AE. Racing Club

AE Racing Club - Knowledge Sharing => รวมบทความ ความรู้ต่างๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: tom eg ที่ 31 สิงหาคม 2554 08:01:01



หัวข้อ: สาระน่ารู้ เกี่ยวกับยางรถยนต์
เริ่มหัวข้อโดย: tom eg ที่ 31 สิงหาคม 2554 08:01:01
สาระน่ารู้ เกี่ยวกับยางรถยนต์


เรื่องของยาง

    ตัวเลขกับอักษรที่ติดอยู่ที่แก้มยางบอกอะไรเราบ้าง สำหรับยางที่ผลิตออกมาจำหน่ายทุกเส้นนอกจากจะมียี่ห้อที่แก้มยางแล้วยังจะมีตัวเลขกับตัวย่อติดที่แก้มยางด้วยเช่นกัน เราจะมาดูกันว่าตัวเลขกับตัวย่อนั้นมันบอกอะไรเราบ้าง
    ยกตัวอย่างตัวเลขกับตัวย่อ เช่น 205/55 R 16 89V
            205/55 R 16 89V บอกความกว้างของหน้ายาง
            205/55 R 16 89V บอกอัตราส่วนขนาดยาง (ซีรี่ส์)
            205/55 R 16 89V บอกถึงโครงสร้างยางว่าเป็นยางแบบเรเดียล
            205/55 R 16 89V บอกถึงเส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ
            205/55 R 16 89V คือตัวเลขที่ใช้แทนความสามารถในการรับน้ำหนักของยาง 1 เส้นโดย เทียบหาค่าน้ำหนักจริงจากในตารางเทียบค่าที่ความดันลมมาตราฐาน ถ้าตัวเลขมากขึ้นค่าความสามารถในการรับน้ำหนักยางก็เพิ่มขึ้น เช่น ตัวเลข 89 ความสามารถในการรับน้ำหนักของยางเท่ากับ 580 กก. ตัวเลข 91 ความสามารถในการรับน้ำหนักของยางเท่ากับ 615 กก.
            205/55 R 16 89V มีความสำคัญเพราะจะบอกถึงขีดจำกัดความเร็วสูงสุดของยางแต่ละเส้น นั้น ๆ ที่สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยในสภาพการใช้งานปกติ
    ตัวอักษรที่กำหนดมีมากมายแตกต่างกันตามสมรรถนะ เช่น
            S ในขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่ 180 กม. / ชม.
            T ในขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่ 190 กม. / ชม.
            H ในขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่ 210 กม. / ชม.
            V ในขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่ 240 กม. / ชม.
            W ในขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่ 270 กม. / ชม.
            Y ในขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่ 300 กม. / ชม.
            ZR ในขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่ 240 กม. / ชม. ขึ้นไป
    คงจะพบทราบกันเล็กน้อยแล้วคราวหน้าหากเลือกซื้อยางก็ควรเลือกดูตัวเลข-ตัวย่อที่แก้มยางให้เหมาะสมกับการใช้งานจะได้ปลอดภัยในการขับมากขึ้น
    นอกจากการเลือกใช้ยางให้เหมาะสมแล้วการเติมลมยางให้ถูกวิธียังเป็นการช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของยางได้
การเติมลมยางให้ถูกวิธี
            1. สูบลมยางให้ถูกต้องตามอัตราที่กำหนดไว้ขณะที่ยางยังเย็นอยู่ โดยดูจากคู่มือการใช้รถ เพราะรถแต่ละรุ่นจะใช้ลมยางต่างกัน
            2. เพิ่มลดลมยางให้สัมพันธ์กับน้ำหนักบรรทุก
            3. อย่าปล่อยลมยางออกเมื่อความดันของลมยางสูงขึ้นในขณะที่ยางยังร้อนอยู่
            4. เมื่อขับรถด้วยความเร็วสูงควรเพิ่มลมยางมากกว่าอัตราปกติ 3-5 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
            5. ตรวจเช็คลมยางเป็นประจำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง 



การสลับยาง

ยางรถยนต์เมื่อผ่านการใช้งานไประยะหนึ่งย่อมมีการสึกหรอไม่เท่ากัน โดยมักจะสึกในคู่หนึ่งมากกว่าอีกคู่หนึ่ง การกลับยางจึงมีความจำเป็น เพื่อให้ยางทุกเส้นมีการสึกหรอใกล้เคียงกันที่สุด ใช้ได้จนเกือบหมด และเปลี่ยนพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่ไล่เปลี่ยนทีละคู่

ควรปฏิบัติตามรายละเอียดการสลับยาง ที่ระบุไว้ในคู่มือประจำรถยนต์อย่างเคร่งครัด แต่ถ้าไม่มีคู่มือ ก็สามารถอ่านจากบทความนี้ได้ เพราะเป็นคำแนะนำกลาง ๆ ที่ใช้ได้กับรถยนต์ทั่วไป

ถ้ายางอะไหล่มีขนาดเดียวกับยางหลัก ก็ควรน้ำมาสลับ่ใช้ด้วย แม้การเปลี่ยนยางพร้อมกัน 5 เส้น จะเสียเงินมากกว่าการเปลี่ยน 4 เส้น แต่ก็สามารถใช้ยางทั้ง 5 เส้นได้เป็นระยะทางมากกว่า

ถ้ายางหลักและยางอะไหล่มีขนาดไม่เท่ากัน เนื่องจากยางอะไหล่เป็นแบบ COMPACT SIZE หรือต้องการสลับแค่ 4 เส้นเท่านั้นหรือเปลี่ยนเฉพาะยาง 4 เส้นหลักให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ก็สลับได้เฉพาะยางหลักเท่านั้น โดยควรสลับทุก 10,000 กิโลเมตร
ส่วนยางอะไหล่ก็ดูแลตามปกติ ตรวจวัดลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยอาจเติมลมมากกว่าที่กำหนดไว้ 10 ปอนด์ ฯ เผื่อไว้สำหรับการรั่วซึม ไม่ต้องดูแลบ่อย เมื่อจำเป็นต้องใช้ก็แค่ปล่อยลมออก

ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนยางอะไหล่พร้อมยางหลัก เพราะยางอะไหล่ไม่ค่อยถูกใช้งาน ใช้ได้ประมาณ 5 ปี หรืออาจใช้วิธีเปลี่ยนยางหลัก 2 ครั้ง เปลี่ยนยางอะไหล่ 1 ครั้ง โดยเลือกยางเส้นหลักที่มีสภาพดีที่สุดมาเปลี่ยนไว้เป็นยางอะไหล่

รถยนต์ที่ใช้ช่วงล่างแบบอิสระ ขณะขับเมื่อช่วงล่างมีการยุบตัวจะกลายเป็นมุมแคมเบอร์ลบอยู่เล็กน้อย (ล้อแบะ) หน้ายางด้านในจึงรับแรงกดมากกว่าด้านนอกทำให้มีการสึกหรอมากกว่ายางริมนอก

การกลับยาง ถ้าเป็นดอกยางธรรมดา ไม่กำหนดทิศทางการหมุน ก็สามารถสลับได้ทั้งแบบแนวขึ้น - ลง และแนวทแยง ถ้าดูแล้วหน้ายางสึกจากซ้ายไปขวาไม่เท่ากันจริง ๆ ก็ควรถอดออกจากกระทะล้อสลับเอายางด้านในออกมาด้านนอกล้อด้วย เพื่อให้หน้ายางทั้ง 2 ด้านของยางแต่ละเส้น มีการสึกหรอใกล้เคียงกัน ยุ่งยากและเสียเงินมากกว่าหน่อย แต่เฉลี่ยความสึกหรอได้ดีกว่า

ถ้าไม่อยากเสียเวลามาก แค่ถอดสลับทั้งล้อและยางพร้อมกันก็ยังดี เพื่อให้ยางของล้อคู่ที่ใช้ขับเคลื่อน มีการสึกหรอใกล้เคียงกับล้ออีกคู่ (ยกเว้นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ความสึกหรอของยางซึ่งเกิดจากการขับเคลื่อน จะใกล้เคียงกันอยู่แล้ว)

สำหรับดอกยางที่ระบุทิศทางการหมุนหรือระบุด้านที่ใส่ ถ้าจะสลับพร้อมกระทะล้อ ต้องสลับแบบขึ้น - ลงหน้าสลับกับหลังเท่านั้น ถ้าจะสลับแบบทแยง ต้องถอดยางออกจากกระทะล้อ เพื่อใส่ให้ถูกทิศทางที่ระบุ

หลังจากสลับยางแล้ว ควรถ่วงล้อด้วายทุกครั้ง ถ้าถ่วงทั้ง 4 ล้อได้ยิ่งดี แล้วถ้าพบยางเส้นใดมีการสึกที่ผิดปกติ ก็ควรตรวจสอบและตั้งศูนย์ล้อที่ระบบช่วงล่างด้วย