ ที่นั่งในรถได้
1. ควรให้เด็กนั่งเบาะหลังชิดไปด้านใดด้านหนึ่ง เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุเด็กจะกระแทกพนักพิง ซึ่งการบาดเจ็บจะน้อยกว่าการนั่งตรงกลาง ซึ่งเด็กอาจกระเด็นออกนอกตัวรถได้
2. เข็มขัดนิรภัยในรถควรใช้กับเด็กที่โตสักหน่อย ไม่เหมาะกับเด็กเล็ก เพราะสรีระที่ต่างกัน การดึงรั้งบางมุมขณะเกิดอุบัติเหตุ อาจทำให้บาดเจ็บเสียเอง
3. ไม่ควรอุ้มเด็กนั่งตักในที่นั่งข้างคนขับ เพราะขณะที่รถวิ่งแม้เพียงความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้น เด็กจะกระเด็นออกด้วยน้ำหนัก 20 เท่าของน้ำหนักตัวเด็ก ซึ่งคนอุ้มไม่สามารถรั้งตัวเด็กไว้ได้แน่ๆ จึงมักเกิดการสูญเสียขึ้นเสมอๆ จากเหตุการณ์แบบนี้ และในรถที่มีถุงลมนิรภัย เมื่อเกิดอุบัติเหตุถุงลมนิรภัยก็อาจกระแทกเด็กให้รับบาดเจ็บเช่นกัน
 
การติดตั้ง Child Seat นั้นไม่ควรติดตั้งที่เบาะหน้าของรถ เพราะอาจถูกกระแทกจากถุงลมนิรภัยได้ จุดที่ดีที่สุดคือเบาะหลัง และในรถบางรุ่นมีจุดที่เอาไว้ติดตั้ง Child Seat โดยเฉพาะก็มี
ทั้งนี้ ราคาของ child seat ที่วางขายกันในปัจจุบัน เริ่มต้นตั้งแต่หลักพัน จนถึงหลายหมื่นบาทเลยทีเดียว

Child Seat ของดีที่ไม่ได้รับการสนับสนุน
www.toyotanon.com
หน้า: [1] 2  » 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!