หัวข้อ: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 14:51:00 รวมประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของราชอาณาจักรไทยครับ :emotv :emotv :emotv
ขออณุญาติไม่ลงรูปเพราะมันจะเปลืองพื้นที่เยอะมากไป บึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ เป็นจังหวัดที่มีการร้องขอให้จัดตั้งขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2537 ตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย จากการสำรวจความเห็นของประชาชน จำนวน 366,903 คน ปรากฏว่าประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ร้อยละ 98.83 หากมีการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ จะมีประชากรประมาณ 399,233 คน ประกอบด้วย 8 อำเภอ ส่วนจังหวัดหนองคาย จะประกอบด้วย 9 อำเภอ ประชากร 506,343 คน สภาพทั่วไป บึงกาฬ เป็นอำเภอที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับแม่น้ำโขง และแขวงบริคำไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ผลการพิจารณา เมื่อปี พ.ศ. 2537 กระทรวงมหาดไทย ได้แจ้งผลการพิจารณาว่ายังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี ต่อมาในปี พ.ศ. 2553 กระทรวงมหาดไทย ได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ... ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีก็มีมติให้ทำการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้นซึ่งมีผลนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จึงนับได้ว่าขณะนี้จังหวัดบึงกาฬได้แยกตัวออกจากจังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดที่ 77 ในราชอาณาจักรไทย อำเภอเมืองบึงกาฬ อำเภอเมืองบึงกาฬ เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดบึงกาฬ มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขง และอีกฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขงจะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว) มีการคมนาคมสะดวก ประวัติ เดิมอำเภอบึงกาฬมีชื่อเดิมว่า ไชยบุรีซึ่งขึ้นกับจังหวัดนครพนม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2460 ได้ถูกโอนย้ายให้ขึ้นต่อจังหวัดหนองคาย และถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บึงกาฬ ในปี พ.ศ. 2482 ต่อมา ในปี พ.ศ. 2537 ได้มีการร้องขอให้จัดตั้งเป็นจังหวัดบึงกาฬ ตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย แต่กระทรวงมหาดไทย ยังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2553 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ ส.ส.ส่วน พรรคกิจสังคมได้ตั้งกระทู้ถามสดต่อนายกรัฐมนตรี เรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ และทางกระทรวงมหาดไทยเห็นด้วย กำลังอยู่ในกระบวนการนำเข้าเสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งเรื่องเข้ามาสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอเป็นกฎหมายพ.ร.บ.จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ต่อไป ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีก็มีมติให้ทำการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้นซึ่งมีผลนับตั้งแต่นี้ เป็นต้นไป จึงทำให้อำเภอบึงกาฬ ได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอเมืองบึงกาฬ สถานที่ท่องเที่ยว ภูทอก :emotn เนื่องจากเป็นจังหวัดใหม่ ข้อมูลยังมีไม่เยอะ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 14:52:53 อ่างทอง
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา อ่างทองเป็นที่ราบลุ่มมีแม่น้ำไหลผ่านถึง ๒ สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย เป็นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ผู้คนจึงนิยมเข้าอยู่อาศัยทำมาหากิน ในสมัยโบราณก่อนกรุงศรี-อยุธยานับแต่สมัยทวารวดีเป็นต้นมา เข้าใจว่ามีคนอาศัยอยู่ในท้องที่ของอ่างทองแล้วและสร้างเป็นเมืองขึ้นด้วยแต่คงจะไม่ใช่เมืองใหญ่โตหรือเมืองสำคัญนักก็ได้ หลักฐานที่เหลือให้เห็นในปัจจุบันที่ส่อแสดงว่าท้องที่ของอ่างทองเคยเป็นเมืองโบราณในสมัยทวารวาดีก็คือคูเมืองที่มีลำคูล้อมรอบที่บ้านคูเมือง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอแสวงหา ในปัจจุบันอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปทางเหนือประมาณ ๔ กิโลเมตร คูเมืองที่บ้านคูเมืองซึ่ง นายบาส เชอลีเย นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรได้สำรวจพบและสันนิษฐานว่าเป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดี ล่วงมาในสมัยกรุงสุโขทัยก็เข้าใจว่ามีคนอาศัยอยู่มากเช่นกัน หลักฐานที่น่าจะยืนยันได้ก็คือวัดร้างที่มีอยู่มากมายในท้องที่ของอ่างทอง มีหลายวัดแสดงว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยและจากการสังเกตลักษณะของพระพุทธรูปสำคัญ ๆ หลายองค์พบว่ามีลักษณะการสร้างแบบสุโขทัยด้วย เช่น พระพุทธไสยาสน์วัดขุนอินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก อำเภอป่าโมก เป็นต้น นอกจากการสร้างวัดและศิลปะการสร้างพระพุทธรูปแล้ว ลำน้ำโบราณซึ่งปัจจุบันได้ตื้นเขินกลายเป็นลำคลอง ลำห้วย หลายแห่ง โดยมีวัดร้างตั้งอยู่ริมน้ำเก่านี้มากมาย ก็สันนิษฐานว่าจะต้องมีมาเก่าแก่ถึงสมัยสุโขทัยอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญนั้นไม่มีหลักฐานที่ปรากฏชัด สมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากอ่างทองเป็นเขตติดต่อกับกรุงศรีอยุธยา จึงมีเรื่องราวที่กล่าวถึงท้องที่ในอ่างทองหลายตอนด้วยกัน แต่สมัยอยุธยาตอนต้นนั้นยังไม่ปรากฏชื่อเมืองนี้ เข้าใจว่าจะเป็นเพียงชายเขตแขวงพระนครเท่านั้น แม้กระทั่งแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ยังไม่ปรากฏว่ามีชื่อเมืองในท้องที่ของอ่างทองเลย หนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวไว้ว่า เมื่อคราวพม่ายกทัพมาประชิดพระนครในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดินั้น ได้มีการเกณฑ์ทัพเพื่อรักษาพระนครจากเมืองใกล้เคียง โดยกล่าวชื่อเมืองใกล้เคียงพระนครหลายเมือง เช่น เมืองสิงห์บุรี เมืองพรหมบุรี เมืองอินทร์บุรี เมืองสุพรรณบุรี เมืองชัยนาท เมืองลพบุรี เมืองนครนายก เป็นต้น ไม่เคยกล่าวถึงเมืองอ่างทองหรือชื่อเมืองวิเศษชัยชาญอันเป็นชื่อเก่าของเมืองอ่างทองเลย เพียงแต่กล่าวไว้ตอนที่พม่ายกทัพเข้ามาว่า พม่าก็ยกตามเข้ามาทาง ลำ สามโก้ ป่าโมก ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแถวบางโผงเผง เข้ามาชานพระนครทางทุ่งลุมพลีข้างด้านเหนือ ลำสามโก้ปัจจุบันเป็นชื่อตำบลอยู่ในอำเภอสามโก้ ป่าโมกก็เป็นชื่อตำบลอยู่ในอำเภอป่าโมกเช่นกัน ส่วนบางโผงเผงนั้นอยู่ในท้องที่อำเภอป่าโมก พระราชพงศาวดารมิได้กล่าวว่าตำบลทั้งสามขึ้นกับเมืองใด สันนิษฐานว่าแต่ก่อนอาจจะรวมอยู่ในแขวงพระนครหลวง ยังไม่ยกฐานะเป็นเมือง เพราะอยู่ใกล้พระนครหลวงมาก ราว พ.ศ. ๒๑๒๒ ในแผ่นดินพระมหาธรรมราชา ท้องที่ของอ่างทองก็ถูกกล่าวไว้ในพงศาวดารอีกตอนหนึ่งว่า ในปีนั้นเกิดกบฏญาณพิเชียรเป็นจลาจลในจังหวัดแขวงหลวง และญาณพิเชียรนั้นเรียนคุณโกหก กระทำการอัมพิปริตสำแดงแก่ชาวชนบทประเทศนั้น และซ่องสุมเอาเป็นพวกได้มาก ญาณพิเชียรก็ซ่องคนในตำบลบ้านยี่ล้น ขุนศรีมงคลแขวงส่งข่าวกบฏนั้นเข้ามาถวายถึงสมเด็จพระบรมบพิตร พระพุทธเจ้าหลวง ก็มีพระราชโองการ ตรัสใช้เจ้าพระยาจักรีให้ยกพลทหารออกไปจับญาณพิเชียรซึ่งเป็นกบฏ เจ้าพระยาจักรีและขุนหมื่นทั้งหลายยกออกไปตั้งทัพในตำบลบ้านมหาดไทย ตำบลที่ถูกกล่าวถึงมี ๒ ตำบลคือ ตำบลบ้านยี่ล้น ปัจจุบันเป็นตำบลยี่ล้น ขึ้นกับอำเภอวิเศษชัยชาญ และตำบลบ้านมหาดไทยปัจจุบันเป็นตำบลมหาดไทย ขึ้นกับอำเภอเมืองอ่างทอง มีเขตติดต่อกับอำเภอวิเศษชัยชาญ ซึ่งสมัยนั้นก็ยังไม่ได้กล่าวอ้างว่าเป็นแขวงเมืองใด เป็นแต่กล่าวว่า ญาณพิเชียรเป็นจลาจลในจังหวัดแขวงหลวง จึงสันนิษฐานว่าท้องที่อ่างทองในขณะนั้นคงจะเป็นอาณาเขตที่ขึ้นกับพระนครหลวง ต่อมาราว พ.ศ. ๒๑๒๗ ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาเช่นกัน พระราชพงศาวดารได้กล่าวถึงชื่อเมืองวิเศษชัยชาญเป็นครั้งแรก เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จยกกองทัพไปรบกับพระยาพะสิมที่เมืองสุพรรณ ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งปรากฏดังนี้ ครั้นถึงเดือนยี่ ขึ้น ๒ ค่ำ สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถก็เสด็จโดยกระบวนเรือจากกรุงศรีอยุธยาไปทำพิธีเหยียบชิงชัยภูมิ ฟันไม้ข่มนามที่ตำบลลุมพลี แล้วเสด็จไปประทับที่แขวงเมืองวิเศษชัยชาญอันเป็นที่ประชุมพล เมืองวิเศษชัยชาญก็คือเมืองอ่างทองเก่านั้นเอง ส่วนจะยกฐานะขึ้นเป็นเมืองวิเศษชัยชาญเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดาร เข้าใจว่าจะต้องเป็นช่วงเวลาระยะ พ.ศ. ๒๑๒๒-๒๑๒๗ (น่าจะเป็นปี พ.ศ. ๒๑๒๗ หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรกลับจากประกาศอิสรภาพแล้ว พระมหาธรรมราชามอบหมายการป้องกันพระนครให้สมเด็จพระนเรศวร และยังได้อพยพครัวเรือนจากเมืองพิษณุโลกเข้ามาในพระนคร และได้ตั้งเมืองวิเศษชัยชาญขึ้นเพื่อเป็นจุดรวมกำลังเสบียงอาหาร และเป็นเมืองหน้าด่านของพระนคร) นับแต่เริ่มปรากฏชื่อเมืองวิเศษชัยชาญในพระราชพงศาวดารแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองวิเศษชัยชาญและท้องที่อ่างทองที่ขึ้นกับแขวงวิเศษชัยชาญในสมัยนั้น ก็ถูกกล่าวในพระราชพงศาวดารบ่อยครั้ง เช่น ป่าโมก ชะไว สระเกษ บางแก้ว เอกราช ฯลฯ ซึ่งจะกล่าวโดยลำดับไปดังนี้ พ.ศ. ๒๑๒๗ ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับคราวที่รบกับพระยาพะสิมที่เมืองสุพรรณบุรีนั้น สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่ากองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ยกลงมาก็เสด็จยกกองทัพหลวงไปกับสมเด็จพระเอกา-ทศรถ ไปตั้งทัพหลวงอยู่ที่บ้านชะไว แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ปัจจุบันบ้านชะไวเป็นตำบลชะไว ขึ้นกับอำเภอไชโย พ.ศ. ๒๑๒๘ พระเจ้าเชียงใหม่ยกกองทัพมาแก้แค้น ยกทัพมาตั้งอยู่ที่บ้านสระเกษในแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ สมเด็จพระนเรศวรกับพระเอกาทศรถยกทัพไปถึงตำบลป่าโมก ก็พบกับกองทัพพม่าซึ่งลงมาเที่ยวรังแกราษฎรทางเมืองวิเศษชัยชาญ จึงได้เข้าโจมตีจนทัพพม่าล่าถอยไป พระเจ้าเชียงใหม่จึงจัดกองทัพยกลงมาอีก สมเด็จพระนเรศวรจึงดำรัสสั่งให้พระราชมนูคุมกองทัพขึ้นไปลาดตระเวนดูก่อน กองทัพพระราชมนูไปปะทะกับพม่าที่บ้านบางแก้ว สมเด็จพระนเรศวรเสด็จขึ้นไปถึงบ้านแห จึงมีดำรัสให้ข้าหลวงขึ้นไปสั่งพระราชมนูให้ทำเป็นล่าทัพกลับถอยลงมา แล้วพระองค์กับพระอนุชาก็รุกไล่ตีทัพพม่าแตกพ่ายทั้งทัพหน้าและทัพหลวง จนถึงค่ายที่ตั้งทัพของพระเจ้าเชียงใหม่ที่บ้านสระเกษ ทัพของพระเจ้าเชียงใหม่จึงแตกกระจัดกระจายไป ปัจจุบันนี้บ้านสระเกษ เปลี่ยนเป็นตำบลไชยภูมิ ขึ้นอยู่กับอำเภอไชโย สำหรับบ้านบางแก้วและบ้านแห ก็เป็นตำบลในอำเภอเมืองอ่างทอง พ.ศ. ๒๑๓๐ ท้องที่อำเภอป่าโมกก็เป็นสนามรบในคราวที่พระเจ้ากรุงหงสาวดีล้อมกรุงศรีอยุธยา คราวนี้ทัพไทยเอาปืนใหญ่ลงในเรือสำเภาขึ้นไประดมยิงค่ายหลวงพระเจ้าหงสาวดี พระเจ้าหง -สาวดีทนอยู่ไม่ได้ก็ต้องรีบถอยทัพหลวงกลับขึ้นไปตั้งอยู่ที่ป่าโมก สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอ- กาทศรถเสด็จโดยขบวนทัพเรือ ตีตามกองทัพหลวงของพระเจ้าหงสาวดีไปจนถึงป่าโมกจนพม่าเลิกทัพกลับไป พ.ศ. ๒๑๓๕ คราวสมเด็จพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จยกทัพจากกรุงศรอยุธยาไปตั้งอยู่ที่ทุ่งป่าโมก แล้วเสด็จไปเมืองสุพรรณบุรีผ่านบ้านสามโก้ ไปกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ที่ตำบลกะพังตรุ จังหวัดสุพรรณบุรี จนมีชัยชนะในครั้งนั้น พ.ศ. ๒๑๔๗ สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จยกทัพไปตีเมืองอังวะ ก็เสด็จพักพลที่ป่าโมกอีก ตามพระราชพงศาวดารตอนหนึ่งว่า ก็มีพระราชโองการตรัสให้แต่งตำหนักในตำบลป่าโมก ครั้นเสร็จก็เสด็จด้วยพระชลวิมานโดยทางชลมารค เสด็จเข้าพักพลในตำหนักป่าโมกนั้น พระบาทสมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ก็เสด็จกลับพยุหยาตรา จากตำบล ป่าโมกเสด็จโดยชลมารคขึ้นเหยียบชัยภูมิในตำบลเอกราช ให้ขุนแผนสะท้านฟันไม้ข่มนามโดยการพิธีพิชัยสงคราม (ปัจจุบันนี้ตำบลเอกราชเป็นตำบลหนึ่งขึ้นกับอำเภอป่าโมก และมีเขตติดต่อกับตำบลป่าโมก) สำหรับการสงครามครั้งนี้เป็นครั้งหลังสุดของสมเด็จพระนเรศวร เพราะพระองค์ได้สวรรคตเสียที่เมืองหาง หรือเมืองห้างหลวง ยังมิทันเสด็จถึงเมืองอังวะ สมเด็จพระเอกาทศรถได้เชิญพระบรมศพกลับคืนมายังพระนครศรีอยุธยา ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) พระเจ้าเสือได้เสด็จปลอมพระองค์ไปกับมหาดเล็กเที่ยวในงานฉลองพระอาราม และได้ทรงชกมวยกับนักมวยได้ชัยชนะถึง ๒ คน ที่ที่เสด็จไปคือบ้านประจันตชนบทแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ดังข้อความในพระราชพงศาวดารตอนหนึ่งว่า ขณะนั้นข้าราชการผู้มีชื่อคนหนึ่งกราบทูลพระกรุณาว่า ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบเกล้าว่า ณ บ้านประจันตชนบท แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ เพลาพรุ่งนี้ชาวบ้านจะทำการฉลองพระอาราม มีมหรสพงานใหญ่ และอีกตอนหนึ่งว่า ครั้งรุ่งขึ้นจึงเสด็จพระชลพาหนะแวดล้อมไปด้วยข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวงไปตามลำดับชลมารค ถึงตำบลบ้านตลาดกรวดจึงหยุดประทับเรือพระที่นั่งเสด็จขึ้นบกในที่นั้น ปัจจุบันตำบลบ้านตลาดกรวดก็คือ ตำบลตลาดกรวด อำเภอเมืองอ่างทอง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนบ้านประจันตชนบท แขวงเมืองวิเศษชัยชาญนั้น ก็คือหมู่บ้านชนบทที่อยู่นอกพระนครหลวงนั่นเอง มีผู้ให้ความเห็นว่าวัดที่เป็นพระอารามซึ่งมีการมหรสพในสมัยนั้นอาจจะเป็นวัดโพธิ์ถนน หรือวัดถนนก็ได้ ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นวัดร้างอยู่ในตำบลตลาดกรวดนั่นเอง ในแผ่นดินของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ (พระเจ้าท้ายสระ) ปี พ.ศ. ๒๒๖๙ พระเจ้า ท้ายสระได้เสด็จไปควบคุมการชะลอพระพุทธไสยาสน์ ณ วัดป่าโมก ตำบลป่าโมก เพราะเหตุว่าน้ำกัดเซาะตลิ่งพังเข้าไปถึงพระวิหาร ถ้าไม่ย้ายที่แล้วอาจพังลงน้ำก็ได้ เมื่อชะลอพระพุทธไสยาสน์เสร็จแล้ว พระเจ้าท้ายสระได้ทรงสร้างพระวิหาร อุโบสถ พระเจดีย์ หอไตร โดยปฏิสังขรณ์พร้อมกับสร้างขึ้นใหม่ด้วย ในแผ่นดินของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ (พระเจ้าบรมโกศ) ก่อนที่พระเจ้าบรมโกศจะได้ครองราชสมบัตินั้น พระเจ้าท้ายสระได้มอบราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าอภัย พระเจ้าบรมโกศไม่เต็มพระทัยให้ราชสมบัติแก่เจ้าฟ้าอภัย เมื่อพระเจ้าท้ายสระสวรรคต พระเจ้าบรมโกศกับเจ้าฟ้าอภัยจึงรบกันกลางพระนคร เจ้าฟ้าอภัยแพ้จึงหนีไปกับเจ้าฟ้าปรเมศร์ โดยลงเรือพระที่นั่งไปทางป่าโมก ครั้นถึงบ้านเลน จึงเสด็จขึ้นเรือหนีไปทางบกจนถึงบ้านเอกราช ผลสุดท้ายถูกจับที่บ้านเอกราชและถูกประหารชีวิตทั้ง ๒ พระองค์ และขณะที่เสวยราชสมบัติอยู่ในเวลาต่อมายังได้เคยเสด็จไปฉลองวัดป่าโมก และขึ้นไปนมัสการพระพุทธไสยาสน์ พระนอนจักรสีห์ จังหวัดสิงห์บุรี และวัดขุนอินทประมูล ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทองด้วย ต่อมาราว พ.ศ. ๒๒๘๗ สมเด็จพระเจ้าบรมโกศได้มีพระราชดำรัสให้นิมนต์พระอาจารย์วัดพันทาบ แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ให้เข้านั่งสมาธิช่วยห้ามฝนตก สำหรับวัดพันทาบนั้นในปัจจุบันนี้ยังสำรวจไม่พบว่าอยู่ ณ ที่ใด ได้ดูจากรายชื่อวัดในหนังสือแถลงการณ์คณะสงฆ์เล่มที่ ๒๒ ภาคพิเศษก็ไม่มีชื่อวัดนี้ และดูจากบัญชีวัดร้างในจังหวัดอ่างทองจากหนังสือทำเนียบวัดในราชอาณาจักรไทยฉบับกรมการศาสนา พ.ศ. ๒๔๘๖ ก็ไม่มีชื่อวัดนี้เช่นกัน อาจจะตกสำรวจหรืออาจจะเปลี่ยนชื่อวัดเสียแล้วก็ได้ ในแผ่นดินพระที่นั่งสุริยามรินทร์ เจ้าฟ้าอุทุมพร หรือ กรมขุนพรพินิต หรือเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าขุนหลวงหาวัด ซึ่งเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ได้เสด็จออกทรงผนวช ณ วัดโพธิ์ทอง ตำบลคำหยาด และทรงสร้างตึกประทับร้อนเรียกว่า ตึกคำหยาดขึ้นด้วย ปัจจุบันวัดโพธิ์ทองและตึกคำหยาด ก็ยังมีอยู่ในท้องที่ตำบลคำหยาด อำเภอโพธิ์ทอง และในแผ่นดินของสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์นี้เอง กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พม่า ก่อนที่จะเสียกรุงแก่พม่านั้น พม่าได้ยกทัพมาตั้งค่าย ณ แขวงเมืองวิเศษชัยชาญด้วย ซ้ำพม่ายังเที่ยวค้นทรัพย์จับผู้คนของเมืองวิเศษชัยชาญอีก และตอนนั้นเองที่เกิดมีวีรบุรุษที่เป็นคนในท้องที่ของอ่างทองหลายคน เช่น นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง ทั้ง ๔ คนนี้เป็นชาวบ้านสีบัวทอง (ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่าบ้านสีบัวทองนั้นขึ้นกับแขวงเมืองสิงห์ แต่ปัจจุบันนี้ บ้านสีทองเป็นตำบลหนึ่งขึ้นกับอำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง) และมีนายดอก ชาวบ้านกลับ นายทองแก้ว ชาวบ้านโพธิทะเล ทั้งสองคนเป็นชาวเมืองวิเศษชัยชาญได้ร่วมกับชายฉกรรจ์กว่า ๔๐๐ คน ตั้งค่ายบางระจันขึ้นเพื่อต่อสู้พม่า และมีหัวหน้าอีก ๕ คน คือ ขุนสรรค์ พันเรือง นายทองเหม็น นายจันทร์หนวดเขี้ยว และนายทองแสงใหญ่ โดยมีพระอาจารย์ธรรมโชติมาอยู่เป็นกำลังใจและให้การคุ้มครองด้วย การต่อสู้กับพม่าในครั้งนั้นได้ต่อสู้กันถึง ๘ ครั้ง เนื่องจากกำลังของทางฝ่ายไทยน้อยกว่า ค่ายบางระจันจึงแตก และสนามรบที่ต่อสู้กันส่วนใหญ่ก็คือท้องที่อำเภอแสวงหาในปัจจุบันนั่นเอง วีรกรรมของคนไทย ครั้งนี้เป็นที่เลื่องลือและเป็นสิ่งเตือนใจคนรุ่นหลังอยู่เสมอว่าคนไทยนั้นกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เมื่อถึงคราวคับขันไม่เอาตัวรอด ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อชาติพลี ดังนั้นชื่อเสียงและเกียรติคุณของบุคคลดังกล่าวจึงได้ถูกจดจำและกล่าวขวัญกันอยู่เสมอ และคนรุ่นหลังได้สร้างอนุสาวรีย์ผู้กล้าหาญดังกล่าวเป็นสิ่งเตือนใจไว้ในค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี และอนุสาวรีย์นายดอก นายทองแก้ว วีรชนของเมืองวิเศษชัยชาญไว้ที่หน้าโรงเรียนวัดวิเศษชัยชาญ อำเภอวิเศษชัยชาญในปัจจุบัน สมัยกรุงธนบุรี เข้าใจว่าในตอนปลายสมัยกรุงธนบุรีนี้เอง ที่ได้มีการย้ายเมืองวิเศษชัยชาญมาตั้งใหม่ที่ตำบลบ้านแห ตรงวัดไชยสงคราม (วัดกะเชา) ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งอยู่ในท้องที่อำเภอเมืองในปัจจุบันนี้และการย้ายเมืองครั้งนั้นก็เปลี่ยนชื่อจากเมืองวิเศษชัยชาญมาตั้งชื่อใหม่ว่า เมืองอ่างทอง สาเหตุที่ย้ายเข้าใจว่าเมืองวิเศษชัยชาญเดิมนั้นตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน้อย ในขณะนั้นแม่น้ำน้อยคงตื้นเขิน ฤดูแล้งเรือเดินไม่ได้ จึงย้ายมาตั้งที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา อย่างไรก็ตาม หลักฐานในพระราชพงศาวดารก็ไม่ได้กล่าวไว้เลยว่า การย้ายเมืองวิเศษ ชัยชาญมาตั้งใหม่และเปลี่ยนชื่อใหม่นั้นเมื่อใดตอนไหน แต่ในสมัยกรุงธนบุรีนี้ก็มีข้อความเกี่ยวกับเมืองวิศษชัยชาญอยู่ตอนหนึ่งในราว พ.ศ. ๒๓๑๗ เมื่อคราวรบพม่าที่บางแก้ว เมืองราชบุรี คือ ก่อนสิ้น รัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ๘ ปี พระยาอินทรวิชิต เจ้าเมืองวิเศษชัยชาญ ได้คุมกองทัพไปช่วยพระยา ยมราชรบกับพม่าที่แขวงเมืองราชบุรี มีผู้ให้ความเห็นว่าการย้ายเมืองครั้งนั้นน่าจะเกี่ยวข้องด้วยในระหว่างระยะเวลาที่กล่าวนั้น และเพื่อความสะดวกสบายในการส่งกำลังรบจากพระนครขึ้นไปยังเมืองฝ่ายเหนือการใช้เรือลำเลียงทางแม่น้ำน้อยอาจขลุกขลักในฤดูแล้งความสะดวกสู้ทางแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้ จึงได้ย้ายเมืองเสีย แต่ถ้าหากไม่ใช่ย้ายตอนปลายสมัยกรุงธนบุรีก็คงจะย้ายตอนต้นสมัยกรุงรัตน-โกสินทร์ คือช่วงระยะเวลาจาก พ.ศ. ๒๓๑๗ (ซึ่งได้กล่าวถึงเมืองวิเศษชัยชาญเป็นครั้งสุดท้ายในพระราชพงศาวดาร) จนถึง พ.ศ. ๒๓๕๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะตอนนี้พระราชพงศาวดารได้กล่าวถึงการทำทำนบกั้นน้ำที่เมืองอ่างทอง (เป็นการกล่าวชื่อเมืองอ่างทองครั้งแรกในตอนนี้) และก็ยังมีผู้รู้สันนิษฐานกันอีกว่า การย้ายเมืองนั้นอาจจะย้ายคราวเดียวกับเมืองสิงห์บุรีก็ได้ สำหรับการตั้งชื่อใหม่ว่า เมืองอ่างทอง โดยเปลี่ยนชื่อจากเมืองวิเศษชัยชาญนั้น พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เตชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับชื่อเมือง ไว้ว่า ข้อที่จังหวัดนี้เดิมชื่อเมืองอ่างทองนั้น เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าน่าจะมาจากชื่อบางทองคำด้วยมีคำโคลงนิราศตอนนี้ว่า ลุถึงบางน้ำชื่อ คำทอง น้ำป่วนบึงเป็นฟอง กว่างกว้าง แลลาญรำจวนสยอง พึงพิศ เร่งรีบพายพลกว้าง แม่น้ำ ฟองสินธุ์ (นิราศนี้แต่งตั้งแต่ครั้งกรุงเก่าว่าด้วยตามเสด็จพระราชดำเนินเมืองนครสวรรค์) อนึ่ง ทางที่แยกแม่น้ำสายหลังศาลากลางนั้น ราษฎรก็ยังเรียกว่าปากแม่น้ำประคำทอง ส่วนในเข้าไปเรียกแม่น้ำสายทองจนทุกวันนี้ แต่ว่าน้ำตื้นเขินใช้การไม่ได้แล้ว อีกกระแสหนึ่ง ตามคำบอกเล่าของผู้รู้บางท่านเล่าว่า ที่ตั้งชื่อว่าเมืองอ่างทองนั้น เพราะเป็นเมืองอยู่ในที่ลุ่ม เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ สมัยโบราณถือกันว่าดินแดนใดก็ดี ถ้าอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารก็เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ ถือกันว่าเป็นเมืองเงินเมืองทอง ดังนั้นชื่อจังหวัดอ่างทองก็คืออ่างที่เต็มไปด้วยทองนั่นเอง นับว่ามีเหตุมีผลน่าฟังอยู่ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยนี้มีเรื่องเกี่ยวข้องกับเมืองอ่างทองหลายตอนด้วยกันกล่าวคือ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๖ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยายมราช เป็นแม่กองเกณฑ์คนเมืองนครราชสีมา ตลอดจนเมืองเวียงจันทน์ และหัวเมืองฝ่ายตะวันออกนอกเหนือนครราชสีมาออกไป เข้ามาระดมกันทำทำนบกั้นลำน้ำที่เมืองอ่างทองเพื่อจะให้สายน้ำไหลเข้าทางคลองบางแก้วซึ่งตื้นเขินขึ้น ให้กลับใช้เรือเดินได้ตลอดปีดังแต่ก่อน แต่ทำนบต้องพังทลายลงเพราะทานกำลังน้ำไม่ไหว เมื่อทำไม่สำเร็จจึงได้ย้ายตัวเมืองอีกครั้งหนึ่งจากตำบลบ้านแห ที่วัดไชยมงคล ไปตั้งที่ตำบลบางแก้ว ใต้ปากคลองบางแก้วฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงทุกวันนี้ คลองบางแก้วที่กล่าวถึงนี้เป็นคลองที่แยกจากแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่เหนือศาลากลางจังหวัดอ่างทอง ประมาณ ๑ กิโลเมตรเศษ กล่าวกันว่าเดิมเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อขุดคลองหน้าเมืองอ่างทองที่กลายเป็นแม่น้ำในขณะนี้ขึ้นในรัชกาลสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระไปบรรจบลำแม่น้ำน้อยทางทิศตะวันออกของวัดป่าโมก อำเภอป่าโมก เนื่องจากป้องกันน้ำเซาะองค์พระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมกเป็นมูลเดิมแล้ว แม่น้ำเจ้าพระยาตอนนี้ตื้นเขินกลายสภาพเป็นคลองบางแก้วไป เรื่องปิดลำน้ำและคลองบางแก้วนี้ มีปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๒ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ๑ พระองค์ท่านทรงอธิบายไว้ดังนี้ เนื้อความที่กล่าวในพระราชพงศาวดารตรงนี้ผู้ที่ไม่ได้ทราบเรื่องทางน้ำในประเทศนี้แต่โบราณมา แม้จะไปดูที่คลองบางแก้วในเวลานี้น่าจะประหลาดใจว่า ทำไมจึงเกณฑ์คนเข้ามาทำทำนบปิดลำแม่น้ำเจ้าพระยาในครั้งนั้น อันความจริงที่เป็นมาแต่เดิมนั้น ลำแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้ลงมาทางหน้าเมืองอ่างทองทุกวันนี้ ลำน้ำเข้าทางบางแก้ว มาทางคลองเมืองกรุงเก่าลงมาทางวัดพุทไธสวรรย์มาออกตรงป้อมเพชร แม่น้ำตอนใต้คลองบางแก้วเดิมเป็นคลองขุดมาต่อลำแม่น้ำน้อย แต่สายน้ำมาเดินเสียทางคลองขุดนี้ กัดแผ่นดินกว้างลึกออกไปเป็นลำแม่น้ำ ทางบางแก้วจึงตื้นเขินขึ้นทุกที จนใช้เรือไม่ได้ในฤดูแล้งด้วย เหตุนี้จึงไปทำนบปิดทางใหม่ซึ่งน้ำกัดประสงค์จะให้สายน้ำกลับไปเดินทางบางแก้วซึ่งเป็นลำแม่น้ำเดิม แต่ทำนบที่ทำเมื่อปีระกา เบญจศกนั้นทานน้ำไม่อยู่ ถึงฤดูน้ำเหนือหลากทำนบก็พังไม่ได้ประโยชน์ดังคาด สายน้ำลำแม่น้ำเจ้าพระยาจึงลงทางเมืองอ่างทองมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ เฉพาะที่ตำบลบางแก้วตอนเหนือศาลากลางจังหวัดขึ้นไปเล็กน้อยตรงที่ทำทำนบนั้นยังมีหมู่บ้าน ๆ หนึ่งเรียกว่า บ้านรอ จนทุกวันนี้ ผู้รู้กล่าวกันว่าน้ำเบญจสุทธคงคาในแม่น้ำสำคัญทั้ง ๕ ในราชอาณาจักรไทย ซึ่งแต่งเป็นน้ำสรงพระมรุธาภิเษกสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเป็นพระราชประเพณีมาแต่โบราณนั้น น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งตักที่ ตำบลบางแก้ว ก็เป็นน้ำเบญจสุทธคงคาในแม่น้ำสำคัญทั้ง ๕ ในราชอาณาจักรไทยด้วยแห่งหนึ่ง ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร ก็ได้สร้างพระโตขึ้นที่วัดไชโยวรวิหาร อำเภอไชโย และได้รับการปฏิสังขรณ์ในเวลาต่อมา พระที่สร้างนั้นมีชื่อเสียงมากเรียกว่า หลวงพ่อโต หรือพระมหาพุทธพิมพ์ ในรัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มีพระราชอัธยาศัยโปรดฯ ในการเสด็จประพาส และได้เคบเสด็จเมืองอ่างทองและท้องที่ของอ่างทองหลายแห่ง ดังนี้ พ.ศ. ๒๔๒๑ เมื่อคราวเสด็จประพาสมณฑลอยุธยา ได้เสด็จวัดไชโย อำเภอไชโย วัดขุน- อินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง และวัดป่าโมก อำเภอป่าโมก พ.ศ. ๒๔๔๔ คราวเสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ ได้เสด็จเมืองอ่างทอง ซึ่งมีข้อความตามพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า จนถึงพรหมแดนเมืองอ่างทอง พระวิเศษชัยชาญ ผู้ว่าราชการเมือง นำดอกไม้ธูปเทียนมาต้อนรับ เปลี่ยนลงเรือมาด้วยจนถึงพลับพลาเหนือเมืองเลี้ยวหนึ่งประมาณบ่าย ๔ โมง ได้ขึ้นไปยังโรงพิธีซึ่งมีพระสงฆ์ ข้าราชการ และราษฎรคอยพร้อมอยู่ในที่นั้น ผู้ว่าราชการเมืองอ่านคำต้อนรับฉันได้มอบพระแสงราชาวุธเสร็จแล้ว วันรุ่งขึ้นเสด็จถึงวัดไชโย และต่อไปยังเมืองสิงห์บุรี ตอนเสด็จกลับก็ผ่านเมืองอ่างทองได้มนัสการพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกด้วย พ.ศ. ๒๔๔๙ ในการเสด็จประพาสต้นครั้งที่ ๒ ได้นมัสการพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก รุ่งขึ้นเสด็จเมืองอ่างทอง และเสด็จต่อไปถึงวัดไชโยในวันเดียวกัน พ.ศ. ๒๔๕๑ คราวเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า ได้เสด็จไปอำเภอวิเศษชัยชาญ ตึกคำหยาดและวัดขุนอินทประมูลด้วย ในสมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ ได้เสด็จประพาสลำแม่น้ำน้อยและลำแม่น้ำใหญ่ คราวนี้พระองค์ผ่านปลายเขตอำเภอป่าโมก ประทับร้อนที่วัดท่าสุวรรณ (วัดวิเศษชัยชาญในปัจจุบัน) ซึ่งอยู่ใต้ที่ว่าการอำเภอวิเศษชัยชาญเดิมแล้วเสร็จขึ้นไปประทับแรมที่พลับพลาหน้าวัดเกาะ หน้าที่ว่าการอำเภอโพธิ์ทอง (เดิม) รุ่งขึ้น เสด็จประพาสบ้านโพธิ์ทอง แล้วเสด็จกลับประทับแรมพลับพลาหน้าวัดเกาะอีกจากนั้นได้เสด็จต่อไปยังสิงห์บุรีและชัยนาท เที่ยวกลับได้เสด็จล่องทางแม่น้ำเจ้าพระยาทรงประทับร้อนวัดไชโยแล้วเสด็จมาประทับแรมพลับพลาหน้าศาลากลางจังหวัดอ่างทอง สำหรับการจัดระเบียบการปกครองนั้น ในราว พ.ศ. ๒๔๓๙ ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการจัดระเบียบการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล เมืองอ่างทองได้ขึ้นอยู่ในปกครองของข้าหลวงเทศาภิบาลอยุธยา ซึ่งมีเมืองต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับมณฑลอยุธยาถึง ๘ เมืองด้วยกัน ขณะนั้นเมืองอ่างทองแบ่งการปกครองเป็นอำเภอมี ๔ อำเภอด้วยกันคือ อำเภอเมือง อำเภอไชโย อำเภอไผ่จำศีล และอำเภอโพธิ์ทอง (ส่วนอำเภอป่าโมกนั้น ยังไม่จัดเป็นอำเภอแต่รวมอยู่กับอำเภอเมืองอ่างทอง และอำเภอไผ่จำศีลนั้นก็คืออำเภอวิเศษชัยชาญนั่นเอง) ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ได้ตั้งอำเภอป่าโมกขึ้นโดยแยกไปจากอำเภอเมืองอ่างทอง และปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้เปลี่ยนชื่ออำเภอไผ่จำศีล เป็นอำเภอวิเศษชัยชาญ ตามชื่อแขวงเมืองวิเศษชัยชาญเดิม ต่อมา พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้มีการยุบเลิกมณฑล เมืองอ่างทองก็เปลี่ยนเป็นจังหวัดอ่างทอง ไม่ขึ้นกับมณฑลอยุธยาอีกต่อไป พ.ศ. ๒๔๙๑ ประกาศตั้งกิ่งอำเภอแสวงหา และยกฐานะเป็นอำเภอแสวงหา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ พ.ศ. ๒๕๐๕ ประกาศตั้งกิ่งอำเภอสามโก้ และยกฐานะเป็นอำเภอสามโก้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ดังนั้นจังหวัดอ่างทองจึงมีอำเภอ ๗ อำเภอตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน หวน พินธุพันธุ์ ได้เขียนไว้ในหนังสืออ่างทองของเราตอนหนึ่งว่า เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือว่า ชื่อหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และรวมไปถึงวัดในจังหวัดอ่างทองปัจจุบันนี้ หลายชื่อมีคำว่า ชัย หรือ ไชย อยู่ด้วย ก็แสดงว่าท้องที่นั้น ๆ จะต้องมีความหมายเกี่ยวกับชัยชนะจากการสงครามอย่างแน่นอนเพราะท้องที่ของอ่างทองเคยเป็นสนามรบในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีบ่อยครั้งที่สุด ผู้ที่ตั้งชื่อขึ้นมาจะต้องเอาความหมายจากชัยชนะอย่างไม่มีปัญหา ชื่อที่มีคำว่า ชัย หรือ ไชย อยู่ด้วยนั้น เป็นอำเภออยู่ ๒ ชื่อ คือ อำเภอไชโย และอำเภอวิเศษชัยชาญ เป็นตำบล ๓ ชื่อ คือ ตำบลไชโย ตำบลไชยภูมิ และตำบลชัยฤทธิ์ ซึ่งทั้ง ๓ ตำบลนี้อยู่ในท้องที่อำเภอไชโยทั้งสิ้น และยังมีวัดอยู่อีก ๓ วัด คือ วัดไชยสงคราม วัดไชยมงคล วัดสนามชัย ทั้ง ๓ วัดนี้อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งขึ้นกับอำเภอเมืองอ่างทอง นอกจากนี้ยังมีตำบลหนึ่งชื่อตำบลตรีณรงค์ ขึ้นกับอำเภอไชโยมีความหมายเกี่ยวกับสงครามเช่นกัน หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 14:53:24 อ่างทอง ๒
นอกจากนี้แล้ว ชื่อตำบล หมู่บ้าน ในจังหวัดอ่างทอง ยังไปปรากฏอยู่ในหนังสือวรรณคดีมีชื่อของเมืองไทยเล่มหนึ่ง นั้นคือ เสภาขุนช้างขุนแผน ซึ่งแต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ และรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในตอนที่ ๔๓ ของบทเสภาซึ่งตอนท้ายสุดกล่าวถึงจระเข้เถรกวาด ตามตำนานเสภาว่าเป็นบทแต่งแทรกในรัชกาลที่ ๓ ผู้แต่งคือครูแจ้งได้แต่งเกี่ยวกับเรื่องเถรกวาดคิดจะแก้แค้นพลายชุมพล ที่กรุงศรีอยุธยา จึงได้แปลงร่างเป็นแร้งบินจากเชียงใหม่มาถึงอ่างทองแล้วแปลงร่างเป็นจระเข้เที่ยวจับคนตามตำบลหมู่บ้านต่าง ๆ ในท้องที่ไชโย อ่างทอง และป่าโมก ดังบทเสภา ดังนี้ โผลงตรงลงเหนือเมืองอ่างทอง พอเยื้องคลองบางแมวเป็นแนวป่า แร้งหายกลายรูปเป็นหลวงตา ลงนั่งนิ่งภาวนาร้อยแปดที เสกไม้เท้าต่อหางที่กลางตัว แล้วเอาบาตรสวมหัวเข้าเร็วรี่ เผ่นโผนโจนผางกลางนที ก็กลายเป็นกุมภีล์มหึมา เขี้ยวขาวยาวออกนอกปากโง้ง ฟาดโผงร้องเพียงเสียงฟ้าผ่า โตใหญ่ตัวยาวสักเก้าวา ขึ้นวิ่งร่าหลังน้ำด้วยลำพอง ท่านผู้ฟังถ้วนหน้าอย่าสงสัย เดิมจะได้ตั้งย่านเป็นบ้านช่อง เพราะเถรกวาดแปลงกายร้ายคะนอง จึงเรียกบ้านจระเข้ร้องแต่นั้นมา เดี๋ยวนี้มีหลักแหล่งแขวงอ่างทอง บ้านช่องปึกแผ่นยังแน่นหนา ตั้งนามตามนิทานเพราะขรัวตา จึงได้ปรากฏตำบลจนทุกวัน ในปัจจุบันบ้านจระเข้ร้องเป็นตำบลจรเข้ร้อง ขึ้นกับอำเภอไชโยและเป็นตำบลที่ตั้งที่ว่าการอำเภอไชโยด้วย อีกตอนหนึ่งของเสภามีว่า พ้นบ้านตลาดกรวดรวดเร็วมา ควายช้างขวางหน้าเข้าไม่ได้ ฟาดฟันกัดตายก่ายกันไป เลยไล่ล่องน้ำร่ำลงมา ครู่หนึ่งถึงหน้าเมืองอ่างทอง โบกหางครางร้องคะนองร่า พอชาวบ้านลงตะพานมาล้างปลา เข้าคาบคร่าลงน้ำแล้วดำทวน บ้านตลาดกรวดนั้นปัจจุบันเป็นตำบลตลาดกรวดขึ้นอยู่กับอำเภอเมืองอ่างทองอีกตอนหนึ่งของเสภากล่าวว่า ถึงบ้านแหแร่ร้องก้องกระหึม รางควานพึมพูดกันสนั่นอื้อ ครั้นมาถึงหัวย่านบ้านสะตือ ก็มุดน้ำดำทื่ออยู่ใต้น้ำ ในปัจจุบันนี้ บ้านแหเป็นตำบลบ้านแห อยู่ในท้องที่อำเภอเมืองอ่างทอง และบ้านสะตือเป็นหมู่บ้านในอำเภอเมืองอ่างทอง เสภาตอนต่อมาก็กล่าวถึงท้องที่ของอ่างทองอีก เช่น เที่ยวท่องล่องโร่มาโพธิสระ ปะหลวงตาบิณฑบาตฟาดดังผึง ขบกัดสะบัดเถรขึ้นเลนตึง บนตลิ่งวิ่งอึงทั้งหญิงชาย เรือแพใหญ่น้อยถอยเข้าคลอง ไม่อาจล่องลอยน้ำระส่ำระสาย พ่วงกันพันพัวด้วยกลัวตาย จระเข้ร้ายถึงย่านบ้านระกำ ปัจจุบันบ้านโพธิสระคือตำบลโพสะ อยู่ในเขตอำเภอเมืองอ่างทอง ส่วนบ้านระกำเป็นหมู่บ้านอยู่ในอำเภอป่าโมก อีกตอนหนึ่งของเสภากล่าวว่า มาถึงบางเทวาท้ายป่าโมก จระเข้โบกหางหันเข้าแฝงฝั่ง ที่นั่นน้ำลึกนักตระพักพัง เข้าเฟือยฟังแยบคายอยู่ท้ายวัด วัดที่กล่าวถึงเข้าใจว่าจะเป็นวัดป่าโมก ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา หน้าวัดน้ำลึกและตลิ่งพังอยู่เสมอ เพราะน้ำไหลพุ่งเข้าหาตลิ่งอยู่ตลอดเวลา สันนิษฐานว่าผู้แต่งเสภาขุนช้างขุนแผนตอนนี้คงจะคุ้นเคยกับสภาพเมืองอ่างทอง อาจจะเป็นคนแถบนี้หรือเคยเดินทางผ่านบ่อย ๆ ก็เป็นได้ ได้กล่าวแล้วว่า เนื่องจากอ่างทองเป็นเมืองที่อยู่ใกล้พระนครหลวงในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงมีเรื่องราวที่เกี่ยวพันอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการศึกษาสงครามป้องกันพระนคร พระเจ้าแผ่นดินของไทยหลายพระองค์ได้เคยเสด็จอ่างทองเพื่อทรงประกอบพระราชภารกิจต่าง ๆ แม้ว่าปัจจุบันจะได้ย้ายราชธานีไปอยู่ที่กรุงเทพมหานครแล้วก็ตาม จังหวัดอ่างทองก็ยังถือว่าเป็นจังหวัดที่อยู่ไกลจากเมืองหลวงนัก พระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ในราชวงศ์จักรีก็ได้เคยเสด็จอ่างทองเช่นกัน โดยเฉพาะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์ได้เสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตจังหวัดอ่างทอง และเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพระราชภารกิจ ทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ในวาระต่าง ๆ บ่อยครั้ง อาทิ เสด็จพระราชดำเนินมาถวายผ้าพระกฐินเป็นการส่วนพระองค์ที่วัดศีลขันธาราม อำเภอโพธิ์ทอง วัดเขียน อำเภอวิเศษชัยชาญ วัดขุนอินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง เสด็จนมัสการหลวงพ่อโต วัดไชโยวรวิหาร อำเภอไชโย เสด็จเยี่ยมสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าวัดสระแก้ว อำเภอป่าโมก ฯลฯ เป็นเหตุให้ข้าราชการ พ่อค้า ประชา-ชนในจังหวัดอ่างทองปลาบปลื้มใจและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล ระบบการปกครองส่วนภูมิภาคของเมืองไทยก่อนหน้าที่จะวิวัฒนาการในรูปของจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคมาหลายยุคหลายสมัยหลายขั้นตอนด้วยกัน นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยซึ่งจัดระเบียบการปกครองหัวเมืองทั้งหลายออกเป็นเมืองราชธานี เมืองลูกหลวง (หรือเมืองหน้าด่านรอบราชธานีทั้ง ๔ ด้าน) เมืองพระยามหานคร (หัวเมืองชั้นนอก) และเมืองประเทศราช โดยเมืองแต่ละประเภทจะมีลักษณะความสัมพันธ์และระดับความใกล้ชิดกับเมืองแม่หรือราชธานีมากน้อยลดหลั่นกันไปตามระยะทางจากเมืองหลวง ตลอดจนความคล้ายคลึงทางภาษาและวัฒนธรรมอย่างในกรณีของเมืองประเทศราชเป็นต้น ครั้นถึงต้นสมัยกรุงศรี อยุธยาเป็นราชธานีในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ก็ยังมิได้ทรงเปลี่ยนแปลงระเบียบการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ เท่าใดนัก การปกครองอาณาเขตก็ใช้ทำนองเดียวกันกับครั้งสมัยกรุงสุโขทัย โดยแบ่งเป็นราชธานีมีเมืองหน้าด่านชั้นในสำหรับป้องกันราชธานีทั้ง ๔ ทิศ เรียกว่า เมืองป้อมปราการ นอกจากนั้นก็เป็นหัวเมืองชั้นใน เมืองพระยามหานคร และเมืองประเทศราช เช่นเดียวกับสมัยกรุงสุโขทัย การจัดระเบียบการ ปกครองหัวเมืองของกรุงศรีอยุธยาเป็นดังที่กล่าวมานี้จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๑๙๙๑ ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถขึ้นครองราชย์ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขปรับปรุงหลายประการด้วยกัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองที่สำคัญในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ คือ การแยกการทหาร และการพลเรือนออกจากกัน ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า ทรงตั้งตำแหน่งเสนาบดีเอาทหารเป็นกลาโหม เอาพลเรือนเป็นสมุหนายก งานจตุสดมภ์ คือ เวียง วัง คลัง นา ซึ่งถือว่าเป็นงานฝ่ายพลเรือน มีสมุหนายกเป็นผู้รับผิดชอบเหนือจตุสดมภ์อีกชั้นหนึ่ง เทียบได้กับอัครมหาเสนาบดี ส่วนการงานที่เกี่ยวกับการทหารหรือการป้องกันประเทศ เช่น กรมม้า กรมช้าง และกรมทหารราบก็มีสมุหกลาโหมเป็นผู้รับผิดชอบ การจัดระเบียบการปกครองหัวเมืองในสมัยนี้ มีลักษณะของการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง คือ ราชธานีเพิ่มมากขึ้น โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ทรงวางหลักการปกครองหัวเมืองให้เป็นแบบเดียวกันกับราชธานี คือ ทรงให้ใช้วิธีการปกครองฝ่ายพลเรือนที่เรียกว่า จตุสดมภ์ ตามหัวเมืองด้วย ส่วนฝ่ายทหารนั้น มีอำนาจครอบคลุมกิจการทหารทั่วราชอาณาจักรอยู่แล้ว ในด้านการปรับปรุงหัวเมืองที่อยู่รายรอบ อันได้แก่ บรรดาหัวเมืองชั้นในแต่เดิม นอกจากนั้นไปก็เป็นเมืองพระยามหานคร ซึ่งกำหนดเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี โดยลำดับกันตามความสำคัญของเมือง ผู้ ปกครองเมืองจะได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ตามแต่จะทรงเห็นสมควร ส่วนเมืองประเทศราชนั้นยังคงให้เจ้านายชนชาตินั้นปกครองตามจารีตประเพณี กรุงศรีอยุธยามิได้ควบคุมการบริหารโดยตรง เป็นแต่ว่าต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ และถ้าผู้ใดจะเป็นเจ้าเมืองจะต้องทูลขอให้พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงแต่งตั้ง การจัดระเบียบการปกครองราชธานีและหัวเมืองในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนี้ เป็นหลักในการปกครองประเทศสืบต่อมาตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยา มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งได้ทรงแบ่งหัวเมืองออกเป็น ๒ ภาค คือ หัวเมืองทางภาคเหนือ มอบให้สมุหนายกว่าการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ส่วนหัวเมืองทางภาคใต้มอบให้สมุหกลา-โหมดูแลทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนเช่นกัน เว้นแต่หัวเมืองที่อยู่ตามปากอ่าวมอบให้อยู่ในหน้าที่ของกรมคลัง เพราะเกี่ยวกับการค้าขายต่างประเทศ วิธีจัดการปกครองส่วนภูมิภาคปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ใช้กันต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี (พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕) และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พ.ศ. ๒๓๒๕ จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในส่วนที่สำคัญแต่อย่างใด เว้นแต่ในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้ทรงแบ่งหัวเมืองเสียให้เป็น ๓ ประเภท คือ หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นกลาง และหัวเมืองชั้นนอก ตามระยะทางใกล้ไกลจากกรุงเทพฯ หัวเมืองแต่ละประเภทในแต่ละภาคยังคงอยู่ในความควบคุมดูแลของสมุหนายก สมุหกลาโหม และเสนาบดีคลังเช่นเดิม การปฏิรูปการจัดระเบียบการปกครองในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระลจอมเกล้าฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นี้ ประเทศไทยมีการติดต่อกับชาวต่างประเทศมากยิ่งขึ้น วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวต่างประเทศทางตะวันตกกำลังหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย และอิทธิพลในการแสวงหาเมืองขึ้นของชาติตะวันตกก็กำลังแพร่มาถึงชาวเอเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งได้ขยายอำนาจคุกคามเอกราชและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยอย่างรุนแรง เหตุการณ์ในระยะนั้นเป็นพลังผลักดันให้เกิดความคิดที่จะแก้ไขปรับปรุงการปกครองประเทศเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารงานหัวเมืองและสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติให้เพียงพอที่จะต้านทานการคุกคามของมหาอำนาจชาติตะวันตกได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงทรงเริ่มปรับปรุงระบบการปกครองประเทศให้ทันสมัย พระองค์ทรงดำริว่า จะนิ่งอยู่โดดเดี่ยวเช่นที่เป็นมาแล้วแต่โบราณหาได้ไม่เพราะเป็นสมัยของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงเข้ายุคใหม่ จะต้องเผชิญกับชาวต่างประเทศที่เขาเจริญแล้วที่อาณานิคมอยู่ใกล้ชิดติดกับประเทศไทย และเขากำลังแสดงและจัดการปกครองอาณานิคมให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น ฉะนั้นประเทศไทยจะต้องเร่งรีบลงมือจัดการทะนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญทัดเทียมกับกาลสมัย จึงจะรักษาเอกราชไว้ได้ โดยเหตุนี้ต่อมาจึงมีพระบรมราชโองการยกเลิกระเบียบการปกครองแต่เดิม และประกาศตั้งกระทรวงแบบใหม่ขึ้น ๑๒ กระทรวง เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ โดยจัดสรรอำนาจและหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้เป็นสัดส่วน อาทิเช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตราธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม เป็นต้น บรรดาหัวเมืองที่แบ่งเป็นฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ ก็ให้อยู่ในบังคับบัญชาตราพระราชสีห์ของกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด ตามประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ร.ศ. ๑๑๓ (พ.ศ. ๒๔๓๗) เมื่องานปกครองหัวเมืองที่เคยแยกไปอยู่ในอำนาจของกระทรวงกลาโหมก็ดี กระทรวงการต่างประเทศหรือกรมท่าก็ดี ไปขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทยเพียงกระทรวงเดียว กระทรวงมหาดไทยจึงมีฐานะเป็นศูนย์กลางบัญชีการงานปฏิรูปการปกครองให้ทันสมัยไปโดยปริยาย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยครั้งแรกที่เสด็จไปตรวจราชการหัวเมืองได้ทรงพบข้อขัดข้องหลายประการในการปกครองหัวเมือง ประการแรก คือ มีหัวเมืองมากเกินไป แม้แต่หัวเมืองชั้นในก็หลายสิบเมือง ทางคมนาคมกับกรุงเทพฯ จะไปถึงก็ล่าช้า เช่นจะไปเมืองพิษณุโลกต้องเดินทางไปกว่า ๑๐ วันจึงจะถึง หัวเมืองก็อยู่หลายทิศทาง จะจัดการอันใดก็พ้นวิสัยที่เสนาบดีจะออกไปจัดหรือตรวจการได้เอง ได้แต่มีห้องตราสั่งข้อบังคับและแบบแผนส่งออกไปในแผ่นกระดาษให้เจ้าเมืองจัดการ เจ้าเมืองก็มีหลายสิบคนด้วยกันจะเข้าใจคำสั่งต่างกันอย่างไร และใครจะทำการซึ่งสั่งไปนั้นอย่างไรก็ยากที่จะรู้ ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ กับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงทรงดำริจัดตั้งระเบียบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้น การจัดระเบียบการปกครองหัวเมืองแบบมณฑลเทศาภิบาลนี้เป็นการจัดตั้งหน่วย ราชบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยอย่างแท้จริง เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงขอนำคำจำกัดความของ เทศาภิบาล ซึ่งพระยาราชเสนา (ศิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย มากล่าวไว้ ณ ที่นี้ การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลซึ่งประจำอยู่แต่เฉพาะในราชธานีนั้น ออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาคของประเทศ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากรัฐบาล ซึ่งอยู่ในราชธานีให้ได้ใกล้ชิดกับอาณาประชากรเพื่อให้เขาได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและเกิดความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติฯ จึงแบ่งเขตการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นชั้นอันดับกันดังนี้คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัด รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวง ทบวง กรม ในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญาความประพฤติดีให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน " การปกครองหัวเมืองในสมัยก่อนใช้ระบบเทศาภิบาลนั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมือง หรือประเทศราช ยิ่งไกลจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสระมากขึ้นเท่านั้น หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัว-เมืองใกล้ ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นที่ไกลออกไปมักจะมีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมือง และมีอำนาจอย่างกว้างขวาง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงทรงพยายามที่จะจัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยจัดตั้งระบบเทศาภิบาลซึ่งเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดการปกครองกันเองเช่นแต่ก่อน อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางและริดรอนอำนาจเจ้าเมืองตามระบบเดิมลงอย่างสิ้นเชิง และเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมหัว-เมืองให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นตลอดจนเป็นการแบ่งเบาภาระหน้าที่ของเสนาบดี จึงได้รวมหัวเมืองเข้าเป็นแบบมณฑล ๆ ละ ๕ เมืองหรือ ๖ เมือง ในขนาดท้องที่ที่ผู้บังคับบัญชาการมณฑลอาจจะจัดการและตรวจตราได้เองตลอดอาณาเขตเรียกว่า มณฑลเทศาภิบาล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชา หัวเมืองทั้งปวงในเขตมณฑลของตน การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลนี้รัฐบาลมิได้ดำเนินการในทีเดียวทั้งประเทศ แต่ได้จัดตั้งเป็นระยะ ๆ ไป โดยเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ภายหลังการปฏิรูปการบริหารส่วนกลาง ทั้งนี้ถือลำน้ำซึ่งเป็นทางคมนาคมหลักในสมัยนั้นเป็นเครื่องกำหนดเขตมณฑล มณฑลเทศาภิบาลที่จัดตั้งขึ้นในคราวแรกมี ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีน และมณฑลนครราชสีมา ต่อมาเมื่อมีการโอนหัวเมือง ทั้งหมดซึ่งเคยอยู่ในกระทรวงกลาโหมมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองฝ่ายใต้จัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง จากนั้นมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ถึง ๒๔๕๘ ก็ได้มีการจัดตั้งยุบเลิกและเปลี่ยนเขตการปกครองมณฑลเทศาภิบาลอยู่ตลอดเวลาตามความเหมาะสม จังหวัดอ่างทองนั้นถูกรวมอยู่ในมณฑลเทศาภิบาลกรุงเก่าซึ่งจัดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ โดยรวมกรุงศรีอยุธยา เมืองอ่างทอง ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี พรหมบุรี และอินทบุรีเข้าด้วยกัน โดยมีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์ (พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ ต้นราชสกุล วัฒนวงศ์) ทรงเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลคนแรกของมณฑลนี้ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยาและยุบเลิกไปภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ การจัดรูปการปกครองของมณฑลเทศาภิบาล ดังที่กล่าวมาแล้วว่ามณฑลเทศาภิบาลมีลักษณะเป็นหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีอาณาเขตรวมหลาย ๆ เมืองเข้าด้วยกันมากบ้างน้อยบ้างตามความเหมาะสม ในมณฑลเทศาภิบาลแต่ละมณฑลมีข้าราชการคณะหนึ่งประกอบด้วยข้าหลวงเทศาภิบาล ข้าหลวงมหาดไทย ข้าหลวงยุติธรรม ข้าหลวงคลัง เลขานุการข้าหลวงเทศาภิบาล และแพทย์ประจำมณฑล ข้าราชการบริหารมณฑลจำนวนนี้เรียกว่า กองมณฑล เจ้าหน้าที่ ๖ ตำแหน่งดังกล่าวนี้เป็นเจ้าหน้าที่ที่กระทรวงมหาดไทยได้จัดให้มีขึ้นสำหรับบริหารงานมณฑล ๆ ละ ๑ กอง เป็นข้าราชการที่สังกัดกระทรวงมหาดไทยทั้งสิ้น กระทรวงคลังข้าราชการในตำแหน่งยุติธรรมและการคลังของมณฑล จึงเปลี่ยนไปสังกัดกระทรวง ทบวง กรมตามสายงานของตน ข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้รับผิดชอบปกครองมณฑลมีอำนาจสูงสุดในมณฑลเหนือ ข้าราชการพนักงานทั้งปวง มีฐานะเป็นข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ทรงมอบความไว้วางพระราชหฤทัยโดยคัดเลือกจากขุนนางผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ออกไปปฏิบัติราชการมณฑลละ ๑ คน หน่วยปกครองมณฑลเทศาภิบาลนี้ทำหน้าที่เสมือนสื่อกลางเชื่อมโยงรัฐบาลกลางกับหน่วยราชการส่วนภูมิภาคหน่วยอื่น ๆ เข้าด้วยกัน ข้าหลวงมณฑลเทศาภิบาลมีอำนาจที่ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งการได้เอง ยกเว้นเรื่องสำคัญซึ่งจะต้องขอความเห็นมายังกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นอันมาก มณฑลเทศาภิบาลนับว่าเป็นวิธีการ ปกครองที่ทำให้รัฐบาลสามารถดึงเอาหัวเมืองต่าง ๆ เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ อย่างแท้จริงผู้ว่าราชการเมืองของแต่ละเมืองในมณฑลต้องอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของข้าหลวงเทศาภิบาลอีกชั้นหนึ่ง โดยมิได้ขึ้นตรงต่อเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยโดยตรง ต่อมากระทรวงมหาดไทยยังได้เพิ่มตำแหน่งข้าราชการมณฑลขึ้นอีก เพื่อแบ่งเบาภาระข้าหลวงเทศาภิบาลเช่น ตำแหน่งปลัดมณฑล มีอำนาจหน้าที่รองจากข้าหลวงเทศาภิบาล เสมียนตรามณฑลเป็นเจ้าพนักงานการเงินรักษาพัสดุและดูแลรักษาการปฏิบัติราชการมณฑล และมหาดเล็กรายงานมีหน้าที่ออกตรวจราชการตามเมืองและอำเภอต่าง ๆ ตลอดมณฑล เป็นต้น การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน วิวัฒนาการของการจัดระเบียบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในส่วนปลีกย่อยเป็นครั้งคราวอาทิเช่น ข้าหลวงเทศาภิบาล บางครั้งก็เรียกว่า สมุห-เทศาภิบาล มณฑลบางแห่งก็ถูกยุบเลิก บางแห่งก็ถูกจัดตั้งเป็นเขตการปกครองพิเศษ เช่น มณฑลกรุงเทพฯ มณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ และมณฑลนครศรีธรรมราช ซึ่งรวมบริเวณ ๗ หัวเมืองอิสลามปักษ์ใต้เข้าไว้ ฯลฯ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ก็ได้มีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับกาลสมัยและความจำเป็นในทางปกครองหลายประการด้วยกัน อาทิเช่น การประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ แทนพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ และมีการรวมมณฑลหลายมณฑลเข้าเป็นภาค และมีอุปราชเป็นหัวเมืองปกครองภาค ในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ทำให้ภาคเป็นหน่วยการ ปกครองใหญ่เหนือมณฑลขึ้นไปอีก ตลอดจนให้เปลี่ยนชื่อที่ใช้เรียกหน่วยการปกครองระดับต่ำจากมณฑล จาก เมือง เป็น "จังหวัด โดยประกาศของกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะราษฎร์ ประกอบด้วย ทหาร ตำรวจ และพลเรือนทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยหรือสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ จากผลของการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบการปกครองหรือการบริหารราชการส่วนภูมิภาคใหม่ โดยมีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งแบ่งหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคเป็น จังหวัด และอำเภอ โดยมิได้บัญญัติให้มีมณฑล ตามนัยดังกล่าวจึงเท่ากับเป็นการยกเลิกมณฑลไปโดยปริยาย แต่ได้จัดแบ่ง ภาค ขึ้นใหม่และให้มีข้าหลวงตรวจการสำหรับทำหน้าที่ตรวจ ควบคุม แนะนำ ชี้แจง ข้อราชการแก่หน่วยราชการส่วนภูมิภาคเท่านั้น โดยมิได้มีหน้าที่บริหารราชการทั่วไปเหมือนอย่างมณฑลเทศาภิบาล ดังนั้นจังหวัดกับส่วนกลางจึงสามารถติดต่อกันได้โดยตรงมิต้องผ่านภาคแต่อย่างใด ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลก็ได้ประกาศพระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๕ ยกเลิกพระราชบัญญัติเดิม ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เสีย และจัดระเบียบการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นภาค จังหวัดและอำเภอ โดยให้มีผู้ว่าราชการภาคคนหนึ่งเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาราชการบริหารส่วนภูมิภาคภายในเขต มีอำนาจหน้าที่คล้ายคลึงสมุหเทศาภิบาลในสมัยก่อน ครั้นต่อมาก็ได้มีการยกเลิกภาคอีกโดยสิ้นเชิงตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๙ เหลือแต่เพียงหน่วยการปกครองจังหวัด และอำเภอ ตามเดิม พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๕ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้ใช้มาอีกเป็นเวลานาน จนกระทั่งถูกยกเลิกโดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งให้เริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๑๕๑๕ เป็นต้นไป ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ จึงเป็นกฎหมายในการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคมาจนถึงทุกวันนี้ พิจารณาตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ประกอบกับพระราชบัญญัติลักษณะ ปกครองท้องที่ พ.ศ. ๑๔๕๗ แล้ว หน่วยการบริหารราชการส่วนภูมิภาคของไทยจะแบ่งออกได้ ดังนี้ ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ (และกิ่งอำเภอ) ๓. ตำบล ๔. หมู่บ้าน จังหวัดเป็นหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุด แต่ละจังหวัดแบ่งเขตการ ปกครองหรือการบริหารราชการออกเป็นอำเภอ อำเภอแบ่งออกเป็นกิ่งอำเภอถ้ามีความจำเป็นในการ ปกครองแต่ตามปกติอำเภอแบ่งออกเป็นตำบลเลยทีเดียว และตำบลแบ่งออกเป็นหมู่บ้านซึ่งเป็นหน่วยการปกครองที่เล็กที่สุดในราชการบริหารส่วนภูมิภาค จังหวัดตั้งโดยพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายที่ต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ในการบริหารราชการของจังหวัดหนึ่ง ๆ นั้น มีผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทยคนหนึ่งเป็นผู้รับนโยบายและคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องที่และประชาชน และเป็นหัวหน้าบังคับบัญชาบรรดา ข้าราชการฝ่ายบริหารส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัด และรับผิดชอบในราชการจังหวัดและอำเภอ ผู้ว่าราช-การจังหวัดมีรองผู้ว่าราชการจังหวัด และปลัดจังหวัดเป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการ และมีคณะกรมการจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดจากกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น อำเภอจัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกา ในอำเภอหนึ่งให้มีนายอำเภอเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชา มีปลัดอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ส่งมาประจำ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือนายอำเภอในการปฏิบัติราชการแผ่นดิน ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ มิได้กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งประจำอยู่ในอำเภอเป็นกรมการอำเภอเหมือนในระดับจังหวัด ดังนั้นนายอำเภอจึงมีอิสระในการที่จะใช้ดุลพินิจตัดสินปัญหาเรื่องราวต่าง ๆ แต่ขณะเดียวกันก็จะต้องรับผิดชอบในผลดีผลเสียอันเกิดจาการกระทำของตนเป็นเงาตามตัวด้วย จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเดิมเป็นเมืองอ่างทองอยู่ในมณฑลเทศาภิบาลกรุงเก่า และต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยา ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นทางการจากเมืองอ่างทองมาเป็นจังหวัดอ่างทอง โดยประกาศกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ปัจจุบันนี้แบ่งเขตการปกครองเป็น ๗ อำเภอด้วยกัน คือ อำเภอเมืองอ่างทอง อำเภอวิเศษชัยชาญ อำเภอป่าโมก อำเภอโพธิ์ทอง อำเภอไชโย อำเภอสามโก้ และอำเภอแสวงหา ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดอ่างทอง. สระบุรี : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๔๒๗. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 14:54:48 พระนครศรีอยุธยา
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ซึ่งเป็นแหล่ง ชุมชนที่มีคนอยู่อาศัยมาหลายยุคหลายสมัย และเคยเป็นที่ตั้งเมืองหลวงของราชอาณาจักรกรุง- ศรีอยุธยานานถึง ๔๑๗ ปี (ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๑๐) ก่อนหน้านั้นดินแดนนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรทวารวดี และอาณาจักรโบราณที่นักวิชาการส่วนมากเรียกว่าอโยธยาตามลำดับ ถึงแม้ว่าเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ดินแดนนี้ก็ยังมีประชาชนอาศัยอยู่เรื่อยมา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ดังน้น ขอกล่าวประวัติความเป็นมาเป็น ๔ ระยะคือ ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา บริเวณนี้อยู่ในอาณาจักรทวารวดีระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖ ต่อมาในพุทธ-ศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของขอม โดยมีเมืองละโว้ (ลพบุรี) เป็นเมืองหน้าด่าน ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘ บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก็เป็นอิสระจากอิทธิพลของขอม ในช่วงนี้ได้เกิดอาณา-จักรใหม่ๆ อีกหลายรัฐ เช่น สุโขทัย ลานนา และล้านช้าง และก็เกิดรัฐที่พัฒนาจากอาณาจักรเดิม เช่น อโยธยา๑ สุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) และนครศรีธรรมราช เป็นต้น หากจะกำหนดเรียกดินแดนบริเวณภาคกลางของประเทศไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ ซึ่งตกอยู่ใต้อิทธิพลของขอมว่า แค้วนละโว้ แล้ว ก็อาจกล่าวตามข้อเสนอของนักวิชาการกลุ่มหนึ่งว่า แคว้นละโว้ (อโยธยา) พัฒนาขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองของแคว้นละโว้ (ทวารวดี)๒ เดิมดินแดนบริเวณนี้ มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ซึ่งพงศาวดารเหนือกล่าวไว้ว่าในปี พ.ศ. ๑๕๘๗ พระเจ้าสายน้ำผึ้งได้พระราชทานพระเพลิงศพพระนางสร้อยดอกหมาก พระมเหสีซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงจีน ที่บางกะจะ๓ และทรงสถาปนา บริเวณนั้นเป็นพระอาราม ให้ชื่อว่า วัดพระเจ้านางเชิง๔ นักวิชาการกลุ่มนี้ได้เสนออีกว่า ในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๘ เมืองอโยธยาคงเป็นเมืองขึ้นของแคว้นละโว้ จนกระทั่งพุทธศตวรรษที่ ๑๘ จึงมีการย้ายเมืองสำคัญมาอยู่แถวปากน้ำแม่เบี้ย ในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา๕ และก็คงมีบทบาทแทนที่เมืองละโว้ (ลพบุรี) อย่างไรก็ตามเมืองละโว้ (ลพบุรี) ก็ยังคงครองความเป็นศูนย์กลางทางอารยธรรมอยู่จนกระทั่งต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ดังจะเห็นได้จากการที่มีเจ้านายไทย ๓ พระองค์ คือ พ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนมังราย และพ่อขุนงำเมือง ขณะยังทรงพระเยาว์อยู่ได้เสด็จมาศึกษาเล่าเรียน ที่เขาสมอคอน๖ ในเมืองละโว้ (ลพบุรี) การย้ายเมืองหลวงจากเมืองละโว้มาอยู่ที่เมืองอโยธยา คงเป็นด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญเพราะในขณะนั้นการค้าต่างประเทศโดยเฉพาะกับจีนกำลังมีบทบาทสำคัญ นโยบายของจีนในขณะนั้นส่งเสริมให้คนจีนออกมาค้าขาย ดังนั้นตำแหน่งที่ตั้งของเมืองอโยธยาซึ่งอยู่ใกล้ทางออกทะเล และยังเป็นชุมทางของแม่น้ำใหญ่ ๓ สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำป่าสัก จึงสามารถควบคุมเส้นทางคมนาคมในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมด จากเหตุผลดังกล่าว เมืองอโยธยาจึงมีที่ตั้งเหมาะกว่าเมืองละโว้ (ลพบุรี) เมืองอโยธยาอยู่ที่ไหน ในเรื่องนี้พระเจ้าโบราณราชธานินทร์ ข้าหลวงมหาดไทยและเทศาภิบาล มณฑลอยุธยา ได้กล่าวไว้ในรายงานผลการขุดแต่งพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยาว่า มีเมืองเก่าอยู่ทางฟากตะวันออกของเกาะเมือง แถวที่วัดสมณโกษ วัดกุฎีดาวและวัดศรีอโยธยา๗ ต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้กล่าวเพิ่มเติมว่า เมืองอโยธยาเป็นเมืองที่ขอมตั้งขึ้นเมื่อปกครองที่เมืองลพบุรี ในบริเวณที่แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำเจ้าพระยามาบรรจบกัน เมืองนี้ในระยะแรกพื้นที่ยังลุ่มไม่เหมาะในการทำไร่นา จังเป็นเพียงเมืองหน้าด่านของเมืองลพบุรี ต่อมาเมื่อพื้นที่ค่อยดอนขึ้นจึงมีคนมาตั้งถิ่นฐานทำไร่นากลายเป็นชุมชนใหญ่แห่งหนึ่ง๘ รายละเอียดเกี่ยวกับที่ตั้งเมืองอโยธยาได้รับการขยายเพิ่มเติมขึ้น โดยนายศรีศักร วัลลิ-โภดม เมืองอโยธยาตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองอยุธยา ตัวเมืองมีลำน้ำตามธรรมชาติล้อมเป็นคูเมือง ๓ ด้าน คือ ด้านเหนือ ตะวันออก และด้านใต้ ลำน้ำนี้คือ ลำน้ำป่าสักเดิม แต่เรียกชื่อแตกต่างกันออกไป ตอนที่ไหลผ่านด้านเหนือและตะวันออก เรียกแม่น้ำหันตราและคลองโพธิ์ ส่วนตอนที่หักมุมมาเป็นคูเมืองด้านใต้เรียก ลำน้ำแม่เบี้ย มาออกปากน้ำเจ้าพระยาที่ปากน้ำแม่เบี้ยตอนใต้วัดพนัญเชิงลงมา ส่วนคูเมืองด้านตะวันตกนั้นขุดขึ้นคือ ลำคูขื่อหน้า๙ แคว้นละโว้ (อโยธยา) เจริญรุ่งเรืองมากในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ดังปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ ที่กล่าวถึงการสร้างพระพุทธไตร-รัตนนายกในปี พ.ศ. ๑๘๖๗ ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง ๒๖ ปี๑๐ พระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดใหญ่โตและสวยงามมาก ย่อมเป็นประจักษ์พยานให้เห็นว่าบริเวณนี้ต้องเป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ที่มีพลังทางเศรษฐกิจด้วยจึงสามารถสร้างได้ แต่อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ย้ายมาสร้างเมืองหลวงใหม่ในบริเวณใกล้เคียงแสดงว่าคงจะเกิดอะไรขึ้นในบริเวณเมืองอโยธยา ซึ่งจะต้องค้นคว้ากันต่อไป สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีใน วันศุกร์ เดือน ๕ ขึ้น ๖ ค่ำ ปี พ.ศ. ๑๘๙๓ พระราชทานนามเมืองใหม่นี้ว่า กรุงเทพมหานครบวรทวา-รวดีศรีอยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์ การที่พระองค์สามารถรวบรวมกำลังไพร่พลตั้งเมืองใหม่โดยปราศจากการสู้รบใดๆ อีก ทั้งยังสามารถยกกองทัพไปตีนครธม เป็นการท้าทายอำนาจของเขมร นอกจากนี้ยังโปรดให้ขุนหลวงพงั่ว พี่มเหสียกกองทัพไปตีอาณาจักรสุโขทัยได้ด้วย ดังนั้นปัญหาที่น่าสนใจก็คือ พระองค์เป็นใครมาจากไหน เพราะเหตุใดจึงได้สร้างอาณาจักรใหม่ได้ โดยที่ผู้นำท้องถิ่นเดิมยอมรับให้พระองค์เป็นผู้นำต่อไป ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ นี้ บริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน ประกอบด้วยอาณาจักรต่างๆ หลายอาณาจักร คือ ทางตอนเหนือ มีอาณาจักรลานนา ต่ำลงมาก็เป็นอาณาจักรสุโขทัย ส่วนทางภาคใต้ก็เป็นอาณาจักรนครศรีธรรมราช ส่วนตอนกลางของประเทศนั้น มีอาณาจักรที่สำคัญ ๒ อาณา-จักร คือ ทางด้านตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอาณาจักรสุพรรณภูมิ ส่วนทางด้านตะวันออกเป็นอาณาจักรละโว้ (อโยธยา) หรืออาณาจักรอโยธยา อาณาจักรสุพรรณภูมิ มีบ้านเรือนกระจายอยู่ตามลุ่มแม่น้ำท่าจีน แม่กลอง และเพชรบุรี มีเมืองสำคัญ คือ เมืองสุพรรณบุรี เมืองแพรกศรีราชา (ในจังหวัดชัยนาท) เมืองราชบุรี เพชรบุรี สิงห์บุรี ตามหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ ๑ กลุ่มเมืองในอาณาจักรสุพรรณภูมินี้เคยอยู่ใต้อำนาจของพ่อขุน-รามคำแหง แต่เนื่องจากกลุ่มนี้มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น และคงมีอำนาจทางทะเลด้วยจึงอยู่ใต้อิทธิ-พลของอาณาจักรสุโขทัยไม่นาน อย่างนานที่สุดก็คงภายหลังจากพ่อขุนรามคำแหงสวรรคต อาณาจักรสุพรรณภูมิคงพยายามสลัดอำนาจของสุโขทัย และสร้างความเป็นใหญ่ให้กับตน โดยการไปเป็น พันธมิตรกับอาณาจักรละโว้ (อโยธยา) อาณาจักรละโว้ (อโยธยา) เป็นอาณาจักรเก่าแก่ เคยเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมทวารวดี และขอม อาณาจักรนี้มิได้อยู่ใต้อิทธิพลของอาณาจักรสุโขทัย เพราะมิได้ปรากฏชื่อเมืองทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง แต่ก็คงเป็นเครือญาติกับทางสุโขทัย๑๑ เมืองที่สำคัญของอาณาจักรละโว้ ก็คือ เมืองละโว้ เมืองอโยธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยานั้น พระองค์จะต้องมีความสัมพันธ์กับศูนย์อำนาจที่สำคัญในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา คือ อาณาจักรสุพรรณภูมิ และอาณาจักรละโว้ (อโยธยา) เป็นแน่ เพราะจะเห็นได้จากการที่ เมื่อพระองค์ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาแล้ว พระองค์ได้โปรดให้พระราเมศวร พระราชโอรสไปปกครองเมืองละโว้ (ลพบุรี) และให้ขุนหลวงพงั่ว พี่มเหสีไป ปกครองเมืองสุพรรณบุรี ถ้าพระองค์มิได้มีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรทั้งสองแล้ว ผู้นำเดิมคงไม่ยินยอมแน่ๆ ดังนั้นพระองค์คงจะเป็นราชโอรสของอาณาจักรละโว้ (อโยธยา) ได้อภิเษกกับเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรสุพรรณภูมิ ได้เสด็จมาครองเมืองเพชร๑๒ ในฐานะเมืองลูกหลวง ก่อนมาสร้างกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้วพระองค์ได้เสวยราชสมบัติในแคว้นละโว้ หลังจากนั้นได้เสด็จมาประทับ อยู่แถบในเมืองอโยธยา๑๓ ระยะหนึ่ง แล้วก็สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของราช-อาณาจักร๑๔ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางอันศักดิ์สิทธิ์ของราชอาณาจักรใหม่ พระองค์ทรงรับเอาความเชื่อเรื่องพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทวราชาจากเขมร โดยสถาปนาพระนามของกษัตริย์ตามแบบเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ทรงประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์-สัตยาตามแบบเขมร แต่อย่างไรก็ตามภายหลังจากรัลกาลของพระองค์แล้ว ก็เกิดการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างราชวงศ์สุพรรณภูมิและราชวงศ์อู่ทอง แต่การแย่งชิงเป็นการเข้ามามีอำนาจในกรุงศรีอยุธยา มิใช่เพื่อแยกตัวออกไปจากอาณาจักร กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทยนานถึง ๔๑๗ ปี ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่มีอายุนานที่สุดในปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๒๕) ทั้งนี้เป็นเพราะกรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีทั้งทางด้านยุทธศาสตร์ ด้านเศรษฐกิจ และการเมือง ทางด้านยุทธศาสตร์ กรุงศรีอยุธยามีลักษณะเป็นเกาะมีแม่น้ำล้อมรอบ ทางด้านเหนือคือแม่น้ำลพบุรีเก่า ทางด้านตะวันตกและด้านใต้คือแม่น้ำเจ้าพระยาและทางด้านตะวันออกคือแม่น้ำป่าสัก ลักษณะเช่นนี้เป็นเกราะป้องกันศัตรูได้ดี ส่วนรอบนอกเกาะเมืองมีลักษณะเป็นที่ ราบลุ่ม น้ำท่วมในฤดูน้ำหลากซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการตั้งทัพของศัตรู ทางด้านเศรษฐกิจ กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ อันเกิดจากการทับถมของตะกอน ทำให้บริเวณนี้เหมาะแก่การเพาะปลูก นอกจากนี้ที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยายังเป็นที่รวมของแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และ แม่น้ำลพบุรี ซึ่งเป็นผลให้ชาวอยุธยาสามารถติดต่อค้าขายกับหัวเมืองในภาคกลาง และภาคเหนือได้สะดวก อีกทั้งยังอยู่ใกล้อ่าวไทย จึงทำให้กรุงศรีอยุธยากลายเป็นเมืองที่ควบคุมการค้าต่างประเทศ เพราะกรุงศรีอยุธยาเป็นที่รวมของสินค้าของป่าจากเมืองต่างๆ จากการที่อยู่ใกล้อ่าวไทยยังทำให้กรุง-ศรีอยุธยาสามารถควบคุมการติดต่อระหว่างหัวเมืองภายในทวีปกับต่างประเทศด้วย ถึงแม้ว่าที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาจะดีเพียงใดก็ตาม ตลอดระยะเวลาสี่ร้อยกว่าปีกรุงศรี-อยุธยาต้องเผชิญกับการทำสงครามหลายครั้ง สงครามที่ประชิดกรุงครั้งสำคัญที่สุดในปี พ.ศ. ๒๑๑๒ ในรัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราช เป็นผลให้กรุงศรีอยุธยาต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านานถึง ๑๕ ปี จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๑๒๗ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงสามารถประกาศอิสรภาพได้และมีกษัตริย์สืบต่อกันมาอีก ๑๘๓ ปี จนถึงรัชกาลสมเด็จพระเอกทัศน์ กรุงศรีอยุธยาต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า อีกครั้งในวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ ซึ่งเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่กรุงศรีอยุธยาไม่สามารถธำรงความเป็นเอกราชอีกต่อไป พระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแล้ว มีกษัตริย์สืบต่อกันมา ๓๓ พระองค์ พระมหากษัตริย์ได้ประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ กัน ทั้งทางด้านการป้องกันประเทศให้พ้นภัยจากอริราชศัตรู การปกครองบ้านเมือง การรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรมและความสงบสุขในสังคม การทำนุบำรุงศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปกรรมต่างๆ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทย เป็นมรดกตกทอดมายังอนุชนในรุ่นปัจจุบัน อาทิ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงพระปรีชาสามารถมองการณ์ไกลในการเลือกทำเลที่ตั้งเมืองหลวง และสามารถสร้างความเชื่อเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ให้มั่นคง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเป็นกษัตริย์นักปกครองที่วางรากฐานรูปแบบการปกครองอาณาจักรให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ใช้ติดต่อกันมาถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า-อยู่หัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นกษัตริย์นักรบที่หาผู้ใดเทียบได้ยาก ทรงกล้าหาญในการประกาศอิสรภาพและยังนำกองทัพไปรบถึงดินแดนพม่า เป็นต้น พระมหากษัตริย์ทั้ง ๓๓ พระองค์นี้ ทรงปกครองอาณาจักรสืบต่อกันมา ๔๑๗ ปี คิดเฉลี่ยแล้วแต่ละพระองค์ปกครองประมาณ ๑๒ - ๑๓ ปี แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า กษัตริย์ที่ปกครองต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยมี ๑๖ พระองค์ ในจำนวนนี้ที่ปกครองระยะสั้นที่สุด คือ สมเด็จเจ้าฟ้าไชย ปกครองเพียง ๓ - ๔ วัน เท่านั้นก็ถูกยึดอำนาจ และมีพระมหากษัตริย์ที่ปกครองไม่ครบ ๑ ปี ถึง ๖ พระองค์ พระมหากษัตริย์ที่ถูกยึดอำนาจเหล่านี้สืบเนื่องจากขึ้นครองราชย์ในขณะทรงพระเยาว์บางพระองค์ไม่มีฐานอำนาจที่มั่นคงพอ ไม่มีความสามารถพอในการรบจึงไม่เป็นที่นับถือศรัทธาของเหล่าขุนนาง ส่วนพระมหากษัตริย์ที่ ปกครองนานเกินเกณฑ์เฉลี่ยมี ๑๗ พระองค์ ในจำนวนนี้ที่ปกครองนานเกิน ๒๕ ปี ซึ่งสามารถทำให้พระมหากษัตริย์มีฐานอำนาจที่มั่นคงสามารถประกอบกรณียกิจต่างๆ ในการทำนุบำรุงราชอาณาจักร มีเพียง ๕ พระองค์ คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ และสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมัยกรุงธนบุรี เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ประกาศอิสรภาพและขับไล่พม่าออกไปจากแผ่นดินไทย ทรงย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรี แล้วโปรดให้กวาดต้อนชาวอยุธยาไปเป็นกำลังสำคัญที่กรุงธนบุรี๑๕ กรุงศรีอยุธยาที่เคยรุ่งเรืองบัดนี้ถูกปล่อยให้รกร้าง แต่อย่างไรก็ตามในระยะต่อมาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็โปรดให้มีการประมูลค้นหาทรัพย์สมบัติที่ชาวอยุธยาฝังไว้ก่อนกรุงแตก เป็นผลให้ชาวอยุธยาได้หนีออกจากป่ามาตั้งบ้านเรือนรอบๆ เกาะเมือง ในขณะเดียวกันก็ทำให้โบราณสถานถูกรื้อทำลาย สมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้ว ได้โปรดให้รื้ออิฐจากกำแพงเมือง เชิงเทินป้อมปราการต่างๆ ที่กรุงเก่าไปสร้างพระราชวังใหม่เพราะขณะนั้นทรงรีบเร่งในการสร้างเมืองใหม่ จึงไม่สามารถเผาอิฐได้ทันใช้งาน ประกอบกับเพื่อเป็นการทำลายป้อมปราการเมืองเก่าไม่ให้เป็นประโยชน์แก่ข้าศึกที่ยกมาตีกรุงเทพฯ การรื้ออิฐในครั้งนั้นจึงเป็นการทำลายซากกำแพงเมือง ป้อมปราการต่างๆ ประกอบกับการที่ประชาชนอพยพไปสู่เมืองหลวงใหม่ จึงทำให้กรุงศรีอยุธยาถูกทอดทิ้งแต่อย่างไรก็ตามคนไทยในยุคนั้น ยังมีความรู้สึกเสียดายความรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยา ดังจะเห็นได้จากบทพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่กล่าวไว้ว่า อันถนนหนทางมรรคา คิดมาก็เสียดายทุกสิ่งอัน ร้านเรียบเปนรเบียบด้วยรุกขา ขายของนานาทุกสิ่งสรรพ์ ทั้งพิธีปีเดือนคืนวัน สารพันจะมีอยู่อัตรา รดูใดก็ได้เล่นกระเษมสุข แสนสนุกทั่วเมืองหรรษา ตั้งแต่นี้แลหนา อกอา อยุธยา จะสาบสูญไป จะหาไหนได้เหมือนกรุงแล้ว ดังดวงแก้วอันสิ้นแสงใส นับวันแต่จะยับนับไป ที่ไหนจะคืนคงมา ๑๖ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสร้าง กรุงเทพพระมหานครอมรรัตนโกสินทร์ เป็นเมืองหลวง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระนครศรีอยุธยาก็เป็นเพียงเมืองจัตวาเมืองหนึ่งขึ้นกับกรุงเทพฯ และในเวลาต่อมาเรียกกันว่า เมืองกรุงเก่า ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้รื้อศิลาแลงตามวัดร้างไปสร้างพระอารามใหม่ที่กรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยาจึงถูกทำลายอีกครั้ง ดังนั้นสภาพเกาะเมืองที่เคยเต็มไปด้วยปราสาทราชวัง วัดวาอาราม บ้านเรือนประชาชน จึงถูกทอดทิ้งให้เป็นป่ารกร้าง ดังที่บาทหลวงปาลเลกัวซ์ ได้บันทึกการเดินทางผ่านอยุธยาในสมัย รัชกาลที่ ๓ โดยสรุปว่า เมื่อไปถึงอยุธยาจะเห็นเจดีย์สีคร่ำคร่าไปตามกาลเวลาชูยอดแหลม ต้นไม้อายุด้วยร้อยๆ ปี แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมโบราณสถาน เมื่อใกล้อยุธยาแม่น้ำแบ่งเป็นสายๆ เป็นคลองหลายคลอง ตัวนครจึงเป็นเกาะคล้ายถุงเงินจีน โบราณสถานที่น่าอัศจรรย์ก็คือ พระบรมมหาราชวังและวัดหลวง โบราณสถานต่างๆ ถูกต้นไม้ปกคลุมหมดจนกลายเป็นที่อยู่ของนกเค้าแมว แร้ง เป็นที่ฝังมหาสมบัติเมื่อคราวอยุธยาแตก มีการขุดค้นอยู่เนืองๆ ๑๗ ตัวเมืองกรุงเก่าในขณะนั้นตั้งอยู่โดยรอบเกาะเมือง มีพลเมืองทั้งคนไทย จีน ลาว มลายู ประมาณ ๔๐,๐๐๐ คน๑๘ พลเมืองเหล่านี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำรอบเกาะเมืองเพื่อสะดวกในการดำรงชีวิตทั้งการอุปโภคและบริโภค การคมนาคม การเกษตรกรรม ตลอดจนกระทั่งการระบายสิ่งโสโครก ส่วนทางด้านชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน วัดยังคงเป็นศูนย์กลางชุมนุมกันทางสังคม ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและประเพณีที่สำคัญ เป็นศูนย์กลางการศึกษา วัดที่สำคัญในระยะแรก เช่น วัดพนัญเชิง วัดสุวรรณดาราราม๑๙ วัดกษัตราธิราช วัดเชิงท่า วัดแม่นางปลื้ม๒๐ และวัดรอบนอกเกาะเมืองที่ไม่ถูกพม่าทำลาย ถึงแม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะเป็นกรุงเก่าไปแล้ว แต่ชาวเมืองหลวงตลอดจนพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ในพระบรมราชวงศ์จักรียังรำลึกถึงกรุงเก่าอยู่เสมอ ในทุกๆ ปี พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์จะเสด็จมาทอดกฐิน นอกจากนี้จากจดหมายเหตุปรากฏว่าราชกาลที่ ๔ โปรดให้เกณฑ์ไพร่ไปขุดดินเหนียวที่บางขวดเพื่อนำไปปั้นรูปเทวดา พระอินทร์ ครุฑ ในงานบำเพ็ญพระราชกุศล งานพระศพ เป็นต้น กรุงเก่าได้รับความสนใจในการบูรณะ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยโปรดให้บูรณะพระราชวังใหม่ พระราชทานนามว่า วังจันทรเกษม เพื่อเป็นที่ประทับเวลาแปร พระราชฐานเสด็จประพาสกรุงเก่า๒๑ กรุงเก่าในสมัยเป็นมณฑล กรุงเก่าได้กลายเป็นเมืองสำคัญอีกครั้งหนึ่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงจัดการปกครองหัวเมืองแบบมณฑลเทศาภิบาล ในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ พระองค์ทรงจัดตั้ง มณฑลกรุงเก่า โดยรวมหัวเมือง ๘ เมือง เข้าด้วยกัน อันมีเมืองกรุงเก่า เมืองอ่างทอง เมืองสระบุรี เมืองลพบุรี เมืองพระพุทธบาท เมืองพรหมบุรี เมืองอินทบุรี และเมืองสิงห์บุรี ๒๒ โดยตังสถานที่ทำการของมณฑลกรุงเก่าที่เมืองกรุงเก่า ในระยะเวลานี้ได้มีการบูรณะหลายด้านจนเป็นผลให้มีประชาชนอาศัยหนาแน่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง รัชกาลที่ ๕ โปรดให้บูรณะพระราชวังจันทรเกษมเป็นสถานที่ราชการ โดยจัดให้พระที่นั่งพิมานรัถยา เป็นศาลาว่าการข้าหลวงเทศาภิบาล พลับพลาจตุรมุข เป็นศาลาว่าการเมือง ตึกใหญ่มุมกำแพงด้านเหนือ เป็นศาลาว่าการอำเภอรอบกรุง ทรงซ่อมโรงช้างให้เป็นที่คุมขังนักโทษ โรงละครหน้าพลับพลาจตุรมุขเป็นที่ทำการศาลมณฑล ส่วนตึกหน้าพระที่นั่งพิมานรัถยาเป็นศาลเมืองและคลังเก็บราชพัสดุ๒๓ นอกจากนี้ในรัชกาลต่อๆ มายังได้ตั้งหอทะเบียน ไปรษณีย์ สถานีตำรวจภูธร ในบริเวณด้านใต้ถัดจากพระราชวังจันทรเกษมลงมา ชีวิตชาวกรุงเก่าในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ได้อาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำตามเรือนแพ หรือมิฉะนั้นก็อยู่ในเรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่เรียกว่า หัวรอ เป็นบริเวณที่แม่น้ำป่าสักและแม่น้ำลพบุรีมาประสบกัน บริเวณหัวรอเป็นเสมือนหัวใจของชาวกรุงเก่า เป็นทั้งที่อยู่อาศัย ชุมทางการค้าขาย สถานที่ราชการ และวัดหลายวัด เป็นต้น นอกจากนี้กรุงเก่ายังอาศัยอยู่บริเวณวัดพนัญเชิงด้วย ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นจังหวัด ดังนั้น ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ เมืองกรุงเก่า จึงเปลี่ยนเป็น จังหวัดกรุงเก่า ซึ่งใช้เรียกเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งในรัชกาลที่ ๗ จึงเปลี่ยนชื่อมณฑลกรุงเก่าเป็น มณฑลอยุธยา เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ และเปลี่ยนชื่อจังหวัดกรุงเก่าเป็น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนชื่อกรุงเก่า คงเป็นชื่อเรียกอำเภอว่า อำเภอกรุงเก่า จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เมื่อมีการบูรณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อเตรียมต้อนรับอูนุ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า จึงได้มีการเปลี่ยนชื่ออำเภอกรุงเก่า เป็นอำเภอพระนครศรีอยุธยา ซึ่งใช้เรียกกันมาจนทุกวันนี้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน เป็นทั้งที่ตั้งของเมืองหลวงของแคว้นอโยธยา เป็นที่ตั้งเมืองหลวงของราชอาณาจักรกรุง- ศรีอยุธยาถึง ๔๑๗ ปี หลังจากนั้นแม้ว่ากรุงจะแตก เมืองหลวงจะย้ายไปอยู่ที่อื่น กรุงศรีอยุธยาจะกลายเป็นกรุงเก่า และเป็นจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบันก็ตาม แต่ก็ยังคงมีความสำคัญอยู่ในความทรงจำของคนไทยตลอดกาล การจัดรูปการปกครองในสมัยรัชการที่ ๕ ๑. มูลเหตุของการปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับว่าเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินการปฏิรูปการปกครองให้เป็นสมัยใหม่อย่างอารยประเทศทางตะวันตก ทั้งนี้ เนื่องจากทรงเล็งเห็นว่าระบบการปกครองของไทยในขณะนั้นขาดบูรณาการแห่งชาติ ไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นอกจากนี้ นโยบาย ขอให้อยู่รอด ที่ไทยใช้มาตลอดตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเพียงประการเดียว ไม่สามารถนำมาใช้ได้กับสภาพการเมืองการปกครองได้อีกต่อไป ในท่ามกลางภัยอันคุกคามของประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก และในสภาวการณ์ขณะนั้นต้องการระบอบการปกครองที่มีประสิทธิภาพในการที่จะควบคุมหัวเมืองที่อยู่ห่างไกลให้ได้ผลอย่างแท้จริง โดยรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง ความยากลำบากในการคมนาคมก็เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในการถ่วงรั้งมิให้พระมหา-กษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการปกครองทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอย่างแท้จริง ดังนั้น ลักษณะการเมืองการปกครองจึงเป็นการแบ่งสรรอำนาจกันระหว่างเจ้ากับขุนนาง ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ สภาพการเมืองการปกครองแบบดั้งเดิมได้มาสะดุดหยุดลงเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงดำเนินการปฏิรูปการปกครองเสียใหม่ โดยได้ทรงดำเนินงานเป็นลำดับขั้น ดังนี้ ๑. ทรงศึกษาแบบแผนการจัดรูปการปกครองแบบประเทศตะวันตก ๒. ดำเนินการจัดตั้งกระทรวง ๓. จัดตั้งผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยคนแรก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเห็นว่า เสนาบดีเจ้ากระทรวงแบบเก่าไม่มีความเหมาะสมกับลักษณะงานในขณะนั้น ก็ได้ทรงประกาศจัดตั้งกระทรวงขึ้น ๑๒ กระทรวงในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ และให้มีเสนาบดีทั้ง ๑๒ กระทรวง และแต่ละกระทรวงก็มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ ซึ่งสรุปได้ดังนี้ คือ ๑. กระทรวงมหาดไทย บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมืองลาวประเทศราช ๒. กระทรวงกลาโหม บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ฝ่ายตะวันตก ฝ่ายตะวันออก และเมืองมลายูและประเทศราช ๓. กระทรวงต่างประเทศ ว่าการเฉพาะต่างประเทศอย่างเดียว ๔. กระทรวงวัง ว่าการในพระราชวังและกรม ซึ่งใกล้เคียงกับราชการในพระองค์ของพระ-บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๕. กระทรวงเมือง (ภายหลังเรียกว่ากระทรวงนครบาล) ว่าการโปลิศ และการบัญชีคน คือกรมพระสุรัสวดี และรักษาคนโทษ ต่อมาจึงให้เป็นกระทรวงบังคับบัญชาภายในเขตกรุงเทพมหานคร ๖. กระทรวงเกษตราธิการ ว่าการเพาะปลูก การค้าขาย การป่าไม้ และการบ่อแร่ ๗. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ว่าการบรรดาภาษีอากรและเงินที่จะรับและจ่ายในแผ่น- ดิน หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 14:55:35 พระนครศรีอยุธยา ๒
๘. กระทรวงยุติธรรม บังคับศาลที่จะชำระความร่วมกันทั้งแพ่ง อาญา และอุทธรณ์ทั้งแผ่นดิน ๙. กรมยุทธนาธิการ เป็นพนักงานสำหรับที่จะได้ตรวจตราจัดการในกรมทหารบก ทหาร- เรือ ซึ่งจะมีผู้บัญชาการทหารบก ทหารเรือ ต่างหากอีกตำแหน่งหนึ่ง ๑๐. กระทรวงธรรมการ เป็นพนักงานที่จะบังคับเกี่ยวกับพระสงฆ์ ผู้บังคับการโรงเรียนและโรงพยาบาลทั่วทั้งราชอาณาเขต ๑๑. กระทรวงโยธาธิการ เป็นพนักงานที่จะตรวจตราการก่อสร้าง ทำถนน ขุดคลอง และการช่างทั่วไป ทั้งการไปรษณีย์โทรเลข และรถไฟ ๑๒. กระทรวงมุรธาธิการ เป็นพนักงานที่จะรักษาพระราชลัญจกร รักษาพระราชกำหนดกฎหมายและหนังสือราชการทั้งปวง ในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้ประกาศให้กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบบังคับบัญชาและปกครองหัวเมืองทั้งหมดในประเทศ (ซึ่งแต่เดิมกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมมีหน้าที่ในการบังคับบัญชาและปกครองหัวเมืองเหมือนกัน) ส่วนกระทรวงกลาโหมมีหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร โดยที่กิจการด้านการปกครองเป็นปัจจัยสำคัญของการปฏิรูปการปกครองในครั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจึงเป็นกระทรวงที่มีความสำคัญที่สุดมากกว่ากระทรวงอื่นๆ สำหรับแนวความคิดในการดำเนินการปฏิรูปการปกครองได้คำนึงถึงว่า หากการปก-ครองได้มีการวางระเบียบแบบแผนอันดีแล้ว ก็จะเป็นช่องทางให้การบริหารงานในด้านอื่นๆ ของรัฐดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสมความมุ่งหมายของการปฏิรูปการปกครอง จึงได้มีความรอบคอบเป็นพิเศษนับตั้งแต่การเริ่มงานเป็นต้นมา ในการจัดหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยคนแรก พระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเห็นว่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้เนื่องจากเสด็จในกรมเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ได้เคยปฏิบัติงานด้านการศึกษาได้ผลดีและเคยได้ดูงานแบบใหม่จากยุโรป นโยบายของกระทรวงมหาดไทย การกำหนดนโยบายของกระทรวงมหาดไทย อันถือเป็นจุดหมายปลายทางในการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองตามที่บรรยายไว้ในหนังสือเทศาภิบาลพอสรุปได้ดังนี้ ๑. เปลี่ยนลักษณะการปกครองประเทศแบบราชาธิราช (Empire) เป็นอย่างพระราชอาณาเขต (Kingdom) ประเทศไทยรวมกัน เลิกประเพณีที่มีเมืองประเทศราช ๒. จะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองซึ่งเคยแยกกันอยู่ ๓ กรม คือ มหาดไทย กลาโหม และกรมท่าให้มารวมกันอยู่ในกระทรวงมหาดไทยแต่กระทรวงเดียว ๓. จะรวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลตามสมควรแก่ภูมิลำเนาให้สะดวกแก่การปกครองและมีสมุหเทศาภิบาลบังคับทุกมณฑล ๔. การเปลี่ยนแปลงตามนโยบายนี้จะค่อยๆ จัดเป็นชั้นๆ มิให้เกิดความยุ่งเหยิงในการเปลี่ยนแปลง นโยบายของกระทรวงมหาดไทย จะเห็นได้ว่ามีความประสงค์ที่จะยุบประเทศราชและให้รวมมาเป็นหัวเมืองราชอาณาจักร ก็เพื่อต้องการเสริมสร้างความเป็นเอกภาพของชาติให้มั่นคงโดยมีความมุ่งหมายที่จะขจัดการแตกแยกของชนชาติต่างๆ ภายในพระราชอาณาจักรให้หมดสิ้นไปและมีความประสงค์ที่จะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองมาไว้ที่กระทรวงมหาดไทยแต่กระทรวงเดียว นอกจากต้องการจะจัดระเบียบการปกครองประเทศให้เป็นระบบรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอันเป็นการสร้างความมั่นคงให้เกิดเอกภาพของชาติตามประการแรกแล้ว ยังมุ่งที่จะจัดสรรราช-การให้มีเอกภาพในการบังคับบัญชาอีกด้วย เพื่อให้กิจการทั้งปวงในด้านการปกครองเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนและมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งเป็นการขจัดความสิ้นเปลืองและความล่าช้าในการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งแก้ข้อขัดแย้งในการจัดการปกครองแต่เดิมด้วย ในการจัดรูปการปกครองแบบรวมอำนาจ จำเป็นต้องใช้รูปการปกครองส่วนภูมิภาค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเลือกระบบการเทศาภิบาล ซึ่งเป็นแบบแผนของการปกครองที่อังกฤษกำลังใช้ในประเทศพม่าและมลายูในขณะนั้น เพื่อที่จะได้เป็นเครื่องมืออันมีประสิทธิภาพในการควบคุมหัวเมืองต่างๆ ให้ได้ผล ดังนั้น แนวความคิดในการปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาคเพื่อที่จะสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศ และเพื่อที่จะให้เป็นปัจจัยสำคัญในการขยายราชการบริหารไปยังส่วน ภูมิภาคนั้นได้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ดังนี้ คือ ๑. ระบบการปกครองแบบจตุสดมภ์ ซึ่งใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้สิ้นสุดลง ๒. เกิดการแบ่งแยกความรับผิดชอบระหว่างกรมต่อกรมอย่างชัดเจน ๓. สร้างเอกภาพทางการปกครองของประเทศชาติให้เกิดขึ้น ๒. การจัดรูปการปกครองหัวเมืองก่อนการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล การจัดรูปการปกครองสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นก่อนการปฏิรูปการปกครองได้แบ่งรูปการปกครองเป็นการบริหารราชการส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ๒.๑ การบริหารราชการส่วนกลาง ได้จัดรูปการปกครองแบบ จตุสดมภ์ มีอัครมหาเสนาบดี สมุหกลาโหม สมุหนายก และจตุสดมภ์ทั้งสี่ ได้แก่ กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง กรมนา รูปแบบการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง อัครมหาเสนาบดี สมุหนายก สมุหกลาโหม เสนาบดีจตุสดมภ์ เสนาบดีกรมเมือง เสนาบดีกรมวัง เสนาบดีกรมคลัง เสนาบดีกรมนา แม้ว่าจะได้มีการวางระเบียบแบบแผนในการปกครองไว้ แต่ในทางปฏิบัติงานของฝ่ายต่างๆ ยังคาบเกี่ยวและซ้ำซ้อนกันอยู่ เช่น สมุหนายก นาอจากจะรับผิดชอบหัวเมืองทางภาคเหนือของประเทศแล้วยังรับผิดชอบในการเก็บภาษีอีกด้วย ส่วนสมุหกลาโหมก็เช่นกัน นอกจากจะรับผิดชอบหัวเมืองทางใต้ก็มีหน้าที่เก็บภาษีไปด้วย และกรมท่าซึ่งควรรับผิดชอบเฉพาะการคลังกลับต้องควบคุมหัวเมืองชายทะเลตะวันออก นอกจากนี้การแบ่งงานของกรมต่างๆ ก็มิได้ขึ้นอยู่กับจตุสดมภ์และจตุสดมภ์ก็มิได้อยู่ใต้บังคับบัญชาของอัครมหาเสนาบดี จากลักษณะการปกครองดังกล่าว มีผลทำให้การบริหารงานขาดประสิทธิภาพ ขาดเอกภาพในการปกครอง ๒.๒ การบริหารราชการส่วนภูมิภาค แบ่งเป็นหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และเมืองประเทศราช รูปแบบการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก เมืองประเทศราช เมืองเอก เมืองโท เมืองตรี ในการบริหารราชการส่วนภูมิภาค รัฐบาลกลางสามารถควบคุมดูแลได้แต่หัวเมืองชั้นในเท่านั้น หัวเมืองชั้นนอกต้องใช้การปกครองแบบ กินเมือง ฝ่ายที่รับผิดชอบในการบังคับบัญชาปก- ครองหัวเมืองโดยตรงได้แก่ ฝ่ายมหาดไทย ฝ่ายกลาโหม และกรมท่า ๑) หัวเมืองชั้นในและวังราชธานี ตามกฎหมายในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้กำหนดให้มหาดไทย กลาโหม และกรมท่า มีหน้าที่แต่งตั้งเจ้าเมืองผู้รั้งเมือง ปลัด รองปลัด สัสดี เจ้าหน้าที่ภาษีอากรตามหัวเมืองโดยรัฐบาลกลางมีหน้าที่แต่งตั้งเจ้าเมืองประเทศราช แต่ในทางปฏิบัติแล้ว รัฐบาลกลางปกครองหัวเมืองโดยตรงได้เพียงไม่กี่หัวเมือง ซึ่งได้แก่ รอบๆ พระนครบริเวณที่เรียกว่า วังราชธานี หัวเมืองชั้นในและวังราชธานี เป็นเขตการปกครองที่มีความสำคัญมากที่สุดของประเทศซึ่งได้แก่เมืองอันเป็นที่ตั้งราชธานี คือ กรุงเทพฯ และหัวเมืองชั้นในซึ่งตั้งเรียงรายล้อมรอบอยู่โดยตลอด๒๔ ๒) หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่หัวเมืองที่อยู่ถัดออกไปจากหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอกมีฐานะเป็นเมืองเอกบ้าง เมืองโทบ้าง หรือเมืองตรีบ้าง ตามขนาดเล็กใหญ่ และความสำคัญของเมืองนั้นๆ หัวเมืองชั้นนอกมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมกำลังทหารและรักษาชายแดนของประเทศ การบังคับบัญชาก่อนที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจะเสด็จมาทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ คำว่า บังคับบัญชา นั้น มีความหมายแตกต่างกันไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสรภาพมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากการคมนาคมลำบากมาก หัวเมืองที่รัฐบาลบังคับบัญชาโดยตรงมีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ อยู่บริเวณวังราชธานี๒๕ ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางกับหัวเมืองชั้นนอกยิ่งห่างออกไปรัฐบาลก็มิได้มีสิทธิ์ในการแต่งตั้งเจ้าเมือง หากเป็นเพียงการยอมรับอำนาจเจ้าเมืองเหล่านั้น หรือแม้แต่การแต่งตั้งข้าราชการในหัวเมืองก็ต้องแต่งตั้งตามข้อเสนอของเจ้าเมือง ด้วยเหตุนี้ในทางปฏิบัติ เจ้าเมืองเหล่านี้มีอำนาจมาก สามารถปฏิบัติหน้าที่ในเมืองของตนอย่างเป็นอิสระ ด้วยเหตุนี้ ความเป็นเอกภาพของชาติก็ต้องอยู่บนรากฐานอันคลอนแคลน เจ้าเมืองยอมรับอำนาจของส่วนกลางแต่เพียงผิวเผินเท่านั้น และเมื่อมีโอกาสจะตั้งตนเป็นกบฏกับรัฐบาลกลางทันที๒๖ การปกครองหัวเมืองชั้นนอกสมัยนั้นเรียกว่า "กินเมือง" วิธีการปกครองที่เรียกว่ากินเมืองนั้นมีหลักอยู่ว่า ผู้เป็นเจ้าเมืองต้องละทิ้งกิจธุระของตนมาประจำทำการปกครองบ้านเมืองให้ราษฎรหรืออีกนัยหนึ่งประชาชนได้รับการดูแลเกี่ยวกับสวัสดิภาพ ความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์ เมื่อราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากภัยอันตราย และในขณะเดียวกันราษฎรก็ต้องตอบแทนคุณเจ้าเมืองด้วยการออกแรงช่วยในการทำงานและแบ่งสิ่งของต่างๆ ให้ เช่น ข้าว ปลา อาหาร ให้เป็นกำนัล อันเป็นอุปการะมิให้เจ้าเมืองต้องเป็นห่วงในการหาเลี้ยงชีพ ตำแหน่งนี้เรียกว่า "ผู้กินเมือง" รัฐบาลไม่มีเงินเดือนให้แก่ผู้กินเมือง จึงให้เพียงค่าธรรมเนียมในการต่างๆ ที่ทำในหน้าที่เป็นตัวเงินสำหรับใช้สอย ส่วนกรมการเมืองซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าเมืองก็ได้รับผลประโยชน์ทำนองเดียวกัน หากแต่ลดหลั่นตามศักดิ์ แต่เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป ผลประโยชน์ที่เจ้าเมืองและกรมการได้รับอย่างแต่ก่อนไม่เพียงพอเลี้ยงชีพ เจ้าเมืองก็ต้องหันมาทำไร่ทำนาค้าขาย และเนื่องจากเจ้าเมืองและกรมการมีอำนาจในการบังคับบัญชา และเคยได้รับอุปการะจากราษฎรมาแล้ว เมื่อมาทำมาหากินก็อาศัยตำแหน่งในราชการเป็นหนทางให้ได้รับผลประโยชน์สะดวกกว่าบุคคลอื่นๆ ดังเช่น การ "ทำนา" ก็ได้อาศัย "บอกแขก" ขอแรงราษฎรมาช่วยหรือในการมาติดต่อการงานต่างๆ ถ้าเจ้าเมืองและกรมการให้ความร่วมมือด้วย ก็ยิ่งทำให้งานสำเร็จลุล่วงด้วย จึงเกิดประเพณีหากินโดยอาศัยตำแหน่งในราชการขึ้น เมื่อการปกครองหัวเมืองเป็นเช่นนี้ก็เหมือนเป็นดาบสองคม กล่าวคือ ถ้าผู้กินเมืองเป็นผู้ทรงคุณธรรมราษฎรก็ได้รับความสุข แต่ถ้าผู้กินเมืองเป็นคนโลภ เห็นแก่ได้ ราษฎรก็ได้รับความทุกข์เดือดร้อน ดังนั้น ในการปกครองระบบกินเมืองจึงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย นอกจากนี้ การปกครองหัวเมืองสมัยก่อนยังไม่มีตำรวจภูธรที่เป็นพนักงานสำหรับจับผู้ร้าย การแต่งตั้งกรมการเจ้าเมืองก็คิดหานักเลงโตที่มีพรรคพวกตั้งเป็นกรมการไว้สำหรับปราบโจรผู้ร้าย ซึ่งเรียกว่า "วิธีเลี้ยงขโมยไว้จับขโมย" ซึ่งพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ ได้ทรงให้เลิกวิธีการดังกล่าวเมื่อได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล ๓) การปกครองหัวเมืองประเทศราช นับว่ามีความลำบาก เนื่องจากมีความแตกต่างในด้านเชื้อชาติ ภาษา และวัฒน-ธรรม และพวกนี้เคยมีอิสรภาพมาก่อน เช่น เจ้าเมืองเชียงใหม่ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู เขมร เป็นต้น นอกจากนี้ หากระบบการปกครองที่ไม่มีประสิทธิภาพ ก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้มีการแบ่งแยกเป็นก๊ก เป็นเหล่ามากยิ่งขึ้น จึงกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับหัวเมืองประเทศราชยิ่งหละหลวมกว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับหัวเมืองชั้นนอกและชั้นใน เมื่อรัฐบาลกลางไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาอย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพได้ ประชาชนในประเทศเหล่านั้นก็มิได้รู้สึกว่าตนเองอยู่ใต้การปกครองของไทย การปกครองหัวเมืองประเทศราชได้สิ้นสุดลงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ ๓. การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคของการปฏิรูปหรือยุคของการทำประเทศให้ทันสมัย ซึ่งมูลเหตุสำคัญของการปฏิรูปในรัชสมัยของพระองค์สืบเนื่องมาจากปัจจัยสำคัญ ๒ ประการ คือ สภาพการเมืองการปกครองในประเทศแบบเดิมที่ล้าสมัย ไม่เหมาะสมต่อสภาว-การณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงและการคุกคามของมหาอำนาจตะวันตกในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวคือ อังกฤษได้เข้าประชิดพรมแดนไทยด้านตะวันตกและด้านใต้ ส่วน ฝรั่งเศสเข้าประชิดพรมแดนไทยด้านตะวันออก ปัจจัยดังกล่าวได้เร่งเร้าให้เกิดการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ และดำเนินการปกครองหัวเมืองต่างๆ แบบเทศาภิบาล จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๓๗ เพื่อสร้างเอกภาพทางการปกครองและรักษาเอกราชของประเทศให้พ้นจากภัยคุกคามของมหาอำนาจตะวันตก โดยจัดให้มีการวางแผนการปกครองทั่วราชอาณาจักรอย่างสืบเนื่องกันจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ห้วก็ได้มีการยุบเลิก๒๗ แต่หลักการปกครองหัวเมืองบางประการก็ยังคงอยู่ ดังนั้น การปกครองมณฑลเทศาภิบาลจึงนับได้ว่ามีความสำคัญต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลถือได้ว่าเป็นกระบวนการรวมชาติ รวมประเทศ และเป็นกระบวนการรักษาอธิปไตยของไทยในท่ามกลางการคุกคามของมหาอำนาจตะวันตกอย่างชัดเจน หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลางโดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราช-การที่เป็นศูนย์กลางดำเนินการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว ก็ได้มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทย อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองระบอบเทศาภิบาล ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรง- ราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ในการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยรัชกาลที่ ๕ ๓.๑ ลักษณะการปกครองระบอบเทศาภิบาล การเทศาภิบาลคือการปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรกระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้ใจของรัฐบาล รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลางซึ่งประจำอยู่แต่เฉพาะในราชธานีนั้น ออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาค อันเป็นที่ใกล้ชิดต่ออาณาประชาราษฎร์ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่อาณาประชาราษฎร์อย่างทั่วถึงกัน ทั้งนี้โดยให้มีระเบียบแบบแผนที่เป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศด้วย จึงได้แบ่งการปก-ครองให้มีลักษณะเป็นลำดับชั้น กล่าวคือเป็นมณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน และแบ่งหน้าที่ราชการเป็นสัดส่วนโดยให้มีลักษณะคล้ายกับกระทรวงในราชธานี อันจะนำมาซึ่งความเป็นระเบียบเรียบร้อย รวดเร็วในการระงับทุกข์บำรุงสุขด้วยความเที่ยงธรรมแก่อาณาประชาราษฎร์ รูปแบบการปกครองระบอบเทศาภิบาล มณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน มณฑล คือ การรวมเขตจังหวัดตั้งแต่สองจังหวัดขึ้นไป อาจจะมากบ้างน้อยบ้าง สุดแต่ความสะดวกในการปกครองบังคับบัญชาของสมุหเทศาภิบาล จัดเป็นมณฑลหนึ่ง๒๘ มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นข้าราชการสูงสุดในมณฑล ฐานันดรของสมุหเทศาภิบาลเป็นตำแหน่งรองจากเสนาบดีเจ้ากระทรวง และเหนือกว่าผู้ว่าราชการจังหวัด และข้าราชการเจ้าพนักงานทั้งปวงในมณฑล สำหรับอำนาจหน้าที่ของสมุหเทศาภิบาลก็คือ เป็นผู้บัญชาการและตรวจตราเหตุ-การณ์ทั้งหมดและราชการในมณฑลที่เกี่ยวกับบทบัญญัติของรัฐบาล มอบให้เป็นหน้าที่ของเทศาภิบาล รับข้อเสนอและสั่งราชการแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด อันเป็นผลทำให้การบริหารราชการเป็นไปด้วยความรวดเร็วกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก กล่าวคือ เป็นผลเร็วกว่าที่จังหวัดจะติดต่อไปยังกระทรวงและคอยฟังคำสั่งจากส่วนกลางดังแต่ก่อนเป็นอันมาก นอกจากเป็นเรื่องที่เกินอำนาจหน้าที่ของมณฑล หรือเป็นปัญหา เทศาภิบาลจึงบอกเข้ามายังกระทรวงและเจ้ากระทรวงจะรับพิจารณาและบัญชาการไปยังสมุห-เทศาภิบาล หรือจะนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาแล้วแต่กรณี ราชการที่มณฑลติดต่อกับกระทรวงย่อมมีน้อยกว่าที่จังหวัดติดต่อโดยตรงกับกระทรวงเป็นรายจังหวัดดังแต่ก่อน การดำเนินการเช่นนี้นับว่าเป็นคุณประโยชน์แก่ประชาชนที่มาติดต่อราชการให้ได้รับความสะดวกและรวดเร็วกว่าครั้งที่ยังไม่ได้มีการจัดตั้งเป็นมณฑลเทศาภิบาล และฝ่ายกระทรวงในกรุงเทพฯ ก็ไม่ต้องมีภาระที่ต้องรับข้อเสนอจากจังหวัด ซึ่งมีมากกว่ามณฑลหลายเท่า อันเป็นเหตุให้เกิดผลล่าช้าต่อราชการและยังมีผลกระทบต่อราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือจากราชการ ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงปรากฏว่าการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล ได้แบ่งเบาภาระจากกระทรวงได้อย่างมาก อีกทั้งเป็นการช่วยเหลือประชาชนซึ่งต้องพึ่งราชการให้ได้รับความสะดวกและรวดเร็ว จังหวัด แต่ก่อนเรียกว่า เมือง รวมอำเภอตั้งแต่สองอำเภอขึ้นไปถึงหลายอำเภอก็ได้จัดเป็นจังหวัดหนึ่ง รองถัดจากมณฑลลงมา โดยมีอาณาเขตพอสมควรแก่ความเจริญและความสะดวกในการตรวจตราปกครองของผู้ว่าราชการเมือง จังหวัดหนึ่งมีข้าราชการผู้ใหญ่เป็นตำแหน่งผู้ว่า-ราชการเมือง และมีกรมการจังหวัดคณะหนึ่ง อำเภอ กิ่งอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ซึ่งเป็นส่วนรองถัดจากจังหวัดลงมาตามลำดับ นโยบายในการปกครองหัวเมือง ในสมัยที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ยึดหลักที่ว่า อำนาจของการปกครองควรจะเข้ามารวมอยู่จุดเดียวกันหมด ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลกลางจะไม่ให้การบังคับบัญชาหัวเมืองกระจัดกระจายไปอยู่กับกระทรวง ๓ กระทรวงดังแต่ก่อนคือ ฝ่ายมหาดไทย ฝ่ายกลาโหม และกรมท่า และจะไม่ยอมให้หัวเมืองต่างๆ มีอธิปไตยอย่างเช่นแต่ก่อน ระบบการปกครองแบบ เทศาภิบาล จึงได้ถูกจัดตั้งขึ้น หลักของการปกครองแบบเทศาภิบาลได้ระบุไว้ในประกาศจัดปันหน้าที่ระหว่างกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย ร.ศ. ๑๑๓๒๙ ซึ่งรวมหัวเมืองทั้งหมดมาไว้ใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖๓๐ และข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ร.ศ. ๑๑๗๓๑ ตามกฎหมายเหล่านี้รัฐบาลจะจัดการปกครองหัวเมืองตั้งแต่ชั้นต่ำสุดจนถึงสูงที่สุด เริ่มต้นด้วยพลเมืองมีสิทธิจะเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านของราวๆ ๑๐ หมู่บ้านมีสิทธิเลือกตั้งกำนันของตำบล และตำบลหลายๆ ตำบลมีพลเมืองประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน รวมเป็นอำเภอ หลายๆ อำเภอรวมกันเป็นเมือง หลายๆ เมืองรวมกันเป็นมณฑล การดำเนินการจัดตั้งมณฑล ในการดำเนินการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่-หัว มิได้ทรงดำเนินการจัดตั้งมณฑลในคราวเดียวกันทั่วพระราชอาณาจักร ทั้งนี้เนื่องจากหาตัวบุคคลที่จะไปเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลที่จะดำเนินการตามแบบแผนสมัยใหม่ไม่ได้เพียงพอกับความต้องการ และอีกประการหนึ่งขาดงบประมาณที่จะดำเนินการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลให้ได้หมดในคราวเดียวกัน เพื่อให้เห็นการจัดมณฑลอย่างต่อเนื่องกันนั้นควรที่จะได้ทราบว่าก่อน พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้มีมณฑลอยู่ก่อนแล้ว ๖ มณฑล ได้แก่ ๑. มณฑลลาวเฉียง (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลพายัพ) ประกอบด้วย ๖ เมือง ได้แก่ นครเชียงใหม่ นครลำปาง นครลำพูน นครน่าน แพร่ เถิน ๒. มณฑลลาวพวน (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอุดร) ประกอบด้วย ๖ เมือง ได้แก่ อุดรธานี ขอนแก่น นครพนม สกลนคร เลย หนองคาย ๓. มณฑลลาวกาว (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอีสาน) ประกอบด้วย ๗ เมือง ได้แก่ อุบลราชธานี นครจำปาศักดิ์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ๔. มณฑลเขมร (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลบูรพา) ประกอบด้วย ๔ เมือง ได้แก่ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ เมืองพนมศก ๕. มณฑลลาวกลาง (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลนครราชสีมา) ประกอบด้วย ๓ เมือง ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ๖. มณฑลภูเก็ต แต่ก่อนเรียก หัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก ประกอบด้วย ๖ เมือง คือ ภูเก็ต กระบี่ ตรัง ตะกั่วป่า พังงา ระนอง มณฑลทั้ง ๖ นี้ มีลักษณะเพียงแต่รวมเขตหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล และมีข้าหลวงใหญ่ไปประจำบัญชาการ แต่ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล การปกครองระบอบมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้มีการวางแผนการจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่ โดยได้จัดมณฑลเทศาภิบาลขึ้นใหม่ ๓ มณฑล และแก้ไขการปกครองมณฑลที่มีอยู่ก่อนแล้วให้เป็นลักษณะมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๑ มณฑล รวมเป็น ๔ มณฑลด้วยกัน คือ ๑. มณฑลพิษณุโลก มี ๕ เมือง ได้แก่ พิษณุโลก พิจิตร พิชัย (เมืองอุตรดิตถ์) สวรรคโลก สุโขทัย มีที่ตั้งบัญชาการมณฑลที่เมืองพิษณุโลก ๒. มณฑลปราจีน มี ๔ เมือง ได้แก่ ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก พนมสารคาม มีที่ตั้งบัญชาการมณฑลที่เมืองปราจีนบุรี ๓. มณฑลราชบุรี ได้รวมหัวเมืองซึ่งเคยขึ้นแก่กระทรวงกลาโหมและกรมท่า เมื่อได้มีประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยกราชการฝ่ายพลเรือนในหัวเมืองเหล่านั้นมาขึ้นแก่กระทรวงมหาดไทยแต่กระทรวงเดียว จึงได้จัดตั้งมณฑลราชบุรีขึ้น มี ๕ เมือง ได้แก่ ราชบุรี กาญจนบุรี ปราณบุรี เพชรบุรี สมุทรสงคราม มีที่บัญชาการตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรี ๔. มณฑลนครราชสีมา มณฑลนี้มีอยู่ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๗ แล้วแต่ได้มาแก้ไขการปกครองให้เป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๑ มณฑล พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้จัดตั้งมณฑลขึ้นใหม่อีก ๓ มณฑล และแก้ไขการปกครองมณฑลที่มีอยู่ก่อนแล้วให้เป็นแบบเทศาภิบาลขึ้นอีก ๑ มณฑล คือ ๑. มณฑลนครชัยศรี มี ๓ เมือง ได้แก่ นครชัยศรี สมุทรสาคร สุพรรณบุรี ที่บัญชาการมณฑลตั้งอยู่ที่เมืองนครชัยศรี ๒. มณฑลนครสวรรค์ มี ๘ เมือง ได้แก่ นครสวรรค์ กำแพงเพชร ชัยนาท ตาก อุทัยธานี พยุหคีรี มโนรมย์ สรรคบุรี มีที่ตั้งบัญชาการอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ ๓. มณฑลกรุงเก่า (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยา ) มี ๘ เมือง ได้แก่ กรุง-เก่า พระพุทธบาท พรหมบุรี ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง และอินทบุรี มีที่ตั้งบัญชาการอยู่ที่เมืองกรุงเก่า คือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบันนี้ ๔. มณฑลภูเก็ต มณฑลนี้ได้มีอยู่ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๗ และได้แก้ไขให้มีลักษณะการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เมื่อได้โอนหัวเมืองซึ่งขึ้นกับกระทรวงกลาโหมมาขึ้นกระทรวงมหาดไทยใน พ.ศ. ๒๔๓๘ มี ๖ เมือง ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ ตรัง ตะกั่วป่า พังงา และระนอง มีที่ตั้งบัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 14:56:03 พระนครศรีอยุธยา ๓
พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้จัดตั้งมณฑลขึ้นอีก ๒ มณฑล และได้จัดการมณฑลที่ตั้งไว้ก่อนแล้วให้เป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๑ มณฑล คือ ๑. มณฑลนครศรีธรรมราช มี ๑๐ เมือง ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา ยะหริ่ง ระแงะ ราห์มัน สายบุรี หนองจิก มีที่ตั้งบัญชาการอยู่ที่เมืองสงขลา ๒. มณฑลชุมพร (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลสุราษฎร์) มี ๔ เมือง คือ ชุมพร ไชยา หลังสวน กาญจนดิฐ มีที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองชุมพร ๓. มณฑลบูรพา แต่ก่อนเรียกว่ามณฑลเขมร มณฑลนี้มีอยู่ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๗ และได้แก้ไขลักษณะการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ มี ๔ เมืองตามเดิม พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้จัดตั้งมณฑลไทรบุรีเป็นหัวเมืองไทยปนมลายูฝ่ายตะวันตก และเป็นประเทศราชมี ๓ เมือง ได้แก่ ไทรบุรี ปลิส สตูล ที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองไทรบุรี พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้จัดตั้งมณฑลเพชรบูรณ์มี ๒ เมือง ได้แก่ เพชรบูรณ์ หล่มศักดิ์ ที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองเพชรบูรณ์ พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้แก้ไขการปกครองมณฑลที่มีอยู่แล้วก่อน พ.ศ. ๒๔๓๗ ให้เป็นลักษณะเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ ๑. มณฑลพายัพ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อมาจาก มณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ มณฑลนี้เป็นเมืองประเทศราชมี ๖ เมือง ได้แก่ นครเชียงใหม่ นครลำปาง นครลำพูน นครน่าน เมืองแพร่ และเมืองเถิน มีที่ตั้งบัญชาการที่นครเชียงใหม่ ๒. มณฑลอีสาน ซึ่งแต่ก่อนเรียกว่า มณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก้ไขเป็นมณฑลเทศาภิบาล รวมหัวเมืองเป็นบริเวณ มี ๕ บริเวณ ได้แก่ อุบลราชธานี จำปาศักดิ์ ขุขันธ์ สุรินทร์ และร้อยเอ็ด ๓. มณฑลอุดร ซึ่งแต่ก่อนเรียกว่า มณฑลฝ่ายเหนือ ได้แก้ไขให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล รวมหัวเมืองเข้าเป็น ๕ บริเวณ คือ อุดรธานี ธาตุพนม เลย ขอนแก่น และสกลนคร พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้ตั้งมณฑลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ ๑. มณฑลจันทบุรี มี ๓ เมือง คือ จันทบุรี ตราด ระยอง มีที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองจันทบุรี ๒. มณฑลปัตตานี แบ่งการปกครองจากหัวเมืองในมณฑลนครศรีธรรมราช มี ๓ เมือง ได้แก่ ปัตตานี ยะลา ระแงะ ซึ่งภายหลังรวมกับอำเภอบางนราเปลี่ยนชื่อเป็น นราธิวาส ด้วย ที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองปัตตานี พ.ศ. ๒๔๕๕ แยกมณฑลอีสานเป็น ๒ มณฑล ได้แก่ ๑. มณฑลร้อยเอ็ด มี ๓ เมือง ได้แก่ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ มีที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่ศาลารัฐบาลมณฑลร้อยเอ็ด๓๒ ๒. มณฑลอุบล มี ๓ เมือง ได้แก่ อุบลราชธานี ขุขันธ์ (ศรีสะเกษ) และสุรินทร์ มีที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่ศาลารัฐบาลมณฑลอุบล พ.ศ. ๒๔๕๘ ได้แยกมณฑลพายัพ เป็น ๒ มณฑล คือ ๑. มณฑลมหาราษฎร์ มี ๓ จังหวัด คือ ลำปาง น่าน และแพร่ มีที่ตั้งศาลารัฐบาลมณฑลอยู่ที่จังหวัดลำปาง ๒. มณฑลพายัพ มี ๔ จังหวัด คือ เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย และแม่ฮ่องสอน การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มจัดตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงได้สำเร็จ (สำหรับมณฑลที่จัดตั้งขึ้นภายหลังก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามสถานการณ์และยกเลิกใน พ.ศ. ๒๔๗๕) ๓.๒ ลักษณะการปกครองมณฑลเทศาภิบาล : มณฑลอยุธยา ดินแดนที่เรียกว่า มณฑลกรุงเก่า หรือมณฑลอยุธยาประกอบด้วย อยุธยา ลพบุรี สระบุรี อ่างทอง และสิงห์บุรี โดยมีอยุธยาเป็นศูนย์กลาง อยุธยาเป็นเมืองที่มีความสำคัญยิ่งในทางประวัติศาสตร์ไทยเพราะเคยเป็นราชธานีเก่าของไทยมานานถึง ๔๑๗ ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครอง ๓๓ พระองค์ อยุธยาได้รับการสถาปนาเป็นราชธานีเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ ภายหลังที่กรุงสุโขทัยหมดอำนาจลง อยุธยาได้กลายเป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรไทยทั้งหมด ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓) ได้จัดให้มีการปกครองแบบเทศาภิบาลขึ้น สำหรับมณฑลกรุงเก่าได้จัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๓๘ (ร.ศ. ๑๑๔) โดยได้รวมเอา ๗ หัวเมือง คือ กรุงเก่า อ่างทอง สระบุรี ลพบุรี อินทบุรี (ปัจจุบันคืออำเภออินทร์บุรี อยู่ในจังหวัดสิงห์บุรี) พรหมบุรี (ปัจจุบันคืออำเภอพรหมบุรีอยู่ในจังหวัดสิงห์บุรี) และสิงห์บุรีเข้าเป็นมณฑล และตั้งที่ว่าการมณฑลที่มณฑลกรุงเก่า๓๓ ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองอินทบุรีและพรหมบุรีเข้ากับเมืองสิงห์บุรี๓๔ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลของมณฑลกรุงเก่าคนแรก คือ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ มณฑลกรุงเก่าเป็นมณฑลภายใน ปราศจากการคุกคามและรุกรานจากภายนอก ดังนั้น สาเหตุในการจัดการปกครองจึงเป็นไปเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีแบบแผนอย่างเดียวกัน เพราะการปกครองไทยที่เป็นมาแต่สมัยโบราณ หัวเมืองต่างๆ ได้แยกขึ้นกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกรมท่า (กระทรวงต่างประเทศ) ทำให้การบริหารไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อรัชกาลที่ ๕ ได้ทำการปฏิรูปการปกครอง พระองค์จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้รวมหัวเมืองต่างๆ มาขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด และจัดการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาล โดยรวมหัวเมืองที่มีอาณาเขตใกล้เคียงกันตั้งแต่ ๒ เมืองขึ้นไปเข้าเป็นมณฑล สาเหตุเฉพาะของการปฏิรูปการปกครองมณฑลอยุธยา สาเหตุเฉพาะของการปฏิรูปการปกครองมณฑลอยุธยา ทั้งนี้เนื่องจาก ๑. ปัญหาทางด้านการปกครอง เป็นผลมาจากระบบการปกครองในขณะนั้นยังไม่รัดกุมและไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ ทำให้ไม่สามารถปกครองดูแลราษฎรให้มีความเป็นอยู่อย่างมีความสุขได้อย่างทั่วถึง กล่าวคือ เจ้าเมืองคิดจะปราบปรามโจรผู้ร้ายก็จะใช้บุคคลที่มีอิทธิพลสำหรับปราบปรามโจรผู้ร้าย ทำให้ไม่กล้าปล้นสะดม และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน วิธีการดังกล่าวเรียกว่า เลี้ยงขโมยไว้จับขโมย แต่วิธีการดังกล่าวได้ก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากมาก เพราะบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรมการเมืองมักจะประพฤติตนไปในทางทุจริตเสียเอง ด้วยการเป็นหัวหน้าซ่องโจร ปัญหากรมการเมืองประพฤติตนทุจริตนั้นเมื่อได้จัดการปกครองแบบเทศาภิบาลแล้ว ได้จัดให้มีกรมการอำเภอ และตำรวจภูธร ประจำอยู่ตามท้องถิ่นจึงไม่ต้องอาศัยกรมการในท้องถิ่นนั้นเหมือนอย่างแต่ก่อน นอกจากนี้ มณฑลอยุธยายังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ว่าราชการเมือง และกรมการเมืองเบียดบังเงินผลประโยชน์ของทางราชการไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการปกครองแบบเก่าไม่รัดกุมพอเปิดช่องทางให้ผู้ว่าราชการเมือง และกรมการเมืองทุจริต เบียดบังเงินภาษีอากรได้ และการที่เจ้าเมืองไม่มีเงินเดือนทำให้เจ้าเมืองคิดหาผลประโยชน์ในทางไม่ชอบ ก็เป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคิดปรับปรุงการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาล มีข้าหลวงเทศาภิบาล ปกครองดูแลหัวเมืองต่างๆ ได้อย่างทั่วถึงกัน ๒. ปัญหาด้านการศาลปรากฏว่า หัวเมืองแถบมณฑลอยุธยามีคดีต่างๆ คั่งค้างมากมาย ราษฎรที่ถูกจับขังอยู่ในคุกเป็นเวลานานเพราะไม่ได้มีการพิจารณาคดีให้เสร็จสิ้น เป็นการเสียเวลาทำมาหากินของราษฎร บางครั้งผู้ว่าราชการเมืองและกรมการเมืองก็หาประโยชน์โดยเรียกทรัพย์สินจาก ผู้ร้ายที่จับตัวได้แล้วก็ปล่อยตัวไป ในเรื่องที่ผู้ว่าราชการเมืองและกรมการเมืองทุจริตต่อหน้าที่ราชการ หาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองเช่นนี้ ก็เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่มีเงินเดือนประจำจึงต้องหาผลประโยชน์ในทางที่มิชอบ อันเป็นผลเสียหายแก่ทางราชการ ทำให้ราษฎรมองภาพพจน์เจ้าหน้าที่ไปในทางที่ไม่ดี แต่เมื่อได้จัดเป็นมณฑลเทศาภิบาล มีข้าหลวงควบคุมอย่างใกล้ชิด ทำให้ปัญหาในเรื่องนี้ทุเลาเบาบางลงไปได้ ส่วนในเรื่องคดีคั่งค้างอยู่มากมายนั้น เมื่อได้จัดการปรับปรุงการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาลแล้ว มณฑลอยุธยาเป็นมณฑลแรกที่ได้มีพระบรมราชโองการตั้งข้าหลวงพิเศษสำหรับการจัดการเรื่องศาลหัวเมืองโดยมีพระราชบัญญัติลงวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๙ ตั้งข้าหลวงพิเศษ ๓ นาย คือ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ขุนหลวงพระไกรสีห์สุภาศักดิ์ และมิสเตอร์อาเยเกิดปาตริก ได้ช่วยกันชำระความสะสางคดีที่คั่งค้างอยู่ให้ลดเหลือน้อยลง๓๕ ๓. ปัญหาโจรผู้ร้าย หัวเมืองในเขตมณฑลอยุธยานั้นปรากฏว่ามีโจรผู้ร้ายทำการก่อกวนความสงบสุขของราษฎรอยู่เสมอ ต้องผลัดเปลี่ยนตัวผู้ว่าราชการเมืองอยู่เสมอ และการเลือกสรรข้าราช-การในกรุงเทพฯ ที่มีกำลังและความสามารถออกไปรับราชการ เหตุที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุมเนื่องมาจากสาเหตุดังนี้ คือ ๓.๑ หัวเมืองในมณฑลอยุธยาเป็นดินแดนที่มีอาณาเขตกว้างขวางและมีอาณาเขตติดต่อกับเมืองสุพรรณบุรี เมืองนครชัยศรี ซึ่งระหว่างเขตแดนติดต่อกันนี้เป็นป่าดง เหมาะในการหลบซ่อนตัวของโจรผู้ร้ายจึงทำให้มีโจรผู้ร้ายชุกชุม และโดยมากโจรผู้ร้ายจะชอบขโมยสัตว์พาหนะ วัว ควาย การที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุมเช่นนี้ทำให้ราษฎรไม่เป็นอันทำมาหากิน ๓.๒ การตั้งร้านจำหน่ายสุรายาฝิ่น ซึ่งเดิมนายอากรพอใจจะตั้งขายที่ใดก็ได้ บางทีก็เข้าไปขายในวัดร้าง และตำบลที่ไม่มีบ้านเรือนผู้คน อันเป็นช่องทางให้โจรผู้ร้ายเข้าประชุมพักอาศัย เมื่อปล้นได้ของกลางก็เอามาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน และนายอากรบางคนก็รับซื้อของโจร กรมการเมืองก็ไม่สามารถตรวจตราได้ จึงทำให้เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม๓๖ ๓.๓ การที่มีโจรผู้ร้ายลอบลักสัตว์พาหนะ ยานพาหนะมาก เพราะจะมีซ่องตั้งกองรับซื้อของโจร และมีการตั้งโรงรับจำนำในตลาดหรือตามโรงบ่อน อันเป็นช่องทางทำให้เกิดโจรผู้ร้ายลักลอบขโมยทรัพย์สินของราษฎรแล้วมาจำนำ ทำให้ท้องที่ที่มีโรงจำนำมีคดีความเกิดขึ้นมากมาย ๓.๔ เนื่องจากเจ้าเมืองและกรมการเมืองแถบนี้มักจะรู้เห็นเป็นใจกับโจรผู้ร้าย หรือเลี้ยงโจรผู้ร้ายไว้เพื่อผลประโยชน์ของตน และในบางครั้งถึงกับประพฤติตนเป็นโจรเสียเอง ทำให้มณฑลอยุธยาก่อนที่จะจัดตั้งเป็นมณฑลเทศาภิบาลมีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก และคดีความโจรผู้ร้ายในเขตมณฑลอยุธยาก็มีมากมายเกินความสามารถของผู้ว่าราชการเมืองและกรมการเมืองจะปราบปรามได้ จนกระทั่งเมื่อได้มีการปรับปรุงการปกครอง โดยจัดการปกครองหัวเมืองเป็นมณฑลมีข้าหลวงเทศาภิบาลดูแลต่างพระเนตรพระกรรณ สามารถดูแลการปกครองได้อย่างทั่วถึง ราษฎรมีความเป็นอยู่อย่างสงบสุขกว่าแต่ก่อน หัวเมืองต่างๆ ในแถบมณฑลอยุธยาเป็นหัวเมืองที่มีปัญหาหลายประการ ปัญหาที่เด่นชัดคือ ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องโจรผู้ร้ายชุกชุมจนราษฎรไม่เป็นอันทำมาหากิน ปัญหาเกี่ยวกับคดีความที่ค้างศาลมากทำให้เสียเวลาทำมาหากินของราษฎรและปัญหาเกี่ยวกับเจ้านายทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่ราษฎรและเพื่อให้การปกครองเป็นระเบียบแบบแผนเดียวกัน รัฐบาลจึงได้รวมเขตเมืองจัดตั้งเป็นมณฑลอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ เนื่องจากมณฑลอยุธยาไม่มีปัญหาการรุกรานจากต่างชาติอันเป็นปัญหาร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับมณฑลชายแดน ฉะนั้นมณฑลอยุธยาจึงได้รับเลือกเป็นแหล่งสำหรับทดลองโครงการใหม่ๆ ที่ได้ริเริ่มขึ้น ขั้นตอนการดำเนินงานปฏิรูปการปกครองมณฑลอยุธยา มณฑลอยุธยาได้จัดตั้งขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๓๘ (ร.ศ. ๑๑๔) ผู้ที่ดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลของมณฑลอยุธยาคนแรก คือ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ พระองค์ได้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลอยู่ในช่วง พ.ศ. ๒๔๓๘ - ๒๔๔๖ และผู้ที่มาดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาต่อมา คือ พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ซึ่งได้เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๖ - ๒๔๗๒๓๗ ในสมัยที่พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุมมรุพงศ์สิริพัฒน์เป็ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาในระยะแรก พระองค์ได้ปรับปรุงด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการปกครองและด้านการศาล ซึ่งมีผลต่อความสงบสุขของราษฎร การปรับปรุงด้านการปกครองและด้านการศาล ในสมัยพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ และพระยาโบราณราชธานินทร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาล ได้ปรับปรุงด้านการปกครองและด้านการศาลไว้ดังนี้ คือ ๑. การปกครอง ในการปรับปรุงด้านการปกครองซึ่งถือว่าเป็นงานสำคัญอันดับแรกที่จะต้องดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับการปกครองส่วนกลาง การปรับปรุงด้านการปกครองแบ่งได้เป็น ๓ ลักษณะใหม่ๆ คือ - การปรับปรุงแบบแผนการปกครองในมณฑล - การสรรหาตัวบุคคลเข้ามารับราชการ - การป้องกันรักษาความสงบสุขของประชาชน ๑.๑ การปรับปรุงแบบแผนการปกครอง ได้จัดรูปหน่วยการปกครองใหม่ดังนี้ คือ ๑.๑.๑ การจัดรูปการปกครองในมณฑลอยุธยา จัดรูปหน่วยงานและตำแหน่งทางราชการไว้ดังนี้ ๑.๑.๑.๑ กองบัญชาการมณฑล มีตำแหน่งข้าราชการคือข้าหลวงเทศา ภิบาล เสมียนตรา และเลขานุการมียศเป็น ขุน ๓๘ ๑.๑.๑.๒ กองข้าหลวงมหาดไทย มีตำแหน่งข้าราชการคือข้าหลวงมหาดไทยและพนักงานตรวจการ ๓ นาย ๑.๑.๑.๓ กองข้าหลวงคลัง มีตำแหน่งข้าหลวงคลังและผู้ช่วยข้าหลวง คลัง ๑.๑.๑.๔ กองข้าหลวงยุติธรรม มีตำแหน่งข้าหลวงยุติธรรมและผู้ช่วยข้าหลวงยุติธรรม๓๙ รูปแบบการจัดหน่วยงานการปกครองมณฑลอยุธยา กองบัญชาการมณฑล กองข้าหลวงมหาดไทย กองข้าหลวงคลัง กองข้าหลวงยุติธรรม ๑.๒ การจัดรูปการปกครองเมือง พ.ศ. ๒๔๔๑ มณฑลอยุธยาได้ประกาศใช้ ข้อบังคับลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๗" ได้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองบางคน โดยยึดเอาความรู้ความสามารถเป็นเกณฑ์ และตำแหน่งกรมการเมืองอันเป็นตำแหน่งข้าราชการอันดับรองมาจากผู้ว่าราชการเมือง แบ่งออกเป็น ๒ คณะ คือ ๑.๒.๑ กรมการเมืองในทำเนียบ ได้แก่ข้าราชการประจำมีตำแหน่งปลัดเมืองยกกระบัตร และผู้ช่วยข้าราชการทั้ง ๓ ตำแหน่งนี้เป็นกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ ส่วนกรมการเมืองชั้น ผู้น้อยซึ่งเป็นข้าราชการชั้นรองมี ๕ คน คือ จ่าเมือง สัสดี แพ่ง ศุภมาตรา และสารเลข นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งโยธาธิการ และพะทำมะรง๔๐ ๑.๒.๒ กรมการเมืองนอกทำเนียบ เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งจากบุคคลผู้ทรง-คุณวุฒิคฤหบดีที่ได้ตั้งบ้านเรือนในเมืองนับมีจำนวน ๑๐ คน เป็นตำแหน่งประจำ ๕ คน ตำแหน่งไม่ประจำ ๕ คน อยู่ในตำแหน่งคราวละ ๕ ปี กรมการเมืองนอกทำเนียบนี้เป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นใหม่โดยรัฐบาลมีจุดประสงค์จะทำให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกครองรัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้เพราะบุคคลเหล่านี้มีฐานะดีอยู่แล้ว กรมการเมืองนอกทำเนียบเป็นเพียงผู้ให้คำปรึกษาหารือแก่ผู้ว่าราชการเมือง ๑.๓ การจัดรูปการปกครองแขวงหรืออำเภอ หน่วยราชการในมณฑลระดับถัดลงไปจากเมืองคือแขวงหรืออำเภอ กระทรวงมหาดไทยได้วางเขตอำเภอตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ ฉะนั้นมณฑลอยุธยาจึงได้แบ่งเขตอำเภอใหม่ คือ เมืองอยุธยามี ๑๑ อำเภอ เมืองลพบุรีมี ๔ อำเภอ เมืองอ่างทองมี ๔ อำเภอ เมืองสระบุรีมี ๕ อำเภอ เมืองสิงห์บุรีมี ๔ อำเภอ ตำแหน่งข้าราชการในอำเภอ มีทั้งข้าราชการที่เป็นกรมการอำเภอและข้าราช-การที่ไม่ใช่กรมการอำเภอ กรมการอำเภอประกอบด้วยนายอำเภอ ปลัดอำเภอ และสมุหบัญชีอำเภอ ส่วนข้าราชการที่ไม่ใช่กรมการอำเภอ ได้แก่ เสมียนพนักงานจำนวนหนึ่งตามสมควรแก่ทางราชการ๔๑ ๑.๔ การจัดรูปการปกครองตำบลและหมู่บ้าน การจัดรูปแบบของหน่วยการปกครองตำบล มีตำแหน่งกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวหน้าหน่วยการปกครอง วิธีการจัดตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ ให้จัดตั้งจากบุคคลที่มีความซื่อสัตย์มั่นคงดีเป็นผู้ใหญ่บ้านที่พอจะว่ากล่าวบังคับราษฎรได้ แต่ต่อมาไม่มีการเลือกผู้ใหญ่บ้าน คงมีแต่กำนัน ทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของกำนันบกพร่องไปด้วย เนื่องจากขาดผู้ช่วยคอยดูแลทุกข์สุขของราษฎรในท้องที่ และเขตท้องที่ภายในตำบลหนึ่งๆ ก็กว้างขวางมากเกินกำลังคนคนเดียวที่จะ ปกครอง๔๒ ข้อบกพร่องดังกล่าวได้รับการแก้ไขในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชดำริเห็นควรที่จะเริ่มจัดการให้มีการทดลองจัดตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านขึ้นเป็นตัวอย่าง โดยให้ประชาชนเป็นผู้เลือกกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเอง โดยได้ทรงมอบหมายให้หลวงเทศาจิตวิจารณ์ (เส็ง วิริยศิริ) ไปทดลองเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่เกาะบางปะอินเป็นการทดลองก่อน สำหรับวิธีการดำเนินการเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่เกาะบางปะอิน ในขั้นแรกหลวงเทศาจิตวิจารณ์ได้จัดให้มีการเลือกผู้ใหญ่บ้านโดยให้จัดทำบัญชีสำมะโนครัวที่จะจัดเป็น หมู่บ้าน ดังนี้คือ ให้จัดรวมเจ้าของบ้านที่อยู่ใกล้ชิดติดต่อกันราว ๑๐ เจ้าของบ้าน ซึ่งเจ้าของหนึ่งจะมีเรือนกี่หลังก็ตามรวมเข้าเป็นหมู่บ้านและเชิญเจ้าของบ้านมาประชุมในวัดพร้อมด้วยราษฎรอื่นๆ แล้วให้เจ้าของบ้านเลือกผู้ใหญ่บ้านกันในหมู่ของพวกเขาว่าใครจะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน เมื่อได้ดำเนินการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านขึ้นแล้ว หลวงเทศาจิตวิจารณ์ก็ได้ดำเนินการจัดให้มีการเลือกตั้งกำนัน โดยได้จัดประชุมที่ศาลาวัด ให้ราษฎรในท้องที่นั้นเลือกผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งในหมู่ของพวกเขาว่าใครควรที่จะได้รับเลือกให้เป็นกำนัน ผลของการทดลองเลือกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่บางประอินนับว่าประสบความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่จึงเป็นการเร่งเร้าพระราชประสงค์ที่จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ขึ้นทั่วพระราชอาณาจักร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้มณฑลต่างๆ ได้ดำเนินการเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตามแบบที่ได้ทดลองที่บางประอิน คือให้ราษฎรชายหญิงซึ่งตั้งบ้านเรือนประจำอยู่ในหมู่บ้านประชุมกันเลือกเอาบุคคลในท้องที่ที่มีคุณงามความดีเป็นที่นิยมของราษฎร หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 14:56:31 พระนครศรีอยุธยา ๔
เป็นผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่ง วิธีการเลือกตั้งอาจเปิดเผยหรือลับก็ได้ ให้นายอำเภอเป็นประธาน ผู้ได้รับคะแนนนิยมมากให้นายอำเภอเข้าไปขอรับหมายตั้งจากผู้ว่าราชการเมือง ส่วนการเลือกตั้งกำนันให้ผู้ใหญ่บ้านในตำบลเดียวกันเลือกกันเองในระหว่างกลุ่มผู้ใหญ่บ้านยกขึ้นเป็นกำนันโดยมีนายอำเภอเป็นประธาน และผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้ออกหมายตั้งให้เช่นเดียวกัน๔๓ การเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านนี้ นับว่าเป็นความก้าวหน้าในการปกครองท้อง-ถิ่นอย่างยิ่งเพราะราษฎรมีโอกาสที่จะพิจารณาเลือกคนที่ตนเห็นวาเหมาะสมและอาจนำความสุขความเจริญมาสู่ตนได้ และมีสิทธิที่จะไม่เลือกผู้ที่ประพฤติเป็นพาลเกเรได้ ทำให้คนดีมีความสามารถใน หมู่บ้านมีโอกาสเข้ามาปกครองสร้างความสุขความเจริญให้แก่ตำบลและหมู่บ้าน นอกจากนี้การจัดตั้งกำนันและผู้ใหญ่บ้านยังมีประโยชน์ต่อทางราชการมากคือ จะเป็นผู้ดูแลทุกข์สุขและควบคุมความประพฤติของลูกบ้านให้ประพฤติตัวดี ขยันทำมาหากิน ไม่ทะเลาะวิวาท นอกจากนี้ยังช่วยเหลือทางราชการในการสืบจับโจรผู้ร้าย ซึ่งแต่เดิมมณฑลอยุธยามีโจรผู้ร้ายชุกชุมมักจะปล้นฝูงวัวควายไปรายละมากๆ แต่เมื่อได้จัดตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านแล้ว กำนันและผู้ใหญ่บ้านคอยตรวจตราทำให้โจรผู้ร้ายไม่กล้าจี้ปล้นอย่างแต่ก่อน เมื่อเกิดมีโจรผู้ร้ายปล้นที่ใดแล้ว กำนันผู้ใหญ่บ้านมักจะติดตามได้ตัวผู้ร้ายและของกลางคืนมาแทบทุกราย รวมทั้งทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนโดยรายงานให้นายอำเภอและผู้ว่าราชการเมืองทราบ ๒. การปรับปรุงด้านการศาล เนื่องจากมณฑลอยุธยามีคดีความคั่งค้างโรงศาลเป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกองข้าหลวงพิเศษออกไปชำระความที่มณฑลอยุธยาเป็นแห่งแรก การชำระคดีความของกองข้าหลวงนับว่าเป็นประโยชน์ต่อชาวอยุธยามาก เพราะเป็นไปด้วยความรวดเร็วประชาชนไม่เสียเวลาในการทำมาหากิน กล่าวคือ วิธีการชำระความของกองข้าหลวงพิเศษ เมื่อไต่สวนได้ความว่าทำผิดจริงและจำเลยยอมรับสารภาพ ก็จะอ่านคำฟ้องและคำ ตัดสินให้จำเลยฟัง และในกรณีที่จำเลยคนใดถูกขังมานานพอแก่โทษก็ให้สั่งปล่อยไป ปรากฏว่าวิธีการชำระสะสางคดีความที่มณฑลอยุธยา พระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถือว่าเป็นตัวอย่างอันดีสมควรที่มณฑลอื่นจะได้เอาเป็นตัวอย่างในการจัดศาลยุติ-ธรรมในหัวเมืองต่อไป๔๔ การจัดตั้งศาลในมณฑลอยุธยาได้แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ ๑. ศาลแขวง บังคับคดีในเขตแขวง ๒. ศาลเมือง บังคับคดีในเขตเมือง ๓. ศาลมณฑล บังคับคดีในเขตมณฑลอยุธยา ผลของการปฏิรูปการปกครองมณฑลอยุธยา มณฑลอยุธยาเป็นมณฑลที่ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศ และเป็นมณฑลชั้นในที่ไม่มีปัญหาจากการรุกรานของต่างชาติ ฉะนั้น การปฏิรูปการปกครองจึงเป็นไปเพื่อให้บ้านเมืองมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและทำให้อยู่เย็นเป็นสุข ในเรื่องนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเห็นว่า ความมุ่งหมายในการปกครองแบบใหม่และแบบเก่าก็ยึดหลัก บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ด้วยกัน แต่คำว่า อยู่เย็นเป็นสุข นั้น มีความหมายผิดกัน การปกครองแบบเก่าถ้าบ้านเมืองปราศจากภัยต่างๆ เช่น โจรผู้ร้าย ก็เป็นสุข จะเห็นได้จากกฎหมายปกครองในสมัยโบราณมักอ้างเหตุที่เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมแทบทั้งนั้น ดังนั้น ตามหัวเมืองเจ้าเมืองกรมการก็มุ่งหมายจะรักษาความสงบเรียบร้อยไม่ให้มีโจรผู้ร้าย เมื่อรัฐบาลเห็นว่าเมืองใดสงบเรียบร้อย ไม่มีโจรผู้ร้ายก็จะยกย่องว่าปกครองดี แต่ถ้าเมืองใดโจรผู้ร้ายชุกชุมก็ให้บ้าหลวงออกไประงับเหตุ ในกรณีเกิดสงครามเสนาบดีก็จะออกไปเอง จึงไม่มีการตรวจหัวเมืองในเวลาปกติ ความคิดที่จะให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขก็ต้องทำนุบำรุงในเวลาบ้านเมืองปกติด้วย แนวความคิดดังกล่าวได้เริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและถือเป็นรัฏฐาภิปาลโนบายสืบมา ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาที่มีความสามารถในการบริหารมณฑลอยุธยา ได้แก่ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ ดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลระหว่าง พ.ศ. ๒๔๔๐ - ๒๔๔๖ และผู้ดำรงตำแหน่งคนต่อมาคือ พระยาโบราณราชธานินทร์ ซึ่งข้าหลวงเทศาภิบาลทั้งสองคนได้จัดการแก้ไขและปรับปรุงด้านการปกครองจนทำให้มณฑลอยุธยามีความสงบสุข เป็นระเบียบเรียบร้อยดังจะเห็นได้ถึงผลของการปฏิรูปมณฑลอยุธยา ดังนี้ ๑. ด้านการปกครอง ได้จัดรูปการปกครองในมณฑล เมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ไว้อย่างเป็นระเบียบแบบแผนที่ดี นอกจากนี้ มณฑลอยุธยา เป็นมณฑลแรกที่ได้จัดการทดลองเลือกกำนันและผู้ใหญ่บ้านในด้านการป้องกันรักษาความสงบสุขของราษฎร ข้าหลวงเทศาภิบาลทั้งสองคน ต่างก็พยายามหาวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องโจรผู้ร้าย จนมณฑลอยุธยาเป็นมณฑลที่มีความสงบสุข นอกจากนี้ มณฑลอยุธยายังเป็นแหล่งผลิตกรมการอำเภอป้อนมณฑลอื่นๆ ในสมัยพระยาโบราณราชธานินทร์ มณฑลอยุธยาเป็นแหล่งแรกที่คิดฝึกหัดข้าราชการแบบใหม่ได้ผลดี จนกระทรวงมหาดไทยถือเป็นหลักปฏิบัติต่อมา โดยนำมาปรับปรุงวิธีการให้ดีขึ้นในการนำมาฝึกข้าราชการแผนกต่างๆ ๒. ด้านการศาล มณฑลอยุธยาได้มีกองข้าหลวงอันมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นประธาน ได้จัดตั้งศาลมณฑลและศาลเมืองขึ้นในมณฑลอยุธยา ทำให้การพิจารณาดคีความในมณฑลเป็นระเบียบเรียบร้อยจนได้รับคำชมจากพระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และให้มณฑลอื่นเอาเป็นแบบอย่างในการจัดด้านศาลด้วย ๔. การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภอ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแห่งอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ กำหนดให้จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร และให้ยกเลิกมณฑลเทศาภิบาลเสีย ทั้งนี้อาจเนื่องจาก ๑. การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วกว่าแต่ก่อน ทำให้สามารถสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้อย่างทั่วถึง ๒. เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณของประเทศ ๓. เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด กล่าวคือ จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔. ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ รัฐบาลมีนโยบายที่กระจายอำนาจให้แก่ส่วนภูมิภาคมากขึ้น และการยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจในการปกครองแทนมณฑลนั่นเอง สำหรับการบริหารราชการแผ่นดินองไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้คือ ๑. ระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง ๒. ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค ๓. ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินดังกล่าวได้ใช้หลักการรวมอำนาจ การแบ่งอำนาจ และการกระจายอำนาจ กล่าวคือ การบริหารราชการส่วนกลางใช้หลักการรวมอำนาจ โดยจัดเป็นกระทรวง ทบวง กรม และทบวงการเมืองที่มีฐานะเทียบเท่ากรม การบริหารราชการส่วนภูมิภาคใช้หลักการแบ่งอำนาจ โดยส่วนกลางได้แบ่งอำนาจให้แก่จังหวัดและอำเภอเป็นผู้ทำแทนในนามของส่วนกลาง โดยมีเจ้าหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลาง ซึ่งเป็นผู้แทนกระทรวง ทบวง กรม ในส่วนกลางไปประจำตามภูมิภาคเหล่านั้น ส่วนการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นใช้หลักการกระจายอำนาจโดยมอบอำนาจในการจัดการเกี่ยวกับการปกครองและการบริหารงานในท้องถิ่น ให้ราษฎรในท้องถิ่นไปจัดทำเองโดยราษฎรเลือกตัวแทนซึ่งเป็นบุคคลในท้องถิ่นนั้นๆ เข้าไปบริหารกิจการต่างๆ ในท้องถิ่น การจัดรูปองค์การบริหารราชการส่วนกลาง ประกอบด้วย ๑. สำนักนายกรัฐมนตรี มีฐานะเทียบเท่ากระทรวง ๒. กระทรวง ซึ่งประกอบด้วยกรมและส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเทียบเท่ากรม ๓. ทบวง ซึ่งอาจสังกัดหรือไม่สังกัด สำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวงก็ได้ ๔. กรม หรือส่วนราชการอื่นที่เรียกชื่ออย่างอื่น และมีฐานะเป็นกรม ซึ่งอาจสังกัดหรือไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง ก็ได้ ราชการบริหารราชการส่วนกลางประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินตามกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน การจัดองค์การบริหารราชการส่วนกลาง นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในปัจจุบัน ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ และพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๗๕ กล่าวคือ ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ข้อ ๔๗ ได้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ สำหรับหน่วยการปกครองท้องที่รองลงมาจากอำเภอ แบ่งออกเป็น ๑. กิ่งอำเภอ ๒. ตำบล ๓. หมู่บ้าน ทั้ง ๓ หน่วยการปกครองนี้ ถือเป็นการปกครองท้องที่ตามข้อ ๖๓ ของประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินปัจจุบัน ได้กล่าวถึงการ ปกครองอำเภอว่า การจัดการปกครองอำเภอ นอกจากที่ได้บัญญัติไวัในประกาศของคณะปฏิวัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการปกครองท้องที่ จังหวัด ตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินปัจจุบัน จังหวัดหมายถึงหน่วยการปกครองส่วนภูมิ-ภาคที่รวมท้องที่หลายๆ อำเภอเข้าด้วยกัน ตั้งขึ้นเป็นจังหวัด จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ การจัดระเบียบบริหารราชการของจังหวัด จัดระเบียบบริหารราชการออกเป็น ๒ ส่วน คือ ๑. สำนักงานจังหวัด มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบ ๒. ส่วนราชการต่างๆ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ได้ตั้งขึ้นมีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวง ทบวง กรม นั้นๆ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดนั้นๆ เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชา รับผิดชอบ รูปแบบการจัดองค์การบริหารราชการของจังหวัด จังหวัด อำเภอ สำนักงานจังหวัด ส่วนราชการต่างๆ สำนักงานอำเภอ ส่วนต่างๆ ในจังหวัดหนึ่งๆ มีผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่งเป็นผู้รับนโยบายและคำสั่งจากนายกรัฐ-มนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องที่และประชาชน และเป็นหัวหน้าบังคับบัญชาข้าราชการส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัด โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ช่วย ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด ในจังหวัดหนึ่งๆ จะมีหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด ซึ่งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ส่งมาปฏิบัติหน้าที่ราชการที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวง ทบวง กรมนั้นๆ และเป็นผู้บังคับบัญชา ข้าราชการส่วนภูมิภาคซึ่งกระทรวง ทบวง กรม นั้นๆ ส่งมาปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัด คณะกรมการจังหวัด ในจังหวัดหนึ่งๆ มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้นๆ คณะกรมการจังหวัดประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานโดยตำแหน่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดซึ่งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ส่งมาประจำ ฐานะของกรมการจังหวัดมีฐานะเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด อำเภอ อำเภอเป็นหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาครองลงมาจากจังหวัดอยู่ในสายงานของจังหวัดแต่ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลเหมือนจังหวัด อำเภอหนึ่งๆ ประกอบด้วยเขตท้องที่ของหลายตำบลรวมกัน การจัดตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตอำเภอให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา การจัดระเบียบบริหารราชการอำเภอ แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ๑. สำนักงานอำเภอ มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของอำเภอ มีนายอำเภอเป็นผู้ปก-ครองบังคับบัญชาและรับผิดชอบ ๒. ส่วนต่างๆ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ได้ตั้งขึ้นในอำเภอนั้น มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวง ทบวง กรม นั้น มีหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอนั้นเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ นายอำเภอเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาบรรดาข้าราชการในอำเภอและรับผิดชอบงานบริหารราชการอำเภอ โดยมีปลัดอำเภอและหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ในอำเภอเป็นผู้ช่วยเหลือนายอำเภอ ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ได้กำหนดอำนาจและหน้าที่ของนายอำเภอว่า ให้บริหารราชการตามที่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มอบหมาย และบริหารราชการตามคำแนะนำและคำชี้แจงของผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งควบคุมการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น กิ่งอำเภอ กิ่งอำเภอเป็นหน่วยการปกครองท้องที่ซึ่งรวมหลายตำบล แต่ไม่มีลักษณะพอที่จะจัดตั้งเป็นอำเภอได้ การจัดตั้งกิ่งอำเภอ อำเภอหนึ่งๆ อาจจัดตั้งหลายกิ่งอำเภอก็ได้ เพื่อสะดวกในการ ปกครอง กิ่งอำเภอเป็นเขตการปกครองส่วนหนึ่ง ซึ่งรวมอยู่ในอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ประจำกิ่งอำเภอก็คือ เจ้าหน้าที่ซึ่งแบ่งออกจากอำเภอให้มาประจำกิ่ง-อำเภอนั้นเอง ตำบล ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๖ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้พิจารณาเห็นว่า ตำบลเป็นหน่วยการปกครองขั้นพื้นฐานของการปกครองส่วนภูมิภาค และเป็นหน่วยการปก-ครองที่มีความสำคัญเกี่ยวพันกับการปกครองส่วนภูมิภาคระดับอื่น จึงได้ประกาศแก้ไขการจัดระเบียบบริหารของตำบลเสียใหม่ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๒๖ ตำบลเป็นเขตการปกครองส่วนย่อยของอำเภอ หรือกิ่งอำเภอ การจัดตั้งตำบล กระทำได้เมื่อเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ กล่าวคือ เป็นท้องที่ๆ มีหมู่บ้านหลายๆ หมู่บ้านรวมกันรวม ๒๐ หมู่บ้าน การจัดตั้งตำบลทำโดยออกประกาศกระทรวงแล้วจึงประกาศในราชกิจจานุเบกษา การจัดระเบียบบริหารราชการตำบล ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๒๖ ให้สภาตำบลประกอบด้วยคณะกรรมการสภาตำบล ซึ่งมีกำนันท้องที่เป็นประธานกรรมการสภาตำบล ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านในตำบลและแพทย์ประจำตำบลนั้น เป็นกรรมการสภาตำบลโดยตำแหน่ง และกรรมการสภาตำบลผู้ทรงคุณวุฒิหมู่บ้านละหนึ่งคน ซึ่งราษฎรในหมู่บ้านนั้นเป็นผู้เลือก ให้สภาตำบลมีที่ปรึกษาสภาตำบลหนึ่งคน ซึ่งแต่งตั้งจากปลัดอำเภอหรือพัฒนากรท้องที่ และมีเลขานุการสภาตำบลหนึ่งคน ซึ่งแต่งตั้งจากครูประชาบาลในตำบลนั้น ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๒๖ ได้กำหนดหน้าที่ของสภาตำบลให้บริหารงานตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัด ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่กำหนดไว้สำหรับคณะกรรมการตำบล รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่ตามที่ทางราชการมอบหมายให้ หมู่บ้าน หมู่บ้านเป็นเขตการปกครองท้องที่ๆ เล็กที่สุด การจัดตั้งหมู่บ้านกระทำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดโดยรายงานไปยังกระทรวงมหาดไทยเพื่อขึ้นทะเบียนไว้ หมู่บ้านที่จะจัดตั้งอาจถือเอาจำนวนราษฎรหรือจำนวนบ้านเป็นเกณฑ์ กล่าวคือเป็นท้องที่ๆ มีราษฎรอยู่จำนวนประมาณ ๒๐๐ คน ก็จัดตั้งเป็นหมู่บ้านหนึ่งได้ หรือในกรณีท้องที่ใดจำนวนราษฎรไม่หนาแน่นและตั้งบ้านเรือนอยู่ห่างไกลกัน ถึงแม้ว่าจะมีราษฎรจำนวนน้อยก็ให้ถือจำนวนบ้านเป็นเกณฑ์ คือมีบ้านไม่ต่ำกว่า ๕ บ้าน ก็จัดตั้งเป็น หมู่บ้านหนึ่งได้ การจัดระเบียบบริหารราชการของหมู่บ้านได้กำหนดให้หมู่บ้านหนึ่งมีผู้ใหญ่บ้านหนึ่งคน ซึ่งมาจากการที่ราษฎรเลือกตั้ง มาจากบุคคลในท้องถิ่นนั้นๆ ผู้ใหญ่บ้านจะมีอำนาจหน้าที่ปกครองราษฎรและรักษาความสงบเรียบร้อยในเขตหมู่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้านมีหน้าที่เสนอข้อแนะนำ และให้คำปรึกษาแก่ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้านจะประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ปลัดอำเภอฝ่ายปกครองเป็นกรรมการหมู่บ้านโดยตำแหน่งและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งราษฎรเลือกตั้งขึ้น มีจำนวนตามที่นายอำเภอเห็นสมควร แต่ต้องไม่น้อยกว่า ๒ คน ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดพระนครศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๖. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 14:58:08 ฉะเชิงเทรา
.ตั้งแต่เมืองฉะเชิงเทรา ตั้งปากน้ำเจ้าโล้แล้วยกมาตั้งแปดริ้ว แล้วยกไปตั้งโสธร . เป็นประโยคที่ได้จากจารึกในแผ่นเงิน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๘ และถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕ ปัจจุบัน เงินแผ่นนี้เจ้าอาวาสวัดพยัคฆาอินทาราม (วัดเจดีย์) เก็บรักษาไว้ คำว่า แปดริ้ว ปรากฏเป็นหลักฐานในข้อเขียนบรรยายภาพประวัติวัดสัมปทวน ความว่า .บางช่องปั้นเป็นภาพของจังหวัดฉะเชิงเทรา สมัย ๖๐ ปี สมัย ๑๐๐ ปี ที่ล่วงมาแล้วให้ผู้ที่ยังไม่ทราบจะได้ทราบว่า จังหวัดฉะเชิงเทราซึ่งเดิม เรียกเมืองแปดริ้วนั้น สมัยนั้นๆ มีสภาพเป็นอย่างไร . และ พ.ศ. ๒๕๓๐ ความว่า .เปลี่ยนจากเซาที่แปลว่า ความเงียบ ยังมีอีกคำหนึ่งที่เรียกว่า บางปลาสร้อยร้อยริ้ว บางปลาสร้อยก็คือ ชลบุรี ร้อยริ้วก็คือ แปดริ้ว หรือฉะเชิงเทรานี้เอง . เมืองแปดริ้วอยู่ที่ไหน ถ้าแปดริ้วกับร้อยริ้ว คือเมืองเดียวกันด้วยอิทธิพลของภาษาจีนเพี้ยนเป็นคำไทย และถ้าเป็นเช่นนั้น เมืองฉะเชิงเทราเป็นเมืองโบราณเพราะหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบขึ้นภายหลังล้วนอยู่ในบริเวณใกล้เมืองฉะเชิงเทราทั้งสิ้น ดังนั้นชุมชนโบราณของฉะเชิงเทราก็ควรเป็นเมืองร้อยริ้วที่คล้องจองกับบางปลาสร้อยนั่นเอง ถึงอย่างไรชื่อเมืองแปดริ้ว ก็จัดอยู่ในประเภทตำนานหรือมีนิทานชาวบ้านที่เลียบชาย ฝั่งทะเล ยังมีมากกว่านี้ ถ้าหากนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์จะไม่หลงลืมดินแดนนี้ไปเสีย เพราะหลักฐานที่เกี่ยวกับมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ยังมีอีกมาก "อย่างน้อยก็เป็นดินแดนปากทางเข้า และฐานเศรษฐกิจทางทะเลของที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือในเมืองไทยและที่ราบต่ำในเขมร " ทั้งหมดนี้คงพอจะเป็นพลังให้นักคิด นักเขียน สามารถนำไปศึกษาข้อมูลเพื่อสนับสนุนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้มีความก้าวหน้าและสมบูรณ์ขึ้น พงศาวดารกับประวัติเมืองฉะเชิงเทรานั้น ปรากฏหลักฐานว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ยกทัพไปกวาดต้อนครัวไทยกลับคืนมา หลังจากที่พระยาละแวกได้ฉวยโอกาสขณะที่ไทยติดสงครามพม่า เขมรเข้ามากวาดครัวไทย แถบจังหวัดจันทบูร ระยอง ฉะเชิงเทรา และชาวนาเริง (นครนายก) ในการศึกษาครั้งนี้ ชาวฉะเชิงเทราได้มีส่วนช่วยราชการสงครามได้รับความชอบซึ่งเป็นเกียรติมาแต่ครั้งนั้น เจ้าเมืองซึ่งเคยมีบรรดาศักดิ์เพียง "พระวิเศษ" ก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น "พระยาวิเศษ" ตั้งแต่นั้นมา ล่วงเข้าสมัยอยุธยาตอนปลาย กรมหมื่นเทพพิพิธได้รวบรวมกองทัพชาวเมืองแถบ ตะวันออกพร้อมด้วยชาวเมืองฉะเชิงเทราเข้าร่วมในกองทัพนั้น เพื่อเข้าไปช่วยแก้ไขอยุธยาที่กำลังเข้าตาจนในขณะนั้น แต่กองทัพไปเสียทีพม่าที่ปากน้ำโยธกาเสียก่อน เมื่ออยุธยาคับขันถึงขนาดจะแก้ไขไม่ได้แล้ว พระยาตากได้คุมพลประมาณหนึ่งพันเศษ ตลุยทหารพม่ามาข้ามฟากที่ปากน้ำเจ้าโล้ อำเภอบางคล้า แล้วเดินทัพมุ่งไปตั้งตัวที่จันทบุรี ใช้เวลาบำรุงฝึกปรือกองทัพเป็นเวลา ๗ เดือนเต็ม แล้วจึงนำทัพขับไล่พม่าพ้นจากดินแดนไทย ในครั้งนั้นคนฉะเชิงเทราก็ได้เข้าร่วมไปกับกองทัพกู้ชาติอย่างสมภาคภูมิ และถือเป็นเกียรติยศของชาวเมืองฉะเชิงเทราที่มีเลือดของความเป็นผู้เสียสละและรักชาติอย่างแท้จริงตลอดมานั้นด้วย เข้าสมัยรัตนโกสินทร์ เมืองฉะเชิงเทราได้อยู่ในสายตาชาวตะวันตกแล้ว เพราะจากบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสกล่าวว่า " ..จังหวัดแปดริ้ว (ต้นฉบับเขียน ) และบางปลาสร้อย ๓๐๐ คน .." (หมายถึงมีคริสต์ศาสนิกชน) การบันทึกของฝรั่งนี้อยู่ในปี พ.ศ. ๒๓๗๓ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวต่างประเทศก็ให้ความสำคัญต่อดินแดนแถบนี้เป็นอย่างมาก ยิ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในการเดินทางของฝรั่งก้าวหน้าและทันสมัย ก็ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้มีการสำรวจบริเวณลุ่มแม่น้ำบางปะกงนี้อย่างกว้างขวางอย่างแน่นอนเพียงแต่เรายังไม่พบหลักฐานที่เขาเขียนไว้อย่างละเอียดในตอนนี้เท่านั้น และคาดว่าต่อไปเมื่อพบคงจะทราบของแปลกๆ ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกเป็นแน่ ต่อมาไทยเกิดบาดหมางกับญวน สู้รบกันในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ และภายหลังญวนได้ได้ตกไปเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสจึงทำให้ไทยเล็งเห็นถึงภัยที่จะมาจากเรือ ต่างชาติ พระองค์จึงรับสั่งให้สร้างป้อมขึ้นที่เมืองฉะเชิงเทราพร้อมกับเมืองอื่นๆ อีกหลายเมืองในปี พ.ศ. ๒๓๗๗ เมืองฉะเชิงเทราจึงปรากฏหลักฐานเป็นเมืองคล้ายเมืองสมัยใหม่คือมีป้อมป้องกันแบบเมืองสมัยใหม่เพื่อทานแรงจากการยิงของปืนเรือศัตรูที่มาทางเรือ ข้อนี้นับเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่ควรจะเล็งเห็นถึงอดีตของกำแพงเมืองที่ยังอนุรักษ์ไว้เพื่อการศึกษาเป็นอย่างดี ป้อมเมืองหรือกำแพงเมืองฉะเชิงเทราสร้างขึ้นพร้อมกับวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎ์ซึ่งถือเป็นวัดหลวงในสมัยนั้น เพื่อประกอบพิธีการต่างๆ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๙๐ เกิดจลาจล "อั้งยี่" พวกนี้เป็นคนจีนที่อพยพเข้ามารับจ้างทำไร่ และเป็นกรรมกรในงานอื่นๆ เกิดมีความกำเริบยึดเมือง และฆ่าเจ้าเมืองฉะเชิงเทราในครั้งนั้นคือ พระยาวิเศษฤาชัย (บัว) มีผลให้บ้านเมืองฉะเชิงเทราร่วงโรยไประยะหนึ่ง พอเข้าสู่ยุคการล่าอาณานิคมอย่างจงใจของชาติมหาอำนาจ เมืองฉะเชิงเทราจึงได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย เพื่อเป็นฐานปฏิบัติการต่อสู้ในด้านทิศตะวันออกอีกครั้งหนึ่ง เริ่มตั้งแต่การสร้างทางรถไฟมาถึงแปดริ้ว และสร้างที่ว่าการมณฑลปราจีนไว้ในย่านเดียวกัน คือริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง (ปัจจุบันคือศาลากลางไฟไหม้ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๔๙) สร้างกำลังทหารกองพล ๙ ขึ้นที่ตำบลโสธร (ค่ายศรีโสธรปัจจุบัน) สร้างโรงเรียนตัวอย่างมณฑลปราจีน "ฉะเชิงเทรารังสฤษฎิ์" (ปัจจุบันคือโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์) การที่ต้องเร่งดำเนินการสร้างบ้านเมืองให้ทันสมัยก็เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนที่กำลังไม่แน่ใจในอธิปไตยของชาติ เพราะชาติมหาอำนาจใช้นโยบายสิทธิสภาพนอกอาณาเขตคือ คนในบังคับของสถานกงสุลไปขึ้นศาลกงสุลสำหรับคนต่างด้าวโดยเฉพาะ ชาวจีนต่างก็สนใจที่จะไปเป็นคนในบังคับของต่างชาติ และพร้อมกับเมื่อมีข่าวเรื่องการเสียดินแดนให้กับชาติมหาอำนาจบ่อยๆ ด้วย จึงทำให้รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองให้ประชาชนเกิดความเลื่อมใสต่อการปกครองของรัฐบาลไทยและเมืองฉะเชิงเทรานี้ ก็ได้เป็นตัวอย่างให้มณฑลอื่นๆ มาดูแบบอย่างการปกครองที่ก้าวหน้าและมั่นคงในครั้งนี้ด้วย จึงนับเป็นประวัติศาสตร์ที่ สมควรแก่การบันทึกให้เยาวชนชาวฉะเชิงเทราได้ภาคภูมิใจโดยถ้วนหน้าด้วย อีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะได้ให้ทราบโดยทั่วกันคือ ดินแดนเมืองฉะเชิงเทรานี้มีประชาชนที่รวมกันอยู่หลายเชื้อชาติหลายวัฒนธรรม แต่ทางราชการก็ได้ดำเนินการปกครองที่ก่อให้เกิดความกลมกลืนได้อย่างราบรื่นกล่าวคือ แต่งตั้งปลัดเขมรขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่ง เรียกว่า "พระกัมพุชภักดี" เพื่อช่วยทางราชการปกครองคนไทยวัฒนธรรมเขมร หรือตั้งปลัดจีนขึ้นมาช่วยปกครองคนจีนที่เข้ามาทำมาหากินที่ฉะเชิงเทรามากขึ้นในขณะนั้น และเรียกตำแหน่งปลัดจีนว่า "หลวงวิสุทธิจีนชาติ" และถ้าเป็นระดับ นายอำเภอก็ตั้งเป็น "หมื่นวิจารณกฤตจีน" เป็นต้น สรุปว่า เมืองฉะเชิงเทราได้คงความสำคัญของชาติบ้านเมืองมาแต่โบราณกาล เมื่อเข้าสู่ยุคการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ การปกครองในระบบเทศาภิบาลที่เริ่มมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ก็ยุติลง เริ่มใช้ พ.ร.บ. ว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๔๗๖และรัฐบาลก็กระจายอำนาจมายังส่วนภูมิภาค ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ จังหวัดฉะเชิงเทราได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ตั้งภาคมีเขตรับผิดชอบ ๘ จังหวัด ซึ่งเป็นการตั้งภาคครั้งสุดท้ายแล้วก็ยกเลิกไป ในปัจจุบัน ฉะเชิงเทรามี ๘ อำเภอ ๑ กิ่ง ได้แก่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา อำเภอบางคล้า อำเภอบางน้ำเปรี้ยว อำเภอบางปะกง อำเภอบ้านโพธิ์ อำเภอพนมสารคราม อำเภอสนามชัยเขต อำเภอแปลงยาว และกิ่งอำเภอราชสาส์น มีองค์การบริหารส่วนจังหวัด ๑ แห่ง เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา เทศบาลตำบลบางคล้า สุขาภิบาล ๑๕ แห่ง และสภาตำบล ๘๙ ตำบล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๔ คน มีกองพล ร.๑๑ ตั้งขึ้นเมื่อ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๔ ที่ตำบลบางตีนเป็ด อ. เมือง จ. ฉะเชิงเทรา ถือเป็นประวัติศาสตร์ด้านการทหาร ซึ่งในสมัยการล่าอาณานิคม รัฐบาลก็ได้เคยขยายกำลังทหารระดับกองพลมาตั้งไว้ครั้งหนึ่งแล้วคือ กองพล ๙ ที่ได้กล่าวไปแล้วครั้งหนึ่ง มาปัจจุบันสถาน-การณ์ทางชายแดนตะวันออกส่อไปในทางไม่ปลอดภัย รัฐบาลจึงเตรียมการไว้โดยไม่ประมาทซึ่งนับว่าเป็นขวัญและกำลังใจกับลูกแปดริ้วอีกส่วนหนึ่งด้วย การศึกษาของจังหวัดนั้นนับว่าเคยได้รับการเหลียวแลอย่างจริงจังมาตั้งแต่สมัยปรับตัวเผชิญกับการล่าอาณานิคมแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นความโชคดีที่คนเมืองนี้สามารถรับรู้แนวความคิดเห็นใหม่ๆ ได้อย่างสะดวกโดยไม่รู้สึกขัดกับระเบียบชีวิตของตน เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้ว ทาง องค์การยูเนสโก ก็ยังใช้เมืองฉะเชิงเทราเป็นศูนย์ทดลองการศึกษา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งปัจจุบันสถานที่นี้ได้เป็นสำนักงานการศึกษาเขต ๑๒ ตั้งอยู่ที่ถนนมรุพงษ์ บริเวณริมน้ำหน้าวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ นอกจากนั้นแล้วยังมีสถาบันชั้นสูงที่มีรากฐานจากการทดลองปรับปรุงการศึกษาในครั้งนั้น ช่วยสร้างคนแปดริ้วให้มีคุณภาพพร้อมกันอีกหลายโรงเรียนหลายวิทยาลัย ฐานเศรษฐกิจของจังหวัดนับเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สมบูรณ์ยิ่งแห่งหนึ่งของประเทศไทยทีเดียว เพราะทั้งเรือกสวนไร่นา การปศุสัตว์ เจริญรุดหน้าไปกว่าแหล่งอื่นเป็นอันมาก _______________________________ ที่มา : อ.สุนทร คัยนันทน์. หนังสือที่ระลึกเปิดศาลาประชาคมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระภูมิพลมหาราช. ชลบุรี : กมลศิลป์การพิมพ์, ๒๕๓๑. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 14:58:37 ชัยนาท
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา เมืองชัยนาทเป็นเมืองโบราณ ตัวเมืองเดิมตั้งอยู่ตรงแยกฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงที่ปากน้ำเมืองสรรค์ (ปากคลองแพรกศรีราชา-ปัจจุบันบริเวณดังกล่าวอยู่ใต้ปากลำน้ำเก่า) สมัยเมื่อลำน้ำเจ้าพระยาไหลแยกเดินลงมาทางอำเภอสรรพยา และอินทร์บุรี (ในปัจจุบันเป็นลำน้ำใหม่แล้ว) บางตำนานได้กล่าวว่า "เมืองชัยนาท" น่าจะปรากฏนามในราวๆ ปี พ.ศ. ๑๗๐๒ ว่า ขุนเสือฟ้า หรือ เจ้าคำฟ้า กษัตริย์เมืองเมา ได้ยกทัพมาทำสงครามกับเจ้าเมืองฟังคำแห่งอาณาจักรโยนก (ปัจจุบันเป็นอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา) และได้ชัยชนะหลังจากเมืองแตกแล้ว เจ้าเมืองฟังคำได้อพยพผู้คนลงมาอยู่ที่เมืองแปป (กำแพงเพชร เดิม) แล้วมาสร้างเมืองไตรตรึงค์ ที่ตำบลแพรกศรีราชา และหลังจากนั้นคงจะสร้าง "เมืองชัยนาทขึ้น เนื่องจากได้รบชัยชนะชนชาติท้องถิ่นเดิม" บางท่านได้สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างในสมัยรัชกาลพญาเลอไทแห่งกรุงสุโขทัย ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๖๐ - ๑๘๙๗ ซึ่งในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงปรากฏแต่ชื่อ "เมืองแพรก" ในหนังสือจามเทวีวงศ์ได้กล่าวถึงเมืองทวีสาขนคร ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานไว้ว่าน่าจะเป็น "เมืองแพรก" หรือ "เมืองสรรค์บุรี " อันเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ "เมืองชัยนาท" จนถึงกับจะเรียกว่าเป็นเมืองเดียวกันก็ได้ ส่วนหนังสือชินกาลมาลีนั้น มีข้อความกล่าวไว้ชัดเจนว่า "ชยนาทปุรม ทุพภิกภย ชาต" ซึ่งหมายถึง ทุพภิกขภัยได้บังเกิดมีในเมืองชัยนาทบุรี ซึ่งกล่าวว่าทางพระราชอาณาจักรอยุธยาได้ส่งอำมาตย์ หรือพระราชโอรสมีนามว่า "เดชะ" มาครอง "เมืองชัยนาท" ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชา (ลิไท) แห่งอาณาจักรกรุงสุโขทัย ส่วนในตำนานพระพุทธสิหิงค์ ได้กล่าวถึงเมืองชัยนาทภายใต้การปกครองของกรุงสุโขทัย รัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) นั้น ครั้งหนึ่งเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง พระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงออกอุบายนำข้าวมาขายที่เมืองชัยนาทแล้วยึดเมืองได้จึงโปรดให้อำมาตย์ชื่อ วัตติเดช (ขุนหลวงพะงั่ว) ปกครองเมืองชัยนาท ซึ่งตรงกันกับพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาได้กล่าวว่า "เมืองชัยนาทบุรี" ปรากฏชื่อในราวๆ รัชสมัยสมเด็จพระรามาธิ-บดีที่ ๑ แห่งกรุงศรีอยุธยาซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๑๘๙๗ เป็นที่พญาเลอไทสวรรคต กรุงสุโขทัยเกิดการแย่งชิงราชสมบัติ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงเห็นโอกาสเหมาะ จึงโปรดให้ขุนหลวงพะงั่วซึ่งขณะนั้นครองเมืองสุพรรณบุรียกทัพขึ้นไปยึดครอง "เมืองชัยนาทบุรี" และอยู่รักษาเมืองไว้โดยขึ้นตรงต่อกรุงศรี-อยุธยา ต่อมากรุงสุโขทัยสงบลงแล้ว พญาลิไทขึ้นครองราชย์ ได้ส่งทูตมาเจรจาขอ "เมืองชัยนาทบุรี" คืนจากกรุงศรีอยุธยา โดยต่างฝ่ายจะเป็นอิสระ และมีความสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน ในที่สุดกรุงศรี-อยุธยาก็ได้คืน "เมืองชัยนาทบุรี" ให้แก่กรุงสุโขทัย ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานว่า ทางกรุงศรี-อยุธยาเกรงว่า ทางฝ่ายกรุงสุโขทัยจะชวนแคว้นกัมพุช (ลพบุรี) และอาณาจักรทางเหนือ ซึ่งเป็นมิตรกับกรุงสุโขทัยมาร่วมรบประกอบกับกรุงศรีอยุธยาเพิ่งจะสถาปนาได้ไม่นาน หากมีศึกกระหนาบข้างทั้งสองด้านจะสร้างปัญหาให้แก่กรุงศรีอยุธยาไม่น้อย ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้กรุงศรีอยุธยายอมคืน "เมืองชัยนาทบุรี" ให้แก่กรุงสุโขทัยโดยดี เมื่อพระมหาธรรมราชา ที่ ๑ (ลิไท) ทรงได้ "เมืองชัยนาทบุรี " คืนแล้ว ทรงโปรดให้พระกนิษฐภคินี ทรงพระนามว่า พระสุธรรมกัญญา ซึ่งทรงสถาปนาเป็นพระมหาเทวี ครองราชสมบัติในกรุงสุโขทัยแล้ว พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ทรงอัญเชิญ พระสิหล (พระพุทธสิหิงค์) พร้อมทั้งเสด็จมาครองเมืองชัยนาทจนกระทั่งสวรรคต ในปี พ.ศ. ๑๙๑๔ ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช ได้มาปาฐกถาที่วัดมหาธาตุ อำเภอสรรคบุรี เมื่อ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ ว่า ระบอบการปกครองและระบบเศรษฐกิจของ "เมืองชัยนาทบุรี" ในยุคนี้คล้ายคลึงกันกับกรุงสุโขทัย กษัตริย์ครองเมือง "ชัยนาทบุรี" ในฐานะพ่อเมืองปกครองแบบพ่อปกครองลูกบ้านอาศัยความเมตตากรุณาต่อกันเป็นหลักใหญ่ในการปกครอง ประชาชนที่อยู่ในเมือง มีเสรีภาพต่างๆ ฐานะความเป็นอยู่และเศรษฐกิจ เช่นเดียวกันกับที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง เช่น มีสิทธิที่จะอยู่ได้อย่างเสรี ไม่มีทาส ประชาชนชาว "เมืองชัยนาทบุรี" ก็คงจะมีสิทธิที่จะทำมาหากินได้โดยเสรีเช่นเดียวกันกับที่เมืองสุโขทัย ทางผู้ปกครองแผ่นดินก็คงจะได้ส่งเสริมด้านเศรษฐกิจโดยการสร้างทางคมนาคมทั้งทางน้ำและทางบก และด้วยการสร้างระบบการชลประทานเพื่อให้ราษฎรทำไร่ไถ่นาให้ได้ผลดี ฐานะทางเศรษฐกิจของเมืองก็ย่อมดีขึ้นมาก ส่วนภาษีอากรนั้นย่อมมีบ้าง เพราะเมือง "ชัยนาทบุรี" มีฐานะเป็นเมืองขึ้นของกรุงสุโขทัย ฉะนั้น ก็จำต้องส่งส่วยอากรให้แก่กรุงสุโขทัยตามธรรมเนียม สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อกรุงศรีอยุธยาได้เข้มแข็งขึ้นเป็นอาณาจักรใหญ่ และกรุงสุโขทัยได้เสื่อมอำนาจลงและได้สิ้นสุดเมื่อ ราว ๆ ปี พ.ศ. ๑๙๒๑ โดยได้รวมตัวกับอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา "เมืองชัยนาทบุรี" ก็ต้องขึ้นอยู่กับกรุงศรีอยุธยาไปด้วย และได้รับการสถาปนาให้เป็นเมืองลูกหลวงของกรุงศรีอยุธยา กล่าวคือ ได้ปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิพงค (จาด) ซึ่งได้บันทึกในราวๆ สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ได้กล่าวถึง "เมืองชัยนาทบุรี" ว่า ได้รับการสถาปนาให้เป็นเมืองลูกหลวงในรัช-สมัยสมเด็จพระอินทราชา กษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๔๖ ) ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้สันนิษฐานว่า สาเหตุที่สถาปนาให้เมือง "ชัยนาทบุรี" เป็นเมืองลูกหลวงนั้น อาจจะเป็นเหตุผลทางทหารมากกว่าอย่างอื่น ชรอยจะยังทรงไม่ไว้วางพระราชหฤทัยในความปั่นป่วนทางการเมืองของราชอาณาจักรทางฝ่ายเหนือ ว่าจะสงบราบคาบลงได้อย่างแท้จริง เมื่อพระองค์ทรงมีพระราชโอรส ๓ พระองค์ จึงส่งให้ไปครองหัวเมืองรอบๆ กรุงศรีอยุธยา เพื่อคอยรับสถานะการณ์ความปั่นป่วนต่างๆ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ดังนี้ ๑. เจ้าอ้ายพญา ให้ไปครอง เมืองสุพรรณบุรี ๒. เจ้ายี่พญา ให้ไปครอง เมืองสรรค์บุรี ๓. เจ้าสามพญา ให้ไปครอง เมืองชัยนาทบุรี ครั้ง พ.ศ. ๑๙๖๑ สมเด็จพระอินทราชาเสด็จสวรรคต เจ้าอ้ายพญา และเจ้ายี่พญา ได้ยกทัพเข้ามาชิงราชสมบัติกัน โดยมาพบกัน ณ ตำบลป่าถ่าน แขวงกรุงเก่า โดยเจ้าอ้ายพญาตั้งทัพอยู่ที่ตำบลป่ามะพร้าว ส่วนเจ้ายี่พญายกทัพมาตั้ง ณ วัดไชยภูมิ ทางเข้าตลาดเจ้าพรหม ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน และได้กระทำการยุทธหัตถีที่เชิงสะพานป่าถ่าน ผลปรากฏว่า ทั้งสองพระองค์ถูกพระแสงของ้าวต้องพระศอขาดคอช้างสิ้นพระชนม์พร้อมๆ กัน มุขมนตรีจึงออกไปเฝ้าเจ้าสามพญาที่ "เมืองชัยนาทบุรี" แล้วทูลเรื่องราวพร้อมทั้งอัญเชิญเสด็จไปครองกรุงศรีอยุธยาทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ แล้วทรงโปรดให้ขุดพระศพของพระเชษฐาทั้งสองพระองค์ขึ้นมาถวายพระเพลิง ให้สถาปนาพระมหา-สถูปและพระวิหารเป็นพระอารามแล้วให้ชื่อว่า วัดราชบูรณะ ส่วนสถานที่ที่เจ้าอ้ายพญาและเจ้ายี่พญากระทำยุทธหัตถีกันนั้น ให้ก่อพระเจดีย์ ๒ องค์ไว้ที่เชิงสะพานป่าถ่าน ครั้งที่ พ.ศ. ๑๙๙๔ พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์เมืองเชียงใหม่มีอำนาจมากขึ้นภายหลังจากที่ได้รวบรวมอาณาจักรทางเหนือไว้ในอำนาจแล้ว ก็ได้ยกทัพมาตีเมืองแปป (เมืองกำแพงเพชร) และได้กวาดต้อนผู้คนบริเวณรอบๆ จนถึงเขต "เมืองชัยนาทบุรี" ทำให้ "เมืองชัยนาทบุรี" กลายเป็นเมืองร้างตั้งแต่นั้นมา ต่อมา พ.ศ. ๒๐๗๒ ภายหลังขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้ปราบปรามเจ้าแม่ยั่วเมือง ท้าวศรีสุดาจันทร์ ซึ่งคบชู้กับขุนนางวรวงศาธิราช แล้วยึดอำนาจสถาปนาตนเป็นกษัตริย์ได้นาน ๕ เดือนแล้วอัญเชิญพระเฑียรราชา พระอนุชาของพระไชยราชาธิราช ซึ่งได้อุปสมบทขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ในรัชกาลของพระองค์มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองชัยนาท ซึ่งปรากฏในพงศาวดารคือ ในปี พ.ศ. ๒๐๗๗ เดือนแปด ปีมะแม สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้เสด็จไปกระทำพระราชพิธีมัธยมกรรม ที่ตำบล"ชัยนาทบุรี" (ซึ่งในขณะนั้นยังร้างอยู่) แล้วสถาปนาให้ตั้งเมือง" ชัยนาท " ขึ้นใหม่ ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งตรงข้ามกับเมืองร้างเดิม แต่เมือง "ชัยนาท" ก็ยังคงเป็นยุทธภูมิในการรบระหว่างไทย - พม่า กล่าวคือ ในปี พ.ศ ๒๐๘๖ พระเจ้ากรุงหงสาวดียกทัพพม่าเข้ามาทางด้านพระเจดีย์สามองค์ เข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา พระมหาธรรมราชาผู้เป็นพระราชบุตรเขยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ซึ่งครองเมืองพิษณุโลก ได้เกณฑ์หัวเมืองฝ่ายเหนือได้แก่ สุโขทัย พิจิตร พิชัย รวมแล้วได้ไพร่พลประมาณห้าหมื่นคน ยกทัพมาตั้งค่ายที่ "เมืองชัยนาท" เพื่อคอยช่วยเหลือป้องกันกรุงศรีอยุธยา และได้ส่งทัพหน้าออกไปลาดตะเวนสืบข่าวความเคลื่อนไหวของทัพพม่า แต่พม่าได้ตีทัพหน้าของพระมหาธรรมราชาแตกพ่ายกลับค่ายที่ "เมืองชัยนาท" ต่อมาพระเจ้ากรุงหงสาวดีไม่สามารถตีกรุงศรีอยุธยาแตกได้ ก็เลิกทัพกลับ โดยเคลื่อนขบวนผ่านทาง "เมืองชัยนาท" พระมหาธรรมราชาเห็นว่า มีลี้พลน้อยกว่าและพม่าไม่สามารถตีกรุงศรีอยุธยาได้ เลยถอยทัพกลับทิ้งค่ายที่เมืองชัยนาทร้างไว้ พระเจ้ากรุงหงสาวดีก็เคลื่อนทัพเข้าตั้งที่ค่ายดังกล่าว ขณะเดียวกันที่พม่าถอยทัพนั้น พระราเมศวร และพระมหินทราธิราช พระราชโอรสของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้ยกทัพไทยเข้ามาตีกระหนาบท้ายโดยไม่รู้ว่าพระมหาธรรมราชาได้ถอยทัพกลับแล้ว จึงถูกพม่าตีแตกพ่ายกลับไปและพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ถูกพม่าจับตัวไว้ แล้วนำมาคุมขังที่ค่ายพม่า ณ "เมืองชัยนาท" สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จำต้องแต่งพระราชสารให้พระมหาราชครูปุโรหิต ขุนหลวงพระเกษมและขุนหลวงไกรศรี เป็นทูตไปเจรจาขอให้ส่งตัว พระราเมศวร และพระมหินทราธิราชคืนโดยพม่าขอแลกตัวกับช้างชนะงา ๒ เชือก คือ พลายศรีมงคล และพลายมงคลทวีป เมื่อไทยนำช้างทั้งสองเชือกส่งที่ค่ายพม่า ณ "เมืองชัยนาท " แล้ว ปรากฏว่าช้างทั้งสองเชือกเห็นหมอควาญชาวพม่าผิดเสียงก็อาละวาดไล่แทงช้าง แทงคน วุ่นวายทั้งกองทัพ พระเจ้ากรุงหงสาวดีจึงให้กรมช้างนำช้างทั้งสองเชือกดังกล่าวกลับคืนแก่กรุงศรีอยุธยาแล้วถอยทัพกลับสู่กรุงหงสาวดี ต่อมาใน ปี พ.ศ. ๒๑๑๑ รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภายหลังได้ทรงประกาศ อิสรภาพ ณ แขวงเมืองแครง โดยหลั่งพระอุธาธกธาราต่อหน้าพระมหาเถรคันฉ่อง พระยาเกียรติ พระ-ยาราม แล้วเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยาและเสริมสร้างปราการ คูรบให้แข็งแรง ฝ่ายพระเจ้ากรุงหงสาวดีก็เกณฑ์ทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยาสองทาง คือ ทางด่านพระเจดีย์สามองค์ และทัพพระเจ้าเชียงใหม่ ซึ่งยกทัพมาทางเรือ มาตั้งค่ายที่เมืองนครสวรรค์ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงทราบข่าว ก็ยกทัพออกไปกระทำพิธีตัดไม้ข่มนาม ณ ตำบลลุมพลี แขวงเมืองวิเศษไชยชาญ แล้วยกทัพเข้าตีสกัดกองทัพพม่าของพญาพะสิม ทัพหน้าของพระเจ้ากรุงหงสาวดี ที่ยกทัพเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ แตกพ่ายกลับไปจนถึงทัพหลวง พระเจ้ากรุงหงสาวดีจึงสั่งให้เลิกทัพกลับไป ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่ไม่ทราบว่า ทัพหลวงได้เลิกทัพกลับแล้ว ก็เคลื่อนทัพมาตั้งค่ายที่ "เมืองชัยนาท" แล้วส่งทัพหน้าซึ่งนำโดยไชย กะยอสู และ นันทะกะยอสู เป็นทัพหน้าลงมาตั้งทัพ ณ บ้านบางพุทรา และบางเกี่ยวหญ้า สมเด็จพระนเรศวรฯ จึงสั่งให้พระราชมนู และขุนรามเดชะ นำทัพหน้าเข้าโจมตีทัพหน้าของพระเจ้าเมืองเชียงใหม่แตกกลับไปยังทัพหลวงที่ "เมืองชัยนาท" พระเจ้าเชียงใหม่ทราบข่าวว่า กองทัพหลวงของพระเจ้า-กรุงหงสาวดียกทัพกลับแล้ว ก็เลิกทัพกลับเชียงใหม่โดยกวาดต้อนผู้คนแถบหัวเมือง "ชัยนาท" ไปด้วย สำหรับฐานะของ "เมืองชัยนาท" ในยุคกรุงศรีอยุธยานั้น ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ปาฐกถาว่า เมื่อเมืองชัยนาทตกมาขึ้นอยู่กับกรุงศรีอยุธยาใหม่ นั้น "เมืองชัยนาท" มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงดังที่ได้กล่าวมาแล้ว "เมืองชัยนาท" จะได้ดำรงตำแหน่งอันสำคัญนี้มาได้ช้านานเท่าไหร่ไม่ปรากฏแน่ชัด แต่ตามหลักฐานในพระราชบัญญัติศักดินาทหารหัวเมือง ซึ่งว่ากันว่าออกในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรฯ (พ.ศ. ๒๑๒๑ - ๒๑๓๖) นั้น "เมืองชัยนาท" ได้ลดฐานะลงไปเป็นเมืองจัตวา เพราะตามกฎหมายฯ นั้น เมืองเอกมีอยู่เพียงสองเมืองคือ เมืองพิษณุโลก ในภาคเหนือ และเมืองนครศรีธรรมราช ในภาคใต้ เมืองโทนั้น ได้แก่ สวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ โคราช และตะนาวศรี ส่วนเมืองตรีนั้น ได้แก่ เมืองพิชัย พิจิตร นครสวรรค์ จันทรบูร ไชยา พัทลุง และชุมพร ในยุคนี้ "เมืองชัยนาท" ได้ขาดความสำคัญไปแล้ว ทั้งในด้านการทหาร และด้านเศรษฐกิจ ประกอบกับในยุคนั้นบ้านเมืองมีศึกสงครามหลายครั้งหลายครา พลเมืองที่ "เมืองชัยนาท" ก็คงจะร่อยหรอลงไปมาก เพราะชายฉกรรจ์คงจะถูกเกณฑ์ไปรักษาพระนครเหนือ ไปราชการทัพเสียเกือบหมด ที่เหลือก็คงจะหนีเข้าป่าไปพร้อมๆ กับครอบครัว ทำให้เมืองชัยนาทกลายเป็นเมืองเล็กๆ ที่เกือบจะไม่มีความสำคัญเหลืออยู่เลย นอกจากนั้น บริเวณเมือง "ชัยนาท" ได้กลายเป็นเขตยุทธภูมิแทบทุกครั้ง พลเมืองถูกกวาดต้อนไปยังบ้านเมืองของข้าศึกหลายครั้งอีกด้วย สมัยกรุงธนบุรี ภายหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาได้แตกและเสียกรุงแก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ นั้น เมือง "ชัยนาท" ยังคงเป็นเมืองสำคัญในยุทธภูมิ ซึ่งปรากฏตามหลักฐานของกรมศิลปากรว่า ในปี ๒๓๑๙ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๙ (ตรงกับวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๓๑๙) พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ยกทัพขึ้นมาตั้งค่ายที่ "เมืองชัยนาท" เพื่อขับไล่พม่า ซึ่งกำลังรบติดพันกับกองทัพไทยที่เขตเมืองนครสวรรค์ เมื่อพม่าทราบข่าว ก็ตกใจ จึงละทิ้งค่ายที่เมืองนครสวรรค์ หนีไปทางเมืองอุทัยธานี พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกทัพติดตามข้าศึกไปจนถึงบ้านเดิมบางนางบวช แขวงเมืองสุพรรณบุรีแล้วเข้าโจมตีข้าศึกแตกพ่ายยับเยิน ด้วยเหตุนี้ ทางจังหวัดชัยนาทจึงถือว่า วันที่ ๒๘ กรกฎาคม เป็นวันสถาปนาจังหวัด สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทางราชการได้สร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นที่ตำบลบ้านกล้วย และใน รัชกาลที่ ๕ ได้จัดตั้งกองทหารราบที่ ๑๖ ขึ้นที่บริเวณที่ตั้งศาลากลางจังหวัดในปัจจุบัน (ซึ่งต่อมาได้ย้ายไปตั้งค่ายที่ค่ายจิระประวัติ จังหวัดนครสวรรค์ ) ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงจัดตั้งการปกครองเป็นแบมณฑลเทศาภิบาล โดยให้ยุบและรวมหัวเมืองทางริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนเหนือขึ้นไปจนถึงแม่น้ำปิงคือ เมืองชัยนาท เมืองสรรค์บุรี เมืองมโนรมย์ เมืองพยุหคีรี เมืองนครสวรรค์ เมืองกำแพงเพชร เมืองตาก รวม ๘ หัวเมือง ขึ้นตรงต่อข้าหลวงเทศาภิบาลและตั้งที่ว่าการมณฑล ณ เมืองนครสวรรค์ เรียกว่า "มณฑลนครสวรรค์" โดยมีพระยาดัสกรปลาศ (อยู่) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลคนแรก (ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นตำแหน่ง "สมุหเทศาภิบาล" ในสมัยรัชการที่ ๖) ครั้นสมัยรัชกาลที่ ๘ ประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ในราวๆ ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ประเทศไทยได้ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร และเข้าร่วมรบกับญี่ปุ่น และยินยอมให้ญี่ปุ่นยกกองทัพผ่านประเทศไทยไปยังประเทศพม่า และยอมให้ญี่ปุ่นเสริมสร้างสนามบินตาคลีเดิม เพื่อใช้เป็นฐานบิน และกองทัพญี่ปุ่นได้ใช้ท่าเรือที่จังหวัด "ชัยนาท" เป็นเส้นทางขนส่งเสบียงสัมภาระไปยังฐานบินตาคลี นามเป็นเวลา ๔ ปีเศษ ขณะเดียวกันเมือง "ชัยนาท" ก็เป็นเขตปฏิบัติของหน่วยก่อวินาศ-กรรมสังกัดขบวนการเสรีไทย ในปัจจุบัน จังหวัดชัยนาทได้เลือกบริเวณที่ตั้งค่ายทหารของกองทหารราบที่ ๑๖ เก่า เป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดชัยนาท โดยได้ก่อสร้างอาคารที่ทำการเป็นตึกทรงไทย ๒ ชั้น และเปิดทำการในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ จนถึงปัจจุบัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงแม้ว่า "เมืองชัยนาท" เป็นเมืองเก่าแก่ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภาคกลาง และตั้งอยู่ระหว่าง กรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา ยามใดที่กรุงสุโขทัยเรืองอำนาจก็จะยึดเอาเมือง "ชัยนาท" เป็นเมืองหน้าด่าน แต่ยามใดที่กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรือง กรุงสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง เมือง "ชัยนาท" ก็จะกลายเป็นเมืองลูกหลวง และเป็นเมืองที่ใช้ในการสะสมเสบียงอาหารและอาวุธยุทธภัณฑ์ในการรบระหว่าง ไทย-พม่า และยังเป็นสมรภูมิในสงครามทุกยุคทุกสมัยด้วยเหตุนี้ "เมืองชัยนาท" จึงได้รับความกระทบกระเทือนเสียหายเนื่องจากสงครามเป็นอย่างมากจึงไม่มีซากโบราณสถาน และศิลปกรรมมากมายนัก แต่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดชัยนาท,ชัยนาท : อรุณการพิมพ์,๒๕๒๙. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:00:45 จันทบุรี
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ดินแดนอันเป็นที่ตั้งประเทศไทยปัจจุบันนี้ ในสมัยโน้นเรียกว่า อาณาจักรสุวรรณภูมิ เป็นถิ่นเดิมของชาติลาวหรือละว้า ยกเว้นดินแดนทางภาคใต้ซึ่งเป็นอาณาเขตของชาติมอญ อาณาจักรสุวรรณภูมิแบ่งแยกอำนาจการปกครองออกเป็น ๓ อาณาเขต คือ ๑. อาณาเขตทวาราวดี มีเนื้อที่อยู่ในตอนกลางบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาแผ่ออกไปจากชายทะเลตะวันตกของอ่าวไทยจนถึงชายทะเลตะวันออก มีเมืองนครปฐมเป็นราชธานี ๒. อาณาเขตยาง หรือ โยนก อยู่ตอนเหนือ ตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองเงินยาง ๓. อาณาเขตโคตรบูร ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้ง ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง มีเมืองนครพนมเป็นราชธานี ชาวอินเดียผู้เจริญรุ่งเรืองด้วยความรู้ทางศาสนา ปรัชญา และสรรพศิลปวิทยาการได้อพยพเข้ามาในดินแดนเหล่านี้ ปรากฏตามหลักฐานว่า ชาวอินเดียได้พากันเข้าไปตั้งอาณานิคมอยู่ในดินแดนเขมรและมอญอีกด้วย เขมรหรือขอมได้รับความรู้ถ่ายทอดมาจากอินเดีย จึงปรากฏว่าขอมเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าชนชาติใดในสุวรรณภูมิราว พ.ศ. ๑๕๐๐ ขอมได้ขยายอำนาจครอบครองอาณาเขตลาวไว้ได้ทั้งหมด ขอมรุ่งโรจน์อยู่ประมาณสองศตวรรษ ไม่ช้าก็เสื่อมอำนาจลง ในเวลานั้นชนชาติพม่าซึ่งมีถิ่นฐานเดิมอยู่ในธิเบต ได้รุกลงมาสู่ดินแดนลุ่มแม่น้ำอิรวดี และสถาปนาอาณาจักรขึ้น มีกษัตริย์พม่าพระองค์หนึ่งพระนามว่า อโนระธามังช่อ มีอานุภาพปราบลาวและมอญไว้ในอำนาจ เมื่อกษัตริย์พม่าองค์นี้สิ้นอำนาจลง ขอมก็รุ่งโรจน์ขึ้นอีกวาระหนึ่ง แต่เป็นความรุ่งโรจน์เมื่อใกล้จะเสื่อม พอดีชนชาติซึ่งรุกล้ำลงมาสู่ดินแดนนี้นับกาลนานมาได้สถาปนาอาณาจักรมีอานุภาพขึ้น ในสมัยขอมรุ่งโรจน์ตอนบั้นปลายนั้น ในดินแดนสุวรรณภูมินี้มีชื่อเมืองโบราณอยู่ ๓ ชื่อ มีลักษณะใกล้เคียงกันคือ โคตรบูร เพชรบูรณ์ และจันทบูร ซึ่งทั้งสามนี้ตามรูปศัพท์บอกว่าไม่ใช่ภาษาไทย สมัยนั้นเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าชาวอินเดียไม่ใช่ปฐมาจารย์แห่งสรรพวิทยาการของขอมมาก่อน ที่ขอมเจริญรุ่งเรืองก็เพราะได้อาศัยชาวอินเดียเข้ามาเป็นครูสั่งสอนให้ จากราชธานีนครธม ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางขึ้นไปทางภาคเหนือตามแม่น้ำโขง ขอมได้ตั้งเมืองนครพนมขึ้นไว้เป็นด่านแรกจากนครธมตรงไปสู่ดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือ ขอมได้ตั้งเมือง พิมายขึ้นเป็นเมืองอุปราช และจากเมืองพิมายตรงขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เมืองเพชรบูรณ์เป็นปากทางแรกสำหรับให้อารยธรรมและวัฒนธรรมของขอมเดิมเข้าสู่แคว้นโยนก ในเขตทวาราวดีที่ตอนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ขอมได้สถาปนาเมืองลพบุรีขึ้นเป็นเมืองสำคัญคือ เป็นเมืองลูกหลวง อนึ่ง จากราชธานีนครธม เมื่อตัดตรงลงมาสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ เมืองด่านแรกที่ขอมตั้งขึ้นคือ เมืองจันทบุรี ต้นทางแพร่วัฒนธรรมและอารยธรรมขอมเข้าสู่ดินแดนชายทะเลและไปบรรจบกันที่เขตทวาราวดี อาศัยเหตุนี้เมื่ออนุมานดู จากเหตุผลในประวัติศาสตร์ประกอบกับภูมิศาสตร์ ก็น่าจะเชื่อว่า อาณาเขตจันทบูรหรือจันทบุรีในปัจจุบันนี้เป็นเมืองที่ขอมสร้างขึ้นร่วมสมัยเดียวกันกับลพบุรี พิมาย และเพชรบูรณ์ แต่ขอมจะสร้างเมืองจันทบุรีนี้ขึ้นแต่ศักราชใดนั้นไม่มีหลักฐานปรากฏชัดแจ้ง นอกจากจะสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยที่ขอมเริ่มแผ่อำนาจเข้าสู่เขตแดนลาวโดยอาศัยหลักโบราณคดีวินิจฉัยเปรียบเทียบดูศิลาแลงที่ใช้ก่อสร้าง วิธีการสร้างเทวสถานแกะสลักซุ้มประตู ฝาผนัง และระเบียงเป็นรูปโพธิสัตว์ เทวดา ประกอบทั้งลักษณะท่าทางของรูปสลักแล้ว เห็นได้ว่ามีส่วนคล้ายคลึงกับโบราณวัตถุที่ปราสาทหินโบราณที่พิมาย นั่นหมายถึงว่า มีอายุก่อน ๑,๐๐๐ ปีขึ้นไป เศษจากศิลาแลงแผ่นใหญ่สลักลวดลายกนกต่าง ๆ รูปเทวดาพระโพธิสัตว์ที่ยังเหลืออยู่ เนินดินรอบถนนและซากแสดงภูมิฐานของที่ตั้งเมืองเหล่านี้ ที่มีอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่า เมืองเก่าหน้าเขาสระบาป ในท้องที่ตำบลคลองนารายณ์ อำเภอเมืองจันทบุรีนั้นทำให้สันนิษฐานได้ว่า เมืองเก่าเป็นเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยขอมเป็นใหญ่ แต่ก็ยังไม่สามารถจะชี้ชัดว่าบุคคลหรือกษัตริย์องค์ใดเป็นผู้สร้าง ปัจจุบันนี้ยังมีซากกำแพงก่อด้วยศิลาแลง มีเชิงเทินเศษอิฐและหิน ถนนปูด้วยศิลาแลง ปรากฏเป็นเค้าเมืองเดิมอยู่ นอกจากนี้ยังมีศิลาแลงแผ่นใหญ่สลักเป็นลวดลายและกนกต่าง ๆ มีรูปคนท่อนบนเปลือย ท่อนล่างถือชายผ้าพกใหญ่ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพแกะสลักและกนกซุ้มประตูหน้าต่างและธรณีประตูที่ปราสาทหินพิมาย นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า เมืองที่กล่าวนี้ เป็นเมืองควนคราบุรี ส่วนจันทบูรหรือจันทบุรี นั้น น่าจะเป็นชื่อเสียงหรือชื่ออาณาเขตอย่างใดอย่างหนึ่ง และควนคราบุรีก็น่าจะเป็นเมืองสำคัญในอาณาเขตจันทบูร เช่นเดียวกับที่เมืองพิมายเป็นเมืองสำคัญในอาณาเขตโคตรบูร เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ร.ต. แชน ปัจจุสานนท์ ซึ่งเป็นผู้ที่สนใจและได้ทำการค้นคว้าในเรื่องชื่อเมืองจันทบุรีมีความเห็นว่า คำว่า "ควนคราบุรี" น่าจะเป็นคำเดียวกันกับ "จันทบุรี" นั่นเอง แต่มีผู้เขียนหรือแปลผิดเพี้ยนไป อย่างไรก็ดี เรื่องเกี่ยวกับชื่อเมืองนี้ยังหาข้อยุติมิได้ นิโคลาส เจอร์แวส (Nicolas Gervais) ผู้เขียนเรื่องเมืองไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์-มหาราช ได้กล่าวถึงเมืองจันทบูร (Chantaboun) ว่า "จันทบูนเป็นเมืองที่สวยงามที่สุด โดยปราศจากการโต้แย้งใด ๆ (ของหัวเมืองทางใต้) มีป้อมปราการเข็งแรงมาก เจ้าเมืองหาง (Chaou Moeung Hang) ผู้มีฉายาว่า พระองค์ดำ ซึ่งเป็นผู้สร้างพิษณุโลกได้เป็นผู้ก่อตั้งเมืองนี้บนฝั่งแม่น้ำสายหนึ่งซึ่งมีชื่ออย่างเดียวกัน จันทบูรเป็นเมืองชายแดนของเขมร อยู่ห่างจากฝั่งทะเลเป็นระยะทางวันหนึ่งเต็ม ๆ อนึ่ง มีกล่าวกันว่าไทยกับเขมรได้รบกันเมื่อ (ค.ศ. ๑๓๗๓-๑๓๙๓) เพื่อแย่งกันครอบครองเมืองจันทบูน ซึ่งบางทีก็เรียกว่า เมืองจันทบุรี (Chandraburi) เมืองแห่งพระจันทร์ และอีกเมืองหนึ่งที่ชื่อว่า เมืองชลบุรี (Choloburi) หรือเมืองจุลบุรี (Culapuri) เมืองเล็ก" ตัวเมืองจันทบุรีเดิมตั้งอยู่หน้าเขาสระบาปฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจันทบุรี ในบริเวณใกล้เคียงกับวัดทองทั่ว ปัจจุบันนี้ยังมีซากตัวเมือง กำแพงเมือง ก่อด้วยศิลาแลงและเชิงเทินปรากฏอยู่ให้เห็นเป็นเค้าอยู่บ้าง และสิ่งที่ขุดค้นพบมีศิลาจารึกและศิลารูปซุ้มประตู สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าที่ตรงนั้นเคยเป็นเมืองขอมมาแต่โบราณกาล แต่นามเมืองเก่าจะได้ชื่อว่า "จันทบุรี" หรือ "จันทบูน" อย่างไรไม่ทราบชัด แต่ชาวบ้านยังพากันเรียกว่า "เมืองนางกาไว" ตามชื่อผู้ปกครองเมืองสมัยนั้น ซึ่งมีเรื่องราวเป็นนิยายอันจะเชื่อถือเอาเป็นจริงจังไม่ได้ และยังมีผู้ยืนยันต่อไปอีกว่าได้พบศิลาจารึกอันเป็นอักษรสันสกฤตที่ตำบลเขตสระบาป มีเนื้อความว่า "เมืองจันทบุรีแต่เดิมชื่อ เมืองควนคราบุรี ตั้งมาประมาณ ๑,๐๐๐ ปีแล้ว พลเมืองเป็นชาติชอง เป็นที่น่าเชื่อว่าเมืองนี้เป็นเมืองขอมมาแต่โบราณ ก็เพราะยังมีชื่อตำบลบ้านขอมปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ และในท้องที่อำเภอมะขาม อำเภอโป่งน้ำร้อน ก็มีพลเมืองที่เป็นเชื้อชาติชองอยู่อีกมาก มีผู้เข้าใจว่าชาติชองนี้น่าจะสืบสายมาจากขอมโบราณ พวกชองในปัจจุบันตั้งภูมิลำเนาทำมาหากินอยู่ในป่าซึ่งอยู่ติดกับเขตแดนเมืองพระตะบอง ประเทศกัมพูชาประชาธิปไตยมีภาษาพูดอย่างหนึ่งต่างหากจากภาษาไทยและภาษาเขมร นักปราชญ์ในทางมนุษย์วิทยาได้จัดให้อยู่ในจำพวกตระกูลมอญ-เขมร เช่นเดียวกันกับพวกขอมโบราณเหมือนกัน พวกชองชอบลูกปัดสีต่าง ๆ และนิยมใช้ทองเหลืองเป็นเครื่องประดับเหมือนอย่างเช่นพวกกระเหรี่ยงที่อยู่ในเขตเมืองกาญจนบุรี เข้าใจว่าเดิมทีเดียวชนจำพวกนี้คงจะตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ตามท้องที่ต่าง ๆ ในเขตเมืองจันทบุรีเต็มไปหมด เพิ่งจะถอยร่นเข้าป่าเข้าดงไปเมื่อพวกไทยมีอำนาจเข้าครอบครองเมืองจันทบุรีในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงศรีอยุธยา พวกขอมคงจะปกครองเมืองจันทบุรีอยู่ประมาณ ๔๐๐ ปี จนกระทั่งเสื่อมอำนาจลงในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗ พวกไทยทางอาณาจักรฝ่ายใต้ซึ่งมีราชธานีอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิ (เมืองอู่ทอง) จึงเข้ายึดเมืองจันทบุรีไว้ได้ จันทบุรีจึงรวมอยู่ในอาณาจักรไทยทางฝ่ายใต้เรื่อยมา มีหลักฐานที่ควรจะเชื่อได้ว่าเมืองนี้เคยเป็นเมืองขึ้นของไทยมาแล้วแต่ในสมัยอู่ทองก็คือ เมื่อพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นใน พ.ศ. ๑๘๙๓ ทรงประกาศว่า กรุงศรีอยุธยา มีประเทศราช ๑๖ หัวเมือง มีเมืองจันทบุรีรวมอยู่ด้วยเมืองหนึ่ง ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่า พระราเมศวร เสด็จขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ได้เมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๗ แล้วกวาดต้อนเชลยชาวลานนาลงมาไว้ในเมืองต่าง ๆ ทางปักษ์ใต้และชายทะเลตะวันออกหลายเมือง เช่น เมืองนครศรีธรรมราช สงขลา พัทลุง และจันทบุรี จึงน่าจะอนุมานได้ว่าพวกไทยเราคงจะออกมาตั้งถิ่นฐานบ้านช่องกันอยู่อย่างมากมายแล้ว ตั้งแต่ในแผ่นดินพระราเมศวรเป็นต้น ครั้นต่อมาชาวไทยที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาในครั้งนั้นคงจะได้สมพงษ์กับชาวพื้นเมืองเดิม เช่น พวกขอมและพวกชอง เป็นต้น จึงทำให้สำเนียงและคำพูดบางคำตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีผิดแผกแตกต่างไปจากทางภาคกลางและภาคพายัพบ้าง แต่แม้จะผิดแผกแตกต่างกันไปประการใดก็ตาม ชาวเมืองจันทบุรีก็ยังคงใช้ภาษาไทยเป็นภาษาท้องถิ่นพูดกันอยู่โดยทั่วไปตลอดทั้งจังหวัด ยกเว้นแต่คนหมู่น้อย เช่น พวกจีนและญวนซึ่งอพยพเข้ามาอยู่ใหม่ ในชั้นหลังเท่านั้นที่ยังคงพูดภาษาของตนอยู่ ต่อมาได้มีการย้ายตัวเมืองจากเมืองเดิมที่เขาสระบาป ตำบลคลองนารายณ์ มาสร้างเมืองใหม่ที่บ้านลุ่มซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี ซึ่งเข้าใจกันว่าจะย้ายมาตั้งแต่สมัยแผ่นดินพระบรมไตรโลกนาถ เป็นต้นมา เพราะในรัชกาลนี้ทรงจัดระเบียบการปกครองใหม่คือ ทรงจัดตั้งตำแหน่งจตุสดมภ์ มีเวียง วัง คลัง นา ขึ้น และทรงตั้งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีขึ้นอีก ๒ ตำแหน่ง คือ ฝ่ายทหารตำแหน่งหนึ่งมีชื่อเรียกว่า สมุหกลาโหม และฝ่ายพลเรือนตำแหน่งหนึ่งมีชื่อเรียกว่า สมุหนายก ส่วนนอกราชธานีออกไปก็จัดการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ ลดหลั่นกันลงไปตามความสำคัญของเมืองนั้น ๆ โดยทรงตั้งเป็นเมืองเอก โท ตรี และจัตวาขึ้นตามลำดับไป จึงทำให้เข้าใจว่าเมืองจันทบุรีน่าจะย้ายมาตั้งที่ตรงบ้านลุ่มในสมัยนี้ด้วย เพราะเมืองเดิมที่เขาสระบาปนั้นมีภูเขากระหนาบอยู่ข้างหนึ่ง คงไม่มีทางที่จะขยายให้ใหญ่โตออกไปกว่าเดิมได้ เหตุผลที่ต้องย้ายเมืองมาตั้งใหม่ ก็คงเนื่องมาจากเมืองเก่าอยู่ห่างไกลลำน้ำมาก การคมนาคมไม่สะดวกแก่พลเมืองในการไปมาค้าขาย เมื่อสร้างเมืองใหม่ได้มีการขุดดินถมเป็นเชิงเทินมีร่องคูรอบเมือง ภายในเมืองได้สร้างศาลเจ้าพ่อหลักเมือง วัดวาอาราม แต่บัดนี้ได้ปรักหักพังจนแทบไม่มีอะไรเหลือ ต่อมาภายหลังทางราชการได้จัดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสภาพบ้านเมืองมาหลายครั้งหลายคราว จึงทำให้รูปร่างของเมืองเดิมลางเลือนไปจนไม่มีอะไรจะเป็นที่สังเกตได้ การสร้างเมืองใหม่ที่บ้านลุ่มนี้ คงทำเป็นเมืองป้อมเหมือนอย่างเมืองโบราณทั้งหลายคือ มีคูและเชิงเทินดินรอบเมืองทำรูปเป็นสี่เหลี่ยม กว้างยาวประมาณด้านละ ๖๐๐ เมตร ยังมีแนวกำแพงเหลืออยู่ทางหลังกองพันนาวิกโยธินประมาณสัก ๑๐๐ เมตร นอกนั้นถูกรื้อไปหมดแล้ว เมืองจันทบุรีตั้งอยู่ที่ตำบลนี้ตลอดมาจนสิ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยจราจล เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีทรงยกพลออกจากเมืองระยองมาตีเมืองจันทบุรี ก็มาตีเมืองซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านลุ่มนี้ด้วย ประวัติของเมืองจันทบุรีในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการศึกสงครามมากเท่าใดนัก อาจจะกล่าวได้โดยเต็มปากว่า จันทบุรี เป็นเมืองที่สงบสุขเรื่อยมา ทั้งนี้ เพระเหตุว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา ไทยเราทำสงครามติดพันกันกับพม่าซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกันแต่เฉพาะทางภาคพายัพและภาคตะวันตกเท่านั้น เมืองที่ตั้งอยู่ทั้งสองภาคนี้จึงมีประวัติการสงครามกับพม่าตลอดมาจนถึงตอนต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนเมืองจันทบุรีนั้นอยู่ทางชายทะเลตะวันออก อาณาเขตไม่ติดต่อกันกับประเทศพม่าจึงไม่ปรากฏว่าพม่ายกกองทัพเข้ามาตีเมืองนี้เลย แม้ในสมัยที่เสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าในครั้งหลัง พม่าก็ไม่ได้ยกกำลังทหารเข้ามาย่ำยีเมืองจันทบุรีแต่อย่างใด คงปล่อยให้เมืองจันทบุรีและเมืองชายทะเลตะวันออกอีกหลายเมืองเป็นอิสระ ซึ่งเป็นเหตุให้สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีมีโอกาสมาตั้งตัวและรวบรวมรี้พลอยู่ในบริเวณเมืองเหล่านี้ แล้วต่อมาได้ขับไล่พม่าที่ยึดครองประเทศไทยอยู่ ณ ตำบลโพธิ์สามต้นแตกกระจัดกระจายพ่ายแพ้ไป นับว่าเป็นบุญญาภินิหารของชาติไทยอย่างหนึ่งที่ดลบันดาลให้พม่าไม่ยกกองทัพมาย่ำยีหัวเมืองเหล่านี้ เพราะถ้าหากว่าหัวเมืองทางชายทะเลตะวันออกถูกย่ำยีหมดแล้ว กำลังรี้พลตลอดจนสะเบียงอาหารคงจะหาได้ยากอย่างยิ่ง และสมเด็จพระเจ้าตากสิน-กรุงธนบุรีก็จะต้องเสียเวลารวบรวมรี้พลตลอดจนสะเบียงอาหารเป็นเวลาไม่น้อยทีเดียว คือกว่าจะรวบรวมกำลังพอจะยกไปขับไล่พม่าซึ่งยึดครองกรุงศรีอยุธยาอยู่ได้ ก็จะต้องใช้เวลาหลายปี ไม่ใช่ ๕ หรือ ๖ เดือน อย่างที่ได้กระทำมาแล้ว เนื่องจากจันทบุรีมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นจึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศกัมพูชาประชาธิปไตยบ้างแต่ก็ไม่มากนัก และไม่เคยปรากฏว่าได้รบกันที่เมืองจันทบุรีนี้เลยสักครั้งเดียว เพราะประเทศกัมพูชาประชาธิปไตยในเวลานั้นมีกำลังไม่มากเหมือนประเทศพม่าจึงไม่สามารถจะยกกองทัพบกใหญ่เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาได้ คอยฉวยโอกาสแต่เมื่อเวลาที่ไทยหย่อนกำลังลงแล้ว จึงยกกองทัพเข้ามากวาดต้อนผู้คน ทางหัวเมืองชายแดนไป ไม่เคยได้รบกันเป็นศึกใหญ่ในเขตประเทศไทยสักครั้งเดียว เช่น ในรัชกาลสมเด็จพระราเมศวร พระเจ้ากรุงกัมพูชาก็ยกกองทัพมากวาดต้อนผู้คนในเมืองชลบุรีและเมืองจันทบุรีไปประมาณ ๖-๗ พันคน สมเด็จพระราเมศวรจึงทรงยกกองทัพไปตีกรุงกัมพูชา และได้รบพุ่งกันชั่วระยะเวลาเพียง ๓ วันเท่านั้น กรุงกัมพูชาก็แตก สมเด็จพระราเมศวรจึงโปรดให้รับครอบครัวไทยซึ่งถูกพวกเขมรกวาดต้อนไปกลับคืนมาไว้ยังภูมิลำเนาเดิม ในแผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญที่ ๑ (พระมหาธรรมราชา) ก็อีกครั้งหนึ่ง ในเวลานั้นเป็นสมัยที่ไทยกำลังบอบช้ำมาก เพราะแพ้สงครามพม่ามาใหม่ ๆ เพิ่งจะสร้างตัวขึ้นยังไม่มีกำลังเข้มแข็งเท่าใดนัก พระยาละแวกจึงฉวยโอกาสยกกองทัพเข้ามากวาดต้อนชาวไทยซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ตามหัวเมืองชายทะเลตะวันออกรวมทั้งเมืองจันทบุรีไปไว้ ณ กรุงกัมพูชา เป็นจำนวนไม่น้อย และยังยกกองทัพเข้ามาย่ำยีประเทศไทยอีกหลายครั้ง เป็นเหตุให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพิโรธ จึงทรงยกกองทัพไปตีกรุงกัมพูชาแตกแล้วทรงจับพระยาละแวกสำเร็จโทษเสีย นับแต่นั้นชาวเมืองจันทบุรีก็อยู่กันอย่างสงบสุขตลอดมา จนกระทั่งถึงปลายสมัยกรุงศรี-อยุธยา ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ (พระเจ้าบรมโกศ) ปรากฏว่ามีเรื่องยุ่งยากในการสืบราชสมบัติเนื่องจากพระเจ้าลูกเธอไม่ทรงสามัคคีปรองดองกัน ทั้งนี้เพราะพระมหาอุปราชสิ้นพระ-ชนม์เสียก่อน พระราชโอรสองค์กลางคือ เจ้าฟ้าเอกทัศ ซึ่งทรงกรมเป็น กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้น เป็นผู้โฉดเขลา เบาปัญญา และไม่มีความอุตสาหพยายาม พระเจ้าบรมโกศทรงเห็นว่า ถ้าจะให้ครอบครองแผ่นดินบ้านเมืองจะเกิดภัยพิบัติ จึงรับสั่งให้เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีไปผนวชเสีย แล้วทรงตั้งเจ้า-ฟ้ากรมขุนพรพินิต พระราชโอรสองค์เล็กเป็นพระมหาอุปราช เมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๐ แม้จะทรงแต่งตั้งพระมหาอุปราชไว้ตามโบราณราชประเพณีแล้วก็ตาม แต่สมเด็จพระเจ้า-บรมโกศก็มิได้ทรงคลายความห่วงใยต่อราชบัลลังก์ ทั้งนี้ เพราะพระองค์ทรงเห็นว่าพระราชโอรสมิได้ทรงสมัครสมานสามัคคีกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาที่พระองค์ใกล้จะเสด็จสวรรคตจึงโปรดให้พระเจ้าลูก-เธออันเกิดแต่พระสนมทั้งสี่พระองค์ คือ กรมหมื่นเทพพิพิธ กรมหมื่นจิตสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพย์ภักดี เข้าไปเฝ้าถึงข้างที่พระบรรทม ทรงโปรดให้พระเจ้าลูกเธอทั้งสี่พระองค์นี้กระทำสัตย์ถวายต่อหน้าพระที่นั่งว่าจะทรงสามัคคีปรองดองกันกับพระมหาอุปราช ด้วยความกลัวพระราชอาญา พระเจ้าลูกเธอทั้งสี่พระองค์จึงจำพระทัยกระทำสัตย์ถวาย แต่ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมโกศสวรรคตแล้ว พระเจ้าลูกเธอเหล่านั้นก็มิได้กระทำตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ ยังทรงถือทิฐิมานะอยู่ พอพระมหาอุปราชเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติได้สักหน่อย กรมหมื่นจิตสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพย์ภักดี ซึ่งเป็นอริกับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่อยู่แต่เดิมแล้ว ก็ทรงคบคิดกันจะช่วงชิงราชบัลลังก์แต่ปรากฏว่าไม่ค่อยมีข้าราชการสนับสนุนจึงไม่ทรงสามารถช่วงชิงราชสมบัติได้สำเร็จ ในที่สุดก็ถูกจับและถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ส่วนกรมหมื่นเทพพิพิธนั้น ทรงสนับสนุนพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่อยู่แต่เดิมแล้วจึงไม่ปรากฏว่าได้ทรงร่วมมือกับพระเจ้าน้องยาเธอทั้งสามพระองค์นั้น แต่กรมหมื่นเทพพิพิธเป็นอริกันกับกรมขุนอนุรักษ์มนตรี ฉะนั้น เมื่อกรมขุนพรพินิตถวายราชสมบัติแก่กรมขุนอนุรักษ์มนตรีซึ่งเป็นพระ-เชษฐาแล้ว กรมหมื่นเทพพิพิธก็คิดจะชิงราชสมบัติจากพระเจ้าเอกทัศมาถวายกรมขุนพรพินิต แต่กรมขุนพรพินิตนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าเอกทัศให้ทรงทราบเสียก่อน กรมหมื่นเทพพิพิธจึงถูกเนรเทศไปอยู่เกาะลังกา กรมหมื่นเทพพิพิธต้องจำพระทัยประทับอยู่ ณ เกาะลังกา เป็นเวลา ๒ ปีเศษ จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๓๐๓ พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่ายกกองทัพมาประชิดพระนครมีข่าวลือออกไปยังเกาะลังกาว่า พระนครศรีอยุธยาเสียแก่พม่าแล้ว พระองค์จึงลอบเสด็จเข้ามายังเมืองมะริด โดยหวังพระทัยจะทรงช่วยกู้อิสรภาพต่อไป แต่การหาได้เป็นดังข่าวลือไม่ เผอิญพระเจ้าอลองพญาทรงประชวรหนักเนื่องจากปืนใหญ่ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาการยิงด้วยพระองค์เองได้เกิดระเบิดขึ้น สะเก็ดระเบิดกระเด็นมาต้องพระองค์ถึงบาดเจ็บสาหัส จึงรีบเสด็จยกกองทัพกลับคืนไปทางเหนือและไปสิ้นพระชนม์ลงกลางทาง กรมหมื่นเทพพิพิธจึงต้องถูกคุมตัวอยู่ที่เมืองมะริดนั้นเอง ครั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๗ พม่ายกกองทัพมาตีเมืองมะริดแตก กรมหมื่นเทพพิพิธจึงหนีเข้ามาในเขตแดนไทยเรื่อยเข้ามาจนถึงเมืองเพชรบุรี เมื่อพระเจ้าเอกทัศทรงทราบจึงมีรับสั่งให้คุมตัวไปไว้ที่เมืองจันทบุรี เนื่องด้วยกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นเจ้านาย และมิได้ทรงกระทำผิดคิดร้ายประการใด ประชาชนยังคงเคารพนับถือพระองค์อยู่มาก โดยเฉพาะชาวเมืองจันทบุรีก็ได้ช่วยเหลือพระองค์เป็นอย่างมากเหมือนกัน คือ ปรากฏว่าใน พ.ศ. ๒๓๑๐ เมื่อคราวจะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า กรมหมื่น-เทพพิพิธทรงได้กำลังชายฉกรรจ์จากเมืองจันทบุรีจนสามารถจัดเป็นกองทัพน้อย ๆ ยกออกไปเพื่อจะช่วยตีกองทัพพม่าซึ่งกำลังล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ เมื่อเสด็จผ่านหัวเมืองรายทางเข้ามาประชาชนพลเมืองในเขตเมืองเหล่านั้นก็พากันอาสาสมัครเข้าในกองทัพเป็นจำนวนมาก กรมหมื่นเทพพิพิธได้เสด็จเข้ามาจนกระทั่งถึงเมืองปราจีนบุรี และโปรดให้นายทองอยู่น้อยเป็นแม่ทัพหน้ายกพลไปตั้งมั่นอยู่ ณ ปากน้ำโยทะกา กิตติศัพท์ที่กรมหมื่นเทพพิพิธยกพลเข้ามานี้ได้พัดกระพือไปถึงกองทัพพม่าซึ่งตั้งล้อม กรุงศรีอยุธยาอยู่ พม่าจึงจัดส่งทหารเข้าตีโต้กองทัพไทยซึ่งตั้งมั่นอยู่ที่ปากน้ำโยทะกาแตกกระจัดกระจายไป ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธเมื่อทรงทราบข่าวว่ากองทัพหน้าแตกก็เสด็จหนีไปอยู่เมืองนครราชสีมา สมัยกรุงธนบุรี หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชแก่พม่าข้าศึก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าตั้งใจจะมิให้ไทยตั้งตัวได้อีก จึงเผาผลาญทำลายปราสาทราชมณเฑียร วัดวาอาราม ตลอดจนบ้านเรือนของราษฎรแล้วได้เก็บทรัพย์สมบัติของมีค่า ทั้งกวาดต้อนชาวไทยไปเกือบหมดสิ้นกรุงศรีอยุธยาไม่เหลืออะไรอยู่เลย นอกจากซากอิฐปูนปรักหักพังสภาพเหมือนเมืองร้าง อยุธยาเมืองหลวงของไทยอันรุ่งเรืองมาแล้วหลายร้อยปี มีกษัตริย์ปกครองติดต่อกันมาถึง ๓๔ องค์ ต้องมาเสียแก่พม่าก็เพราะการที่คนไทยแตกความสามัคคีกันเอง พระเจ้าแผ่นดินก็อ่อนแอ แต่กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี ต่อจากเหตุการณ์อันน่าเอน็จอนาถของเมืองไทยไม่นานนัก เมืองจันทบุรีก็ได้ต้อนรับมหาวีรบุรุษของไทยอีกองค์หนึ่ง คือ สมเด็จพระเจ้า-ตากสินมหาราช ซึ่งได้เสด็จมาตั้งรวบรวมกำลังพลทแกล้วทหารหาญเพื่อกอบกู้เอกราชของไทยให้กลับคืนมาจากอำนาจพม่าข้าศึก ราชกิจซึ่งพระองค์ทรงบำเพ็ญเป็นองค์คุณธรรม ประกอบด้วยเกียรติยศแก่ประเทศชาติไทยเป็นอเนกประการ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือเรียกอีกพระนามหนึ่งว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุง-ธนบุรี เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็น พระยาวิเชียรปราการ ทรงเห็นว่าพระนครศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่าเพราะความอ่อนแอของผู้บังคับบัญชาและเพราะการแตกความสามัคคีกันเป็นแน่แท้ ดังนั้น เมื่อวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้นสี่ค่ำ ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ ขณะพม่าตั้งล้อมประชิดเข้ามาจวนถึงคูพระนคร พระยาวิเชียร-ปราการจึงรวบรวมพลได้ประมาณ ๕๐๐ คน ตีฝ่าหนีออกไปทางทิศตะวันออก พม่าออกติดตามตีกระชั้นชิดแต่ก็พ่ายแพ้ทุกคราวไป จนกระทั่งบรรลุถึงเมืองระยอง พระยาระยอง ชื่อ บุญ ได้พาสมัครพรรคพวกออกมาอ่อนน้อม สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ยกกองทัพเข้าไปตั้งมั่นอยู่ที่วัดลุ่ม นอกบริเวณค่ายเก่าซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองระยอง ขณะนั้นกรุงศรีอยุธยายังไม่เสียแก่พม่า มีพวกกรมการเมืองเก่าหลายคน คือ หลวงพล ขุนจ่าเมือง ขุนราม หมื่นซ่อง บังอาจขัดขืนคบคิดกันต่อสู้พระองค์แล้วรวบรวมกำลังกันประทุษร้ายเข้าปล้นค่าย แต่กลับพ่ายแพ้ต่อพระองค์ จึงทรงชิงเอาเมืองระยองได้เป็นสิทธิ และประกาศพระองค์เป็นอิสรภาพมีอำนาจในอาณาเขตเมืองระยอง หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:01:13 จันทบุรี ๒
ครั้งนั้น ทรงเห็นว่าเมืองจันทบุรีเป็นหัวเมืองใหญ่และยังมีเจ้าเมืองปกครองเป็นปกติอยู่ แต่ก็ไม่ทรงทราบว่าเมืองจันทบุรีจะคิดร่วมมือกอบกู้เอกราชของประเทศให้พ้นจากอำนาจพม่าข้าศึกด้วยหรือไม่ ขณะที่ประทับอยู่ ณ เมืองระยอง จึงทรงแต่งตั้งให้ทูตถือศุภอักษรไปถึงพระยาจันทบุรี ขอให้พระยาจันทบุรีร่วมมือช่วยกันปราบปรามพม่าข้าศึกให้กรุงศรีอยุธยาเป็นที่ผาสุกเหมือนดังก่อน พระยา-จันทบุรีได้ทราบความและรับว่าจะลงมาปรึกษาด้วยตนเองที่เมืองระยอง แต่พระยาจันทบุรีหาได้ปฏิบัติตามไม่ ขณะนั้น นายเรือง มหาดเล็ก ผู้รั้งเมืองบางละมุง ถือหนังสือของเนเมียวสีหบดีแม่ทัพใหญ่พม่า มีข้อความเป็นเชิงบังคับให้พระยาจันทบุรีตัดสินใจเลือกว่าจะเข้าด้วยกับพม่าหรือกับพวกไทยด้วยกัน พระองค์ทรงทราบความตลอด จึงทรงแต่งทูตให้ถือศุภอักษรไปถึงพระยาราชาเศรษฐีญวนเจ้าเมืองบันท้ายมาศ ให้ยกกองทัพขึ้นมาสมทบช่วยกันกู้กรุงศรีอยุธยาให้พ้นมือข้าศึก และก็ทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะทำให้พระยาจันทบุรีเกรงกลัว พร้อมกันนั้นพระองค์จึงทรงสั่งให้ผู้รั้งเมืองบางละมุงลงไปชี้แจงแก่พระยาจันทบุรี แล้วให้ทูตที่จะลงไปเมืองบันท้ายมาศรับผู้รั้งเมืองบางละมุงเพื่อไปส่งที่เมืองจันทบุรี พระยาราชาเศรษฐีญวน รับรองเป็นทางไมตรีว่า สิ้นฤดูมรสุมแล้วจะยกกองทัพขึ้นมาช่วย ครั้นเดือน ๕ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า พระยาจันทบุรีไม่รับเป็นไมตรี ส่วนขุนราม หมื่นซ่อง ซึ่งเคยปล้นค่ายที่เมืองระยองแล้วแตกหนีไปตั้งซ่องสุมผู้คนอยู่ในเขตเมืองแกลงก็คุมพลออกประทุษร้ายต่อพระองค์เป็นเนืองนิจ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงดำริว่าหมดลู่ทางที่จะทำอย่างอื่นได้ นอกจากจะใช้กำลังปราบปรามจึงจะตั้งตัวอยู่ได้ จึงยกกองทัพลงไปตีขุนราม หมื่นซ่อง ซึ่งสู้ไม่ได้ก็พ่ายแพ้หนีลงไปอยู่กับพระยาจันทบุรี ขณะนั้นพระยาจันทบุรีได้กำลังขุนราม หมื่นซ่อง ช่วยกันคิดเป็นกลอุบายจะล่อเอาพระองค์เข้าไปไว้ในเมืองแล้วคิดกำจัดเสีย จึงนิมนต์พระสงฆ์ ๔ รูป ให้เป็นทูตมาเชิญพระองค์ลงไปยังเมืองจันทบุรี เป็นทำนองปรึกษาตระเตรียมกองทัพจะเข้าไปรบพุ่งพม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทราบก็ทรงพอพระทัย จึงให้พระสงฆ์ทูตนำทางยกลงไปเมืองจันทบุรี เมื่อพระองค์ยกไปถึงบางกะจะ ระยะทางห่างจากเมืองประมาณ ๘ กิโลเมตร พระยาจันทบุรีให้หลวงปลัดลงมารับเพื่อนำพระองค์เข้าไปพัก ณ ทำเนียบ ซึ่งได้จัดรับรองไว้ที่ริมแม่น้ำ ขณะที่ยกกองทัพไปพระองค์ได้ทราบเป็นรหัสว่า พระยาจันทบุรีกับขุนราม หมื่นซ่อง ได้เรียกระดมพลขึ้นประจำหน้าที่ พระองค์จึงตรัสให้กองทัพเลี้ยวขบวนไปทางเหนือตรงเข้าไปตั้งที่วัดแก้วห่างจากประตูเมืองท่าช้างประมาณ ๒๐๐ เมตร พระยาจันทบุรีตกใจรีบให้ไพร่พลขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทิน แล้วให้ขุนพรหมธิบาล ซึ่งเป็นพระยาท้ายน้ำออกไปเจรจาเพื่อเชิญเสด็จเข้าไปพบปะกับพระยาจันทบุรี พระองค์ขอให้พระยาจันทบุรีส่งตัวขุนรามกับหมื่นซ่องออกมาทำสัตย์สาบานเพื่อให้เห็นน้ำใจสุจริตต่อกันเสียก่อน เมื่อขุนพรหมธิบาลกลับเข้าไปแล้ว พระยาจันทบุรีก็นิ่งเฉยอยู่ พระองค์ทรงประจักษ์แน่ว่าพระยาจันทบุรีมิได้ตั้งอยู่ในไมตรีสัตย์สุจริต จึงตรัสให้พระยาจันทบุรีรักษาเมืองไว้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตกอยู่ในที่คับขัน เพราะเข้าไปตั้งอยู่ในชานเมืองข้าศึกแล้วประกอบทั้งพระองค์ทรงเป็นนักรบ ทรงแลเห็นทันทีว่าต้องรีบชิงทำศึกก่อน จึงทรงเรียกบรรดานายทัพนายกองทั้งปวงมาประชุมว่า พระองค์จะตีเอาเมืองจันทบุรีในเพลาค่ำให้จงได้ เมื่อกองทัพหุงข้าวเย็นกินเสร็จแล้วก็ให้ต่อยหม้อข้าวเสียให้หมด และให้ไปกินข้าวเช้าเอาในเมือง หากตีเมืองไม่ได้ก็ให้ตายเสียด้วยกันให้หมด ครั้นได้ฤกษ์เวลาสามยาม สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงช้างพังคีรีบัญชร ทรงให้อาณัติสัญญาณเข้าตีเมืองพร้อมกัน ชาวเมืองระดมยิงปืนใหญ่น้อยลงมาเป็นอันมาก นายท้ายช้างพระที่นั่งเกรงว่าพระองค์จะได้รับอันตรายจึงเกี่ยวช้างพระที่นั่งถอยออกมา พระองค์ขัดพระทัยเงื้อพระแสงหันมาจะฟัน นายท้ายช้างทูลขอชีวิตแล้วไสช้างกลับเข้าชนประตูเมืองพังลงทหารก็ตรูกันเข้าเมืองได้เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๗ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐ พระองค์ได้ทรงทำนุบำรุงเมืองให้เป็นปกติเรียบร้อยแล้วตรัสสั่งให้ต่อเรือรบได้ประมาณ ๒๐๐ ลำ เตรียมการเข้ามาทำสงครามกู้กรุงศรีอยุธยาต่อไป นับว่าเมืองจันทบุรีเป็นเมืองสำคัญ เคยเป็นที่ตั้งมั่นของวีรกษัตริย์มหาราชเจ้าพระองค์หนึ่งของไทยมาก่อน สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ครั้นต่อมาถึงแผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศไทยเกิดพิพาทกับประเทศญวนถึงกับทำสงครามกันด้วยเรื่องเจ้าอนุ การสงครามระหว่างญวนกับไทยในครั้งนั้นใช้กองทัพบกและกองทัพเรือ เมืองจันทบุรีเป็นเมืองชายทะเลทางทิศตะวันออกอยู่ใกล้ชิดกับญวนมาก สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่าญวนจะมายึดเอาเมืองจันทบุรีเป็นที่มั่นเพื่อทำการต่อสู้กับไทย และตัวเมืองจันทบุรีตั้งมาแต่สมัยโน้นก็อยู่ในที่ลุ่ม ไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นฐานทัพต่อสู้กับญวน ฉะนั้น จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่กองออกมาสร้างป้อมค่ายและเมืองขึ้นใหม่ที่บ้านเนินวง ตำบลบางกะจะ ตำบลที่จะสร้างเมืองใหม่นี้ตั้งอยู่ในที่สูงเป็นชัยภูมิดี เหมาะแก่การสร้างฐานทัพต่อสู้ข้าศึก ลักษณะของเมืองที่สร้างมีกำแพง ป้อม คู ประตู ๔ ทิศ เป็นรูปสี่เหลี่ยม กว้างประมาณ ๑๔ เส้น ยาว ๑๕ เส้น มีปืนจุกอยู่ตามช่องใบเสมา สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๗ ใช้เวลาแรมปีและกำลังคนมากมายจนแล้วเสร็จ ภายในเมืองได้สร้างศาลเจ้าพ่อหลักเมือง คลังเก็บอาวุธ และวัดซึ่งมีชื่อว่า วัดโยธานิมิต เมืองที่สร้างใหม่ยังคงปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ พร้อมกับการสร้างเมืองใหม่นั้น ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เป็นแม่กองสร้างป้อมที่หัวหาดปากน้ำแหลมสิงห์ป้อมหนึ่ง และให้พระยาอภัยพิพิธ เป็นแม่กองสร้างไว้บนเขาแหลมสิงห์อีกป้อมหนึ่ง เดิมป้อมทั้งสองยังไม่มีชื่อ ต่อมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังมิได้ เสวยราชย์ได้เสด็จประพาสเมืองจันทบุรี จึงได้พระราชทานนามป้อมที่อยู่บนเขาแหลมสิงห์ว่า ป้อมไพรีพินาศ และป้อมที่อยู่หัวหาดแหลมสิงห์ว่า ป้อมพิฆาตปัจจามิตร (หนังสือของหลวง-สาครคชเขต ว่าชื่อ ป้อมพิฆาตข้าศึก) แต่ป้อมพิฆาตปัจจามิตรได้ถูกฝรั่งเศสรื้อเสียแล้วเมื่อคราวฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีเพื่อสร้างที่พักทหารฝรั่งเศสซึ่งเรียกกันว่า ตึกแดง ในเวลานี้ เมื่อได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นแล้ว รัฐบาลไทยในสมัยนั้นได้สั่งย้ายเมืองจันทบุรีจากที่ตั้งอยู่เดิม ไปอยู่ที่เมืองใหม่ และมีความปรารถนาที่จะให้ประชาชนอพยพจากเมืองเก่าที่ตั้งเป็นตัวจังหวัดเดี๋ยวนี้ไปอยูที่เมืองใหม่ด้วย แต่เนื่องด้วยตัวเมืองใหม่ตั้งอยู่บนที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ ๓๐ เมตร และตั้งอยู่ห่างจากคลองน้ำใสซึ่งเป็นคลองน้ำจืดประมาณ ๑ กิโลเมตร ไม่สะดวกแก่ประชาชนในเรื่องน้ำใช้ ประชาชนจึงไม่ใคร่สมัครใจอยู่คงอยู่ที่เมืองเก่าเป็นส่วนมาก พวกที่อพยพไปอยู่จนตั้งเป็นหลักฐานก็มีแต่หมู่ข้าราชการ ซึ่งปัจจุบันยังมีบุตรหลานของข้าราชการสมัยนั้น ตั้งเคหสถานอยู่ที่บ้านทำเนียบในเมืองใหม่มาจนทุกวันนี้และเมื่อการสงครามระหว่างไทยกับญวนสงบลงแล้ว เมืองใหม่ก็ไม่มีความสำคัญอย่างไรที่ประชาชนในเมืองเก่าจะต้องอพยพไปอยู่ ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองจันทบุรีจากเมืองใหม่ที่บ้านเนินวงกลับมาตั้งอยู่ที่เมืองเก่าตามเดิมและได้อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ เมืองใหม่จึงกลายเป็นเมืองร้างมาแต่ครั้งนั้น ใน พ.ศ. ๒๔๓๖ (ร.ศ. ๑๑๒) ไทยกับฝรั่งเศสได้เกิดกรณีพิพาทกันด้วยเรื่องดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง โดยฝรั่งเศสกล่าวหาว่าไทยรุกล้ำเข้าไปในดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศสและได้ทำร้ายเจ้าพนักงานฝรั่งเศสด้วย ฝ่ายไทยได้แก้ว่าดินแดนนั้นเป็นของไทยฝรั่งเศสบุกรุกเข้ามา ฝ่ายไทยจำเป็นต้องขัดขวาง เมื่อการโต้เถียงไม่เป็นที่ตกลงปรองดองกันแล้ว ฝรั่งเศสจึงได้ใช้อำนาจโดยส่งเรือรบเข้าไปปิดปากน้ำเจ้าพระยา ไทยกับฝรั่งเศสจึงเกิดปะทะกันด้วยอาวุธเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับความเสียหายด้วยกัน ฝ่ายไทยเห็นว่าจะสู้ฝรั่งเศสในทางกำลังอาวุธมิได้แล้วจึงได้ขอเปิดการเจรจากับรัฐบาลฝรั่งเศสด้วยสันติวิธี ฝ่ายฝรั่งเศสได้ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลไทยเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ รวม ๖ ข้อด้วยกัน มีใจความสำคัญที่ควรกล่าวคือ ให้รัฐบาลไทยยอมสละสิทธิดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตลอดจนเกาะทั้งหลายในลำน้ำนั้นเสีย กับให้ไทยต้องเสียเงินเป็นค่าปรับให้แก่ฝรั่งเศส เป็นจำนวนเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ แฟรงค์ และก่อนที่จะได้ตกลงทำสัญญากันนี้ฝรั่งเศสจะต้องยึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นประกัน ฝ่ายไทยต้องยอมฝรั่งเศสทุกประการ ในระหว่างที่มีการปะทะกับฝรั่งเศสนั้น ทางจันทบุรีได้เตรียมต่อสู้ป้องกันตามกำลังที่พอจะทำได้ เพราะในเวลานั้นมีกองทหารเรือตั้งอยู่ในตัวเมืองและที่ป้อมปากน้ำแหลมสิงห์ แต่เมื่อได้ทราบว่ารัฐบาลยอมให้ผรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรี กองทหารเรือทั้งสองแห่งก็ได้รีบโยกย้ายไปอยู่ที่เกาะจิก และอำเภอขลุง ต่อมาอีกไม่กี่วัน ใน พ.ศ. ๒๔๓๖ นั้นเอง ฝรั่งเศสก็ได้ยกกองทหารเข้าสู่เมืองจันทบุรี ทหารโดยมากเป็นทหารญวนที่ส่งมาจากไซ่ง่อนที่เป็นฝรั่งเศสมีไม่มากนัก และส่วนมากเป็นนายทหาร จำนวนทหารฝรั่งเศสและญวนรวมกันทั้งสิ้นประมาณ ๖๐๐ คนเศษ ได้แยกกันอยู่เป็น ๒ แห่ง คือ ที่ป้อมปากน้ำแหลมสิงห์พวกหนึ่ง ได้รื้อป้อมพิฆาตปัจจามิตรเสียแล้วสร้างตึกแถวเป็นที่พัก ทั้งได้สร้างที่คุมขังนักโทษทหารไว้ด้วย อีกพวกหนึ่งตั้งอยู่ในเมืองจันทบุรี ในบริเวณที่เรียกว่า ค่ายทหาร เดี๋ยวนี้ได้จัดสร้างที่พักทหาร โรงพยาบาล ที่ขังนักโทษ ที่เก็บอาวุธขึ้นในค่ายหลายคลัง ซึ่งยังคงอยู่ต่อมาจนทุกวันนี้ ในระหว่างที่ฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีนั้น ฝรั่งเศสได้ช่วยเหลือไทยทำการปราบปรามพวกอั้งยี่และช่วยเหลือพยาบาลประชาชนที่ป่วยไข้อันเป็นบุญคุณที่ได้กระทำไว้ในครั้งนั้น แต่สิ่งที่ชั่วร้ายเลวทรามที่ทหารฝรั่งเศสและทหารญวนได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้ก็มิใช่น้อย ทหารฝรั่งเศสที่เข้ามายึดครองจันทบุรีไม่มีอำนาจในการปกครองประชาชน อำนาจการปกครองยังเป็นของไทยอยู่ตลอดเวลาที่ฝรั่งเศสยึดครอง ฝรั่งเศสมีอำนาจเพียงปกครองทหารและคนที่ขึ้นในบังคับฝรั่งเศสเท่านั้น แต่ในบางคราวฝรั่งเศสก็ก้าวก่ายอำนาจการปกครองของไทยบ้าง ฝ่ายไทยต้องพยายามผ่อนผันอะลุ้มอล่วยเสมอมาจึงไม่ใคร่มีเรื่องขัดใจกัน จนถึงเวลาที่ฝรั่งเศสถอนทหารออกไปจากจันทบุรี และเนื่องด้วยไทยยังมีอำนาจในการปกครองในขณะที่ฝรั่งเศสยึดครองอยู่ จึงได้มีชาวจีนและญวนพื้นเมืองบางคนไม่อยากอยู่ใต้อำนาจการปกครองของไทยพากันไปเข้าอยู่ในความปกครองของฝรั่งเศสเพื่อหวังประโยชน์บางประการ จึงทำให้การบังคับบัญชาบุคคลจำพวกนี้ลำบากยิ่งขึ้น แต่พอฝรั่งเศสออกจากจันทบุรีไปแล้ว คนจำพวกนี้ก็พลอยหมดไปด้วยกลายเป็นไทยแท้ไม่มีคนในปกครองของฝรั่งเศส กองทหารฝรั่งเศสได้ทำการยึดจันทบุรีอยู่เป็นเวลาถึง ๑๑ ปีเศษ เมื่อรัฐบาลไทยและฝรั่งเศสได้ทำสัญญาตกลงกันเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยฝ่ายไทยยินยอมยกดินแดนจังหวัดตราด ตลอดจนถึงจังหวัดประจันตคีรีเขตให้แก่ฝรั่งเศส กองทหารฝรั่งเศสทั้งหมดก็เริ่มถอนออกไปจากจันทบุรีจนหมดสิ้น เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๔๔๗ และรัฐบาลไทยได้ย้ายกองทหารเรือที่เกาะจิกและที่อำเภอขลุงกลับเข้ามาตั้งอยู่ในจังหวัดจันทบุรีตามเดิม การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลางโดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราช-การที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือระบบกินเมือง ให้หมดไป การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ ๆ ส่วนหัวเมืองอื่น ๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวาง ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ-กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ การเทศาภิบาล ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาค อันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้ คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑลรองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัดรองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็ว แก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้ การเทศาภิบาล นั้น หมายความร่วมว่า เป็น ระบบ การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า การปกครองส่วนภูมิภาค ส่วน มณฑลเทศาภิบาล นั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตก บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรก ที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้ เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี และในปีเดียวกันนั้นเอง ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่า ๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี ระยอง และตราด พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสียเหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒) อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัด นั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓) ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑) จังหวัด ๒) อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดจันทบุรี . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น กรมการปกครอง, ๒๕๒๔ . หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:04:34 ชลบุรี
ประวัติความเป็นมา ดินแดนที่เรียกว่าจังหวัดชลบุรีซึ่งประกอบด้วย ๙ อำเภอ กับ ๑ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองชลบุรี อำเภอพานทอง อำเภอพนัสนิคม อำเภอหนองใหญ่ อำเภอบ้านบึง อำเภอศรีราชา อำเภอบาง -ละมุง อำเภอสัตหีบ อำเภอบ่อทอง และกิ่งอำเภอเกาะสีชัง มีเนื้อที่รวมกันทั้งสิ้นประมาณ ๔,๕๐๐ ตารางกิโลเมตร ในปัจจุบันนี้ถ้าจะกล่าวถึงสภาพภูมิประเทศนับถอยหลังไปเพียงหลายๆ สิบปีเท่านั้น ก็คงจะแตกต่างกว่าปัจจุบันมาก สภาพที่เปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอย่างน้อย ๒ ประการ คือ ความเปลี่ยนแปลงตามแนวชายฝั่งทะเล ซึ่งนับวันแต่จะตื้นเขินเป็นแผ่นดินเพิ่มขึ้นนั้นประการหนึ่ง และสภาพป่าเขาลำเนาไพรซึ่งเคยหนาทึบรกชัฏด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด ก็กลายสภาพเป็นที่โล่งเตียน ทำนาทำไร่ มีเจ้าของจับจองจนแทบหมดสิ้นนั้นอีกประการหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงใน ๒ ลักษณะสำคัญดังกล่าวนี้ ทำให้เป็นที่เข้าใจได้โดยง่ายว่า สภาพบ้านเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปมากจนยากที่จะคำนึงถึงสภาพชุมชนดั้งเดิมของชาวชลบุรีในสมัยโบราณ จากหลักฐานทางโบราณวัตถุสถาน ทำให้นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า ภายในกรอบเนื้อที่ ๔,๕๐๐ ตารางกิโลเมตร ของเมืองชลบุรีในอดีต เคยเป็นที่ตั้งชุมชนหรือเมืองโบราณที่เคยมีความเจริญ รุ่งเรืองอยู่ ๒ เมือง และนับว่าเก่าแก่ที่สุดเท่าที่ปรากฏหลักฐาน คือ เมืองศรีพะโร ตั้งอยู่บริเวณบ้านอู่ตะเภา ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมืองชลบุรี หน้าเมืองมีอาณาเขตจดทะเลที่ตำบลบางทรายในปัจจุบัน เคยมีผู้ขุดพบโบราณวัตถุหลายอย่าง เช่น พระพุทธรูปทองคำ สัมฤทธิ์ แก้วผลึก ขันทองคำ ถ้วยชามสังคโลกคล้ายของสุโขทัย จระเข้ปูน ก้อนศิลามีรอยเท้าสุนัข เป็นต้น เมืองศรีพะโรนี้ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเป็นเมืองในสมัยขอมยังเรืองอำนาจอยู่ในภูมิภาคนี้ อาจจะรุ่นราวคราวเดียวกับสมัยลพบุรีซึ่งอยู่หลังยุคอู่ทอง และก่อนยุคอยุธยาคือประมาณ พ.ศ. ๑๖๐๐๑๙๐๐ เมืองพระรถ เป็นเมืองโบราณยุคเดียวกันกับเมืองศรีพะโรหรือก่อนเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะปรากฏว่ามีทางเดินโบราณติดต่อกันได้ระหว่าง ๒ เมืองนี้ ในระยะทางประมาณ ๒๐ กิโลเมตร และน่าเชื่อต่อไปว่าเมืองพระรถแห่งนี้คงอยู่ในสมัยเดียวกันกับเมืองพระรถหรือเมืองมโหสถ ที่ดงศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ในปัจจุบันอีกด้วย กำแพงเมืองพระรถ ตั้งอยู่ตำบลหน้าพระธาตุ อำเภอพนัสนิคม ในปัจจุบันห่างจากที่ว่าการอำเภอไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือระยะทางประมาณ ๒ กิโลเมตร เมื่อถนนสายชลบุรี-ฉะเชิงเทรา ตัดผ่าน ทำให้กำแพงเมืองถูกแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน เป็นด้านตะวันตกและตะวันออกของถนน สภาพที่เห็นปัจจุบันด้านตะวันออกเป็นไร่-นาไปหมดแล้วเหลือแต่ด้านตะวันตกเห็นเป็นฐานกำแพงเมืองก่อเป็นเนินดินและอิฐโบราณ สูงประมาณ ๖ ศอก หนา ๑๐ ศอก ยาว ๓๐ เส้น กว้าง ๒๕ เส้น ริมกำแพงเมืองด้านเหนือมีสระใหญ่เรียกว่า สระฆ้อง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ ได้มีผู้ขุดพบพระพุทธรูป พระพนัสบดี ได้ที่บริเวณตำบลหน้าพระธาตุ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เป็นพระพุทธรูปจำหลักจากศิลาดำ เนื้อละเอียด นักโบราณคดีกำหนดอายุว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดี พระพุทธรูปที่มีพระพุทธลักษณะเช่น พระพนัสบดีนี้มีอยู่ที่พิพิธ-ภัณฑสถานแห่งชาติพระนครหลายองค์ ทุกองค์งามสู้พระพนัสบดีองค์ที่ขุดพบนี้ไม่ได้ พระพนัสบดี มีพระพุทธลักษณะแปลกว่าพระพุทธรูปอื่นๆ คือ เป็นพระพุทธรูปปางประทับยืนบนดอกบัว ยกพระหัตถ์ทั้งสองเสมอพระอุระ จีบนิ้วพระหัตถ์ทั้งสอง เช่น พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา บนฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองมีลายธรรมจักร เบื้องพระปฤษฎางค์มีประภามณฑล ประทับยืนบนสัตว์ที่แปลกพิเศษกว่าสัตว์ทั้งหลาย เป็นภาพสัตว์ที่เกิดจากจินตนาการจากประติมากรผู้สร้างพระพุทธรูป คือ นำโค ครุฑ หงส์ มารวมเป็นสัตว์ตัวเดียวกัน สัตว์นั้นหน้าเป็นครุฑ เขาเป็นโค ปีกเป็นหงส์ โค ครุฑ หงส์ เป็นพาหนะของเทพเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวรทรงโค พระนารายณ์ทรงครุฑ พระพรหมทรงหงส์ เมื่อรวมกันเข้าจึงเป็นสัตว์พิเศษที่มีเขาเป็นโค มีจงอยปากเป็นครุฑ และมีปีกเป็นหงส์ ผู้สร้างอาจหมายถึงพระพุทธเจ้าอาศัยศาสนาพราหมณ์เป็นพาหนะ ในการประกาศพระศาสนาหรือหมายถึงพระพุทธเจ้าทรงชัยชนะแล้วซึ่งศาสนาพราหมณ์ก็ได้ พระพนัสบดีที่ขุดพบนี้ สูง ๔๕ เซนติเมตร สมัยพระยาพิพิธอำพลเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นอกจากมีการขุดพบพระพนัสบดีแล้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ บริเวณหน้าวัดพระธาตุ มีคนขุดพบกรุพระพิมพ์เนื้อตะกั่ว สนิมแดง คราบไขขาว มีพระพุทธลักษณะเช่นเดียวกับพระร่วงหลังรางปืน สวรรคโลก พระร่วงหลังลายผ้าลพบุรี เป็นพุทธศิลปสมัยทวารวดี พระเนตรโปนประหนึ่งตาตั๊กแตน ไม่ทรงเครื่องอลังการ พระเศียรไม่ทรงเทริด พระหัตถ์ขวาหงายทาบพระอุระ มีดอกจันทน์บนฝ่าพระหัตถ์ อาณาจักรพระเครื่องถวายนามว่า พระร่วงหน้าพระธาตุ มี ๒ พิมพ์ คือ ชายจีวรแผ่กว้าง และชายจีวรธรรมดา องค์พระสูง ๕ เซนติเมตร ชนิดชายจีวรแผ่กว้าง องค์พระกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ชนิดชายจีวรธรรมดา องค์พระกว้าง ๒ เซนติเมตร นับเป็นพระกรุที่เลื่องชื่อลือชาในอาณาจักรพระเครื่องยิ่งนัก นอกจากนั้น ยังขุดพบพระพุทธรูปสมัยทวารวดีอีกหลายองค์ และพระพิมพ์เนื้อดินดิบขนาดใหญ่ บริเวณหน้าพระธาตุ วัดกลางคลองหลวง วัดห้วยสูบ ฯลฯ โบราณวัตถุที่ขุดพบ ส่วนใหญ่เป็นศิลปะสมัยทวารวดีเช่นเดียวกับเมืองศรีพะโร แต่เมืองศรีพะโรนั้นไม่ปรากฏว่าได้พบพระพุทธรูปหรือกรุพระพิมพ์ เท่าเมืองพระรถหรือเมืองพนัสนิคม ตราบมาถึงกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จึงมีชื่อเมืองชลบุรีปรากฏเป็นหลักฐานทำเนียบ ศักดินาหัวเมือง ตราเมื่อมหาศักราช ๑๒๙๘ ตรงกับ พ.ศ. ๑๙๑๙ ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพะงั่ว) ออกชื่อเมืองชลบุรีเป็นเมืองชั้นจัตวา ผู้รักษาเมืองเป็นที่ออกเมืองชลบุรีศรีมหาสมุทร นา ๒๔๐๐ ขึ้นประแดงอินทปัญญาซ้าย ปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงชำระเรียบเรียงว่า เมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๗ ถึง ๑๙๒๙ รัชสมัยสมเด็จพระราเมศวร กองทัพพระยากัมพูชายกเข้ามาถึงเมืองชลบุรี กวาดต้อนครอบครัวอพยพหญิงชายเมืองชลบุรีและเมืองจันทบูร คนประมาณ ๖-๗ พันคน ไปเมืองกัมพูชา เมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๐ รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทหารกัมพูชาก็ได้ยกทัพมากวาดต้อนครอบครัวเมืองชลบุรีไปอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าข้าศึก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ ชาวจังหวัดชลบุรีได้ให้ความร่วมมือกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในการกอบกู้อิสรภาพอย่างใกล้ชิด จนสามารถกอบกู้เอกราชกลับคืนมา จังหวัดชลบุรีเจริญรุ่งเรืองที่สุดในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จประพาสชลบุรีหลายครั้งหลายหนเพราะชลบุรีเป็นเมืองชายทะเล เหมาะแก่การพักผ่อน มีทัศนียภาพงดงามและไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครนัก ในจดหมายเหตุพระราชกิจประจำวัน จะมีหลักฐานปรากฏชัดว่า รัชกาลที่ ๔-๕-๖ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จประพาสชลบุรีเมื่อไร ทรงพระราชกรณียกิจใดๆ บ้างล้วนแต่เป็นพระราช-กรณียกิจพื้นฐานสร้างชลบุรีให้เจริญรุ่งเรืองมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๐ พระสุนทรโวหาร หรือ สุนทรภู่รัตนกวีของไทย ได้เดินทางจากกรุงเทพมหานครเพื่อไปเยี่ยมบิดาที่เมืองแกลง จังหวัดระยอง ได้เขียนไว้ในนิราศเมือง แกลง กล่าวถึงเมืองต่างๆ เมื่อเข้าเขตจังหวัดชลบุรีแล้วไปตามลำดับจากเหนือไปใต้คือ บางปลาสร้อย หนองมน บ้านไร่ บางพระ บางละมุง นาเกลือ พัทยา นาจอมเทียน ห้วยขวาง หนองชะแง้ว (ปัจจุบันเรียกบ้านชากแง้ว อยู่ในเขตอำเภอบางละมุงซึ่งเป็นทางที่จะไปอำเภอแกลง จังหวัดระยอง ได้) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้ทรงเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองราชอาณาจักรที่เป็นหัวเมืองต่างๆ แบบโบราณที่แยกกันอยู่ในบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกรมท่า ดูไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยากแก่การปกครอง ดูแลให้ทั่วถึงและเสมอเหมือนกันได้ โดยให้หัวเมืองต่างๆ ทั่วราชอาณาจักรขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทยเพียงกระทรวงเดียวหรือหน่วยงานเดียว คือ การรวบรวมหัวเมืองทั้งหลายขึ้นเป็นมณฑลนั้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย (พ.ศ. ๒๔๓๕๒๔๕๘) ได้ทรงนิพนธ์ไว้ใน พระบันทึกความทรงจำ ซึ่งมีตอนที่กล่าวถึงเมืองชลบุรีไว้ว่า รวมหัวเมืองทางลำน้ำบางปะกง คือเมืองปราจีนบุรี ๑ เมืองนครนายก ๑ เมืองพนมสาร-คาม ๑ เมืองฉะเชิงเทรา ๑ รวม ๔ หัวเมือง เป็นเมืองมณฑล ๑ เรียกว่า มณฑลปราจีน ตั้งที่ว่าการมณฑล ณ เมืองปราจีน (ต่อเมื่อโอนหัวเมืองในกรมท่ามาขึ้นกระทรวงมหาดไทย จึงย้ายที่ว่าการมณฑลลงมาตั้งที่เมืองฉะเชิงเทรา เพราะขยายอาณาเขตมณฑลต่อลงไปทางชายทะเล รวมเมืองพนัสนิคม เมืองชลบุรี และเมืองบางละมุง เพิ่มให้อีก ๓ เมือง รวมเป็น ๗ เมืองด้วยกัน) แต่คงเรียกชื่อว่ามณฑลปราจีนอยู่ตามเดิม การปกครองหัวเมืองหรือที่รู้จักในปัจจุบันว่าเป็นราชการส่วนภูมิภาคนั้น ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงจากระบบเดิมมาเป็นระบบมณฑลหรือระบบเทศาภิบาลจริงจัง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา กล่าวคือ จากมณฑลแบ่งย่อยออกมาเป็นเมือง เป็นอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน โดยมีผู้ปกครองบังคับบัญชาเรียกว่า สมุหเทศาภิบาล ผู้ว่าราชการเมือง นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตามลำดับ ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้รวมมณฑลจัดตั้งขึ้นเป็นภาค โดยมีอุปราชเป็นผู้ปกครอง มีอำนาจเหนือ สมุหเทศาภิบาล มีด้วยกัน ๔ ภาค คือ ภาคพายัพ ภาคปักษ์ใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันตก สำหรับภาคกลางให้คงเป็นมณฑลอยู่อย่างเดิม เรียกว่า มณฑลอยุธยา มีอุปราชปกครองแทนสมุหเทศาภิบาล การปกครองหัวเมืองแบบแบ่งเป็นภาคและมีตำแหน่งอุปราชเช่นว่านี้ ได้ยกเลิกเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๔๖๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ โดยกลับไปใช้ในลักษณะเป็นมณฑลอย่างเดิมในลักษณะที่มีจำนวนมากขึ้นจนสูงสุดถึง ๒๐ มณฑล และภายใน ๑๐ ปีต่อมา คือก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ยุบและยกเลิกหลายๆ มณฑลลง เหลือเพียง ๑๐ มณฑลเป็นครั้งสุดท้าย โดยมีรายชื่อมณฑลปรากฏอยู่ในระบบการปกครองหัวเมืองครั้งนั้น ดังนี้ คือ (๑) มณฑลพิษณุโลก (๒) มณฑลปราจีนบุรี (๓) มณฑลนครราชสีมา (๔) มณฑลราชบุรี (๕) มณฑลนครชัยศรี (๖) มณฑลนครสวรรค์ (๗) มณฑลกรุงเก่า (ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ เปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยา) (๘) มณฑลภูเก็ต (๙) มณฑลนครศรีธรรมราช (๑๐) มณฑลชุมพร (๑๑) มณฑลไทรบุรี (๑๒) มณฑลเพชรบูรณ์ (๑๓) มณฑลพายัพ (๑๔) มณฑลอุดร (๑๕) มณฑลอีสาน (๑๖) มณฑลปัตตานี (๑๗) มณฑลจันทบุรี (๑๘) มณฑลอุบล (๑๙) มณฑลร้อยเอ็ด และ (๒๐) มณฑลมหาราษฎร์ (แยกจากมณฑลพายัพ) ที่กล่าวถึงเรื่องของมณฑลมาค่อนข้างยืดยาว ก็เพียงเพื่อจะชี้ให้เห็นนิดเดียวว่าเมืองชลบุรี คือ เมืองๆ หนึ่งในมณฑลปราจีนมาตั้งแต่ ๒๔๓๗ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ อย่างไรก็ตามเพื่อความสมบูรณ์ในสาระยิ่งขึ้น ก็คงจะเว้นเสียมิได้ที่จะต้องสรุปความเป็นมาของจังหวัดชลบุรีไว้ตามลำดับดังนี้ ยุคก่อนกรุงศรีอยุธยา มีเมืองศรีพะโร และเมืองพระรถ ตั้งอยู่แล้ว โดยปัจจุบันยังมีหลักฐานความเป็นเมืองบางอย่างปรากฏอยู่ ยุคกรุงศรีอยุธยา เมืองศรีพะโร และเมืองพระรถ อาจเสื่อมไปแล้วและมีชุมชนที่รวมกันอยู่หลายจุดในลักษณะเป็นบ้านเมือง อาทิ บางทราย บางปลาสร้อย บางพระเรือ บางละมุง ฯลฯ เป็นต้น ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงแรก (ก่อน พ.ศ. ๒๔๔๐ หรือ ร.ศ. ๑๑๕) ซึ่งเป็นช่วงที่ยังไม่มีพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ออกมาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ชุมชนใหญ่ๆ นอกกรุงเทพมหานคร เรียกว่าเมือง มีเจ้าเมืองปกครอง เป็นเมืองๆ ไปไม่ขึ้นแก่กัน ในช่วงนี้จังหวัดชลบุรียังไม่เกิด แต่ได้มีเมืองต่างๆ ใน พื้นที่เกิดขึ้นแล้วคือ เมืองบางปลาสร้อย เมืองพนัสนิคม และเมืองบางละมุง ช่วงสอง (หลัง พ.ศ. ๒๔๔๐๒๔๗๕) ได้มีอำเภอเกิดขึ้น เมืองใหญ่ๆ ยังคงเป็นเมืองอยู่ ส่วนเมืองเล็กๆ ให้ยุบเป็นอำเภอไปขึ้นอยู่กับเมือง โดยมีผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชา สูงสุดของเมือง ขณะนั้นคำว่าจังหวัดมีใช้อยู่แห่งเดียวในราชอาณาจักร คือ จังหวัดกรุงเทพมหานคร (ปรากฏเรียกใน พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ มาตรา ๒) เข้าใจว่า คำว่าเมืองชลบุรีมีชื่อเรียกกันในช่วงนี้ โดยมีอำเภอบางปลาสร้อย (ที่ตั้งตัวเมือง) อำเภอพานทอง อำเภอพนัสนิคม อำเภอบางละมุง อยู่ในเขตการปกครองในระยะต้น และในระยะหลังปี ๒๔๖๐ ก็มีอำเภอ ศรีราชา กิ่งอำเภอเกาะสีชัง กิ่งอำเภอบ้านบึง เกิดขึ้นรวมอยู่ในเขตเมืองชลบุรีตามมา ช่วงสาม (ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ปัจจุบัน) เป็นระยะที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในรูปการปก-ครองประเทศครั้งใหญ่ โดยพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้ยกเลิกเขตการปกครองแบบเมืองทั่วราชอาณาจักร แล้วตั้งขึ้นเป็นจังหวัดแทน มีข้าหลวงประจำจังหวัดเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชา เมืองชลบุรีเดิมก็กลายเป็นจังหวัดชลบุรีมาจนถึงปัจจุบันนี้ (แต่เปลี่ยนข้าหลวงประจำจังหวัดเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด) โดยมีอำเภอและกิ่งอำเภออยู่ในเขตการปกครองเพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้วตามลำดับ คือ ยกฐานะกิ่งอำเภอบ้านบึงเป็นอำเภอบ้านบึง พ.ศ. ๒๔๘๑ กิ่งอำเภอสัตหีบเป็นอำเภอสัตหีบ พ.ศ. ๒๔๙๖ กิ่งอำเภอหนองใหญ่เป็นอำเภอหนองใหญ่ พ.ศ. ๒๕๒๔ และตั้งกิ่งอำเภอบ่อทอง พ.ศ. ๒๕๒๑ เหตุการณ์สำคัญ ๑. ในหนังสือ ชลบุรีภาคต้นของกรมศิลปากร พิมพ์ พ.ศ. ๒๔๘๓ หน้า ๗๑๐ ได้บรรยายถึงชลบุรีสมัยกู้ชาติไว้ดังนี้ เมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกกองทัพพม่าล้อมใน พ.ศ. ๒๓๐๙ กรมหมื่นเทพพิพิธพยายามเกลี้ย-กล่อมชาวหัวเมืองตะวันออก ตั้งแต่เมืองจันทบุรีตลอดถึงปราจีนบุรีเข้ากองทัพด้วยหวังว่าจะยกไปช่วยกรุงศรีอยุธยารบพม่า ชาวชลบุรีก็เต็มใจสนับสนุน พาสมัครพรรคพวกเข้ากองทัพกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นอันมาก จนแทบจะทิ้งให้ชลบุรีเป็นเมืองร้าง ขณะนั้นพระยาแม่กลอง (เสม) เป็นข้าหลวงออกไปเร่งส่วยหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก พักค้างอยู่เมืองชลบุรี ไม่ยินดีเข้าร่วมมือในกรมหมื่นเทพพิพิธ พยายามรักษาเงินส่วยที่เก็บรวบรวมได้มานั้นแอบแฝงหลบภัยอยู่ในชลบุรี ครั้งกรมหมื่นเทพพิพิธยกกองทัพไปตั้งมั่นที่เมืองปราจีนบุรีบอกเข้าไปยังกรุงให้กราบบังคมทูลขออาสาเป็นผู้ป้องกันพระนคร ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินทรงพระราชดำริเห็นว่า กรมหมื่นเทพพิพิธทำการซ่องสุมกำลังโดยบังอาจ แล้วยังทนงเอื้อมเข้าไปขอป้องกันกรุงด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง ชะรอยจะมีความไม่สุจริตเคลือบแฝงอยู่ด้วย จึงโปรดให้กองทัพออกไปปราบ กรมหมื่นเทพพิพิธกลับต่อสู้กองทัพกรุง รบบุกบั่นผลัดกันแพ้ชนะ จนกำลังย่อยยับลงทั้งสองฝ่าย ครั้นพม่าล้อมกรุงกระชั้นชิดมั่นคงแล้ว ได้ทราบว่ากรมหมื่นเทพพิพิธยังตั้งทัพประจัญอยู่ที่เมืองปราจีนบุรี พม่าจึงส่งกองทัพออกไปตีเพราะทัพกรมหมื่นเทพพิพิธบอบช้ำอยู่แล้ว ถูกกองทัพพม่าซ้ำเติมจึงพาลแตกเอาง่ายๆ ผู้คนล้มตายมากต่อมาก ที่ยังเหลือก็กระจัดพรัดพรายไม่เป็นส่ำ เหตุการณ์ครั้งนั้น ได้ทำให้เมืองฉะเชิงเทราและเมืองชลบุรีต้องร้างอยู่ชั่วคราว ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าตากสิน เมื่อยังดำรงพระยศเป็นพระยากำแพงเพ็ชร ทรงพาพรรคพวกออกไปหากำลังทางหัวเมืองภาคตะวันออก เดินทางผ่านเมืองชลบุรีซึ่งขณะนั้นว่างร้างเสียแล้ว เสด็จเลยไปประทับแรมบางละมุง และเสด็จต่อไปยังเมืองระยอง ในระหว่างประทับอยู่ที่เมืองระยอง กรมการเมืองระยองมีขุนราม หมื่นซ่อง เป็นหัวหน้าคิดประทุษร้ายยกพวกลอบมาปล้นค่ายในเวลากลางคืน สมเด็จพระเจ้าตากสินต่อสู้ป้องกัน ปราบพวกคิดร้ายแตกกระจายไป แต่พวกนั้นยังไม่เลิกพยายามที่จะคิดกำจัด จึงแยกออกเป็น ๒ หน่วย ขุนราม หมื่นซ่อง คุมหน่วยหนึ่ง ไปตั้งระหว่างทางจากระยองไปเมืองจันทบุรี นายทองอยู่ นกเล็ก คุมหน่วยหนึ่ง เล็ดลอดมาตั้งซ่องสุมอยู่บางปลาสร้อยเมืองชลบุรี ทั้งสองหน่วยนี้ คงจะมุ่งหมายช่วยกันตีกระหนาบกองทัพสมเด็จพระเจ้าตากสิน แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินรีบเสด็จไปทำลายกำลังขุนราม หมื่นซ่องเสียก่อน แล้วเสด็จวกกลับมาเมืองชลบุรีเพื่อจะปราบนายทองอยู่ นกเล็ก ให้สิ้นฤทธิ์ (บริเวณที่ตั้งค่ายของสมเด็จพระเจ้าตากสินครั้งนั้น บัดนี้ก็ยังเรียกเป็นชื่อหมู่บ้าน และชื่อสะพาน คือบ้านในค่าย, สะพานหัวค่าย) ฝ่ายนายทองอยู่ นกเล็ก ยอมอ่อนน้อมโดยดี จึงโปรดให้ช่วยรักษาเมืองชลบุรี เพื่อราษฎรจะได้ตั้งทำมาหากินเป็นกำลังแก่บ้านเมืองต่อไป และคอยช่วยปราบพวกสลัดซึ่งเวลานั้นชุกชุมที่สุด ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ถ้ามีใครสมัครจะไปเข้ากองทัพสมเด็จพระเจ้าตากสิน ให้นายทองอยู่ นกเล็ก ช่วยสนับสนุน อย่ากีดกันเป็นอันขาด เมื่อทรงจัดที่ชลบุรีเสร็จแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินก็เสด็จยกทัพไปยังเมืองระยอง แล้วต่อไปยังเมืองจันทบุรี ตั้งรวบรวมกำลังอยู่อย่างรีบร้อน ฝ่ายนายทองอยู่ นกเล็ก ชั้นต้นก็ปฏิบัติตามพระบัญชา แต่ต่อมากลับเหลวไหลเป็นใจด้วยพวกสลัด และคอยขัดขวางมิให้ใครๆ ไปสมัครเข้ากองทัพสมเด็จพระเจ้าตากสินโดยสะดวก ครั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงตระเตรียมกำลังได้เพียงพอสำหรับยกกลับไปปราบพม่าที่ยึดกรุงเก่าแล้วก็เคลื่อนกองทัพเรือออกจากเมืองจันทบุรี ตรวจกวาดล้างสลัดทะเลฝั่งตะวันออกตลอดมาถึงชลบุรี ได้ความว่า นายทองอยู่ นกเล็ก และพวกกลับประพฤติการร้าย หากำลังโดยทุจริต มิได้คิดปลูกเลี้ยงชาวเมืองให้เป็นปึกแผ่นตามสมควรแก่หน้าที่ซึ่งทรงมอบหมายไว้ จึงโปรดให้ปลดนายทองอยู่ นกเล็ก และพวกออกหมดแต่จะทรงพระกรุณาให้ผู้ใดรักษาเมืองแทนต่อจากนายทองอยู่ นกเล็ก ยังไม่ได้ความ มาปรากฏเมื่อตอนสิ้นรัช-กาลสมเด็จพระเจ้าตากสินว่า พระยาชลบุรี [บุตรเจ้าพระยาจักรี (หมุด) ต้นสกุล สมุทรานนท์ สมุหนายก อัครมหาเสนาบดีคนแรกสมัยกรุงธนบุรี] เป็นผู้รักษาเมือง ข้อที่น่ายินดีสำหรับชาวชลบุรีครั้งนั้น ก็คือได้มีส่วนเข้ากองทัพทำการรบกู้ชาติไทยเป็นประวัติอันเพียบพร้อมด้วยเกียรติยศอันสูงสุด ที่บุตรหลานชาวชลบุรีจะพึงระลึกถึงด้วยความปลาบปลื้ม และช่วยกันรักษาไว้ให้เป็นคุณแก่ชาติบ้านเมืองทุกเมื่อ จากข้อเขียนนี้มีหลักฐานปรากฏชัด (๑) สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงนำทัพผ่านชลบุรีไปประทับแรมเมืองบางละมุง แล้วมุ่งไปเมืองระยอง กรมการเมืองระยองมีขุนราม หมื่นซ่อง เป็นหัวหน้า แบ่งกำลังเป็น ๒ ฝ่าย โดยขุนราม หมื่นซ่องนำพวกปล้นค่ายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่เมืองระยองเวลากลางคืน ให้ นายทองอยู่ นก-เล็ก มาซ่องสุมผู้คนที่เมืองชลบุรีเพื่อตีกระหนาบทัพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทำลายกำลังขุนราม หมื่นซ่องได้แล้ว จึงยกมาปราบนายทองอยู่ นกเล็ก ทรงตั้งค่ายที่บ้านในค่ายและสะพานหัวค่าย นายทองอยู่ นกเล็ก อ่อนน้อมแต่โดยดี จึงตั้งให้รักษาเมืองชลบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จกลับเมืองระยอง ไปเมืองจันทบุรี เพื่อรวบรวมกำลังปราบปรามพม่าที่ยึดกรุงศรีอยุธยาอยู่ เมื่อจะกลับกรุงศรีอยุธยา ทรงทราบว่า นายทองอยู่ นกเล็ก ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ประกอบมิจฉาชีพ จึงสั่งให้ลงโทษนายทองอยู่ นกเล็ก กับพวก (๒) นายทองอยู่ นกเล็ก เป็นพวกขุนราม หมื่นซ่อง อยู่เมืองระยอง ไม่ใช่คนเมืองชล ลูกเมืองชล เป็นคนไม่ซื่อสัตย์สุจริต ประกอบมิจฉาชีพ มีความมักใหญ่ใฝ่สูง จึงถูกสำเร็จโทษ (๓) เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลงโทษนายทองอยู่ นกเล็ก แล้วโปรดแต่งตั้งพระยาชลบุรีรักษาเมือง สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงสันนิษฐานว่า พระยาชลบุรีเป็นบุตรเจ้าพระยาจักรี (หมุด) ชื่อ หวัง เป็นคนเข้มแข็ง รักษาเมือง ออกปราบเหล่ามิจฉาชีพ ในรัชกาลที่ ๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนพระยาชลบุรีเป็นพระยาราชวัง-สัน ๒. เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงมีพระประสูติกาล ประสูติพระโอรส ณ พระตำหนักบนเกาะสีชัง พระราชทานนามว่า เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก และขนานนามที่เกาะสีชังว่า พระราชวังจุฑาธุชราชฐาน ขนานนามพระอารามซึ่งทรงพระราชศรัทธาสร้างขึ้นใหม่ว่า วัดจุฑาธุชธรรมสภา เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้ตั้งการพระราชพิธีโสกันต์ตามสมควรแก่พระเกียรติยศเจ้าฟ้า พระนามพระสุพรรณบัฏ เฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนเพ็ชรบูรณ์-อินทราชัย (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย) ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดชลบุรี. ชลบุรี : โรงพิมพ์การพิมพ์แสนสุรัติแห่ง ตะวันออก, ๒๕๒๘. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:06:21 กาญจนบุรี
เมื่อกล่าวถึงจังหวัดกาญจนบุรี ใครๆ ย่อมรู้จักว่าเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญของไทย ลุ่มน้ำไทรโยค (แควน้อย) และลุ่มน้ำศรีสวัสดิ์ (แควใหญ่) เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำใสสะอาด สัตว์ป่าที่จะใช้เป็นอาหาร ในน้ำเต็มไปด้วย หอย ปู ปลา มีที่ราบบริเวณเชิงเขา ถ้ำ ตามริมแม่น้ำมีพื้นที่ทำการเพาะปลูกเหลือเฟือ ได้มีการขุดค้นพบเครื่องมือมนุษย์สมัยหินเก่าเครื่องมือหิน โครงกระดูกมนุษย์สมัยหินกลาง สมัยหินใหม่ที่บ้านเก่าจนถึงยุคโลหะตอนปลายที่บ้านดอนตาเพชร การพบตะเกียงโรมัน (อเล็กซานเดรีย) ที่ตำบลพงตึการพบปราสาทเมืองสิงห์ เป็นต้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นหลักฐานที่แสดงว่าจังหวัดกาญจนบุรีเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมของมนุษย์ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน ต่อมาในสมัยประวัติศาสตร์ครั้งกรุงศรี-อยุธยาเป็นราชธานี กาญจนบุรีมีฐานะเป็นเมืองด่านที่มีความสำคัญต่อการอยู่รอดของไทยอย่างมาก เหตุการณ์ที่ปรากฏ เช่น การเดินทัพผ่านด่านเจดีย์สามองค์ การรบที่ทุ่งลาดหญ้า ท่าดินแดง และสามสบ จวบจนการย้ายเมืองกาญจนบุรีมาตั้งที่ปากแพรกหรือลิ้นช้าง เหตุการณ์ครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ญี่ปุ่นได้ใช้เส้นทางยุทธศาสตร์สายนี้เกณฑ์เชลยศึกทำทางรถไฟไปพม่าซึ่งเรียกกันว่าทางรถไฟสายมรณะ ทำให้เชลยศึกต้องล้มตายเป็นจำนวนมากและฝังอยู่ที่สุสานทหารสหประชาชาติมาจนถึงสงครามอินโดจีน กาญจนบุรีเป็นดินแดนที่เป็นที่ฝึกซ้อมรบเพื่อเตรียมการรบในเวียดนาม ลาวและกัมพูชา ตลอดจนเรื่องราวของชนกลุ่มน้อยที่น่าสนใจ และปัญหาการสร้างเขื่อนตอนบนของแม่น้ำแควน้อยและแควใหญ่ที่กำลังเป็นที่สนใจอยู่ไม่น้อย สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในขณะที่ความเชื่อว่าคนไทยเดิมอยู่ไหน กำลังเปลี่ยนแปลง จังหวัดกาญจนบุรีก็ได้รับการสนใจอย่างมาก เพราะจังหวัดกาญจนบุรีเป็นดินแดนที่พบร่องรอยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์มากที่สุดตั้งแต่ยุคหินเก่า หินกลาง หินใหม่ และยุคโลหะ ได้พบเครื่องมือเครื่องใช้ ภาชนะดินเผา โครงกระดูก เครื่องประดับ ตลอดจนซากพืชซากสัตว์ที่ละทิ้งไว้ตามพื้นดิน ในถ้ำเพิงผา แสดงว่าได้มีมนุษย์อาศัยอยู่เป็นเวลานานไม่แพ้แหล่งก่อนประวัติศาสตร์แหล่งอื่นๆ ของโลก ยุคหินเก่า (Paleolithic Period) ร่องรอยของมนุษย์ในสมัยหินเก่า จากการสำรวจในประเทศไทยพบเครื่องมือหินกรวดโดยศาตราจารย์ฟริตซ์ สารแซง (Fritz Saracen) ได้เข้ามาสำรวจในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดราชบุรี และจังหวัดลพบุรี จากการศึกษาพบเครื่องมือที่แท้เพียง ๒ - ๓ ก้อนเท่านั้น เรียกเครื่องมือหินเก่าที่พบในประเทศไทยว่า Siaminian Culture แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับ หลักฐานของยุคหินเก่าได้ปรากฏชัดเจนเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดขึ้น ญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกมาสร้างทางรถไฟจากหนองปลาดุกผ่านจังหวัดกาญจนบุรี ถึงเมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่า ในจำนวนเชลยศึกนี้มี ดร.แวน ฮีเกอเรน (Dr.Van Heekeren) ชาวฮอลันดาเขาได้พบเครื่องมือหินบริเวณใกล้สถานีบ้านเก่าหลายชิ้น หลังสงครามโลกได้นำไปให้ศาสตราจารย์โมเวียสแห่งสถาบันพีบอดี้มิว -เซียม (Peabody Museum) มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ปรากฏว่าเป็นเครื่องมือสมัยหินเก่าตอนต้น ๓ ก้อน เครื่องมือหินกะเทาะหน้าเดียว ๖ ก้อน และขวานหินขัดสมัยหินใหม่ ๒ ก้อน ให้ชื่อว่า วัฒนธรรม แฟงน้อย หรือเฟงน้อยเอียน (Fingnoian Culture) บางท่านเรียกว่า วัฒนธรรมบ้านเก่า (Ban-Khaoian Culture) ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ศาสตราจารย์โมเวียส ได้ส่งลูกศิษย์มาทำการสำรวจโดยร่วมมือกับกรมศิลปากรทำการสำรวจบริเวณหมู่บ้านเก่า จนถึงวังโพ ได้พบเครื่องมือหินกรวด ๑๐๔ ก้อน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ คณะสำรวจไทยเดนมาร์ก ได้ทำการสำรวจพบเครื่องมือหินเก่าที่บริเวณทุ่งผักหวาน จันเด ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ และที่บ้านท่ามะนาว ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จากเครื่องมือนี้พอสรุปได้ว่า คนสมัยหินเก่าที่จังหวัดกาญจนบุรี น่าจะเป็นพวกมนุษย์วานรหรือพวกออสตราลอยด์ แต่ก็มีปัญหาว่าพวกนี้อพยพมาจากที่ใด เครื่องมือหินที่พบในจังหวัดกาญจนบุรีนี้ เป็นหินกะเทาะหน้าเดียวประเภทเครื่องขุดและสับตัด (Chopper-chopping tools) ยังไม่ปรากฏว่าได้พบโครงกระดูกของมนุษย์สมัยนี้เลย ผู้ที่สนใจและทำการสำรวจเรื่องราวของยุคหินเก่าในปัจจุบัน ก็มีคณะของศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร พิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ท่านได้พบเครื่องมือหินกรวดสมัย หินเก่าตามริมแม่น้ำตามถ้ำของแม่น้ำแควน้อยใกล้ไทรโยคเป็นจำนวนมาก จากร่องรอยของมนุษย์สมัยหินเก่าที่จังหวัดกาญจนบุรีนี้ ยังไม่มีการสำรวจอย่างจริงจัง ซึ่งต้องพบหลักฐานมากกว่านี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ต้นแม่น้ำทั้งสองของจังหวัดกาญจนบุรี คือ แม่น้ำ แควน้อยและแม่น้ำแควใหญ่ ได้ถูกน้ำท่วมเพราะการสร้างเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนเขาแหลมในปัจจุบัน ยุคหินกลาง (Mesolithic Period) จากหลักฐานที่พบว่า เครื่องมือที่พบหลายแห่งในจังหวัดกาญจนบุรี เป็นแบบวัฒนธรรม โฮบิเนียน (Haobinhian Culture) จากการสำรวจของคณะไทย-เดนมาร์กเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ที่ถ้ำเพิงผาหน้าถ้ำพระขอม ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค พบเครื่องมือหินกรวดจำนวนมาก และได้พบโครงกระดูกของผู้ใหญ่ ๑ โครง ในระดับลึกจากเพิงผา ๑๑๐๑๓๐ เซนติเมตร โดยกระดูกนั้นอยู่ในลักษณะ นอนหงายชันเข่าอยู่บนก้อนหินใหญ่แห่งหนึ่งในแนวเกือบขนานกับผนังเพิงผา นอนหันหน้าไปด้านขวามือ ศีรษะหันไปทางทิศเหนือฝ่ามือขวาอยู่ใต้คาง แขนท่อนซ้ายวางพาดอก ที่บริเวณส่วนบนของร่าง และบริเวณทรวงอกมีหินควอทซ์ไซท์ก้อนใหญ่วางทับอยู่ตอนเหนือศีรษะและร่างมีดินสีแดงโรยอยู่ แสดงว่ามีพิธีกรรมเกี่ยวกับการฝังศพ พบกระดูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมวางอยู่บนทรวงอก เปลือกหอยกาบวางอยู่บนร่างหรือใกล้กับร่าง ที่บนแขนขวามีเปลือกหอยทะเลอยู่ ๒ ชิ้น เป็นเรื่องน่าแปลกว่าเปลือกหอยทะเลคู่นี้มาได้อย่างไร จัดว่าโครงกระดูกคนสมัยหินกลาง โครงนี้เป็นโครงกระดูกที่เก่าแก่ที่สุดที่พบในประเทศไทย ปัจจุบันโครงกระดูกนี้ถูกส่งกลับมาจากพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติโคเปนเฮเกน มาเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช นอกจากนี้ ยังพบเครื่องมือหินกะเทาะที่ประณีตขึ้น เป็นเครื่องมือหินอย่างหยาบ ชั้นบนทำเล็กลงและฝีมือดีขึ้น แต่ความก้าวหน้าในการทำเครื่องมือยังช้ามาก เครื่องมือหินนี้จัดอยู่ในวัฒน-ธรรมโฮบิเนียน เพราะพบครั้งแรกที่ประเทศเวียดนาม ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสมัยนี้อาศัยอยู่ตามถ้ำ เพิงผาใกล้ห้วยลำธาร ไม่ไกลจากแม่น้ำที่มีหินกรวด คนพวกนี้ล่าสัตว์ เก็บผลไม้หาปลา จากการพบกระดูกสัตว์ที่ปนอยู่กับเครื่องมือหินพบว่าคนสมัยนั้นกินหมู กวาง หมี ลิง หอย ปลา ปู เต่าเป็นอาหารและรู้จักการก่อไฟหุงอาหาร หลักฐานที่พบเกี่ยวกับมนุษย์สมัยหินกลางที่จังหวัดกาญจนบุรี มีดังนี้ ๑. บริเวณบ้านเก่า ตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมืองกาญจนบุรี ๒. ที่ถ้ำใกล้สถานีวังโพ อำเภอไทรโยค ๓. ที่ถ้ำจันเด ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ ๔. ที่บริเวณบ้านท่ามะนาว อำเภอเมืองกาญจนบุรี ๕. ถ้ำองบะ อำเภอศรีสวัสดิ์ ๖. บริเวณถ้ำเม่น ถ้ำเขาทะลุ ถ้ำเพชรคูหา ตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมืองกาญจนบุรี ๗. ที่ถ้ำพระขอม อำเภอไทรโยค จากหลักฐานที่พบโครงกระดูกและเครื่องมือหิน ซากพืชและสัตว์ จึงยืนยันได้ว่าจังหวัดกาญจนบุรี เป็นดินแดนที่มนุษย์ได้เคยอาศัยอยู่มาแล้วเป็นเวลานานกว่า ๗,๐๐๐ ปีขึ้นไป ยุคหินใหม่ (Neolithic Period) นักโบราณคดีเชื่อว่ามนุษย์ยุคหินใหม่อาศัยอยู่ในประเทศไทย มานานตั้งแต่ ๒,๐๐๐๓,๙๐๐ ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนี้มีความเจริญกว่าคนยุคหินเก่า หินกลาง คนพวกนี้รู้จักใช้เครื่องมือหินขัด จนเรียบ แทนที่จะกะเทาะอย่างเดียว รู้จักการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทำเครื่องปั้นดินเผา เครื่องจักรสาน เครื่องมือทำด้วยเปลือกหอยและหิน หลักฐานที่คนเหล่านี้ทิ้งไว้มี ๑. โครงกระดูก ๒. เครื่องมือหิน ๓. เครื่องปั้นดินเผา ๔. เครื่องจักสาน ในจังหวัดกาญจนบุรีได้มีการขุดค้นพบโครงกระดูกสมัยหินใหม่มากมายหลายแห่งเกือบทั่วไปตามริมแม่น้ำแควน้อยและแม่น้ำแควใหญ่ เช่น บริเวณที่ทำการผสมเทียมกรมการสัตว์ทหารบก อำเภอเมืองกาญจนบุรี บริเวณโกดังขององค์การเหมืองแร่ใกล้วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) ถ้ำพระขอม ตำบลไทรโยค และแหล่งที่พบมากที่สุด คือบริเวณบ้านเก่าที่เรียกว่า แหล่งนายบางและ นายลือ ตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมืองกาญจนบุรี ซึ่งสำรวจพบโดยคณะสำรวจไทย-เดนมาร์ก ปีพ.ศ. ๒๕๐๔ ที่เนินดินในไร่ของนางแฉ่ง ประสมทรัพย์ ที่บ้านเก่านี้ ได้พบโครงกระดูกเครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์ยุคหินใหม่อายุประมาณ ๔,๐๐๐ ปี เป็นครั้งแรกและมากที่สุดในประเทศไทย จากการรวบรวมวัตถุต่างๆ ได้ถึง ๑ ล้านชิ้น เช่น เครื่องปั้นดินเผา ขวานหิน เศษเครื่องมือหินขัด หินลับและหินใช้ขัดโครงกระดูกสัตว์และฟันสัตว์ เปลือกหอย โครงกระดูกจำนวน ๔๔ โครง โดยเฉพาะเครื่องปั้น ดินเผามีสามขา (Trireds) ตรงกับวัฒนธรรมลุงชาน (Lungshanoid Culture) ของจีน และแบบต่างๆ ของเครื่องปั้นดินเผามี ๒๖ ชนิด แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ได้ ๒ แบบ คือ ชนิดมีฐานและไม่มีฐาน ต่อมาคณะของศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ได้ทำการขุดค้นบริเวณถ้ำองบะ อำเภอศรีสวัสดิ์ และที่ถ้ำเขาสามเหลี่ยม ตำบลช่องสะเดา อำเภอเมืองกาญจนบุรี พบโครงกระดูก เครื่องมือหินภาชนะดินเผาอีกเป็นจำนวนมาก ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ นี้ ภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ก็ได้ทำการขุดค้นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ บ้านท่ามะนาว อำเภอเมืองกาญจบุรี พบโครงกระดูกและเครื่องปั้นดินเผาเป็นจำนวนมาก ยังพบขวานหินขัดทำจากหินประเภทควอทซ์ตระกูลหยก มีลักษณะสีขาวใส ซึ่งไม่เคยพบมาก่อนเลยในประเทศไทย (หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๕) นอกจากนั้นพบภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์ ดังนี้ ๑. ถ้ำตาด้วง อำเภอศรีสวัสดิ์ บริเวณใกล้เขื่อนท่าทุ่งนา อยู่บนภูเขาสูงชันจากพื้นดินราว ๓๐๐ เมตร ที่ผนังถ้ำเป็นภาพขบวนแห่ ๒ ขบวน แต่ละขบวนมีกลองหรือฆ้องขนาดใหญ่มีคนแบกที่ศีรษะคล้ายกับมีขนนกหรือดอกหญ้าเป็นเครื่องประดับ ขนาดสูงราว ๑๐ เซนติเมตร นอกจากนั้น ยังมีภาพอื่นๆ อีก แต่ลบเลือนจนดูไม่ออก ถ้ำนี้พบเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ โดยครูด่วน ถ้ำทอง ๒. ถ้ำเขาเขียว ตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค เขียนเป็นรูปคน เขียนเป็นเส้นพอให้รู้ว่าแทนคน รูปสัตว์สี่เท้า ยืนให้เห็นด้านข้าง และเป็นรูปสัตว์เห็นทางด้านหน้า จากการกำหนดอายุของภาพทั้งสองอยู่ในยุคหินใหม่ตอนปลาย การพบเรื่องราวของมนุษย์ยุคหินใหม่ต่างๆ มากมาย แสดงว่าจังหวัดกาญจนบุรีเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มานาน เพราะลำน้ำแควน้อยและแควใหญ่ มีธารน้ำที่ใสสะอาด มีพื้นที่ราบอุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับการปลูกพืช ล่าสัตว์ ปราศจากโรคระบาด จึงเหมาะที่จะเป็นที่อยู่อาศัยมานานไม่ต่ำกว่า ๓,๗๐๐ ปี มาแล้ว ยุคโลหะ (Metal Age) จากการสำรวจของคณะไทย-เดนมาร์กที่ถ้ำองบะ และที่อำเภอไทรโยคพบขวานสำริด เศษกำไลสำริด เศษกลองมโหระทึกสำริด ๔ ชิ้น ระฆังสำริดขนาดเล็ก ๑ ลูก ในปีพ.ศ. ๒๕๐๕ การขุดค้นที่บ้านเก่าก็พบเครื่องมือ เครื่องใช้สำริด เหล็กปนอยู่กับหลุมฝังศพ ปีพ.ศ. ๒๕๑๘ นักเรียนโรงเรียนสาลวนาราม บ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน ได้ขุดพบโบราณวัตถุ แจ้งให้กองโบราณคดี กรมศิลปากรทราบและได้ดำเนินการขุดค้น พบวัตถุต่างๆ สามารถแยกออกได้ ดังนี้ - ทำด้วยสำริด มีภาชนะสำริดคล้ายขันและคล้ายกระบอก กำไลสำริดสำหรับใส่ข้อมือ ข้อเท้า ทัพพีสำริด รูปหงส์ รูปนกยูง แหวนสำริด และลูกกระพรวน - ทำด้วยหิน มีขวานหินขัด (ขวานฟ้า) หินเจาะรู หินลับมีด ลูกปัดโบราณสีต่างๆ คล้ายกับที่พบที่ประเทศอินเดีย - ทำด้วยแก้ว มีลูกปัดสีต่างๆ ตุ้มหู - ทำด้วยดินเผา มีแหวนดินเผา ตุ้มหูเผา - ทำด้วยเหล็ก มีขวาน ใบหอก มีดขอ สิ่ว ห่วงเหล็ก เบ็ด เคียว ฯลฯ - พืช พบเมล็ดพืชติดกับเครื่องปั้นดินเผา จากการพบนี้ แสดงว่าคนที่บ้านดอนตาเพชร รู้จักการใช้วัว ควายไถนา จากแผ่นสำริดสลักเป็นรูปควาย มีเครื่องปั้นดินเผาลายเชือก และไม่มีลาย มีช่างทอผ้าและช่างไม้ รู้จักหาปลาโดยใช้ฉมวก ใช้เบ็ด รู้จักล่าสัตว์ด้วยหอก รู้จักใช้เครื่องประดับร่างกาย เช่น ลูกปัด ตุ้มหู จากภาชนะสำริดมีรูปผู้หญิงครึ่งตัวสวมเสื้อไว้ผมยาวแสกกลาง มีตุ้มหูคล้ายหญิงพม่า นอกจากนั้นยังมีรูปหงส์ รูปนกยูง ทำด้วยสำริด การพบที่บ้านดอนตาเพชร แสดงให้เห็นว่าความก้าวหน้าทางเทคนิควิทยาการที่อยู่ในระดับของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เป็นชุมชนที่มีความเจริญและเป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อที่เข้าสู่ระยะแรกเริ่มของยุคประวัติศาสตร์ กาญจนบุรีดินแดนก่อนประวัติศาสตร์ คงจะทำให้ท่านรู้จักจังหวัดกาญจนบุรีมากขึ้นในทัศนะหนึ่งและคงสะท้อนให้เห็นเหมือนกันว่า แหล่งก่อนประวัติศาสตร์ของประเทศไทยและของโลกกำลังถูกทำลาย และยังท้าทายนักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์หรือผู้สนใจเข้ามาศึกษาหาความรู้ข้อเท็จจริงกันมากขึ้น สิ่งที่ยังมืดมนยังคงจมอยู่ใต้พื้นดิน ตามริมฝั่งของแม่น้ำแควน้อยและแม่น้ำแควใหญ่มานานหลายศตวรรษและยังอยู่อีกนานเท่านานจนกว่าจะได้รับการขุดค้นมาศึกษาตีความ ซึ่งคงจะอำนวยประโยชน์ต่อการเรียนรู้เกี่ยวกับมนุษยชาติในปัจจุบันไม่มากก็น้อย สมัยประวัติศาสตร์ สมัยทวาราวดีและลพบุรี จากหลักฐานโบราณสถาน โบราณวัตถุ ในดินแดนประเทศไทย ทำให้เราได้ทราบว่า อารยธรรมอินเดีย ได้หลั่งไหลแผ่เข้ามายังดินแดนประเทศไทย ตั้งแต่ครั้งพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ ชาวอินเดียเรียกประเทศไทยว่า "ดินแดนสุวรรณภูมิ" และได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งในแหลมอินโดจีนพร้อมทั้งได้นำวัฒนธรรมและศาสนา คือ ศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนา เข้ามาเผยแพร่ด้วย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๗ ถึง ๑๑ ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุของจีนว่ามีอาณาจักร "ฟูนัน" ตั้งอยู่แถบลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้ และได้แผ่อาณาเขตไปทางทิศตะวันตกถึงแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย เมื่ออาณาจักร "ฟูนัน" สลายตัวในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ แล้ว ในดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้เกิดอาณาจักรที่สำคัญทางพุทธศาสนาขึ้น ชื่อว่า อาณาจักรทวาราวดี การจัดสมัยและกำหนดอายุของศิลปกรรมในประเทศไทย นักปราชญ์ทางโบราณคดีได้กำหนดไว้ ดังนี้ - ศิลปทวาราวดี พุทธศตวรรษ ๑๑-๑๖ - เทวรูปรุ่นเก่า พุทธศตวรรษ ๑๒-๑๔ - ศิลปศรีวิชัย พุทธศตวรรษ ๑๓-๑๘ - ศิลปลพบุรี พุทธศตวรรษ ๑๖-๑๙ - ศิลปเชียงแสน พุทธศตวรรษ ๑๖-๒๓ - ศิลปสุโขทัย พุทธศตวรรษ ๑๘-๒๐ - ศิลปอู่ทอง พุทธศตวรรษ ๑๘-๒๐ - ศิลปอยุธยา พุทธศตวรรษ๑๙ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓ - ศิลปรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษ ๒๓-๒๕ เมื่อประมาณ ๖๐-๗๐ ปีมานี้เอง นักปราชญ์ทางโบราณคดีมีสมเด็จฯ กรมพระยาดำรง ราชานุภาพและศาสตราจารย์ ยอร์จ เชเดส์ เป็นต้น ได้นำเอาชื่อ "ทวาราวดี" มาใช้กำหนดสมัยของศิลปะโบราณวัตถุ และโบราณสถานที่พบในประเทศไทยในดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา (อันรวมถึงแม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง ฯลฯ ด้วย) เป็นศิลปะที่ได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียสมัยอมราวดี สมัยคุปตะ และหลังคุปตะ และได้กำหนดอายุของศิลปะทวาราวดีในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖ และศิลปะทวาราวดี ที่แยกไปอยู่ภาคเหนือที่แคว้นหริภุญชัยถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ คำว่า "ทวาราวดี" เดิมเป็นเพียงข้อสันนิษฐานจากชื่ออาณาจักรที่จดหมายเหตุจีนเรียกว่า "โถโลโปติ" (To-lo-po-ti) ว่า ตรงกับคำสันสกฤตว่า "ทวาราวดี" และคำนี้ได้ติดอยู่เป็นสร้อยชื่อของนครหลวงของประเทศไทย มาตั้งแต่สมัยอยุธยา ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้มีผู้พบเหรียญเงินมีอักษรจารึกที่นครปฐมคำจารึกเป็นอักษรสันสกฤต รุ่นพุทธศตวรรษที่ ๑๓ มีข้อความว่า "ศรีทวาราวดี ศวร- ปุณยะ" แปลว่า "บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวาราวดี" อันแสดงว่าอาณาจักรทวาราวดีนั้นมีจริงในประเทศไทย ต่อไปนี้ จะได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์และความเป็นมาของจังหวัดกาญจนบุรี เมืองกาญจนบุรีนั้น เป็นเมืองเก่าแก่มาตั้งแต่ครั้งโบราณเมืองหนึ่ง ส่วนจะสร้างขึ้นเมื่อไรสมัยใด ยังไม่พบหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัด หลักฐานด้านประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงเมืองกาญจนบุรีเห็นจะเป็นพงศาวดารเหนือ ซึ่งกล่าวไว้ในเรื่องพระยากงว่า พระยากงได้เป็นเจ้าเมืองกาญจนบุรี โดยมิได้ระบุว่าปีใด แต่ได้ระบุปีที่พระยาพานไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่เมืองลำพูนว่า ตรงกับ จ.ศ. ๕๕๒ หรือ พ.ศ. ๑๗๓๔ ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังจากที่พระยาพานได้ฆ่าพระยากงผู้เป็นบิดาแล้ว จึงอาจสรุปว่า พระยากงครองเมืองกาญจนบุรีราว พ.ศ. ๑๗๐๐ แต่เรื่องราวที่ปรากฏในพงศาวดาร เหนือ เป็นเพียงตำนานการสร้างพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐมเท่านั้นยังไม่มีหลักฐานอื่นใดมายืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้แน่ชัด อย่างไรก็ตาม เมืองกาญจนบุรียังคงเหลือหลักฐานทางโบราณคดีที่ยืนยันสภาพความเป็นเมืองโบราณตามลุ่มแม่น้ำแควน้อย แม่น้ำแควใหญ่ และแม่น้ำแม่กลอง ดังต่อไปนี้ ลุ่มน้ำแม่กลองนั้น นับเนื่องในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้านตะวันตก ถึงแม้จะไม่เคยเป็นที่ตั้งเมืองหลวงก็ตาม แต่ปรากฏว่ามีชุมชนโบราณอยู่สืบเนื่องกันมาช้านาน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์กว่าบรรดาลุ่มน้ำอื่นๆ จึงเป็นอาณาบริเวณที่น่าสนใจสมควรนำเรื่องราวเกี่ยวกับชุมชนโบราณที่พัฒนาขึ้นก่อนพุทธศตวรรษที่ ๒๐ มาเสนอสู่การพิจารณาต่อไป แม่น้ำแม่กลองมีกำเนิดมาจากการรวมตัวของลำน้ำสำคัญสองสาย คือ ลำน้ำแควใหญ่ กับลำน้ำแควน้อยทั้งสองสายมีต้นน้ำอยู่ในเทือกเขาตะนาวศรีลำน้ำแควใหญ่ไหลมาจากเทือกเขาทางเหนือระหว่างเขตจังหวัดอุทัยธานีและจังหวัดกาญจนบุรีไหลมาตามซอกเขาผ่านอำเภอศรีสวัสดิ์ลงมาบรรจบกับลำน้ำแควน้อยที่ตำบลปากแพรกอำเภอเมืองกาญจนบุรี ส่วนลำน้ำแควน้อยไหลมาจากซอกเขาซึ่งอยู่ชายแดนประเทศสหภาพพม่าไหลผ่านเขตอำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ อำเภอไทรโยคและอำเภอเมืองกาญจนบุรีมาบรรจบกับลำน้ำแควใหญ่ที่ที่ตั้งจังหวัดกาญจนบุรีเป็นแม่น้ำแม่กลอง จากเขตอำเภอเมืองกาญจนบุรีแม่น้ำแม่กลองไหลลงสู่ที่ราบลุ่มผ่านอำเภอท่าม่วง อำเภอท่ามะกา อำเภอบ้านโป่ง อำเภอโพธาราม อำเภอเมืองราชบุรี อำเภอบางคณที อำเภอเมืองสมุทรสงคราม ไหลสู่ออกทะเลที่ "บ้านบางเรือหัก" จังหวัดสมุทรสงคราม ตามสองฝั่งลำน้ำแควน้อย แควใหญ่ ของจังหวัดกาญจนบุรี ได้พบหลักฐาน ทางโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่อยู่ตามถ้ำ ชายเขา และบริเวณใกล้ริมธารน้ำ ลำน้ำ โดยเฉพาะเขตตำบลบ้านเก่า อำเภอเมืองกาญจนบุรี ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนของมนุษย์ในสมัยหินใหม่มาต่อกับยุคโลหะได้มีการขุดค้นศึกษากันอย่างละเอียด โบราณวัตถุในสมัยหินเก่าและหินกลาง ก็ได้พบในเขตต้นน้ำเหล่านี้ดังได้กล่าวแล้วในตอนต้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีมนุษย์อยู่อาศัยมาแล้ว ไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นปีขึ้นไป แสดงให้เห็นการเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่พากันอพยพลงมาตามลำน้ำเข้าสู่ที่ราบลุ่ม ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแม่กลองที่เป็นแหล่งกำเนิดของชุมชนระดับเมืองนั้น ปรากฏว่า เราพบร่องรอยของเมืองโบราณเป็นจำนวน ๗ แห่งด้วยกัน ล้วนตั้งอยู่ริมสองฝั่งของลำน้ำแควน้อย แควใหญ่และลำน้ำแม่กลองทั้งสิ้น ๑. เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำแควน้อย ได้พบ เมืองสิงห์ ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งซ้ายของลำน้ำแควน้อยในเขตบ้านท่ากิเลน ตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค ลักษณะผังเมืองเป็นรูบสี่เหลี่ยม มีคูและกำแพงล้อมรอบ บางด้านมีคันคูสามชั้นบ้าง ห้าชั้นบ้างและถึงเจ็ดชั้นก็มี มีเนื้อที่ภายในเมืองประมาณ ๖๔๑ ไร่กว่า ภาย ในเมืองมีสระน้ำหลายแห่ง และมีเนินดินที่มีเศษเครื่องปั้นดินเผาทั้งที่เคลือบด้วยสีน้ำตาลแก่ แบบเครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรี และที่ไม่เคลือบก็มีมากมาย ในตอนกลางเมืองมีศาสนสถานตั้งอยู่เป็นปราสาทแบบขอม ก่อด้วยศิลาแลง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก กรมศิลปากรกำลังดำเนินการขุดแต่งอยู่ ลักษณะศิลปกรรมเป็นแบบที่ได้รับอิทธิพล ศิลปะแบบบายน ในรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แห่งกัมพูชา แต่ทว่าเป็นฝีมือชาวพื้นเมืองไม่ใช่ชาวขอมมาสร้างอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมีลักษณะหยาบกว่าฝีมือช่างขอม การประดับศาสนสถานก็ทำด้วยลวดลายปูนปั้นซึ่งเป็นศิลปะลพบุรี และมีศิลปะแบบทวาราวดีอยู่บ้าง แสดงลักษณะที่แตกต่างไปจากขอมโดยสิ้นเชิงบรรดากระเบื้องมุงหลังคา เครื่องปั้นดินเผา ทั้งเคลือบและไม่เคลือบ เป็นแบบลพบุรีเลียนแบบขอม เนื้อวัตถุที่ใช้ทำและเคลือบเป็นของท้องถิ่น ปราสาทเมืองสิงห์นี้เป็นโบราณสถานเนื่องในคติพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เพราะพบรูปพระโพธิสัตว์ นางปรัชญาปารมิตา และพระพุทธรูปปางนาคปรก เทวรูปปั้นส่วนใหญ่เป็นศิลปะขอมที่นำมาจากกัมพูชาหรือเมืองอื่น เป็นแบบศิลปะสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ การพบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปางเปล่งรัศมี ส่วนพระพุทธรูปนั้นส่วนมากเป็นศิลปะลพบุรี เป็นฝีมือช่างพื้นเมืองพระพุทธรูปนาคปรกสร้างด้วยหินทรายสีแดงเป็นฝีมือช่างพื้นเมืองอย่างแท้จริง ส่วนลักษณะโบราณสถานของประสาทเมืองสิงห์พอจะอนุมานได้ว่ามีอายุอย่างคร่าวๆ ว่าคงจะสร้างขึ้นในระหว่าง พ.ศ. ๑๗๐๐-๑๗๕๐ เมื่อถึงรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงตั้งเมืองสิงห์ขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง ให้เป็นเมืองหน้าด่านเล็กๆ ขึ้นอยู่กับเมืองกาญจนบุรี มีเจ้าเมือง ส่งหมวดลาดตระเวนไปประจำคอยตรวจตราอยู่เสมอต่อมาถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานนามเจ้าเมืองสิงห์ว่า" พระสมิงสิงห์บุรินทร์" เมืองสิงห์คงเป็นเมืองเรื่อยมาจนถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้นใหม่ จึงได้ยุบเมืองสิงห์ลงเป็นตำบลเรียกกันว่า "ตำบลสิงห์" ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศสกุล ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือศิลปลพบุรี กรม ศิลปากรจัดพิมพ์ในงานเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๑๐ หน้า ๑๒-๑๓ ว่า ราว พ.ศ. ๑๗๐๐-๑๗๕๐ สมัยนี้ตรงกับรัชกาลของพระจ้าชัยวรมันที่ ๗ แห่งประเทศกัมพูชา และมีสถาปัตยกรรมสมัยลพบุรี พระปรางค์เมืองสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี มีพระปรางค์องค์เดียวก่อด้วย ศิลาแลงตั้งอยู่ตรงกลาง มีมุขยื่นออกไปทางด้านตะวันออกและมีระเบียงคดก่อด้วยศิลาแลงล้อมรอบมีประตูซุ้มอยู่ทั้ง ๔ ทิศ ทั้งหมดนี้มีกำแพงดินซึ่งมีเศษอิฐปูนอยู่ล้อมรอบนอกอีกชั้นหนึ่ง ได้ค้นพบซากประติมากรรมในศิลปะแบบบายนวางทิ้งอยู่หน้าปราสาทด้วย นอกจากนี้ยังทรงถือกำหนดอายุโดยส่วนรวมของตัวอาคารทั้งหมดไว้ในศิลปะขอมแบบบายนอีกด้วย รวมความว่าสมัยลพบุรี (พ.ศ. ๒๕๐๐-๑๗๙๙) กาญจนบุรีเป็นเมืองมาแล้ว เพราะปรากฏหลักฐานจากปรางค์และกำแพงศิลาแลงของเมืองสิงห์ดังได้กล่าวมาแล้ว ๒. ถัดจากเมืองสิงห์ออกไปทางทิศตะวันออกห่างจากลำน้ำแควน้อยประมาณ ๕ กิโลเมตร มีเมืองโบราณขนาดเล็กอยู่เมืองหนึ่ง มีคูน้ำและคัดดินล้อมรอบ ตั้งอยู่เชิงเขา ชาวบ้านเรียกว่า หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:06:56 กาญจนบุรี ๒
"เมืองครุฑ" ยังไมีมีการขุดค้น จากปากคำชาวบ้านบอกว่า แต่ก่อนมีครุฑศิลาทรายอยู่ที่เชิงเขาในเขตเมืองนี้ จึงเรียกว่า "เมืองครุฑ" อันลักษณะการทำครุฑด้วยหินทรายนั้น พบมากในสมัยศิลปลพบุรี เมืองสิงห์ และเมืองครุฑ ตั้งอยู่ห่างไกลกันนัก จึงน่าจะเป็นเมืองในยุคเดียวกัน เมืองครุฑนี้คงเป็นเมืองหน้าด่านและอยู่ในเขตปกครองของเมืองสิงห์ ๓. ทางลำน้ำศรีสวัสดิ์หรือแควใหญ่ ซึ่งอยู่ทางเหนือมีชุมชนโบราณ แต่มีอายุเพียงแค่ปลายสมัยลพบุรีลงมาถึงสมัยอยุธยา อยู่ในเขตบ้านท่าเสา ตำบลลาดหญ้า บ้านท่าเสาตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของลำน้ำแควใหญ่ มีซากวัดโบราณ เช่น วัดขุนแผน วัดนางพิมพ์ วัดป่าเลไลยก์ ฯลฯ ที่เจดีย์เก่าในเขตวัดนี้เคยมีผู้ขุดพบพระเครื่องแบบลพบุรีตอนปลาย ส่วนที่บ้านลาดหญ้าซึ่งอยู่ต่ำลงมาประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร ก็เคยเป็นที่ตั้งของเมืองกาญจนบุรี(เก่า) ในสมัยอยุธยา เมืองนี้มีขนาดเล็ก คงเป็นเพียงเมืองด่าน สรุปแล้วเมืองนี้ก็คือเมืองกาญจนบุรี (เก่า) เป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญทางตะวันตกของกรุงศรีอยุธยาตลอดมาจนถึงสมัยกรุงธนบุรี มีผู้สำรวจบริเวณเมืองกาญจนบุรี (เก่า) ที่ตั้งอยู่เชิงเขาชนไก่นี้มาแล้ว ว่าบริเวณอันกว้างใหญ่นี้ ปรากฏพบสระน้ำ ซากโบราณสถาน วัดต่างๆ มีวัดร้างถึง ๖ วัด คือ ๑. วัดขุนแผน ๒. วัดป่าเลไลยก์ ๓. วัดนางพิม ๔. วัดจีน ๕. วัดริมตะเพิน ชื่อว่า วัดมอญ อยู่ห่างออกไป ๖. วัดแม่หม้าย เจ้าเมืองกาญจนบุรี มีชื่อว่า "พระยากาญจนบุรี" เป็นแม่ทัพสำคัญคนหนึ่งครั้งกรุงศรี-อยุธยาเป็นราชธานี ๔. ต่อจากอำเภอเมืองกาญจนบุรีลงไปตามลำแม่น้ำแม่กลอง ในเขตอำเภอท่ามะกามีเมืองชุมชนใหญ่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแม่กลอง อยู่ในเขตบ้านดงสัก ตำบลพงตึก อำเภอ ท่ามะกาชาวบ้านเรียกชื่อมาแต่ครั้งโบราณว่า "เมืองพงตึก" เพราะพบฐานอาคารที่ก่อสร้างด้วยอิฐและศิลาแลงแสดงให้เห็นว่าเป็นศูนย์กลางของชุมชนใหญ่มาก่อน นักโบราณคดีขุดพบตะเกียงโรมันสำริดสมัยพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ พบพระพุทธรูปแบบอมราวดีสมัยพุทธศตวรรษที่ ๗ และพระพุทธรูปสมัยทวาราวดีอีกหลายองค์ สมัยไม่เกินพุทธศตวรรษที่ ๑๑ รวมทั้งโบราณวัตถุอย่างอื่นๆ อีกมาก เมื่อพิจารณาประกอบกับซากสถาปัตยกรรมที่ยังหลงเหลือปรากฏอยู่ ซึ่งมีฝีมือช่างขอมปะปนอยู่ด้วย ก็อาจประมาณอายุอย่างกว้างๆ ได้ว่า ชุมชนแห่งนี้มีอายุตั้งแต่สมัย "ทวาราวดี" ขึ้นไป เรื่องชุมชนโบราณที่บ้านพงตึกนี้ ตามความเห็นของนักปราชญ์ทางโบราณคดีและประวัติ-ศาสตร์โดยทั่วไป เชื่อว่าเป็นสถานที่แหล่งพักสินค้าของชาวอินเดียที่เข้ามาค้าขายในดินแดนประเทศไทยในสมัยแรก เพราะการพบพระพุทธรูปแบบ "อมราวดี" นั้น ย่อมเป็นสิ่งยืนยันให้เห็นชัดเจนนอกจากพระพุทธรูปแบบอมราวดีแล้ว ยังได้พบตะเกียงสำริดโรมัน ซึ่งมีอายุราวศตวรรษที่ ๖-๗ เป็นเครื่องสนับสนุน โดยเหตุนี้บางท่าน เช่น ดร.ควอริช เวลส์ ได้เสนอว่าตะเกียงดังกล่าวนี้ น่าจะเป็นของคณะทูตโรมันนำเข้ามา นักโบราณคดีและประวัติศาสตร์จึงมีความเห็นว่าบ้านพงตึกคงเป็นชุมชนแห่งหนึ่งที่สำคัญบนฝั่งลำน้ำแม่กลองและเจริญรุ่งเรืองในสมัย "ทวาราวดี" แต่เมื่อขอมมาปกครอง เมืองพงตึกคงจะทรุดโทรมลงกลายเป็นเมืองขนาดเล็ก พวกขอมจึงสร้างเทวสถานไว้แต่เพียงขนาดย่อม ๕. ใต้เมืองพงตึกลงไปตามลำน้ำแม่กลองตามฝั่งตะวันออกที่ตำบลท่าผา อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี มีเมืองโบราณอีกเมืองหนึ่งชื่อ โกสินารายณ์ เป็นเมืองสมัยลพบุรี ๖. ใต้เมืองโกสินารายณ์ลงมาตามลำน้ำแม่กลองถึงตัวเมืองราชบุรี บนฝั่งตะวันตกของ แม่น้ำแม่กลองเคยเป็นที่ตั้งของเมืองราชบุรีโบราณ มีอายุตั้งแต่สมัยลพบุรีสืบต่อลงมา นอกเมืองออกไปก็ยังพบโบราณวัตถุตั้งแต่สมัยทวาราวดีลงมาอีกหลายแห่ง ๗. ห่างจากเมืองราชบุรีลงไปทางใต้ประมาณ ๕ กิโลเมตร พบเมืองโบราณขนาดใหญ่เรียกกันว่า เมืองคูบัว สันนิษฐานว่า เป็นเมืองราชบุรีเดิมในสมัยทวาราวดี สรุปได้ใจความว่า ตั้งแต่โบราณกาลมา สองฝั่งลำน้ำแควน้อย แควใหญ่ และสองฝั่งแม่น้ำแม่กลองเคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชุมชนโบราณที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ชุมชนชนสมัยทวาราวดีที่บ้าน "พงตึก" ในเขตอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี นับว่าเป็นเมืองสำคัญมาก เดิมตั้งอยู่ไม่ห่างไกลทะเลมากนัก และเป็นเมืองตั้งอยู่ย่านกลางเส้นทางคมนาคม เป็นที่ชุมชนโบราณแห่งหนึ่งของประเทศไทย ติดตั้งระหว่างดินแดนเมืองต่างๆ ในลุ่มน้ำท่าจีน เจ้าพระยากับเมืองมอญในประเทศพม่า เป็นทางสัญจรของคนมาช้านานหลายยุคหลายสมัย จนถึงสมัยอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ จากการพิจารณาภูมิศาสตร์จะเห็นได้ว่า จากเมืองพงตึกจะเดินทางไปเมืองโบราณอื่นๆ มีเมืองกาญจนบุรี (เก่า) เมืองคูบัว เมืองราชบุรี (เก่า) เมืองกำแพงแสน เมืองดอนตูม เมืองนครปฐม เมืองอู่ทอง ย่อมไปได้สะดวกทุกทิศทาง โดยมีแม่น้ำหลายสายเป็นเส้นทางคมนาคม จากเมืองกาญจนบุรี (เก่า) เมืองสิงห์ ซึ่งเป็นเมืองตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมที่จะติดต่อกันโดยผ่านพระเจดีย์สามองค์ไปยังเมืองมอญและพม่า ย่อมไปมาได้สะดวกมาตั้งแต่ครั้งโบราณ เมืองโบราณดังกล่าวมาแล้ว ได้ร้างไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเหตุต่างๆ กันดังต่อไปนี้ ๑. เพราะแม่น้ำเปลี่ยนทางเดินใหม่ เป็นเหตุให้กันดารน้ำ ผู้คนได้รับความลำบากจึงพากันอพยพไปอยู่ที่อื่น ๒. เกี่ยวกับสภาพภูมิศาสตร์ ทำเลที่ตั้งของเมืองมีที่เพาะปลูก ที่จะทำนา ทำไร่ มีน้อย ขาดน้ำขาดความอุดมสมบูรณ์ พลเมืองเพิ่มขึ้นที่ดินมีน้อยไม่พอจะประกอบอาชีพ จึงคิดชักชวนกันอพยพไปอยู่ที่อื่น ๓. โรคระบาดอย่างร้ายแรง ผู้คนล้มตายลงเป็นอันมาก (โบราณเรียกว่าห่ากินเมือง) จึงพากันหนีโรคภัยไปอยู่ที่อื่น เมืองจึงร้างไป มีเช่นนี้หลายเมือง ๔. ภัยจากศึกสงคราม เมื่อพ่ายแพ้สงครามผู้คนพลเมืองก็ถูกจับกวาดต้อนเป็นเชลยบ้านเมืองถูกข้าศึกทำลายพินาศ กรณีเช่นนี้มีตัวอย่างอยู่มากในประเทศไทยตั้งแต่เหนือจดใต้ แต่ถ้าเมืองที่ร้างไปนั้น รอบๆ บริเวณนอกเมืองออกไปเป็นที่อุดมสมบูรณ์ ดินดี น้ำท่าดี ถึงแม้จะเคยร้างไปก็จะเป็นอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ไม่ช้าไม่นานก็จะมีผู้คนอพยพกันมาตั้งบ้านเมืองอาศัยทำมาหากินกันต่อไปใหม่ ฉะนั้น เราจะเห็นเมืองใหม่สร้างซับซ้อนกับแนวเมืองเก่าหรืออยู่ใกล้ชิดกันอยู่หลายเมือง อนึ่ง ถ้าเมืองใดมีความสำคัญทางศาสนามีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ มีชื่อเสียงเมืองนั้นมักไม่ร้าง มีบางเมืองเคยร้างไปบ้างก็เพียงชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็จะมีผู้คนพลเมืองอพยพมาตั้งบ้านเมืองอยู่ต่อไปใหม่ ในครั้งโบราณกาล บ้านเมืองในดินแดนแห่งประเทศไทยยังไม่ได้รวมเป็นอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนอย่างทุกวันนี้ แบ่งการปกครองออกเป็นแคว้นๆ เป็นรัฐๆ หรืออย่างที่เรียกว่าลัทธิเจ้าผู้ครองนคร หรือ "นครรัฐ" เมืองกาญจนบุรีครั้งโบราณรวมอยู่ในแคว้นอู่ทองหรือที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ มีผู้สันนิษฐานว่า สมัยโบราณเมืองพงตึก คือเมืองกาญจนบุรี สมัยทวาราวดี (พ.ศ.๑๐๐๐-๑๕๘๙) คงชื่อว่า "เมืองกาญจนบุรี" มาแต่ครั้งนั้นซึ่งก็เป็นเรื่องที่ควรรับฟังเพื่อประกอบการพิจารณา ค้นคว้าหลักฐานต่อไป เพราะเหตุที่เมืองกาญจนบุรี มีประวัติทางประวัติศาสตร์ และทางโบราณคดีเนื่องจากมีโบราณสถาน โบราณวัตถุสมัยต่างๆ ที่วิวัฒนาการสืบต่อกันมาไม่ขาดสายเป็นเวลานับเป็นหมื่นๆ ปี ตั้งแต่ยุคหินเก่า หินกลาง หินใหม่ และยุคโลหะ จึงเป็นแผ่นดินขุมทรัพย์ อันมหาศาลของวงการโบราณคดีของโลก มีนักปราชญ์ทางโบราณคดีไทยและนานาชาติ ได้เดินทางเข้ามาค้นคว้าหาหลักฐานและรายละเอียดอันเกี่ยวกับชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ในอดีต แผ่นดินแห่งนี้จึงมีค่าเป็นเพชรน้ำเอกแห่งหนึ่งในวงการโบราณคดีประวัติศาสตร์และอารยธรรมของโลกในภูมิภาคนี้นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติเป็นต้นว่า โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ คูเมือง กำแพงเมือง ฯลฯ อันเป็นหลักฐานที่จะ ให้รายละเอียดทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมของชาติ สมควรที่เราชาวไทยและชาวกาญจนบุรี จะต้องช่วยกันรักษาไว้เหมือนพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงกล่าวว่า "การสร้างอาคารสมัยใหม่นี้ เป็นเกียรติของผู้สร้างเพียงคนเดียว แต่เรื่องโบราณสถานนั้นเป็นเกียรติของชาติ อิฐ เพียงแผ่นเดียวก็มีค่า ควรที่จะได้ช่วยกันรักษาไว้ หากเราขาดสุโขทัย อยุธยาและรัตนโกสินทร์แล้ว ประเทศไทยก็ไม่มีความหมาย" สมัยสุโขทัย สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ไม่ปรากฏเรื่องราวของเมืองกาญจนบุรี เพราะไม่มีเหตุการณ์เกี่ยวข้องเนื่องจากอยู่ห่างไกลราชธานีมาก ในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงก็มิได้กล่าวไว้ว่าเคยเป็นเมืองขึ้นเมืองทางแถบนี้มีกล่าวชื่อตั้งแต่เมืองคณฑี (คือบ้านโคนในปัจจุบัน) เมืองพระบาง (นครสวรรค์) เมืองแพรก (คือเมืองชัยนาทเก่า) เมืองสุวรรณภูมิ เมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรี เมืองนครศรีธรรมราช ตลอดไปจดมหาสมุทรอินเดีย ไม่ปรากฏว่ามีชื่อเมืองกาญจนบุรีอยู่ในศิลาจารึกหลักนั้นเลย แต่ก็น่าสงสัยอยู่อย่างหนึ่งว่าเมืองลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในเวลานั้น ก็มิได้ระบุไว้ในศิลาจารึกว่าเป็นเมืองขึ้นของกรุงสุโขทัยเหมือนกัน พิเคราะห์ดูเมืองต่างๆ อีกหลายเมือง เช่น เมืองปราจีนบุรี (เมืองเก่าที่ดงศรีมหา-โพธิ์) เมืองนครนายก (เมืองเก่าที่คงละคร) และเมืองจันทบุรี ก็ไม่ได้กล่าวถึงเลย ถ้าวิเคราะห์จากโบราณสถานของเมืองเหล่านี้ จะเห็นว่าเป็นแบบสถาปัตยกรรมขอมทั้งสิ้น ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า เหตุที่จารึกสุโขทัยมิได้กล่าวถึงเมืองเหล่านี้ คงเพราะเมืองเหล่านี้ยังอยู่ในอำนาจขอม สมัยกรุงศรีอยุธยา เรื่องราวของเมืองกาญจนบุรีเพิ่งจะมาปรากฏขึ้นชื่อในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมืองกาญจนบุรีตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของลำน้ำแควใหญ่ ใกล้ๆ กับเขาชนไก่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตท้องที่หมู่บ้านท่าเสา ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี สมัยกรุงศรีอยุธยา เมืองกาญจนบุรีมีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะเป็นเมืองหน้าด่านในการศึกสงครามระหว่างไทยกับพม่า ทั้งนี้เนื่องจากอาณาเขตแดนด้านทิศตะวันตกของเมืองกาญจนบุรีมีช่องทางเดินติดต่อระหว่างไทยกับพม่าอยู่หลายทางด้วยกัน เช่น ด่านพระเจดีย์สามองค์ ด่านบ้องตี้ โดยเฉพาะด่านพระเจดีย์สามองค์ เคยเป็นทางผ่านของกองทัพพม่าที่ยกเข้ามาโจมตีไทยครั้งสำคัญๆ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ดังนี้ คือ ๑. พ.ศ. ๒๐๙๑ ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ สงครามครั้งนี้พระเจ้าหงสาวดีตะเบง-ชะเวตี้ทรงเป็นแม่ทัพยกทัพผ่านเมืองกาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี ไปจดถึงพระนครศรีอยุธยา สงครามคราวนี้สมเด็จพระศรีสุริโยทัย ถูกพระเจ้าแปรแม่ทัพหน้าของพม่าฟันด้วยของ้าวสิ้นพระชนม์บนคอช้าง ๒. พ.ศ. ๒๑๒๗ สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพแยกแผ่นดินไทยออกจากพม่า พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงให้พระยาพะสิมคุมกองทัพยกมาตีไทยโดยผ่านเมืองกาญจนบุรี และหมายที่จะเอาเมืองสุพรรณบุรีเป็นที่ตั้งมั่น แต่ถูกกองทัพไทยตีพ่ายไป ๓. พ.ศ. ๒๑๓๓ ในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงได้ให้พระมหาอุปราชาราชบุตรยกกองทัพเข้ามาโดยผ่านเมืองกาญจนบุรี พบทัพไทยส่วนน้อยที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชส่งมาล่อ ทัพพม่าหลงตีรุกไล่ทัพไทยไปถึงเมืองสุพรรณบุรี กองทัพหลวงของไทยได้เข้าโจมตีกองทัพพม่าพ่ายกลับไป ๔. พ.ศ. ๒๑๓๕ ในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระมหาอุปราชาได้ยกกองทัพใหญ่เข้ามาตีไทยอีก สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เสด็จยกกองทัพไปตั้งรับพม่าที่หนองสาหร่ายแขวง เมืองสุพรรณบุรี ผลของสงครามครั้งนี้ ปรากฏว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีชนะมหาอุปราชา แม่ทัพพม่า ๕. พ.ศ. ๒๒๐๖ ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สงครามคราวนี้เกิดขึ้นเพราะพวกมอญพากันอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารประมาณ ๑๐,๐๐๐ กว่าคน สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงโปรดให้ครอบครัวมอญทั้งหมดไปตั้งอยู่ที่อำเภอสามโคก (เมืองปทุมธานี) และเมืองนนทบุรี ฝ่ายพม่าได้ยกกองทัพตามครัวมอญเข้ามาจนถึงเมืองไทรโยค สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ยกกองทัพออกไปต่อสู้และได้โจมตีกองทัพพม่าแตกพ่ายกลับไป ๖. สงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ พม่าให้ยกกองทัพมาตีเมืองกาญจนบุรีจนแตกยับเยินตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๐๗ แล้วไปตั้งค่ายอยู่ที่ตำบล ลูกแก ตำบลโคกกระออม (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ว่า ตอกกระออม) ดงรังหนองขาว ซึ่งอยู่ในเขตเมืองกาญจนบุรีทั้งหมด ฝ่ายกองทัพไทยก็ยกกำลังออกต่อสู้พม่าแต่ก็แตกพ่ายไป พม่าเห็นว่ากองทัพไทยที่ยกออกมาสู้รบไม่ว่าจะเป็นทางเหนือและทางใต้ต่างก็พ่ายแพ้ไปหมด ก็กำเริบใจ จึงจัดส่งกองทัพเพิ่มเข้ามาอีกทางด่านพระเจดีย์สามองค์ แล้วมุ่งเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยาจนแตกยับเยิน และได้เผาบ้านเมืองจนพินาศ กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมาได้นานถึง ๔๑๗ ปี มีกษัตริย์ปกครองมาตามลำดับถึง ๓๓ พระองค์ ก็มาถึงคราวอวสานแตกดับสูญสิ้นพินาศลงในกองเพลิงด้วยความเศร้าสลดอย่างสุดประมาณ นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาติไทย สมัยกรุงธนบุรี ในสมัยนี้ เมืองกาญจนบุรีก็ยังคงตั้งอยู่ที่เดิมใกล้ ๆ กับเขาชนไก่นั้นเอง สมัยกรุงธนบุรี ชื่อเสียงของเมืองกาญจนบุรีมีปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยอีกเหมือนกัน คือ ใน พ.ศ. ๒๓๑๗ พวกมอญเป็นกบฏต่อพม่าได้พากันอพยพเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ พม่าได้ยกกองทัพติดตามครัวมอญเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ทัพพม่าตีกองทัพไทยที่ตั้งรับอยู่ที่ตำบลท่าดินแดง แขวงเมืองกาญจนบุรี จนแตกถอยร่นลงมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงให้กองทัพที่ยกลงมาจากเชียงใหม่มาตั้งรับทัพพม่าที่บางแก้ว (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า บ้านนางแก้ว) แขวงเมืองราชบุรีกองทัพไทยได้ปะทะกับกองทัพของงุยอคงหวุ่น ซึ่งตั้งค่ายอยู่ที่บางแก้วนั้นอย่างเข้มแข็งจับเชลยได้เป็นอันมาก แล้วยังบุกโจมตีทัพพม่าซึ่งหนุนเนื่องเข้ามาแตกถอยไปอีกด้วย ส่วนครัวมอญที่อพยพเข้ามานั้น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มีรับสั่งให้ไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่ปากเกร็ด แขวงเมืองนนทบุรีบ้าง ที่สามโคกแขวงเมืองปทุมธานีบ้าง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยนี้ เมืองกาญจนบุรี เป็นทั้งเมืองหน้าด่านและสมรภูมิสำคัญในการทำสงครามระหว่างไทยกับพม่า สงครามครั้งสำคัญๆ ได้แก่ สงครามลาดหญ้า และสงครามท่าดินแดง สงครามลาดหญ้า หรือสงคราม ๙ ทัพ เกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๓๒๘ หลังจากสมเด็จพระพุทธ-ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติได้ประมาณ ๓ ปี พระเจ้าปะดุงกษัตริย์พม่าได้เกณฑ์ทัพเข้ามาตีไทยหลายทาง คือ ทางใดที่พม่าเคยยกกองทัพเข้ามาตีไทย ก็ให้กองทัพยกเข้ามาคราวนี้พร้อมกันหมดทุกทางทั้งทางเหนือ ทางใต้ และทางตะวันตกโดยเกณฑ์ไพร่พลมาถึง ๙ กองทัพ มีจำนวนพล ๑๔๔,๐๐๐ คน ทั้งนี้ด้วยมุ่งหวังจะตีเมืองไทยให้ได้ เพื่อต้องการเกียรติยศเป็น "มหาราช" และต้องการจะเป็น "บุเรงนอง" คนที่ ๒ จึงระดมกำลังกองทัพมาอย่างมากมาย โดยเฉพาะกองทัพที่ยกเข้ามาทางด้านตะวันตกนั้น เข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์มีจำนวนถึง ๕ กองทัพ ซึ่งรวมทั้งทัพหลวงด้วยรวมเป็นพลถึง ๕๕,๐๐๐ คน ฝ่ายกองทัพไทย เมื่อได้ข่าวศึกก็เกณฑ์กำลังไพร่พลได้เพียง ๗๐,๐๐๐ คนเท่านั้นน้อยกว่าพม่าตั้งครึ่ง จึงต้องวางแผนต่อสู้กับพม่าอย่างรอบคอบ โดยให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทยกกองทัพใหญ่มีจำนวนประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน ไปตั้งรับกองทัพพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า กองทัพไทยกับกองทัพพม่าได้รบพุ่งกันอยู่ประมาณสองเดือนเศษ ในที่สุดกองทัพพม่าก็แตกพ่ายไป สงครามท่าดินแดง๑เกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๓๒๙ พม่าได้ยกกองทัพใหญ่เข้ามาตั้งค่ายอยู่ที่ ท่าดินแดงและสามสบโดยมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า ดังคำกลอนเพลงยาวพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพรรณนาไว้ในนิราศท่าดินแดงว่า "ทัพพม่าอยู่ยังท่าดินแดง แต่งค่ายรายไว้เป็นถ้วนถี่ ทั้งเสบียงอาหารสารพันมี ดังสร้างสรรค์ธานีทุกประการ มีทั้งพ่อค้ามาขาย ร้านรายกระท่อมพลทุกสถาน ด้านหลังทำทางวางตะพาน ตามลหานห้วยน้ำทุกตำบล ร้อยเส้นมีฉางระหว่างค่าย ถ่ายเสบียงมาไว้ทุกแห่งหน แล้วแต่งกองร้อยอยู่คอยคน จนตำบลสามสบครบครัน อันค่ายคูประตูหอรบ ตกแต่งสารพัดเป็นที่มั่น ทั้งขวากหนามเขื่อนคูป้องกัน เป็นชั้นชั้นอันดับมากมาย"๒ กองทัพไทยได้ยกออกไปตีค่ายพม่าที่ท่าดินแดงและสามสบ พม่าเป็นฝ่ายแพ้ไปอย่าง ยับเยิน เหตุการณ์สงครามระหว่างไทยกับพม่าในอดีต ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองหน้าด่านป้องกันประเทศชาติทางด้านตะวันตก ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองจะต้องคัดเลือกผู้ที่มีฝีมือในทางรบทัพจับศึกเป็นเยี่ยม มีความซื่อสัตย์สุจริต กล้าหาญชาญชัย เพราะเป็นตำแหน่ง แม่ทัพด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏชื่อหมู่บ้าน ตำบล อำเภอต่างๆ ของจังหวัดกาญจนบุรี ที่เคยเป็นสนามรบและเป็นที่ตั้งค่ายคูประตูรบมาแล้วในอดีต มีชื่อปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์มาจนทุกวันนี้ เช่น ปากแพรก ดงรัง หนองขาว ตระพังตรุ ลาดหญ้า เมืองสิงห์ ท่าตะกั่ว ท่ากระดาน ด่านกรามช้าง ช่องแคบ พุไคร้ สามสบ ท่าดินแดง บ้านทวน ด่านพระเจดีย์สามองค์ เมืองลุ่มสุ่ม ลูกแก โคกกระออม และด่านบ้องตี้ เป็นต้น ตัวเมืองกาญจนบุรี ซึ่งแต่เดิมอยู่ที่บริเวณทุ่งลาดหญ้าใกล้ๆ กับเขาชนไก่นั้น ต่อมาใน รัชกาลที่ ๑ มีสงครามบ่อยๆ แผนการสงครามก็เปลี่ยนแปลงไป คือ กองทัพพม่าไม่ยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ โดยผ่านทางเมืองสังขละบุรีและเมืองศรีสวัสดิ์ทางเดียว แต่กลับยกเข้ามาทางเรือโดยมาทางเมืองไทรโยค (เก่า) ซึ่งอยู่ที่บ้านท่าทุ่งนา ล่องลงมาตามลำน้ำแควน้อยมาขึ้นบกที่ปากแพรกอีกทางหนึ่ง ด้วยเหตุนี้พระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทซึ่งทรงเป็นแม่ทัพรบกับพม่าทางด้านนี้บ่อยๆ ทรงเห็นว่าการยุทธศาสตร์เปลี่ยนไปคงจะได้เลื่อนที่ตั้งฐานทัพจากเมืองกาญจนบุรีเก่า มาตั้งที่ปากแพรกทางฝั่งซ้ายแม่น้ำแม่กลอง ในระหว่าง พ.ศ. ๒๓๓๐-๒๓๖๐ ในระยะแรกๆ ก็ปักแต่เสาระเนียดแล้วถมดินเป็นเชิงเทินเท่านั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานอธิบายไว้ว่า "ที่จริงภูมิฐานเมืองปากแพรกดีกว่าเมืองเขาชนไก่ เพราะเป็นที่ตั้งอยู่ในที่รวมแม่น้ำทั้ง ๒ แม่น้ำผืนแผ่นดินที่ ตั้งเมืองก็สูงและเห็นแม่น้ำน้อยได้ไกล ป้อมกลางย่านตั้งอยู่ตรงกลางลำน้ำทีเดียว แม้ในรัชกาลที่ ๒ เมื่อเสด็จออกมาขัดตาทัพกำแพงเมืองก็คงเป็นไม้ระเนียดอยู่"๓ "ต่อมา พ.ศ. ๒๓๗๔ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้ โปรดเกล้าฯ ให้ก่อกำแพงเมืองป้อมปราการ ขุดคูเมือง ตั้งศาลหลักเมือง เป็นลักษณะเมืองอันมั่นคงถาวรโดยมีพระประสงค์เพื่อให้ติดต่อค้าขายกับเมืองราชบุรี เมื่อพระยากาญจนบุรี (พระยาประสิทธิสงคราม) เข้าเฝ้าทรงโปรดเกล้าฯ รับสั่งว่า "เมืองกาญจนบุรีเป็นทางที่อังกฤษ พม่า รามัญ ไปมา ให้สร้างเมืองก่อกำแพงเมืองขึ้นไว้ จะได้เป็นชานพระนครเขื่อนเพชรเขื่อนขันธ์มั่นคงไว้แห่งหนึ่ง แล้วจะได้ป้องกันสมณชีพราหมณ์อาณาประชาราฎรพระพุทธศาสนาจะได้ถาวรตลอดไปชั่วนิรันดร"๔ ตัวเมืองเมื่อแรกสร้างในครั้งนั้นมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก กว้าง ๕ เส้น ยาว ๑๐ เส้น ๑๘ วา มีป้อมมุม ๔ ป้อม ป้อมย่านกลางด้านยาวตรงหน้าเมืองทิศตะวันตกเฉียงใต้มีป้อมใหญ่อยู่ตรงเนินด้านหลังมีป้อมเล็กตรงกับป้อมใหญ่ ๑ ป้อม มีประตูรวมทั้งหมด ๘ ประตู กำแพงสูง ๘ ศอก ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์เสด็จประพาสไทรโยคว่า "ด้วยเขาชนไก่เมืองเดิมนั้นขึ้นไปตั้งเหนือมาก มีแก่งถึงสองแก่ง ลูกค้าจะไปมาลำบากจึงมาตั้งอยู่เสียที่ปากแพรกนี้ เป็นทางไปมาแต่เมืองราชบุรีง่าย"๕ และอีกตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์ตามเสด็จประพาสไทรโยคว่า "อันเมืองกาญจนบุรีนี้สร้างใหม่ เมืองเขาชนไก่เป็นที่ตั้ง พม่าลาดกวาดคนไปหลายครั้งอีกทั้งยากแค้นแสนกันดาร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าพิภพ ทรงปรารภสร้างใหม่ให้ไพศาล จึงย้ายมาปากแพรกแปลกโบราณ ประสงค์การค้าขายฝ่ายราชบุรี"๖ ในการสร้างเมืองกาญจนบุรีที่ปากแพรกครั้งนั้น ได้จัดให้มีพิธีการต่างๆ อย่างสมบูรณ์ตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในหลักศิลาจารึกหลักเมือง เมื่อพ.ศ. ๒๓๗๔ เมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองกษัตริย์สร้าง ชาวกาญจนบุรีควรจะภาคภูมิใจ ในด้านเกร็ดตำนานจากหนังสือวรรณคดีเรื่องขุนช้าง ขุนแผน เมืองกาญจนบุรี ปรากฏว่ามีชื่ออยู่ในวรรณคดีดังกล่าวมา ซึ่งมีเค้าความจริงในแผ่นดินสมเด็จพระพันวษาคือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๔-๒๐๗๒ ในนามขุนแผน เป็นตำแหน่งปลัดซ้ายในกรมตำรวจภูบาล กาญจนบุรี (เก่า) เป็นภูมิลำเนาของมารดาและขุนแผนคืออยู่บ้านเขาชนไก่ ตำบลลาดหญ้ามีเจดีย์เก่าอยู่บนเขาองค์หนึ่ง แต่เวลานี้ทรุดโทรมมาก มีคนขึ้นไปขุดเจาะเจดีย์ได้พระไปมาก โดยเฉพาะมีพระขุนแผนอุ้มไก่อยู่ด้วย บริเวณเมืองกาญจนบุรีเก่ายังมีซากวัดต่างๆ หลายวัด ตามเกร็ดตำนานเมืองกาญจนบุรีนั้นกล่าวว่า เมื่อขุนแผนเป็นแม่ทัพไปทำสงครามมีชัยชนะกลับมาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าเมืองกาญจนบุรี เมืองหน้าด่านมีบรรดาศักดิ์ว่า "พระสุรินทรฤาชัย" (จันทร์ ตุงคสวัสดิ์) ได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๘-๒๔๖๕ นับว่าเป็นราชทินนามสืบเนื่องมาจากวรรณคดีเรื่องขุนช้าง-ขุนแผนในครั้งโบราณสมัยอยุธยา สมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา ครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพาหรือสงครามโลกครั้งที่สอง ทางด้านเอเชีย กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นประเทศไทย เมื่อตอนเช้าตรู่วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ และได้ยื่นคำขาดขอเดินทัพผ่านไปยังมลายูและพม่า ซึ่งเวลานั้นอยู่ในความปกครองของอังกฤษ รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรียินยอมตามข้อเสนอของกองทัพญี่ปุ่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ชี้แจงแก่ประชาชนไทยทางวิทยุกระจายเสียงว่า นับตั้งแต่เช้าตรู่วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นที่จังหวัดสงขลา จังหวัดปัตตานี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสุราษฎร์ธานี ฯลฯ ได้มีการสู้รบอย่างรุนแรงระหว่างทหารไทยกับทหารญี่ปุ่น ในเวลาเดียวกันเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้เจรจากับรัฐบาลขอให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพผ่านดินแดนประเทศไทย โดยญี่ปุ่นรับรองจะเคารพเอกราชและอธิปไตยของไทย รัฐบาลได้พิจารณาแล้วโดยถี่ถ้วนเห็นว่า ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ จึงสมควร ยินยอมตามคำขอของญี่ปุ่น ท่านนายกรัฐมนตรีวิงวอนขอให้ประชาชนชาวไทยเห็นใจ และเข้าใจการตัดสินใจของรัฐบาลในครั้งนี้ การตัดสินใจครั้งนี้ นับเป็นขั้นตอนแรกในอีกหลายๆ ขั้นตอนที่รัฐบาลสมัยนั้นได้ดำเนินการไปและในที่สุดรัฐบาลไทยได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ญี่ปุ่นยังคงตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศไทยจนสงครามสงบโดยญี่ปุ่นเป็นฝ่ายประกาศยอมแพ้ในวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:07:09 กาญจนบุรี ๓
ในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ จนถึงวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ในช่วงเวลาดังกล่าว ที่กองทหารญี่ปุ่นเข้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทยนั้น มีผลกระทบต่อประเทศไทย ทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม อย่างแรงและเห็นได้ชัดเจน แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่คงความเป็นเอกราช และสามารถรักษาอธิปไตยของชาติไว้ได้ตราบเท่าทุก วันนี้ จังหวัดกาญจนบุรีก็เริ่มมีบทบาทในสงครามครั้งนี้ขึ้นมาทันที โดยกองทัพญี่ปุ่นได้นำเชลยศึกรวมทั้งกรรมกรเกณฑ์แรงงานซึ่งกวาดต้อนเข้ามาในประเทศไทย เพื่อสร้างทางรถไฟไปพม่าโดยแยกจากทางรถไฟที่สถานีหนองปลาดุกไปเมืองกาญจนบุรี ข้ามแม่น้ำแควใหญ่เรียกกันว่า "สะพานข้ามแม่น้ำแคว" แล้วตัดข้ามหุบเขา ขุนเขา ป่าดงจนถึงชายแดนพม่า เพื่อขนส่งกำลังพลและยุทธสัมภาระจากประเทศไทยไปพม่า ทำให้จังหวัดกาญจนบุรีต้องตกเป็นเป้าหมายของฝ่ายสัมพันธมิตรที่มาทิ้งระเบิดทำลายสะพาน ทางรถไฟเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงขนส่ง ประชาชนชาวเมืองกาญจนบุรี ได้รับเคราะห์กรรมจากสงครามอันทารุณครั้งนี้อยู่หลายปี ทำให้ต้องเสียชีวิตและทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งชาวกาญจนบุรียังจำได้ดีและทางราชการได้จัดงาน "สัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว" เป็นงานประจำปีของจังหวัด ซึ่งเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๓ เป็นต้นมา อนุสรณ์แห่งสงครามครั้งนั้นยังปรากฏจนทุกวันนี้ ได้แก่ ๑. สะพานข้ามแม่น้ำแคว ๒. ทางรถไฟสายมรณะ ๓. สุสานทหารสหประชาชาติ ขอให้เป็นเรื่องราวแห่งสงครามบทสุดท้ายในประวัติศาสตร์ เหนือฝั่งแม่น้ำแควของกาญจนบุรีเท่านี้เถิด ขอสันติสุขจงมีแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันตลอดไปชั่วนิรันดร์ จากประวัติความเป็นมาของจังหวัดกาญจนบุรีดังกล่าวมาแล้ว จะเห็นว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองหน้าด่านและเป็นสมรภูมิที่บรรพบุรุษในอดีตได้เคยหลั่งเลือดต่อสู้กับข้าศึกศัตรูเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยไว้นับครั้งไม่ถ้วน และด่านพระเจดีย์สามองค์ก็เป็นด่านสำคัญของประเทศไทยทางด้านทิศตะวันตกเพราะเป็นทางเดินที่ใกล้สุดระหว่างไทยกับพม่า ไทยกับพม่าได้ทำสงครามขับเคี่ยวกันมาตลอดสามกรุง (กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์) ไม่ว่าพม่าจะยกกองทัพมารบกับไทยก็ดีหรือกองทัพไทยจะยกไปตีเมืองพม่าก็ดี จะต้องยกกองทัพผ่านด่านพระเจดีย์สามองค์นี้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งถ้านับแล้วก็ไม่น้อยกว่า ๑๕ ครั้ง จึงนับได้ว่าด่านพระเจดีย์สามองค์เป็นด่านที่สำคัญมาก ด้วยเหตุนี้เองจังหวัดกาญจนบุรีจึงได้ใช้รูปพระเจดีย์สามองค์เป็นเครื่องหมายประจำจังหวัด และเทศบาลเมืองกาญจนบุรีก็ใช้รูปพระเจดีย์สามองค์เป็นเครื่องหมายของเทศบาลด้วย นอกจากนี้รูปพระเจดีย์สามองค์ยังนำไปเป็นสัญลักษณ์ผ้าผูกคอของลูกเสือของจังหวัดกาญจนบุรี และค่ายลูกเสือของจังหวัดกาญจนบุรีก็ใช้ชื่อว่า "ค่ายลูกเสือเจดีย์สามองค์" อีกด้วย ตัวเมืองกาญจนบุรี ตั้งอยู่ที่ปากแพรก ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๗๔ เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๘ จึงได้ย้ายอาคารสถานที่ราชการและศาลากลางจังหวัดมาปลูกสร้างใหม่ที่ "บ้านบ่อ" ตำบลปากแพรก ริมถนนแสงชูโต ห่างจากศาลากลางจังหวัดเดิม ประมาณ ๓ กิโลเมตร การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล เดิมหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง มีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องถิ่นที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่การจัดรูปการปกครอง "แบบเทศาภิบาล" ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย และเป็นการเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีการปกครองดั้งเดิมของไทย คือ "ระบบกินเมือง" ให้หมดไป การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งห่างไกลออกไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องมาจากทางคมนาคมไป มาลำบากมาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง แบบกินเมือง และมีอำนาจอย่างกว้างขวางในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามาร่วมอยู่ยังจุดเดียวกันโดยการจัดตั้ง มณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งหมายความว่ารัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงจะสำเร็จ "การเทศาภิบาล" คือการปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่ง "ข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาค อันเป็นการใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ" จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้คือ ๑. เป็นมณฑล ๒. ถัดลงไปเป็นเมือง คือจังหวัด ๓. อำเภอ ๔. ตำบล ๕. หมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวง ทบวงกรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้ ความสามารถ และมีความประพฤติดีให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ มิให้มีหน้าที่การก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อยรวดเร็ว แก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย สรุป เพื่อความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้ การเทศาภิบาล นั้นหมายความรวมว่า เป็น "ระบบ" การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่ง เรียกว่า "การปกครองส่วนภูมิภาค" ส่วน "มณฑลเทศาภิบาล" คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเอง เช่น ที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิมอันเป็นระบบ กินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล จึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางและริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตน-โกสินทร์ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะได้อธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยเพียงกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้วจึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลขึ้น ๖ มณฑล คือ ๑. มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ ๒. มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร ๓. มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน ๔. มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา ๕. มณฑลลาวกลางหรือมณฑลนครราชสีมา ๖. หัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตกหรือมณฑลภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวมานี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมาแต่มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร ได้จัดตั้งเป็นลำดับดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่จัดระเบียบการมณฑลแบบใหม่ ได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา และต่อมาได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีอีกมณฑลหนึ่ง ซึ่งกาญจนบุรีเป็นเมืองรวมอยู่ในมณฑลราชบุรีด้วย พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้จัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณพล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ตให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลชุมพร และเปลี่ยนแปลงการปกครองมณฑลเขมร ให้เป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลให้ชื่อว่ามณฑลบูรพา พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่า ที่เหลืออีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ให้ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานี มณฑลจันทบุรี พ.ศ. ๒๔๕๐ จัดตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษสร้างทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล ตั้งชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้วยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑. การคมนาคม การสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒. เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓. เห็นว่าหน่วยงานมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔. รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาค ยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง แบ่งส่วนราชการบริหารส่วนภูมิภาคเป็นภาค จังหวัด และอำเภอ ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัด มีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่เดิมหามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคลได้แก่ คณะกรรมการจังหวัดนั้นได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓. ในฐานะของคณะกรรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของ ผู้ว่าราชการจังหวัด ในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดกาญจนบุรี . กรุงเทพมหานคร : ประยูรวงศ์ , ๒๕๓๐. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:07:51 ลพบุรี
ลพบุรีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ดินแดนซึ่งเป็นจังหวัดลพบุรีในปัจจุบันได้ค้นพบหลักฐานคือโครงกระดูก เครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องประดับทำด้วยดินเผา หิน สัมฤทธิ์ เหล็ก ทองแดง กระดูกสัตว์ เปลือกหอย และแก้วของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอเมือง อำเภอโคกสำโรง อำเภอ ชัยบาดาล อำเภอพัฒนานิคม หลักฐานของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ดังกล่าวส่วนใหญ่พบอยู่ตามเนินดิน น้ำท่วมไม่ถึงอยู่ไม่ไกลจากภูเขา และมีทางน้ำไหลผ่านเฉพาะส่วนน้อยเท่านั้นที่พบอยู่ตามถ้ำในภูเขา สมัยก่อนประวัติศาสตร์มีผู้ให้คำจำกัดความว่าเป็นสมัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จักประดิษฐ์อักษร ขึ้นใช้ ต่อเมื่อมนุษย์รู้จักประดิษฐ์อักษรขึ้นใช้แล้วจึงเรียกว่าเป็นสมัยประวัติศาสตร์ อายุสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ได้รับการศึกษาว่ามีอายุเก่าแก่ก่อน ๑๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว จนถึงราว พ.ศ. ๑๐๐๐ ซึ่งเป็นสมัยที่อายุตัวอักษรแบบเก่าสุดได้ค้นพบในดินแดนนี้ การศึกษาเรื่องก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยเท่าที่เป็นมา ได้แบ่งออกเป็นยุคตามลักษณะเครื่องมือเครื่องใช้ที่พบ กล่าวคือ ยุคหินเก่า เป็นยุคเก่าสุด มนุษย์ใช้เครื่องมือขวานหินกะเทาะ ยุคหินกลาง มนุษย์รู้จักใช้ขวานหินกะเทาะที่ประณีตขึ้น ยุคหินใหม่ มีเครื่องมือทำด้วยหินที่ได้รับการขัดฝนเป็นอย่างดี ยุคโลหะ มีเครื่องมือเครื่องใช้ทำด้วยสัมฤทธิ์ เหล็ก และทองแดง ปัจจุบัน การศึกษาเรื่องสมัยก่อนประวัติศาสตร์ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากต่อลักษณะการดำรงชีพของมนุษย์ในสมัยนั้น จึงได้มีการแบ่งยุคออกเป็นสังคมก่อนเกษตรกรรม (Non-Agricultural Society) และสังคมเกษตรกรรม (Agricultural Society) ผลการขุดค้นทางโบราณคดีในประเทศไทยอาจจะสรุปในขั้นต้นนี้ได้ว่า ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์แต่ดั้งเดิมยุคหินเก่าและยุคหินกลางเป็นสังคมก่อนเกษตรกรรม ส่วนมนุษย์ยุคหินใหม่และยุคโลหะจัดเป็นพวกสังคมเกษตรกรรมรู้จักเพาะปลูก ทำภาชนะดินเผา ถลุงแร่และทอผ้า หลักฐานมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดลพบุรี ที่พบเก่าสุดได้แก่ขวานหินกะเทาะที่ศาสตราจารย์ ฟริทซ์ สารสิน นักโบราณคดีชาวสวิส ได้สำรวจพบจากถ้ำกระดำ (กระดาน) ตำบลเขาสนามแจง อำเภอบ้านหมี่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ สันนิษฐานว่าเป็นเครื่องมือมนุษย์ยุคหินกลาง หลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคต่อมาคือยุคหินใหม่ได้ค้นพบเครื่องมือขวานหินขัดของมนุษย์ยุคหินใหม่มากมายกระจัดกระจายเกือบทุกอำเภอในจังหวัดลพบุรี และได้รับการขุดค้นแล้วนั้นคือที่ตำบลโคกเจริญ อำเภอโคกสำโรง ใน พ.ศ. ๒๕๐๙ และ พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่สำคัญก็คือพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยหินใหม่พร้อมเครื่องใช้และพบว่ามนุษย์ยุคหินใหม่ในแหล่งดังกล่าวรู้จักใช้ภาชนะดินเผาที่มีลักษณะคล้ายกับภาชนะดินเผาสมัยหินใหม่ที่พบที่จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดกาญจนบุรี การขุดค้นอีกครั้งหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับเรื่องสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดลพบุรีก็คือการค้นพบหลักฐาน มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะ พบกระจัดกระจายมากมาย ที่ได้รับการขุดค้นและกำหนดอายุได้นั้นคือการขุดค้นแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะในศูนย์การทหารปืนใหญ่ โดยกรมศิลปากรใน พ.ศ. ๒๕๐๗ - ๒๕๐๘ กำหนดอายุจากเศษเครื่องปั้นดินเผาได้ ๗๐๐ ปี ก่อน ค.ศ. ๑๖๖ มนุษย์พวกนี้รู้จักทอผ้าใช้มีเครื่องประดับกาย เช่น แหวน กำไล ลูกปัด ทำด้วยสัมฤทธิ์ แก้วและหินมีเทคโลโลยีสูงในเรื่องการโลหะกรรม หากกำหนดโดยลักษณะการดำรงชีพจะพบว่า มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่อาศัยอยู่เขตจังหวัดลพบุรีจะมีทั้งเป็นพวกสังคมสมัยก่อนเกษตรกรรม คือ ยุคหินกลางและสังคมสมัยเกษตรกรรม คือยุคหินใหม่และยุคโลหะ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยสำหรับจังหวัดลพบุรีที่ได้ค้นพบหลักฐานของการอยู่อาศัยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ลพบุรีสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๘) เมื่อเริ่มเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ คือ มนุษย์รู้จักใช้ตัวอักษรนั้น ที่จังหวัดลพบุรีได้ค้นพบหลักฐานเป็นตัวอักษรชนิดที่เก่าสุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เป็นจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ แต่หลักฐานซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองลพบุรีตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๘ มีไม่มากพอต่อการคลี่คลายเหตุการณ์ทางด้านประวัติศาสตร์เมืองลพบุรีมากนัก และเป็นดังนี้จนถึงราวศตวรรษที่ ๑๙ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ซึ่งพบว่าเมื่อเริ่มมีการใช้ตัวอักษรที่เมืองลพบุรี หรือปรากฏศิลปกรรมต่างๆ สะท้อนให้เห็นว่าสังคมเริ่มมีศาสนาอักษรศาสตร์ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ จนถึงช่วงแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ก่อนที่เมืองลพบุรีเป็นเมืองบริวารของอาณาจักรอยุธยา สมควรเรียกว่าเป็นสมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ (Pre to History) มีระยะเวลานานราว ๘ ศตวรรษ ในระยะ ๘ ศตวรรษของสมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์สามารถแบ่งการศึกษาออกได้เป็นคาบต่างๆ โดยอาศัยข้อมูลทางด้านภาษา ศิลปกรรม ตำนาน และจดหมายเหตุจีนได้ ดังนี้ ลพบุรีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๕ มีหลักฐานไม่มากนักที่สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มพูนความรู้เรื่องเมืองลพบุรีในระยะพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๕ กล่าวคือ พงศาวดารเหนือกล่าวถึงพระยากาฬวรรณดิศได้ให้พราหมณ์ยกพลสร้างเมืองละโว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๐๐๒ ปีที่พระองค์ครองราชย์ใช้เวลาสร้าง ๑๙ ปี แต่เรื่องดังกล่าวคงจะต้องหาหลักฐานอื่นมาสอบเทียบ เพราะพงศาวดารเหนือเขียนขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ห่างจากเหตุการณ์ที่เป็นจริงหลายศตวรรษ รวมทั้งข้อความในพงศาวดารส่วนใหญ่ค่อนข้างสับสน ทั้งศักราชก็คลาดเคลื่อนอยู่มาก นอกจากนี้ยังมีตำนานและภาษาบาลีเหนือเขียนขึ้นราว ๕๐๐ ปีเศษมาแล้ว เนื้อเรื่องไม่สับสน ศักราชเชื่อถือได้และถูกนำมาใช้อ้างอิงกันอย่างกว้างขวางคือตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ กล่าวถึงฤษีวาสุเทพได้สร้างเมืองหริภุญไชย (ลำพูน) ใน พ.ศ. ๑๒๐๔ ต่อมาอีก ๒ ปี (พ.ศ. ๑๒๖๐) ได้ส่งทูตล่องไปตามแม่น้ำปิงไปเมืองลวปุระทูลขอเชื้อสายกษัตริย์ลวปุระให้มาปกครองกษัตริย์ลวปุระจึงได้พระราชทานพระนางจามเทวี พระราชธิดาให้ไปครองเมืองหริภุญไชย ชื่อเมืองลวปุระในตำนานชินกาลมาลีปกรณ์เป็นที่ยอมรับว่าคือเมืองลพบุรีในปัจจุบัน หลักฐานที่มีอายุในศตวรรษดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับเมืองลพบุรีอีกคือการค้นพบศิลาจารึกที่สำคัญ ๓ หลัก คือ 1.จารึกหลักที่ ๑๘ จารึกบนเสาแปดเหลี่ยมพบที่ศาลสูง (ศาลพระกาฬ) เป็นจารึกเนื่องในพุทธศาสนาภาษามอญโบราณ ลักษณะของเสาแปดเหลี่ยมเป็นศิลปกรรมที่ได้รับอิทธิพลศิลปะแบบหลังคุปตะของอินเดีย ศาสตราจาย์ยอร์ซ เซเดส์ นักปราชญ์ทางด้านความรู้เกี่ยวกับเอเซียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ หรือ ๑๔ 2.จารึกหลักที่ ๑๖ จารึกบนฐานพระพุทธรูปยืนพบที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ เป็นจารึกภาษาสันสกฤต กล่าวถึง นายกอารุซวะ เป็นอธิบดีแก่ชาวเมืองตังคุร และเป็นโอรสของพระราชาแห่งศามพูกะ ได้สร้างรูปพระมุนีองค์นี้ เมืองตังคุรและเมืองศามพูกะนี้ยังไม่ทราบแน่นอนว่าอยู่ที่แห่งใด แต่คงอยู่ในที่ราบภาคกลางของประเทศไทยเพราะลักษณะพระพุทธรูปที่พบเป็นศิลปแบบที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นในภาคกลางของประเทศไทย 3.จารึกภาษาบาลีบนเสาแปดเหลี่ยมพบที่เมืองโบราณซับจำปา อำเภอชัยบาดาล มี ข้อความคัดลอกจากคัมภีร์พุทธสาสนา อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ สำหรับศิลปกรรมที่พบในจังหวัดลพบุรีที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๕ นั้น เป็นศิลปกรรมทางด้านพุทธศาสนาที่เก่าสุดแบบหนึ่งในประเทศไทย ซึ่งคงได้รับอิทธิพลศิลปกรรมอินเดียแบบคุปตะและแบบหลังคุปตะ (ศิลปะอินเดียวภาคกลางและภาคตะวันตก อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๙ - ๑๓) ชื่อเรียกศิลปกรรมแบบดังกล่าวได้เรียกว่าศิลปะแบบทวารวดี บัดนี้มีผู้เสนอให้เรียกว่า ศิลปมอญแบบภาคกลางประเทศไทย เพราะชาวมอญเป็นผู้กำเนิดเอกลักษณ์ผลงานศิลปะที่สร้างขึ้น ชนิดของศิลปกรรม ได้แก่ พระพุทธรูป พระธรรมจักรกวางหมอบ เศียรอสูร หรือเทวดา และปติมากรรมตกแต่งสถูป เท่าที่พบแกะสลักจากหินปูนและทำด้วยปูนปั้น จึงสรุปด้วยว่าเมื่อเข้าสู่สมัยทางประวัติศาสตร์ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๕ ลพบุรีคงเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง แว่นแคว้นอื่นจึงได้ยอมรับอำนาจและขอเชื้อสายไปปกครอง สังคมเดิมแบบก่อนประวัติศาสตร์คือสังคมเผ่าได้เปลี่ยนเป็นสังคมเมืองที่มีกษัตริย์ปกครอง มีภาษาที่ใช้คือภาษาสันสกฤต ภาษาบาลี และภาษามอญโบราณ ประชาชนนับถือพุทธศาสนา ลพบุรีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ หลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเมืองลพบุรีมีมากขึ้นถ้าได้เปรียบเทียบกับใน ๕ ศตวรรษแรก หลักฐานที่สำคัญ ได้แก่ จารึกซึ่งค้นพบทั้งในประเทศไทย กัมพูชาประชาธิปไตย และหลักฐานที่ปรากฏในจดหมายเหตุจีน สำหรับหลักฐานทางด้านโบราณวัตถุสถานพบในเมืองลพบุรี ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ มีความสำคัญช่วยสนับสนุนหลักฐานด้านประวัติศาสตร์ให้มั่นคงมากยิ่งขึ้น จากหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏอาจจะกล่าวได้ว่า ในระยะราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ -๑๘ ลพบุรีตกอยู่ภายใต้อำนาจทางการของอาณาจักรกัมพูชาเป็นครั้งคราว รวมทั้งได้ยอมรับเอาศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรกัมพูชาซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองพระนคร กล่าวคือ ได้ค้นพบศิลาจารึกภาษาขอมที่เมืองลพบุรีที่สำคัญคือ จารึกหลักที่ ๑๙ พบที่ศาลสูง (ศาลพระกาฬ) ระบุศักราช ๙๔๔ ตรงกับ พ.ศ. ๑๕๖๕ มีข้อความกล่าวถึงพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๕๕๕ - ๑๕๙๓) มีประกาศให้บรรดานักบวชอุทิศกุศลแห่งการบำเพ็ญตะบะของตนถวายแด่ พระองค์ และออกพระราชกำหนดเพื่อป้องกันมิให้นักบวชเหล่านั้นถูกรบกวนภายในอาวาสของตน นอกจากนั้นพบจารึกหลักที่ ๒๑ ที่ศาลเจ้าลพบุรี ศาสตราจารย์ ยอร์ซ เซเดส์ กล่าวว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็นจารึกภาษาเขมร จารึกขึ้นเพื่อให้ทราบถึงสิ่งของต่างๆ ที่อุทิศถวายแด่เทวรูปพระนารายณ์ในโอกาสที่มีการทำพิธีฉลองเทวรูป จารึกหลักนี้ออกชื่อเมือง โลว คือเมืองละโว้เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าที่เมืองละโว้มีผู้นับถือไวษณพนิกายของศาสนาฮินดูด้วย การตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว จดหมายเหตุจีนระบุว่า พ.ศ. ๑๖๕๘ และ พ.ศ. ๑๖๙๘ ละโว้ส่งทูตไปจีน ศาสตราจารย์ ยอร์ซ เซเดส์ ให้ข้อสังเกตว่า พ.ศ. ๑๖๕๘ ปีที่ละโว้ส่งทูตไปจีนคราวแรก พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ แห่งอาณาจักรกัมพูชา (ครองราชย์ราว พ.ศ. ๑๖๕๖ - ราว ๑๖๙๓) เพิ่งครองราชย์ได้เพียง ๒ ปี คงจะเป็นสมัยที่พระองค์ยังไม่มีอำนาจมั่นคงนัก ลพบุรีจึงเป็นนครอิสระส่งทูตไปจีนได้ และใน พ.ศ. ๑๖๙๘ ปีที่ละโว้ส่งทูตไปจีนคราวหลังพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ สวรรคตแล้ว การส่งทูตไปเมืองจีนอาจจะเป็นความพยายามของละโว้ที่จะตัดความสัมพันธ์ฐานเป็นประเทศราชของอาณาจักรกัมพูชา เรื่องที่ละโว้ส่งทูตไปจีนนี้ได้รับการขยายความให้กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น เมื่อค้นพบศิลาจารึกที่ดงแม่นางเมืองที่จังหวัดนครสวรรค์ มีศักราชตรงกับ พ.ศ. ๑๗๑๐ ระบุเรื่องราวราชวงศ์ศรีธรรมา โศกราช ซึ่งมีนักประวัติศาสตร์บางกลุ่มกล่าวกันว่า เป็นราชวงศ์อิสระในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลงความเห็นว่าคงเป็นราชวงศ์ปกครองเมืองลพบุรี จึงได้มีการสันนิษฐานว่าราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราชนั้นเองที่เป็นผู้พยายามแยกตัวเป็นอิสระจากอาณาจักรกัมพูชา หลักฐานอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นอิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาต่อเมืองลพบุรีอีกคือ ปรากฏภาพสลักนูนต่ำทหารละโว้บนผนังระเบียงปราสาทนครวัตซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้า สุริยวรมันที่ ๒ คู่กันกับภาพทหารสยาม โดยทหารละโว้มีนายทัพเป็นแม่ทัพขอม แสดงถึงอำนาจของอาณาจักรกัมพูชาที่มีเหนืออาณาจักรละโว้ในขณะนั้น จารึกปราสาทพระขรรค์ พ.ศ. ๑๗๓๔ ตรงกับ รัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๗๒๔ - ราว ๑๗๖๒) กล่าวถึงเมืองลโวทยะปุระซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในจำนวน ๒๓ เมืองที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้พระราชทานพระชัยพุทธมหานาถ ซึ่งเป็น พระพุทธรูปฉลองพระองค์ไปประดิษฐาน นอกจากนั้นในจดหมายเหตุจีนของ เจา ซู กัว แต่งขึ้นใน พ.ศ. ๑๗๖๘ กล่าวว่า ละโว้เป็นประเทศราชประเทศหนึ่งของอาณาจักรกัมพูชา อิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาต่อเมืองละโว้และประเทศราชอื่นๆ ลดน้อยลงหลังรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ศาสตราจารย์ ยอร์ซ เซเดส์ กล่าวว่า ในคริสศตวรรษที่ ๑๓ (ราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙) กัมพูชาเริ่มประสบความลำบากเนื่องจากได้ขยายเขตออกไปมากเกินไปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีภาระหนักในศตวรรษที่ ๑๒ (กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗ กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘) เพราะประชาชนถูกกษัตริย์ยิ่งใหญ่ ๒ พระองค์ ซึ่งเป็นทั้งนักรบและนัก ก่อสร้างเกณฑ์ไปใช้ กอปรกับได้ถูกพวกจับปารุกรานเมื่อ ค.ศ. ๑๑๗๗ (พ.ศ. ๑๗๒๐) กัมพูชาจึงอ่อนแอลงจนถึงกับเข้าสู่ยุคไม่มีขื่อไม่มีแป เมืองขึ้นและประเทศราชของกัมพูชาสามารถแข็งเมืองใน พ.ศ. ๑๘๓๙ โจว ตา กวน ทูตจีนได้ไปเยือนอาณาจักรกัมพูชาและได้เขียนหนังสือบทความเกี่ยวกับประเพณีของอาณาจักรกัมพูชชา มีข้อความหลายแห่งกล่าวถึงบทบาทของชาวสยามที่มีต่อาณาจักรกัมพูชา ทั้งทางด้านการทำสงครามศาสนาและเศรษฐกิจ หลักฐานทางด้านโบราณวัตถุสถานที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๘ มีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างดีกับหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ กล่าวคือ ปรางค์แขกเป็นสถาปัตยกรรมแบบขอมได้รับการกำหนดอายุว่าอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ ต่อจากนั้นได้ค้นพบเศียรพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเทวรูป ศิลปขอมแบบต่างๆ ที่เมืองลพบุรี มีอายุไล่เรี่ยกันมาคือ แบบบาปวน (อายุราว พ.ศ. ๑๕๕๓ - ๑๖๒๓) แบบนครวัต (อายุราว พ.ศ. ๑๖๔๓ - ๑๗๑๕) และแบบบายน (อายุราว พ.ศ. ๑๗๒๐ - ๑๗๗๓) พระปรางค์สามยอดศาสนสถานที่สำคัญและเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองลพบุรีมีแบบและผังเป็นสถาปัตยกรรมขอมแบบบายน ศิลปกรรมแบบต่างๆ ที่พบแสดงให้เห็นว่ามีการนับถือพุทธศาสนาควบคู่กันไปกับศาสนาพราหมณ์ และที่สำคัญคือขอมคงนำพุทธศาสนาลัทธิมหายานมาฝังรากให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ในที่ราบภาคกลางประเทศไทยจึงได้ค้นพบประติมากรรมพระโพธิสัตว์หลายองค์ที่เป็นศิลปกรรมแบบขอม ลพบุรีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - พ.ศ. ๑๘๙๓ ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เกิดความอ่อนแอภายในอาณาจักรกัมพูชาทำให้รัฐต่างๆ ที่เคยอยู่ภายใต้อำนาจปลีกตัวเป็นอิสระ ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าละโว้ได้ต่อสู้เพื่อเป็นเอกราชตั้งแต่เมื่อใด ถ้าได้เปรียบเทียบกับสุโขทัยซึ่งมีหลักฐานว่าพ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนบางกลางท่าวได้ร่วมมือกันขับไล่ ขอมสมาดโขลญลำพง ขุนนางขอมออกไปจากอาณาจักรได้ในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ แต่ความอ่อนแอภายในของอาณาจักรกัมพูชาเอง จึงอาจจะกล่าวได้ว่าละโว้คงหลุดพ้นจากอิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรขอมในศตวรรษเดียวกับสุโขทัย เมื่ออิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาหมดไป เกิดรัฐต่างๆ ที่มีบทบาทของตัวเองขึ้นทั่วไปในภาคเหนือและภาคกลางประเทศไทย ที่สำคัญคือรัฐพะเยา รัฐเชียงใหม่ รัฐสุโขทัย รัฐละโว้ รัฐต่างๆ เหล่านี้มีรูปการปกครองแบบนครรัฐ มีอาณาเขตในการปกครองไม่กว้างขวางมากนักและมีหลักฐานว่าได้เป็นไมตรีกันในระยะแรกๆ เช่น ตำนานทางภาคเหนือกล่าวถึงการร่วมปรึกษาหารือกันในการสร้างเมืองเชียงใหม่ ระหว่างผู้ปกครอง รัฐพะเยา รัฐสุโขทัย และรัฐเชียงใหม่ ในพงศาวดารโยนกกล่าวถึงพระยางำเมืองและพระร่วงเคยไปเรียนในสำนักพระสุกทันตฤษี ณ กรุงละโว้ เป็นต้น ลพบุรีในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นรัฐอิสระเช่นเดียวกับเชียงใหม่และสุโขทัย ทั้งนี้มีหลักฐานที่สำคัญคือในศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๑ กล่าวถึงอาณาเขตสุโขทัยในรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง (ครองราชย์ราว พ.ศ. ๑๘๒๒ - ราว ๑๘๔๒) ทางทิศใต้ว่ามีเมืองคณฑี (อยู่ใกล้กำแพงเพชร) เมืองพระบาง (นครสวรรค์) เมืองแพรก (สรรค์บุรี) เมืองสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรีหรืออ่างทอง) เมืองเพชรบุรี และเมืองนครศรีธรรมราช จะเห็นได้ว่าเว้นกล่าวถึงเมืองลพบุรีเมืองใหญ่ซึ่งอยู่ทางใต้ มีผู้สันนิษฐานว่าอาจจะมีการทำสัญญาเป็นมิตรกันระหว่างสุโขทัยกับลพบุรี เช่นเดียวกับสุโขทัยได้ทำกับเมืองน่านใน พ.ศ. ๑๘๓๐ นอกจากนี้ในจดหมายเหตุจีนกล่าวถึงละโว้ส่งทูตไปจีนใน พ.ศ. ๑๘๓๒ และ พ.ศ. ๑๘๔๒ เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระของรัฐลพบุรีในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ราชวงศ์หรือพระมหากษัตริย์พระองค์ใดเป็นผู้ปกครองเมืองลพบุรี ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ยังขาดหลักฐานที่หนักแน่นเพื่อไขความกระจ่างแจ้งอยู่มาก นอกจากในตำนานภาคเหนือกล่าวถึงพระรามาธิบดีผู้เป็นใหญ่ ในแคว้นกัมโพชและอโยชณปุระกับเรื่องพระรามาธิบดีกษัตริย์อโยชณปุระเสด็จมาจากกัมโพชทรงยึดเมืองชัยนาท เป็นที่ยอมรับกันว่าพระรามาธิบดีในตำนานภาคเหนือหมายถึงสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ผู้ทรงสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นที่อยุธยาใน พ.ศ. ๑๘๙๓ แคว้นกัมโพช หมายถึงลพบุรีและอโยชณปุระหมายถึงอยุธยา จะเห็นได้ว่าตำนานภาคเหนือกล่าวถึงความเกี่ยวเนื่องระหว่างสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ เมืองลพบุรี และเมืองอยุธยา และทราบต่อมาว่าเมื่อสมเด็จพระรามา ธิบดีที่ ๑ ครองอยุธยาแล้ว ได้โปรดให้พระราชบุตรคือพระราเมศวรขึ้นไปครองเมืองลพบุรี อาจจะเป็นได้ว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ครองเมืองลพบุรีมาก่อนแล้วจึงได้เสด็จย้ายไปครองเมืองอยุธยาและจึงให้พระราเมศวรครองเมืองลพบุรีแทน เรื่องดังกล่าวอาจจะสัมพันธ์กับข้อสังเกตของศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ ทว่าอุดมการณ์ทางการเมืองของกษัตริย์อยุธยาตั้งแต่แรกเริ่มสถาปนาอาณาจักรต่างกับ อุดมการณ์ทางการเมืองของกษัตริย์สุโขทัย สำหรับกษัตริย์สุโขทัยโปรดให้ค้าขายได้โดยเสรีไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมภาษีเก็บพอประมาณ การเกณฑ์คนก็เป็นไปตามส่วนกำลังที่มีและไม่ใช้แรงคนชรา มรดกก็ยอมให้ตกทอดไปยังทายาทได้เต็มที่ ไม่มีการชักประโยชน์ไว้สำหรับกษัตริย์ แต่สำหรับกษัตริย์อยุธยาเป็นเทพเจ้าบนพิภพเช่นเดียวกับที่กัมพูชาหรือมิฉะนั้นอย่างน้อยก็เป็นเสมือนพระพุทธองค์ที่ยัง พระชนม์ชีพอยู่ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ จึงสรุปไว้ว่าราชวงศ์สยามวงศ์ใหม่ (ราชวงศ์สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑) รับมรดกระบอบกษัตริย์จากนครวัตมาทั้งหมดน่าจะเป็นได้ว่าเพราะระบอบกษัตริย์ของสยามใหม่นี้ได้เกิดขึ้นในแวดวงที่ได้รับอารยธรรมเขมร เมืองที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ได้รับมรดกระบอบกษัตริย์จากนครวัตอย่างเต็มที่นั้นควรจะเป็นที่เมืองลพบุรี การย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองลพบุรีไปอยุธยานั้นคงเกี่ยวเนื่องกับความ เหมาะสมของอยุธยาในทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ กล่าวคืออยุธยาตั้งอยู่ริมแม่น้ำใหญ่ เรือสินค้าขนาดใหญ่สามารถแล่นเข้าออกไปจนถึงเมือง นอกจากนั้นทำเลที่ตั้งอยุธยาอยู่ในจุดที่สามารถควบคุมเมืองใหญ่ใกล้เคียง เช่น เมืองสุพรรณบุรี เพชรบุรีได้ง่าย เมื่อมีการสถาปนาอยุธยาใน พ.ศ. ๑๘๙๓ แล้ว เมืองลพบุรีมีฐานะกลายเป็นเมืองลูกหลวงที่อุปราชปกครอง จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระราเมศวรซึ่งเปรียบได้กับตำแหน่งรัชทายาทขึ้นปกครอง จากการศึกษาเรื่องศิลปกรรมในเมืองลพบุรีทั้งทางด้านประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ เป็นศิลปที่ได้รับอิทธิพลศิลปขอมแบบบายน และได้วิวัฒนาการจนมีลักษณะเฉพาะเรียกว่า ศิลปะแบบลพบุรีที่เห็นได้ชัดเจนคือปรางค์ประธานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุลพบุรี ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ และคงเป็นต้นเค้าของบรรดาพระปรางค์ ทั้งหลายในประเทศไทยในศตวรรษต่อมา ลพบุรีในสมัยอยุธยา (ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๑๐) เมืองสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง คนไทยทางใต้ก็ตั้งแข็งเมืองไม่ยอมเป็นประเทศราช และ พระเจ้าอู่ทองก็สร้างพระนครศรีอยุธยาขึ้นในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ และทรงประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นต่อเมืองสุโขทัย ลพบุรีจึงกลายเป็นเมืองหน้าด่านที่คอยป้องกันพวกขอมทางตะวันออก และพวกสุโขทัยทางเหนือในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ก็ได้โปรดให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรสขึ้นไปครองเมืองลพบุรี ซึ่งอยู่ในฐานะเมืองลูกหลวงและใช้เป็นเครื่องถ่วงดุลย์อำนาจทางการเมืองกับสุพรรณบุรีซึ่งขุนหลวงพะงั่ว พี่ของพระมเหสีไปครองอยู่ ต่อมาในสมัยของสมเด็จพระบรมราชาที่ ๑ (พ.ศ. ๑๙๒๑) อาณาจักรอยุธยาได้ขยายตัวออกไปกว้างขวางและรวมเอาสุโขทัยเป็นอาณาจักรเดียวกัน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เขมรอ่อนกำลังลงและได้ยกทัพไปตีเขมรถึงนครธมซึ่งเป็นราชธานีเขมร และเมื่อสมเด็จพระราเมศวรได้ครองราชย์เป็นครั้งที่ ๒ ก็ไม่ปรากฏว่าส่งพระราชโอรสขึ้นไปครองเมืองลพบุรี และในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ทรงปรับปรุงการปกครอง โปรดให้ยกเลิกเมืองลูกหลวงทั้ง ๔ ด้านของราชธานีออก ลพบุรีจึงกลายเป็น หัวเมืองที่อยู่ในเขตราชธานีแต่นั้นมา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดให้สร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีแห่งที่ ๒ รองจากพระนครศรีอยุธยา สถานที่สร้างพระราชวังนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชา-ภาพทรงสันนิษฐานว่า คงสร้างในที่ที่เป็นที่ประทับเดิมของสมเด็จพระราเมศวร สาเหตุที่สร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีอีกแห่งหนึ่งก็เนื่องจากในปี พ.ศ. ๒๒๐๗ ได้เกิดวิกฤติการณ์ทางการค้ากับฮอลันดา พระองค์จึงหาทางป้องกันเหตุการณ์ต่างๆ อีกทั้งทรงเห็นว่าลพบุรีมีชัยภูมิเหมาะแก่การป้องกันตนเอง และลพบุรีมีแม่น้ำไหลผ่านแต่ไม่ลึกพอที่เรือขนาดใหญ่จะผ่านเข้าไปได้ สามารถติดต่อกับราชธานีสะดวก ซึ่งทำให้พระองค์สร้างลพบุรีเป็นเมืองสำคัญ พระองค์ทรงแปรพระราชฐานมาประทับที่เมืองลพบุรีเป็นเวลายาวนาน ในแต่ละปีเสด็จประทับยังพระนครศรีอยุธยาเพียงระยะเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคมเท่านั้น และได้พระราชทานวังที่เมืองลพบุรีเป็นที่ว่าราชการ รวมทั้งต้อนรับแขกต่างประเทศที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีอีกด้วย ตอนปลายสมัยของสมเด็จพระนารายณ์เมืองลพบุรีเกิดความวุ่นวายขึ้นเนื่องจากอิทธิพลของพวกขุนนางต่างชาติ ทำให้พระเพทราชาได้เข้ายึดอำนาจทางการปกครอง ในขณะที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงประชวรหนัก และเสด็จสวรรคตไปท่ามกลางเหตุการณ์วุ่นวายในขณะนั้น เมื่อสิ้นรัชกาลของสมเด็จพระนารายณ์ เมืองลพบุรีจึงมีความสำคัญลดลงไม่มีความสำคัญทางการเมืองจนสิ้นสมัยอยุธยา ลพบุรีสมัยรัตนโกสินทร์ ลพบุรีขาดความสำคัญลงมากตั้งแต่สิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ จนกระทั่งถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งรัตนโกสินทร์ ซึ่งไทยเราได้ติดต่อกับต่างชาติมากขึ้น และชาติตะวันตกในยุคนั้นได้เข้ามาแสวงหาอาณานิคมรุกรานบ้านเมืองทางตะวันออก ใช้กำลังกับประเทศต่างๆ พระองค์ก็ได้ตระหนักถึงอันตรายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น จึงโปรดให้สถาปนาเมืองลพบุรีขึ้นเป็นที่ประทับอีกแห่งหนึ่ง โดยปฏิสังขรณ์พระราชวังเดิมของสมเด็จพระนารายณ์ที่ชำรุดทรุดโทรมให้กลับมีสภาพดีขึ้นดังเดิม และโปรดให้สร้างหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎขึ้นเป็นที่ประทับ และได้พระราชทานนามพระราชวังที่เมืองลพบุรีนี้ว่า พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จะเห็นได้ว่าจังหวัดลพบุรี มีความสำคัญติดต่อกันมานานนับพันปี คือตั้งแต่สมัยก่อน ประวัติศาสตร์และดำรงความเป็นเมืองสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:08:23 นครปฐม
ถ้าจะกล่าวถึงเมืองเก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งในประเทศไทย และเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ สมัยอดีต นครปฐมนับว่าเป็นเมืองที่สมกับคำกล่าวนี้ ทั้งนี้เนื่องจากการสำรวจดูโบราณสถานที่ยังเหลือเป็นพยานอยู่ เช่นพระปฐมเจดีย์องค์เดิม ธรรมจักรกับกวาง อาสนบูชา สถูป จารึกพระธรรมภาษามคธ คาถาเยธมฺมา ซึ่งทำตามคตินิยมแต่ครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชก่อนมีพระพุทธรูปสิ่งเหล่านี้มีพบแต่ที่นครปฐมแห่งเดียวเท่านั้น ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เมืองนครปฐมเป็นเมืองดั้งเดิม อาจกล่าวเป็นสมัยๆ ดังนี้ สมัยสุวรรณภูมิ สุวรรณภูมิถ้าแปลตามศัพท์ หมายถึงแผ่นดินทอง หรือดินแดนทอง ซึ่งหมายถึงดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ แผ่นดินตรงบริเวณที่เมืองนครปฐมตั้งอยู่นี้ เดิมเป็นที่ราบต่ำและเคยเป็นทะเลมาแล้ว ต่อมาพื้นน้ำค่อยๆ ลดลง เพราะพื้นดินเกิดตื้นเขินขึ้น เพราะแม่น้ำได้พัดพาเอาดินตะกอนและสิ่งต่างๆ มาทับถมอยู่เป็นเวลาช้านาน อาณาบริเวณนี้จึงเป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การตั้งบ้านเรือนทำมาหากิน นครปฐมในอดีตจึงเป็นเมืองที่อยู่ริมทะเลและเจริญรุ่งเรืองมาก ในสมัยพุทธกาล นครปฐมเปรียบเสมือนแผ่นดินทอง ชาวต่างประเทศได้แก่ชาวอินเดียได้ทำการติดต่อค้าขายเป็นประจำโดยทางเรืออยู่เรื่อยๆ ชาวพื้นเมืองแถบนี้คงจะเป็นชนชาติที่ยังไม่มีศาสนาเป็นของตนเอง และมีวัฒนธรรมต่ำกว่าชาวอินเดีย ชาวอินเดียจึงได้นำศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ตลอดจนภาษาหนังสือมาสอนให้แก่ชาวพื้นเมืองต่างๆ ในแคว้นสุวรรณภูมิ หนังสือที่ใช้ก็เป็นอักษรคฤนถ์และ เทวนาครี นอกจากนี้ยังสอนวิชาปั้นพระพุทธรูป เทวรูปต่างๆ พิธีกรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี ชาวพื้นเมืองก็ได้รับและถ่ายทอดกันมาจนทุกวันนี้ มีหลักฐานหลายประการ อาทิตำนานการเผยแพร่พระพุทธศาสนาจากชมพูทวีปเข้ามาสู่แหลมอินโดจีนบอกให้ทราบได้ว่า ชาวอินเดียสมัยพุทธกาลรู้จักสุวรรณภูมิแล้ว นักปราชญ์ทั้งหลายยังไม่สามารถยุติกันได้ว่า สุวรรณภูมิที่ว่านี้ อยู่ตรงส่วนไหนหรืออยู่บริเวณใดของแหลมอินโดจีน มีความเชื่อกันมากพอสมควรว่า น่าจะอยู่ในประเทศไทย ตอนลุ่มน้ำเจ้าพระยา สำหรับราชธานี หรือเมืองหลวงของสุวรรณภูมิจะอยู่ ณ ที่ใดแน่ นอกนั้นยังถกเถียงกันอยู่ การค้นพบองค์พระปฐมเจดีย์เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้น่าเชื่อว่าในราวพุทธศตวรรษที่ ๓ รัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ส่งสมณฑูต ๒ องค์ คือ พระโสณะ และพระอุตตระ มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ โดยสร้างเจดีย์ คือ องค์พระปฐมเจดีย์ไว้เป็นหลักฐานให้ปรากฏว่าพระพุทธศาสนาได้เริ่มขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้แล้ว ซึ่งถ้าเช่นนั้น บริเวณอันเป็นที่ตั้งของพระเจดีย์สำคัญนี้ก็ควรจะเป็นราชธานียิ่งใหญ่ มีผู้คนหรือเป็นชุมชนหนาแน่น มีค่าพอที่จะประกาศพระศาสนา และสร้างองค์เจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์ได้ ซึ่งชวนให้เชื่อว่า ณ ดินแดนแห่งนี้ คือ ราชธานีหรือเมืองหลวงแห่งแคว้นสุวรรณภูมิและจากยุคสุวรรณภูมิได้วิวัฒนามาสู่ยุคทวารวดี ในชั้นหลัง โดยกระจัดกระจายกันอยู่หลายเมือง ดังจะได้กล่าวต่อไป สมัยทวารวดี อาณาจักรทวารวดี มีแหล่งชุมชนส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลางของประเทศไทย แหล่งชุมชนของทวารวดีในภาคกลางที่สำรวจพบมีถึง ๑๕ แห่ง ทิศเหนือสุดจดจังหวัดพิจิตร ทิศใต้จดจังหวัดเพชรบุรี เมืองที่กระจายห่างออกไปทางตอนเหนือ เช่น เมืองหริภุญชัย ในภาคเหนือ และเมืองฟ้าแดด-สูงยาง ในจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีเมืองนครปฐมเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญ หลวงจีนอี้จิง หรือ พระภิกษุอีจิ๋นและหลวงจีนเฮียนจัง (ยวนฉ่าง) พ.ศ. ๑๑๕๐ ได้กล่าวไว้ในจดหมายเหตุของท่านว่า มีอาณาจักรอันใหญ่โตอาณาจักรหนึ่ง อยู่ระหว่างเมืองศรีเกษตร (พม่า) และเมืองอิศานปุระ (เขมร) ชื่อโตโลปอตี้ (ทวารวดี) และอาณาจักรนี้ก็เป็นอาณาจักรที่นักโบราณคดีได้สำรวจพบโบราณสถาน และพระพุทธรูปที่สร้างตามแบบฝีมือช่างครั้งราชวงศ์คุปตะของอินเดีย (พ.ศ. ๘๖๐-๑๑๕๐) เป็นจำนวนมากที่นครปฐม และเมืองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เรื่อยไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จนถึงเมืองนครราชสีมา และเมืองบุรีรัมย์ นครปฐมเป็นเมืองมาตั้งแต่สมัยแรกสร้างพระปฐมเจดีย์ คือราวๆ พ.ศ. ๓๐๐ เคยมีอำนาจสูงสุดครั้งหนึ่ง และเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษ ๑๑-๑๖) ปูชนียสถานที่ใหญ่โตสร้างไว้เป็นจำนวนมาก และยังเหลือเป็นพยานปรากฏอยู่อย่างเช่น วัดพระประโทณเจดีย์ วัดพระเมรุ วัดพระงาม และวัดดอนยายหอม เป็นต้น โบราณสถานที่ค้นพบล้วนฝีมือประณีต งดงาม มีเครื่องประดับร่างกายสตรีทำด้วยดีบุก เงิน และทอง รูปปูนปั้นชาวต่างประเทศก็มี ทำให้สันนิษฐานได้ว่าชาวทวารวดีมีการติดต่อกับประเทศอื่น เช่นประเทศจีน ศิลปต่างๆ ขณะนี้เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์ นครปฐมมีกษัตริย์ปกครองหลายพระองค์ เพราะปรากฏว่าได้พบปราสาทราชวังเหลือซากอยู่ เช่น ตรงเนินปราสาทในบริเวณพระราชวังสนามจันทร์ เคยทำเงินตราขึ้นใช้เอง เช่น เงินตราสมัยนั้นมีหลายรูปแบบ ซึ่งนอกจากเป็นรูปสังข์และปราสาทยังมีตราแพะ ตราปรูณกลศ (หม้อน้ำที่มีน้ำเต็ม) ฯลฯ จึงเป็นสิ่งยืนยันว่า อาณาจักรทวารวดีมีจริง และมีพระมหากษัตริย์ปกครองแน่นอน ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส ได้อ่านจารึกที่เงินตราแล้วแปลได้ความว่า บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวารวดี นครปฐมมีอำนาจสูงสุดประมาณ ๒๐๐ ปี แล้วค่อยเสื่อมลง พวกขอมขณะนั้นกำลังรุ่งเรืองก็ถือโอกาสตีเมืองของอาณาจักรทวารวดีทีละเมืองสองเมืองจน พ.ศ. ๑๕๐๐ อาณาจักรทวารวดีก็เสื่อมลงเป็นธรรมดาหลังจากที่เจริญรุ่งเรืองอย่างที่สุด และตกอยู่ในอำนาจขอม พวกขอม คงจะกวาดต้อน ผู้คนไปเป็นเชลย นำไปใช้เป็นกำลังทำงานต่างๆ คนไทยยังมีตามหัวเมืองโบราณในแคว้นสุวรรณภูมิหลายเมือง เช่น ลพบุรี อู่ทอง กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี แต่ยังไม่มีอำนาจในการปกครองแต่อย่างใด ครั้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๐ ซึ่งเป็นเวลาที่ไทยยึดอำนาจการปกครองจากขอมได้ นครปฐมก็กลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว จึงไม่ปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง สาเหตุที่เป็นเมืองร้าง เนื่องจากแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลองซึ่งแต่เดิมเคยไหลผ่านนครปฐมเปลี่ยนทิศทางเดินใหม่ ไหลผ่านจากตัวเมืองไปมากจนทำให้นครปฐมเป็นที่ดอนขึ้น ไม่เหมาะแก่การทำไร่นา ผู้คนจึงถอยร่นไปอยู่ริมแม่น้ำด้วยเหตุนี้เมืองนครปฐมจึงเสื่อมลง สมัยอยุธยา นครปฐมเป็นเมืองร้างเรื่อยมา จนกระทั่งสมัยอยุธยา จึงได้มีความเจริญรุ่งเรืองและได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชัดแจ้งขึ้น ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ นครปฐมมีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นใน มีลำดับชั้นของเมืองเป็นเมืองจัตวา พระมหากษัตริย์ทรงอำนาจการปกครองโดยมีเสนาบดีเป็นผู้ช่วย มีผู้ปกครองหัวเมืองชั้นในเรียกว่า "ผู้รั้ง" จนกระทั่งสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิใน พ.ศ. ๒๐๙๑ ทรงตั้งพระนามเมืองนครปฐมใหม่ โดยเรียกชุมชนที่ตำบลท่านา ริมแม่น้ำท่าจีนว่า เมืองนครชัยศรี และรวมเนื้อที่ของแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรีเข้าด้วยกัน ให้มีฐานะเป็นเมืองตรีชั้นใน การที่เลือกชุมชนตำบลท่านาริมแม่น้ำท่าจีน และตั้งเป็นเมืองนครชัยศรีขึ้นมาใหม่เนื่องจากบริเวณพระปฐมเจดีย์อันเป็นศูนย์กลางของนครปฐมเดิม คงจะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่มากและกลายเป็นที่รกร้าง และขาดน้ำ จึงเป็นการยากที่จะปฏิสังขรณ์ให้เมืองนครปฐมเป็นที่ตั้งเมืองใหม่ได้อีก การตั้งเมืองนครชัยศรีในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จากประวัติศาสตร์อยุธยากล่าวว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงจัดตั้งเมืองนครชัยศรีหลังจากเสร็จสงครามกับพม่าคราวสมเด็จพระศรีสุริโยทัย สิ้นพระชนม์บนหลังช้างซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๐๙๑ ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ระบุว่า ศักราช ๙๑๐ วอกศก (พ.ศ. ๒๐๙๑) เป็นปีที่สมเด็จพระศรีสุริโยทัยสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม๑ บันทึกไว้ว่า "ฝ่ายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ให้สถาปนาที่พระราชทานเพลิงนั้นเป็นพระเจดีย์วิหารเสร็จแล้ว ให้นามวัด สบสวรรค์ แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่าไพร่บ้านพลเมืองตรีจัตวาปากใต้เข้าพระนครครั้งนี้น้อย หนีออกอยู่ป่าดงห้วยเขาต้อนไม่ได้เป็นอันมาก ให้เอาบ้านท่าจีนตั้งเป็นเมืองสาครบุรี ให้เอาบ้านตลาดขวัญตั้งเป็นเมืองนนทบุรี ให้แบ่งเอาแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครชัยศรี...." ตามพงศาวดารบันทึกตรงกับ พ.ศ. ๒๐๘๖ (ศักราช ๙๐๕ ปีเถาะเบญจศก) แต่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายถึงเรื่องศึกหงสาวดีครั้งที่ ๑ (คราวเสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัย) ไว้ในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาเล่ม ๑ พร้อมพระอธิบายของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพว่าพม่ายกเข้ามาเมื่อปีวอก จ.ศ. ๙๑๐ ครั้งเดียว ที่หนังสือพระราชทานพงศาวดารผิดตรงนี้เป็นด้วยหลงปีที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสวยราชย์ว่าเป็นปีฉลู จ.ศ. ๘๙๑ (พ.ศ. ๒๐๗๒) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายเหตุผลว่า ได้ตรวจสอบจากจดหมายเหตุเดิมซึ่งรวบรวมมาตรวจเมื่อแต่งหนังสือพระราชพงศาวดารบางฉบับ คงกล่าวเพียงว่า ในปีที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสวยราชย์นั้น พระเจ้าหงสาวดียกกองทัพเข้ามาบางฉบับลงไว้แต่ศักราชว่า พระเจ้าหงสาวดียกกองทัพเข้ามาเมื่อปีวอก จ.ศ. ๙๑๐ ซึ่งเป็นความจริงทั้งสองฝ่าย แต่ผู้แต่งหนังสือพระราชพงศาวดารลงศักราช ปีสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสวยราชย์เร็วไป ๑๙ ปี จึงเข้าใจไปว่าศึกหงสาวดีเป็น ๒ ครั้ง เมื่อหาเรื่องราวการรบไม่ได้ จึงลงไว้ในพระราชพงศาวดารว่า ครั้งแรกพระเจ้าหงสาวดียกเข้ามาพอเห็น พระนครแล้วก็กลับไป ไม่ได้รบพุ่งอันใดกันในครั้งนั้น ไปรบกันต่อเมื่อยกเข้ามาครั้งที่ ๒ เรื่องตรงนี้สอบในหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐและพงศาวดารพม่าได้ความยุติต้องกันว่า สมเด็จ พระมหาจักรพรรดิเสวยราชย์ เมื่อปีวอก จ.ศ. ๙๑๐ (พ.ศ. ๒๐๙๑) เสวยราชย์ได้ ๗ เดือน พระเจ้าหงสาวดีตะเบ็งชเวตี้ก็ยกกองทัพเข้ามา มาครั้งเดียว และได้รบกันจนเสียพระสุริโยทัยในคราวนี้เอง สมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงผนวชอยู่ได้เสด็จฯ ธุดงค์มาพบพระปฐมเจดีย์ พระองค์โปรดให้สืบดูทางฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีพระเจดีย์องค์ใดใหญ่โตกว่าที่พระปฐมเจดีย์ จึงกราบทูลให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบ และขอให้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ไว้เชิดชูพระเกียรติยศ แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงสนพระทัยครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์แล้ว และจนถึง พ.ศ. ๒๓๙๖ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระเจดีย์ครอบสถูปองค์เดิมไว้ และบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์เสียใหม่ มีความสูง ๓ เส้น ๑ คืบ ๖ นิ้ว หรือประมาณ ๑๒๐.๔๕ เมตร พร้อมกับการขุดคลองเจดีย์บูชา และคลองมหาสวัสดิ์เพื่อการคมนาคม อีก ๒ ปีต่อมา คือ พ.ศ. ๒๓๙๘ โปรดเกล้าฯ ให้นครปฐม (นครชัยศรี) ซึ่งขึ้นอยู่กับ กรมมหาดไทยมาก่อน มาขึ้นอยู่กับกรมท่าเรื่อยมาจนปลายรัชสมัยของพระองค์ เมืองนครปฐมจึงได้กลายมาเป็นหัวเมืองชั้นจัตวาขึ้นอยู่กับสมุหนายก ครั้น พ.ศ. ๒๔๑๑ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ ทรงดำริว่าควรรวมการปกครองบังคับบัญชาแห่งเมืองทั้งปวง ให้ขึ้นอยู่กับสมุหนายก โดยปรับปรุงเขตการปกครองเดิมเข้าเป็นมณฑลใหม่ และในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ จึงได้จัดตั้งมณฑลนครชัยศรีขึ้น ประกอบด้วย ๓ เมืองด้วยกัน คือ เมืองนครชัยศรี สมุทรสาคร และสุพรรณบุรี โดยมีเทศาภิบาลปกครองบังคับบัญชา ผู้ว่าราชการเมืองอีกชั้นหนึ่ง และในวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ ทรงย้ายเมืองนครชัยศรี และให้ที่ว่าการมณฑลไปตั้งทำการที่ระเบียงพระปฐมเจดีย์เป็นการชั่วคราวก่อน เนื่องจากว่าที่ตั้งที่ทำการมณฑลมิได้ประจำอยู่ที่ระเบียงพระปฐมเจดีย์ตลอดเวลา เมืองนครชัยศรีเดิมซึ่งตั้งมาแต่สมัยอยุธยาจึงลดความสำคัญลง ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟสายใต้ผ่านองค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือเรื่อง "ปาฐกถาเรื่องสงวนของโบราณ" ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๓ ความตอนหนึ่งว่า "เมื่อเริ่มสร้างรถไฟสายใต้ใน พ.ศ. ๒๔๔๓ เวลานั้นท้องที่รอบพระปฐมเจดีย์ยังเป็น ป่าเปลี่ยวอยู่โดยมาก ในป่าเหล่านั้นมีซากพระเจดีย์โบราณขนาดใหญ่ๆ ซึ่งสร้างทันสมัยพระปฐมเจดีย์อยู่หลายองค์ พวกรับเหมาทำทางรถไฟไปรื้อเอาอิฐพระเจดีย์เก่ามาถมเป็นอับเฉากลางรางรถไฟ ได้อิฐพอถมตั้งแต่สถานีบางกอกน้อยไปตลอดระยะทางกว่า ๕๐ กิโลเมตร เมื่อย้ายที่ว่าการมณฑลจากริม แม่น้ำขึ้นไม่ต่ำ ณ ตำบลพระปฐมเจดีย์สิรื้อกันเสียหมดแล้ว ก็ได้แต่เก็บศิลาเครื่องประดับพระเจดีย์เก่าเหล่านั้นมารวบรวมรักษาไว้ ยังปรากฏอยู่รอบพระระเบียงพระปฐมเจดีย์บัดนี้" อีกปีหนึ่งต่อมา คือ พ.ศ. ๒๔๔๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้วางผังเมือง อาคารสถานที่และย้ายเมืองนครชัยศรีไปอยู่ที่ตำบลพระปฐมเจดีย์ (ฉบับที่กรมศิลปากรตรวจสอบชำระใหม่ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๖ ระบุว่าย้าย พ.ศ. ๒๔๔๔ ตรงกับวันที่ ๑๑ เมษายน ร.ศ. ๑๒๐) จึงมีราษฎรอพยพไปอยู่กันหนาแน่นขึ้น ในการวางผังเมือง ได้โปรดให้ตัดถนนหนทางเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายสาย เช่น ถนนหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ ตรงไปผ่าหน้าพระประโทณเจดีย์ และพระราชทานชื่อว่าถนนเทศา ถนนรอบองค์พระปฐมเจดีย์ โดยพระราชทานชื่อถนนด้านนอกว่า ถนนหน้าพระ ทางเหนือชื่อถนนซ้ายพระ ทางใต้ชื่อถนนขวาพระ ทางตะวันตกชื่อถนนหลังพระ ฯลฯ เป็นต้น และ ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๖๑ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานข้ามคลองเจดีย์บูชาขึ้นสะพานหนึ่งทรงพระราชทานนามว่า สะพานเจริญศรัทธา สำหรับชื่อจังหวัด "นครปฐม" นั้น ได้มีขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๖ นี้ กล่าวคือ เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองนครชัยศรีเป็นเมืองนครปฐม แต่ยังคงเรียกว่า มณฑลนครชัยศรีอยู่ตามเดิม จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีประกาศยกเลิกมณฑลนครชัยศรีและโอนให้การปกครองจังหวัดในมณฑล นครชัยศรีไปรวมกับมณฑลราชบุรี มณฑลนครชัยศรีมีชื่อเป็นมณฑลอยู่รวมทั้งสิ้น ๓๘ ปี และเมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๗๖ จังหวัดนครปฐมซึ่งเคยขึ้นกับมณฑลราชบุรีก็แยกมาเป็นเขตการปกครองส่วนภูมิภาคอิสระเป็นจังหวัดนครปฐมเรื่อยมาจนถึง ทุกวันนี้ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:08:57 นครนายก/size]
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา จังหวัดนครนายก จะสร้างขึ้นในสมัยใดนั้นยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด แต่จากการที่กรมศิลปากรได้มาทำการขุดค้นตัวเมืองเก่าที่ตำบลดงละคร อำเภอเมืองนครนายก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ และจากการรื้อค้นหลักฐานที่มีพอจะสรุปประวัติความเป็นมาได้ว่า จังหวัดนครนายกเป็นเมืองเก่าแก่กว่า ๙๐๐ ปีมาแล้ว มีปรากฏขึ้นในสมัยทวารวดี แต่จะมีชื่อเมืองอย่างไรนั้นไม่ปรากฏ จากสภาพเมืองเก่าที่ตำบลดงละคร (เมืองลับแล) เป็นตัวเมืองที่ตั้งอยู่บนที่สูง มีลักษณะเป็นเกาะกลางทุ่ง สภาพตัวเมืองเป็นรูปทรงกลม ซึ่งเป็นลักษณะตัวเมืองสมัยทวารวดี ต่อมาเมื่ออาณาจักรขอมมีอำนาจได้แผ่อาณาจักรออกไปตลอดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มีนครธมเป็นราชธานีขอมได้ตั้งเมืองละโว้ (ลพบุรี) เป็นเมืองลูกหลวง มีหน้าที่ปกครองอาณาจักรขอมในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เมืองนครนายกจึงตกอยู่ใต้อิทธิพลของขอมชั่วระยะเวลาหนึ่ง ประมาณปี พ.ศ. ๑๖๐๐ อาณาจักรขอมเสื่อมอำนาจลงแต่นครนายกก็ยังคงรวมอยู่ในดินแดนของอาณาจักรขอมแถบชายแดน จนเมื่อไทยเริ่มมีอำนาจ และตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สมัยกรุงศรีอยุธยา มีหลักฐานว่า นครนายกเป็นเมืองหน้าด่าน หรือ เมืองปราการ ตั้งแต่ สมัยพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) เป็นต้นมา หน้าที่ของเมืองหน้าด่าน คือ เป็นเมืองที่รายล้อมราชธานี เป็นที่สะสมเสบียงอาหารและกำลังผู้คนไว้สำหรับป้องกันเมืองหลวง เมืองเหล่านี้อยู่ห่างจากเมืองหลวงโดยเฉลี่ยประมาณ ๕๐ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางไปมาจากเมืองหน้าด่านถึงราชธานีประมาณ ๒ วัน ในสมัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทำการปรับปรุงการปกครอง คือ ยกเลิกเมืองหน้าด่านขยายอำนาจราชธานีออกไปจัดตั้งหัวเมืองชั้นใน ได้แก่ ราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม สุพรรณบุรี ชัยนาท นครสวรรค์ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ชลบุรี และนครนายก กำหนดให้หัวเมืองชั้นในเหล่านี้เป็นเมืองชั้นจัตวา ผู้ว่าราชการเมืองเรียกว่า "ผู้รั้ง" พระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งออกไปปกครอง เพราะฉะนั้นหัวเมืองชั้นในจึงอยู่ในการดูแลของราชธานีอย่างใกล้ชิด นครนายกจึงมีฐานะเป็นหัวเมืองจัตวา ตั้งแต่นั้นมาจนตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะเสียให้แก่พม่า ในวันอังคาร เดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐ เป็นครั้งที่ ๒ นั้น ในขณะที่พม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ พระยาตาก ได้ช่วยทำการรบศึกอยู่ในเมือง ครั้งหนึ่งพระยาตากเห็นพม่ารุกหนักเข้ามา ก็สั่งให้ยิงปืนใหญ่สกัดกั้นไว้โดยที่ยังไม่ได้ขออนุญาตก่อนตามกฎที่วางไว้ จึงถูก พระเจ้าเอกทัศน์ สั่งภาคทัณฑ์คาดโทษ พระยาตากตัดสินใจนำทหารประมาณ ๕๐๐ คน ตีฝ่าวงล้อมของพม่าออกไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๙ และยกทัพออกมาทางตะวันออกมาทางด้านวัดพิชัย มีพลประมาณ ๑,๐๐๐ กว่าคน พร้อมทั้งข้าราชการกรุงเก่า บางพวกที่ร่วมหนีออกมาด้วยกับพระยาตาก จากพงศาวดารกรุงธนบุรีได้กล่าวว่า พระยาตากยกทัพมาทางสระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี กองทัพพระยาตากยกไปต้องปะทะกับพม่าที่มีกำลังเหนือกว่าหลายเท่า แต่ก็ได้ประสบชัยชนะตลอดมา ระหว่างทางได้ทำการเกลี้ยกล่อม คนไทยให้เข้าด้วยตลอดทางจนถึงชลบุรี พระยาตากใช้นโยบายเกลี้ยกล่อมให้ยอมอ่อนน้อมเสียก่อน ถ้าไม่ยอมถึง ๓ ครั้ง จึงจะจัดการอย่างเด็ดขาด พระยาตากมุ่งไปทางระยองและจันทบุรี พระยาจันทบุรี ได้รับปากว่าจะเข้าด้วย แต่ขอให้พระยาตากรอไปก่อน ผลสุดท้ายพระยาตากต้องตัดสินใจโจมตีเมืองจันทบุรี เพราะ เมืองจันทบุรีเป็นเมืองสำคัญทั้งในด้านทหารและด้านเศรษฐกิจ ในการที่จะสนับสนุนให้การขับไล่พม่าไปจากประเทศเป็นผลสำเร็จ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓ นครนายกเป็นหัวเมือง ชั้นจัตวา โดยเป็นหน่วยปกครองที่อยู่ไม่ไกลเมืองหลวงนัก สมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการปฏิรูปการปกครองใหม่เรียกว่า การปกครองมณฑลเทศาภิบาลเมืองนครนายกจัดอยู่ในมณฑลปราจีนบุรี ซึ่งจัดตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ ประกอบด้วยเมืองต่าง ๆ คือ ๑. ปราจีนบุรี ๒. ฉะเชิงเทรา ๓. นครนายก ๔. พนมสารคาม ๕. พนัสนิคม ๖. ชลบุรี ๗. บางละมุง พ.ศ. ๒๔๔๕ รัชกาลที่ ๕ ทรงยกเลิกธรรมเนียมการมีเจ้าเข้าครอง และให้มีตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองขึ้นแทน เมืองนครนายก จึงได้มีผู้ว่าราชการเมืองคนแรก คือ พระพิบูลย์สงคราม (จอน) ศาลากลางจังหวัดแห่งแรกตั้งขึ้น ณ บริเวณริมฝั่งขวา แม่น้ำนครนายก (บริเวณหลังธนาคารกรุงศรีอยุธยาและธนาคารกรุงเทพในปัจจุบัน) จนถึง พ.ศ. ๒๔๘๖ ทางราชการได้ยุบจังหวัดนครนายกให้ไปรวมกับจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดสระบุรี หลังจากนั้นประมาณ ๔ ปี คือใน พ.ศ. ๒๔๘๙ จึงได้ตั้งจังหวัดนครนายกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. ๒๕๑๙ มีปัญหาเกี่ยวกับสถานที่ตั้งศาลากลางจังหวัดหลังเก่า ซึ่งตั้งอยู่ในย่านชุมนุมชนคับแคบขยายออกไปอีกไม่ได้ จึงได้ย้ายไปสร้างศาลากลางจังหวัดแห่งใหม่ บริเวณริมถนนสุวรรณศรห่างจากเขตเทศบาลประมาณ ๒ กิโลเมตร และได้เปิดทำการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ จนถึงปัจจุบัน การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ การปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือ ระบบกินเมือง ให้หมดไป การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชา มีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใดก็ยิ่งอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่น ๆ ที่เจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวางในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามาร่วมอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ "การเทศาภิบาล" ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ มีความว่า "การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำอยู่แต่เฉพาะในราชธานีนั้น ออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาคเป็นสื่อกลางระหว่างรัฐบาล ซึ่งอยู่ในราชธานีให้ได้ใกล้ชิดกับอาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและเกิดความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย จึงแบ่งเขตการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นชั้นอันดับดังนี้ คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัด รองไปอีกเป็น อำเภอ และ หมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองงานของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถความประพฤติให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย และรวดเร็วแก่ราชการและกิจธุระของประชาชนซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย" จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้ การเทศาภิบาล นั้น หมายความรวมว่า เป็น "ระบบ" การปกครองอาณาเขต ชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า "การปกครองส่วนภูมิภาค" ส่วน "มณฑลเทศาภิบาล" นั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้างกระทรวงกลาโหมบ้างและกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักรทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชา หัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเดียวกัน จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวน หรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาว หรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมร หรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตก บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาลการจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับ ดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้วจึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่า ๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานี และมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี ระยอง และตราด พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดินมีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองนอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสียเหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ 1.จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ 2.อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่ในคณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้นได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด 3.ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น 1.จังหวัด 2.อำเภอ จังหวัดนั้นได้รวมท้องที่หลาย ๆอำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติและให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดนครนายก.นครนายก,๒๕๒๗ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:14:14 นนทบุรี
ก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จังหวัดนนทบุรี เป็นเมืองเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตำบลที่ตั้งเมืองนนทบุรีขึ้นมาครั้งแรกนั้นมีชื่อว่า บ้านตลาดขวัญ ต่อมาได้ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองนนทบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๒ ในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ดังปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารว่า ฝ่ายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าให้สถาปนาที่พระราชทานเพลิงนั้น(๑) เป็นพระเจดีย์วิหารสำเร็จแล้ว ให้นามชื่อ วัดสบสวรรค์ แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า ไพร่บ้านเมืองตรีจัตวา ปากใต้ฝ่ายเหนือเข้าพระนครครั้งนี้น้อย หนีออกอยู่ป่าดงห้วยเขา ต้อนไม่ได้เป็นอันมากให้เอาบ้านท่าจีนตั้งเป็นเมือง สาครบุรี(๒) ให้เอาบ้านตลาดขวัญตั้งเป็นเมืองนนทบุรี ให้แบ่งเอาแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครชัยศรี (๓) บ้านตลาดขวัญเป็นดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์และเป็นสวนผลไม้ที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง ของกรุงศรีอยุธยา ฝรั่งต่างชาติที่ได้เดินทางเข้ามาค้าขายและเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาต่างก็ได้บันทึกเอาไว้ ดังปรากฏในจดหมายเหตุบันทึกการเดินทางของลาลูแบร์ ชาวฝรั่งเศสผู้ซึ่งเดินทางเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า สวนผลไม้ที่บางกอกนั้น(๔) มีอาณาบริเวณยาวไปตามชายฝั่ง โดยทวนขึ้นสู่เมืองสยามถึง ๔ ลี้ กระทั่งจรดตลาดขวัญ (Talacouan) ทำให้เมืองหลวงแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลาหาร ซึ่งคนพื้นเมืองชอบบริโภคกันนักหนา. (๕) นอกจากนี้ยังมีดินแดนทางตอนใต้ของตลาดขวัญอีกแห่งหนึ่งชื่อว่า ตลาดแก้ว ตลาดแก้วแห่งนี้เข้าใจว่าคงจะมีความสำคัญควบคู่กันมากับตลาดขวัญตั้งแต่ก่อนจะตั้งเป็นเมืองนนทบุรีแล้ว เพราะปรากฏในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ว่า ตำบลสำคัญๆ ที่แม่น้ำสายนี้(๖)ไหลผ่าน คือ แม่ตาก (Mc-Tae) อันเป็นเมืองเอกของราชอาณาจักรสยามที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือหนพายัพ ถัดจากนี้ต่อมาก็ถึงเมืองเทียนทอง (Tian-Tong) หรือเชียงทอง กำแพงเพชรหรือกำแพงเฉยๆ ซึ่งลางคนออกเสียงว่า กำแปง (Campingue) แล้วก็มาถึงเมืองนครสวรรค์ (Loconsevan) ชัยนาท (Tchainat) สยาม(๗) ตลาดขวัญ ตลาดแก้ว (Talapuou) และบางกอก. .(๘) สำหรับบริเวณอันเป็นที่ตั้งของตลาดแก้วในปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ตรงไหน แน่มีผู้สันนิษฐานว่าคงจะอยู่แถววัดปากน้ำ ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมืองนนทบุรี ขึ้นไป เมื่อสุนทรภู่แต่งนิราศภูเขาทอง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๑ ก็ปรากฏว่าตลาดแก้วได้เลือนลางไปแล้ว คงเหลือแต่เพียงตลาดขวัญเท่านั้น ดังปรากฏในนิราศภูเขาทองว่า ตลาดแก้วแล้วไม่เห็นตลาดตั้ง สองฟากฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา โอ้รินรินกลิ่นดอกไม้ใกล้คงคา เหมือนกลิ่นผ้าแพรดำร่ำมะเกลือ เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝง ทิ้งรักแซงแซมสวาดประหลาดเหลือ เหมือนโศกพี่ที่ช้ำระกำเจือ เพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย ถึงแขวงนนท์ชลมารคตลาดขวัญ มีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย ทั้งของสวนล้วนแต่เรือเรียงราย พวกหญิงชายชุมกันทุกวันคืน ตัวเมืองนนทบุรีแต่เดิมนั้นตั้งอยู่ที่ตำบลบางกระสอในปัจจุบันนี้ โดยมีวัดหัวเมือง (เดี๋ยวนี้เป็นวัดร้าง ทางราชการได้ใช้เป็นสถานที่สร้างโรงพยาบาลนนทบุรี) เป็นเขตเหนือ และ มีวัดท้ายเมืองเป็นเขตใต้ พ.ศ. ๒๐๘๑ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้โปรดให้ขุดคลองลัดจากคลองบางกรวย (แม่น้ำเจ้าพระยา) ริมวัดชะลอ ไปทะลุวัดมูลเหล็ก(๑) (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสุวรรณคีรี) พ.ศ. ๒๑๗๙ พระเจ้าปราสาททองโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองลัดตอนใต้วัดท้ายเมืองไปทะลุออกหน้าวัดเขมา(๒) เพราะแต่เดิมมาแม่น้ำเจ้าพระยาไหลวกเข้าแม่น้ำอ้อมมาทางบางใหญ่แล้ววกเข้าคลองบางกรวยข้างวัดชะลอ มาออกหน้าวัดเขมา เมื่อขุดคลองลัดแล้วกระแสน้ำเปลี่ยนทางเดินไหลเข้าคลองลัดที่ขุดใหม่ นานเข้าก็กลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาใหม่ดังปัจจุบันนี้ ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมก็ ตื้นเขินกลายเป็นคลองไป พ.ศ. ๒๒๐๘ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเห็นว่า ตามที่แม่น้ำเปลี่ยนทางเดินใหม่นั้น ทำให้ข้าศึกประชิดพระนครได้ง่าย จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมปราการตรงปากแม่น้ำอ้อม และโปรดให้ย้ายเมืองนนทบุรีมาอยู่ปากแม่น้ำอ้อมด้วย (ต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้รื้อป้อมและเมืองบางส่วน เพื่อนำอิฐไปสร้างวัดเฉลิมพระเกียรติ และบางส่วนก็ถูกกระแสน้ำ พัดเซาะพังทะลายลงน้ำไป ปัจจุบันเหลือแต่ศาลหลักเมืองเท่านั้น) นอกจากป้อมที่ปากแม่น้ำอ้อมแล้ว เข้าใจว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาคงจะได้มีการสร้างป้อมไม้เอาไว้ที่บริเวณวัดเฉลิมพระเกียรติในปัจจุบันนี้ด้วย เพราะปรากฏหลักฐานจากจดหมายเหตุรายวันของบาทหลวง เดอ ซัวซีย์ (Labbé de Choisy) ผู้ซึ่งเดินทางร่วมมากับคณะราชฑูตของพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ ที่เข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๘ ว่า .เช้าวันนี้เราผ่านป้อมที่ทำด้วยไม้ ๒ ป้อม ป้อมหนึ่ง ยิงปืนเป็นการคำนับ ๑๐ นัด อีกป้อมหนึ่ง ๘ นัด ที่นี่มีแต่ปืนครกเท่านั้น ดินปืนดีมากทีเดียว ป้อมทางขวามือเรียกป้อมแก้ว (Hale de Cristal) และป้อมทางซ้ายมือเรียกป้อมทับทิม (Hale de Rubis) ณ ที่นี้เจ้าเมืองบางกอกก็กล่าวคำอำลาและอ้างเหตุว่าได้ควบคุมเรือขบวนมาส่งจนสุดแดนที่อยู่ในความปกครอง ของเมืองบางกอกแล้ว แล้วก็ลาท่านราชฑูตกลับไป (๑) และใน ปี พ.ศ. ๒๒๓๐ เมื่อลาลูแบร์เป็นราชฑูตเข้ามากรุงศรีอยุธยาก็ได้กล่าวถึงป้อมไม้แห่งนี้ไว้ด้วย โดยเขียนเป็นแผนที่เอาไว้อย่างชัดเจน (โปรดดูแผนที่) ตามหลักฐานดังกล่าว จึงเข้าใจว่าป้อมแก้ว คงตั้งอยู่ ณ บริเวณตลาดแก้ว ส่วนป้อมทับทิมเข้าใจว่าคงตั้งอยู่ ณ บริเวณหน้าวัดเฉลิม พระเกียรติ ปัจจุบันนี้ พ.ศ. ๒๒๖๔ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ได้ทรงโปรดให้ขุดคลองลัดเกร็ด ที่อำเภอปากเกร็ด ดังปรากฏในหลักฐานในพงศาวดารว่า ในปีขาล จัตวาศก ทรงพระกรุณาโปรดให้พระธนบุรีเป็นแม่กอง เกณฑ์พลนิกายคนหัวเมืองปากใต้ให้ได้คน ๑๐,๐๐๐ เศษ ให้ขุดคลองเตร็ดน้อย ลัดคุ้งบางบัวทองนั้นคดอ้อมหนัก ขุดลัดตัดให้ตรงพระธนบุรีรับสั่งแล้วกราบบังคมลามาให้เกณฑ์พลนิกายในบรรดาหัวเมืองปากใต้ได้คน ๑๐,๐๐๐ เศษ ให้ขุดคลองเตร็ดน้อยนั้นลึก ๖ ศอก กว้าง ๖ วา ยาวทางไกลได้ ๓๙ เส้นเศษ ขุดเดือนเศษจึงแล้ว ..(๒) พ.ศ. ๒๓๐๗ ในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ได้มีเหตุการณ์สงครามเกี่ยวข้องกับจังหวัดนนทบุรี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเพียงเล็กน้อยคือเมื่อมังมหานรธาเป็นแม่ทัพพม่ายกทัพเข้าตีเมืองทวาย เมืองตะนาวศรีได้แล้วยกติดตามตีพวกมอญมาจนถึงเมืองชุมพรได้โดยสะดวก จึงมีความกำเริบคิดยกเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏในพงศาวดารว่า .ครั้น ณ เดือน ๗ มังมหานรธาให้แยงตะยุกลับขึ้นไปแจ้งราชการ ณ กรุงอังวะ แล้วจึงปรึกษากันว่า เรามาตีเมืองทวายได้ บัดนี้หามีผู้ใดจะต้านต่อฝีมือทแกล้วทหารเราไม่ ควรเราจะยกเข้าไปชิงเอาซึ่งเศวตฉัตร ณ กรุงเทพมหานคร ..... แล้วมังมหานรธาก็เดินทัพมุ่งเข้าตีกรุงศรีอยุธยาโดยลำดับ จนถึงเมืองนนทบุรี ซึ่งก็ถูกมังมหานรธาตีแตกเช่นเดียวกับเมืองรายทางอื่นๆ ดังพงศาวดารกล่าวว่า " ..ครั้ง ณ เดือน ๑๐ พม่ายกทัพเรือลงมาตีค่าย (บาง) บำรุแตก แล้วยกมาตีเมืองนนทบุรีได้.........(๓) เมื่อพม่าตีได้เมืองนนทบุรีแล้ว ขณะนั้นมีเรือกำปั่นอังกฤษเข้ามาค้าขายที่ธนบุรีจึงรับอาสาช่วยรบพม่า พม่าเอาปืนใหญ่ตั้งบนป้อมวิชาเยนทร์ ยิงโต้ตอบกับกำปั่นในที่สุดกำปั่นถอนสมอหนีไปอยู่ที่เมืองนนท์ เมืองนนทบุรีจึงเป็นยุทธภูมิระหว่างเรือกำปั่นอังกฤษกับพม่า ดังปรากฏในพงศาวดารว่า ..ฝ่ายทัพพระยายมราช ซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองนนท์นั้น ก็เลิกหนีขึ้นไปเสีย พม่าตั้ง (อยู่) เมืองธนบุรีแล้ว จึงแบ่งกันขึ้นมาตั้งค่าย ณ วัดเขมา ตำบลตลาดแก้วทั้งสองฟาก ครั้นเพลากลางคืนนายกำปั่น จึงขอเรือกราบมาชักสลุบล่องลงไป ไม่ให้มีปากเสียงครั้นตรงค่ายพม่า ณ วัดเขมาแล้ว ก็จุดปืนรายแคมพร้อมกันทั้งสองข้าง ฝ่ายพม่าต้องปืนล้มตายเจ็บลำบาก แตกวิ่งออกจากค่าย ครั้นน้ำขึ้นเพลาเช้า สลุบถอยมาหากำปั่น ซึ่งทอดอยู่ ณ ตลาดขวัญ ฝ่ายพม่าก็ยกเข้าค่ายเมืองนนทบุรี......."(๔) ประวัติความเป็นมาของประชากรในจังหวัดนนทบุรี ประชากรของจังหวัดนนทบุรีประกอบไปด้วยชนชาวไทยที่สืบเชื้อสายมาจากหลายเชื้อชาติมีทั้งไทย จีน มอญ แขก เป็นต้น ชนชาติไทยมีอยู่ทั่วไปทุกอำเภอ เป็นชนส่วนใหญ่ที่สุดของจังหวัด แต่เดิมอยู่ที่ใดมาจากไหน ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด รองลงไปเป็นเชื้อสายจีน ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าได้เข้ามาอยู่ในจังหวัดนนทบุรีตั้งแต่เมื่อใด สันนิษฐานว่าคงจะเข้ามาอยู่ตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี นอกจากนี้ ยังมีชนชาติที่อพยพเข้ามาภายหลังอีกสองเชื้อชาติ คือ ชาวไทยเชื้อสายมอญและชาวไทยเชื้อสายมลายู ชาวไทยสองเชื้อชาตินี้อพยพมาอยู่ในจังหวัดนนทบุรีตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาสมัยกรุงธนบุรี ตลอดจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังปรากฏหลักฐานในหนังสืออักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ดังนี้ ".. ในจังหวัดนี้มีชาวไทยที่สืบเชื้อสายมาจากมอญอยู่มากแถวอำเภอปากเกร็ด ตั้งแต่ปากคลองบางตลาดฝั่งเหนือลำแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านตะวันออกและตะวันตก ตำบลอ้อมเกร็ด เหนือคลองบางภูมิขึ้นไป รวมทั้งเกาะเกร็ดด้วย มีชาวไทยที่สืบเชื้อสายมาจากมอญ ซึ่งอพยพเข้ามาพึ่งบรมโพธิสมภารในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๗ คราวหนึ่งกับเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๘ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ อีกคราวหนึ่ง เรียกว่ามอญใหม่ โปรดให้แบ่งครอบครัวไปอยู่เมืองปทุมธานีบ้าง เมืองนนทบุรีบ้าง และเมืองนครเขื่อนขันธ์ ซึ่งบัดนี้เป็นอำเภอพระประแดง ขึ้นจังหวัดสมุทรปราการบ้าง ไทยอิสลามที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบางกระสอ และที่บ้านตลาดแก้ว ในตำบลบางตะนาวศรี อำเภอเมืองนนทบุรี มีเชื้อสายเป็นชาวปัตตานี มาอยู่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เฉพาะตำบลบาง กระสอต้นตระกูลได้เป็นแม่ทัพนายกองคนสำคัญของไทยหลายคน ไทยอิสลามที่ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด เป็นเชื้อสายชาวเมืองไทรบุรี เข้ามาอยู่ใน รัชกาลที่ ๓ ไทยชาวเมืองตะนาวศรี มีรายงานอำเภอสอบสวนได้ความว่า ได้เข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลบางตะนาวศรี อำเภอเมืองนนทบุรี ในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาสอมรินทร์ พ.ศ. ๒๓๐๒ ครั้งทัพไทยตั้งรวมพลอยู่ที่แก่งตูม นอกเขตไทยต้นแม่น้ำตะนาวศรี พม่ายกทัพจะมาตีชาวตะนาวศรี ก็หนีเข้ามา....(๑) ในด้านประวัติศาสตร์วรรณคดีที่กล่าวถึงเมืองนนท์ในอดีต กวีหลายท่านได้เดินทาง ผ่านคลองบางกอกน้อยไปตามคลองวัดชลอ แล้วไปตามแม่น้ำอ้อมจนถึงบางใหญ่ เข้าคลองบางใหญ่ ไปออกแม่น้ำนครชัยศรี บางท่านก็ผ่านเพียงคลองบางกอกน้อย คลองวัดชลอ ไปออกคลอง มหาสวัสดิ์ แล้วเกิดความบันดาลใจให้สร้างวรรณคดีประเภทนิราศอันไพเราะไว้หลายเรื่อง ในบทกวี ได้กล่าวถึงสถานที่สำคัญๆ ของเมืองนนท์ ไว้หลายแห่ง ซึ่งแสดงว่าสถานที่เหล่านี้อดีตเคยมี ความรุ่งเรืองมาในประวัติศาสตร์มาก่อนซึ่งจะกล่าวได้ดังต่อไปนี้ ๑. บางขวาง บางขวางเป็นชื่อคลองอยู่ในท้องที่อำเภอบางกรวย เรียกว่าคลองขวางแยกจากคลองมหาสวัสดิ์ ตรงข้ามวัดชัยพฤกษมาลา ไปบรรจบกับคลองบางระนก ถือว่าเป็นคลองประวัติศาสตร์สุนทรภู่เขียนไว้ในโคลงนิราศสุพรรณว่า บางขวางข้างเขตแคว้น แขวงนนท์ สองฟากหมากมะพร้าวผล พรรคไม้ หอมรื่นชื่นเช่นปน แป้งประ ปรางเอย เคลิ้มจิตคิดว่าใกล้ กลิ่นเนื้อเจือจันทร์ ฯลฯ และในนิราศพระประธมว่า ถึงบางขวางปางก่อนว่ามอญขวาง เดี๋ยวนี้นางไทยลาวแก่สาวสอน ทำยกย่างขวางแขวนแสนแสงอน ถึงนางมอญก็ไม่ขวางเหมือนนางไทย ๒. วัดชลอ เป็นชื่อตำบลและชื่อวัด ตั้งอยู่ริมคลองวัดชลอฝั่งใต้ในเขตอำเภอบางกรวยพระอุโบสถของวัดชลอแสดงเค้าว่าเป็นฝีมือเก่าถึงสมัยอยุธยา แต่ได้ซ่อมแซมบูรณะจนเปลี่ยนรูปไปมากแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ ทางวัดได้พบพระเจดีย์โลหะ ๒ องค์ บรรจุภายในซากเจดีย์เก่าเหนือพระอุโบสถ ซึ่งท่านเจ้าอาวาสได้มอบให้นำมาเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติแล้ว นายมี ครั้งเป็นหมื่นพรหมสมพัตสร ไปเก็บอากรที่เมืองสุพรรณเมื่อผ่านวัดชลอไปก็รำพึงไว้ในนิราศสุพรรณว่า บรรลุถึงวัดชลอก็รอจิต ใครช่างคิดชลอวัดไม่ขัดสน ถ้าไม่ชลอก็จะนั่งลงวังวน ชลอพ้นที่จะพังจึงยั่งยืน แต่ชลอจิตมนุษย์นี่สุดยาก เอาพรวนลากก็ไม่ไหวอย่าได้ขืน ใครขัดขวางน้ำใจเหมือนไฟฟืน ทั้งแผ่นพื้นภพไตรใจเหมือนกัน ฯลฯ เมื่อสุนทรภู่ผ่านหน้าวัดชลอตรงไปพระประธม ได้เขียนไว้ในนิราศพระประธมว่า วัดชะลอใครหนอชะลอฉลาด เจ้าอาวาสมาไว้ให้อาศัยสงฆ์ ช่วยชะลอวรลักษณ์ที่รักทรง ให้มาลงเรือร่วมนวมที่นอน ฯ ฯลฯ ๓. วัดโพบางโอ ทางฝั่งใต้ของลำคลองแม่น้ำอ้อม มีวัดอยู่หลายวัด เช่น วัดตะโหนด วัดโพบางโอ โดยเฉพาะที่วัดโพนี้ เป็นวัดโบราณอยู่ในตำบลบางขนุน อำเภอบางกรวย มีภาพเขียนสีเป็นเรื่องปริศนาธรรมที่ฝาผนังภายในพระอุโบสถ ซึ่งนับว่ามีแนวความคิดแปลกกว่าที่อื่นและมีภาพเขียนใส่กรอบติดไว้เหนือหน้าต่างพระอุโบสถ ภาพเขียนในกรอบเหล่านี้เป็นภาพชาวฝรั่งเศสเขียนลงบนกระจกใส ภาพชัดเจนแจ่มใส และงดงามน่าสนใจมาก หน้าบันพระอุโบสถเป็นเครื่องไม้จำหลักลวดลายและฝีมืองามเช่นกัน และมีตุ๊กตาหินพวกเซียนหรือตัวละครในวรรณคดีบานประตูพระอุโบสถด้านในเขียนภาพจับ และว่าท่านวัดเพลงเป็นผู้เขียนภาพจิตรกรรม คงจะหมายถึงอาจารย์นาค กรมหลวงเสนีบริรักษ์ (ต้นสกุล เสนีวงศ์) พระโอรสในกรมพระราชวังหลังทรงสร้างวัดนี้ในรัชกาลที่ ๓ และสกุลเสนีวงศ์ได้บูรณะปฏิสังขรณ์สืบต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๘๓ ได้ขอเปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดโพเสนี ๔. บางขนุน เป็นตำบลอยู่ริมคลองแม่น้ำอ้อมฝั่งใต้ ในเขตอำเภอบางกรวยมีคลอง บางขนุนแยกจากคลองแม่น้ำอ้อมเข้าไป ในคลองนี้มีวัดบางขนุน เป็นวัดโบราณ มีหอไตรเก่าภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ครั้นเมื่อสุนทรภู่ไปพระประธม ได้รำพึงถึงบางขนุนและบางขุนกองไว้ในนิราศพระประธม มีความอ้างอิงเชิงประวัติศาสตร์ ว่าเดิมชื่อ บางถนน มีมาตั้งแต่ครั้งท้าวอู่ทอง ดังนี้ บางขนุนขุนกองมีคลองกว้าง ว่าเดิมบางชื่อถนนเขาขนของ เป็นเรื่องหลังครั้งคราวท้าวอู่ทอง แต่คนร้องเรียกเฟือนไม่เหมือนเดิม ๕. บางนายไกร บางนายไกรอยู่ในเขตตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย มีคลองแยกจากคลองแม่น้ำอ้อมทางฝั่งตะวันตก เรียกว่า คลองบางนายไกร มีวัดบางนายไกรนอกตั้งอยู่ปากคลอง มีเคหสถานบ้านเรือนเป็นหลักฐานหนาแน่นมาก ท้องที่แถบนี้คงจะเป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสถานที่ ซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับวรรณคดีสำคัญเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง ไกรทอง ปรากฏว่า กวีเกือบทุกท่านที่ผ่านบางนายไกรมักไม่เว้นกล่าวถึง สุนทรภู่เมื่อไปพระประธม ก็ได้เขียนนิราศกล่าวถึงเรื่องราวของบางนายไกรไว้ว่า บางนายไกรไกรทองอยู่คลองนี้ ชื่อจึงมีมาทุกวันเหมือนมั่นหมาย ไปเข่นฆ่าชาละวันให้พลันตาย เป็นเลิศชายเชี่ยวชาญผ่านวิชา ได้ครอบครองสองสาวชาวพิจิตร สมสนิทนางตะเข้เสน่หา เหมือนตัวพี่นี้ได้ครองแต่น้องมา จะเกื้อหน้าพางามขึ้นครามครัน ฯ ๖. วัดปรางค์หลวง ตั้งอยู่ริมคลองแม่น้ำอ้อมฝั่งตะวันตกเหนือปากคลองบางค้อวัดนี้เป็นวัดโบราณ คงเก่าถึงสมัยอยุธยา ซึ่งกล่าวกันว่า พระเจ้าอู่ทองเป็นผู้ทรงสร้าง มีพระอุโบสถเก่าทรุดโทรมมาก กับมีพระปรางค์ใหญ่ก็ชำรุดทรุดโทรมและถูกขุดจนพรุน แต่ยังทรงลักษณะพอเห็นฝีมือ ก่อสร้างได้ ชาวบ้านแถบนั้นเล่าว่า เคยมีผู้ขุดได้พระและตะปูสังฆวานรที่เป็นของใช้ในการก่อสร้างสมัยอยุธยา พระปรางค์องค์นี้ยังคงมีทรงรูปนอกเป็นแบบระฆังทรงสูงเหลือไว้ให้เห็น ซึ่งทำให้ตัวพระปรางค์ดูสง่างาม พระปรางค์องค์นี้ก็เช่นกัน ได้ถูกน้ำมือของพวกทำลาย ศาสนา แสวงหาทรัพย์สมบัติ ทลายด้านหน้าของพระปรางค์ทั่วไปเสียส่วนหนึ่ง ส่วนอีกสามด้านนั้นมีพระพุทธรูปปูนปั้นจำหลักนูนสูงประดิษฐานอยู่ในซุ่มจระนำ พระพุทธรูปดังกล่าวมีความงดงามตามแบบศิลปอยุธยาโดยเฉพาะ กล่าวคือ มีความแข็งกร้าวของพระพุทธรูปสมัยอู่ทองผสมอยู่กับ แบบอันงดงามของศิลปสุโขทัย กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ทรงพรรณนาไว้ในนิราศพระประธม เรียกว่าวัดหลวง ดังนี้ วัดหลวงคิดคู่ร้าง เวียงหลวง ร้างศุขสิ่ง เกษมทรวง เสื่อมสิ้น มาเดียวอดูรดวง แดเด็ด สวาดิ์แม่ ยามดึกสดุ้งยุงริ้น เหลือบล้อมตอมกวน ฯ " ๗. บางสนาม บางสนามอยู่ทางฝั่งตะวันออกของคลองวัดชลอ เหนือวัดพิกุลขึ้นไปมีคลองแยกเข้าไปจากคลองวัดชลอ และมีวัดสนามนอกอยู่ปลายคลอง กรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงพระนิพนธ์เกี่ยวกับบางสนามไว้ในนิราศพระประธมว่าที่บางสนามนี้มีศาลเจ้า ซึ่งมีเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ ทรงอธิษฐานต่อเทพารักษ์ที่ศาลเจ้าบางสนามไว้ว่า มาลุศาลจ้าวปาก บางสนาม สนามเล่นสิ่งใดถาม ห่อนแจ้ง เทพารักษ์แถลงความ บอกหน่อย หนึ่งพ่อ สนามสนุกนี้เรียมแล้ง ขาดเศร้าเซาเขษม ฯ ศาลสถิตศักดิ์สิทธิ์ท้าว เทพา พ่อฤา เชิญผดุงกานดา แม่ด้วย ใครอย่าริเริ่มตุนา- หงันแม่ อีกแม่ แม้หลุดสุดมือม้วย สวาดิ์แล้วเผาศาล ฯ ๘. บางกรวย เป็นชื่อตำบล มีคลองบางกรวยแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ตรงข้ามวัดเขมาภิรตาราม มาต่อกับคลองวัดชลอที่ขุดในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เหนือวัดชลอ คลองบางกรวยนี้แต่เดิมก็เป็นตอนหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เมื่อขุดคลองใหม่ กระแสน้ำเปลี่ยนจากแม่น้ำอ้อม มาเดินทางหน้าวัดเฉลิมพระเกียรติ แม่น้ำเดิมจึงแคบและตื้นเขินกลายเป็นคลองไป เมื่อสุนทรภู่ผ่านมาถึงบางกรวย คราวไปสุพรรณใน พ.ศ. ๒๓๘๔ ได้รำพึงถึงภรรยาที่ชื่อนิ่ม ซึ่งเป็นชาวบางกรวย นิ่มได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ๙ ปี (คือตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๗๖) สุนทรภู่อธิษฐานให้นิ่มภรรยาไปสวรรค์ กล่าวไว้ในโคลงนิราศสุพรรณว่า บางกรวยกรวดน้ำแบ่ง บุญทาน ส่งนิ่มนุชนิพพาน ผ่องแผ้ว จำจากพรากพลัดสถาน ทั้งพี่ หนีเอย เห็นแต่คลองน้องแคล้ว คลาดเคลื่อนเดือนปี สุนทรภู่มีบุตรกับนิ่มคนหนึ่งชื่อ ตาบ ซึ่งต่อมาจนถึงรัชกาลที่ ๕ และเจริญรอยเป็นกวีตามบิดา มีเพลงยาวนิราศของนายตาบปรากฏอยู่ในคราวไปพระประธม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ ตาบก็ไปกับสุนทรภู่ด้วย ซึ่งท่านได้เขียนไว้ในนิราศพระประธมว่า เห็นคลองขวางบางกรวยระทวยจิต ไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมา โอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี แต่ก่อนกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราก จึงจำจากนิ่มน้องให้หมองศรี เคยไปมาหาน้องในคลองนี้ เห็นแต่ที่ท้องคลองนองน้ำตา จังหวัดนนทบุรีในรอบ ๒๐๐ ปี ของกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองนนทบุรีจะมีความเป็นมา หรือจะพัฒนาอย่างไรบ้างในรอบ ๒๐๐ ปี ของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ สิ่งที่พัฒนานั้นคงได้แก่ การปกครอง การเศรษฐกิจ การคมนาคม การศึกษา การศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และประเพณี การพัฒนาต่างๆ คงจะต้องดำเนินไปทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ในระยะเริ่มต้นตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ภาครัฐบาลอันได้แก่ องค์พระมหากษัตริย์ ยังคงมีพระราชภารกิจหลายด้าน อาทิ การสร้างกรุง การสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งด้านการ พระราชไมตรี และการสงคราม ตลอดทั้งการทำนุบำรุงประเทศประการอื่นๆ โดยส่วนรวมการจะพัฒนาเมืองนนทบุรีอันเป็นเมืองขนาดเล็กคงทำได้น้อย จึงไม่ใคร่พบหลักฐานเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองนนทบุรีทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๔ ในรัชกาลต่อๆ มาเมืองนนทบุรีจึงค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับอาจกล่าวได้ว่า เมืองนนทบุรีพัฒนารวดเร็ว รุดหน้า และมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ ๙ นี้เองซึ่งจะกล่าวถึงโดยแบ่งช่วงเวลาตามรัชสมัยขององค์พระมหากษัตริย์ดังต่อไปนี้ สมัยรัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๔ (พ.ศ. ๒๓๒๕ - พ.ศ. ๒๔๑๑) รัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พ.ศ. ๒๓๒๕ - พ.ศ. ๒๓๕๒ รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ. ๒๓๕๒ - พ.ศ. ๒๓๖๗ รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๓๖๗ - พ.ศ. ๒๓๙๔ รัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๓๙๔ - พ.ศ. ๒๔๑๑ เมืองนนทบุรีในสมัยรัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๔ จัดอยู่ในประเภทหัวเมืองปักษ์ใต้เป็นเมืองขึ้นของกรมท่า(๑) ชื่อเมืองนนทบุรีศรีมหาสมุทร ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ ครั้งแรกเปลี่ยนเป็นเมืองนนทบุรีศรีมหาอุทยาน ผู้ว่าราชการเมือง คือ พระนนทบุรีศรีมหาอุทยาน ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นพระนนทบุรีศรีเกษตราราม หลวงปลัด ได้แก่ หลวงสยามนนทเขตต์ขยันปลัด ทรงเห็นว่าในแขวงเมืองนนทบุรีมีชาวรามัญตั้งบ้านเรือนอยู่มาก จึงตั้งหลวงรามัญเขตต์คดี ปลัดรามัญขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่ง เนื่องจากกฎหมายที่ใช้ในการปกครองประเทศนี้ ใช้สืบต่อกันมาแต่รัชกาลที่ ๑ จึงขอคัดลอกข้อความบางตอนเกี่ยวกับหน้าที่ของผู้ปกครองหัวเมือง ซึ่ง วนิดา สถิตานนท์ เขียนไว้ในหนังสืออ่านเพิ่มเติมระดับประถมศึกษา เรื่อง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ดังนี้ พระเจ้าอยู่หัวตรัสสั่งให้ไปรั้งเมือง ครองเมือง ให้รักษาพยาบาลไพร่ฟ้าข้าไทท่านแลให้รับรองสุขทุกข์ราษฎรทั้งปวงและรักษาถิ่นฐานบ้านนอกขอบชนบท มิให้มีโจรผู้ร้ายแลคนกรรโชกราษฎร ถ้าผู้รั้งเมือง ผู้ครองเมือง ผู้ใดรักษาได้ ท่านว่ามีบำเหน็จในแผ่นดิน ถ้าแลโจรผู้ร้ายกรรโชกราษฎรเกิดชุกชุมขึ้นเหลือกำลังระงับมิได้ ก็ให้บอกมายังลูกขุน ณ ศาลาให้บังคมทูลแต่สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว จึงจะพ้นโทษ ถ้าแลผู้รั้งเมือง ผู้ครองเมืองมิได้กำชับจับกุม ละเลยให้โจรและผู้กรรโชกราษฎรชุกชุมขึ้นได้ ท่านว่าผู้นั้นละเมิด ต้องในระวางกรรโชกให้ลงโทษ ๖ สถาน การเศรษฐกิจของชาวเมืองนนทบุรีในสมัยนั้น คงขึ้นอยู่กับอาชีพการเพาะปลูกทำนา ทำสวน เป็นพื้น การคมนาคมคงใช้ทางน้ำเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการค้าขาย หรือการไปมาหาสู่ หลักฐานที่พอจะอ้างได้ ได้แก่ นิราศต่างๆ ของสุนทรภู่ ซึ่งจะขอคัดบางตอนมากล่าวไว้ จากนิราศพระบาท ซึ่งแต่งเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๓๕๐ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ขณะเดินทางผ่านบางซ่อน เข้าเขตเมืองนนทบุรี กล่าวไว้ดังนี้ ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอก ตระหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปราง ต้องน้ำค้างช่อชุ่มเป็นพุ่มพวง และอีกตอนหนึ่ง กล่าวว่า ถึงแขวงแควแพตลอดตลาดขวัญ เป็นเมืองจันตะประเทศรโหฐาน ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน เรือขนานจอดโจษกันจอแจ พินิจนางแม่ค้าก็น่าชม ท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่ ... จากนิราศวัดเจ้าฟ้า ซึ่งสุนทรภู่แต่งเป็นของเณรหนูพัด ผู้บุตร เขียนไว้เมื่อครั้งยังอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเดินทางไปวัดแก้วฟ้า ที่อยุธยา ราว พ.ศ. ๒๓๗๕ กล่าวไว้ว่า ตลาดแก้วแล้วแต่ล้วนสวนสล้าง เป็นชื่ออ้างออกนามตามวิสัย จากโคลงนิราศสุพรรณ แต่งไว้ราว พ.ศ. ๒๓๘๔ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ สุนทรภู่เดินทางผ่านทางคลองบางกอกน้อย เลี้ยวเข้าคลองบางใหญ่ ก็ได้กล่าวถึงสภาพของเมืองนนท์ทางฝั่งตะวันตกไว้หลายประการ ดังนี้ บางศรีทองคลองบ้านเท่า เจ้าคลอง สีเพชผัวสีทอง ถิ่นนี้ เลื่องฦาชื่อเสียงสนอง สำเหนียก นามเอย คลองคดลดเลี้ยวชี้ เช่นไสร้สีทอง ล่วงทางบางบ้านเรียด ริมชลา สองฝั่งพรั่งพฤกษา สลับสล้าง ไม้ปลูกลูกดอกดา ดกดาศ กลาดเอย ทรงกลิ่นรินรื่นข้าง ขอบคุ้งฟุ้งขจร ฯ และอีกตอนหนึ่ง กล่าวว่า บางกร่างข้างคุ้งค่าม เขตคลอง บางขนุนขุนกอง ก่อสร้าง หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:15:29 นนทบุรี ๒
ของสวนส่วนเจ้าของ ขายน่า ท่าเอย สาวแก่แม่หม้ายบ้าง บกน้ำลำเรือ ฯ โรง..เซนเซอร์..บหนีบอ้อยออด แอดเสียง สองข้างรางรองเรียง รับน้ำ อ้อยไส่ไล่ควายเคียง คู่วิ่ง เวียรเอย อกพี่นี้ชอกช้ำ เช่นอ้อยย่อยรยำ สุนทรภู่กล่าวถึงบางคูเวียงตลอดถึงบางใหญ่ไว้ดังนี้ บางคูเวียงเสียงสงัดล้วน สวรไสว เวียงชื่อครีท้าวไท ท่านตั้ง เวียงราชคลาศแคล้วไกล กลับระลึก นึกเอย ยามยากจากเมืองทั้ง ถิ่นปลื้มลืมกเษม ฯ บางม่วงทรวงเศร้าคิด เคยชวน ม่วงเกบมม่วงสวน ศุกร - ย้า ม่วงอื่นรื่นรันจวน จิตไม่ ใคร่แฮ ม่วงหม่อมหอมห่วนหน้า เสน่ห์เนื้อเจือจรร ฯ ฯลฯ ล่วงทางบางใหญ่บ้าน ด่านคอย เลี้ยวล่องคลองเล็กลอย เลื่อนช้า สองฝั่งพรั่งพฤกษ์พลอย เพลินชื่น ชมแฮ แลเหล่าชาวสวนหน้า เสน่ห์น้องครองสนอม ฯ คลองคดเลี้ยวลดล้วน หลักตอ เกะกระเรือรอ ร่องน้ำ คดคลองช่องแคบพอ พายถ่อ พ่อเอย คนคดลดเลี้ยวล้ำ กว่าน้ำลำคลอง ฯ ล่วงย่านบ้านวัดร้าง เรือนโรง ตกทุ่งถึงคลองโยง หย่อมไม้ วัดใหม่ธงทองโถง ที่ติด ตื้นแฮ ควายลากฝากเชือกไขว้ เคลื่อนคล้อยลอยเสน ฯ " จากนิราศอีกเรื่องหนึ่ง คือ นิราศพระประธม สุนทรภู่แต่งเมื่อครั้งเดินทางไปมนัสการ พระประธม ที่จังหวัดนครปฐม ราว พ.ศ. ๒๓๘๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เช่นกัน สุนทรภู่เดินทางโดยทางเรือจากวัดระฆัง เข้าคลองบางกอกน้อย ผ่านบางกรวย บางใหญ่ เข้าคลองบางใหญ่ออกคลองโยงไปสู่นครปฐม เส้นทางที่ผ่านเมืองนนทบุรี เป็นเส้นทางเดียวกับที่จะไปสุพรรณบุรี แต่การบรรยายถึงสภาพเมืองนนท์ในนิราศพระประธม ละเอียดกว่านิราศสุพรรณบุรี เช่น กล่าวถึง วัดชะลอ, วัดบางอ้อยช้าง, วัดสัก, บางขุนกอง, บางนายไกร และคลองบางระนก เป็นต้นเห็นจะเป็นเพราะแต่งเป็นกลอนจึงบรรยายได้ดีกว่าโคลง ท่านที่สนใจควรลองอ่านดูทั้งเรื่อง จะได้ทั้งอรรถรสของภาษา และความรู้เชิงภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ในสมัยนั้นไว้ประดับสติปัญญา จะขอนำมากล่าวอ้างไว้บางตอนดังนี้ บางขนุนขุนกองมีคลองกว้าง ว่าเดิมบางชื่อถนนเขาขนของ เป็นเรื่องหลังครั้งคราวท้าวอู่ทอง แต่คนร้องเรียกเฟือนไม่เหมือนเดิม ฯลฯ ถึงคลองขวางบางระนกโอ้อกพี่ แม้นปีกมีเหมือนหนึ่งนกจะผกผัน ไปอุ้มแก้วแววตาพาจรัล มาด้วยกันทั้งคู่ที่อยู่ริม ในปัจจุบันนี้ คลองบางระนกก็ยังคงมีอยู่ ท่านที่เคยนั่งเรือผ่านไปในคลองจะพบว่ายังคง มีบ้านที่ปลูกในลักษณะทรงไทยเหลืออยู่หลายหลัง แสดงว่าถิ่นนี้เป็นแหล่งชุมชนที่อาศัยกันมายั่งยืน จากนิราศต่างๆ ที่อ้างมาล้วนแสดงว่า ชาวเมืองนนท์ได้ประกอบอาชีพทางทำสวนผลไม้มานานแล้ว มีข้อสังเกตคือ กวีมิได้กล่าวถึง ทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้มีชื่อที่มีชื่อเสียงของเมืองนนท์อาจเป็นเพราะในสมัยนั้น จะยังไม่นิยมปลูกทุเรียนกันนัก แต่กวีอีกผู้หนึ่งคือ นายมี ซึ่งแต่งนิราศสุพรรณ ไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๓ ขณะเดินทางถึงบางใหญ่ได้พรรณนาถึงผลไม้ไว้หลายชนิดและได้กล่าวถึงทุเรียนไว้ด้วย ดังนี้ รำพันพลางทางมาถึงบางใหญ่ พิศดูหมู่ไม้ในสวนศรี ม่วงทุเรียนมังคุดละมุดมี ทั้งลิ้นจี่ลำไยมะไฟเฟือง มะปรางปริงกิ่งแปล้แต่ละต้น เป็นพวงผลสุกงามอร่ามเหลือง ลูกไม้สวนสารพัดไม่ขัดเคือง เป็นผลเนื่องตามฤดูไม่รู้วาย ฯลฯ อาชีพอย่างหนึ่งของชาวเมืองนนท์ที่นักกวีกล่าวถึง ได้แก่ การ..เซนเซอร์..บอ้อย แสดงว่ามีการ ปลูกอ้อย และการทำน้ำตาลอ้อยกันมานานแล้ว โรง..เซนเซอร์..บเดิมอยู่ฝั่งทางตะวันออกของคลองแม่น้ำอ้อมแต่ปัจจุบันนี้มีอยู่ทางฝั่งตะวันตก ใช้เครื่องจักรแทนเครื่อง..เซนเซอร์..บอ้อยแต่โบราณซึ่งใช้แรงควายหมุนในปัจจุบันมีโรงงานทำน้ำตาลอ้อยที่ทันสมัยเกิดขึ้นมากในจังหวัดต่างๆ อาชีพทำน้ำตาลอ้อยของชาวบางศรีทองบางคูเวียง จึงเหลือเพียงเล็กน้อย บทกวีที่กล่าวถึงโรง..เซนเซอร์..บอ้อยของจังหวัดนนทบุรี เช่นเมื่อคราวสุนทรภู่เดินทางไปพระประธม ก็เขียนไว้ในนิราศพระประธม ว่า เห็นโรง..เซนเซอร์..บหนีบอ้อยเขาคอยป้อน มีคนต้อนควายตวาดไม่ขาดเสียง เห็นน้ำอ้อยย้อยรางที่อ่างเรียง โอ้พิศเพียงชลนาที่จาบัลย์ ในช่วงระยะเวลารัชสมัยขององค์พระมหากษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์นี้ สันนิษฐานได้ว่าการจัดการศึกษาคงมีแต่เพียงในวัดเป็นส่วนใหญ่ พระสงฆ์เป็นผู้สั่งสอนอบรมแก่ชายที่บวชหรือผู้ที่ปรนนิบัติพระ ผู้หญิงยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน เพราะในสมัยนั้นยังไม่ได้ส่งเสริมการศึกษากันอย่างกว้างขวาง ส่วนการศาสนาก็คงจะมีลักษณะไม่ต่างจากปัจจุบันเท่าใดนัก กล่าวคือ คนไทยส่วนมาก นับถือศาสนาพุทธ พอใจในการทำบุญสุนทร์ทาน การสร้างวัด สังเกตได้ว่า วัดในจังหวัดนนทบุรีมีวัดเก่าแก่อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด อำเภอบางกรวย และอำเภอบางใหญ่ วัดส่วนมากตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ลำคลอง บางแห่งตั้งอยู่ติดๆ กัน เช่น ที่คลองบางกอกน้อย และคลองอ้อม วัดสำคัญที่ควรกล่าวถึงได้แก่ ๑. วัดเขมาภิรตาราม อยู่ตำบลสวนใหญ่ (เหนือตลาดแก้ว) ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตรงปากคลองบางกรวยข้าม เดิมชื่อ วัดเขมา เป็นวัดโบราณ สร้างครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ ทรงสถาปนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ ครั้นสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิสังขรณ์ ทรงต่อสร้อยนามวัดว่า วัดเขมาภิรตาราม วัดนี้จึงจัดเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ซึ่งจะกล่าวถึงโดยละเอียดในบทต่อไป ๒. วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกใต้ปากคลองอ้อมเยื้องกับศาลากลางจังหวัดนนทบุรีในปัจจุบัน วัดนี้สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่ออุทิศพระราชทานสมเด็จพระศรีสุลาไลยพระบรมราชชนนี แต่ยังไม่สำเร็จ ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้างเพิ่มเติมจนสำเร็จบริบูรณ์ สมดังที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ วัดนี้ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นโท จะขอกล่าวถึงโดยละเอียดในบทต่อไป ทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมของชาวเมืองนนทบุรีนั้น ศิลปะที่นับว่าเด่นน่าจะได้แก่ งานจิตรกรรมฝาผนัง และการก่อสร้างโบสถ์ของวัดเก่าแก่บางวัด ซึ่งตอนหนึ่งจากบทความการวิจัยงานศิลปโบราณของไทย ศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี ได้กล่าวว่า (๑) ........วัดลางวัด เช่น วัดปราสาท และวัดชมภูเวก นั้น มีงานจิตรกรรมฝาผนังสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๒๓ และ ๒๔ ผลจากการสำรวจ ท้องถิ่นต่อมา เราจึงตระหนักถึงความสำคัญของงานจิตรกรรมของท้องถิ่นเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ งานจิตรกรรมของวัดปราสาท ซึ่งยังมีสภาพดีกว่าแห่งอื่น และแสดงให้เห็นถึงลักษณะพิเศษของ สกุลช่างนนทบุรี อย่างแจ้งชัด พระอุโบสถของวัดปราสาทสร้างขึ้นในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ บริเวณผนังภายในมีภาพเขียนบรรยายถึงเรื่องชาดกตกแต่งอยู่ทั่วไปอย่างงดงาม โครงการสีของภาพเขียนเป็นสีแดงและ สีขาว ดูเหมือนมีความสัมพันธ์กันใกล้ชิดกับภาพเขียนของวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี จากภาพเขียนที่วัดปราสาท ทำให้เราเกิดความคิดที่แน่นอนเกี่ยวกับความเป็นลักษณะโดยเฉพาะของสกุลช่างนนทบุรื ซึ่งแตกต่างไปจากภาพเขียนของสกุลช่างรัตนโกสินทร์อย่างไม่สงสัย . เล่ากันว่า เป็นวัดที่พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างขึ้น ลักษณะทรวดทรงคล้ายกับที่พระอุโบสถวัดเกาะแก้วสุภาราม จังหวัดเพชรบุรี ศิลปะอีกด้านหนึ่งที่ควรกล่าวถึงคือ ฝีมือการทำเครื่องปั้นดินเผาของชาวบ้านบางตะนาวศรี (ปัจจุบัน ตำบลสวนใหญ่) มีผู้สันนิษฐานว่า นักปั้นหม้อชาวบางตะนาวศรี อาจจะสืบเชื้อสายมาจากชาวบ้านหม้อคลองสระบัว จังหวัดพระนครศรีอยุธยาก็ได้ โดยเมื่อครั้งกรุงแตก ราว พ.ศ. ๒๓๑๐ ชาวบ้านแถบนั้นบางส่วนได้อพยพหนีภัยจากพม่าลงมาทางใต้ มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา สมทบกับชาวบางตะนาวศรีเดิมที่อพยพมาจากทางตอนใต้ของพม่า เมื่อราว พ.ศ. ๒๓๐๒ แล้วมาประกอบอาชีพการทำเครื่องปั้นดินเผาตามความถนัด ฝีมือการปั้นหม้อดินเผาของชาวบ้านบางตะนาวศรีนับว่าประณีต งดงาม น่าดู น่าใช้ กว่าของท้องถิ่นอื่น จัดเป็นงานศิลปหัตถกรรมที่ขึ้นชื่อของชาวเมืองนนท์เป็นเวลาช้านาน จนในสมัยต่อมา จังหวัดนนทบุรีได้ใช้ภาพหม้อน้ำลายวิจิตรเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดตราบเท่าทุกวันนี้ สมัยรัชกาลที่ ๕ - รัชกาลที่ ๘ (พ.ศ. ๒๔๑๑ - พ.ศ. ๒๔๘๙) รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๑๑ - พ.ศ. ๒๔๕๓ รัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๕๓ - พ.ศ. ๒๔๖๘ รัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๖๘ - พ.ศ. ๒๔๗๗ รัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พ.ศ. ๒๔๗๗ - พ.ศ. ๒๔๘๙ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงปรับปรุงระเบียบการปกครองประเทศใหม่ กล่าวคือการบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลาง ทรงตั้งเป็นกระทรวงต่างๆ อย่างรูปแบบปัจจุบัน ส่วนการปกครองส่วน ภูมิภาค พระองค์รวมเมืองต่างๆ เข้าเป็นกลุ่ม เรียกว่า มณฑล ซึ่งก็ปรากฏว่าเมืองนนทบุรีขึ้นอยู่กับมณฑลกรุงเทพ ในสมัยนี้ได้ย้ายศาลากลางจังหวัดจากฝั่งขวา ของแม่น้ำเจ้าพระยามาตั้งที่ฝั่งซ้าย ด้านใต้ปากคลองบางซื่อ ซึ่งเป็นท่าเรือตลาดขวัญจนถึง สมัยรัชกาลที่ ๗ จึงย้ายศาลากลางจังหวัดอีก เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองต่างๆ ในลักษณะการ ประพาสต้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงนิพนธ์ไว้เป็นจดหมายเหตุ ทรงทำเป็นสำนวนของนายทรงอานุภาพ เขียนจดหมายถึงนายประดิษฐ์ ซึ่งเป็นเพื่อน เล่าเรื่องการประพาสต้นให้เพื่อนฟัง จากจดหมายฉบับที่ ๒ ในหนังสือ จดหมายเหตุเรื่องประพาสต้น ในรัชกาลที่ ๕ กล่าวถึงเมืองนนทบุรีไว้ดังนี้ เสด็จออกจากบางปะอิน เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๓ ล่องมาตามลำแม่น้ำ เรือฉันมาล่วงหน้า ทราบว่าเสด็จประทับวัดปรมัยยิกาวาส ครู่หนึ่ง แล้วเลยประพาสสวนสะท้อนของ นายบุตรที่แม่น้ำอ้อม แขวงเมืองนนทบุรี ว่ามีสะท้อนอย่างดีๆ ที่สวนนั้นมากกำลังสะท้อนออกผล เจ้าของสวนเชิญเสด็จเก็บสะท้อน ทราบว่าเป็นที่พอพระราชหฤทัย แลทรงพระกรุณาแก่เจ้าของสวนมาก เวลาเย็นเสด็จมาประทับแรมที่หน้าวัดเขมา จอดเรือพระที่นั่งเข้ากับสะพานหน้าวัดอย่างเราไปเที่ยวกัน ใช้ศาลาน้ำหน้าวัดเป็นท้องพระโรง ไม่มีพลับพลาฝาเลื่อนอย่างใด เจ้าพนักงานเจ้าของท้องที่ ก็ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่า จะเสด็จมาประทับแรมที่นั้น การล้อมวงกงกำจัดกันตามแต่จะทำได้ ดูก็สนุกดี จนเวลา ๒ ทุ่มเศษ กรมหลวงนเรศร์ เสนาบดีกระทรวงนครบาล จึงเสด็จไปถึง ได้ยินรับสั่งว่า อาสน์แข็งๆ กันไม่รู้ พอรู้ก็รีบมาจะต้องนั่งอยู่ยังรุ่ง .. ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงสร้างพระอารามหลวงเพิ่มขึ้นมาอีกวัดหนึ่ง คือ วัดปากอ่าวเป็นวัดไทยรามัญ ตั้งอยู่ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ สร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ทั้งพระอารามเพื่ออุทิศถวายแด่พระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า วัดปรมัยยิกาวาส ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตลอดจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ เมืองนนทบุรีได้พัฒนาขึ้นมาอย่างช้าๆ สภาพโดยส่วนรวมจะเป็นเช่นไรนั้น ใคร่จะขอคัดหนังสือของพระกรุงศรีบริรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองนนทบุรีในสมัยรัชกาลที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๕๘) มีไปถึงพระมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยายมราชเสนาบดีกระทรวงนครบาลในสมัยนั้น ตามคำขอร้องที่ว่าต้องการให้เป็นประโยชน์แก่นักเรียนโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ความมีดังนี้ ภูมิศาสตร์เฉพาะเมืองนนทบุรี ๑. ว่าด้วยภูมิประเทศ เมืองนนทบุรีตั้งศาลากลางเมืองอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงปากคลองแม่น้ำอ้อมข้ามใต้หมู่บ้านตลาดขวัญ ใต้เมืองเดิมประมาณ ๑๐ เส้น เมืองนนทบุรีแต่เดิมเป็นดินแดนระหว่างเมืองธนบุรี (กรุงเทพ) แลเมืองสามโคก (เมืองปทุมธานี) เหตุที่จะตั้งเมืองนนทบุรีขึ้น ปรากฏตามพระราชพงศาวดารดังนี้ คือ เมื่อจุลศักราช ๙๐๕ ปี พ.ศ. ๒๑๘๖ แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ มีศึกพม่ามาติด พระนคร เมื่อพม่าข้าศึกยกรี้พลกลับไปแล้ว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชได้ตรัสว่า ไพร่บ้านพลเมืองตรีจัตวาปักษ์ใต้เข้าพระนครครั้งนี้น้อยนัก หนีอยู่ป่าดงห้วยเขาต้อนไม่ได้เป็นอันมาก ให้เอาบ้านท่าจีนตั้งเป็นเมืองสมุทรสาคร ให้เอาบ้านตลาดขวัญตั้งเป็นเมืองนนทบุรีแบ่งเอาแขวงเมืองราชบุรี เมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครไชยศรี มีข้อความตามพระราชพงศาวดาร ดังนี้ อาณาเขตเมืองนนทบุรีแต่เดิมมา ด้านตะวันออกและด้านใต้ ติดต่อกับกรุงเทพด้านตะวันตกติดต่อกับนครปฐม ด้านทิศเหนือติดต่อกับเมืองปทุมธานี แต่อาณาเขตในเวลานี้ด้านตะวันตกแลด้านเหนือเปลี่ยนรูปจากอาณาเขตเดิมด้วยเหตุผล เมืองที่ขึ้นอยู่ในเมืองนนท์ได้ทำนารุกที่ป่าทุ่ง ฝั่งตะวันตกออกไปจนแดนกระทุ่มหลักไชย แลกระทุ่มช้างสี พ้นป่ากระทุ่มมืดออกไปโอบเมืองปทุมไปทางทิศเหนือ นับว่าอาณาเขตได้รุกเข้าไปในแดนของเมืองนครปฐม เมืองปทุม แลกรุงเก่าอาณาเขตที่เปลี่ยนแปลงใหม่ จึงคงเป็นดังนี้ คือ ด้านตะวันออกและด้านใต้ ติดต่อกับกรุงเทพ พรมแดนกันที่คลองเปรมประชากรคนละ ฝั่งคลองเปรม จับตั้งแต่สถานีหลักหกจนถึงสถานีบางเขนตอนหนึ่ง ด้านใต้จับตั้งแต่สถานีบางเขนตรงไปตามลำคลองบางเขน ออกปากคลองล่องลงไปข้ามฟากเข้าคลองวัดละมุดไปออกคลองวัดพิกุล เข้าคลองสวนแดนไปประจบทางรถไฟสายเพชรที่สุดเพียงคลองวัฒนา ไปเข้าคลองนราภิรมย์ กินขึ้นไปบนทุ่งวัดเทพเฉลิม วกไปตามคลองเจ้า คลองขุนศรี ไปออกลำลาดสวายตัดตรงไปกระทุ่มหลักไชย ด้านเหนือพรมแดนกับกรุงเก่า ตั้งแต่ปลายคลอง ๒ หม่อมแช่ม ตัดตรงตามทุ่งนาตามคลอง ๑ แลคลองขุนศรี เป็นหมดเขตกรุงเก่าเข้าเขตปทุม โอบเมืองปทุมตามทุ่งนา ตามลำกล่ำ ตัดตรงมาวัดกระโจม มาคลองบางตะไนย ออกปากคลองคนละฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาปั่นกันที่คลองบ้านใหม่ตลาดเนื้อ ใต้วัดเทียนถวาย ตามลำคลองมาตกคลองเปรมประชากร เขตแดนใหม่เป็นดังที่กล่าวมานี้ เมืองนนทบุรีแบ่งเป็น ๔ อำเภอ ๔๙ ตำบล ๗๗๕ หมู่บ้าน อำเภอตลาดขวัญ ตั้งอยู่ที่ใต้บ้านตลาดขวัญ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีตำบล ๑๕ ตำบล ๒๖๗ หมู่บ้าน อำเภอบางบัวทอง ตั้งที่ว่าการอำเภอที่ปากคลองพระราชาภิมณฑ์ มีตำบล ๑๔ ตำบล หมู่บ้าน ๒๒๓ หมู่บ้าน อำเภอบางใหญ่ ตั้งที่ว่าการอำเภอวัดชลอ ปากคลองบางกรวยมีตำบล ๑๐ ตำบล หมู่บ้าน ๒๑๗ หมู่บ้าน อำเภอปากเกร็ด ตั้งที่ว่าการอำเภอวัดสนามไชย มีตำบล ๑๐ ตำบล หมู่บ้าน ๑๖๘ หมู่บ้าน เขตแดนติดต่อระหว่างอำเภอตลาดขวัญ พรมแดนกับอำเภอปากเกร็ด ที่คลองบางตลาด พรมแดนกับอำเภอบางบัวทองที่คลองบางรักใหญ่ พรมแดนกับอำเภอบางใหญ่คนละฝั่งคลองอ้อมมาออกคลองบางกรวย อำเภอปากเกร็ด พรมแดนกับอำเภอบางบัวทอง ที่คลองลำโพ อำเภอบางบัวทอง พรมแดนกับอำเภอบางใหญ่ ที่คลองบางใหญ่ แม่น้ำลำคลองในเมืองนนทบุรี เป็นแม่น้ำสำคัญเกี่ยวด้วยการไปมาค้าขายแลการเดินเรือแพ แม่น้ำบางตอนเป็นแม่น้ำที่ขุดขึ้นเป็นทางลัด แต่โดยเหตุที่สายน้ำเดินตรง น้ำจึงแรงกัดเอาเป็น แม่น้ำเหมือนกับแม่น้ำที่ไม่ได้ขุด แม่น้ำเจ้าพระยาเดิมนั้นคือลำแม่น้ำอ้อมที่เรียกกันว่า คลองอ้อมตรงหน้าเมืองนนท์เดี๋ยวนี้ไปออกคลองบางกรวยเหนือวัดลุ่ม ส่วนแม่น้ำตั้งแต่คลองอ้อมตรงไปวัดเขมานั้นเป็นทางลัด ได้ขุดขึ้นเมื่อจุลศักราช ๙๘๘ ปี พ.ศ. ๒๑๖๙ แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปราสาททอง แม่น้ำตอนตั้งแต่วัดชลอไปวัดขี้เหล็กนั้น ได้ขุดเมื่อจุลศักราช ๙๐๐ พ.ศ. ๒๐๘๑ แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ คลองลัดเกร็ดนั้นขุดเมื่อจุลศักราช ๑๐๔๘ แผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ปรากฏตาม พระราชพงศาวดารว่า ขุดกว้าง ๖ วา ลึก ๖ ศอก ยาว ๒๙ เส้น พระชลบุรี ผู้ว่าราชการเมืองชล เป็นแม่กองขุด ขุดอยู่ปีเศษจึงสำเร็จ ลำคลองอ้อมหรือแม่น้ำอ้อม มีคลองสำคัญๆ ที่เป็นทางเชื่อมการไปมาค้าขายหลายคลอง แต่คลองเหล่านี้จะใช้ได้เฉพาะฤดูหน้าน้ำ คลองที่นับว่าเป็นทางเชื่อมแม่น้ำลำคลองอื่น คือ คลองบางรักใหญ่ ปากคลองอยู่ที่ลำคลองอ้อม อยู่ทิศตะวันตกของบ้านบางพลูห่างบ้าน บางพลูประมาณ ๓๐ เส้น คลองนี้ลัดไปออกคลองบางบัวทอง ใกล้กว่าที่จะไปทางแม่น้ำ ประมาณ ๒๐๐ เส้น คลองบางใหญ่ ปากคลองอยู่ที่ลำแม่น้ำอ้อม ใกล้วัดค้างคาว เป็นคลองตรงไปออกคลอง นราภิรมย์ และถ้าจะไม่ไปทางคลองนราภิรมย์ ไปออกแม่น้ำสุพรรณที่ตรงวัดลานตากฟ้าเหนือคลองกระทุ่มเมืองก็ได้ คลองบางคูเวียง ปากคลองอยู่ที่ลำแม่น้ำอ้อม ใกล้วัดยุคันธร์ คลองนี้ไปออกคลอง มหาสวัสดิ์ใต้สถานีธรรมสพน์ก็ได้ ไปออกคลองวัดไผ่ ไปออกวัดบ้านช่างเหล็ก คลองบางกอกใหญ่ ก็ได้ แต่การที่จะไปทางนี้ระยะทางพอกันกับที่จะเดินทางแม่น้ำใหญ่ ส่วนไปทางคลองนราภิรมย์ไปออกสถานีศาลาธรรมสพน์นั้นย่นระยะทางได้กว่า ๒๕๐ เส้น คลองบางราวนก ปากคลองอยู่ที่ลำแม่น้ำอ้อม ใต้ปากคลองบางคูเวียงสัก ๓๐ วา คลอง บางราวนกนี้ไปออกคลองวัดไผ่ที่วัดใหม่ หรือจะมาออกทางคลองขื่อขวางวัดไชยพฤกษ์ก็ได้ คลองบางสีทอง ปากคลองอยู่ตรงหน้าที่ว่าการอำเภอบางใหญ่ข้าม เป็นคลองลัดมาออก ลำแม่น้ำใหญ่ ตรงหน้าโรงเรียนราชวิทยาลัยบางขวางข้าม คลองบางกรวย ปากคลองอยู่ที่หน้าที่ว่าการอำเภอบางใหญ่ ตรงวัดชลอมาออกแม่น้ำใหญ่ตรงหน้าวัดเขมาข้าม (แม่น้ำเจ้าพระยาเดิม) คลองบางแพรก บางตะนาวศรี บางขุนเทียน เป็นคลองปลายตันตามทุ่งนาแต่เป็นคลอง ที่มีบ้านเรือนราษฏรมาก แลสองฝั่งคลองเป็นสวน เป็นคลองที่น่าเที่ยวในเวลาฤดูน้ำ คลองบางตลาด ปากคลองอยู่ที่วัดเชิงท่า ฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยา คลองนี้เมื่อยัง ไม่ทำประปา เป็นทางลัดไปออกคลองเปรมประชากรก็ได้ ในเวลานี้ไปสุดแค่คลองผ่านประปา คลองบางบัวทอง ปากคลองอยู่ที่เหนือโรงอิฐหลวงอ้อมเกร็ด อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนปากคลองทางคดเคี้ยวมาก แต่เมื่อพ้นปากคลองเข้าไปทางลึก ๕๐ เส้นตรงคลองนี้ ไปประจบกับคลองราชาภิรมณฑ์ส่วนตัวลำคลองไปที่สุดเพียงบ้านละหารประจบคลองลำโพ คลองพระราชาภิมณฑ์ ปากคลองอยู่เหนือวัดราษฎร์บรรหาร ฝั่งตะวันตกของลำคลอง บางบัวทองไปออกลำลาดสวาย คลองบางภาษี ที่วัดบางภาษี แม่น้ำสุพรรณ เป็นทางชาวเมืองนนท์ ไปตัดฟืนเมืองสุพรรณทางนี้ คลองบางเขน ปากคลองอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาใต้บ้านตลาดแก้วคลองนี้ ไปออกคลองเปรมประชากรตรงสถานีบางเขนก็ได้ ไปออกคลองวังหิน คลองลาดพร้าวไปเมืองนครเขื่อนขันธ์ ไปออกคลองแสนแสบ ลัดที่ตรงคลองพลับพลาไปเมืองมีนบุรีก็ได้ คลองมหาสวัสดิ์ ปากคลองอยู่ที่วัดไชยพฤกษ์ ตรงไปแม่น้ำนครไชยศรี ออกตรงใต้บ้าน งิ้วราย หรือจะไปออกคลองนราภิรมย์ คลองทวีวัฒนาก็ได้เป็นคลองที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ขุดขึ้นเพื่อไปนมัสการพระปฐมเจดีย์แต่ยังมิได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เพราะทางรถไฟสายใต้ยังไม่มี เมืองนนทบุรีมีที่ดินทั้งสวนแลนา ที่สวนมีอยู่ในอำเภอตลาดขวัญแลอำเภอบางใหญ่โดยมาก ส่วนอำเภอบางบัวทองแลอำเภอปากเกร็ดนั้น มีที่นามากกว่าที่สวน สวนมีทุเรียนแลส้มเขียวหวานเป็นไม้ยืน นอกจากนี้มีไม้อื่นๆ เป็นไม้แซม แลมีผลไม้อีกชนิดหนึ่งเป็นของมีชื่อสำหรับเมืองนนท์ คือ สะท้อนห่อคลองอ้อม สะท้อนนี้มีตามแถวปากคลองอ้อมฝั่งเหนือ เวลานี้เจ้าของสวนสะท้อนไม่สู้จะนิยม เห็นว่าประโยชน์สู้ส้มเขียวหวานไม่ได้ ได้พากันโค่นสะท้อนปลูกส้มเขียวหวานแทนชุกชุม ต่อไปสะท้อนมีชื่อเสียงจะแพงขึ้น นาในเมืองนนทบุรี แต่เดิมทางฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นนาปักโดยมาก แต่เวลานี้เจ้าของนาได้เปลี่ยนเป็นวิธีนาหว่าน ด้วยเหตุฝนไม่ให้ช่อง ๒. การปกครองแลการภาษีอากร เมืองนนทบุรีเป็นเมืองขึ้นในมณฑลกรุงเทพ มีศาลากลาง โรงศาล หอทะเบียนที่ดินได้เริ่มจัดการปกครองตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ มีกำนัน พันทนายบ้านเป็นระเบียบ แบบแผน แลได้จัดการเปลี่ยนแปลงระเบียบอย่างดีเป็นลำดับมาโดยรวดเร็วในเวลานี้นับว่าได้จัดการเข้ารูปเรียบร้อยดียิ่ง การโจรผู้ร้ายนอกจากอาศัยอำเภอ กำนัน เป็นผู้ปราบปราม ยังได้จัดการพลตระเวนขยายออกไปในถิ่นสำคัญๆ เป็นกำลังของผู้ปกครองท้องถิ่น การภาษีอากร แยกวิธีการออกเป็น ๒ อย่าง ฝ่ายบ้านเมืองจัดการอย่างมีระเบียบชั้นนอก มีสมุห์บัญชีเป็นผู้เก็บเงิน รวมอยู่ในกรมการอำเภอ มีค่านา ค่าน้ำ อากรสวนแลอื่นๆ ส่วนภาษีผ่านด่าน กรมศุลกากรตั้งด่านครองเก็บ ด่านใหญ่ตั้งเจ้าพนักงานมีเงินเดือนด่านย่อยให้สิบลด ด่านเวลานี้มีอยู่คือ ๑. ด่านใหญ่ปากคลองอ้อม ๒. ด่านบางเขน ๓. ด่านย่อยปากคลอง มหาสวัสดิ์ ๔. ด่านย่อยปากคลองบางใหญ่ ๕. ด่านย่อยคลองบ้านแหลม ๖. ด่านย่อยคลอง บางบัวทอง ๗. ด่านย่อยปากคลองเกร็ด ๘. ด่านย่อยบางพูด ๙. ด่านย่อยปากคลองบางสีทอง หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:15:52 นนทบุรี ๓
ด่านเหล่านี้ได้เงินทางภาษีน้ำตาลโตนด และนายด่านบางคนได้รับอำนาจจากกรมศุลกากรให้เป็นผู้จัดการสุรารัฐบาลด้วย ภาษีฝิ่น มีเจ้าพนักงานต่างหากจากสุรา แบ่งผู้จัดการออกเป็น ๒ แขวงตอนปากเกร็ด แลบางบัวทองแขวงหนึ่ง ตอนบางใหญ่ตลาดขวัญแขวงหนึ่ง ทะเบียนเรือเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายหนึ่งของกรมเจ้าท่า ทำการโดยเฉพาะ ตั้งที่ทำการที่เมือง การตรวจตราจับกุมอาศัยกำลังเจ้าพนักงานฝ่ายบ้านเมือง การอื่นๆ อยู่ในความรับผิดชอบของหัวหน้าแผนก หวย มีผู้รับผูกขาดมาจากนายอากร รับกินเองใช้เอง รวมทั้งเมืองนนท์มี ๓ แขวง แบ่งอาณาเขตแขวงไม่ถูกกับอาณาเขตการปกครอง แบ่งตามสะดวกของการหวย หมู่บ้านที่มีชื่อเสียงในการส่งเงินหวยให้เจ๊กมากที่สุดคือ หมู่บ้านบางตะนาวศรี เจ๊กว่าปีหนึ่งไม่น้อยกว่าหมื่นบาท หวยที่นี่แปลกกว่ากรุงเทพ ใช้เพียง ๒๘ ต่อต้นทุน สุราโรงทำนองเป็นผู้ผูกขาด การแบ่งแขวงก็แบ่งตามความสะดวกในการสุรา การตรวจตราจับกุมส่วนเหล้าเถื่อน น้ำตาลเมา เป็นธุระของฝ่ายบ้านเมือง การตรวจตราโรงร้านเป็นธุระของเจ้าพนักงานโรงสุราที่จัดกันมาต่างหาก ๓. ว่าด้วยการสำมโนครัว เมืองนนทบุรีมีจำนวนพลเมืองที่ได้สำรวจอย่างแน่นอน ๗๒,๔๐๗ คน พลเมืองโดยมากเป็นมอญและแขก ไทยมีมากกว่ามอญ มอญมากกว่าแขก แขกน้อยกว่าไทย มอญได้ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบตั้งแต่คลองบางตลาดไปจนสุดเขตแดนของเมืองนี้พวกหนึ่ง อยู่ในแถวคลองขุนศรี คลองญี่ปุ่น อำเภอบางบัวทองพวกหนึ่ง มอญพวกนี้ปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่าเป็นพวกที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มา ๒ คราว คราวที่ ๑ เมื่อจุลศักราช ๑๑๓๖ คราวที่ ๒ เมื่อจุลศักราช ๑๑๗๗ ในคราวนี้ มาถึง ๓๐,๐๐๐ เศษ รัฐบาลได้จัดให้อยู่ที่เมืองนนทบุรีบ้าง เมืองนครเขื่อนขันธ์บ้าง เมืองปทุมธานีบ้าง ส่วนแขกนั้นได้แยกย้ายกันอยู่หลายแห่ง ที่บ้านตลาดขวัญพวกหนึ่ง ตลาดแก้วพวกหนึ่ง คลองบางตลาดพวกหนึ่ง บ้านท่าอิฐพวกหนึ่ง แขกละหารพวกหนึ่ง แขกบ้านละหาร เป็นแขกบ้านท่าอิฐ บางตลาด ตลาดแก้ว ยกออกไป แขกเหล่านี้เข้าใจว่าได้มาอยู่ก่อนพวกมอญ แต่ไม่ปรากฏหลักฐาน ๔. ว่าด้วยการศาสนาแลการเล่าเรียน ทางฝ่ายพุทธศาสนานับว่าเจริญ พระสงฆ์องค์เจ้าปฏิบัติกิจการในศาสนาอย่างเคร่งครัดดีฝ่ายศาสนาอิสลามต่างหมู่บ้านก็ต่างมีโบสถ์ เป็นที่กระทำพิธีกรรมตามศาสนา โบสถ์ได้ทำเป็นตึกอย่างถาวรถึง ๓ แห่ง คือ ตลาดแก้ว ตลาดขวัญ ท่าอิฐ พวกแขกบ้านอื่นๆ นอกจากบ้านตลาดขวัญปรองดองกันในทางศาสนาเรียบร้อย ส่วนหมู่บ้านตลาดขวัญไม่สู้ปรองดองกันต้นเหตุเกิดจากเรื่องถือ ๑๐ ถือ ๒๐ การเล่าเรียนนั้นในเมืองนนทบุรีมีโรงเรียนราชวิทยาลัยเป็นโรงเรียนที่สำคัญ โรงเรียนนี้จัดดีทั้งการปกครองแลการสอน ฝรั่งบางคนที่ได้มาเห็นการสอนของโรงเรียนสรรเสริญว่าจัดดีกว่าโรงเรียนเมืองนอกที่เทียบชั้นเดียวกัน ส่วนโรงเรียนของกรมศึกษาธิการ มีโรงเรียนตัวอย่างประจำเมือง ตั้งอยู่ที่วัดท้ายเมือง นอกจากโรงเรียนตัวอย่างได้จัดให้มีโรงรียนประจำอำเภอ นอกจากโรงเรียนประจำอำเภอยังได้มีโรงเรียนตามหมู่บ้านใหญ่ ๆ การเกี่ยวข้องกับโรงเรียนนั้นได้อาศัยพระเป็นกำลังสำคัญ เจ้าอธิการบางวัดได้พยายามจัดสร้างโรงเรียนอย่างมั่นคงขึ้นหลายแห่งการศึกษาเฉพาะในเมืองนี้นับว่าได้รับอุปการะจากวัดมาก ๕. ว่าด้วยโรงงาน การกสิกรรม พานิชการแลการหัตถกรรม การหัตถกรรมซึ่งเป็นของพื้นเมือง มีการทำเครื่องปั้นดินเผาอย่างหนึ่ง การจักสานอย่างหนึ่ง เครื่องปั้นดินเผานั้นชาวบ้านแถวปากคลองอ้อมทำหม้อตาล ชาวบ้านแถวเกาะเกร็ด ปั้นโอ่งอ่างกระถางต้นไม้ เครื่องปั้นดินเผานี้เป็นของพื้นเมืองมีมานาน ทำได้อย่างดี ไม่มีที่อื่นสู้ดินที่ใช้ทำเครื่องปั้นดินเผา ใช้ดินท้องนาที่ในบริเวณเกาะศาลากุนแลบ้านแหลมใหญ่ วิธีนั้นซื้อนากันเป็นแปลง ๆ แล้วขุดเอาดินที่นานั้นมาใช้ นอกจากดินในที่ ๒ แห่งนี้ใช้ไม่ได้หรือจะใช้ก็ไม่ดี ส่วนการจักสาน มีทำงอบและเข่งปลาทู พวกทำงอบอยู่แถวคลองบางกรวยแลบางราวนก บางคูเวียง พวกทำเข่งปลาทูอยู่แถวตั้งแต่บางแพรกไปจนคลองบางตลาด โรงงานที่มีในเมืองนนท์ มีโรงอิฐหลวง ตั้งอยู่ที่ป้อมเกร็ดใต้ปากคลองบางบัวทองฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา โรงอิฐนี้เป็นของพระคลังข้างที่ ทำอิฐอย่างฝรั่งได้ผลดี โรงสีตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับ โรงทำอิฐ ทำการสีข้าวของตนเองแลรับจ้างสีข้าวราษฎร ได้ประโยชน์ดีเหมือนกันโรง..เซนเซอร์..บนั้นมีโรง..เซนเซอร์..บเครื่องจักรโรงหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ปากคลองบางใหญ่ แลโรงที่ใช้แรงกระบือ ตั้งอยู่ตามระยะคลองอ้อมถึง ๓ โรง เป็นโรงสำหรับรับจ้าง..เซนเซอร์..บอ้อยของราษฎร ๖. เรือไฟ รถไฟ เมืองนนทบุรีมีรถไฟสายหนึ่งเดินตั้งแต่วัดสิงขรผ่านตามสวนมาข้ามที่คลองบางกรวยตัด ไปบางใหญ่ ทางหนึ่งแยกมาเมืองนนท์ตรงบ้านตึก เยื้องศาลากลางข้ามทางหนึ่ง ทางที่ตัดไปบางใหญ่นั้นเจ้าของได้ตั้งใจจะทำไปอำเภอบางบัวทอง ที่สุดบ้านเจ้าเจ็ด อำเภอเสนา กลางกรุงเก่าแต่ตอนนี้ยังไม่สำเร็จ ตอนที่ไปบางใหญ่กับเมืองนนท์จะได้ประโยชน์เฉพาะรับคนโดยสาร คงจะไม่ได้ประโยชน์ในทางบรรทุกสินค้า แต่ตอนบ้านเจ้าเจ็ดมาบางบัวทองนั้นเข้าใจว่าจะได้ประโยชน์ ในทางบรรทุกข้าวมาก* เรือที่รับส่งคนโดยสารนั้น มีเรือยนต์ของบริษัทแม่น้ำมอเตอร์โบ๊ต เดินระหว่างปากคลองบางใหญ่ไปออกคลองบางกอกน้อย รับส่งคนขึ้นลงที่ท่าข้างวังหลวงสายหนึ่ง เดินระหว่างปากคลองบางใหญ่มาส่งตลาดเมืองนนท์ แต่เดินเฉพาะฤดูที่น้ำเดินได้สายหนึ่ง เดินระหว่างเมืองปทุมแลปากเกร็ดไปส่งที่ท่าบางกระบืออีกสายหนึ่ง นอกจากเรือประจำมีเรือผ่านที่ไปกรุงเก่า อ่างทอง บ้านผักไห่ อีกพวกหนึ่งแลนอกจากเรือรับส่งคนโดยสารมีเรือโยงลากเรือไปส่งกรุงเก่าและแควเหนืออีกพวกหนึ่ง ๗. ตลาดค้าขาย ตลาดค้าขายมีตลาดใหญ่ที่อำเภอปากเกร็ด เป็นตลาดแพจอดเรียงเป็นตับ ตั้งแต่หน้าวัดสนามไชยไปจนเลยวัดบ่อ ตลาดนี้เป็นตลาดสำคัญของเมืองนี้ ทำการติดต่อกับพวกตลาดย่อย แลแม่ค้าเร่ แถบเมืองปทุม บางบัวทอง บ้านแหลมใหญ่ บ้านใหม่ตลาดเนื้อ ที่ปากคลองบางราวนก บางคูเวียง มีตลาดแพอีกตลาดหนึ่ง ทำการติดต่อกับพวกคลอง บางใหญ่ บางราวนก บางคูเวียง ไปจนคลองนราภิรมย์ นอกจากสองตลาดนี้ไม่มีตลาดที่เป็นแก่นสาร ส่วนตลาดขายของสวนนั้นมีอยู่ ๔ แห่ง ๑.ปากคลองบางเขน ของสวนที่ออกจากคลองบางเขน บางตะนาวศรี บางแพรก แลบางอื่นๆ ไปรวมขายที่นั่น ๒. ปากคลองบางกรวยตรงวัดชลอของสวนในแถวบางขนุน บางขุนกอง บางศรีเมือง บางศรีทอง บางกรวย มารวมขายที่นั่น ๓. ปากคลองบางราวนก บางคูเวียง ของสวนในคลองบางราวนก บางคูเวียง มารวมขายที่นั่น ๔. ปากคลองบางใหญ่ ของสวนในคลองบางใหญ่ บางเลน บางรักน้อย บางรักใหญ่ไปขายที่นั่น ตลาดสวนติดเวลาเช้าเวลาเดียวสายหน่อยเลิกหมด ๘. การทำมาหากิน ชาวเมืองนนท์ทำสวนแลทำนาเป็นพื้น การหัตถกรรมมีเครื่องปั้นดินเผาและการจักสานเป็นงานที่สำหรับทำในเวลาว่าง ชาวเมืองนนท์น่าชมที่ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปในใช่เหตุ ว่างนั่นทำนี่ เป็นพลเมืองขยันต่อการงานจริงๆ แลนอกจากการทำนา ทำสวนเครื่องปั้นดินเผา ยังมีพวกที่ทำน้ำตาลโตนดอีกพวกหนึ่ง น้ำตาลโตนดกรอกเป็นหม้อเป็นคะนนเป็นสินค้าซึ่งออกจากเมืองนนท์ปีละมากๆ ๙. นิสัยความประพฤติพลเมือง นิสัยชาวเมืองนนท์ใจกว้าง การตีรันฟันแทงนับว่าเป็นมือขวา การพนันไม่สู้จะชอบเป็น นักเลงยาฝิ่นน้อย เป็นคนหมั่นต่อกิจการงาน ๑๐. ผลประโยชน์รายได้ เมืองนี้ประโยชน์รายได้รวมทุกประเภทราว ๕๐๐,๐๐๐ บาท ได้จากค่าอากรค่านาแลอากรสวนใหญ่ มากกว่าอย่างอื่น ๑๑. ที่เที่ยว ที่เที่ยวมี ๒ ประเภท เที่ยวหาอากาศสบายที่วัดเขมาแห่งหนึ่ง วัดเสาธงทองแห่งหนึ่งวัดเขมาอยู่ตรงปากคลองบางกรวยข้าม วัดเสาธงทองอยู่ตรงอ้อมเกร็ดเยื้องปากคลองบ้านแหลมใหญ่ข้าม เที่ยวเพื่อเย็นตาสบายใจแลดูฐานเดิมแห่งลำแม่น้ำเก่าต้องเที่ยวในคลองอ้อมออกคลองบางกอกน้อย ๑๒. โบราณคดี เมืองนี้ครั้งกรุงเก่า เป็นเมืองห่างจากพระนครหลวง แลเป็นเมืองจัตวาปักษ์ใต้ไม่สู้จะมี เหตุการณ์แลถาวรวัตถุเกี่ยวเนื่องโบราณคดี มีบ้างก็เป็นเรื่องขุดแม่น้ำลำคลองดังที่ว่ามาในตอนต้น นั้น นอกจากเรื่องขุดแม่น้ำลำคลองมีเรื่องเกี่ยวกับวัดเขมาอยู่ตอนหนึ่ง คือ เมื่อจุลศักราช ๑๑๒๗ ปี พ.ศ. ๒๓๐๘ ในครั้งนั้นมีศึกพม่ามาติดพระนคร มีความตามพระราชพงศาวดารดังนี้ ฝ่ายกองทัพหน้าพม่าข้างทางใต้ ซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ ตอกระออมนั้น ถึง ณ เดือนสิบ ปีระกาสัปตศก เมฆราโบ จึงยกทัพเรือพลพันเศษลงมาตีค่ายทัพไทย ซึ่งตั้งอยู่ตำบลบำหรุนั้นแตกแล้วก็ยกลงมาตีทัพเรือพวกไทยตำบลบางกุ้งก็แตกฉานพ่ายหนี จึงยกล่วงหน้าเข้ามาถึงเมืองธนบุรี พระยารัตนา ธเบศมิได้สู้รบหนีกลับขึ้นไปกรุงเทพมหานคร กองทัพเมืองนครราชสีมา ก็เลิกไปทางฟากตะวันออก ยกกลับไปเมืองสิ้น พม่าก็ได้เมืองธนบุรี เข้าตั้งอยู่ ๓ วันแล้วเลิกทัพกลับไป ณ ค่ายตอกระออมดังเก่า ในขณะนั้นมีกำปั่นอังกฤษลูกค้าลำหนึ่ง บรรทุกผ้าสุหรัดเข้ามาจำหน่าย ณ กรุงเทพมหานคร โกษาธิบดีให้ล่ามถามแก่นายกำปั่นว่า ถ้าพม่าจะเข้ามารบเอาเมืองธนบุรีอีก นายกำปั่นจะอยู่ช่วยรบหรือจะไปเสีย นายกำปั่นว่าจะอยู่ช่วยรบ แต่ขอให้ถ่ายมัดผ้าขึ้นฝากไว้ให้กำปั่น เบาก่อน ครั้นถ่ายมัดผ้าขึ้นแล้วก็ถอยกำปั่นล่องลงมาทอดอยู่ ณ ปากคลองบางกอกใหญ่ ครั้น ณ เดือนยี่ เมฆราโบ ก็ยกทัพเรือเข้ามาเมืองธนบุรีอีก ไม่มีใครอยู่รักษาเมืองแลสู้รบ พม่าเอาปืนใหญ่ขึ้นตั้งบนป้อมวิไชยเยนทร์ฟากตะวันตก ยิงโต้ตอบกับปืนกำปั่นจนเวลาค่ำ กำปั่น จึงถอนสมอลอยขึ้นไปตามน้ำ ขึ้นไปทอดอยู่เหนือเมืองนนทบุรี แลกองทัพพระยายมราช ซึ่งตั้งอยู่ เมืองนนท์นั้นก็เลิกหนีขึ้นไปเสียมิได้ตั้งอยู่ต่อรบพม่า พม่าเข้าตั้งอยู่ ณ เมืองธนแล้ว จึงแบ่งทัพขึ้นมา ตั้งค่าย ณ วัดเขมาตลาดแก้วทั้งสองฟาก ครั้นเพลากลางคืนนายกำปั่นจึงขอเรือกราบลงมาชักสลุบ ช่วง ล่องลงไปให้มีปากเสียง ครั้นตรงค่ายพม่า ณ วัดเขมา ก็ได้จุดปืนรายแคมพร้อมกันทั้งสองข้าง ยิงค่ายพม่า ทั้งสองฟาก พม่าต้องปืนล้มป่วยลำบากแตกหนีออกหลังค่าย ครั้นเพลาเช้าน้ำขึ้น สลุบช่วงก็ถอนขึ้นมาหากำปั่นใหญ่ ซึ่งทอดอยู่เหนือเมืองนนท์ ฝ่ายทัพพม่าก็ยกเข้าค่ายเมืองนนท์ ครั้นเวลาค่ำให้ยกสลุบช่วงล่องลงไปอีก จุดปืนชายแคมยิงค่ายเมืองนนท์ พม่าหนีออกไปซุ่มอยู่หลังค่าย อังกฤษแลไทยลงกำปั่นขึ้นไปเก็บของในค่าย พม่ากลับกรูกันเข้ามาข้างหลังค่ายไล่ฟันแทงไทยแลอังกฤษแตกหนีออกจากค่ายลงกำปั่น แลตัดศรีษะล้าต้าอังกฤษได้คนหนึ่ง เอาขึ้นเสียบประจานไว้หน้าค่าย นายกำปั่นจึงบอกแก่ล่ามว่าปืนในกำปั่นกระสุนย่อมกว่าปืนพม่า เสียเปรียบข้าศึกจะขอปืนใหญ่กระสุนสิบนิ้วสิบกระบอกแล้วจะขอเรือรบ พลทหารสิบลำจะลงไปรบพม่าอีก ล่ามกราบเรียนแก่เจ้าพระยาพระคลัง พระยาพระคลังกราบบังคมทูล จึงโปรดให้เอาปืนใหญ่สิบกระบอกลงบรรทุกเรือใหญ่ขึ้นไปกำปั่น แต่เรือสิบลำนั้นหาทันจัดแจงให้ไปไม่ ครั้นเพลาบ่ายอังกฤษล่องเรือกำปั่นแลสลุบช่วงลงไปจนพ้นเมืองธนบุรีแล้ว จึงทอดสมออยู่ ขณะนั้นไทยในกรุงเทพมหานคร ลอบลงเรือน้อยลงมาเก็บผลไม้หมากพลู ณ สวนอังกฤษจับขึ้นไว้บนเรือมากกว่าร้อยคน แล้วก็ใช้ใบหนีไปออกท้องทะเล ครั้นเพลาค่ำไทยหนีขึ้นมาถึงพระนครได้ ๒ คน จึงรู้เนื้อความว่ากำปั่นอังกฤษมิได้อยู่รบพม่า หนีไปแล้วได้แต่มัดผ้า ซึ่งขนขึ้นไว้สี่สิบมัด นอกจากวัดเขมามีวัดหนึ่งที่เกี่ยวด้วยโบราณคดี คือวัดบางอ้อยช้าง ท้องที่อำเภอบางกรวย วัดนี้ว่ากันว่า เป็นวัดที่ขุนหลวงหาวัดได้เคยจำพรรษาอยู่ จะจริงเท็จฉันใดไม่พบหลักฐาน .. (การคัดลอกนี้รักษาอักขระตามต้นฉบับเดิมทุกประการ) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕ รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงนครบาล เป็นเจ้าหน้าที่จัดซื้อที่ดินตำบลบางขวาง อำเภอตลาดขวัญ จังหวัดนนทบุรีเพื่อจัดสร้างเรือนจำมหันตโทษกลาง แต่ยังไม่ทันสำเร็จเรียบร้อย ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ทรงใช้ที่ดินส่วนหนึ่งสร้างเป็นโรงเรียนแบบกินนอน คือ โรงเรียนราชวิทยาลัย เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๖ ถึงสมัยรัชกาลที่ ๗ เศรษฐกิจตกต่ำมากจึงได้ยุบกิจการโรงเรียนนี้ แล้วมอบอาคารเรียนให้เป็นศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ในสมัยรัชกาลที่ ๗ พ.ศ. ๒๔๗๑ จึงได้ย้ายศาลากลางจากท่าเรือตลาดขวัญ มาตั้งใหม่ ณ อาคารเดิมของโรงเรียนราชวิทยาลัย ส่วนเรือนจำกลางบางขวางนั้นได้เริ่มดำเนินการใหม่ ราว พ.ศ. ๒๔๖๒ และสร้างเสร็จเปิดดำเนินกิจการได้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ซึ่งจะได้กล่าวเฉพาะเรื่องในบทต่อไป อาคารเรียนของโรงเรียนราชวิทยาลัยนี้ นอกจากจะใช้เป็นศาลากลางจังหวัดนนทบุรีแล้ว ยังจัดแบ่งบางส่วนเป็นที่ว่าการอำเภอเมืองนนทบุรี เป็นสำนักงานเทศบาลเมืองนนทบุรี ส่วนหอประชุมของโรงเรียนนั้น ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๖ พ.ศ. ๒๔๙๘ ศาลากลางจังหวัดนนทบุรีแห่งนี้ นับว่าเป็นศาลากลางจังหวัด ที่สง่างามยิ่งแห่งหนึ่ง เนื่องจากรูปแบบการก่อสร้างมีลักษณะเฉพาะที่อิงเอกลักษณ์ไทย กรมศิลปากรจึงได้ขึ้นบัญชีไว้เป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งด้วย ทางกระทรวงมหาดไทยเคยขอรื้อดัดแปลง เพื่อสร้างใหม่ ทางกรมศิลปากรคัดค้านจึงคงรูปอยู่จนถึงทุกวันนี้ ในสมัยก่อนการคมนาคมระหว่างจังหวัดนนทบุรีกับเมืองหลวง ต้องใช้ทางน้ำเป็นพื้น ดังในรายงานที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าใช้เรือยนต์ของบริษัทมอเตอร์โบ๊ต และมีรถไฟของเอกชนแล่นทางฝั่งตะวันตก (ชาวบ้านเรียกว่า รถไฟเจ้าพระยาวรพงศ์) ซึ่งก็ไม่ใคร่สะดวกนัก ต่อมาการใช้รถยนต์ก้าวหน้าขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ ๘ ได้มีการตัดถนนรถยนต์เชื่อมระหว่างนนทบุรี กรุงเทพ ขึ้นเป็นสายแรก เรียกว่า ถนนประชาราษฎร์ สายต่อมาคือถนนเลียบริมฝั่งแม่น้ำตัดค้างไว้แต่สมัยรัชกาลที่ ๘ แต่สำเร็จใช้เดินรถได้ในสมัยรัชกาลที่ ๙ ให้ชื่อว่าถนนพิบูลสงคราม กล่าวได้ว่าจังหวัดนนทบุรีได้เริ่มพัฒนามากขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ ๘ โดยเฉพาะการคมนาคม และการศึกษา ส่วนรูปแบบการปกครองก็เปลี่ยนไปตามลักษณะการบริหารราชการส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เพราะประเทศไทยได้เปลี่ยนการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ สมัยรัชกาลที่ ๗ ความเจริญเหล่านี้มีอุปสรรคทำให้ชะงักลงด้วยเหตุ ๒ ประการคือ เกิดสงครามโลก ครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ - พ.ศ. ๒๔๘๘ และเกิดน้ำท่วมใหญ่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ ซึ่งทำให้สวนทุเรียน จมน้ำ ทุเรียนตายเกือบหมด เกิดการเสียหายทางเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ หากจะกล่าวถึงผลดีที่ชาวเมืองนนท์ได้รับจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็อาจจะมีอยู่บ้างคือในราว พ.ศ. ๒๔๘๖ - พ.ศ. ๒๔๘๗ ครั้งนั้นเครื่องบินของสัมพันธมิตรได้โจมตีกรุงเทพฯ หนักมาก ชาวกรุงเทพฯ จึงอพยพมาเช่าบ้านอยู่ทางจังหวัดนนทบุรี เพราะไม่มีจุดยุทธศาสตร์ และ ต่อมาก็ได้แต่งงานกับชาวนนท์ไปหลายคู่ โรงเรียนบางแห่งก็ย้ายมา แม้กระทั่งโรงพยาบาลศิริราชก็ ยังย้ายคนไข้มาอยู่ที่บริเวณสนามศาลากลางจังหวัด โดยสร้างอาคารชั่วคราวขึ้นเต็มตลอดทั้งสนาม นับได้ว่าการอพยพของชาวกรุงมีส่วนช่วยให้ชาวเมืองนนท์มีเศรษฐกิจดีขึ้นทั้งการสังคมก็กว้างขวาง ขึ้นด้วย รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (พ.ศ. ๒๔๘๙ - ปัจจุบัน) แม้จังหวัดนนทบุรีจะเป็นเมืองชานนครหลวง แต่สภาพของตัวเมือง เมื่อเริ่มสมัยรัชกาลที่ ๙ ยังคงมีสภาพคล้ายหัวเมืองชนบทที่อยู่ห่างไกล กระทรวงมหาดไทยเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงให้จังหวัดได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว จึงได้มอบนโยบายสำคัญมากับผู้ว่าราชการจังหวัดในสมัยนั้น (นาย สอาด ปายะนันทน์ พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๑๑) ให้สนองนโยบายของรัฐบาลให้ได้ จังหวัดนนทบุรีจึงได้พัฒนาอย่างรุดหน้าและรวดเร็วมาก โดยเริ่มจากตัวเมือง และตัวอำเภอที่สำคัญๆ ก่อน ดังจะขอนำตอนหนึ่งจากคำปราศัยของจอมพลประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น ได้กล่าวต่อที่ประชุมข้าราชการ เมื่อคราวมาตรวจเยี่ยมประชาชนชาวนนทบุรี เมื่อ ๗ สิงหาคม ๒๕๐๖ ดังนี้ ..แต่เดิมมา แม้แต่ภายในตัวเมืองเอง ก็ยังอยู่กันขะมุกขะมอมมอมแมม ผมก็อยากให้เมืองนี้สวยงามขึ้น และนอกจากนั้น ถนนเชื่อมจากพระนครเข้ามาถึงแล้ว ทั้งแขก ทั้งฝรั่ง ทั้งญี่ปุ่น ทั้งจีน ก็พากันมาดูเรือนจำบางขวาง เขาเห็นนนทบุรีพรอวินส์ ขะมุกขะมอมเข้า ผมก็รู้สึกอายเขาเหลือเกิน มีกอฟเวอเนอร์อยู่ทั้งคน จะปล่อยให้เก่าแก่เหมือนเดิมไม่ได้ฉะนั้นผมจึงได้เคี่ยวเข็นมายังจังหวัด พยายามจะให้เห็นจังหวัดนี้สวยงามขึ้น และมีความเป็นอยู่สุขสบายตามสมควร ดังนั้น จึงได้รุกมายัง ผู้ว่าราชการจังหวัดมาก ท่านก็เป็นคนชอบมุมานะในเรื่องนี้อยู่แล้วผมเห็นว่าท่านเหมาะกับงานนี้ จึงได้เชิญมาอยู่ที่นี่และก็ได้เห็นผลทันตาดีเหมือนกัน จังหวัดนนทบุรีจะพัฒนาอย่างไรนั้น จะขอบรรยายสรุป โดยอาศัยหัวข้อจากป้ายอนุสรณ์แสดงผลงานของการพัฒนา ซึ่งสร้างไว้หน้าศาลากลางจังหวัดมากล่าว ดังนี้ ผลการพัฒนาจังหวัดนนทบุรี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๐๗ ซึ่งสำเร็จด้วยความร่วมมือของประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ๑. การพัฒนาเมืองนนทบุรี กวาดล้างแหล่งเสื่อมโทรมทั้งเมือง (ขยายถนนให้กว้าง) และสร้างเมืองใหม่ (รวมทั้งตลาดสดและถนนโดยรอบ) เฉพาะอาคารพาณิชย์เทศบาล ๑๒๓ คูหา ราคา ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีผู้สร้างอุทิศให้เทศบาล รวมรายจ่ายตามโครงการประมาณ ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. การพัฒนาเมืองบางบัวทอง กวาดล้างแหล่งเสื่อมโทรมครึ่งเมือง และสร้างเมืองใหม่ เฉพาะอาคารพาณิชย์เทศบาล ๑๒๘ คูหา ตลาดสด (รวมเขื่อนหน้าตลาด) และถนน ราคา ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีผู้สร้างอุทิศให้เทศบาล รวมรายจ่ายตามโครงการนี้ประมาณ ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๓. การพัฒนาอำเภอปากเกร็ด ย้ายที่ตั้งอำเภอและสร้างบริเวณชุมนุมชนการค้าใหม่ เฉพาะอาคารพาณิชย์และอาคาร ต่าง ๆ ราคา ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีผู้สร้างอุทิศให้สุขาภิบาล ๔. การพัฒนางานคมนาคม ๔.๑ ตัดถนนสายบางกรวย ไทรน้อย เป็นถนนลาดยาง ยาว ๓๘ กิโลเมตร (และถนนแยกไปบางบำหรุ) รวมรายจ่ายตามโครงการนี้ประมาณ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ประชาชนได้อุทิศที่ดินให้ตัดถนนด้วยคิดเป็นเงินอีกประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๔.๒ ถนนตัดใหม่ ๑๐ สาย และปรับปรุงถนนเก่า รวมรายจ่ายประมาณ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท กล่าวคือ บริเวณเมืองด้านตะวันออกได้ตัดถนนซอยหลายสายเช่นซอยวัดบางขวาง ซอยวัดกำแพง ซอยเหนือโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม ซอยหน้าโรงเรียนศรีบุณยานนท์ไปเชื่อมกับซอยเรวดี ซอยรอบศาลากลางจังหวัดและซอยหลังธนาคารกรุงไทย ฯลฯ ส่วนทางด้านทิศตะวันตก มีการตัดถนนเชื่อมตำบล ชุมชน และวัด เข้าสู่ถนนใหญ่ (บางกรวย ไทรน้อย) หลายสาย เช่น ซอยวัดเฉลิมพระเกียรติ ซอยวัดประชารังสรรค์ ค่ายลูกเสือ และซอย อ. บางใหญ่ ฯลฯ ๕. การพัฒนาการศึกษา ได้สร้างพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติ ห้องสมุดประชาชนประจำจังหวัด ปรับปรุงโรงเรียนให้ถาวร (๒๓ แห่ง) และอื่นๆ รวมค่าใช้จ่ายประมาณ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๖. การพัฒนางานสาธารณสุข ได้สร้างอาคารในโรงพยาบาลนนทบุรีเพิ่มเติม สร้างสถานีอนามัยชั้นหนึ่ง ๓ แห่ง สร้างสถานีอนามัยชั้นสองและอื่นๆ รวมค่าใช้จ่ายประมาณ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๗. การพัฒนาอาชีพ ขุดคลองขนาดใหญ่ ๒ คลอง ขุดคลองขนาดเล็กและลอกคลองเก่า ๔๕ คลอง รวม ความยาวประมาณ ๑๕๓ กิโลเมตร รวมค่าใช้จ่ายในการนี้และกิจการอื่นๆ ประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ได้ซื้อรถขุดเพื่อช่วยการทำนา และขุดคลองใหม่ ๓ คัน ราคาประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๘. การพัฒนางานสาธารณูปโภค ติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะที่ ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนงามวงศ์วาน และอื่นๆ รวม ๑๐ ถนนยาวประมาณ ๓๒ กิโลเมตร ค่าใช้จ่ายประมาณ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ปรับปรุงกิจการเดินรถโดยสารประจำทาง โดยซื้อรถใหม่ ๕๐ คัน รวมทั้งปรับปรุง กิจการอื่น ๆ ค่าใช้จ่ายประมาณ ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๙. การพัฒนาตามอำเภออื่นๆ รวมรายจ่ายประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมการพัฒนาในรอบ ๔ ปี ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท การพัฒนาอื่นๆ ที่ควรกล่าวถึงได้แก่ ๑. การสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กหน้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี แทนเขื่อนเดิมที่ พังทลาย เขื่อนที่สร้างใหม่ยาว ๑๗๐ เมตร ขยายถนนคอนกรีตออกไปอีก ๘ เมตร และมีทางเท้า กว้าง ๔ เมตร สุดทางเท้ามีลูกกรงคอนกรีตและเสาไฟฟ้าพร้อมดวงโคมทุกระยะ ๖ เมตร เสร็จเมื่อ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๐๘ ใช้งบประมาณ ๔,๒๗๘,๓๕๐ บาท ๒. การสร้างสนามกีฬาจังหวัด ค่ายลูกเสือและสวนสาธารณะ สร้างที่บริเวณวัดโบสถ์ ดอนพรหมเขต อ. เมืองนนทบุรีติดต่อกับ อ. บางใหญ่ใช้เนื้อที่ประมาณ ๔๐ ไร่ งบประมาณ ในการก่อสร้าง ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ ผลจากการพัฒนาของจังหวัด ทำให้ชุมชนต่างๆ ตื่นตัวขึ้น ต่างเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของตน ทั้งรัฐบาลในสมัยต่อมาได้มีโครงการสร้างงานในชนบทเป็น โครงการสำคัญ สภาตำบลทุกสภาต่างวางโครงการพัฒนาท้องถิ่นของตนให้เจริญ โครงการส่วนใหญ่ได้แก่ การตัดถนนเข้าสู่หมู่บ้าน การประปาอนามัย และการขุดลอกคลอง สมัยปัจจุบันนี้จังหวัดนนทบุรีจึงกำลังพัฒนาในทุกๆ ด้าน อาทิ การคมนาคม การศึกษา การพาณิชย์ การเกษตร และการสาธารณสุข เป็นต้น พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ พระบรมวงศานุวงศ์ที่เกี่ยวกับจังหวัดนนทบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จมาที่ จังหวัดนนทบุรีหลายครั้ง เท่าที่พอจะค้นหาหลักฐานได้มีดังนี้ พ.ศ. ๒๔๙๔ (โดยประมาณ) - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสด็จเยี่ยมชมสวนทุเรียนของชาวสวนแห่งหนึ่ง สวนแห่งนี้อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเหนือที่ว่าการอำเภอเมืองนนทบุรี เป็นสวนของนายสุเทพ รัตนเสวี อดีตผู้แทนราษฎรนนทบุรี พ.ศ. ๒๕๐๔ - สมเด็จพระศรีนครินทราทราบรมราชชนนี เสด็จเยี่ยมศูนย์บริการเด็กพิการ ที่อำเภอ ปากเกร็ด เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินร่วมพิธีลอยกระทง ณ วัดเฉลิมพระเกียรติ พร้อมด้วยเจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเคนท์ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทรงประกอบพิธีพระราชทานธงประจำรุ่นแก่ลูกเสือชาวบ้าน ๓ รุ่น และพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้ที่มีจิตศรัทธา เฝ้าทูลเกล้า ฯ ถวายเงินเพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลในกิจการลูกเสือชาวบ้าน เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ในวันเดียวกันนี้ได้เสด็จไปทรงประกอบพิธีเปิดวัดพระแม่การุณย์ของมิซซังโรมัน คาทอลิก ที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ดด้วย พ.ศ. ๒๕๒๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ เสด็จพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้าน ที่โรงเรียนสตรีนนทบุรี พ.ศ. ๒๕๒๓ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จแทนพระองค์มาเป็นองค์ประธานในพิธีตัดลูกนิมิตร ณ วัดกู้ อำเภอปากเกร็ด เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดนนทบุรี. นนทบุรี : โรงพิมพ์สถานสงเคราะห์หญิงบ้านปากเกร็ด, ๒๕๒๖ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:16:45 ปทุมธานี
สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยศรีกรุงศรีอยุธยาตอนต้น อาศัยหลักฐานทางโบราณสถาน และโบราณวัตถุ ภายในจังหวัดปทุมธานี เป็นที่น่าเชื่อว่าจังหวัดปทุมธานีในอดีตเป็นเมืองที่เกิดขึ้นในยุคต้นของอาณาจักรศรีอยุธยาประกอบกับ "ตำนานท้าวอู่ทอง" ทำให้เรื่องท้าวอู่ทองอพยพผู้คนหนีโรคห่า (อหิวาตกโรค) ผ่านมายังเมืองปทุมธานีมีความจริงอยู่มาก "ตำนานท้าวอู่ทอง" ที่จังหวัดปทุมธานี มีปรากฏอยู่ ๒ เรื่อง คือ ตำนานเรื่องท้าวอู่ทอง เสด็จหนีโรคห่าผ่านมายังวัดมหิงสารามตำบลบางกระบือ อำเภอสามโคกเรื่องหนึ่งและตำนานเรื่องท้าวอู่ทอง อันเป็นประวัติวัดเทียนถวาย อำเภอเมืองอีกเรื่องหนึ่ง ตำนานท้าวอู่ทอง ที่วัดมหิงสาราม ผู้เฒ่าผู้แก่ในตำบลบางกระบือ เล่าต่อกันมาว่าครั้งหนึ่งในอดีต ท้าวอู่ทองได้อพยพไพร่พล หนีโรคห่า ขณะผ่านเขตสามโคกเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้วประกอบกับเกวียนชำรุด จึงหยุดพักไพร่พล ที่บริเวณวัดมหิงสาราม กับทั้งได้ออกปากขอยืมเครื่องมือจากชาวบ้านละแวกนั้น เพื่อนำมาซ่อมแซมเกวียนแต่ได้รับการปฏิเสธ ท้าวอู่ทองทรงพิโรธนัก และในคืนนั้นเองทรงแอบฝังทรัพย์สมบัติส่วนที่ไม่สามารถนำไปได้เพราะเกวียนชำรุด ไว้ในบริเวณวัด และสาปแช่งมิให้ผู้ใดนำทรัพย์สมบัติที่ฝังไว้ไปได้เลย สภาพปัจจุบันวัดมหิงสารามเป็นวัดร้าง ชำรุดทรุดโทรม เหลือเพียงผนังพระอุโบสถเพียง ๔ ด้านเท่านั้นอยู่ห่างจากลำน้ำเจ้าพระยาประมาณสองกิโลเมตร สาเหตุที่ร้างมีผู้สันนิษฐานต่างกันไป บ้างก็ว่าเป็นเพราะลำน้ำเปลี่ยนทางเดิน บ้างก็คิดว่าเพราะกรุงแตกเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ตำนานท้าวอู่ทองจากคำบอกเล่าทางวัดเทียนถวาย ความว่า พระเจ้าอู่ทองได้อพยพผู้คนหนีโรคห่า พร้อมด้วยไพร่พล สัมภาระบรรทุกเกวียนมาประมาณแปดสิบเล่ม ได้หยุดพักไพร่พลอยู่ที่หนองแห่งหนึ่ง (ปัจจุบันเรียกชื่อว่า หนองปลาสิบ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดเทียนถวาย ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมือง) ตอนกลางคืนได้จุดไฟสว่างไสวตลอดทั้งคืนนานเป็นแรมเดือน เมื่อโรคห่าสงบแล้ว ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดในบริเวณที่เคยประทับขึ้น ๑ วัด สมัยนั้นชาวบ้านเรียกว่า "วัดเกวียนไสว" ต่อมาแผลงเป็น "วัดเทียนถวาย" ตำนานเรื่องท้าวอู่ทองเสด็จหนีโรคห่าเล่าต่อกันมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ดังปรากฏในนิราศวัดเจ้าฟ้า กล่าวอ้างถึงเรื่องพระเจ้าอู่ทอง ได้เสด็จหนีโรคผ่านเมืองสามโคก ก่อนไปตั้งกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า "พอเลยนาคบากข้ามถึงสามโคก เป็นคำโลกสมมุติสุดสงสัย ถามบิดาว่าท่านผู้เฒ่าท่านกล่าวไว้ ว่าท้าวไทพระอู่ทองเธอกองทรัพย์ หวังจะไว้ให้ประชาเป็นค่าจ้าง ด้วยจะสร้างบ้านเมืองเครื่องประดับ พอห่ากินสิ้นบุญไปสูญลับ ทองก็กลับกลายสิ้นเป็นดินแดง จึงที่นี้มีนามชื่อสามโคก เป็นคำโลกสมมุติสุดแถลง ครั้งพระโกศโปรดปรานประทานแปลง ที่ตำแหน่งมอญมาสวามิภักดิ์ ชื่อประทุมธานีที่เสด็จ เดือนสิบเบ็ดบัวออกทั้งดอกฝัก มารับส่งตรงนี้ที่สำนัก พระยาพิทักษ์ทวยหาญผ่านพารา" จากตำนานจึงพอประมาณการได้ว่า ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ลงมา บริเวณสองริมฝั่งลำน้ำเจ้าพระยาตอนล่างเป็นอาณาบริเวณที่ตั้งของจังหวัดปทุมธานี ในอดีตเต็มไปด้วยป่าไม้หนาแน่นอุดมด้วยสัตว์ป่านานาชนิด บ้านเรือนราษฎร ตั้งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำ และบ้านเรือนเริ่มจะมีมากขึ้นในภายหลังที่พระเจ้าอู่ทอง ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีปทุมธานีคงเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ เป็นต้นด่านกักนาวาก่อนที่จะเดินทางผ่านเข้ามาสู่ตัวเมืองกรุงศรีอยุธยา สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) ในรัชสมัยของกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาพระองค์นี้ ชุมชนในเขตจังหวัดปทุมธานี เริ่มขยายตัวเป็นชุมชนเมืองริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตะวันออก ตั้งแต่บริเวณวัดสองพี่น้องถึงวัดป่างิ้วในปัจจุบัน (แต่เดิมเป็นที่ตั้งของวัด "พญาเมือง" และ "วัดนางหยาด") โดยมีคันคูเมืองโดยรอบปัจจุบันเหลือเพียงร่องรอยต่าง ๆ ในอดีตให้ได้เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รู้จักกันในนามว่า "เมืองสามโคก" ครั้นในปี พ.ศ. ๒๑๑๒ แผ่นดินพระมหินทราธิราชกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งแรก พระเจ้าหงสาวดีได้กวาดต้อนประชาชนพลเมืองไปประเทศพม่า คงเหลือไว้เพียงหมื่นเศษเป็นผลให้สามโคกกลายเป็นเมืองร้างไป มีหลักฐานในกฎหมายเก่าลักษณะพระธรรมนูญ ว่าด้วยการใช้ตราราชการ พ.ศ. ๒๑๗๙ แผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง แห่งกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า สามโคกเป็นหัวเมืองขึ้นกับกรมพระกลาโหม จึงแสดงให้เห็นว่า เมืองสามโคกมีฐานะเป็นเมืองมาก่อนแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อพม่ารบกับจีน ในปี พ.ศ. ๒๒๐๒ ชาวมอญที่ถูกเกณฑ์เข้าร่วมในกองทัพพม่า ได้พากันหลบหนีจากกองทัพพม่า โดยพาครอบครัวออกจากเมืองเมาะตะมะ เข้ามากรุงศรีอยุธยาประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน สมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ครอบครัวมอญที่อพยพเข้ามาในครั้งนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสามโคก ปรากฏตามพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขาว่า "ขณะนั้น (พ.ศ. ๒๒๐๒ ปีชวด โทศก) มังนันทมิตร ผู้เป็นอาพระเจ้าอังวะอยู่ปกครองเมาะตะมะ ส่วนชาวเมืองฮ่อไซร้ยกทัพมาล้อมเมืองอังวะ จะเอาฮ่ออุทิงผาซึ่งพาฉกรรจ์อพยพประมาณพันหนึ่งหนีไปพึ่งอยู่ ณ เมืองอังวะนั้น จึงมังนันทมิตรเกณฑ์เอาพล ๓๒ เมือง ซึ่งขึ้นแก่เมืองเมาะตะมะนั้น ๓,๐๐๐ ให้ไปช่วยป้องกันเมืองอังวะ และมอญอันไปช่วยป้องกันก็หลีกหนีคืนมาเป็นอันมาก จึง มัง นันทมิตรก็ให้คุมเอามอญอันหนีมานั้นใส่ตะรางไว้ว่าจะเผาเสีย และสมิงนายอำเภอทั้ง ๑๑ คนนั้น ควบคุมมอญประมาณห้าพันยกเข้าเผาเมืองเมาะตะมะและได้ตัวมังนันทมิตรจำไว้แล้ว จึงปรึกษากันว่าเรากระทำความผิดถึงเพียงนี้ ถ้าทราบถึงพระเจ้าอังวะก็จะมีภยันตรายแก่พวกเราเป็นแท้ และเราทั้งปวงหาที่พึ่งมิได้ จำจะพากันกวาดอพยพหนีเข้าไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา เอาพระเดชานุภาพปกเกล้าฯ ร่มเย็น เป็นที่พำนักจึงจะพ้นภัย ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกันแล้ว สมิงนายอำเภอทั้ง ๑๑ นายก็กวาดต้อนครอบครัวรามัญในแว่นแคว้นเมืองเมาะตะมะทั้ง ๓๒ หัวเมืองกับสมัครพรรคพวกของตัวและพรรคพวกมังนันทมิตรเป็นคนประมาณหมื่นเศษ แล้วให้ถอดมังนันทมิตรออกจากพันธนาการพากันอพยพออกจากเมืองเมาะตะมะ มาทางเมืองสมิถึงด่านพระเจดีย์ ๓ องค์ ในปีระกา นพศกนั้น จึงสมิงนายอำเภอทั้ง ๑๑ นาย ก็แต่งหนังสือบอกให้รามัญ ถือเข้ามาแจ้งกิจการแก่พระยากาญจนบุรีว่าจะเข้ามาสวามิภักดิ์เป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทพระยากาญจนบุรีก็ส่งหนังสือบอกเข้ามาถึงอัครมหาเสนาธิบดี ให้นำขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทราบ พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าช้างเผือกให้ทรงทราบเหตุ ก็ทรงพระโสมนัสดำรัสให้สมิงรามัญเก่าในกรุงถือ พลพันหนึ่ง ออกไปรับครัวเมืองเมาตะมะเข้ามายังพระมหานครแล้วทรงพระกรุณาโปรดให้พวกครัวมอญใหม่ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบลสามโคกบ้าง ที่คลองคูจามบ้าง ที่ใกล้วัดตองปุบ้างแล้วดำรัสโปรดให้สมิงนายกองทั้ง ๑๑ คน เข้าเฝ้ากราบถวายบังคม ทรงพระมหาการุญภาพพระราชทานเครื่องยศ เครื่องเรือน และเสื้อผ้าเงินตรากับทั้งเคหฐานให้อยู่เป็นสุข แต่มังนันทมิตรนั้นป่วยลงถึงอนิจกรรม" ฉะนั้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มอญที่อพยพมาในครั้งนั้นตั้งบ้านเรือนอาศัยทำมาหากินที่ตำบลสามโคก และต่อมาทำให้ตำบลสามโคกเจริญรุ่งเรืองขึ้นจนมีฐานเป็นเมืองสามโคกและเป็นจังหวัดปทุมธานีในปัจจุบัน นับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ได้ทรงทำนุบำรุงเมืองปทุมให้เจริญรุ่งเรืองเป็นหลักฐาน ชาวปทุมธานีจึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ สมัยกรุงธนบุรี ภายหลังจากที่พระยาวชิรปราการ กอบกู้เอกราชของชาวไทยไว้ได้ เมื่อครั้งเสียกรุงแก่พม่าครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ ได้ประกาศตั้งเมืองหลวงขึ้นใหม่ เรียกว่า "กรุงธนบุรี" และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ในปี พ.ศ. ๒๓๑๗ พม่าเกณฑ์ทหารมอญมาตีไทยที่ตำบลสามสบ ท่าดินแดง มีพญามอญหัวหน้า ๔ คน คือ พระยาเจ่ง เจ้าเมืองอัตรัน เป็นหัวหน้าใหญ่ พระยาอู่ตละเลี้ยงและตละเกล็บ ทหารมอญเหล่านี้ต่างมีความแค้นเคืองพม่าที่ได้กระทำทารุณกรรมต่อชาวมอญ ดังนั้น แทนที่จะมารบกับไทยตามที่พม่าเกณฑ์มา กลับยกทัพเข้าตีพม่าเสียเองที่เมาะตะมะ จนพม่าต้องทิ้งเมืองหนีไปร่างกุ้งเพราะเข้าใจว่าทัพไทยบุกเข้าโจมตีโดยไม่ทันรู้ตัวทัพมอญบุกตีพม่ารุกเข้าไปจนได้เมืองสะโตงหงสาวดี ครั้นพอถึงร่างกุ้ง อะแซ-หวุ่นกี้แม่ทัพ พม่ายกกำลังขึ้นปราบปราม มอญสู้ไม่ได้จึงหนีเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารทางเมืองตาก และด่านเจดีย์สามองค์ ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน พระเจ้ากรุงธนบุรี จึงโปรดเกล้าฯ ให้เตรียมพลไปรับครอบครัวมอญเหล่านั้นให้ไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่ปากเกร็ด แขวงเมืองนนทบุรีและ "สามโคก" ให้พระยารามัญวงศ์ มียศเสมอ จตุสดมภ์ หรือเรียกว่า "จักรีมอญ" เป็นหัวหน้าดูแลครัวมอญทั่วไป สมัยกรุงสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในรัชสมัยของพระองค์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๘ พระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่าได้ทรงเกณฑ์แรงงานชาวมอญให้สร้างพระธาตุที่เมืองเมงถุนให้เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างความลำบากยากเข็ญแก่ชาวมอญเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง จึงพากันอพยพหลบหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทยทางเมืองตาก เมืองอุทัยธานี และทางด่านเจดีย์สามองค์ เมืองกาญจนบุรี จำนวน ๔๐,๐๐๐ คน ดังกล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ตอนหนึ่งว่า "เมื่อทรงทราบข่าวว่า ครัวมอญอพยพเข้ามา จึงโปรดให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสด็จขึ้นไปคอยรับครัวมอญ ทีเมืองนนทบุรี จัดจากและไม้สำหรับปลูกสร้างบ้านเรือนและเสบียงอาหารของพระราชทานขึ้นไปพร้อมเสร็จทางเมืองกาญจนบุรี โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฏฯ (รัชกาลที่ ๔) คุมไพร่พลสำหรับป้องกันครัวมอญ และเสบียงอาหารของพระราชทานออกไปรับครัวมอญทางหนึ่ง โปรดให้เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีเป็นผู้ใหญ่เสด็จกำกับ ทางเมืองตากนั้นโปรดให้เจ้าพระยาอภัยภูธร ที่สมุหนายกเป็นผู้ขึ้นไปรับครัวมอญมาถึงเมืองนนทบุรี เมื่อ ณ วันพุธ เดือน ๙ แรม ๓ ค่ำ ปีกุน สัปตศก จุลศักราช ๑๑๗๗ พ.ศ. ๒๓๕๘ เป็นจำนวน ๔๐,๐๐๐ เศษ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในแขวงเมืองปทุมธานีบ้าง เมืองนนทบุรีบ้าง" พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเอาพระทัยใส่ ดูแลทุกข์ สุข ครอบครัวมอญเหล่านั้นมิได้ขาด ครั้นถึงเดือน ๑๑ พ.ศ. ๒๓๕๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ได้เสด็จประพาสเมืองสามโคกโดยทางชลมารค เพื่อทรงเยี่ยมเยียนชาวรามัญที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ พระองค์ทรงประทับ ณ พลับพลาริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงกับเมืองสามโคก (ตรงหน้าวัดปทุมทองปัจจุบันนี้) ทรงรับดอกบัวจากพสกนิกร ซึ่งนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอยู่เป็นเนืองนิตย์ จึงพระราชทานนามเมืองสามโคกให้เป็นสิริมงคลใหม่ว่า "ประทุมธานี" เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๓๕๘ ยกฐานะเป็นหัวเมืองชั้นตรี ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในวรรณคดีสำคัญของสุนทรภู่ ๒ เรื่อง คือ นิราศภูเขาทอง (แต่งราว พ.ศ. ๒๓๗๑) ว่า "ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี ชื่อประทุมธานีเพราะมีบัว" (นิราศวัดเจ้าฟ้า แต่งราว พ.ศ. ๒๓๗๙) "จึงที่นี้มีนามชื่อสามโคก เป็นคำโลกสมมุตติสุดแถลง ครั้งพระโกศโปรดปรานประทานแปลง ที่ตำแหน่งมอญมาสามิภักดิ์ ชื่อประทุมธานีที่เสด็จ เดือนสิบเบ็ดบัวออกทั้งดอกฝัก มารับส่งตรงนี้ที่สำนัก พระยาพิทักษ์ทวยหาญผ่านพารา" ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมมหาดไทย พ.ศ. ๒๔๓๗ (ร.ศ. ๑๑๓) ให้เมืองประทุมธานี นครเขื่อนขันธ์ เมืองสมุทรปราการ เป็นหัวเมืองแขวงมณฑลกรุงเทพฯ ทรงมีพระราชาธิบายว่า เป็นหัวเมืองที่อยู่ไกลกรุงเทพฯ เพียงพันเส้นเท่านั้น ประกอบกับมีโจรผู้ร้ายชุกชุม ให้มาขึ้นสังกัดกระทรวงนครบาล เพื่อที่ลาดตระเวนจะจับโจรผู้ร้าย ไม่ต้องไปขอตรา เจ้ากระทรวงมหาดไทยอีกต่อไป ปี พ.ศ. ๒๔๔๑-๒๔๔๒ (ร.ศ. ๑๑๗-๑๑๘) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ทำบัญชีสำมะโนประชากรของเมืองประทุมธานี ปรากฏว่ามีประชากรในเมืองประทุมธานีทั้งสิ้น ๒๑,๓๖๐ คน พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้ใช้คำว่า "จังหวัด" แทนคำว่าเมือง ดังนั้นเมืองประทุมธานี จึงเป็นจังหวัดประทุมธานีเป็นต้นมา โดยเปลี่ยนการเขียนใหม่ด้วย คือ "ประทุมธานี" เป็น "ปทุมธานี" ขึ้นอยู่กับมณฑลกรุงเก่า มีเขตการปกครอง ๓ อำเภอ คือ อำเภอบางกะดี อำเภอสามโคก และอำเภอเชียงราก ทั้งสามอำเภอตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ ๆ กัน และมีอาณาเขตการปกครองของแต่ละอำเภอเป็นแนวลึกไปทางทิศตะวันตก ซึ่งไม่เหมาะแก่การปกครองเป็นอย่างยิ่ง ทางราชการจึงได้ประกาศให้แบ่งเขตการปกครองเสียใหม่ และให้ย้ายอำเภอเชียงรากไปตั้งที่ตำบลระแหงทางทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี เรียกว่า "อำเภอระแหง" ไปก่อน ตามหนังสือศาลากลางเมืองประทุมธานีที่ ๘๒๔/๓๒๒๘ ลงวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘ แล้วให้เปลี่ยนชื่ออำเภอ ระแหง เป็นอำเภอลาดหลุมแก้ว แต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๗ ทางราชการให้ยุบจังหวัดธัญญบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ทำให้จังหวัดปทุมธานีมีเขตพื้นที่อีก ๔ อำเภอเพิ่มเข้ามารวมเป็น ๗ อำเภอ คือ อำเภอบางกะดี อำเภอสามโคก อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอธัญบุรี อำเภอลำลูกกา อำเภอบางหวาย อำเภอหนองเสือ (สำหรับอำเภอบางหวาย ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "อำเภอคลองหลวง" เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๘ เมื่อทางราชการโดยบริษัทคูนาสยาม ได้ขุดคลองที่สองเชื่อมคลองรังสิตทางทิศใต้กับคลองระพีพัฒน์ทางทิศเหนือแล้วเสร็จ เนื่องจากตัวอาคารที่ว่าการอำเภอตั้งอยู่ริมคลองที่หลวง (ราชการ) ได้ขุดขึ้น) ดังนั้น เมืองสามโคก จึงเป็นที่ตั้งของจังหวัดปทุมธานีมาก่อน แต่เนื่องจากสภาพของเมืองมีลักษณะเป็นแหล่งอพยพ เจ้าเมืองผู้ใดมีบ้านเรือนตั้งอยู่ ณ ที่ใด ที่ว่าการเมืองก็อยู่ที่นั่นจึงทำให้ที่ว่าการเมืองต้องย้ายอยู่ถึง ๘ ครั้ง ดังนี้ คือ ครั้งที่ ๑ ย้ายจากตำบลบ้านงิ้ว ปากคลองบ้านพร้าว บริเวณวัดพญาเมือง (วัดร้าง) ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ไปตั้งที่บ้านสามโคก ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาระหว่างวัดตำหนักกับวัดสะแก ครั้งที่ ๒ ย้ายมาจากบ้านสามโคก ไปตั้งที่บ้านตอไม้ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงกับวัดปทุมทองในปัจจุบัน ครั้งที่ ๓ ย้ายจากบ้านตอไม้ไปตั้งที่บ้านสามโคก ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาตามเดิม ครั้งที่ ๔ ย้ายจากบ้านสามโคกไปตั้งที่ปากคลองบางหลวงไหว้พระ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลบ้านฉาง อำเภอเมืองปทุมธานี ปัจจุบัน ครั้งที่ ๕ ย้ายจากปากคลองบางหลวงไหว้พระไปตั้งระหว่างปากคลองบางโพธิ์ ฝั่งเหนือกับคลองบางหลวงฝั่งใต้ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ครั้งที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๕๙) ย้ายจากปากคลองบางโพธิ์เหนือไปตั้งที่บ้านโคกชะพลูใต้คลองบางทรายฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ครั้งที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๐) ย้ายจากบ้านโคกชะพลู ไปตั้งที่ตำบลบางปรอก อำเภอเมืองปทุมธานี ปัจจุบัน ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ครั้งที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๑๙) ย้ายจากตำบลบางปรอก ไปตั้งที่ตำบลบ้านฉางนอกเขตเทศบาลเมืองปทุมธานี ตรงสี่แยกถนนปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว ติดกับโรงพยาบาลปทุมธานีและด้านหน้าติดกับถนนแยกไปอำเภอสามโคก ย้ายไปปฏิบัติการเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๑๙ การก่อสร้างอาคารศาลากลางจังหวัดปทุมธานี ที่ย้ายครั้งที่ ๘ ใหม่นี้ ได้เริ่มลงมือก่อสร้างอาคารสมัย พลตรีวิทย์ นิ่มนวล เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ได้เสด็จมาทรงเป็นองค์ประธานประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ดังคำกราบทูลของพลตรีวิทย์ นิ่มนวล ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ถวายรายงานแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชตอนหนึ่งว่า ".......เกล้ากระหม่อมและบรรดาข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ชาวจังหวัดปทุมธานีรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณ เป็นล้นพ้น ที่ฝ่าพระบาทได้ทรงพระกรุณาสละเวลาเสด็จมาเป็นองค์ประธาน ในพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารศาลากลางจังหวัดปทุมธานีหลังใหม่ในวันนี้ นับเป็นพระเดชพระคุณหาที่สุด มิได้...." ที่ดินในการปลูกสร้างอาคารศาลากลางหลังใหม่นี้ คุณนายกฐิน กุยยกานนท์ ได้ยกให้กับทางราชการ จำนวน ๑๖ ไร่ การก่อสร้างใช้เงินงบประมาณ ในการถมดินและก่อสร้าง รวมทั้งสิ้น ๘,๙๒๖,๐๐๐ บาท (แปดล้านเก้าแสนสองหมื่นหกพันบาท) เมื่อสร้างอาคารหลังใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ขนย้ายพัสดุครุภัณฑ์ เอกสารต่าง ๆ จากศาลากลางเก่า ไปศาลากลางใหม่ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๙ เมื่อนายสุธี โอบอ้อม มาดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองปทุมธานีเป็นอย่างมาก ได้สำรวจค้นหาศาลหลักเมืองปทุมธานีและสอบถามชาวเมืองปทุมธานี แล้วปรากฏว่า เมืองนี้ได้โยกย้ายตัวเมืองอยู่หลายครั้งและไม่เคยมีศาลหลักเมืองมาก่อนเหมือนเมืองอื่น ๆ จึงดำริเห็นเป็นสำคัญว่า ควรจะสร้างศาลหลักเมืองไว้ให้มั่นคง เพื่อเป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวปทุมธานี พร้อมทั้งให้เกิดความรักสามัคคีกันให้มากยิ่งขึ้น ทั้งยังจะนำความสงบสุขร่มเย็นมาสู่เมืองด้วย ความดำรินี้จึงเห็นพ้องต้องกันระหว่างข้าราชการ พ่อค้าแม่ค้า และประชาชน ได้ร่วมกันสละทรัพย์คนละเล็กคนละน้อย ดำเนินการสร้างศาลหลักเมืองขึ้น โดยเริ่มลงมือทำพิธีสะเดาะพื้นที่ที่จะสร้างศาลหลักเมือง เพื่อความสวัสดิมงคล เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๙ ต่อมาสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (วาสน์ วาสโน) ได้เสด็จมาทรงเป็นประธานวางศิลาฤกษ์หลักเมือง เมื่อวันจันทร์ วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ตรงกับเวลา ๑๕.๐๐ น. เดือนยี่ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีมะโรง ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดปทุมธานี ทางกรมศิลปากร ได้เป็นผู้ออกแบบประดิษฐ์ตัวเสาหลักเมือง ซึ่งทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ที่ทางกรมป่าไม้ได้นำมาจากสวนป่าลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์มอบให้ ครั้นเมื่อประดิษฐ์เสร็จเรียบร้อยแล้วได้นำเข้าพระตำหนักสวนจิตรลดาเพื่อทูลเกล้า ฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๙) ทรงเจิมเมื่อวันศุกร์ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ เวลาฤกษ์ ๘.๒๙ น. และในคืนนี้เวลาประมาณ ๕ ทุ่ม ได้เกิดจันทรคราสจับครึ่งดวงเป็นที่น่าอัศจรรย์ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:17:05 ปทุมธานี ๒
เมื่อสร้างตัวศาลหลักเมืองแบบจตุรมุขยอดปรางค์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้กำหนดการประกอบพิธียกเสาหลักเมืองจังหวัดปทุมธานี เมื่อวันพุธ วันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ โดยมี ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี มีขบวนแห่ยาวเหยียด มีการสมโภชเฉลิมฉลองเป็นงานใหญ่อย่าง เอิกเกริก ศาลหลักเมืองจึงตั้งเด่นเป็นสง่า อยู่หน้าศาลากลางจังหวัดปทุมธานี มีผู้คนมากราบไหว้บูชากันอยู่มิได้ขาด นับว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นศูนย์รวมน้ำใจของชาวปทุมธานี ให้มีความรักสมัครสมานสามัคคีกันให้แข็งแกร่ง เพื่อปกป้องคุ้มครองสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพรักยิ่งชีวิตของชาวไทย ไว้ให้มั่นคงถาวรสืบไปชั่วกาลนาน การจัดรูปการปกครองระบบมณฑลเทศาภิบาล แต่เดิมการปกครองบ้านเมืองมีข้อสำคัญเป็นหลัก ๒ ประการ คือ เมื่อมีข้าศึกศัตรู ภายนอก ชาวเมืองต้องช่วยกันรบพุ่งต่อสู้ป้องกันบ้านเมืองประการหนึ่ง ซึ่งตรงกับ "การทหาร" และในยามที่บ้านเมืองเป็นปกติสุข ก็ช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองอีกประการหนึ่ง ซึ่งตรงกับการ "การพลเมือง" ด้วยเหตุนี้กรมต่าง ๆ จึงต้องทำงานทั้งในด้านการทหารและพลเรือน สุดแต่จะมีงานฝ่ายไหนเป็นสำคัญ แต่การสงครามนั้นนาน ๆ จะมีสักครั้ง จึงมักจะมีงานฝ่ายพลเรือนมากกว่า และเมื่อก่อนที่จะแบ่งแยก ระเบียบราชการเป็นฝ่ายทหารและพลเรือนนั้น ในราชการฝ่ายพลเรือน มีกรมใหญ่อยู่ ๔ กรม คือ กรมเมือง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา เรียกรวมกันว่า "จตุสดมภ์" โดยหัวหน้ากรมทั้ง ๔ มีศักดิ์เสมอกันทั้ง ๔ คน เป็นใหญ่กว่าข้าราชการทั้งปวง ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงกำหนดราชการให้เป็นฝ่ายทหารและพลเรือน โดยทรงตั้งหน่วยราชการเพิ่มขึ้นอีก ๒ กรม คือ กรมกลาโหม และกรมมหาดไทย ซึ่งกรมทั้ง ๒ นี้มีฐานะใหญ่กว่าจตุสดมภ์ดังกล่าวแล้ว และเป็นผู้ควบคุมบังคับบัญชาฝ่ายทหารและพลเรือนทั้งหมด มีอัครมหาเสนาบดีเป็นหัวหน้าฝ่ายละคน คือ สมุหพระกลาโหม และสมุหนายก แต่ก็มิใช่เป็นการแบ่งแยกราชการออกเป็นทหารและพลเรือน เช่นในปัจจุบัน ข้าราชการทั้ง ๓ ฝ่ายยังคงมีหน้าที่ต้องทำทั้งการทหารและพลเรือนอยู่อย่างเดิม ส่วนการปกครองหัวเมืองนั้น อำนาจการปกครองบังคับบัญชาแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะทางใกล้ไกล คือ หัวเมืองที่อยู่ห่างไกลจากราชธานีมาก ก็จะมีอิสระในการปกครองตนเองมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้แบ่งออกเป็นเมืองเอก โท ตรี และมืองจัตวา โดยให้เมืองน้อยขึ้นกับเมืองใหญ่ คือ หัวเมืองชั้นในขึ้นกับราชธานี และเมืองเล็กขึ้นกับเมืองพระยามหานคร เป็นต้น ระบบการปกครองดังกล่าวนี้ ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามแต่เหตุการณ์และความเหมาะสม ซึ่งก็ได้ใช้อยู่ตลอดมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ จึงได้มีการปฏิรูปการบริหารราชการเสียใหม่ โดยทรงแบ่งหน่วยราชการส่วนกลางออกเป็น ๑๒ กระทรวงด้วยกัน แต่ละกระทรวงมีเสนาบดีเป็นผู้บังคับบัญชา มีฐานะเท่าเทียมกันทุกตำแหน่ง สำหรับการ ปกครองส่วนภูมิภาค หรือการปกครองหัวเมือง ซึ่งแต่เดิมได้แยกกันอยู่ในบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกรมท่า (ก่อนเปลี่ยนเป็นกระทรวงการต่างประเทศ) ก็ได้ปรับปรุงให้รวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล มีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง รวม ๖ มณฑล คือ มณฑลลางเฉียง หรือ มณฑลพายัพ มณฑลลาวพวน หรือมณฑลอุดร (มณฑลนี้เมื่อก่อน พ.ศ. ๒๔๓๖ รวมหัวเมืองฝั่งซ้าย แม่น้ำโขงเข้าด้วย เช่น เมืองพวน และเมืองเชียงขวาง จนกระทั่ง ร.ศ. ๑๑๒ คงเหลือเพียง ๖ เมือง) มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา มณฑลลาวกลาง และมณฑลภูเก็ต แต่การรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลดังกล่าวนี้ยังไม่ใช่การปกครองลักษณะมณฑลเทศาภิบาล การเทศาภิบาล การเทศาภิบาล คือ การปกครองที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาค โดยแบ่งการปกครอง เป็นมณฑล เมือง อำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน ทั้งนี้ได้จัดแบ่งหน้าที่ การงานออกเป็นสัดส่วน โดยมีสมุหเทศาภิบาล ผู้ว่าราชการเมือง และนายอำเภอ เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการจะดูแลทุกข์สุขของประชาชนในเขตท้องที่นั้น รวมทั้งมีกำนันผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ช่วยเหลือปฏิบัติงานในระดับตำบล และหมู่บ้าน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งการเทศาภิบาลเป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาค มีลักษณะรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยการที่รัฐบาลจัดส่งข้าราชการไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ แทนที่จะให้ส่วนภูมิภาคจัดการปกครองกันเอง อันเป็นการยกเลิกการปกครองแบบโบราณดั้งเดิมของไทยที่เรียกว่า "กินเมือง" ให้หมดสิ้นไป เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริ จะจัดการปกครอง พระราชอาณาจักรให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าการที่หัวเมืองต่างก็แยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงต่าง ๆ ถึง ๓ กระทรวงนั้น เป็นการยากที่จะจัดการปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้ จึงทรงมีพระบรมราชโองการให้แบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหมเสียใหม่และเมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวง โดยให้รวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลขึ้นต่อกระทรวงมหาดไทย ต่อมาจึงได้ดำเนินการจัดระบบการปกครองในรูปมณฑลเทศาภิบาลดังกล่าว ข้างต้น ซึ่งได้เริ่มใช้อย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ แต่ก็มิได้ดำเนินการพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณา-จักร คงจัดตั้งมณฑลขึ้นตามความเหมาะสมและให้ปรับปรุงมณฑลที่ตั้งก่อน พ.ศ. ๒๔๓๗ ให้เป็นลักษณะเทศาภิบาลเหมือนกันเป็นลำดับ ดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เมื่อเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ผ่านพ้นไปแล้วได้เริ่มจัดระบบการเทศาภิบาล โดยเลิกประเพณีการมีประเทศราชและได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลรวม ๓ มณฑล คือมณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีน และได้รวบรวมหัวเมืองจากกระทรวงกลาโหมและกรมท่ามาตั้งเป็นมณฑลราชบุรี พ.ศ. ๒๔๓๘ ตั้งขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑล กรุงเก่า (เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า มณฑลอยุธยา ในรัชกาลที่ ๖) พ.ศ. ๒๔๓๙ ตั้งชื่อ ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลสุราษฎร์) พ.ศ. ๒๔๔๐ ตั้งขึ้น ๑ มณฑล โดยโอนหัวเมืองของไทย และหัวเมืองมลายูฝ่ายตะวันตก ซึ่งเป็นประเทศราชมาก่อน ตั้งเป็นมณฑลไทรบุรี พ.ศ. ๒๔๔๒ ตั้งขึ้น ๑ มณฑล คือ มณฑลเพชรบูรณ์ มณฑลนี้มีการตั้งและยุบถึง ๒ ครั้ง เพราะเป็นท้องที่กันดารและเป็นมณฑลที่มีท้องที่เล็กกว่ามณฑลอื่น พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ปรับปรุงจัดระบบมณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ซึ่งเป็นมณฑลในสภาพเดิม ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๙ ตั้งมณฑลขึ้นใหม่ ๒ มณฑล คือ มณฑลจันทบุรี และได้แบ่งหัวเมืองจากมณฑลนครศรีธรรมราช มารวมกันจัดตั้งเป็นมณฑลปัตตานี พ.ศ. ๒๔๕๕ ตั้งมณฑลเพิ่มอีก ๑ มณฑล โดยแบ่งแยกท้องที่จากมณฑลอีสาน ออกเป็น ๒ มณฑล เรียกว่า มณฑลอุบลราชธานีและมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ ตั้งมณฑลเพิ่มขึ้นอีก ๑ มณฑล โดยแบ่งพื้นที่จากมณฑลพายัพ มาตั้งเป็นมณฑลมหาราษฎร์ อีก ๑ มณฑล มณฑลกรุงเทพฯ ได้จัดตั้งเป็นมณฑล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๘ เนื่องจากเป็นที่ตั้งราชธานีจึงมีระเบียบการปกครองผิดกับระเบียบการปกครองของมณฑลอื่น ๆ กล่าวคือ ไม่มีตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาล หรือสมุหเทศาภิบาล มณฑลกรุงเทพฯ อยู่ใต้บังคับบัญชารับผิดชอบของเสนาบดีกระทรวงนครบาลโดยเฉพาะ และเมื่อรวมกระทรวงนครบาลเข้ากับกระทรวงมหาดไทยแล้ว จึงมีสมุหนครบาลเป็นหัวหน้ารับผิดชอบเช่นเดียวกับมณฑลอื่น ๆ มณฑลกรุงเทพฯ มีเมืองอยู่ในปกครอง ๖ เมือง คือ พระนคร ธนบุรี ปทุมธานี นครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) สมุทรปราการและนนทบุรี หลังจากที่ได้จัดการปกครองระบบเทศาภิบาลแล้ว ก็มีการปรับปรุงแก้ไขตลอดมาและเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศเปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" ต่อเมื่อมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การปกครองระบบเทศาภิบาล ได้ถูกยุบเลิกโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๔๗๙ ซึ่งให้ถือจังหวัดเป็นเขตการปกครองส่วนภูมิภาคนับแต่นั้นเป็นต้นมา การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็น หน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒) เพื่อประหยัดค่าจ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วน ภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒) อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓) ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑) จังหวัด ๒) อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคลการตั้ง ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดปทุมธานี. กรุงเทพ, โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น : ๒๕๒๗. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:18:30 เพชรบุรี
สมัยฟูนัน นักโบราณคดีไทยได้แบ่งสมัยแห่งประวัติศาสตร์ในประเทศไทยไว้เป็น ๓ ยุคคือ - ยุคก่อนประวัติศาสตร์ แบ่งเป็นยุคหินและยุคโลหะซึ่งยุคหินนั้นแบ่งเป็นยุคหินเก่า, หินกลางและยุคหินใหม่ ส่วนยุคโลหะนั้นแบ่งเป็นยุคโลหะตอนต้น และยุคโลหะตอนปลาย - ยุคหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์ เป็นสมัยสุวรรณภูมิ มีอาณาจักรฟูนาน - ยุคประวัติศาสตร์ แบ่งได้ ๒ ตอน คือ ยุคประวัติศาสตร์ตอนต้น ประกอบด้วยอาณาจักรอิศานปุระ (เจนละ) ทวารวดี ศรีวิชัย โยนก ศรีจนาศะ ลพบุรี (ละโว้ปุระ) และยุคประวัติศาสตร์ไทยซึ่งแบ่งได้ ๒ สมัย คือ สมัยรัฐไทยอิสระประกอบด้วยลานนาไทย สุโขทัย ละโว้ อยุธยา และนครศรีธรรมราช อีกสมัยคือสมัยอาณาจักรไทย แบ่งได้ ๓ สมัย คือ กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์ คือ ยุคสุวรรณภูมิซึ่งมีอาณาจักรฟูนาน เริ่มแต่พุทธศตวรรษที่ ๖ - ๑๒ นั้น หนังสือ สมุดเพชรบุรี กล่าวว่ามีความเชื่อตาม ดร.จัง บัวเซอร์ ลิเอร์ (Jean Boisselier) ว่าอาณาจักรนี้มีอาณาเขตตั้งแต่แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาตลอดไปถึงลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลางและเวียดนามใต้ทั้งนี้ เพราะได้ขุดพบโบราณวัตถุหลายอย่างแสดงว่าเป็นแหล่งและสมัยเดียวกัน และยังเชื่อว่าอาณาจักรนี้จะต้องคลุมถึงราชบุรี เพชรบุรี ตลอดไปจนถึงชุมพรโดยได้สันนิษฐานว่าเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ ชาวบ้านได้ขุดพบโบราณวัตถุต่าง ๆ เช่น ลูกปัด ศิวลึงค์ ฐานตั้งศิวลึงค์ ที่เขาสามแก้ว อำเภอเมืองชุมพร โดยเฉพาะลูกปัดเป็นชนิดเดียวกัน นอกจากนี้ได้พบลูกปัดสมัยทวารวดีอีกเป็นจำนวนมาก จึงได้สันนิษฐานว่าเมืองเพชรบุรีคงอยู่ในอาณาจักร ดังกล่าว สมัยทวารวดี อาณาจักรทวารวดีอยู่ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๖ อาณาจักรนี้มีกล่าวไว้ใน จดหมายเหตุจีนและจดหมายเหตุการเดินทางของหลวงจีน เรียกอาณาจักรนี้ว่า ตุยลอปาตี หรือ สุ้ยล้อปึ๊งตี๋ ซึ่งรวมเมืองราชบุรี เพชรบุรี คูบัว พงตึก นครปฐม กำแพงแสน ลพบุรี นครสวรรค์ ลำพูน ฯลฯ นักโบราณคดีเชื่อกันว่า ชนชาติที่อาศัยอยู่ในแถบนี้เป็นชนชาติมอญ ศิลปวัฒนธรรมที่ได้พบในภาคกลางโดยเฉพาะที่เพชรบุรี ราชบุรี นครปฐม ส่วนใหญ่เป็นศิลปะที่มีฝีมือดีกว่าแถบอื่น (ผู้เขียนเชื่อว่าอาณาจักรนี้เลยลงไปถึงเมืองปราณบุรี และชุมพรดังหลักฐานที่ได้กล่าวมาแล้ว) สำหรับเมืองหลวงของอาณาจักรนี้ บ้างก็ว่าเป็นนครปฐม บ้างก็ว่าเป็นเมืองอู่ทอง เพราะทั้งสองแห่งได้พบโบราณสถานขนาดใหญ่ จากตำนานเมืองนครศรีธรรมราชกล่าวไว้ว่า พระพนมทะเลศรีมเหสวัสดิทราธิราชพระบวรเชษฐพระราชกุมาร อันเป็นพระราชนัดดา ได้ลาพระเจ้าปู่พระเจ้าย่ามาตั้งบ้านเมืองอยู่ ณ เพชรบุรี โดยได้นำคนมาสามหมื่นสามพันคน ช้างพังทลายห้าร้อยเชือก ม้าเจ็ดร้อยตัว สร้างพระราชวังและบ้านเรือนอยู่หน้าพระลาน ให้คนเหล่านั้นทำนาเกลือ ครองราชย์อยู่กรุงเพชรบุรีไม่นานนัก มีสำเภาจีนลำหนึ่งถูกพายุมาเกยฝั่ง ชาวเพชรบุรีได้นำขุนล่ามจีนเข้าเฝ้า ขุนล่ามได้ถวายเครื่องราชบรรณาการแก่กษัตริย์เมืองเพชรบุรี ขุนล่ามจีนได้ขอฝาง ทางเมืองเพชรบุรีได้มอบฝางให้จนเต็มเรือ เมื่อเรือกลับถึงเมืองจีน พระเจ้ากรุงจีนทรงทราบจึงโปรดพระราชทานบุตรีชื่อ พระนางจันทรเทวีศรีบาทราชบุตรีทองสมุทร ซึ่งประสูติแต่นางจันทรเมาลีศรีบาทนาถสุรวงศ์พระธิดาเจ้าเมืองจำปาได้ถวายแก่พระเจ้ากรุงจีน พระพนมทะเลศรีมเหสวัสดิทราธิราชทรงมี พระราชบุตรหลายพระองค์ องค์หนึ่งพะนามว่าพระพนมวังมีมเหสีทรงพระนามว่าพระนาง สะเดียงทอง พระพนมทะเลโปรดให้ไปสร้างเมืองนครดอนพระ พร้อมด้วยพระเจ้าศรีราชา พระราชทานคนเจ็ดร้อยคน แขกห้าร้อยคน ช้างสามร้อยเชือก ม้าสองร้อยตัว เมื่อไปถึงเมืองและสร้างพระธาตุ จากตำนานเรื่องนี้แสดงว่า เมืองเพชรบุรีได้เจริญรุ่งเรืองและเป็นเมืองหลวง เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง พระโอรสของกษัตริย์เมืองนี้ได้ไปสร้างเมืองศิริธรรมนครหรือนครศรีธรรม- ราชและสร้างพระบรมธาตุเมืองนครด้วย จากคำให้การของชาวกรุงเก่าได้กล่าวถึงพระเจ้าอู่ทองสร้างเมืองเพชรบุรีไว้ว่า พระ-อินทราชาซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าชาติราชาได้ครองเมืองสิงห์บุรี พระอินทราชาไม่มีโอรส จึงทรงมอบราชสมบัติให้พระราชอนุชาครองราชสมบัติแทน พระนามว่าพระเจ้าอู่ทอง ส่วน พระองค์ได้เสด็จไปซ่อมแปลงเมืองเพชรบุรีเป็นเมืองหลวง บ้างก็กล่าวว่าพระองค์ถูกพระอนุชาและพระมเหสีคบคิดกันจะลอบปลงพระชนม์ พระองค์จึงหนีไปสร้างเมืองเพชรบุรี ต่อมาทรงได้พระราชโอรสองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระอู่ทอง ตามชื่อพระเจ้าอา พระโอรสองค์นี้ประสูติแต่พระมเหสีชื่อ มณีมาลา เมื่อพระอู่ทองมีพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา พระอินทราชาสวรรคต พระองค์จึงได้ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าอู่ทอง มเหสีทรงพระนามว่า พระนางภูมมาวดีเทวี ในศักราช ๑๑๙๖ พระเจ้าอู่ทองได้ทรงแบ่งเขตแดนกับพระเจ้าศรีธรรมโศกราช เจ้าเมืองศิริธรรมนคร โดยใช้แท่นหินเป็นเครื่องหมาย ทางเหนือเป็นของพระเจ้าอู่ทอง ทางใต้เป็นของพระเจ้าศรีธรรมโศกราช และทั้งสองประเทศจะเป็นไมตรีเสมอญาติกัน หากพระเจ้าศรี-ธรรมโศกราชสิ้นพระชนม์เมื่อใด ก็ขอฝากนางพญาศรีธรรมโศกราช พญาจันทรภานุและพญา-พงศ์สุราหะพระอนุชาด้วยทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนสินค้ากัน โดยทางฝ่ายเพชรบุรีส่งเกลือไปให้ ทางเมืองนครศรีธรรมราชส่งหวาย แซ่ม้าเชือก เป็นต้น มาให้พระเจ้าศรีธรรมโศกราชฯ ให้ซ่อมแปลงพระธาตุและส่งเครื่องราชบรรณาการและพระราชสาส์นมายังพระเจ้าอู่ทอง พระองค์โปรดฯ ให้นำเครื่องไทยทานไปยังเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาเมืองเพชรบุรีเกิดข้าวยากหมากแพง ราษฎรอดอยาก เกิดโรคภัยไข้เจ็บ พระเจ้าอู่ทองจึงทรงหาที่ตั้งเมืองใหม่ โดยทรงตกลงสร้างเมืองขึ้น ณ ตำบลหนองโสน ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ทรงสร้างนครอินทปัตย์ เมื่อ พ.ศ.๑๑๑๑ เมื่อสร้างเมืองเสร็จแล้วทรง ตั้งชื่อว่ากรุงเทพมหานครบวรทวารวดีศรีอยุธยา มหาดิลกบวรรัตนราชธานีบุรีรมย์ และทรงสถาปนาพระองค์ใหม่ว่าพระเจ้ารามาธิบดีสุริยประทุมสุริยวงศ์ จากบันทึกของลาลูแบร์ได้กล่าวถึงกษัตริย์เมืองเพชรบุรีไว้ว่า ปฐมกษัตริย์สยามทรงพระนามว่าพระปฐมสุริยเทพนรไทยสุวรรณบพิตร ครองนครไชยบุรี พ.ศ.๑๓๐๐ สืบราชสันติวงศ์มาสิบชั่วกษัตริย์ องค์สุดท้ายทรงพระนามว่าพญาสุนทรเทพมหาเทพราช โปรดฯ ให้ย้ายเมืองหลวงตั้งชื่อใหม่ว่าธาตุนครหลวง (Tasoo Nocorn Louang) ในปี พ.ศ.๑๗๓๑ กษัตริย์องค์ที่ ๑๒ สืบต่อมาจากพญาสุนทรฯ ทรงพระนามว่าพระพนมไชยศิริ พระองค์โปรดฯ ให้ราษฎรไปอยู่ ณ เมืองนครไทยทางตอนเหนือของเมืองพิษณุโลก ส่วนพระองค์เองไปสร้างเมืองใหม่ชื่อพิบพลี (Pipeli) ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีพระมหากษัตริย์สืบต่อมา ๔ ชั่วกษัตริย์จนถึงองค์สุดท้ายทรงพระนามว่า รามาธิบดี ได้สร้างเมืองสยามขึ้นเมื่อ พ.ศ.๑๘๙๔ จากบันทึกนี้กับตำนานเมืองนครศรีธรรมราชมีส่วนคล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่เพี้ยนนามเท่านั้น คือ พระพนมทะเลศรีมเหสวัสดิทราธิราชกับพระพนมไชยศิริ ส่วนองค์ที่สร้างกรุงศรี-อยุธยานั้นพระนามตรงกัน อย่างไรก็ตาม เรื่องพระพนมไชยศิรินี้ บางตำนานได้กล่าวไว้ว่า เป็นเจ้าเมืองเวียง-ไชยปราการได้หนีข้าศึกมาจากเมืองสุธรรมวดี (สะเทิม) เมื่อ พ.ศ.๑๕๔๗ ในตอนแรกจะอพยพครอบครัวไปทางทิศตะวันตกของแม่น้ำกก แต่ในขณะนั้นในแม่น้ำมีมาก จึงล่องใต้มายังตำบลหนึ่งแล้ว จึงสร้างเมืองขึ้นให้ชื่อว่า กำแพงเพชร และที่เมืองสุโขทัยยังมีเมืองๆ หนึ่งชื่อ เมืองเพชรบุรี อยู่ที่อำเภอคีรีมาศริมฝั่งคลองสาระบบ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง เรื่องเมืองเพชรบุรี หรืออาณาจักรเพชรบุรี เคยมีกษัตริย์ ปกครองนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้ข้อคิดเห็นว่า เดิมเมื่อประมาณพันปีเศษมาแล้ว เมืองเพชรบุรีมีกษัตริย์ปกครองเช่นเดียวกับเมืองนครศรีธรรมราช มาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นใหญ่ อำนาจของเมืองทั้งสองจึงตกแก่กรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ตาม ถ้าหากจะรวบรวมพระนามกษัตริย์อาณาจักรเพชรบุรีที่ปรากฏมี ๖ พระนามคือ ๑. พระพนมทะเลศรีมเหนทราชาธิราช ๒. พระพนมไชยศิริ ๓. พระกฤติสาร ๔. พระอินทราชา ๕. พระเจ้าอู่ทอง ๖. เจ้าสาม สมัยกรุงสุโขทัย เมืองเพชรบุรีในสมัยสุโขทัยนั้น เข้าใจว่าเป็นอาณาจักรเล็กๆ อาณาจักรหนึ่งขึ้นตรงต่ออาณาจักรสุโขทัย จากบันทึกของจีนสมัยพระเจ้าหงวนสีโจ๊วฮ่องเต้ พ.ศ.๑๘๓๗ กล่าวว่า กัมจูยือตัง (กันจูเออตัน กมรเตง) แห่งเมืองปิกชิกฮั้นปูลีเฮียะ (ปีฉีปุลีเยะเพชรบุรี) ส่งทูตมาถวายเครื่องบรรณาการ แต่จดหมายเหตุบางฉบับเขียนเป็น ปิกชิกปูลี หรือ ปิชะปูลี ซึ่งกล่าวถึงเมืองเพชรบุรี นอกจากนี้ยังได้กล่าวอีกว่า พระโองการชี้ชวนให้กันจูยือตัง (กันจูเออตัน, กมรเตง) เจ้าประเทศสยามมาเฝ้า มีกิจก็ให้ลูกน้องชายกับอำมาตย์มาเป็นตัวจำนำ และใน พ.ศ.๑๙๓๔ สมัยรัชกาลพระเจ้าฮ่งบู้ ประเทศริวกิวสยาม เปียกสิกโปบลี้ (เปะชีปาหลี่) กัศมิระ เข้าถวายบรรณาการ ข้อความนี้นายเลียง เสถียรสุต ผู้แปลโดยอธิบายว่า เมืองเปียกกสิกโปบลี้หรือเปะซีปากลี่ นั้นหมายถึงแคว้นโคถานในมงโกล แต่ผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นเมืองเพชรบุรีมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคำอื่นที่จีนได้บันทึกไว้ดังคำแรก ๆ ที่กล่าวไว้ข้างบนใน พ.ศ.ดังกล่าวจะตรงกับรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๒ ซึ่งครองราชย์ถึง พ.ศ.๑๙๔๒ ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ได้จารึกเรื่องราวในสมัยนั้นไว้ตอนหนึ่งได้กล่าวถึงพระราชอาณาเขตไว้ว่า เบื้องตะวันออกรอดสระหลวงสองแควลุมบาจายสคาเท้าฝั่งโขงถึงเวียงจันเวียงคำเป็นที่แล้ว เบื้องหัวนอนรอดคนทีพระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราชฝั่งทะเลสมุทรเป็นที่แล้ว สมัยกรุงศรีอยุธยา การปกครองหัวเมืองในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้จัดแบ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายตะวันออก หัวเมืองฝ่ายตะวันตก หัวเมืองฝ่ายเหนือ และหัวเมืองปักษ์ใต้ สำหรับเมืองเพชรบุรีนั้นสังกัด หัวเมืองฝ่ายตะวันตกซึ่งมีเมืองต่าง ๆ ดังนี้ เมืองเพชรบุรี ราชบุรี นครไชยศรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ศรีสวัสดิ์ ไทรโยคท่ากระดาน ทองท่าพี และเมืองทองผาภูมิ ในสมัยนี้อาจถือได้ว่า เมืองเพชรบุรีเป็นเมืองที่สำคัญเมืองหนึ่ง เพราะเป็นเมืองที่ข้าศึกต้องยกทัพผ่านเข้ามา เพื่อจะไปตีกรุงศรีอยุธยา เป็นเมืองท่าที่เรือสินค้าต่าง ๆ จอดแวะพักก่อนที่จะเข้าไปยังเมืองหลวง หรือจะล่องไปยังหัวเมืองปักษ์ใต้ หรือจะเดินทางไปเมืองมะริด เมาะลำเลิง หัวเมืองมอญ ดังนั้นเจ้าเมืองนี้จึงต้องมีความรู้ความสามารถหลายด้าน คือทั้งด้านการรบ การปกครอง รวมทั้งการติดต่อสัมพันธ์กับเมืองอื่น ในส่วนการทำมาหากินนั้น เมืองนี้ก็อุดมสมบูรณ์ทั้งข้าวปลาอาหาร ยามใดที่บ้านเมืองเปลี่ยนแผ่นดิน หรือมีข้าศึกมาติดพันหลายด้าน เมืองเพชรบุรีต้องเตรียมตัวที่จะต่อสู้กับศัตรูโดยตรงรวมทั้งศัตรูที่ลอบเข้ามาปล้นบ้านเมืองซ้ำเติมอีกด้วย ใน พ.ศ.๒๑๐๐ แผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ได้เพียงปีเดียว พระยาละแวกก็ยกทัพมาตี กรุงศรีอยุธยา มีกำลังพลเพียงสามหมื่น ขณะนั้นปืนใหญ่น้อยรอบพระนครถูกพระเจ้าหงสาวดีเอาไปเกือบหมดสิ้น เมื่อได้ปรึกษากับเสนาบดีทั้งหลายแล้ว บางท่านว่าควรอพยพไปอยู่ที่เมืองพิษณุโลกชั่วคราว โดยให้รีบแต่งกองเรือพระที่นั่ง การครั้งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าเมืองเพชรบุรี คือ พระเพชรรัตน์เจ้าเมืองเพชรบุรีในขณะนั้นมีความผิดด้วยสถานใดไม่ทราบได้ ถูกปลดออกจากเจ้าเมืองตนจึงคิดขบถโดยเตรียมสะสมผู้คนไว้เพื่อปล้นทัพหลวงที่จะแยกไปยังเมืองพิษณุโลกแต่พระองค์มิได้เสด็จทั้งนี้เพราะขุนเทพวรชุนได้กราบทูลให้ ต่อสู้กับเขมรเพราะเห็นว่าการทัพครั้งนี้ไม่ใหญ่โต พระองค์จึงเตรียมรับศึกเขมร การรบคราวนี้เขมรไม่สามารถตีเอากรุงศรีอยุธยาได้ จึงยกทัพกลับไป ในสมัยเดียวกันนี้เมื่อ พ.ศ.๒๑๑๓ พระยาละแวกได้ให้พระยาจีนจันตุกับพระยาอุเพศราช ยกทัพเรือมาตีเมืองเพชรบุรีด้วยกำลังพลสามหมื่น พระศรีสุรินทรฤาไชยเจ้าเมืองเพชรบุรี พร้อมด้วยกรมการเมืองได้รักษาเมืองไว้เต็มความสามารถรบพุ่งต่อสู้กันถึงสามวัน ข้าศึกเสียรี้พลและอาวุธเป็นจำนวนมาก เมื่อพระยาทั้งสองเห็นว่าจะตีเมืองเพชรบุรีไม่ได้แน่แล้ว จึงยกทัพกลับ แต่พระยาจีนจันตุมิได้กลับเมืองเขมร ด้วยเกรงพระยาละแวกจะเอาโทษในฐานที่ตีเอาเมืองเพชรบุรีไม่ได้ จึงอพยพครอบครัวเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยา พระมหาธรรมราชาธิราชทรงอุปถัมภ์เป็นอย่างดี แต่มินานพระยาจีนจันตุได้ลอบหนีไปโดยสำเภา ครั้นถึง พ.ศ.๒๑๑๕ ในเดือนสาม พระยาละแวกได้ยกทัพมาตีเมืองเพชรบุรีอีก คราวนี้มาด้วยตนเอง มีพลประมาณเจ็ดหมื่นคน ทางกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดฯ ให้เมืองยโสธรราชธานีกับเมืองเทพราชธานี ยกทัพออกไปช่วยออกพระศรีสุรินทรฤาไชย เจ้าเมืองเพชรบุรี ต่างก็ได้ช่วยกันตกแต่งกำแพง คู หอรบให้แข็งแรง เมื่อพระยาละแวกยกทัพมาล้อมเมืองเพชรบุรีได้สามวันจึงให้ทหารเอาบันไดปีนกำแพงเมือง แต่ชาวเพชรบุรีได้ต่อสู้อย่างเต็มความสามารถ ข้าศึกไม่สามารถจะตีเอาเมืองได้จึงถอยออกไป และคิดว่าหากเข้าตีไม่ได้ก็จะยกทัพกลับ แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า ภายในค่ายเมืองเพชรบุรี เริ่มแตกความสามัคคีกันระหว่างพระยาทั้งสาม คือมิได้ร่วมมือกันวางแผนปราบปรามข้าศึก ต่างก็บังคับบัญชาทหารฝ่ายของตน มิได้สัมพันธ์ร่วมมือรบ หรือปรึกษากัน ครั้นถึงวันแปดค่ำพระยาละแวกได้ยกเข้าตีทางด้านตำบลคลองกระแชง และทางด้านตำบลบางจานยกเข้าเผาหอรบทลายลงพร้อมกับปีนกำแพงเข้าเมืองได้ ออกพระศรีสุรินทรฤาไชย เมืองยโสธรราชธานี เมืองเทพราชธานีตายในที่รบ พระยาละแวกได้กวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินเป็นจำนวนมากไปยังเขมรเมืองเพชรบุรีต้องแตกยับเยินครั้งนี้เพราะผู้นำแตกความสามัคคีกัน อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นมินานบ้านเมืองก็คงสภาพปกติ สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงเตรียมกองทัพที่จะยกไปตีเมืองเขมร โดยเกณฑ์พลจากเมืองนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองปักษ์ใต้เกณฑ์กองเรืองรบ จำนวน ๒๕๐ ลำ จากเมืองนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ไชยา คนสองหมื่น มอบให้พระยาเพชรบุรีเป็นแม่ทัพกองเรือนี้เพื่อจะยกไปตีเมืองป่าสักของเขมรซึ่งมีพระยาวงศาธิราชเป็นแม่ทัพ กองทัพเขมรแตกย่อยยับ พลทหารจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก พระยาวงศาธิราชตายในที่รบ ทัพไทยตีได้เมือง ป่าสักพระยาเพชรบุรียกทัพรุดไปยังเมืองปากกระสัง ซึ่งขณะนั้นทัพของพระยาราชวังสันกำลังรบกับเขมรอยู่ พระยาเพชรบุรีจึงยกตีขนาบเข้าไปทัพเขมรแตก กองทัพพระยาราชวังสันกับพระยาเพชรบุรียกเข้าตีเมืองจัตุรมุขแตก แล้วยกไปสมทบกับทัพหลวงที่เมืองละแวกยกเข้าตีเมืองละแวกแตก จับพระยาละแวกทำพิธปฐมกรรม สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงยกทัพกลับ ในคราวที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระเอกาทศรถทรงยกทัพไปตีพม่านั้น พระยาเพชรบุรีก็เป็นนายทัพด้วย เมื่อกองทัพบกไปถึงแม่น้ำสะโตง สมเด็จพระนเรศวรมหาราชโปรดฯ ให้พระมหาเทพเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพม้า ยกออกนำหน้าทัพหลวง ส่วน พระยาเพชรบุรียกทัพช้างม้าและพลรบจำนวนสามพันเป็นทัพหนุนพระมหาเทพ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์เคยเสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีพร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถ ในปีเถาะ พ.ศ.๒๑๓๔ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จไปยังตำบลสามร้อยยอดทางสถลมาร์คและประทับแรมที่นั้นเป็นเวลา ๑๔ วัน เพื่อทรงเบ็ด หลังจากนั้นได้เสด็จมาประทับแรม ณ ตำหนักตำบลโตนดหลวงเป็นเวลา ๑๒ วัน จึงเสด็จเข้ายังเมืองเพชรบุรี สมเด็จพระเชษฐาธิราชได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติแทนพระเจ้าทรงธรรม เมื่อ พ.ศ.๒๑๗๐ พระองค์มีอนุชาสององค์คือ สมเด็จพระพันปีศรีศิลป์กับสมเด็จพระอาทิตย์วงศ์ สมเด็จพระพันปีศรีศิลป์ทรงพิโรธหาว่าเสนาบดีทั้งหลายมิได้ยกราชสมบัติให้พระองค์ พระองค์จึงทรงพาข้าราชบริพารลอบหนีมายังเมืองเพชรบุรี เพื่อซ่องสุมผู้คนจะยกเข้ากรุง สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงทราบเหตุจึงโปรดฯ ให้ไปจับกุมตัวมาสำเร็จโทษเสียที่วัดโคกพระยา ส่วนชาวเมืองเพชรบุรีที่เข้าด้วยกับสมเด็จพระพันปีศรีศิลป์นั้นให้เอาตัวไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง ประมาณ พ.ศ.๒๒๐๓ ทางเมืองพม่าพวกฮ่อได้ยกเข้ามาล้อมเมืองอังวะ พระเจ้า อังวะเกณฑ์หัวเมืองมอญให้ไปช่วยป้องกันเมือง มอญไม่เต็มใจจึงยกเข้ามาพึ่งไทย สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดฯ ให้ไปอยู่ ณ ตำบลสามโคก เมื่อพวกฮ่อยกทัพกลับไปแล้ว พระเจ้าอังวะจึงให้เจ้าเมืองหงสาวดีเจ้าเมืองตองอู ยกไปเอาครัวมอญที่หนีมาเมืองไทยกลับไปให้ได้ เจ้าเมืองทั้งสองจึงยกทัพเข้ามาทางเมืองกาญจนบุรี ทางกรุงศรีอยุธยาจึงสั่งให้พระยาจักรีเกณฑ์กองทัพหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายทะเลตะวันตกให้เจ้าพระยาโกษาเหล็กเป็นแม่ทัพหลวง พระยาเพชรบุรีเป็นทัพหน้า พระยาราชบุรีเป็นกองหนุนยกไปยังตำบลปากแพรกเข้าตีทัพพม่าแตกพ่ายไป สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ถือได้ว่าเป็นสมัยที่มีการติดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศมากที่สุดและได้ผลเป็นที่น่าชื่นชม โดยเฉพาะสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ส่งราชทูตชื่อเชวาติ เอ เดอ โชมอง มายังกรุงศรีอยุธยา เมื่อราชทูตมาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา เจ้าเมืองบางกอกกับเจ้าเมืองเพชรบุรีออกไปต้อนรับ โดยเจ้าเมืองเพชรบุรีได้นำขุนนางข้าราชการพร้อมด้วยเรือยาวประมาณ ๔๐ ลำ มาคอยรับอยู่ก่อนแล้วหนึ่งวัน เจ้าเมืองทั้งสองได้เข้าไปแสดงความชื่นชมยินดีกับราชทูตหลังจากนั้นจึงจัดขบวนเรือเพื่อเดินทางเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยา เมื่อถึงเมืองบางกอก เรือสินค้าของอังกฤษได้ยิงสลุดพร้อม ๆ กับการยิงสลุตจากตัวเมืองบางกอก ครั้นถึงเมืองบางกอกเจ้าเมืองเพชรบุรีกับเจ้าเมืองบางกอกตั้งแถวต้อนรับ โดยท่านทั้งสองยืนคอยรับอยู่หัวแถว เพื่อนำราชทูตไปยังที่พักในเมืองบางกอกหลังจากนั้นจึงได้เดินทางเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนี้มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับชาวจังหวัดเพชรบุรีอีกเรื่องหนึ่งคือ ประมาณเดือนอ้ายเดือนยี่มีพระราชพิธีตรียัมพวาย สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ทรงม้าพระที่นั่งเพื่อเสด็จไปยังตำบลชีกุนอันเป็นที่ตั้งเทวสถานเพื่อประกอบพิธีดังกล่าว สมเด็จเจ้ารามกับสมเด็จเจ้าฟ้าทองได้แต่งชาวเพชรบุรี ๓๐๐ คนถือกระบองซุ่มอยู่ข้างทาง ครั้นเสด็จไปถึงทางสี่แยกบริเวณป่าเขาชมพู่กับตะแลงกุนป่ายา ชาวเพชรบุรีตรงเข้ายึดเอาบังเ..เซนเซอร์..ยนม้าพระที่นั่ง กรมพระตำรวจจับตัวมาสอบถาม ชาวเพชรบุรีให้การว่า สมเด็จเจ้าฟ้ารามกับสมเด็จเจ้าฟ้าทองใช้ให้มาทำร้ายพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จกลับสู่พระราชวัง ได้ตรัสสอบถามเจ้าฟ้าทั้งสอง พระองค์ ซึ่งก็ทรงรับว่าเป็นความจริง สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงโปรดฯ ให้ลูกขุน ณ ศาลาพิจารณาโทษ ทั้งสองพระองค์เคยได้รับพระราชทานอภัยโทษมาครั้งหนึ่งแล้วยังคิดกบฏอีก คณะลูกขุนจึงพิจารณาตัดสินสำเร็จโทษเสีย อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องนี้พงศาวดารบางเล่มมิได้ระบุว่าเป็นชาวเพชรบุรีเพียงแต่กล่าวไว้ว่า พระไตรภูวนารถทิพยวงศ์ (สมเด็จเจ้าฟ้าราม) กับสมเด็จเจ้าฟ้าทองได้ซ่องสุมผู้คนและเตรียมการไว้เท่านั้น ทางเมืองไชยาแจ้งเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาว่า เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้ซ่องสุมผู้คนไว้เพื่อแข็งเมือง สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงโปรดฯ ให้พระยาสุรสงครามเป็นแม่ทัพหลวง พระสุนเสนาเป็นยกกระบัตร พระยาเพชรบุรีเป็นเกียกกาย (กองเสบียงของทหาร) พระยาสีหราชเดโชเป็นกองหน้า พระยาราชบุรีเป็นทัพหลวงยกไปทางบกส่วนทัพเรือมีพระยาราชวังสันเป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองนครศรีธรรมราชราว พ.ศ.๒๒๒๙ ในสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ พ.ศ.๒๒๔๖ พระองค์โปรดการทรงเบ็ด จึงได้เสด็จประพาสเมืองเพชรบุรี ประทับแรมที่ตำบลโตนดหลวงซึ่งเป็นที่เคยประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระเอกาทศรถ พระพุทธเจ้าเสือเสด็จเลยไปจนถึงตำบลสามร้อยยอด ทรงเบ็ด แล้วเสด็จย้อนกลับมายังตำหนักโตนดหลวง จึงเสด็จกลับคืนสู่กรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ.๒๓๐๒ สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ หรือ กรมขุนอนุรักษมนตรีเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแทนสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ หรือเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อซึ่งสละราชสมบัติ ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธ ซึ่งอยู่ข้างฝ่ายสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ ได้ทูลลาผนวก เจ้าพระยาอภัยราชา พระยาเพชรบุรี หมื่นทิพเสนา นายจุ้ย นายเพงจัน ได้ร่วมคิดกับกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นกบฏ สมเด็จพระบรมราชาธิราชทรงทราบจึงให้จับตัวบุคคลดังกล่าว กรมหมื่นเทพพิพิธถูกเนรเทศไปเมืองลังกา ส่วนพระยาอภัยราชา พระยาเพชรบุรี นายจุ้ย ให้ลงพระราชอาชญาเฆี่ยนแล้วจำไว้ ส่วนนายเพงจันหมื่นทิพเสนาหนีไป เมื่อพม่ายกทัพมาในฤดูแล้งปีเดียวกันนี้ โปรดฯให้แก้จำเจ้าพระยาอภัยราชา พระยาเพชรบุรี พระยายมราชออกมารบ ให้พระยายมราชเป็นแม่ทัพ พระยาเพชรบุรีเป็นทัพหน้า พระยาราชบุรีเป็นยกกระบัตร พระสมุทรสงครามเป็นเกียกกาย พระธนบุรีและพระนนทบุรีเป็นกองหลัง ยกไปรักษาเมืองมะริด แต่พอยกไปถึงด่านสิงขรก็ทราบว่า เมืองดังกล่าวถูกข้าศึกยึดได้เสียแล้ว ทัพพม่ายกตีเข้ามาถึงทัพพระยายมราชแตกกระจาย ไล่มาตั้งแต่เมืองกุยบุรี ปราณบุรี จนเข้ามาถึงเมืองเพชรบุรี โดยไม่มีผู้คิดสู้ป้องกันเมืองเลย ใน พ.ศ.๒๓๐๗ กองทัพพม่าซึ่งมีมังมหานรธาเป็นแม่ทัพ ยกไปตีเมืองทวาย ตีจะเรื่อยมายังเมืองมะริด ตะนาวศรี มะลิวัน ระนอง ชุมพร ไชยา ปทิว คลองวาฬ กุย ปราณ จนถึงเมืองเพชรบุรี แต่ที่เมืองเพชรบุรีมีกองทัพพระยาพิพัฒโกษากับทัพของพระยาตาก ยกมาจากกรุงศรีอยุธยา ทันรักษาเมืองไว้ได้ เมื่อพม่ายกมาถึงเมืองเพชรบุรีปะทะกับกองทัพไทยเข้าก็ถอยไปทางด่านสิงขรอย่างไรก็ตามในปีเดียวกันนี้ พระเจ้าอังวะได้มีพระราชสาส์นมายังกรุงศรีอยุธยา เพื่อขอตัวเจ้าเมืองทวายกลับไป หากไทยขัดขืนจะยกทัพใหญ่มา ทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยามิได้มอบให้ไป และได้เตรียมกำลังไว้ป้องกันบ้านเมืองโดยเกณฑ์ทหารไปรักษาด่านอย่างมั่นคง พม่ายกทัพมาคราวนี้เป็นทัพของกษัตริย์องค์ใหม่ คือ หลังจากพระเจ้าอังวะสวรรคตประมาณ พ.ศ.๒๓๐๘ กองทัพได้ยกเข้ามาทางเมืองทวาย ตะนาวศรี แล้วยกเข้าตีเมืองเพชรบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรี สมเด็จพระบรมราชาธิราชโปรดฯ ให้เจ้าพระยาจักรียกทัพไปตั้งรับที่เพชรบุรี ราชบุรี แต่สู้กำลังข้าศึกไม่ได้จึงเสียเมืองแก่พม่า หลังจากนั้นพม่าจึงยกเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา ขณะที่พม่าล้อมกรุงอยู่นั้น สมเด็จพระบรมราชาธิราชโปรดฯ ให้พระยาเพชรบุรีคุมกองทัพเรือกองหนึ่ง พระยาตากสินคุมอีกกองหนึ่ง ยกออกไปตั้งรับทัพพม่าที่จะเข้ามาทางท้องทุ่ง ครั้นพม่ายกเข้ามา พระยาเพชรบุรีจะยกออกไปสู้รบพม่า พระยาตากสินเห็นว่าข้าศึกมีกำลังเหนือกว่า ไม่ควรยกออกไปจึงห้ามไว้ พระยาเพชรบุรีเห็นว่าพอจะสู้ได้จึงยกออกไปถูกพม่าล้อมไว้แล้วเอาดินปืนทิ้งลงในเรือดินระเบิดขึ้น พระยาเพชรบุรีตายในที่รบ ส่วนพระยาตากสินมิได้ต่อสู้กับข้าศึกแต่ได้ถอยมาตั้งรับที่วัดพิชัย และมิได้เข้าไปในกรุงศรีอยุธยาอีกเลย หลังจากนั้นกรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พม่า เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ สมัยกรุงธนบุรี หลังจากกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าเผาผลาญเสียหายยับเยินแล้ว ผู้นำที่มีความสามารถต่างก็ตั้งตัวเป็นหัวหน้าเป็นอิสระเป็นก๊ก ก๊กต่าง ๆ เหล่านี้มีพระยาตากสินด้วยก๊กหนึ่ง ซึ่งต่อมาตั้งตัวเป็นเจ้าทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าตากสิน พระองค์ทรงปราบก๊กต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แล้วตั้งเมืองธนบุรีเป็นเมืองหลวงและมีเมืองรอบเมืองหลวงพอที่จะตั้งเจ้าเมืองออกไปได้และมีกำลังพอที่จะรวบรวมผู้คนจัดบ้านเมืองเสียใหม่เมืองเหล่านี้ประมาณ ๑๑ เมืองรวมทั้ง หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:19:48 เพชรบุรี ๒
เมืองเพชรบุรีด้วย ใน พ.ศ.๒๓๑๒ โปรดฯ ให้เจ้าพระยาจักรี พระยายมราช พระยาอภัยรณฤทธิ์ และพระยาเพชรบุรี เป็นกองหน้ายกไปตีเมืองนครศรีธรรมราชกองทัพคราวนี้กำลังพลห้าพัน โดยยกไปทางบกถึงเมืองไชยาและท่าข้ามได้ต่อสู้กัน การรบคราวนี้พระยาเพชรบุรีและพระยาศรีพิพัฒน์ตายในที่รบ ทั้งนี้เพราะนายทัพนายกองมิได้สามัคคีกัน เมื่อถึงท่าหมากกองทัพของพระยาทั้งสองจึงเสียทีข้าศึก สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงยกทัพหลวงไปทางเรือ เมื่อกองเรือมาถึงตำบลบางทะลุ หาดเจ้าสำราญ ถูกพายุเรือล่มเป็นจำนวนหลายลำ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงตั้งพิธีบวงสรวงและพักที่เพชรบุรีระยะหนึ่ง ครั้งถึง พ.ศ.๒๓๑๗ ทางพม่าได้ยกทัพเข้ามาอีก โดยเข้ามาทางปากแพรก ตั้งค่ายอยู่ ณ ตำบลบางแก้ว โปรดฯ ให้พระเจ้าจุ้ยลูกเธอและพระยาธิเบศรบดีเป็นแม่ทัพ ยกออกไปตั้งรับทัพข้าศึก ณ เมืองราชบุรี เมื่อยกไปถึงปรากฏว่าทัพหน้าซึ่งมีพระยาอภัยรณฤทธิ์ พระยาเพชรบุรี หลวงสมบัติบาลและหลวงสำแดงฤทธาแตกทัพมา เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบ โปรดฯ ให้จับบุตรภรรยาของนายทัพนายกองแตกทัพมานั้นจำไว้ แล้วให้ยกออกไปรบแก้ตัวใหม่ การศึกครั้งนี้ที่จริงแล้วอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพมิได้มุ่งหวังที่จะให้ยกทัพมาตีเมืองไทยแต่ประการใด เพียงแต่ให้ยุงอคงหวุ่นติดตามครอบครัวมอญที่หนีเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ยุงอคงหวุ่นเลยถือโอกาสปล้นครัวไทย โดยแบ่งกำลังออกเป็นสองกอง ตั้งค่ายอยู่ที่ปากแพรกกองหนึ่ง คอยปล้นผู้คนแถวเมืองกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และนครไชยศรี อีกกองหนึ่งได้ยกไปปล้นเมืองราชบุรี สมุทรสงครามและเมืองเพชรบุรี ครั้นยกมาถึงตำบลบางแก้วก็ทราบว่ามีกองทัพไทยยกไปตั้งรับที่ราชบุรี ยุงอคงหวุ่นจึงได้ตั้งทัพที่ตำบลบางแก้วสามค่าย ทางกองทัพไทยได้ตั้งล้อมกองทหารพม่า เพื่อตัดเสบียงอาหาร พม่ายกออกปล้นค่ายพระยาพิพัฒน์โกษา และค่ายพระยาเพชรบุรีแต่ไม่สามารถตีหักเอาได้ ขณะนั้นได้มีใบบอกเข้ามายังกรุงว่า กองทหารพม่าที่ยกเข้ามาทางเมืองมะริได้เข้าปล้นค่ายเมืองทับสะแก เมืองกำเนิดนพคุณ จึงโปรดฯ ให้แจ้งแก่เจ้าเมืองกุยบุรี เมืองปราณบุรี ให้ทำลายหนองน้ำบ่อน้ำตามรายทางที่คิดว่ากองทัพพม่าจะยกมายังเมืองเพชรบุรีให้หมดสิ้นโดยให้เอาของสกปรกหรือยาพิษใส่ลงไป อย่าปล่อยให้เป็นกำลังแก่ฝ่ายข้าศึกได้โปรดให้พระเจ้าหลานเธอกรมขุนอนุรักษ์สงครามมาอยู่ฟู่รักษาเมืองเพชรบุรีด้วย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปราบดาภิเษกและสร้างกรุงเทพมหานครไม่กี่ปีพม่าก็เตรียมทัพใหญ่ที่จะยกมา คือในปีมะเส็ง พ.ศ.๒๓๒๘ พระเจ้าปดุงได้เกณฑ์รี้พลประมาณแสนเศษ โดยจัดเป็นเก้าทัพ ทัพที่ ๑ ให้แมงยี แมงข่องกยอ เป็นแม่ทัพยกไปตีหัวเมืองฝ่ายตะวันตกถึงเมืองถลาง ทัพที่ ๒ ให้ออกนอกแฝกคิดหวุ่นเป็นแม่ทัพยกมาตั้งที่เมืองทวาย เดินทางเข้ามาทางด่านบ้องตี้ เข้าตีเมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรีลงไปถึงเมืองชุมพร จรดทัพที่หนึ่ง ทัพที่ ๓ ให้หวุ่นคยีสะโดะศิรีมหาอุจะนาเข้ามาทางเมืองเชียงแสน สุโขทัย แล้วยกลงมายังกรุงเทพมหานคร ทัพที่ ๔ มีเมียนหวุ่นแมงยีมหาทิมข่องเป็นแม่ทัพ ยกมาทางเมืองเมาะตะมะเป็นทัพหน้ายกเข้าตีกรุงเทพมหานคร เข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ทัพที่ ๕ ให้เมียนเมหวุ่นเป็นแม่ทัพหน้ายกมาตั้งที่เมืองเมาะตะมะเป็นทัพหนุนทัพที่สี่ ทัพที่ ๖ ให้ตะแคงกามะราชบุตรที่สองเป็นแม่ทัพ เป็นทัพหน้าที่ ๑ ของทัพหลวงยกมาทางด่านเจดีย์สามองค์ ทัพที่ ๗ ให้ตะแคงจักกุราชบุตรที่สามเป็นแม่ทัพ เป็นทัพหน้าที่ ๒ ของทัพหลวง ทัพที่ ๘ เป็นทัพหลวงมีพระเจ้าปดุงเป็นนายทัพยกมาทางเมืองเมาะตะมะ ทัพสุดท้ายมีจอข่องนรธาเป็นแม่ทัพ ยกมาทางด่านแม่ละเมายกเข้ามาตีเมืองตาก กำแพงเพชร แล้วยกมายังกรุงเทพมหานคร ทางฝ่ายกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดฯ ให้จัดทัพไว้รับ ๔ ทัพด้วยกันคือ ทัพที่ ๑ ให้กรมพระราชวังหลังเป็นแม่ทัพยกไปขัดตาทัพที่เมืองนครสวรรค์ ทัพที่ ๒ เป็นทัพใหญ่ให้กรมพระราชวังบวรฯ ยกไปยังเมืองกาญจนบุรี คอยต่อสู้กับข้าศึกที่จะยกมาทางด่านเจดีย์สามองค์ ทัพที่ ๓ ให้เจ้าพระยาธรรมา (บุญรอด) กับเจ้าพระยายมราช ยกไปตั้งรับที่เมืองราชบุรีคอยคุ้มกันทัพที่ ๒ และคอยต่อสู้กับข้าศึกที่จะยกมาทางปักษ์ใต้และเมืองทวาย ทัพสุดท้ายเป็นทัพหลวงตั้งที่กรุงเทพฯ เป็นกองหนุน การรบคราวนี้โดยเฉพาะการรบที่ลาดหญ้า มีเรื่องที่กล่าวถึงพระยาเพชรบุรี คือ กองทัพทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันและไม่สามารถจะตีหักกันได้ สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ จึงทรงจัดตั้งเป็นกองโจร โดยให้พระยาสีหราชเดโชชัย พระยาท้ายน้ำ และพระยาเพชรบุรีคุมทหารไปคอยซุ่มโจมตีหน่วยลำเลียงเสบียงอาหารที่จะส่งไปยังค่ายข้าศึก แต่นายทัพทั้งสามดังกล่าวมิได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจึงดำรัสสั่งให้ประหารชีวิตเสียทั้งสามคน แล้วโปรดฯ ให้พระองค์เจ้าขุนเณรไปแทนอย่างไรก็ดี การสงครามคราวนี้พม่าเสียหายยับเยินกลับไป พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดฯ ให้เตรียมทัพเพื่อไปตีพม่าใน พ.ศ. ๒๓๓๖ โดยยกไปตั้งทัพที่เมืองทวาย ซึ่งขณะนั้นเมืองทวาย ตะนาวศรี และเมืองมะริดเป็นของไทย กองทัพที่ยกไปตั้งยังเมืองดังกล่าวมีทัพของเจ้าพระยามหาเสนา เจ้าพระยารัตนาพิพิธ พระยาสีหราชเดโช พระยากาญจนบุรี พระยาเพชรบุรี เจ้าพระยามหาโยธา พระยาทวายและกองทัพของพระยายมราช นอกจากนี้ยังมีกองทัพเรืออีกด้วย ครั้นถึงฤดูแล้ว ทัพหลวงได้ยกออกไปทางเมืองไทรโยคทางฝ่ายพม่ายกทัพใหญ่มาล้อมเมืองทวายไว้ การรบคราวนี้พระยากาญจนบุรีตายในที่รบ กองทัพพม่ายกเข้าตีค่ายพระยามหาโยธาแตก แล้วยกเข้าตีค่ายพระยาเพชรบุรี แต่ไม่สามารถจะตีหักเอาได้จึงลงเรือถอยกลับไป ต่อมาอีกสามวันพม่าเกณฑ์ทหารอาสาเข้าตีค่ายพระยาเพชรบุรีอีก คราวนี้เสียทีแก่ข้าศึกอย่างไรก็ตามกองทัพไทยเข้าตีเอากลับคืนมาได้ในที่สุด ถึงสมัยรัชกาลที่ ๒ พม่าได้ยกกองทัพมาอีก คราวนี้ยกไปตีหัวเมืองปักษ์ใต้ถึงเมืองถลาง รัชกาลที่ ๒ โปรดฯ ให้พระยาจ่าแสนยากร (บัว) คุมกองทัพล่วงหน้าลงไปก่อน ให้พระยาพลเทพลงมารักษาเมืองเพชรบุรีไว้ และโปรดฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงพิทักษ์มนตรีเสด็จไปคอยจัดการสั่งกองทัพอยู่ ณ เมืองเพชรบุรี กองทัพที่มาตั้ง ณ เมืองเพชรบุรีนี้ จากการรายงานของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีว่าทหารมีความประพฤติไม่ดี คือ ได้กักเรือบรรทุกข้าว น้ำตาลของชาวบ้านเก็บค่าผ่านทาง แม้แต่สินค้าพวกไม้ไผ่ เขาวัว ก็ไม่เว้น การกระทำดังกล่าวเป็นที่น่าอับอายขายหน้าแก่ชาวเมืองเพชรบุรียิ่งนัก สู้กองทัพที่ตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรีไม่ได้ ทหารที่เมืองเพชรบุรีต่างคนต่างทำต่างคนต่างคิดมิได้สามัคคีกัน ทางฝ่ายพม่าได้เขียนหนังสือมาแขวนไว้ที่แดนเมืองตะนาวศรี เพื่อให้ไทยเลิกจับกุมพลลาดตระเวนของตน ไทยได้มีหนังสือตอบไปโดยนำไปแขวนไว้ที่ชายแดนเช่นกัน โดยให้พระยาพลสงครามแห่งเมืองเพชรบุรีเป็นผู้ตอบ การสงครามระหว่างไทยกับพม่าสิ้นสุดลงแล้ว แต่ทางปักษ์ใต้ยังไม่สงบ ต้องปราบปรามหัวเมืองมลายู โดยเฉพาะเจ้าเมืองไทรบุรีและเจ้าเมืองใกล้เคียงที่พากันกระด้างกระเดื่อง ทั้งนี้เพราะมีต่างชาติคอยยุยงอยู่เบื้องหลัง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๒ สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าเมืองไทรบุรีแข็งเมืองอีกทั้งๆ ที่เมืองนี้เคยถูกปราบมาแล้ว ซึ่งพระยาเพชรบุรีเคยยกทัพไปปราบ คราวนี้รัชกาลที่ ๓ โปรดฯ ให้พระยาเพชรบุรีเป็นแม่ทัพ ยกไปประมาณสามพันคน รวมทั้งชาวเพชรบุรีด้วยเก้าร้อยคน ทั้งนี้ต้องไปรวมทัพกับเมืองนครศรีธรรมราชและเมืองสงขลา รวมรี้พลประมาณหมื่นเศษ กองทัพนี้เป็นกองทัพเรือ โดยเกณฑ์เรือจากเมืองเพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร เขมร เป็นต้น โดยเฉพาะกองทัพของพระยาเพชรบุรีที่ยกออกไปจากเมืองเพชรบุรีนั้น จากรายงานของหลวงเมืองปลัดเมืองเพชรบุรีว่า เรือทั้งหมด ๙ ลำ ทหาร ๕๙๙ คน อาวุธปืนประจำเรือ คือ ปืนหน้าเรือ ท้ายเรือ แคมเรือและปืนหลังรวม ๔๘ กระบอก ปืนคาบศิลา ๒๗๐ กระบอก ดินปืน ๑๐ หาบ เมื่อยกทัพไปถึง หัวเมืองปักษ์ใต้ โปรดฯ ให้พระยาเพชรบุรีประจำอยู่ ณ เมืองสายบุรี เพื่อจะได้ดูแลหัวเมืองมลายู ทางเจ้าเมืองแข็งเมืองโดยตั้งค่ายสู้รบ แต่เมื่อทราบว่ากองทัพของพระยาเพชรบุรียกไปตั้งที่เมืองสายบุรีเจ้าเมืองกลันตันให้คนมาแจ้งแก่พระยาเพชรบุรีว่า ตนจะรื้อค่ายลงเพราะเกรงว่าประชาชนจะพากันหลบหนีไปหมด อย่างไรก็ตาม พระยากลันตันหาได้กระทำดังกล่าวไว้ไม่ แต่ได้มีหนังสือมาถึงพระยาเพชรบุรีขออ่อนน้อมต่อไทย พระยาเพชรบุรีจึงตอบตกลงไปให้พระยากลันตัน พระยากลันตันได้มอบทองคำให้พระยาเพชรบุรี ค่ายดังกล่าวนี้ต่อมาพระยาไชยาได้รื้อเผาไฟจนหมดสิ้น สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงโปรดเมืองเพชรมาก จะเห็นได้จากการที่พระองค์ได้เสด็จมาเมืองเพชรหลายครั้งในระหว่างผนวช พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญสมณธรรม ณ ถ้ำเขาย้อย อำเภอเขาย้อย และยังได้ประทับแรมที่วัดมหาสมณารามเชิงพระนครคีรีอีกด้วย จากจดหมายเหตุของหมอบรัดเล่ย์ ได้กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ช่วงที่ได้เสด็จมายังเมืองเพชรบุรีว่า วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๓ ได้เสด็จเมืองเพชรบุรีเป็นครั้งที่สองในปีนี้ เพื่อทอดพระเนตรการก่อสร้างพระนครคีรี วันที่ ๒๒ มิถุนายน ได้แห่พระมายังเมืองเพชรบุรี วันที่ ๒๘ มิถุนายน เสด็จมาเมืองเพชรเป็นครั้งที่สาม วันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๓ หลังจากงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๕๖ พรรษาแล้ว เสด็จมาเมืองเพชรโดยเรือพระที่นั่งจากพระราชหัตถเลขาทรงมีไปถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงวันที่ ๒๓ ตุลาคมว่า พระองค์เสด็จถึงปากน้ำตำบลบ้านแหลมเวลา ๓ โมงเช้าถึงพระนครคีรีเวลาบ่าย ๒ โมง ทรงทอดพระกฐิน ณ วัดพระพุทธไสยาสน์และวัดมหาสมณาราม ส่วนพระราชธิดาในสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้า-อยู่หัวนั้นได้เสด็จไปทอดพระกฐิน ณ วัดเขาบรรไดอิฐและวัดมหาธาตุ วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๔ ได้เสด็จมาประทับ ณ พระนครคีรีในปีเดียวกันนี้ พระเจ้าแผ่นดินประเทศปรัสเซียได้ส่งราชทูตชื่อคอลออยเลนเบิร์ตเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิทจัดเรือแจวเรือพายให้ทูตที่มาเที่ยวเมืองเพชรบุรีใช้เป็นจำนวนสองลำ มี ฝีพายลำละ ๒๐ คน ขณะนั้นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าคัคณางยุคล ประทับอยู่ ณ พระนครคีรี รัชกาลที่ ๔ ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเพื่อทรงแจ้งให้ทราบว่า ราชทูตปรัสเซียจะมาเที่ยวและพักผ่อนที่เมืองเพชรบุรี ขอให้จัดรถบริการให้ด้วย ส่วนขากลับโปรดให้จัดเรือพระที่นั่งเสพย์สหายไมตรีมารับที่เพชรบุรี เพื่อนำไปส่งที่เรือรบที่สันดอน วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๕ เป็นวันที่เสด็จกลับกรุงเทพมหานคร การเสด็จเมืองเพชรบุรีครั้งนี้ โปรดให้จัดพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรบนพระนครคีรี และทรงบรรจุพระธาตุบนยอดเจดีย์บนเขามหาสวรรค์ด้วย วันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๖ เสด็จมาเมืองเพชรบุรีด้วยเรือกลไฟพระที่นั่งและเสด็จกลับเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ในเดือนเมษายนพันเอกเรโบลได้นำเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากฝรั่งเศสชื่อ เรจิออง ดอนเนอร์ เข้ามาทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้นำนายพันเอกเรโบลมาเที่ยวเมืองเพชรบุรีโดยเรือเสพย์สหายไมตรี วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๘ เป็นวันที่เสร็จงานพระราชพิธีโสกันต์พระเจ้าลูกเธอที่เมืองเพชรบุรี นอกจากจะทรงสร้างพระนครคีรีแล้ว ยังโปรดฯ ให้ตกแต่งเขาหลวงซึ่งมีพระพุทธรูปโบราณในถ้ำโดยสร้างบันไดหินลงไป สร้างพระพุทธรูปเพื่ออุทิศส่วนกุศลถวายแก่พระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนๆ ทรงสร้างเป็นส่วนพระองค์เองบ้าง ทรงให้เจ้านายฝ่ายในและพระบรมวงศานุวงศ์สร้างบ้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้ซ่อมแซมพระนครคีรีใหม่ทั้งหมด เพื่อทรงใช้เป็นที่ประทับแรมพักผ่อนอิริยาบถและเพื่อใช้รับรองแขกเมืองด้วย ทรงจัดตั้งมณฑลราชบุรีขึ้น เมืองเพชรบุรีขึ้นกับมณฑลนี้ พระองค์ได้เสด็จมาประทับที่เมืองเพชรบุรีหลายครั้ง เพราะอากาศถูกพระโรคที่ทรงประชวรในฤดูฝน โดยเฉพาะในเดือนกันยายน อย่างไรก็ดีเดือนนี้ไม่เหมาะที่จะประทับบนพระนครคีรีดังนั้นจึงทรงสร้างพระราชวังบ้านปืนขึ้นอีกแห่งหนึ่ง แต่ไม่แล้วเสร็จก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างต่อจนสำเร็จพระราชทานนามว่า พระรามราชนิเวศน์นอกจากจะทรงพระสำราญที่เมืองเพชรบุรีแล้ว รัชกาลที่ ๕ ยังโปรดเสวยน้ำที่แม่น้ำเพชรบุรีอีกด้วยโดยเฉพาะน้ำตรงท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ ดังความว่า ด้วยมีตราพระคชสีห์ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมออกไปแต่ก่อน ให้ข้าพเจ้าแต่งกรมการกำกับกันคุมไพร่ไปตักน้ำหน้าวัดถ้าไช (วัดท่าไชยศิริ) ส่งเข้ามาเป็นน้ำส่ง (สรง) น้ำเสวยเดือนละสองครั้ง ๆ ละยี่สิบตุ่มเสมอจงทุกเดือนนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้แต่งตั้งให้ขุนลครประการคุมไพร่ไปตักน้ำหน้าวัดถ้าไชยี่สิบตุ่ม ได้เอาผ้าขาวหุ้มปากตุ่มประทับตรารูปกระต่ายประจำครั่ง มอบให้ขุนลครประการคุมมาส่งด้วยแล้ว ใบบอกฉบับนี้ พ.ศ. ๒๔๒๐ โดยพระยาสุรินทรฤาไชย เรื่องน้ำในแม่น้ำเพชรบุรีนี้นอกจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะโปรดฯ เสวยแล้วยังใช้เป็นน้ำสำหรับเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตั้งแต่สมัยโบราณมา ซึ่งมีแม่น้ำสำคัญ ๕ สาย คือ แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำเพชรบุรี ดังสารตราถึงพระ-ยาเพชรบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ ความว่า ทางกรุงเทพฯ จะตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการนี้ต้องการน้ำสำหรับเข้าพระราชพิธีดังกล่าว จึงให้หลวงยกกระบัตรเมืองเพชรบุรี หลวงเทพเสนีถือสารตรามายังพระยาเพชรบุรี ให้แต่งตั้งกรมการไปตักน้ำที่หน้าเมืองเพชรบุรี แล้วเอาใบบอกปิดปากหม้อ เอาผ้าขาวหุ้มปากหม้อผูกปิดตราประจำครั่ง แล้วมอบให้หลวงยกกระบัตร หลวงเทพเสนีคมเข้าไปส่งยังกรุงเทพมหานครให้ทันกำหนดการพระราชพิธีดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพะราชดำเนินมาเมืองเพชรบุรีหลายครั้งด้วยกัน ดังจะได้ลำดับตามหลักฐานที่ค้นคว้ามาได้ดังนี้ วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๑๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาเมืองเพชรบุรี โดยเรือพระที่นั่งพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารเป็นจำนวนมากเสด็จถึงพลับพลาตำบลบางครก บ้านใหม่ เสด็จขึ้นบนพลับพลาตรัสกับเจ้าเมืองและกรมการทั้งหลายแล้วเสด็จพระราชดำเนินด้วยรถพระที่นั่งสองล้อถึงพระนครคีรี ทอดพระเนตรพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ พระที่นั่งปราโมทย์มไหศวรรย์ และพระที่นั่งราชธรรมสภา วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๑๘ เสด็จพระราชดำเนินไปถ้ำเพิงถ้ำพัง แล้วเสด็จลงไปยังเชิงเขา มีราษฎรชาวเมืองเพชรบุรีเฝ้ารับเสด็จเป็นจำนวนมาก เสด็จพระราชดำเนินผ่านเขาพนมขวดไปยังถ้ำเขาหลวง เพื่อทรงนมัสการพระพุทธรูปในถ้ำ แล้วเสด็จกลับ วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์เสด็จออก ณ พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ ผู้ว่าราชการเมืองกาญจนบุรี และเมืองเพชรบุรีเข้าเฝ้า แล้วเสด็จประพาสเขาบันไดอิฐ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ เสด็จออก ณ พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ มีข้าราชการเมืองเพชรบุรีเฝ้าละอองธุลีพระบาททูลเกล้าฯ ถวายสิ่งของ พระราชทานเสื้อผ้าสักหลาดอย่างดีแก่ข้าราชการที่มาเฝ้าคือพระพลสงคราม หลวงรามฤทธิรงค์ หลวงยงโยธี หลวงภักดีสงคราม นายแย้ม เด็กชา หลวงพิพัฒน์ เพชรภูมิยกกระบัตร หลวงวิชิตภักดี หลวงมหาดไทย ขุนสัสดี ขุนแพ่ง ขุนแขวง ขุนศุภมาตรา ขุนเทพ ขุนรองปลัด ขุนเทพบุรี โปรดฯ พระราชทานเงินแก่พวกเด็กชาที่มาเฝ้าละอองธุลีพระบาทคนละตำลึงบ้างครึ่งตำลึงบ้าง คนที่ได้ตำลึงคือคนที่ทรงคุ้นเคยเห็นหน้ากันมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระ-ราชดำเนินมาเมืองเพชรบุรี เสด็จพระราชดำเนินลงจากพระนครคีรี ณ ตรงเชิงเขา ตรัสกับหมอแมคฟาแลนด์ แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปยังถ้ำเขาหลวง ทรงนมัสการพระพุทธรูป ๔ องค์ ที่มีพระนามรัชกาลที่ ๑ - ๔ แล้วเสด็จกลับ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ เสด็จพระราชดำเนินไปตามถนนที่จะไปเขาบันไดอิฐ เลี้ยวตรงหน้าวัดคงคารามไปตามถนนถึงสวนมะตูมทรงเก็บผลมะตูม แล้วเสด็จประพาสตลาดเมืองเพชรบุรี วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดมหาสมณาราม เชิงพระนครคีรี พระ-ราชทานเงินเป็นมูลกัปปิยภัณฑ์แก่พระมหาสมณวงศ์เจ้าอาวาสและพระสงฆ์ ทรงแจกเงินแก่สัปปุรุษ วันเดียวกันนี้พวกไทยทรงดำนำของมาทูลเกล้าถวาย แล้วเสด็จรถพระที่นั่งข้ามสะพานช้าง (สะพานจอมเกล้าฯ) ประพาสวัดกำแพงแลง วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พระราชทานเงินแก่พระยาสุรินทรฤาไชย (เทศ บุนนาค) เพื่อปฏิสังขรณ์ พระพุทธรูปในถ้ำเขาหลวง เสด็จถ้ำเขาหลวง แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปถึงพลับพลา ตำบลบางครกบ้านใหม่ เสด็จลงเรือพระที่นั่งอัครราชวร-เดชกลับกรุงเทพมหานคร วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาโดยเรือพระที่นั่งถึงอ่าวบ้านแหลม ประทับแรมบนเรือพระที่นั่ง วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ เสด็จขึ้นบนพลับพลาบ้านใหม่มีข้าราชการเมืองเพชรบุรีเฝ้ารับเสด็จ แล้วเสด็จพระราชดำเนินทรงม้าพระที่นั่งถึงพระนครคีรีที่ศาลาหน้าเขามหาสวรรค์มีพระสงฆ์เถรานุเถระสวดชยันโต วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ เสด็จพระราชดำเนินไปถ้ำเพิงถ้ำพัง วัดพระพุทธไสยาสน์ แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปเขาหลวง ทอดพระเนตรถ้ำต่างๆ และทรงปิดทองพระพุทธรูป วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ เสด็จประพาสตลาดเมืองเพชรบุรี ประทับทอดพระเนตรการแข่งวัดระแทะ กลางคืนชาวไทยทรงดำขับแคนถวาย วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์เสด็จประพาสเขาบันไดอิฐกลางคืนมีการขับแคนถวายและมีการบรรเลงเพลงพิณพาทย์ด้วย วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์เสด็จออกทรงบาตรพระสงฆ์ในเมืองเพชรจำนวน ๔๖ รูป แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปถ้ำแกลบ ถ้ำสาริกา และถ้ำเจ็ดแท่น วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ เสด็จออก ณ พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ กรมหมื่นสมมตอมร-พันธ์ทรงนำหมอดันลัป หมอทอมสัน และนายคูเปอร์เข้าเฝ้า รับสั่งเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนและ โรงพยาบาล ณ เมืองเพชรบุรี พระราชทานเงินสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลจำนวน ๓๐ ชั่ง ในวันเดียวกันนี้เสด็จประพาสวัดกำแพงแลง ตอนเย็นทอดพระเนตรการแข่งขันวัวระแทะ วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ เสด็จประพาสหมู่บ้านไทยทรงดำ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระพุทธบาทเขาลูกช้าง ประทับแรม ณ พลับพลาตำบลท่ากลบชี วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์จึงเสด็จถึงพระพุทธบาทเขาลูกช้าง วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์เสด็จพระราชดำเนินกลับ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ เสด็จพระราชดำเนินเขาหลวง โปรดให้นิมนต์พระสงฆ์สดับปกรณ์ในถ้ำเขาหลวง วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ เสด็จพระราชดำเนินไปยังถ้ำเขาหลวง ประพาสถ้ำพระพิมพ์ ถ้ำพระเผือก เขาคอก ถ้ำจีน วันที่ ๑ มีนาคม เสด็จประพาสพระเจดีย์ยอดเขาริมวัดมหาสมณาราม โปรดให้พระยาสุริทรฤาไชยปฏิสังขรณ์ แล้วเสด็จทางลัดลงมายังวัดมหาสมณารามทอดพระเนตรบริเวณวัด เสด็จเข้าไปในพระอุโบสถ พระสงฆ์ถวายชัยมงคลคาถา แล้วเสด็จไปตามถนนราชวิถีถึงท่าน้ำแม่น้ำเพชรบุรี เสด็จลงเรือพระที่นั่งล่องไปตามลำแม่น้ำเพชรบุรีออกอ่าวล้านแหลมไปเขาสามร้อยยอด ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๐ ถึง พ.ศ. ๒๔๔๖ ยังหาหลักฐานไม่ได้ว่าพระองค์เคยเสด็จมาเมืองเพชรบุรีในปีใดบ้าง วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ เสด็จพระราชดำเนินมาเพชรบุรีโดยรถไฟพระ ที่นั่งจากราชบุรีโดยมิได้แจ้งให้ทางจังหวัดทราบ ทั้งนี้มีพระราชประสงค์ที่จะทอดพระเนตรเมืองเพชรบุรีขณะที่มิได้เตรียมรับเสด็จ ประทับเสวยที่เมืองเพชรแล้วเสด็จกลับราชบุรี วันที่ ๒๔ กรกฎาคม เสด็จโดยเรือพระที่นั่งเข้ามาตามลำแม่น้ำเพชรบุรี เสด็จขึ้นประทับบนบ้านเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศบุนนาค) วันที่ ๒๕ กรกฎาคม เสด็จประพาสทางเรือขึ้นไปตามลำแม่น้ำเพชรบุรี วันที่ ๒๖ กรกฎาคม เสด็จทางเรือไปยังตำบลบางทะลุประทับแรมที่บางทะลุหนึ่งคืน วันที่ ๒๗ กรกฎาคม เสด็จโดยเรือฉลอมจากตำบลบางทะลุมายังอ่าวบ้านแหลม วันที่ ๒๘ กรกฎาคม เสด็จประพาสวัดต่างๆ ในเมืองเพชรบุรีแล้วเสด็จลงเรือพระที่นั่งออกจากอ่าวบ้านแหลม วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จโดยเรือพระที่นั่งเข้าปากอ่าวบ้านแหลมตามลำน้ำเพชรบุรีถึงหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัด วันที่ ๑๒ กันยายนเสด็จประพาสตลาด ผ่านไปตามถนนใหม่แนวกำแพงเมือง ผ่านหน้าวัดกำแพงแลงทอดพระเนตรวัดใหญ่สุวรรณาราม วันที่ ๑๓ กันยายน เสด็จพระราชดำเนินไปวัดมหาสมณาราม วัดเขาบันไดอิฐ ข้ามสะพานไปบ้านพระยาสุรินทรฤาไชย วัดโพธาราม แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ วันที่ ๑๔ กันยายน เสด็จประพาสตามลำแม่น้ำเพชรบุรีขึ้นไปทางเหนือจนถึงท่าศาลา วันที่ ๑๕ กันยายน เสด็จประพาสหมู่บ้านไทยทรงดำ ตำบลยี่หนถึงเวียงคอย วันที่ ๑๖ กันยายน เสด็จพระราชดำเนินขึ้นบนพระนครคีรี โปรดฯ ให้พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่บางวัดเข้าเฝ้าโปรดฯ ให้พระครูมหาราภิรักษ์ เจ้าอาวาสวัดใหญ่เข้าเฝ้า พระราชทานพัดยศ และโปรดฯ ให้ยกวัดใหญ่สุวรรณารามเป็นวัดหลวงอีกวัดหนึ่ง วันที่ ๑๗ กันยายน เสด็จไปทอดพระเนตรวัดอุทัย วันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๒ เสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพมหานครโดยรถไฟพระที่นั่ง วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๒ เสด็จพระราชดำเนินมายังเพชรบุรี โปรดฯ ให้ฉลองพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา ณ ท้องพระโรงที่ประทับเมืองเพชรบุรี ตั้งพระชัยเนาว-โลหะและพระชนมวารอย่างละองค์รวมทั้งพระชนมพรรษาของเดิม ๕๖ องค์ เจ้าพนักงานได้นิมนต์พระสงฆ์เถรานุเถระจากวัดราชบพิธ วัดเบญจมบพิตร วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ วัดราชาธิ-วาส รวม ๑๒ รูป วัดพระปฐมเจดีย์ ๑ รูป เมืองราชบุรี ๖ รูป และพระเถรานุเถระในเมืองเพชรอีก ๓๘ รูป รวม ๕๗ รูป พระราชพิธีเริ่มวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ เป็นพระราชพิธีสงฆ์ ตอนเย็นมีการจุดดอกไม้เพลิงถวายเป็นพุทธบูชา วันที่ ๒ ตุลาคม นิมนต์พระสงฆ์รับพระราชทานฉันเพล จัดโต๊ะสังเวยเทวดา แล้วปล่อยสัตว์เป็นทาน พระราชทานเลี้ยงข้าราชการ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแจกผ้าที่ทอจากเมืองเพชรบุรีแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ตอนบ่ายมีการบายศรีเวียนเทียนสมโภชพระพุทธปฏิมากรกลางคืนมีจุดดอกไม้เพลิง มีการเล่นละครบนแพลอยทอดทุ่นที่ประทับกลางแม่น้ำ ที่สนามหญ้าหน้าที่ประทับแพลอยมีการเล่นเพลง เสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพมหานคร วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ เสด็จพระราชดำเนินมาประทับแรม ณ ตำบลบ้านปืนทอดพระเนตรแปลนที่จะสร้างพระราชวัง วันที่ ๔ ธันวาคม เสด็จประพาสพระนครคีรี ทอดพระเนตรการตกแต่งบนพระนครคีรีเพื่อรับแขกเมือง ตั้งแต่วันที่ ๕ ถึง ๘ ธันวาคม เสด็จพระราชดำเนินไปยังจุดต่าง ๆ บริเวณที่จะสร้างพระที่นั่ง วันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ เสด็จพระราชดำเนินกลับ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:20:14 เพชรบุรี ๓
วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ดุ๊กโยฮัน อัลเบรกต์ ผู้สำเร็จราชการเมืองบรันชวิกพร้อมด้วยเจ้าหญิงอลิสซาเบต สโตลเบิร์ก รอชซ่าล่า พระชายา ได้เสด็จประพาสเมืองเพชร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชา- นุภาพ (พระยศในสมัยนั้น) คอยรับเสด็จ ณ พระนครคีรี คืนนี้มีการจุดดอกไม้เพลิงถวายทอดพระเนตร วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ท่านดุ๊กได้เสด็จทอดพระเนตรถ้ำเพิงถ้ำพังและพระเจดีย์ เสด็จออกรับราษฎรชาวเมืองเพชรบุรีและทอดพระเนตรกีฬา วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ เสด็จพระราชดำเนินมายังวัดพระพุทธไสยาสน์เสด็จวัดเขาบันไดอิฐ ทอดพระเนตรถ้ำ แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปเสวย พระกระยาหาร ณ พลับพลาบ้านปืน เสด็จลงเรือแล่นขึ้นไปตามลำแม่น้ำเพชรบุรีแล้วล่องมาขึ้นที่ท่าหลังจวนผู้ว่าราชการจังหวัดเสด็จขึ้นบนพระนครคีรี ทอดพระเนตรกัดปลา วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ เสด็จพระราชดำเนินไปเขาหลวงทรงถ่ายรูปหมู่ ณ ถ้ำเขาหลวง แล้วเสด็จมายังวัดใหญ่สุวรรณา-ราม ตอนพลบค่ำเสด็จประพาสหมู่บ้านไทยทรงดำตำบลเวียงคอยและทอดพระเนตรลงขวง วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ประพาสตลาดเมืองเพชรบุรี ท่านดุ๊กก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ โดยรถพระที่นั่ง วันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชดำเนินมาเพชรบุรี โดยรถไฟพระที่นั่ง วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ณ ท้องพระโรงที่ประทับตำบลบ้านปืนพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการ วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ บวชนาคหลวงเป็นพระภิกษุและสามเณร คือ นายประทีปและนายบันเทิงบุตรพระยาสุริ-นทรฤาไชย ( เทียน บุนนาค) ผู้ว่าราชการเมืองเพชรบุรี วันนี้ทำขวัญนาคมีเครื่องบายศรีและเวียนเทียน วันที่ ๑๓ กรกฎาคม แห่นาคจากพลับพลาที่ประทับบ้านปืนไปยังวัดมหาสมณาราม พระภิกษุและสามเณรไปจำวัดอยู่ ณ วัดโพธาราม วันที่ ๑๔ กรกฎาคม เสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพมหานครโดยรถไฟพระที่นั่ง วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ เสด็จพระราชดำเนินมาเพชรบุรีโดยรถไฟพระที่นั่ง ประทับแรม ณ พลับพลาบ้านปืน วันที่ ๑๕ สิงหาคม ทอดพระเนตรถนนบริวเณวังบ้านปืนถึงสะพานอุรุพงศ์ทอดพระเนตรถนนตัดใหม่ถึงวัดป้อม พระราชทานนามว่า ถนนบริพัตร ประพาสตลาดเมืองเพชร โปรดให้เรียกพระที่นั่งบ้านปืนว่า พระตำหนัก วันที่ ๑๖ และ ๑๗ สิงหาคม ทอดพระเนตรถนนต่าง ๆ วันที่ ๑๘ สิงหาคม เสด็จออกทอดพระเนตรการทำถนนและปลูกต้นไม้บริเวณพระตำหนักบ้านปืน แล้วเสด็จมาประทับที่พลับพลาโปรดฯ ให้นิมนต์พระสงฆ์ ๑๕ รูป สวดพระพุทธมนต์โหรบูชาเทวดา วันที่ ๑๙ สิงหาคม พนักงานจัดการที่ก่อพระที่นั่งบ้านปืน พระสงฆ์สวดถวายพระพร พราหมณ์เป่าสังข์ลั่นฆ้องชัยพระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา ทรงวางศิลาพระฤกษ์ เสร็จแล้วพระสงฆ์รับพระราชทานฉัน ทรงปลูกต้นไม้ และโปรดฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสา- ธิราช พระเจ้าน้องยาเธอ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอปลูกต้นไม้องค์ละต้น วันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ โปรดให้ตั้งพระราชพิธีพรุณศาสตร์อย่างน้อย ณ พลับพลาที่ประทับบ้านปืน พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์วันละ ๕ รูป จนถึงวันที่ ๓๐ สิงหาคม รวม ๘ วัน วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๓ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในโอกาสครบรอบปีพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภชสิ้นพระชนม์ โดยจัดพระราชพิธี ณ บริเวณปะรำพระราชพิธีก่อพระฤกษ์พระที่นั่งบ้านปืน กลางคืนมีมหรสพคือหนังใหญ่ วัดพลับพลาชัย ๑ โรง หนังตลุง ๑ โรง ลครตลก ๑ โรง ละครชาตรี ๑ โรง มีจุดดอกไม้เพลิงจุดพลุ วันที่ ๙ กันยายน พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ มีเทศนาธรรม ๒ กัณฑ์คือพระปลัดฉิม เจ้าอธิการวัดป้อมกับเจ้าอธิการทุ่มวัดน้อย มีสดับปกรณ์ ๑๐๐ รูป ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทิ้งทานผลกัลปพฤกษ์ พระครูญาณเพชรรัตน์วัดยางถวายธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ กลางคืนมีมหรสพเช่นเดียวกับคืนก่อน อนึ่งก่อนงานพระเมรุพระองค์เจ้าอุรุพงศ์ ข้าราชการกรมหาดเล็ก ข้าราชการโรงเรียนมหาดเล็ก ได้รวบรวมเงินจำนวน ๘,๐๐๐ บาท ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้เงินจำนวนนี้ใช้ให้เป็นประโยชน์ที่ถาวร จึงทรงพระราชดำริถึงงาน หัตกรรมของชาวเพชรบุรี ได้แก่ พวกจักสานแต่ขาดการส่งเสริม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เงินจำนวนนี้เป็นทุนรางวัล เพื่อส่งเสริมให้งานหัตถกรรมของชาวเมืองเพชรเจริญยิ่งขึ้น วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๓ เสด็จกลับกรุงเทพมหานคร ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับแรมยังจังหวัดเพชรบุรีหลายครั้ง แต่ละครั้งเป็นเวลาหลายวัน บางครั้งแรมเดือน หลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ แล้ว ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังเพชรบุรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๗ โดยเสด็จมากับกองเสือป่าเสนาหลวงรักษาพระองค์ เพื่อเดินทางไกลไปจอมบึง บ้านโป่ง ในวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสตัวเมืองเพชรและทอดพระเนตรกรีฑาของกรมทหารราบที่ ๑๔ เพชรบุรี รุ่งขึ้นวันที่ ๑๔ มกราคม จึงทรงม้าพระที่นั่งเคลื่อนขบวนเสือป่าเดินทางไกล เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้โดยรถไฟพระที่นั่ง เมื่อรถไฟพระที่นั่งถึงสถานีเมืองเพชรบุรี ได้มีข้าราชการและประชาชนเฝ้ารับเสด็จเป็นจำนวนมาก ข้าราชการเมืองเพชรบุรีมี พระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทียน บุนนาค) จางวาง พระยาเพชรพิไสยศรีสวัสดิ์ (แม้น วสันตสิงห์) ผู้ว่าราชการจังหวัด ตำรวจ เสือป่า ต่างเฝ้ารับเสด็จประชาชนที่ถูกเพลิงไหม้ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า ทรงสงสารราษฎรที่เคราะห์ร้ายเหล่านั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ งดเก็บเงินบำรุงท้องที่เป็นเวลาหนึ่งปี สำหรับเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่ตลาดเมืองเพชรบุรีเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๘ นั้น บริเวณตลาดดังกล่าวคือฟากตะวันตกของแม่น้ำตั้งแต่เชิงสะพานจอมเกล้าไปตามถนนชี สะอินจรดถนนราชดำเนิน จากถนนราชดำเนินไปจนจรดถนนราชวิถีและถึงแม่น้ำ เมื่อทางกระทรวงมหาดไทยได้รายงานกราบบังคมให้ทรงทราบ พระองค์ทรงสลดพระราชหฤทัยและทรงสงสารชาวเพชรบุรียิ่งนัก ทรงพระราชดำริเห็นว่า ที่เมืองเพชรบุรีนั้น บ้านเรือนของราษฎรสร้างกันแออัดเกินไป และใช้ไม้หลังคาจากเป็นเชื้อเพลิงได้ดี ถนนก็แคบไม่เป็นระเบียบ ไม่สามารถจะป้องกันอัคคีภัยได้ทันท่วงที จึงโปรดฯ ให้ขยายถนนเก่า และห้ามสร้างปลูกเพิงไม้ที่จะเป็นเชื้อไฟได้อีกต่อไปในบริเวณไฟไหม้ เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๙ ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังเพชรบุรี พระราชทานพระแสงราชศาสตรา มิได้ประทับแรม แต่เสด็จเลยไปยังประจวบคีรีขันธ์ ขากลับได้เสด็จมาประทับแรม ณ เมืองเพชรเป็นเวลาสองคืนคือวันที่ ๙ และ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๑ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับแรม ณ ค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญทุกปียกเว้นปี พ.ศ. ๒๔๖๓ ใน พ.ศ. ๒๔๖๑ เสด็จมาเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน โดยรถไฟพระที่นั่ง และเสด็จพระราชดำเนินกลับเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ใน พ.ศ. ๒๔๖๒ เสด็จมาวันที่ ๑๐ เมษายน ถึงวันที่ ๒๙ เมษายน ใน พ.ศ. ๒๔๖๔ เสด็จมาวันที่ ๑๕ เมษายนถึงวันที่ ๙ พฤษภาคม ใน พ.ศ. ๒๔๖๕ เสด็จมาพร้อมด้วยพระอินทรานี พระสนมเอก เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ถึงวันที่ ๖ พฤษภาคม ใน พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้เสด็จมาพร้อมด้วยสมเด็จพระราชินี เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ถึงวันที่ ๑ มิถุนายน ใน พ.ศ. ๒๔๖๗ ได้เสด็จไปประทับแรม ณ พระราชนิเวศน์มฤคทายวันและประทับแรม ณ ที่นั้นครั้ง สุดท้าย ตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายน ถึงวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ส่วนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงโปรดประทับ ณ พระราชวัง ณ เมืองเพชรโปรดฯ ให้สร้างพระราชวังไกลกังวลหัวหินขึ้น พระองค์เคยเสด็จไปทอดพระเนตรต้นน้ำแม่น้ำเพชรบุรีเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เรื่องที่ควรกล่าวถึงในอดีตอีกเรื่องหนึ่งคือ สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พ.ศ. ๒๔๘๔ - พ.ศ. ๒๔๘๘ ญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ตามจุดต่าง ๆ คือ ที่สงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และที่บางปู ขณะนั้นไทยต้องทำสัญญาพันธมิตรกับญี่ปุ่น มิตรขณะนั้นคือ เยอรมัน อิตาลี ส่วนปัจจามิตรคือ สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ เป็นต้น ในวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ เครื่องบินข้าศึกได้โจมตีกรุงเทพมหานคร เวลา ๐๑.๓๐ น. ที่เพชรบุรีได้มีสัญญาณภัยทางอากาศ เครื่องบินได้บินผ่านและทิ้งระเบิด วันที่ ๙ และ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ เครื่องบินได้บินวนเวียนและผ่านไป วันที่ ๙ มิถุนายน ปีเดียวกันมีสัญญาณเตือนให้หลบภัย วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ มีสัญญาณภัยทางอากาศ เครื่องบินผ่านทิ้งระเบิดยังทุ่นระเบิดตามปากน้ำต่าง ๆ วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๘ เวลา ๑๓.๑๕ น. เครื่องบินข้าศึกได้ยิงกราดลงมาถูกตู้รถไฟบรรทุกน้ำมันจำนวน ๓ หลัง ไฟไหม้หมด ส่วนบริเวณอื่น ๆ ปลอดภัย เมื่อสงครามสงบทางเจ้าหน้าที่สหประชาชาติได้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจดูเชลยศึก สำหรับที่เพชรบุรีนี้มีทหารเชลยชาวฮอลันดาจำนวนประมาณร้อยคนผ่านมา ทางจังหวัดขณะนั้นมีนายอมร อินทรกำแหง อัยการจังหวัดรักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดได้นำเจ้าหน้าที่ สหประชาชาติดูสถานที่ที่จะให้เชลยศึกพัก โดยได้เลือกโรงเรียนฝึกหัดครูมูลเพชรบุรีเป็นที่พักเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ในมหาสงครามครั้งนี้ ได้มีคนไทยทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ ก่อตั้งองค์การใต้ดินขึ้นเรียกว่า ขบวนการเสรีไทย เพื่อต่อต้านญี่ปุ่นและให้ความร่วมมือกับพันธมิตร กองบัญชาการใหญ่ตั้งที่วังสวนกุหลาบ มีสมาชิกย่อย ๆ ตามจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งเมืองเพชรบุรีด้วย ซึ่งตั้งหน่วยปฏิบัติการอยู่ที่ตำบลบางค้อ กิ่งอำเภอหนองหญ้าปล้อง มีการฝึกอาวุธให้กับสมาชิกอาสา-สมัครเป็นการฝึกรบแบบกองโจร แต่เหตุการณ์สงครามได้สิ้นสุดลงเสียก่อน การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลางโดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการ ปกครองแบบเทศาภิบาลซึ่งถือว่าได้เป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนำมาใช้ปรับปรุงะเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือ ระบบกินเมืองให้หมดไป การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใดก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ ๆ ส่วนหัวเมืองอื่น ๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวาง ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกันโดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้นจึงจะขอนำคำจำกัดความของ การเทศาภิบาล ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะใน ราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาค อันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้ คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑลรองถัดลงไปเป็นเมือง คือจังหวัดรองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญาความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็ว แก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย" จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้ การเทศาภิบาลนั้น หมายความรวมว่า เป็น ระบบ การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า การปกครองส่วนภูมิภาค ส่วน มณฑลเทศาภิบาล นั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่ง ข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมืองระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการ ปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการ ปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตก บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวมรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาลการจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับ ดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนงาน จัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้ เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี และใน พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่า ๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี ระยอง และตราด พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:20:29 เพชรบุรี ๔
การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสียเหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑. การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒. เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓. เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔. รัฐบาลไทยในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ นโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ แผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓. ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๙ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคลการตั้ง ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดเพชรบุรี . กรุงเทพ : อมรินทร์การพิมพ์ , ๒๕๒๙ . หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:21:23 ปราจีนบุรี
ประวัติความเป็นมา จังหวัดปราจีนบุรีเป็นหัวเมืองชายแดน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศไทย บริเวณ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำปราจีนบุรียาวเหยียดจากทิศตะวันออกจนถึงทิศตะวันตก ลักษณะเป็นที่ราบ ลุ่มแม่น้ำปราจีนบุรีไหลผ่านสองฟากฝั่ง จังหวัดปราจีนบุรีมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย ทางด้านอำเภออรัญประเทศและอำเภอตาพระยา ดังนั้นจังหวัดปราจีนบุรีจึงเปรียบเสมือนเมืองกันชนระหว่างประเทศไทย และประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย นับได้ว่าเป็นจังหวัดที่เก่าแก่จังหวัดหนึ่ง มีอาณาเขตกว้างขวางกว่าจังหวัดต่างๆ ในภาคตะวันออกของประเทศไทย จังหวัดปราจีนบุรีนี้เดิมเรียกกันหลายชื่อ คือ ปราจีนบุรี ปราจิณบุรี ปาจิณบุรี ตามหนังสือพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน คำว่า ปราจีน แปลว่า ตะวันออก ซึ่งหมายความว่าเมืองทางทิศตะวันออกของประเทศไทย จากหลักฐานดั้งเดิมตามพระราชพงศาวดารไทยปรากฏเรียกชื่อนี้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทย แต่มักเรียกกันว่า เมืองปราจิณ แต่จากหนังสือประชุมพระราช-นิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรี เรียก เมืองประจิม บางที่ก็เรียกว่า เมืองปัจจิม ซึ่งคำว่า ปัจจิม แปลว่า เมืองทางทิศตะวันตก ซึ่งคงหมายความถึงอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศกัมพูชาประชาธิปไตยนั่นเอง ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ยังคงเรียกกันว่า เมืองปราจิณ เมื่อประเทศไทยมีการปกครองส่วนภูมิภาคแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองปราจีนเป็นที่ตั้งของมณฑลปราจีณครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ แห่งจักรีวงศ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่า เมือง เป็น จังหวัด ทั่วประเทศ ดังนั้นทำเนียบรายชื่อของจังหวัดทั่วประเทศ จึงมีคำว่า จังหวัดปราจีนบุรี อยู่ในทำเนียบของกระทรวงมหาดไทย สำหรับที่ตั้งของเมืองปราจีนบุรีนั้น ในประวัติศาสตร์ไม่ได้กล่าวถึงว่าตั้งอยู่ที่ใด แต่พอจะอนุมานตามเหตุผลที่พอจะเชื่อถือได้คือ ในสมัยอยุธยาตอนปลายต่อกับสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตาก-สินมหาราชในขณะนั้นรับราชการเป็นพระยาวชิรปราการ ได้ชักชวนสมัครพรรคพวกทั้งชาวจีนและชาวไทยแหวกวงล้อมของพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาได้ ได้เดินทางหลบหนีพม่ามาจนถึงบ้านพรานนก เมืองนครนายก จึงให้บรรดาทหารที่หลบหนีมาด้วยทั้งไทยและจีนออกหาเสบียงอาหาร ฝ่ายทหารของพม่าที่รักษาเมืองปราจิณ อยู่ที่บางคางได้ทราบข่าวการหลบหนีของพระยาวชิรปราการ จึงยกกำลังมาปราบปรามเกิดปะทะกัน ปรากฏว่าฝ่ายไทยได้รับชัยชนะ ซึ่งข้อความในตอนนี้บ่งไว้ชัดเจนว่า "บางคาง แขวงเมืองปราจิณ" ซึ่งในคำภาษาจีนภาษาแต้จิ๋วออกเสียงเรียกเมืองปราจิณ ว่า "มั่งคั้ง" ซึ่งหมายถึง "บางคาง" นั่นเอง ดังนั้นคาดว่าเมืองปราจีนบุรีเดิมนั้นคงตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านบางคางอย่างแน่นอน เพราะนอกจากสถานที่นี้แล้ว ก็ไม่ปรากฏซากเมืองในที่อื่นใด (สำหรับซากเมืองโบราณที่โคกวัด ตำบลโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี นั้นเป็นซากเมืองโบราณที่สันนิษฐานว่ามีในสมัยขอม คือ เมืองอวัธยปุระ หรือ เมือง มโหสถ ซึ่งต่อมาได้เสื่อมโทรมลงซึ่งจะกล่าวถึงในตอนต่อไป และคงจะย้ายมาอยู่ในบริเวณบ้านบางคางนี้) และจากการสำรวจก็พบซากและร่องรอยให้เห็นว่า ปราจีนบุรี นั้น เดิมตั้งอยู่ที่บางคาง เพราะบริเวณใกล้ๆ วัดบางคาง (ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลรอบเมือง อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี) ยังแลเห็นปรากฏเป็นโคกเป็นเนินอยู่บ้าง ต่อมาได้มีผู้ขุดพบโบราณวัตถุหลายอย่าง เช่น พระพุทธรูปสมัยอยุธยา (ขณะนี้อยู่ที่พระครูศีลวิสุทธาจารย์ วัดสง่างาม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี) แม้ในปัจจุบันซากและร่องรอยต่างๆ จะถูกทำลายไปบ้าง แต่ก็ยังมีเค้าเป็นชัยภูมิที่ตั้งเมืองพอจะสังเกตเห็นได้บ้าง และหลังต่อจากนั้นก็คงจะย้ายตัวเมืองมาตั้งอยู่บริเวณกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี ในปัจจุบัน ซึ่งห่างจากแม่น้ำปราจีนบุรี ประมาณ ๒๐๐ เมตร และบริเวณนี้ก็ยังคงมีซากกำแพงเมือง บางส่วนหลงเหลืออยู่ ส่วนอื่นๆ ไม่ปรากฏให้เห็นแล้ว จากข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสถานที่ตั้งเมืองปราจีนบุรี ทั้งบริเวณบ้านบางคาง และกองกำกับตำรวจภูธร จังหวัดปราจีนบุรีนี้ อีกเหตุผลหนึ่งที่น่าเป็นไปได้คือ บริเวณทั้งสองแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ห่างจากแหล่งน้ำทั้งนี้เพราะในการตั้งบ้านเรือน การสร้างเมืองของไทยแต่โบราณแล้วจะนิยมยึดถือในแนวทางเดียวกัน คือ ให้อยู่ใกล้บริเวณแหล่งน้ำ เพื่อประกอบอาชีพในการเพาะปลูก ทำนาและการคมนาคม สมัยก่อนกรุงสุโขทัย จากการศึกษาและค้นคว้าของนักประวัติศาสตร์ โบราณคดี ได้พบว่า จังหวัดปราจีนบุรีเคยเป็นหัวเมืองเก่าแก่มาตั้งแต่โบราณตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุวรรณภูมิ อาณาจักรทวาราวดี อาณาจักรฟูนัน อาณาจักรอีศานปุระ อาณาจักรลพบุรี ซึ่งแต่เดิมเคยมีชื่อตามหลักศิลาจารึกว่า "เมืองอวัธยปุระ" "เมืองพระรถ" หรือ "เมืองมโหสถ" ทั้งนี้ จากหลักฐานรายงานของชุมนุมวัฒนธรรมโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร" ได้บันทึกไว้ดังต่อไปนี้ " ..เมืองอวัธยปุระ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี (ปัจจุบันอยู่ในอำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี) ..นอกจากเมืองโบราณและโบราณสถาน โบราณวัตถุ ขนาดใหญ่และสวยงาม อันแสดงให้เห็นถึงระดับความเจริญแล้ว ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ อันเป็นที่ตั้งของเมือง ยังแสดงให้เห็นชัดมีความสำคัญเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการคมนาคม ..ในทางภูมิศาสตร์ เมืองนี้ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๓๐ ํ ๕๓' ๓๐'' เหนือ และเส้นแวงที่ ๑๐๑ ๒๕ ' ตะวันออก ตัวเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าค่อนข้างรี .ภายในเมืองมีโคกเนินที่เป็นศาสนสถาน ทั้งที่สร้างด้วยศิลาแลงและอิฐหลายแห่ง ซึ่งล้วนมีขนาดใหญ่ .บริเวณเหล่านี้มีเศษกระเบื้องเกลื่อนกลาด เศษกระเบื้องที่พบมีหลายสมัย นับตั้งแต่สมัยทวาราวดี ลพบุรี จนถึงสุโขทัยและอยุธยา ที่เมืองอวัธยปุระนี้ การชลประทานเพื่อกักน้ำไว้ใช้เจริญมาก ..บริเวณเมืองอวัธยปุระได้พบหลักศิลาจารึกที่เนินสระบัว ตำบลโคกปีบ อำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี มีข้อความว่า ..มหาศักราช ๖๘๓ ปีฉลูนักษัตร แรม ๑ ค่ำ เดือน ๗ วันพุธ (ตรงกับ พ.ศ. ๑๓๐๔)" จากหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับซากโบราณ ศาสนสถาน ตลอดจนที่ตั้งตามตำแหน่งภูมิศาสตร์ทำให้เป็นแนวทางสันนิษฐานได้ว่า เมืองอวัธยปุระ "เมืองพระรถ" เมืองมโหสถ หรือเมืองปราจีนบุรีในปัจจุบัน ได้เกิดขึ้นในอาณาจักรสุวรรณภูมิ เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ ๓๐๐ ปี ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๓ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์แห่งอินเดีย ได้จัดส่งพระเถระ ๒ รูป คือ พระโสณะ และพระ- อุตระ เข้ามาเผยแพร่พุทธศาสนาในอาณาจักรสุวรรณภูมิ ลัทธิหินยาน ซึ่งเป็นลัทธิหนึ่งในพุทธศาสนา จึงอุบัติขึ้นในดินแดนสุวรรณภูมิ และเจริญรุ่งเรืองสืบมาซึ่งจะเห็นได้จากโบราณวัตถุต่างๆ เป็นต้นว่า รูปธรรมจักรและกวาง สถูปศิลา พระพุทธรูปปางต่างๆ อันหมายถึง อุเทสิกะเจดีย์ ต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งได้พันธุ์มาจากเมืองพุทธคยา ประเทศอินเดีย อันหมายถึง บริโภคเจดีย์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ในเมืองนี้ ตลอดมา ต่อมาเมืองอวัธยปุระได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรฟูนันระยะหนึ่ง จนกระทั่งจวบถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๑ อาณาจักรทวาราวดีได้มีอำนาจในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาโดยสืบเชื้อสายมาจากอาณาจักรสุวรรณภูมิ และได้แผ่อำนาจมาถึงเมืองอวัธยปุระ จนกระทั่งในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ อาณาจักรทวาราวดีถึงจุดเสื่อม และล่มจมลง เมืองอวัธยปุระจึงต้องตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักร อีศานปุระ (อาณาจักรเจนละ) และจากหลักฐานการค้นพบศิลาจารึกที่บริเวณเนินสระบัว ตำบลโคกปีบ อำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งจารึกเป็นตัวอักษรขอมโบราณ จึงเป็นหลักฐานยืนยันว่าเมืองอวัธย-ปุระ น่าจะมีชนชาติขอมอาศัยอยู่ด้วย และนับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายาน เมืองอวัธยปุระในสมัยนี้มีสภาพเป็นหัวเมืองใหญ่มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและการปกครอง ทั้งได้ถ่ายทอดคติความเชื่อในพุทธ-ศาสนาลัทธิมหายานและศาสนาพราหมณ์ นิกายต่างๆ เริ่มแพร่หลาย ดังนั้นพระพุทธรูปในลัทธิมหายานและรูปศิวลึงค์ เทวสถาน อันเป็นเครื่องหมายแทนรูปเคารพตามคติความเชื่อในสมัยนั้น จึงปรากฏร่องรอยทิ้งซากปรักหักพังให้เห็นดังในปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์โบราณคดี กำหนดเรียกศิลปโบราณวัตถุที่ขุดพบในจังหวัดปราจีนบุรี และแถบตะวันออกของประเทศไทยว่า "กลุ่มของโบราณดงศรีมหาโพธิ" ศิลปโบราณวัตถุดังกล่าวนี้เป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์ เพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้าศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๘ อาณาจักรลพบุรีเริ่มมีอำนาจขึ้นในดินแดนสุวรรณภูมิ ต่อมาในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ กษัตริย์แห่งอาณาจักรขอม ได้แผ่ขยายอาณาเขตไปทั่วคาบสมุทรอินโด-จีนตลอดแหลมสุวรรณภูมิ เมืองอวัธยปุระ หรือ เมืองศรีมโหสถ จึงตกอยู่ภายใต้อำนาจด้วย เข้าใจว่ายังคงความสำคัญอยู่แต่ไม่อาจทราบสถานภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจได้แน่ชัด สมัยสุโขทัย ในสมัยสุโขทัยไม่พบหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวถึงเมืองอวัธยปุระ (ศรีมโหสถ) หรือเมืองปราจีนบุรี เข้าใจว่ามิได้มีความสัมพันธ์ทางการเมืองกับสุโขทัย หรือยังอยู่ในอำนาจขอม แต่ก็ได้พบเครื่องสังคโลกในบริเวณชุมชนโบราณ สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทยในปีพุทธศักราช ๑๘๙๓ ทรงนำแบบแผนการปกครองและวิธีการทหารมาจากกรุงสุโขทัย ทรงกำหนดให้มีเมืองป้อมปราการด่านชั้นในขึ้น สำหรับป้องกันราชธานีทั้ง ๔ ทิศ และกำหนดให้เมือง ปราจิณเป็นหัวเมืองชั้นในด้านตะวันออก ขึ้นอยู่ในอำนาจของเจ้าพระยาจักรี ตำแหน่งสมุหนายก เมือง ปราจิณ จัดเป็นหัวเมืองชั้นโท เจ้าเมืองมีบรรดาศักดิ์เป็นชั้นพระยา ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ทรงได้ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงการปกครองกรุงศรีอยุธยาใหม่ คือ ทรงจัดแบ่งออกเป็นหัวเมืองชั้นนอก และหัวเมืองชั้นใน และแบ่งหัวเมืองออกเป็นชั้นๆ คือ ชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี และชั้นจัตวา เมืองปราจิณ ถูกกำหนดให้เป็นเมืองจัตวา (ชั้น ๔) ใช้ขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์ พระ หรือ พระยา ปกครอง ล่วงมาถึงสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงสร้างเมืองใหม่ขึ้นหลายเมืองด้วยกัน เมือง ปราจิณถูกตัดแบ่งแยกอาณาเขตจากเดิมจัดตั้งเป็นเมืองใหม่เพิ่มขึ้น คือ ท้องที่เขตเมืองปราจิณทางด้านใต้ กับท้องที่เมืองชลบุรีด้านเหนือ ตั้งเป็นเมืองใหม่ คือ เมืองฉะเชิงเทรา* ในสมัยสมเด็จพระมหา- จักรพรรดินี้ พระเจ้าแปรกษัตริย์พม่าได้ยกกองทัพมารุกรานไทย เกิดสงครามระหว่างไทยกับพม่าหลายครั้ง ฝ่ายพระยาละแวกถือโอกาสที่ไทยมีศึกสงครามจึงยกกองทัพมากวาดต้อนครอบครัวชาวเมืองปรา- จิณ และหัวเมืองด้านตะวันออกไปเป็นจำนวนมาก หลังจากสงครามพม่าสงบลงแล้ว สมเด็จพระมหา-จักรพรรดิ จึงโปรดให้พระยาพะเยาเป็นแม่ทัพยกทัพไปตีเมืองละแวก พระยาละแวกเห็นว่าจะสู้ไม่ได้จึงขอยอมรับผิด ยอมอ่อนน้อมขอเป็นเมืองออกถวายเครื่องบรรณาการ และนำครอบครัวชาวไทยที่กวาดต้อนไปจากเมืองปราจิณกลับคืน ในสมัยของพระมหาธรรมราชา กรุงศรีอยุธยาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า บ้านเมืองบอบช้ำจากพิษสงคราม เขมรฉวยโอกาสส่งกองทัพมารุกรานหัวเมืองต่างๆ ของไทยหลายครั้ง เมื่อพม่ายกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๒๑๒๘ พระยาละแวกได้ยกกองทัพมาช่วยโดยเดินทางมาทางด่านเมือง ปราจิณ ครั้งนี้กองทัพพม่าแตกพ่ายไป ต่อมาพระยาละแวกเริ่มเอาใจออกห่าง จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๑๓๐ พระเจ้าหงสาวดี นันทบุเรง ทรงยกกองทัพใหญ่เข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยาอีก ฝ่ายพระยาละแวกเมื่อทราบว่าไทยมีศึกกับพม่า จึงแต่งทัพเข้ามาตีหัวเมืองทางภาคตะวันออกของไทย ตีเมืองปราจิณแตก พระยาศรีไสยณรงค์และพระยาสีหราชเดโช ยกทัพออกไปตีต้านทัพทางด้านหณุมาน (ปัจจุบันคืออำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี และทางด่านพระจารึกหรือด่านพระกริศ (เข้าใจว่าอยู่ในเขตอำเภอวัฒนา-นคร จังหวัดปราจีนบุรี) และแล้วจึงยกทัพกลับมาตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองปราจิณ จนกระทั่งพม่าเลิกทัพแล้วจึงยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เข้มแข็ง ทรงร่วมกับสมเด็จพระเอกาทศรถ พระอนุชา ปรับปรุงกองทัพไทยให้เข้มแข็ง หลังจากสมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงประกาศอิสรภาพกรุงศรีอยุธยาไม่ขึ้นต่อกรุงหงสาวดีอีกต่อไป ณ เมืองแครง ใน พ.ศ. ๒๑๒๗ พระยาละแวกได้ขอเป็นไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๑๓๕ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชโปรดให้จัดเตรียมทัพเพื่อยกเข้าตีกรุงกัมพูชา ทรงสั่งให้เจ้าเมืองทางหัวเมืองด้านตะวันออก ๔ หัวเมือง คือ พระยานครนายก พระยาปราจิณ พระวิเศษเมืองฉะเชิงเทรา และ พระสระบุรี ตั้งค่ายขุดคู ปลูกยุ้งฉางลำเลียงไว้ที่ตำบลทำนบ และให้รักษาฉางข้าว พ.ศ. ๒๑๓๖ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกทัพหลวงไปตีเมืองละแวก ต่อมาโปรดให้ พระยาปราจิณ พระยานครนายก และพระวิเศษเข้าร่วมกระบวนทัพหลวง และโปรดให้พระยาปราจีนตั้งกองรวบรวมเสบียงอาหารอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์พร้อมด้วยทหาร ๓,๐๐๐ คน ในที่สุดก็สามารถตีกรุงกัมพูชาเป็นผลสำเร็จ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชโปรดให้ตั้งพิธีปฐมกรรม และประหารชีวิตพระยาละแวก หลังจากนั้นมาราษฎรเมืองปราจิณก็อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ถูกรบกวนจากพวกเขมรอีก จวบจนถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ปรากฏว่าเกิดเรื่องยุ่งยากในการสืบราชสมบัติ เนื่องจากพระราชโอรสไม่สามัคคีปรองดองกัน (โอรสทั้ง ๓ พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี (เจ้าฟ้าเอกทัศ) และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (เจ้าฟ้าอุทุมพร) และพระโอรสเกิดจากพระสนม ๔ * ความนี้ปรากฏในหนังสือแสดงบรรยายพงศาวดารสยามของสมเด็จกรมดำรงราชานุภาพ พระองค์ คือ กรมหมื่นเทพพิพิธ กรมหมื่นจิตสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพย์ภักดี) ต่อมาพระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ได้รับพระราชอาญาให้ประหารชีวิตเนื่องจากลักลอบเป็นชู้กับพระสนม ส่วนราชโอรสองค์กลางคือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี (เจ้าฟ้าเอกทัศ) นั้น พระปรีชาและพระอุปนิสัยไม่เหมาะแก่การปกครองบ้านเมือง โปรดให้ออกผนวชและทรงแต่งตั้งให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตเป็นอุปราช เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ทรงขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าอุทุมพร ต่อมากรมหมื่นจิตสุนทร กรมหมื่นสุนทร-เทพ และกรมหมื่นเสพย์ภักดี คบคิดกันช่วงชิงราชสมบัติแต่ไม่สำเร็จ ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ หลังจากนั้นพระเจ้าอุทุมพรทรงถวายราชสมบัติให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี ขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ หรือเรียกกันว่าขุนหลวงขี้เรื้อน ส่วนพระเจ้าอุทุมพรเมื่อมอบราชสมบัติให้แก่พระเชษฐาแล้ว ก็ทรงออกผนวชและก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะเสียให้แก่พม่าเป็นครั้งที่ ๒ ในพุทธศักราช ๒๓๐๙ ปีจอ กรมหมื่นเทพพิพิธ ซึ่งถูกพระเจ้าเอกทัศ เนรเทศไปอยู่เมืองจันทบุรีได้ชักชวนรวบรวมกำลังจัดกองทัพมาช่วยรบพม่าซึ่งขณะนั้นกำลังล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ กองทัพได้ยกกำลังมาถึงเมือง ปราจิณ และให้นายทองอยู่น้อย เป็นแม่ทัพหน้ายกพลไปตั้งมั่นอยู่ปากน้ำโยทะกา แขวงเมืองนครนายก ต่อมาพม่าได้ยกกองทัพมาตีทัพหน้าของกรมหมื่นเทพพิพิธแตกพ่ายไป กรมหมื่นเทพพิพิธจึงเสด็จหนีไปยังเมืองนครราชสีมา จากเหตุการณ์ที่กรมหมื่นเทพพิพิธได้ชักชวนกำลังราษฎรไปรบกับพม่าช่วย กรุงศรีอยุธยาและได้ยกกองทัพมาถึงเมืองปราจิณนั้น คาดว่าบรรดาชายฉกรรจ์ของเมืองปราจิณ ซึ่งมีเลือดรักชาติและเป็นนักรบอยู่แล้ว คงอาสาร่วมรบพม่าในครั้งนี้ด้วยเป็นแน่แท้ สมัยกรุงธนบุรี หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้ว พม่าตั้งใจจะมิให้ไทยตั้งตัวได้อีก จึงเผาผลาญทำลายปราสาทราชวัง วัดวาอาราม ตลอดจนบ้านเรือนของราษฎรเสียหายยับเยิน ทั้งยังกวาดต้อนผู้คนเก็บทรัพย์สมบัติไปจนหมดสิ้น กรุงศรีอยุธยาซึ่งเคยเป็นราชธานีของไทยที่ยืนยาวมาหลายร้อยปี ก็ถึงกาลพินาศล่มจมนับพระมหากษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยารวมทั้งสิ้น ๓๔ พระองค์ จากข้อความตอนหนึ่งในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า ..พม่ายกทัพเรือออกไปตีเมืองปราจิณแตก .. ก็แสดงให้เห็นว่า ในการสงครามครั้งนี้ เมืองปราจิณต้องถูกพม่าทำลายบ้านเมืองด้วย และคงกวาดต้อนราษฎรไปด้วยเป็นอันมาก จากซากกำแพงเมืองที่หลงเหลืออยู่ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า เมืองปราจิณซึ่งถูกกองทัพพม่าบุกยึดเมืองได้ คงถูกทำลายเสียหายย่อยยับเช่นเดียวกันกับกรุงศรีอยุธยา ในช่วงเหตุการณ์ก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ นี้ เมืองปราจิณได้มีส่วนเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ คือ พระยาตาก ขณะนั้นเป็นพระยาวชิรปราการ ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกทั้งชาวไทยและชาวจีน ตีฝ่าวงล้อมของทหารพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยาออกมาได้ขณะหยุดประทับ ณ บ้านพรานนก ความทราบถึงกองกำลังของทหารพม่าซึ่งตั้งมั่นรักษาเมืองปราจิณอยู่ที่บ้านบางคาง (ปัจจุบันคือบ้านบางคาง ตำบลรอบเมือง อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวัน-ตกห่างจากตัวเมืองปราจิณประมาณ ๒ กิโลเมตรเศษ จึงนำกำลังไปปราบปราม ปะทะกับทหารไทย-จีน ของพระยาตากที่ออกมาหาเสบียงอาหาร ผลปรากฏว่าฝ่ายพระยาตากได้รับชัยชนะ ทำให้พระยาตากเป็นที่เลื่อมใสของบรรดาชาวไทยทั่วๆ ไป และเป็นที่ยำเกรงของพม่า ตลอดจนหมู่คนไทยจากชุมนุมต่างๆ ต่อมาพระยาตากได้ยกกองทัพมาถึงเมืองปราจิณ ข้ามแม่น้ำปราจีนบุรีที่ด่านกบแจะ (ปัจจุบันคือ วัดกระแจะ อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี) แล้วเดินทัพตัดออกทางบ้านคู้ลำพัน (ตำบลคู้ลำพัน อำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี) และหยุดพักไพร่พลเพื่อหุงหาอาหารทางด้านฟากตะวันออกที่ชายดงศรีมหาโพธิ (บริเวณลานต้นโพธิ์ อำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี) หลังจากนั้นก็เดินทัพผ่านเมืองฉะเชิงเทรา เมืองชลบุรี ต่อไปจนถึงเมืองระยองเข้ายึดเมืองจันทบุรีได้สำเร็จยึดเป็นที่มั่นรวบรวมซ่องสุมกำลังเพื่อกู้ราชธานี กรุงศรีอยุธยาคืนจากพม่า ท้ายที่สุดพระยาตาก* ก็รวบรวมและปราบปรามชุมนุมต่างๆ จนราบคาบและสามารถกู้ อิสรภาพให้พ้นจากอำนาจของพม่าได้ ดังนั้นในวันอังคาร แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๓๑๑ พระยาตากจึงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแทนกรุงศรีอยุธยา และเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ เมื่อพระชนมายุได้ ๓๔ พรรษา ซึ่งปัจจุบันได้ถวายพระราชสมญาว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในสมัยกรุงธนบุรีนั้น พระราชพงศาวดารหรือประวัติศาสตร์ไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองปราจิณเหมือนสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ทั้งนี้ เพราะในสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุง ธนบุรีหรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นช่วงระยะฟื้นฟูประเทศ ตลอดช่วงรัชสมัยของพระองค์ถ้าไม่ทำสงครามกับพม่าก็ต้องปราบปรามชุมนุมต่างๆ ของไทย เพื่อรวบรวมชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น แต่ในหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทยของพระบริหารเทพธานี ได้เขียนไว้ว่าใน พ.ศ. ๒๓๑๒ พระรามราชาเกิดผิดใจกับพระนารายณ์ราชา พระรามราชากษัตริย์ของเขมร จึงขอเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงโปรดฯ ให้พระยาโกษาธิบดี (ล่าย) ยกทัพไปปราบพระนารายณ์ราชา พระยาโกษาธิบดียึดได้เมืองพระตะบอง เสียมราฐ กลับมาได้ใน พ.ศ. ๒๓๑๓ ในการปราบเขมรครั้งนี้ เมืองปราจิณซึ่งเป็นหัวเมืองชายแดนทางตะวันออกคงถูกเกณฑ์ชายฉกรรจ์ไปร่วมสงครามด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏในสำเนาท้องตรา พ.ศ. ๒๓๑๖ ว่า พระปราจิณบุรีได้มีท้องตราแจ้งว่าพม่าและลาวยกพลมาตั้งที่ตำบลท่ากระเล็บนอกด่านพระจารึก จึงได้โปรดให้เกณฑ์ทัพหัวเมืองต่างๆ ในภาคกลางและภาคตะวันออกไปช่วยรบ จึงอาจสรุปได้ว่าเมืองปราจิณคงได้รับการบูรณะ ในฐานะเป็นหัวเมืองหน้าด่านทางตะวันออกของกรุงธนบุรี และคงอยู่ในฐานะเมืองหน้าด่านทางด้านเขมรจวบจนสิ้นสมัยกรุงธนบุรี สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยตอนต้นของกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีของไทย ไม่มีเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวข้องกับเมืองปราจิณมากนัก ทั้งนี้เพราะเขมรถูกญวนรุกราน และกองทัพไทยก็ปราบปรามเขมรจนราบคาบ จะมีก็แต่ในช่วงที่กรุงธนบุรีเกิดเหตุการณ์จราจล เพราะเมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงเสด็จกลับกรุงธนบุรีเพื่อปราบปรามการจราจลและจัดการพระนครนั้น เจ้าพระยาสุรสีห์ให้กองทัพไปล้อมกรมขุนอินทรพิทักษ์พระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไว้ที่เมืองพุทธไธเพชร แต่กรมขุนอินทร-พิทักษ์สามารถตีหักออกจากที่ล้อมได้ ยกกำลังหนีไปเมืองปราจิณ ต่อมาถูกจับกุมได้และถูก ประหารชีวิต สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์และได้มีการถวายพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:21:43 ปราจีนบุรี ๒
จากที่ได้กล่าวมาแล้วถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองปราจิณ ในสมัย รัตนโกสินทร์ก็ไม่มีเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับเมืองปราจิณมากนัก ทั้งนี้เมืองปราจิณเป็นเมืองหน้าด่านทางตะวันออกที่จัดว่าสำคัญ เพราะเป็นทางผ่านในการเดินทัพไปมาระหว่างการสงครามไทยกับเขมร คือ เขมรคอยหาโอกาสและจังหวะที่ไทยอ่อนแอ หรือเกิดความจลาจลวุ่นวายในบ้านเมือง ยกกองทัพมาซ้ำเติมและกวาดต้อนผู้คนบริเวณหัวเมืองชายแดนไทย ซึ่งจากเหตุผลนี้คาดว่าครอบครัวและราษฎรไทยในเมืองปราจิณ ก็คงจะถูกกวาดต้อนไปบ้างและในกรณีที่ไทยยกกองทัพไปปราบปรามเขมร เนื่องจากเขมรแข็งเมืองบ้าง เขมรทะเลาะวิวาทกันเองบ้าง ราษฎรในเมืองปราจิณก็ต้องถูกเกณฑ์ไปรบด้วย สำหรับเมืองปราจิณมีด่านสำคัญอยู่ด่านหนึ่งคือ "ด่านหณุมาน" (ในเขตอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี) เป็นด่านหน้าสำหรับคอยป้องกันเขมรทางด้านตะวันออก คำว่าหณุมาน เป็นทั้งชื่อด่านและแควลำน้ำหณุมาณด้วย เป็นแควน้อยที่คู่กับแควใหญ่ เรียกว่า "แควพระปรง" สำหรับด่านหณุมานนี้สันนิษฐานว่าตั้งมาก่อนสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์จักรี เพราะในสมัยนี้ได้ยกฐานะด่านหณุมานตั้งเป็นเมืองกบินทร์บุรีขึ้น (ปี พ.ศ. ๒๔๖๘ เปลี่ยนเป็นอำเภอกบินทร์-บุรี) และในสมัยรัชกาลที่ ๓ นี้ โปรดให้ยกฐานะบ้านที่เป็นชุมชนหนาแน่นเป็นเมือง ขึ้นกรมมหาดไทย คือ เมืองประจันตคาม เมืองกบินทร์บุรี เมืองอรัญประเทศ เมืองวัฒนานคร ฯลฯ และเมื่อครั้งเจ้าอนุวงศ์ นครเวียงจันทน์ เป็นกบฏในสมัยรัชกาลที่ ๓ ราว พ.ศ. ๒๓๖๘ ทรงโปรดให้กรมหมื่นสุรินทร์รักษ์ เป็นจอมทัพไปปราบปราม กรมหมื่นสุรินทร์รักษ์ได้ตั้งประชุมพลที่เมือง ปราจิณและยกกองทัพไปปราบเจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์ เป็นผลสำเร็จ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๗๕ สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองเขมร ในการเดินทัพครั้งนี้ กองทัพได้เดินทางออกจากพระนคร ผ่านบ้านบัวลอยและหยุดทัพพักกองเกวียนอยู่ที่บ้านบัวลอยแห่งนี้ และเดินทางต่อไปโดยพักที่บ้านกระโดน อำเภอกบินทร์บุรี โดยได้ตัดถนนจากกบินทร์บุรีไปจนถึงเมืองพระตะบอง เมื่อเสร็จศึกเขมรแล้ว เจ้าพระยาบดินทร์เดชาได้สร้างวัดขึ้นที่บ้านกระโดน อำเภอกบินทร์บุรี ให้ชื่อว่า "วัดพระยาทำ" (ปัจจุบันก็ยังคงอยู่ในอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี) และบริเวณที่เดินทัพมาถึงบริเวณที่ตั้งวัดแจ้งในปัจจุบัน ก็เป็นเวลารุ่งแจ้งพอดี จึงได้สร้างวัดขึ้นในบริเวณดังกล่าว เรียกว่า "วัดแจ้ง" (ปัจจุบันก็ยังคงอยู่ในอำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี) สำหรับบริเวณที่หยุดพักเกวียนที่บริเวณบ้านบัวลาย ให้สร้างวัดขึ้นเรียกว่า วัดโรงเกวียน (ปัจจุบันคือ วัดอุดมวิทยาราม (โรงเกวียน) แล้วจึงยกกองทัพกลับพระนคร สำหรับถนนที่ตัดจากกบินทร์ไปจนถึงเมืองพระตะบองเพื่อไปปราบเขมรนั้น บัดนี้ยังคงอยู่ เรียกว่า ถนนเจ้าพระยาบดินทร์ ในปีพุทธศักราช ๒๔๒๑ รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมือง ปราจิณมีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นตรี บรรดาศักดิ์ของเจ้าเมืองคือ พระ ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยากระสาปน์กิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) มาควบคุมการทำเหมืองทองที่ตำบลบ่อทอง อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี และโปรดเกล้าฯ ให้หลวงปรีชากลการ (สำอาง อมาตยกุล) ผู้บุตร เป็นข้าหลวงเมือง ปราจิณ ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระปรีชากลการ เพื่อช่วยทำเหมืองทองคำ พระปรีชากลการได้สมรสกับ มิสแฟนนี่ น๊อกซ์ ธิดาของเซอร์โธมัส ยอร์ช น๊อกซ์ กงสุลอังกฤษประจำประเทศไทย ต่อมาพระปรีชากลการถูกราษฎรร้องทุกข์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าฉ้อโกงเงินหลวง กระทำทารุณกรรมราษฎรด้วยความไม่เป็นธรรมหลายประการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งคณะกรรมการตุลาการขึ้นชำระความ ปรากฏว่าพระปรีชากลการมีความผิดตามที่ราษฎรร้องเรียน จึงจับตัวพระปรีชากลการสอบสวน เซอร์โธมัส ยอร์ช น๊อกซ์ ขอร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวพระปรีชากลการ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงโทรเลขเรียกเรือรบอังกฤษเข้ามาในน่านน้ำไทยเพื่อข่มขู่รัฐบาล รัฐบาลไทยจึงส่งคณะทูตพิเศษออกไปเจรจาความกับรัฐบาลอังกฤษ รัฐบาลอังกฤษเห็นว่าการกระทำของกงสุลอังกฤษประจำประเทศไทยไม่เป็นการสมควร จึงเรียกเรือรบกลับและมีคำสั่งให้เซอร์โธมัส ยอร์ช น๊อกซ์ พ้นจากตำแหน่งกงสุลอังกฤษประจำประเทศไทย ดังนั้นคณะลูกขุนตุลาการของศาลไทยจึงพิพากษาลงโทษประหารชีวิตประปรีชากลการ และจำคุกสมัครพรรคพวกอีกหลายคน พ.ศ. ๒๔๓๗ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ปฏิรูปการปกครองประเทศไทย ส่วนภาคเป็นระบบมณฑล เทศาภิบาล มณฑลปราจีนมีที่ตั้งที่บัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองปราจีนบุรี มีหัวเมืองขึ้นอยู่ในความปกครอง คือ เมืองนครนายก เมืองฉะเชิงเทรา เมืองชลบุรี มีพลตรี พระยาฤทธิ์รงค์รณเฉท (ศุข ชูโต) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลคนแรก ในสมัยนั้นเมืองปราจีนบุรีมีที่บัญชาการมณฑลเป็นตึก ๒ ชั้น ๔ หลัง หันเข้าบรรจบกันเป็น ๔ เหลี่ยม รูปคล้ายศาลายุทธนาธิการ กว้างขวางมาก ระหว่างกลางสามารถปลูกต้นไม้ทำเป็นสนามได้ สำหรับการปกครองในสมัยนั้น เมืองปราจีนบุรีแบ่งเขตการปกครองเป็น ๕ อำเภอ ๓ สาขา คือ ๑. อำเภอเมือง ๒. อำเภอบ้านสร้าง ๓. อำเภอศรีมหาโพธิ แยกสาขาเป็นอำเภอท่าประชุม ๔. อำเภอประจันตคาม ๕. อำเภอกระบิล แยกสาขาเป็น อำเภอวัฒนา ๑ อำเภอสระแก้ว ๑ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดให้สร้างทางรถไฟสายตะวันออกจากสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ถึงสถานีแม่น้ำ จังหวัดฉะเชิงเทรา) ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างต่อจนถึงสถานีอรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งกรมทหารราบที่ ๑๙ ขึ้น โดยจัดสร้างอาคารทหารทางด้านทิศตะวันออกของศาลากลางจังหวัดหลังเก่า (บริเวณริมเรือนจำในปัจจุบัน) ถึงคลองดักรอบ (ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งโรงเรียนอนุบาลปราจีนบุรี โรงเรียนปราจีนกัลยาณี โรงเรียนปราจิณราษฎรอำรุง และวิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรีในปัจจุบัน) ต่อมาได้ย้ายกรมทหารไปตั้งใหม่ที่ดงพระรามให้ชื่อว่า ค่ายจักรพงษ์ มณฑลทหารบกที่ ๒ เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์แด่สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้เปลี่ยนจาก เมือง เป็น จังหวัด และใน พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้มีการยุบเลิกมณฑลปราจีน ดังนั้นในทำเนียบรายชื่อจังหวัดในประเทศไทย จึงปรากฏเป็น จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งหมายถึงเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศไทย ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดปราจีนบุรี. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์หอรัตนชัยการ พิมพ์, ๒๕๒๙. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:22:21 ประจวบคีรีขันธ์
ดินแดนอันเป็นที่ตั้งของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบันนี้ มีความเป็นมาที่ไม่ชัดเจนนักบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบแสดงให้เห็นว่าเคยเป็นเพียงทางผ่านทางการเดินทัพทั้งทัพไทยและทัพพม่า และเนื่องจากพม่าเดินทางเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาหลายครั้งด้วยกันทำให้อาคารบ้านเรือนหรือสถานที่ทางศาสนาเป็นเพียงการสร้างขึ้นใช้ชั่วคราว เมื่อถูกโจมตีก็สูญหายไปเสียคราวหนึ่ง จึงไม่มีโบราณสถานถาวรใดๆ เหลืออยู่เช่นจังหวัดอื่นๆ ในบริเวณภาคกลางของประเทศ อย่างไรก็ตามหลักฐานเอกสารบางฉบับชี้ให้เห็นว่า ดินแดนแถบนี้เคยมีผู้คนตั้งบ้านเรือนมาช้านานแล้ว ซึ่งพอจะลำดับได้ดังนี้ สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ประวัติที่เล่าขานถึงความเป็นมาได้แสดงให้เห็นว่าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบันเคยมีผู้ตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยช้านานนับได้หลายศตวรรษ หนังสือพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับ วัน วลิต พ.ศ. ๒๑๘๒ (Van Vliet) พ่อค้าชาวฮอลันดา ซึ่งได้มาทำงานอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาเป็นเวลาประมาณ ๙ ปี พ.ศ. ๒๑๗๖ - ๒๑๘๕ ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งวนาศรี สามนเสน แปลไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ ความบางตอนกล่าวว่า ..เป็นเรื่องราวที่เห็นพ้องต้องกันมากที่สุด คือเมื่อประมาณสองพันปีมาแล้วพระโอรสของจักรพรรดิจีนพระองค์หนึ่งถูกเนรเทศออกจากเมืองจีน เนื่องจากลอบปลงพระชนม์พระราชบิดา และจะยึดครองราชอาณาจักร พระราชโอรสและข้าราชการบริพารหลังจากรอนแรมไปตามที่ต่างๆ ในที่สุดก็มาขึ้นบกที่อ่าวสยามแหลมกุย (Guij) อยู่ห่างจากอำเภอกุยบุรีในปัจจุบัน ๖๐๐ เมตร ความเห็นของผู้แปลบันทึก และตั้งถิ่นฐานที่นั่น . สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระเจ้าอู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี ในพ.ศ. ๑๘๙๓ ดินแดนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวมเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ในการปกครองด้วยเช่นกัน พลตรีดำเนิร เลขะกุล บันทึกลงอนุสาร อ.ส.ท. (ฉบับเดือนเมษายน ๒๕๑๕) ว่าในแผนที่เดินทางของขบวนเรือรบจีนในบังคับบัญชาของเช็งโห หัวหน้าขันที ซึ่งพระเจ้ายุงโล้แห่งราชวงศ์เหม็งทรงส่งมาสำรวจประเทศตะวันตก และชื้อหาสิ่งฟุ่มเฟือยแปลกๆ เช่น เพชร พลอย ไม้หอม เครื่องเทศและสิ่งของหายากอื่นๆ ในระหว่าง พ.ศ. ๑๙๗๔๑๙๗๕ และศาสตราจารย์ พอล วิตลีย์ (Prof. Poul Wheatly) ได้มาทำขึ้นใหม่นั้น ได้กำหนดตำบลหนึ่งลงบนบริเวณที่เป็นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขณะนี้ไว้ด้วย และเขียนชื่อที่เรียกเป็นสำเนียงจีน (เขียนด้วยอักษรอังกฤษ) ว่า พิ-เชียชาน (Pi-Chia-Chari) แปลว่า เขาสามยอด (Triple Peak Mountain) สำเนียงจีนกลางมาจากการสอบถามอ่านว่าซันไป่เฟิง-ผู้เรียบเรียง) ใกล้เคียงกับ เขาสามร้อยยอด หรือ เขาสามยอด ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นี้เป็นที่สังเกตและรู้สึกกันดีในระหว่างนักเดินเรือเป็นอย่างดี หนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า ลำดับรายชื่อหัวเมืองปักษ์ใต้ของกรุงศรีอยุธยาไว้ ดังนี้ เมืองปราณ เมืองชะอัง เมืองนารัง (บางนางรม) เมืองบางตะพาน พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ เล่าเรื่องสมัยสมเด็จพระนเรศวรไว้ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า พระผู้เป็นเจ้าขอแล้วโยมก็จะให้ แต่ทว่าจะให้ไปตีเมืองตะ-นาวศรี เมืองทวาย แก้ตัวก่อน สมเด็จพระนพรัตก็ถวายพระพรว่า การซึ่งจะใช้ไปตีบ้านเมืองนั้นสุดแต่พระราชสมภารเจ้าจะสมเคราะห์ ใช่กิจสมณะ แล้วสมเด็จพระนพรัตน์พระราชาคณะทั้งปวงถวายพระพรลาไป สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสั่งให้ท้าวพระยาหัวเมืองมุขมนตรีพ้นโทษ พระราชกำหนดให้พระยาจักรีถือพล ๕๐,๐๐๐ ไปตีเมืองตะนาวศรี ให้พระยาพระคลังถือพล ๕๐,๐๐๐ ยกไปตีเมืองทวาย . พระเจ้าหงสาวดีทรงพระราชดำริว่า นเรศร์ทำการศึกว่องไวหลักแหลมองอาจนักจนถึงยุทธหัตถีมีชัยแก่มหาอุปราชา เอกาทศรฐเล่าก็มีชัยแก่มังจาซะโร เห็นพี่น้องสองคนนี้จะมีใจกำเริบยกมาตีพระนครเราเป็นมั่นคง แต่ทว่าจะคิดเอาเมืองตะนาวศรี เมืองมฤท เมืองทวายให้ได้ก่อนจำจะให้นายทัพนายกองและไพร่ซึ่งไปเสียทัพมานี้ ให้ยกลงไปรักษาเมืองตะนาวศรี เมืองมฤท เมืองทวาย ไว้ให้ได้ศึกจึงจะไม่เถิงกรุงสาวดี ฝ่ายเมื่อพระยาจักรียกมาเถิงแดนเมืองตะนาวศรี ตีบ้านรายทางกวาดผู้คนได้เป็นอันมาก แล้วยกเข้ามาล้อมเมืองตะนาวศรี ชาวเมืองรบป้องกันเป็นสามารถ ๑๕ วัน พระยาจักรีแต่งเข้าปล้นเมืองในเพลา ๑๐ ทุ่ม พอรุ่งขึ้นเช้าประมาณโมงเศษก็เข้าเมืองได้ ฝ่ายกองทัพพระยาพระคลังยกตีแดนเมืองทวาย ชาวทวายยกออกมารับก็แตกเสียเครื่องสัตราวุธล้มตายเป็นอันมาก พระยาพระคลังก็ยกเข้าไปพักพลตั้งค่ายริมน้ำฟากตะวันออกเหนือคลองละหามั่นแล้ว ก็ยกข้ามไปล้อมเมืองไว้ อยู่เถิง ๒๐ วัน ทวายจาเจ้าเมืองทวายเห็นเหลือกำลังจะรักษาเมืองไว้มิได้ ก็แต่งให้เจตองวุ่นกับวุ่นทก ออกไปขอออกเป็นข้าขอบขัณฑเสมา ถวายดอกไม้ เงินทอง พระยาจักรี พระยาพระคลัง บอกข้อราชการเข้ามาให้กราบทูล สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ก็ดีพระทัย ตรัสให้ตอบออกไปให้พระยาศรีไสยณรงค์อยู่รั้งเมืองตะนาวศรี ให้เอาทวายจาเข้ามาเฝ้า พระยาจักรี พระยาพระคลังจัดแจงบ้านเมืองเสร็จแล้วก็ให้ยกทัพกลับเข้ามาเถิด พระยาจักรี พระยาพระคลังแจ้งดังนั้น ก็บอกลงไปเมืองตะนาวตามพระราชบรรหารทุกประการและให้ทวายจาเป็นเจ้าเมืองอยู่ดังเก่า ให้จัดชาวเมืองทวายเป็นที่ปลัดชื่อออกพระปลัดผู้หนึ่ง ให้ยกเป็นกระบัตรชื่อออลังปลังปลัดผู้หนึ่ง เป็นที่นาชื่อออละนัดผู้หนึ่ง เป็นที่วังชื่อคงปลัดผู้หนึ่ง เป็นที่คลังชื่อออเมงจะดีผู้หนึ่ง เป็นที่สุดชื่อคงแวงทัดคงจำเป็นที่เมือง ครั้นตั้งแต่งขุนหมื่นผู้ใหญ่ผู้น้อย และจัดแจงบ้านเมืองเป็นปกติเสร็จแล้ว ครั้นเดือน ๕ ขึ้น ๑๑ ค่ำ พระยาจักรี พระยาคลัง ก็พาเอาตัวทวายจาเจ้าเมือง กับผู้มีชื่อซึ่งตั้งไว้ ๖ คนนั้นเข้ามาด้วย ขณะนั้นยกกองทัพมาโดยมองสอย เถิงตำบลภูเขาสูงช่องแคบ แดนพระนครศรีอยุธยากับเมืองทวายต่อกันหาที่สำคัญมิได้จึงให้เอาปูนในเต้าแห่งไพร่พลทั้งปวงมาประสมกันเข้าเป็นใบสอก่อเป็นพระเจดีย์ฐานสูง ๖ ศอก พอหุงหาอาหารสุกสำเร็จแล้ว ยกทัพเข้ามาเถิงกรุงพระนครศรีอยุธยาเข้าเฝ้ากราบทูล ครั้น ณ วันอังคาร เดือน ๕ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีจอ อัฐศก (จ.ศ. ๙๔๘ พ.ศ. ๒๑๒๙) กรมการเมืองกุยบุรีบอกเข้ามาว่า พระยาศรีไสยณรงค์ซึ่งให้ไปรั้งเมืองตะนาวศรีเป็นกบฏ โกษาธิบดีกราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระมหากรุณายังแคลงอยู่ จึงโปรดให้มีตราแต่งตั้งข้าหลวงออกไปหา พระยาตะนาวศรีก็มิมาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธ จึงให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าเสด็จพระราชดำเนินยกทัพออกไป และสมเด็จพระอนุชา เสด็จออกไปครั้งนั้น พล ๓๐,๐๐๐ ช้างเครื่อง ๓๐๐ ม้า ๕๐๐ ทัพปักษ์ใต้เมืองไชยา เมืองชุมพร เมืองคลองวาฬ เมืองกุย เมืองปราณ เมืองเพชรบุรี ๖ เมือง คน ๑๕,๐๐๐ ชุมทัพตำบลบางตะพานเดินทัพทางสิงขรฝ่ายพระยาตะนาวศรีรู้ว่า สมเด็จพระเอกาทศรฐ-อิศวรบรมนาถ บรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินออกมา ก็คิดเกรงพระเดชเดชานุภาพเป็นอันมาก จะหนีก็หนีไม่พ้น จะแต่งทัพออกรับก็เหลือกำลัง จนสิ้นคิดแล้วก็นิ่งรักษามั่นไว้ เถิงเดือน ๙ พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ (สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรฐ) ก็เสด็จออกจากเมืองเพชรบุรี (เสด็จมาประพาสอยู่ที่เมืองเพชรบุรีก่อน) โดยชลมารคเสด็จไปประพาสถึงตำบลสามร้อยยอด และตั้งพระตำหนักแถบฝั่งพระมหาสมุทร จึงเสด็จลงพระสุพรรณวิมานนาวาอันอลงกตรจนาธิการประดับ สรรพด้วยเครื่องพิชัยศัสตราวุธมหิมา และเรือท้าวพระยาเสนาบดีพิธิโยธาทหารโดยเสด็จแห่ห้อมล้อมดาดาษในท้องมหาอรรณพสาคร พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ก็เสด็จออกไปประพาสภิรมย์ชมฝูงมัสยากร อันมีนานาพรรณในกลางสมุทร ก็ทรงเบ็ดทองได้ฉลามขึ้นมายังพระตำหนักพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์เสด็จออกไปประพาสในกลางมหาสมุทรดังนั้นได้ ๑๔ วันวาน ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม (ราว พ.ศ. ๒๑๔๖) มีหนังสือจากเมืองตะนาวศรีแจ้งไปกรุงศรีอยุธยาว่ากองทัพมอญและพม่ายกมาล้อมเมืองขอพระราชทานกองทัพไปช่วย พระเจ้าทรงธรรมตรัสให้พระยาพิชัยสงครามเป็นแม่ทัพยกออกไป พอถึงด่านสิงขรก็ได้รับใบบอกจากนายทัพนายกองว่าเมืองตะนาวศรีเสียแก่พม่าแล้ว ในสมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ (ราว พ.ศ. ๒๒๔๖) เสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีและทรงดำเนินตามรอยพระบาทสมเด็จพระนเรศวร คือประทับแรมที่ตำบลโตนดหลวง และเสด็จเลยลงไปถึงสามร้อยยอดเพื่อทรงเบ็ดฉลาม ในสมัยสมเด็จพระบรมโกศ (ราว พ.ศ. ๒๒๙๐) เจ้าเมืองกุยมีหนังสือทูลว่ามีทองคำที่บางสะพานพร้อมทั้งส่งทองเข้าถวายด้วย ๓ ตำลึง จึงทรงเกณฑ์ไพร่ออกไป ๒,๐๐๐ คน ไปร่อนทองใช้เวลา ๕ ปี ได้ทอง ๙๐ ชั่งเศษ ในสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (ราว พ.ศ. ๒๓๐๕) พระเจ้าอังวะยกทัพมาตีเมืองมะริด เมืองตะนาวศรี ทรงให้พระยายมราชเป็นทัพหน้า ทหาร ๓,๐๐๐ พระยาธารมาเป็นแม่ทัพ ทหาร ๒๐๐๐ และทหารหัวเมืองเพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม ธนบุรี และนนทบุรี ยกออกไปแต่พอถึงด่านสิงขรก็ทราบว่าเสียเมืองมะริด ตะนาวศรีแล้ว พระยายมราชจึงตั้งทัพอยู่ที่แกงตุ่ม ถูกพม่าตีแตกกลับเข้ามาถึงกุย ปราณ และถึงเพชรบุรี ราว พ.ศ. ๒๓๐๗ กองทัพมาซึ่งมีมังมหานรธาเป็นแม่ทัพ ยกตีเรื่อยเข้ามาทางทวาย ระนอง ชุมพร คลองวาฬ กุย ปราณ จนถึงเพชรบุรี แต่ที่เพชรบุรีนี้ทัพพระยาพิพัฒโกษากับทัพของ พระยาตากยกมาจากกรุงศรีอยุธยาทัพรักษาเมืองไว้ได้ พม่ายกถอยไปทางด่านสิงขร สมัยกรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๑๗ ทางพม่าได้ยกทัพเข้ามาอีกโดยยกเข้ามาทางปากแพรก ตั้งค่ายอยู่ ณ ตำบลบางแก้ว กองหนึ่งคอยปล้นผู้คนแถวเมืองกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และนครไชยศรี อีกกองหนึ่งยกเข้าปล้นเมืองราชบุรี สมุทรสงคราม และเพชรบุรี ขณะนั้นมีใบบอกเข้ามายังกรุงธนบุรีว่า กองทหารที่เข้ามาทางเมืองมะริดได้เข้าปล้นค่ายทับสะแก เมืองกำเนิดนพคุณ จึงโปรดให้แจ้งแก่เจ้าเมืองกุยบุรี เมืองปราณบุรี ให้ทำลายบ่อน้ำ หนองน้ำตามรายทางที่คิดว่ากองทัพพม่า จะยกมายังเมืองเพชรบุรีให้หมดสิ้น โดยให้เอาของสกปรกหรือยาพิษใส่ลงไปอย่าปล่อยให้เป็นกำลังแก่ฝ่ายข้าศึกได้ สมัยกรุงธนบุรีเป็นช่วงการปกครองที่สั้นมาก ดังนั้นการเดินทางของกองทัพที่ผ่านไปมาในเส้นทางดินแดนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จึงไม่มีเรื่องราวปรากฏมากนัก และเมืองนารังก็เลิกร้างไป สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในปี พ.ศ. ๒๓๓๖ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ เสด็จยกทัพไปตีเมืองเมาะตะมะ เมืองร่างกุ้งและถ้าตีได้ก็ให้เลยไปถึงเมืองอังวะเลยทีเดียว สมเด็จกรมพระราชวังบวรเสด็จทางด่านสิงขรไปตั้งต่อเรือรบอยู่ฝั่งทะเลตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ ๒ (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง เมืองบางนางรม ที่ปากคลองบางนางรม (บางฉบับเขียนบางนางรมย์) แต่ที่ดินไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกจึงย้ายที่ว่าการเมืองไปตั้งที่เมืองกุย ซึ่งมีบ้านเรือนหนาแน่นกว่า พื้นที่อุดมสมบูรณ์กว่าและเป็นเมืองเก่าแก่แต่คงใช้ชื่อเมืองบางนางรมตามเดิม สถานที่ตั้งบ้านเจ้าเมืองคือบ้านจวนบนจวนล่างในปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๒ ความพอสรุปได้ว่าด่านสิงขรเป็นเมืองหน้าด่านที่ใช้ส่งข่าวระหว่างประเทศพม่าและประเทศไทยโดยแขวนทิ้งไว้ตามต้นไม้ที่ปลายด่าน เพราะทั้งสองฝ่ายมีกองลาดตระเวนคอยตรวจตรา การกำหนดหัวเมืองที่ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ แบ่งออกเป็น ๔ ชั้น เรียกว่าเมืองเอก เมืองโท เมืองจัตวา หัวเมืองเอก โท ตรี มีเมืองขึ้นมากบ้างน้อยบ้าง แต่หัวเมืองจัตวาไม่มีเมืองขึ้น คาดว่าแรกๆ เมืองกุย เมืองปราณ เมืองคลองวาฬ คงอยู่ในขั้นเมืองจัตวาหรือเป็นเมืองขึ้นของเพชรบุรีเท่านั้น ส่วนการตั้งเมืองบางนางรมนั้นเข้าข่ายเมืองจัตวา ในสมัยรัชกาลที่ ๓ (๒๓๖๗๒๓๙๔) ไม่มีหลักฐานบันทึกเรื่องราวที่เกี่ยวกับทางจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ (พ.ศ. ๒๓๙๔๒๔๑๑) โปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองบางนางรม กุยบุรี เมืองคลองวาฬเป็นเมืองตั้งขึ้นใหม่ชื่อ "เมืองประจวบคีรีขันธ์ (ประกาศใน พ.ศ. ๒๓๙๘) แต่ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ บันทึกไว้ว่า เมืองขึ้นกลาโหม เมืองคลองวาฬ แก้เป็นเมืองประจวบคีรีขันธ์ เมืองท่าทองแก้เป็นเมืองกาญจนดิตถ์ รวม ๒ เมือง เมืองประจวบคีรีขันธ์ ผู้ว่าราชการเมืองตั้งใหม่ พระพิไชยชลสินธุ์ เมืองกำเนินนพคุณ พระกำเนินนพคุณผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่า พระมหาสิงคคุณอดุลยสุพรรภูมารักษ์ พ.ศ. ๒๔๐๙ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคำนวณได้ว่า จะมีสุริยุปราคาหมดดวงและจะเห็นได้ในเมืองไทยที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๔๑๑ จึงทรงให้จัดเตรียมสถานที่โดยสร้างเป็นค่ายหลวงขึ้น แล้วพระองค์ก็เสด็จมาประทับทอดพระเนตรเป็นที่เอิกเกริก หัวเมืองที่กล่าวถึงในเอกสารหลักฐานสมัยนั้นมีเพียงปราณบุรีและประจวบคีรีขันธ์เท่านั้น ในรัชกาลที่ ๕ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงจัดการปกครองท้องที่เป็นมณฑลเทศาภิบาล โปรดเกล้าฯ ให้ยุบเมืองประจวบคีรีขันธ์ลงเป็นอำเภอขึ้นอยู่กับเมืองเพชรบุรี ใน พ.ศ. ๒๔๓๗ ทั้งนี้เพราะทรงเห็นว่าเป็นเมืองเล็ก แต่ยังตั้งที่ว่าการอยู่ที่เมืองกุย พ.ศ. ๒๔๔๑ โปรดให้ย้ายที่ว่าการอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์จากเมืองกุยมาตั้งที่อ่าวเกาะหลักด้วยเป็นที่เหมาะสมกว่า และโอนจากกระทรวงกลาโหมไปขึ้นกับมหาดไทย แต่พอถึง พ.ศ. ๒๔๔๙ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รวมอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ อำเภอเมืองปราณบุรี ซึ่งขึ้นกับเมืองเพชรบุรี อำเภอกำเนิดนพคุณซึ่งขึ้นกับชุมพร ตั้งขึ้นเป็นเมืองปราณบุรีเพื่อรักษาชื่อ เมืองปราณบุรี ไว้ ด้วยทรงมีพระราชดำริว่าเมืองปราณบุรีเป็นเมืองเก่าควรสงวนชื่อไว้ทรงพระราชทานนามเมืองที่ตั้งใหม่ว่า เมืองปราณบุรี มีฐานะเป็นเมืองจัตวา ขึ้นกับมณฑลราชบุรี ส่วนเมืองปราณเดิมก็ยังคงอยู่ที่ปากคลองปราณ (บ้านปากน้ำปราณปัจจุบัน) ในรัชกาลที่ ๖ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงมีพระราชดำริว่าเมืองโบราณมีชื่อไม่ตรงกับชื่อสถานที่ตั้งเมือง เช่น เมืองปราณบุรีที่ตั้งอยู่เกาะหลัก กับเมืองปราณที่ตั้งอยู่ริมคลองปราณ (เมืองปราณย้ายจากปากน้ำปราณมาอยู่ที่ริมคลองใกล้ทางรถไฟในปี พ.ศ. ๒๔๕๙) นานไปจะเกิดการสับสนทางประวัติศาสตร์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองปราณบุรี (ที่เกาะหลัก) เป็น เมืองประจวบคีรีขันธ์ และใช้ชื่อนี้มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, ประจวบคีรีขันธ์ : ๒๕๒๘. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:22:47 ระยอง
เมื่อมองดูแผนที่ประเทศซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายขวานโบราณ ทางภาคตะวันออกเฉียง ใต้อันเป็นส่วนหนึ่งของตัวขวานจะเป็นที่ตั้งของจังหวัดระยอง เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างสองเมืองใหญ่คือ ชลบุรีและจันทบุรี ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพมหานครไม่เกินสามชั่วโมงก็จะมาถึงเมืองระยอง เมืองที่มีมาแต่ครั้งโบราณมาแล้ว ประวัติการก่อตั้ง ระยองเริ่มมีชื่อปรากฏในพงศาวดารเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๑๓ ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา ส่วนประวัติดั้งเดิมก่อนหน้านี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่พอจะเชื่อถือได้ว่าระยองน่าจะเป็นเมืองที่ก่อสร้างขึ้นในสมัยของ ขอม คือ เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๑๕๐๐ ซึ่งเป็นสมัยที่ขอมมี อนุภาพครอบคลุมอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ มีเมืองนครธมเป็นราชธานี ขอมได้สร้างเมืองนครพนมเป็นเมืองหน้าด่านแรก เมืองพิมายเป็นเมืองอุปราชและได้สถาปนาเมืองลพบุรีขึ้นเป็นเมืองสำคัญด้วย ส่วนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองนครธม เมืองหน้าด่านเมืองแรกที่ขอมสร้างก็คือ เมืองจันทบูรหรือจันทบุรีในปัจจุบันนี้ เมื่อขอมสร้างจันทบุรีเป็นเมืองหน้าด่าน เพื่อนำเอาอารยะธรรมของขอมเข้ามาสู่แคว้น ทวาราวดี ก็น่าจะอนุมานได้ว่าขอมเป็นผู้สร้างเมืองระยองนี้ แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด นักโบราณคดีได้สันนิษฐานจากหลักฐานที่ได้ค้นพบ คือ ซากหินสลักรูปต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ที่บ้านดอน บ้านหนองเต่า ตำบลเชิงเนิน คูค่ายและซากศิลาแลงบ้านคลองยายล้ำ ตำบลบ้านค่าย อำเภอบ้านค่ายซึ่งเป็นศิลปการก่อสร้างแบบขอม ทำให้สันนิษฐานว่าระยองน่าจะเป็นเมืองที่ก่อสร้างขึ้นในสมัยของขอมอย่างแน่นอน ที่ตั้ง ที่ตั้งของเมืองปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมืองระยอง ส่วนที่ตั้งดั้งเดิมนั้นหนังสือ "ตำนานเมือง" ของราชบัณฑิตยสภากล่าวไว้ว่า ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าที่เดิมจะตั้งอยู่ในท้องที่ใด ได้ความเพียงว่าตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอบ้านค่าย ปัจจุบันมีซากหินหลักรูปต่างๆ ศิลาแลงปรากฏให้เห็นอยู่ ขณะนี้เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองเท่าใดนัก ขึ้นอยู่กับตำบลตาขัน ตำบลบ้านค่าย ต่อมาชายฝั่งทะเลได้งอกออกไปเรื่อยๆ จึงได้เลื่อนตัวเมืองตามลงไปตั้งอยู่ที่ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมือง ในปัจจุบัน จาก "นิราศเมืองแกลง" ของสุนทรภู่ก็ได้กล่าวถึง "บ้านเก่า" ไว้ตอนหนึ่งว่า "พอสิ้นดงตรงบากออกปากช่อง ถึงระยองเหย้าเรือนดูไสว แวะเข้าย่านบ้านเก่าค่อยเบาใจ เขาจุดไต้ต้อนรับให้หลับนอน" คำว่า "บ้านเก่า" นี้ คงจะหมายถึงหมู่บ้านเก่า ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองระยองในเวลานั้นนั่นเอง สุนทรภู่ได้แวะพักเอาแรงที่บ้านเก่า ๒ คืนก่อน แล้วจึงออกเดินทางต่อไปยังบ้านนาตาขวัญ บ้านแลง ผ่านไปเรื่อยจนกระทั่งถึงบ้านกร่ำ อำเภอแกลง (ในสมัยนั้นเป็นเมืองแกลง) เพื่อไปพบกับบิดาซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่นั้น ที่มาของคำว่า "ระยอง" มีผู้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของชื่อนี้เป็นหลายกระแส คือ ๑. ตำบลท่าประดู่อันเป็นที่ตั้งของตัวเมืองในขณะนี้ แต่เดิมเป็นที่อาศัยของพวกชอง ซึ่งตั้งรกรากอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมอยู่ในแถบระยอง จันทบุรี ชนเผ่านี้มีความชำนาญในป่าเขาลำเนาไพรและมีภาษาพูดของตนเอง เป็นชนพื้นเมืองที่นิยมใช้ลูกปัดสีต่างๆ และทองเหลืองเป็นเครื่องประดับ สืบเชื้อสายมาจากพวกขอม (นักชาติวงศ์วิทยาจัดให้อยู่ในพวกมอญ-เขมร) อันนี้ทำให้น่าคิดว่า คำว่า ระยอง ตะพง เพ แลง ชะเมา แกลง ซึ่งเป็นชื่อเมือง ตำบลและอำเภอ ซึ่งไม่มีคำแปลในพจนานุกรมไทย ก็น่าจะมาจากภาษาชองนี่เอง จากเรื่อง "อาณาจักรชอง ตอนหนึ่ง" ของแก่นประดู่กล่าวไว้ว่า "ผู้เฒ่าผู้แก่วัยหนึ่งศตวรรษ หลายต่อหลายคนต่างก็ยืนยันในคำพูด อยู่ในทำนองเดียวกันว่าระยองเป็นภาษาพูดคำหนึ่งของคนเผ่าชอง ซึ่งเดิมเรียกกันว่า "ราย็อง" (เวลาอ่านต้องอ่านออกเสียงตัว รา ให้ยาวหน่อย และออกเสียงตัว ย็อง ให้สั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้) คำ "ราย็อง" นี้ เล่ากันมาแปลว่า "เขตแดน" หมายถึงว่าเป็นดินแดนของพวกชองอยู่ แต่ภาษาพูดนี้เรียกเพี้ยนกันมาเรื่อยๆ จึงกลายเป็น "ระยอง" ในที่สุด ๒. อีกกระแสหนึ่งกล่าวว่าคำว่า "ระยอง" นี้ในภาษาชองน่าจะหมายถึง ไม้ประดู่ เพราะ ในบริเวณที่มีพวกชองตั้งรกรากอยู่นั้นอุดมไปด้วยไม้ประดู่ ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็ง ปัจจุบันหายากมากและราคาแพง เขตแดนแถบนี้จึงมีชื่อว่า ตำบลท่าประดู่ อันเป็นที่ตั้งของเมืองระยองเวลานี้ ๓. ผู้อ้างหลักฐานว่าแต่เดิมมีหญิงชราชื่อว่า "ยายยอง" เป็นผู้มาตั้งหลักฐานประกอบอาชีพทำไร่ในแถบนี้ก่อนผู้ใด จึงเรียกบริเวณแถบนี้ว่า "ไร่ยายยอง" ต่อมาภาษาพูดก็เพี้ยนไปจนกลายเป็นระยองในที่สุด ชนเผ่าชองจะมาตั้งรกรากอยู่ทางดินแดนแถบระยองเมื่อไรไม่ปรากฏ แต่เล่ากันว่ามีมานานแล้ว เมื่อคราวที่สุนทรภู่เดินทางมาเยี่ยมบิดาที่เมืองแกลงก็ยังมีพวกชองอยู่เป็นจำนวนมาก สุนทรภู่ได้เขียนถึงพวกชองไว้ในนิราศเมืองแกลงว่า "ด้วยเดือนเก้าเข้าวสาเป็นหน้าฝน จึงขัดสนสิ่งของต้องประสงค์ ครั้นแล้วลาฝ่าเท้าท่านบิตุรงค์ ไปบ้านพลงค้อตั้งริมฝั่งคลอง ดูหนุ่มสาวชาวบ้านรำคาญจิต ไม่น่าคิดเข้าในกลอนอักษรสนอง ล้วนวงศ์วานว่านเครือเป็นเชื้อชอง ไม่เหมือนน้องนึกน่าน้ำตากระเด็น" กล่าวกันว่า แม้แต่ตระกูลทางบิดาของสุนทรภู่ก็เป็นเชื้อชอง ปัจจุบันไม่มีชนเผ่านี้อยู่ในระยอง เพราะไม่ชอบอยู่ในย่านตลาดหรือชุมนุมชน เมื่อความเจริญย่างเข้ามาก็อพยพทิ้งถิ่นไปเรื่อยๆ และยังมีเชื้อสายชาวชองปรากฏอยู่ที่บ้านคะเคียนทอง คลองพลู อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ด้านประวัติศาสตร์ ขอย้อนกล่าวทางด้านประวัติศาสตร์บ้าง ประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงเมืองระยองในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา พระยาละแวก เจ้าเมืองเขมร ทรงคิดว่าไทยอ่อนแอ จึงถือโอกาสกรีฑาทัพบุกรุกเข้ามาในแดนไทยแถบหัวเมืองชายทะเลด้านตะวันออก ตามวิสัยที่เคยกระทำมาเป็นเนืองนิจ คือเมื่อไทยเข้มแข็ง เขมรก็มาสวามิภักดิ์ แต่เมื่อไทยอ่อนแอก็ถือโอกาสโจมตีทุกครั้งไป แต่ในครั้งนี้เขมรก็ไม่สามารถยึดครองหัวเมืองเหล่านี้ไว้ได้ จึงเพียงแต่กวาดต้อนผู้คนไปยังประเทศเขมร ซึ่งในบรรดาชาวเมืองที่ถูกกวาดต้อนไปในครั้งนั้นก็มีชาวระยองอยู่ด้วยไม่น้อย ประวัติศาสตร์อีกตอนหนึ่งได้กล่าวถึงเมืองระยองในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ในระหว่างที่กรุงศรีอยุธยาใกล้จะเสียทีแก่พม่าเป็นครั้งที่สอง พระยาวชิรปราการหรือพระยาตากแม่ทัพคนสำคัญแห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งถูกเกณฑ์ให้มารักษากรุงในระหว่างที่ถูกพม่าล้อมไว้ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๓๐๖ - ๒๓๑๐ ได้พิจารณาเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาคงจะต้องเสียทีแก่พม่าเป็นแน่แท้เพราะพระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์ผู้ครองกรุงในเวลานั้นทรงอ่อนแอและไร้ความสามารถ ถ้าขืนสู้รบต่อไปก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใด ฉะนั้น ในราวเดือนยี่ พ.ศ. ๒๓๐๙ พระยาตากจึงรวบรวมพรรคพวกประมาณ ๕๐๐ คน มีทั้งไทยและจีน รวมทั้งข้าราชการที่มีความเชื่อถือในฝีมือของพระยาตากอีกหลายคน อาทิ เช่น พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงพิชัยราชา หลวงราชเสนา หมื่นราชเสน่หา ออกไปตั้งหลัก ณ วัดพิชัย (อยู่ใต้สถานีรถไฟในปัจจุบัน) แล้วยกกองทัพมุ่งไปทางตะวันออก ได้ปะทะกับพม่า แต่สามารถตีฝ่าวงล้อมไปได้ พอไปถึงบ้านลำบัณฑิตเวลาสองยามเศษก็แลเห็นแสงเพลิงไหม้กรุง ต่อจากนั้นก็มุ่งไปบ้านโพธิสามหาว (โพธิสาวหารหรือโพธิสังหารก็เรียก) และบ้านพรานนก ได้สู้รบกับพม่าไปตลอดทาง เส้นทางเดินทัพของพระยาตากที่ปรากฏในพงศาวดารภาคที่ ๖๕ เป็นดังนี้ ออกจากบ้านพรานบนไปบ้านบางคง หนองไม้ซุง ตามทางเมืองนครนายกไปบ้านนาเริ่ง ถึงเมืองปราจีนบุรี บ้านด่านขบและบ้านทองหลาง ตะพานทอง บางปลาสร้อย ถึงบ้านนาเกลือ ออกไป พัทยา นาจอมเทียน ไก่เตี้ย สัตหีบ หินโค่ง แวะหยุดพักไพร่พลที่บ้านน้ำเก่าซึ่งเข้าใจกันในปัจจุบันนี้ว่าเป็นเป็นบ้านเก่า ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย ซึ่งขณะนั้นผู้รั้งเมืองระยอง คือ พระยาระยอง (บุญเมืองหรือบุญเรือง) ได้ทราบข่าวว่าพระยาตากยกทัพมาก็เกิดความเกรงกลัว จึงพาคณะกรมการเมืองออกไปเชิญให้พระยาตากพาไพร่พลเข้ามาพักในเมือง พร้อมทั้งมอบธัญญาหารเกวียนหนึ่งให้พระยาตาก พระยาตากได้พาไพร่พลเข้ามาที่ท่าประดู่ และพักแรมอยู่ที่วัดลุ่ม (วัดลุ่มมหาชัยชุมพล) สองคืน จึงได้ทำการตั้งค่าย ขุดคูปักขวากล้อมบริเวณที่พักไว้โดยมิได้ประมาท ในระหว่างเวลานั้น เป็นระยะที่กรุงศรีอยุธยายังมิได้เสียทีแก่พม่า ฉะนั้น การยกทัพมาของพระยาตาก ทำให้กรมการเมืองระยองคิดระแวงไปว่าพระยาตากจะคิดร้ายต่อบ้านเมืองจึงหลบหนีการสู้รบมา จึงได้นำเรื่องเข้าปรึกษาพระยาระยอง ซึ่งพระยาระยองก็ได้กล่าวห้ามปราม แต่กรมการเมืองไม่ยอมเชื่อ ครั้งเมื่อพระยาตากพักอยู่ที่วัดลุ่มได้สองวัน นายบุญรอด แขนอ่อน นายมาด นายบุญมา น้องเมียพระจันทบูร ได้เข้ามาถวายตัวทำราชการและได้นำความมาแจ้งว่าขุนรามหมื่นซ่อง นายทองอยู่นกเล็ก ขุนจ่าเมือง (ด้วง) หลวงแสนพลหาญ กรมการเมืองระยองได้คบคิดกับพวกทหารประมาณ ๑,๕๐๐ คน จะยกเข้ามาประทุษร้ายพระยาตาก ครั้นเมื่อทราบความเช่นนั้นพระยาตากจึงเรียกผู้รั้งเมือง คือ พระยาระยองมาซักถามความจริง แต่ผู้รั้งไม่ยอมรับ พระยาตากจึงสั่งให้ทหารคุมตัวผู้รั้งเมืองไว้และเตรียมการที่จะรับมือกับศัตรูต่อไป พอพลบค่ำ พระยาตากจึงสั่งให้ทหารเตรียมการป้องกันไว้และดับไฟมืดทั้งค่าย ตกเวลาประมาณทุ่มเศษ พวกกรมการเมืองซึ่งไม่ทราบว่าพระยาตากรู้ตัวก็คุมทหาร ๓๐ คน เข้าโจมตีค่ายทางด้านเหนือ คือทางด้านวัดเนิน มีขุนจ่าเมือง (ด้วง) เป็นหัวหน้า เมื่อขุนจ่าเมืองคุมพรรคพวกเข้ามาใกล้ค่ายประมาณ ๕-๖ วา พระยาตากก็สั่งให้ทหารระดมยิงปืนพร้อมกันขุนจ่าเมืองและทหารไม่ทันรู้ตัวจึงถูกอาวุธบาดเจ็บล้มตายไปตามๆ กัน พวกกรมการเมืองและทหารที่เหลืออยู่เกิดความกลัวจึงพากันล่าถอยไป พระยาตากก็ระดมไพร่พลไล่โจมตีและยึดเมืองระยองได้ในคืนนั้นเอง ยึดได้ทั้งศาสตราวุธและธัญญาหารเป็นจำนวนมาก บรรดาเหล่าทหารได้เห็นความสามารถและความฉลาดหลักแหลมของพระยาตาก จึงพากันยกย่องเรียกพระยาตากว่า "เจ้าตาก" แต่โดยที่ชื่อเดิมของพระยาชื่อว่า "สิน" จึงพากันเรียกว่า "เจ้าตากสิน" ฉะนั้น จะถือได้ว่าพระยาตากได้รับการยกย่องให้เป็น "เจ้า" ที่เมืองระยองนี่เองก็ไม่ผิดนัก เมื่อเจ้าตากยึดเมืองระยองได้แล้วก็โปรดให้พักไพร่พลอยู่ในเมือง ๗-๘ วัน เพื่อบำรุงขวัญทหารและจัดการเมืองให้เสร็จเรียบร้อย แล้วจึงเสด็จต่อไปยังเมืองจันทบุรีเพื่อยึดเป็นที่ตั้งมั่นในการกอบกู้อิสรภาพของชาติคืนจากพม่าต่อไป การโอนเมืองแกลงมาขึ้นกับเมืองระยอง อำเภอแกลงนั้นแต่เดิมเป็นเมืองเรียกกันว่า "เมืองแกลง" มีฐานะเป็นเมืองจัตวาคู่กับเมือง ขลุง ขึ้นอยู่กับเมืองจันทบูร (จันทบุรี) ด้วยเหตุที่เมืองจันทบุรีเป็นเมืองโบราณมีชื่อปรากฏในพงศาวดารมาแต่แรกสร้างกรุงศรีอยุธยา จึงอาจสันนิษฐานได้ว่าเมืองแกลงซึ่งเป็นเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง ก็น่าจะมีมาช้านานแล้วเช่นกัน ที่ตั้งของเมือง เดิมเมืองแกลงตั้งอยู่ที่บ้านแหลมสน ขณะนั้นมีกองทหารเรือตั้งอยู่ ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๔๐ กองทหารเรือได้ยุบเลิกไปตั้งอยู่ที่อื่น ทางราชการจึงได้ย้ายตัวเมืองจากบ้านแหลมสนไปอยู่ที่บ้านหนองโพรง - แหลมเมือง ตำบลปากน้ำประแสร์ แล้วจึงย้ายมาอยู่ที่บ้านทางเกวียน ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของวัดโพธิ์ทองปัจจุบัน ประมาณ ๒ กม. เหตุที่ย้ายที่ตั้งเมืองบ่อยๆ ก็คงเป็นไปตามแบบการปกครองโบราณ คือเมื่อใครได้เป็นเจ้าเมืองก็ย้ายที่ทำการไปไว้ที่บ้านของตน เรื่องนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ-กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายไว้ในหนังสือเรื่องเทศาภิบาลว่า "ตามหัวเมืองในสมัยนั้นปลาดอย่างหนึ่งที่ไม่มีศาลารัฐบาลตั้งประจำสำหรับว่าราชการอย่างทุกวันนี้ เจ้าเมืองตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ไหนก็ว่าราชการบ้านเมืองที่บ้านของตนเหมือนอย่างเสนาบดีเจ้ากระทรวงในราชธานีว่าราชการที่บ้านตามประเพณีเดิม บ้านเจ้าเมืองผิดกับบ้านของคนอื่นเพียงที่เรียกว่า "จวน" เพราะมีศาลาโถงปลูกไว้นอกรั้วข้างบ้านหลังหนึ่งเรียกว่า "ศาลากลาง" เป็นที่สำหรับประชุมกรรมการเวลามีการงาน เช่น รับท้องตราหรือปรึกษาราชการ เป็นต้น เวลาไม่มีการงานก็ใช้ศาลากลางเป็นศาลาชำระความ เห็นได้ว่าศาลากลางก็เป็นเค้าเดียวกับศาลาลูกขุนในราชธานีนั่นเอง เจ้าเมืองตั้งสร้างจวนและศาลากลางด้วยทุนของตนเอง แม้แผ่นดินซึ่งจะสร้างจวนถ้ามิได้อยู่ในเมืองมีปราการ เช่น เมืองพิษณุโลกเป็นต้น เจ้าเมืองก็ต้องหาชื้อที่ดินเหมือนกับคนทั้งหลาย จวนกับศาลากลางจึงเป็นทรัพย์ส่วนตัวของเจ้าเมือง เมื่อสิ้นตัวเจ้าเมืองก็เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลาน ใครได้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่ ถ้ามิได้เป็นผู้รับมรดกของเจ้าเมืองคนเก่าก็ต้องหาที่สร้างจวนและศาลากลางขึ้นใหม่ตามกำลังที่จะสร้างได้ บางทีก็ย้ายไปสร้างห่างจากที่เดิมฟากแม่น้ำหรือแม้จนต่างตำบลก็มีจวนเจ้าเมืองไปตั้งอยู่ที่ไหนก็ย้ายที่ว่าราชการไปอยู่ที่นั่นชั่วสมัยของเจ้าเมืองคนนั้น ตามหัวเมืองจึงไม่มีที่ว่าราชการเมืองตั้งประจำอยู่แห่งใดแห่งหนึ่ง เป็นนิจเหมือนอย่างทุกวัน" เมืองแกลงคงจะมีศาลาสำหรับพิจารณาตัดสินคดีซึ่งเกิดขึ้นภายในเมือง ต่อมาราวปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ทางราชการได้สั่งยุบเมืองแกลงลงเป็นอำเภอเรียกว่า "อำเภอแกลง" และย้ายจากบ้านทางเกวียนมาอยู่ในปัจจุบัน ศาลเมืองแกลงจึงพลอยถูกยุบลงด้วยนั่นคือ ทางราชการได้ยุบสภาพจากเมืองจัตวาลงมาตั้งเป็นอำเภอ มีหลวงแกลงแกล้วกล้า (ศรี บุญศิริ) เป็นนายอำเภอคนแรก จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๓ พระคำแหงพลล้าน (ชื่อ คชภูมิ) นายอำเภอคนที่สอง จึงได้ย้ายที่ตั้งอำเภอจากบ้านทางเกวียนมาตั้งอยู่ที่บ้านสามย่าน ตำบลทางเกวียนซึ่งมีสภาพเหมาะสมที่จะขยายตัวเมืองได้อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ การโอนเมืองแกลง ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้โอนอำเภอแกลงไปขึ้นกับจังหวัดระยอง โดยมีแจ้งความของกระทรวงมหาดไทยลงในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๒๕ ลงวันที่ ๒๘ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๗ หน้า ๔๐๗ ว่า "ด้วยมีพระบรมราชโองการตรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่าอำเภอแกลงขึ้นเมืองจันทบุรี ยากจะตรวจตราให้ทั่วถึงได้ ทรงพระราชดำริว่าควรจะโอนอำเภอแกลงไปขึ้นเมืองระยองเพราะเป็นท้องที่อยู่ใกล้ จะเป็นการสะดวกในการบังคับบัญชาและตรวจตรายิ่งขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โอนอำเภอแกลงไปขึ้นกับเมืองระยองต่อไป" (แจ้งความมา ณ วันที่ ๒๔ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๗) ด้วยเหตุนี้อำเภอแกลงจึงมาสังกัดกับจังหวัดระยองตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดระยอง. ระยอง : ธนชาติการพิมพ์ ,๒๕๒๕. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:24:12 สระแก้ว
จังหวัดสระแก้วแม้ว่าจะเป็นจังหวัดตั้งใหม่เมื่อ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๖ แต่ในเขตพื้นที่ของจังหวัดสระแก้ว มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกความเป็นมาของท้องถิ่น ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ โดยเฉพาะแถบอรัญประเทศ ตาพระยา กิ่งอำเภอโคกสูง อาณาเขตดังกล่าวได้พบจารึกสัมพันธ์ กับกษัตริย์องค์สำคัญในสมัยของเจนละคือพระเจ้าจิตรเสน (มเหนทรวรมัน) และพระเจ้าอีสานวรมัน (ผู้เป็นบุตรมเหนทรวรมัน) บรรดาจารึกที่เป็นโบราณวัตถุ ได้แก่ ๑. จารึกช่องสระแจง ที่อำเภอตาพระยา มีอายุระหว่าง พ.ศ. ๑๑๕๙-๑๑๗๘ ๒. จารึกเขาน้อย ที่อำเภออรัญประเทศ มีอายุใน พ.ศ. ๑๑๘๐ ๓. จารึกเขารัง ที่อำเภออรัญประเทศ มีอายุใน พ.ศ. ๑๑๘๒ และ ๔. จารึกที่บ้านกุดแต้ที่อำเภออรัญประเทศ ก็มีอายุไล่เลี่ยกับจารึกที่ได้กล่าวมาแล้ว อนึ่ง โบราณวัตถุสถาน เช่น ปราสาทเขาน้อยสีชมพู ซึ่งมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบ สมโบร์ไพรคุด และไพรกะเมง จึงทำให้เป็นที่เข้าใจได้ว่าในช่วงทรศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ "ชาวกัมพู" ได้ขยายตัวจากอีสานประเทศทางใต้ และรับวัฒนธรรมความเจริญจากชุมชนทางใต้เปิดตัวออกสู่อารย-ธรรมอินเดีย แบบฮินดู ใช้ภาษาสันสกฤต และนับถือพระวิษณุ (ภาษาแขกฮินดู เป็นภาษาที่สืบเนื่องจากภาษาสันสกฤต เริ่มมีภาษานี้ประมาณ พ.ศ. ๑-๑๐๐ ใช้มาประมาณ ๒๐๐ ปี ก็แปลงเป็นภาษา "บาลี") ในสมัยของเจนละบก เจนละน้ำ ซึ่งมีความเจริญเติบโตระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖ ก็ได้เกิดอาณาจักรหนึ่งขึ้นมาควบคู่กับเจนละน้ำ คือ อาณาจักรทวารวดี วัฒนธรรมทางทวารวดีได้ขยายออกไปยังภาคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของศิลป ในด้านแถบตะวันออกวัฒนธรรมทวารวดีได้ขยายผ่านเมืองดงละคร จังหวัดนครนายก เมืองพระรถ (พนัสนิคม) จังหวัดชลบุรี เมืองศรีมโหสถ (โคกปีบและศรีมหาโพธิ์) จังหวัดปราจีนบุรี และมุ่งเข้าสู่อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว สังคมของทวารวดีมีความหลากหลายทั้งในด้านประชากรเพราะมีประชากรเป็นชนชาติผสม ประกอบด้วย มอญ ไต สยาม เป็นหลัก นอกเหนือจากจีน อินเดีย มีอาชีพพื้นฐานทางเกษตรกรรม ใช้วัวไถนา และมีพุทธศาสนา ที่เป็นพลังในการทะลุทะลวงความหลากหลายที่มีอยู่ในขณะนั้น ในห้วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ อยู่ในห้วงที่มีการผสมกลมกลืนระหว่างอาณาจักรเจนละน้ำกับ ทวารวดีในเขตพื้นที่ของจังหวัดสระแก้ว ก็ได้พบแหล่งชุมชนโบราณ ดังนี้ ๑. อำเภออรัญประเทศ ได้พบคูคันดินล้อมรอบ ๖ แห่ง ที่ตำบลท่าข้าม เมืองไผ่ หันทราย ๒. อำเภอตาพระยา ได้พบคูคันดินล้อมรอบ ๓ แห่ง ที่ตำบลตาพระยา และปราสาทเขาโล้น ๓. กิ่งอำเภอโคกสูง ได้พบคูคันดิน ๑ แห่ง และปราสาทสด๊กก๊อกธม ๔. อำเภอเมืองสระแก้ว ได้พบสระน้ำ และคูคันดิน ๔ แห่งที่ตำบลท่าเกษม ๕. อำเภอวัฒนานคร ได้พบสระน้ำคูคันดิน ๓ แห่ง ที่ตำบลท่าเกวียน แหล่งชุมชนดังกล่าว ตามประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังของจีนระบุว่า ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เจนละได้แตกออกเป็น ๒ ส่วน คือ เจนละบก และเจนละน้ำ พื้นที่สำคัญของเจนละน้ำได้กลายเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรขอมเมืองนคร (นครวัด นครธม) ในเขมรค่ำ และสามารถติดต่อกับเมืองต่างๆ ทางช่องเขาพนมดงเร็ก และบริเวณสระน้ำ บาราย ที่เกิดขึ้นตามเขตอำเภอของจังหวัดสระแก้ว ดังที่ ได้กล่าวมาแล้ว สรุป พื้นที่เป็นจังหวัดสระแก้วในปัจจุบัน ถ้าศึกษาจากตำนานพื้นเมือง ศิลาจารึก จดหมายเหตุของจีน (พุทธศตวรรษที่ ๘ ตรงกับสมัยสามก๊ก) ว่าดินแดนแถบนี้ในช่วงแรกๆ จะอยู่ใต้อิทธิพลทางการเมืองของรัฐฟูนาน เมื่องรัฐฟูนานสลายไป ก็กลายเป็นอาณาจักรเจนละ เจนละบก เจนละน้ำ และอาณาจักรของชาวกัมพูชา แคว้นต่างๆ อาณาจักรทวารวดี ขยายอิทธิพลเข้ามาโดยเฉพาะพุทธศาสนา ซึ่งได้นำอิทธิพลทางการเมืองและวัฒนธรรมแบบมอญเข้ามา ซึ่งสำนักพิมพ์เมืองโบราณสรุปว่า "ทวารวดีก็คือรากฐานของการเป็นสยามประเทศนั่นเอง" ชื่อจังหวัดสระแก้ว มี่ทีมาจากชื่อสระน้ำโบราณในพื้นที่อำเภอสระแก้ว ซึ่งมีอยู่ ๒ สระ ในสมัยกรุงธนบุรี ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๒๓ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งทรงเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพยกไปตีประเทศกัมพูชา (เขมร) ได้แวะพักกองทัพ ที่บริเวณสระแก้วทั้งสองแห่งนี้ กองทัพได้อาศัยน้ำจากสระใช้สอย ได้ขนานนามสระทั้งสองว่า "สระแก้ว สระขวัญ" และได้นำน้ำจากสระทั้งสองแห่งนี้ใช้ในการประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา โดยถือว่าเป็นน้ำบริสุทธ์ สระแก้วเดิมมีฐานะเป็นตำบล ซึ่งสมัยก่อนราชการได้ตั้งเป็นด่านสำหรับตรวจคนและสินค้าเข้า-ออก มีข้าราชการตำแหน่งนายกองทำหน้าที่เป็นนายด่าน จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ทางราชการจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ ชื่อว่า "กิ่งอำเภอสระแก้ว" ขึ้นอยู่ในการปกครองของอำเภอกบินทร์บุรีโดยใช้ชื่อสระน้ำเป็นชื่อกิ่งอำเภอมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๐๑ ซึ่งได้มีพระราช-กฤษฎีกายกฐานะขึ้นเป็นอำเภอชื่อว่า "อำเภอสระแก้ว" ขึ้นอยู่ในการปกครองของจังหวัดปราจีนบุรีและต่อมาเมื่อ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๖ ได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดสระแก้วขึ้น ประกาศในราชกิจจานุเบก-ษาฉบับพิเศษ เล่มที่ ๑๑๐ ตอนที่ ๑๒๕ ลงวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๖ เป็นผลให้จังหวัดสระแก้วได้เปิดทำการในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๖ โดยเป็นจังหวัดที่ ๗๔ ของประเทศ ที่มา : สำนักงานจังหวัดสระแก้ว หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:24:41 สมุทรสาคร
สมุทรสาครเป็นดินแดนที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แห่งกรุงศรีอยุธยา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ สมุทรสาครเดิมชื่อบ้านท่าจีนเป็นชุมนุมชนใหญ่ อยู่บริเวณอ่าวไทย มีทำเลที่เหมาะสมในการพาณิชย์มาก มีเรือสำเภาค้าขายจากประเทศจีนมาจอดเทียบท่าที่นี่ ขนถ่ายซื้อขายสินค้ากันจนเป็นที่รู้จักกันทั่ว ใครอยากจะค้าขายกับเรือสำเภาจีนก็ต้องมาที่นี่ มีชื่อเรียกกันติดปากมาแต่เดิมว่า "ท่าจีน" แต่ยังมิได้มีฐานะเป็นเมืองคงเป็นหมู่บ้านชุมชนแห่งหนึ่งเท่านั้น เมื่อครั้งสังฆราช ปาลเลกัวส์ เดินทางไปเยี่ยมพวกคริสตังชาวจีน ที่กระจัดกระจายอยู่ทางทิศตะวันออกได้กล่าวถึงท่าจีนว่า ".....เป็นเมืองสวยงามมีพลเมืองประมาณ ๕๐,๐๐๐ คน ส่วนมากเป็นชาวประมง และพ่อค้า ที่ตั้งจังหวัดอยู่ห่างทะเล ๒ ลี้ เป็นทำเลเหมาะในการประมงและการพาณิชย์จึงมีสำเภาจีนมาติดต่อค้าขายอยู่เสมอ" ในสมัยพระมหาจักรพรรดิ ราชวงศ์สุพรรณภูมิ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๐๙๑ - พ.ศ. ๒๑๑๑) แห่งกรุงศรีอยุธยาหลังสงครามเสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พ.ศ. ๒๐๙๒ ได้ยกฐานะบ้านท่าจีนเป็นเมือง "สาครบุรี" ตามแผนการเกณฑ์ชายฉกรรจ์ที่อยู่กระจัดกระจายตามหัวเมืองต่าง ๆได้อย่างรวดเร็ว ยามเมื่อเกิดศึกสงคราม ดังปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ หน้า ๖๐ ว่า "สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชตรัสว่า ไพร่บ้านพลเมือง ตรี จัตวา ปากไต้เข้าพระนครครั้งนี้น้อย หนีออกอยู่ป่าดงห้วยเขาต้อนไม่ได้เป็นอันมาก ให้เอาบ้านท่าจีนตั้งเป็น สาครบุรี" และข้อความในพงศาวดาร ไทยรบพม่าว่า ".......เพื่อจะให้สะดวกแก่การเรียกหาผู้คนเวลาเกิดศึกสงคราม จึงให้ตั้งเมืองขึ้นใหม่อีก ๓ เมือง คือ ยกบ้านตลาดขวัญเป็นเมืองนนทบุรี เมือง ๑ ยกบ้านท่าจีนเป็นเมืองสาครบุรีเมือง ๑ แบ่งเอาเขตเมืองราชบุรีกับเมืองสุพรรณบุรีมารวมกัน ตั้งเป็นเมืองนครไชยศรีขึ้นอีกเมือง ๑" หลวงวิจิตรวาทการ ได้กล่าวไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์สากลเล่ม ๓ ว่า "หลังจากสงครามกับเขมร (พ.ศ. ๒๐๙๙)........สมเด็จพระมหาจักรพรรดิยังให้ตรวจบัญชีสำมะโนครัวราษฎร ได้จำนวนชายฉกรรจ์ในมณฑลราชธานีถึงแสนเศษ แล้วจัดระเบียบการระดมพลให้สะดวกขึ้นกว่าแต่ก่อน ในการนี้ให้ตั้งเมืองชั้นในเพิ่มขึ้นหลายเมือง คือ ตั้งบ้านท่าจีนขึ้นเป็นเมืองสาครบุรี เมือง ๑......" สรุปความตรงกันว่า บ้านท่าจีนได้ยกขึ้นเป็นเมืองสาครบุรี ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เพื่อสะดวกแก่การเรียกหาผู้คนเวลาเกิดศึกสงคราม และสะดวกแก่การปกครอง ในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ได้ยกเมืองสาครบุรีขึ้นกับกรมท่า ดังปรากฏในประชุมพงศาวดารว่า ".......แบ่งหัวเมือง ขึ้นกลาโหม มหาดไทย กรมท่า ในรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์........ยังคงเมืองขึ้นกรมท่าอีก ๘ เมือง คือ เมืองนนทบุรี ๑ เมืองสมุทรปราการ ๑ เมืองสาครบุรี ๑......." ในรัชกาลที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๕๒ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์เป็นแม่ทัพยกไปปราบพม่าที่เมืองถลาง และเมืองชุมพร ในการเดินทัพทางเรือ ผ่านธนบุรี ท่าจีน แม่กลองบ้านแหลม และเพชรบุรี นายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน) ได้ตามเสด็จคราวนี้ด้วย และแต่งโคลงนิราศ นริทร์ มีความตอนที่กล่าวถึง สมุทรสาคร ว่า มหาชัยชัยฤกษ์น้อง นาฏลง โรงฤา รักร่วมพุทธมนต์สงฆ์ เสกซ้อม เสียดเศียรแม่ทัดมง คลคู่ เรียมเอย ชเยศชุมญาติห้อม มอบให้สองสม ท่าจีนจีนจอดถ้า คอยถาม ใดฤา จีนช่วยจำใจความ ข่าวร้อน เยียวมิ่งแม่มาตาม เตือนเร่ง ราแม่ จงนุชรีบเรียมข้อน เคร่าถ้า จีนคอย ในปี พ.ศ. ๒๓๙๐ ปีมะแม พระยามหาเทพให้จมื่นทิพเสนา (เอี่ยม) ออกไปจับฝิ่นอ้ายจีนเผียว ซึ่งตั้งตนเป็นตั้วเ..เซนเซอร์..่ยที่ลัดตรุด แขวงสาครบุรี มีการจับกุมหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันอังคาร เดือน ๔ ขึ้น ๑๐ ค่ำ (๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๙๐) พระยามหาเทพไปกับพระสวัสดิวารีพร้อมกับเกณฑ์กรมการเมืองสาครบุรี และชาวบ้านไปช่วย เกิดการต่อสู้กันขึ้น พระยามหาเทพได้รับบาดเจ็บ อ้ายจีนเผียวตั้งใจจะหนีเข้าอังกฤษ รัชกาลที่ ๓ โปรดให้พระยาพระคลังคุมพวกตำรวจในพระยามหาเทพกับกองรามัญไปตั้งที่สาครบุรี และมีหนังสือถึงผู้รักษาเมืองสมุทรสงคราม ราชบุรี ให้ตีสกัดจีนเผียวลงมา ในที่สุดสามารถจับจีนเผียวตั้วเ..เซนเซอร์..่ยได้ที่ราชบุรี ครั้งต่อมาในสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้โปรดเกล้าให้เปลี่ยนชื่อเมืองสาครบุรี เป็นเมือง สมุทรสาคร ดังปรากฏอยู่ในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงษ์ว่า " เมืองขึ้นกรมท่าเรือเมืองนนทบุรีศรีมหาสมุทร แปลงเป็นเมืองนนทบุรีศรีมหาอุทยาน เมืองสาครบุรีแปลงเป็นเมืองสมุทรสาคร เกาะกงให้ชื่อเมืองประจันตคีรีเขตต์รวม ๓ เมือง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งมณฑลนครไชยศรี มีเมืองปกครอง ๓ เมือง คือ นครชัยศรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร เมืองสมุทรสาคร เดิมมีอำเภอขึ้นอยู่ในความปกครอง รวม ๓ อำเภอ คือ อำเภอเมืองสาคร อำเภอบางโทรัด อำเภอกระทุมแบน ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่ออำเภอบางโทรัด เป็นอำเภอ "บ้านบ่อ" ให้ตรงกับชื่อตำบลที่ตั้งอำเภอ เพราะอำเภอบางโทรัด ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลบ้านบ่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ เปลี่ยนชื่อเมืองนครชัยศรี เป็น เมืองนครปฐม ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการให้ทางราชการเปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" ทั่วทุกแห่งในพระราชอาณาจักร เมืองสมุทรสาครจึงเปลี่ยนเป็น "จังหวัดสมุทรสาคร" มาจนทุกวันนี้ ต่อมาได้มีแจ้งของกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ว่า ได้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า อำเภอบ้านบ่อ จังหวัดสมุทรสาคร มณฑลนครชัยศรี ซึ่งตั้งที่ว่าการอำเภอบ้านบ่อ แต่เดิมเป็นตำบลลับ เวลานี้การไปมาค้าขายของราษฎร ได้ไปประชุมกันอยู่ทางคลองดำเนินสะดวก ตำบลบ้านแพ้ว จึงเป็นตำบลที่สำคัญอย่างยิ่ง และทั้งตำบลบ้านบ่อกับตำบลที่ใกล้เคียง ราษฎรจะไปมาติดต่อกับอำเภอเมืองสมุทรสาคร สะดวก เพราะมีรถไฟไปมาได้ในวันเดียว อีกประการหนึ่งท้องถิ่นที่อำเภอสามพรานมาขึ้นได้อีกหลายตำบล สะดวกแก่การปกครองขึ้นอีก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมท้องที่ตำบลต่างๆ คือ แยกเอาตำบลดอนไผ่ ๑ ตำบลบ้านแพ้ว ๑ ตำบลเจ็ดริ้ว ๑ ตำบลคลองตัน ๑ จากอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมรวม ๔ แห่ง แบ่งออกตำบลอำแพงของอำเภอเมืองสมุทรสาคร ๑ ตำบล รวมกับตำบลโรงเข้และตำบลหลักสาม ของอำเภอบ้านบ่อ รวม ๗ ตำบลด้วยกัน เป็นอำเภอหนึ่ง ตั้งที่ว่าการที่ตำบลบ้านแพ้ว เรียกว่าอำเภอบ้านแพ้วขึ้นจังหวัดสมุทรสาคร ส่วนอำเภอบ้านบ่อเก่า ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านบ่อนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมกับตำบลบางกระเจ้า ๑ ตำบลบางโทรัด ๑ ตำบลกาหลง ๑ ตำบลนาโคก ๑ เข้ากับตำบลบ้านบ่อเป็น ๕ ตำบลด้วยกัน ตั้งขึ้นเป็นกิ่งอำเภอเรียกว่า "กิ่งอำเภอบ้านบ่อ" ขึ้นกับอำเภอเมืองสมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นต้นไป จังหวัดสมุทรสาคร มีอำเภอและกิ่งอำเภอขึ้นอยู่ในปกครอง ๓ อำเภอ กับ ๑ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอกระทุ่มแบน อำเภอบ้านแพ้ว และกิ่งอำเภอบ้านบ่อ ขึ้นกับอำเภอเมือง เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ สมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลนครชัยศรีได้ไปตรวจราชการที่กิ่งอำเภอบ้านบ่อ เห็นการงานแผนกมหาดไทย แผนกอัยการ มีน้อย ส่วนแผนกสรรพากรมีมาก เห็นว่าควรรวมการงานแผนกมหาดไทยและแผนกอัยการกับอำเภอเมืองสมุทรสาคร มณฑลนครชัยศรีจึงได้คำสั่งที่ ๑๗๓/๘๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ให้สั่งปลัดกิ่งอำเภอบ้านบ่อ และเสมียนพนักงานขนสรรพราชการทั้งปวงในแผนกมหาดไทย และแผนกอัยการมารวมทำการอยู่ที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ส่วนกิ่งอำเภอนั้น ให้มีเจ้าพนักงานสรรพากร ๒ คน ตรวจเก็บภาษีอากรด่านและประจำที่ไปตามเดิม ตั้งแต่วันที่ได้รับคำสั่งนี้เป็นต้นไป ต่อมาสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลนครชัยศรี ได้มีคำสั่งที่ ๑๕๗๘/๑๙๒๓๙ ลงวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครว่า เนื่องจากทางราชการได้แบ่งตำบลในท้องที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม กับตำบลในท้องที่อำเภอกระทุ่มแบน อำเภอเมืองสมุทรสาคร กิ่งอำเภอบ้านบ่อ จังหวัดสมุทสาครไปตั้งเป็นอำเภอบ้านแพ้วขึ้นในจังหวัดสมุทรสาครเสียแล้วนั้น กิ่งอำเภอบ้านบ่อคงเหลือเพียง ๕ ตำบล ต่อมาราชการสำหรับกิ่งอำเภอบ้านบ่อน้อยลง ตลอดทั้งการไปมาระหว่างอำเภอเมืองสมุทรสาครกับกิ่งอำเภอบ้านบ่อสะดวกขึ้น มณฑลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีกิ่งอำเภอบ้านบ่ออีกต่อไป จึงได้ขออนุญาตยุบกิ่งอำเภอบ้านบ่อกับยกราชการและย้ายปลัดกิ่งอำเภอและเสมียนพนักงานไปรวมทำที่อำเภอเมืองสมุทรสาครเข้าไปยังกระทรวงมหาดไทย และได้รับท้องตราพระราชสีห์น้อย ที่ ๔๐๐/๑๔๔๐๗ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ อนุญาตให้ยุบกิ่งอำเภอนั้นแล้วและให้จัดการแก้ทำเนียบท้องที่เสียให้ถูกต้อง ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ เป็นต้นไป จังหวัดสมุทรสาครมีอำเภอขึ้นอยู่ในความปกครองรวม ๓ อำเภอ คือ อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอกระทุ่มแบน และอำเภอบ้านแพ้วส่วนกิ่งอำเภอบ้านบ่อยุบไปขึ้นกับอำเภอเมืองสมุทรสาคร ครั้นเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๖ ทางราชการได้ยุบจังหวัดสมุทรสาครไปรวมกับจังหวัดธนบุรี อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอกระทุ่มแบน และอำเภอบ้านแพ้ว จึงต้องไปขึ้นอยู่ในความปกครองของจังหวัดธนบุรี และอำเภอเมืองสมุทรสาครจึงต้องเปลี่ยนชื่อ เป็น "อำเภอสมุทรสาคร" ต่อมาเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ทางราชการได้แยกการปกครองท้องที่ของจังหวัดสมุทรสาครเดิมออกจากจังหวัดธนบุรี และยกฐานะเป็นจังหวัดขึ้นใหม่เรียกว่า จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอกระทุ่มแบน และอำเภอบ้านแพ้ว จึงได้มาขึ้นอยู่ในความปกครองของจังหวัดสมุทรสาคร และอำเภอสมุทรสาครก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอเมืองสมุทรสาครตามเดิม ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลรัชกาลที่ ๘ เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์มาเพื่อเยี่ยมทุกข์สุขของราษฎรนับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ชาวจังหวัดสมุทรสาครปลาบปลื้มปิติเป็นอันมาก ประชาชนนิยมเรียก จังหวัดสมุทรสาครว่า "มหาชัย" ตามชื่อคลองมหาชัย ซึ่งเป็นคลองที่ขุดในสมัยสมเด็จพระสรรเพชญที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) แห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อตัดความคดเคี้ยวของคลองโคกขาม แต่เดิมเริ่มต้นจากคลองด่าน วัดหัวหมู เขตเมืองธนบุรี จนถึงคลองโคกขาม เรียกว่า "คลองพระพุทธเจ้าหลวง" แต่ยังไม่ทันเสร็จก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน "สมเด็จพระสรรเพชญที่ ๙ (ขุนหลวงท้ายสระ) เสด็จพระราชดำเนินทรงเบ็ดที่ปากน้ำท่าจีน เมื่อถึงคลองมหาชัย เห็นคลองนั้นขุดไม่แล้วค้างอยู่ ครั้นทรงเบ็ดแล้วกลับคืนมาถึงพระนครจึงทรงพระกรุณาตรัสสั่งให้พระราชสงครามเป็นนายกองให้กะเกณฑ์คนหัวเมืองปักษ์ใต้ ๘ หัวเมือง .ไปขุดคลองมหาชัย จึงให้ฝรั่งส่องกล้องดูให้ตรงปากคลอง ปักกรุยลงเป็นสำคัญทางไกล ๓๔๐ เส้น ได้ขุดคลองลึก ๖ ศอก กว้าง ๗ ศอก ขุด ๒ เดือนจึงแล้วเสร็จ .คลองนั้นได้ชื่อว่า "คลองมหาชัย" ตราบเท่าทุกวันนี้" ต่อมาตัวเมืองเจริญเติบโตขึ้น ณ ริมฝั่งซ้ายของคลองมหาชัย ชื่อมหาชัยจึงกลายเป็นชื่อที่คนทั่วไปเรียกอีกชื่อหนึ่ง การจัดตั้งการสุขาภิบาลท่าฉลอม เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินการปฏิรูประเบียบวิธีบริหารราชการแผ่นดิน พระองค์ได้ทรงมีพระราชประสงค์อันแรงกล้าที่จะจัดให้มีข้อบัญญัติเกี่ยวกับพระบรมราชานุภาพของพระมหากษัตริย์ของประเทศเช่นที่อารยประเทศได้ถือปฏิบัติและทรงมีพระราชดำริที่จะให้ประชาชนพลเมืองได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองประเทศเพื่อช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญลุล่วงตามทัศนคติใหม่ของระบอบการปกครองในประเทศตะวันตก ในระยะแรกพระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ อนุญาตให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการเปลี่ยนแปลง ให้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน และกำนันเป็นผู้ได้รับเลือกมาจากประชาชนในท้องถิ่น แทนที่ทางรัฐบาลจะเป็นผู้แต่งตั้งดังเช่นในสมัยก่อน ครั้นเมื่อกระทรวงมหาดไทยนำพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ ออกใช้ ใน พ.ร.บ. ฉบับนี้ก็ได้มีบทบัญญัติกล่าวถึงการนคราภิบาลไว้ด้วย ใน ร.ศ. ๑๑๘ (พ.ศ. ๒๔๔๒) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเริ่มให้มีการจัดการบำรุงท้องถิ่นแบบสุขาภิบาลขึ้นในกรุงเทพฯ สิ่งเหล่านี้นับว่ามีอิทธิพลสืบเนื่องจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีโอกาสไปดูกิจการต่างๆ ในทวีปยุโรป อย่างไรก็ตามความเจริญของประเทศและลักษณะปกครองของไทยยังผิดกันกับประเทศต่างๆ เหล่านั้น ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ที่ว่า " ประเทศอื่น ๆ ราษฎรเป็นผู้ขอให้ทำ เจ้าแผ่นดินจำใจทำในเมืองเรานี้เป็นแต่พระเจ้าแผ่นดินคิดเห็นว่าควรจะทำ เพราะจะเป็นการเจริญแก่บ้านเมืองและความเป็นสุขแก่ราษฎรทั่วไป จึงได้คิดทำ เป็นการผิดกันตรงกันข้าม ." สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในราชการและเป็น ผู้รักษาการตามกฎหมายสำหรับหัวเมืองในส่วนภูมิภาค ก็ได้ทรงดำริที่จะดำเนินการตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่อยมา การสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ได้เริ่มงานมาหลายปีแต่การจัดตั้งการสุขาภิบาลหัวเมืองยังไม่สามารถจะทำได้ เพราะเสด็จในกรมทรงเห็นว่าประชาชนยังไม่พร้อมที่จะรับ พระองค์ทรงต้องการที่จะให้ประชาชนมีความเข้าใจและเห็นคุณประโยชน์ของการสุขาภิบาลนี้เสียก่อน การรอจังหวะที่ดีกินเวลาอีกหลายปี จนกระทั่งถึง ร.ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงทรงเริ่มงานจัดตั้งสุขาภิบาลหัวเมืองขึ้นเป็นครั้งแรก โดยทรงเลือกเอาวิธีการสุขาภิบาลมาแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการปรับปรุงท้องถิ่นในตำบลท่าฉลอม ซึ่งขณะนั้นอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมเป็นที่สกปรกรกรุงรังจนไม่เป็นที่สบพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงได้มีหนังสือตราพระราชสีห์น้อย ที่ ๒๐/๓๙๙๐ ลงวันที่ ๒ สิงหาคม ร.ศ. ๑๒๔ ถึงพระยาพิไชยสุนทร ผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาคร มีความตอนหนึ่งว่า "ด้วยเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกที่ประชุมเสนาบดี มีรับสั่งเล่าถึงที่ได้ไปประพาสเมืองนครเขื่อนขันธ์เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัยที่ได้ทอดพระเนตรเห็นถนน และตลาดเมืองนครเขื่อนขันธ์โสโครกมาก รับสั่งว่าสกปรกเหมือนตลาดท่าจีน ฉันนั่งอยู่ที่ประชุมรู้สึกละอายใจมาก ที่เมืองนครเขื่อนขันธ์จะสกปรกหรือสะอาดก็ไม่ใช่ธุระของเรา แต่ความสกปรกของตลาดท่าจีนซึ่งสกปรกจริงสำหรับเป็นที่ยกตัวอย่างเปรียบเทียบที่อื่นที่ไม่พอพระราชหฤทัยเช่นนี้ ก็เสมอกริ้วตลาดท่าจีนด้วยเหมือนกัน การเป็นเช่นนี้จึงรู้สึกร้อนใจมาก เห็นว่า ถ้าไม่คิดอ่านปัดกวาดจัดถนนในตลาดท่าจีนให้หายโสโครกแล้วจะเสียชื่อตั้งแต่ฉันตลอดจนผู้ว่าราชการเมืองและกำนันผู้ใหญ่บ้านในตลาดท่าจีน ซึ่งเป็นคนดี ๆที่ฉันรู้จักอยู่แทบทุกคน ถ้าตลาดท่าจีนยังสกปรกอยู่อย่างนี้ แม้ปีนี้เสด็จอีกก็เห็นจะไม่เสด็จตลาดและจะให้กำนันผู้ใหญ่บ้านในที่นั้นเฝ้าก็เห็นไม่ได้ ฉันมีความร้อนใจอย่างนี้ จึงได้มีตราฉบับนี้มายังพระยาพิไชยสุนทร เมื่อได้รับตราฉบับนี้แล้วขอให้เรียกกำนันผู้ใหญ่บ้านที่ตลาดท่าจีนมาประชุมอ่านตราฉบับนี้ให้ฟังและปรึกษากันดูว่าจะควรทำอย่างไร อย่าให้พระเจ้าอยู่หัวทรงติเตียนได้" เมื่อได้รับหนังสือตราพระราชสีห์น้อยฉบับนี้ ปรากฎว่าพระยาพิไชยสุนทรได้เรียกประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านตำบลท่าฉลอมทั้งหมด เพื่อให้ทราบข้อบกพร่องและช่วยกันคิดอ่านแก้ไขในการที่ถูกติเตียนเช่นนี้ ในที่สุดผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาครทั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านได้ชักชวนให้ประชาชนและพ่อค้าในตำบลท่าฉลอมร่วมมือช่วยกันสละเงินได้แก่การเรี่ยไร เพื่อนำมาปรับปรุงตลาดท่าจีนให้สะอาด ได้เงินเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๕,๔๗๒ บาท โดยได้นำเงินจำนวนที่ได้มาทำเป็นถนนปูอิฐขนาดกว้าง ๒ วา ได้ยาวถึง ๑๑ เส้น ๑๔ วา อีกทั้งจ้างคนปัดกวาดเทขยะมูลฝอยทิ้งจนตลาดท่าจีนสะอาดสมความปรารถนา สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีความยินดีเป็นอันมาก พระองค์ทรงรายงานทูลเกล้าถวายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ให้ทรงทราบถึงความร่วมมือร่วมใจของประชาชนชาวท้องถิ่นในตลาดท่าฉลอมในการสละเงินทองปรับปรุงบ้านเมืองให้เจริญขึ้นและในขณะเดียวกันเสด็จในกรมก็ได้ทรงเห็นเป็นโอกาสอันงามที่จะเริ่มงานสุขาภิบาลหัวเมืองขึ้นที่ตำบลท่าฉลอมเป็นแห่งแรกเสียเลย เพราะสิ่งที่ดำเนินการไปนั้น ยังต้องมีการบำรุงและเสริมสร้างกันต่อไปอีก จึงทรงเสนอต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกันนั้นก็ขอพระบรมราชานุญาตแก้ไข "ภาษีโรงร้าน" เพื่อจัดสมทบเป็นรายได้แก่สุขาภิบาลที่ตั้งขึ้น หน้าที่โดยย่อ ๓ ประการของสุขาภิบาลที่เสด็จในกรมทรงเสนอไว้แต่แรก คือ (๑) ซ่อมแซมรักษาถนนหนทาง (๒) จุดโคมไฟให้มีแสงสว่างในเวลาค่ำคืนเป็นระยะตลอดถนนในตำบลนั้น และ (๓) ให้จ้างลูกจ้างสำหรับกวาดขนขยะมูลฝอยของโสโครกต่าง ๆ ในตำบลนั้นไปทิ้งเสียที่อื่น กระทรวงมหาดไทยได้ส่งพระยาจ่าแสนยบดี เจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายพลำภังไปประชุมปรึกษาหารือกับผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาคร กำนันผู้ใหญ่บ้าน พ่อค้าและราษฎรในบ้านตลาดท่าฉลอมในการจัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอมและปรึกษาขอความคิดเห็นในการปรับปรุงภาษีโรงร้าน และการใช้จ่ายเงินเพื่อการสุขาภิบาล ปรากฏว่าได้รับความร่วมมือจากประชาชนในท้องที่ในครั้งนั้นเป็นอย่างดี เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของพระราชประสงค์แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ในด้านการสุขาภิบาล พระองค์จึงเสด็จไปทอดพระเนตรและไปเป็นเกียรติอันปวงชนควรจะได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในการเปิดถนนที่ราษฎรตำบลท่าฉลอมออกเงินสร้างสำเร็จซึ่งมีชื่อว่า "ถนนถวาย" เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๔ นับว่าเป็นการเริ่มงานสุขาภิบาลหัวเมืองขึ้นเป็นแห่งแรกด้วย คณะกรรมการสุขาภิบาลท่าฉลอมชุดแรกที่ได้ตั้งขึ้นประกอบด้วยสมาชิกดังนี้ คือ (๑) หลวงพัฒนการภักดี กำนันตำบลท่าฉลอม (๒) ขุนพิจารณ์นรกิจ (๓) ขุนพินิจนรภาร (๔) จีนพัก (๕) จีนศุข (๖) จีนเน่า (๗) จีนอู๊ด (๘) จีนโป๊ ผู้ใหญ่บ้าน การบริหารงานสุขาภิบาลท่าฉลอมในระยะต่อมาเป็นไปอย่างเรียบร้อยดี เพราะปรากฎว่าการเก็บภาษีโรงร้านในตลาดท่าฉลอมได้เก็บตลอดทุกบ้านเรือนทั้งที่ทำการค้าขายหรือมิได้ค้าขาย และไม่ว่าในบังคับใดๆ ย่อมเสียให้โดยไม่เกี่ยงงอน การจ่ายเงินของคณะกรรมการสุขาภิบาลก็จ่ายโดยเขม็ดแขม่ ด้วยความรู้สึกเสียดายเงินและมีบัญชีโฆษณาให้คนทั้งหลายทราบเสมอทุกเดือนว่าเก็บเงินได้เท่าใดจ่ายใช้ไปเท่าใด คงเหลือเป็นเงินเท่าใด เป็นต้น สมพระเจตจำนงอันรอบคอบของสมเด็จเสนาบดีทุกประการ เสด็จในกรมทรงอธิบายถึงการจัดตั้งการสุขาภิบาลท่าฉลอมเป็นตัวอย่างแก่ที่ประชุมว่าเป็นวิธีที่จัดให้กำนันผู้ใหญ่บ้านตำบลนั้นเป็นผู้ใช้จ่ายเงินเอง ผู้ว่าราชการเมืองมีหน้าที่แต่เพียงแนะนำตรวจตราให้การเป็นไปตามพระราชประสงค์เท่านั้น พระองค์ได้ทรงแนะนำให้ข้าหลวงเทศาภิบาลไปจัดหาสถานที่เพื่อจัดตั้งการสุขาภิบาลขึ้นเป็นการทดลองในท้องที่ ๆ มีความจำเป็นและสมควรที่จะจัดก่อน แต่การจัดตั้งการสุขาภิบาลนี้เสด็จในกรมทรงดำริให้ "เกิดจากความนิยมของราษฎรก่อน คือให้ราษฎรนำน่า และรัฐบาลตามหลัง" ทั้งนี้ เพื่อให้การสำเร็จไปด้วยความชมชอบของประชากร ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดสมุทรสาคร.กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๖. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:25:28 สมุทรปราการ
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ในสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา เมืองสมุทรปราการ ยังไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์จะมีแต่เมืองพระประแดง ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งที่ขอมสร้างขึ้น เป็นเมืองหน้าด่านทางทิศใต้ของขอมซึ่งตั้งอยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาและเป็นที่คาดคะเนว่าเมืองพระประแดงก็ยังคงเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศใต้มาจนตลอดสมัยสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่ออำนาจของกรุงสุโขทัยอ่อนลง พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี และได้เลือกเอาระบบการปกครองของขอมและสุโขทัยมาปรับปรุงเสียใหม่ และประกาศใช้เป็นระบบการปกครองของราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ซึ่งวิธีการจัดระบบการปกครองหัวเมืองแบ่งเป็น ๓ ชั้น คือ - หัวเมืองชั้นใน มีเมืองป้อมปราการ เป็นด่านชั้นในกับหัวเมืองชั้นในที่อยู่รอบๆ เมืองป้อมปราการเหล่านั้น - เมืองพระยามหานคร คือ หัวเมืองไกลๆ ที่มอบอำนาจให้เจ้าเมืองปกครองชาวเมืองอย่างเจ้าชีวิต แต่ต้องส่งส่วยให้แก่เมืองหลวง - เมืองประเทศราช อันได้แก่ เมืองขึ้นต่างๆ ในสมัยนี้เมืองป้อมปราการด่านชั้นในมี ๔ หัวเมือง คือ ทิศเหนือ เมืองลพบุรี ทิศใต้ เมืองพระประแดง ทิศตะวันออก นครนายก ทิศตะวันตก สุพรรณบุรี ต่อมาแผ่นดินที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาได้งอกลงมา ในท้องทะเลทางทิศใต้ ราวๆ ใต้คลองบางปลากดทางฝั่งขวา และแถบตำบลบางด้วน บางนางเกรง ทางฝั่งซ้าย ในปัจจุบันนี้ ฉะนั้นเมืองพระ-ประแดงจึงมิใช่เมืองที่ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเช่นเดิม ด้วยแผ่นดินงอกใหม่เกิดขึ้นออกมามากในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรมพระองค์ทรงโปรดให้สร้างเมืองสมุทรปราการขึ้นให้เป็นหัวเมืองหน้าด่านทางใต้ ณ บริเวณฝั่งใต้ของคลองบางปลากด ฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนเมืองพระประแดงก็หมดความสำคัญลง และถูกยุบในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมืองสมุทรปราการนี้มีชื่อปรากฏในพระราชกฤษฎีกา ซึ่งตราขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๘ เวลานั้นตัวเมืองจะตั้งอยู่ที่ไหนยังไม่พบหลักฐาน แต่ได้ความตามจดหมายเหตุฝรั่งว่า ที่ปากคลองบางปลากดฝั่งขวาแม่น้ำเจ้าพระยา มีพ่อค้าชาวฮอลันดามาตั้งห้างพักสินค้าที่นั่น เรียกว่า "นิวอัมสเตอร์ดัม" และที่ตรงนี้คราวพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแต่งสมณฑูตไปลังกา กล่าวว่าออกเรือจากเมืองธนบุรีไปถึงตึกฮอลันดา ณ บางปลากด แสดงว่า ตำบลบางปลากดมีคนอยู่มาก อาจเป็นตัวเมืองสมุทรปราการครั้งนั้นก็ได้ และมีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองสมุทรปราการ ดังนี้ (๑) ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พ.ศ. ๒๑๒๑ พระยาจีนจันตุ ขุนนางเขมรยกทัพไปตีเมืองเพชรบุรีไม่ได้เกิดเกรงความคิด จึงหนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารแต่ต่อมา เมื่อพระยาจีนจันตุทราบว่า พระยาละแวกไม่เอาโทษ จึงหนีกลับโดยลอบพาครอบครัวลงสำเภาที่ล่องลงไปขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จมาแต่เมืองพิษณุโลก ประทับอยู่ ณ วังใหม่ พระองค์จึงทรงประทับเรือพระ ที่นั่งออกติดตามสำเภาพระยาจีนจันตุไปในคืนวันเดียวกันนั้น ทันกันที่ปากน้ำรับสั่งให้เรือตามเสด็จเข้าล้อมสำเภาไว้ เกิดรบพุ่งกัน พระยาจีนจันตุได้ยิงปืนลงมาต้องพระแสงปืนต้นที่ทรงนั้นแตกออกพระยาจีนจันตุถือโอกาสนั้นโล้สำเภาหลบหนีไปได้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะเสด็จไล่ตามก็ไม่ทันจึงยกทัพเรือกลับ ใน พ.ศ. ๒๑๖๓ แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม มีเรือกำปั่นโปรตุเกส เข้ามาด้วยพบเรือฮอลันดา ที่บริเวณปากน้ำ ก็จับเรือฮอลันดาเอาไว้ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงทราบโปรดให้ทหารลงไปบังคับโปรตุเกสให้คืนเรือแก่ฮอลันดา เหตุนี้จึงทำให้โปรตุเกสเคืยงไทย เลิกห้างค้าขายในกรุงศรีอยุธยาแล้วให้กองทัพเรือมาปิดอ่าวเมืองมะริด ใน พ.ศ. ๒๑๗๓ พวกญี่ปุ่นที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยา เกิดขัดใจขึ้นกับไทย ถึงกับต่อญี่ปุ่นจึงลงเรือสำเภาหนีไป กองทัพเรือไทยตามทันที่ปากน้ำ ได้เกิดการต่อสู้กันที่บริเวณปากน้ำปรากฏว่าญี่ปุ่นพากันหนีไปได้ ใน พ.ศ. ๒๒๐๗ พวกฮอลันดา ที่มาค้าขายอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา เคืยงว่าทางราชการไทยทำการค้าขายผูกขาด แต่ผู้เดียวเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เสียประโยชน์ของพวกฮอลันดาจึงเลิกการค้าขายกับไทยและกลับไปเสียจากกรุงศรีอยุธยาแล้วเอาเรือรบมาปิดปากน้ำ พ.ศ. ๒๒๓๑ ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ไทยต่อสู้กับทหารฝรั่งเศสที่เข้ามารักษาป้อมวิชัยประสิทธิ์ครั้งรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในการต่อสู่กันนี้ไทยตั้งค่ายรายปืนที่บริเวณปากน้ำ และจับเรือฝรั่งเศสคุมมาได้ ๒ ลำ ครั้นเมื่อตกลงกันว่าต่างจะปล่อยกลับไปบ้านเมืองของตนเอง แต่ให้มีตัวประกันไปด้วย จนถึงปากน้ำจึงจะแลกเปลี่ยนตัวประกันกับฝ่ายไทย แต่พวกตัวประกันที่ไทยยึดไว้ได้หนีลงเรือฝรั่งเศสไปโดยไม่คืนตัวประกันฝ่ายไทยให้ตามที่ตกลงกัน ไทยจึงต้องจับพวกบาทหลวงที่เหลืออยู่ในกรุงศรีอยุธยาขังต่อไป สมัยกรุงธนบุรี เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าใน พ.ศ. ๒๓๑๐ เมืองสมุทรปราการได้ถูกกองทัพพม่ากวาดต้อนผู้คนปล้นสดมภ์ยับเยิน วัดและบ้านเมืองกลายเป็นเมืองร้างอยู่พักหนึ่ง ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้า-ตากสินมหาราชทรงกู้บ้านเมืองเอาไว้ได้ และสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีเมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ผู้คนในเมืองสมุทรปราการที่อพยพหนีภัยสงคราม จึงได้กลับมาตั้งถิ่นฐานเดิม ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินนี้ พระองค์ทรงรื้อกำแพงเมืองพระประแดงเดิมที่ตั้งอยู่เขตราษฎร์บูรณะในปัจจุบัน ไปก่อกำแพงพระราชวังธนบุรีและที่อื่นๆ อย่างรีบเร่ง เนื่องจากไม่มีเวลาเผาอิฐอีกทั้งกำแพงดังกล่าวก็อยู่ใกล้ สะดวกแก่การลำเลียง ดังนั้น เมืองพระประแดงเดิมจึงสิ้นซากนับแต่นั้นมา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะสร้าง เมืองพระประแดงขึ้นเป็นเมืองหน้าด่าน สำหรับป้องกันศัตรูซึ่งมาทางทะเลแต่พระองค์ทรงสร้างเพียงป้อมขึ้นไว้ทางฝั่งตะวันออก ๑ ป้อม เรียกว่า ป้อมวิทยาคม ใน พ.ศ. ๒๓๕๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ เป็นแม่กองสร้างปราการเมืองพระประแดงขึ้น ต่อจากที่รัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างไว้ทางฝั่งตะวันออกและสร้างป้อมเพิ่มเติมทางฝั่งตะวันตก (ฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา) ๕ ป้อม คือ ๑. ป้อมแผลงไฟฟ้า ๒. ป้อมมหาสังหาร ๓. ป้อมศัตรูพินาศ ๔. ป้อมจักร์กรด ๕. ป้อมพระจันทร์ พระอาทิตย์ ป้อมทางฝั่งตะวันออก (ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา) มี ๔ ป้อม คือ ๑. ป้อมปู่เจ้าสมิงพราย ๒. ป้อมปีศาจสิง ๓. ป้อมราหูจร ๔. ป้อมวิทยาคม ป้อมเหล่านี้ชักปีกกาถึงกัน ทางหลังเมืองกำแพงล้อมรอบ มียุ้งฉาง ตึกดินและศาลาไว้เครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงขนานนามเมืองพระประแดงนี้ว่าเมืองนครเขื่อนขันธ์ การสร้างเมืองเสร็จเรียบร้อยเมื่อวันศุกร์ เดือน ๗ แรม ๑๑ ค่ำ พ.ศ. ๒๓๕๘ แล้วทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายครัวมอญ เมืองปทุมธานี พวกเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ซึ่งหนีภัยพม่าเข้ามาพึ่งพระ-บรมโพธิสมภาร ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นชายฉกรรจ์ ๓๐๐ คน ให้มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ ณ เมืองนี้ และทรงแต่งตั้งสมิงทอมา บุตรเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ซึ่งเป็นพระยาราม น้องเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรีย) เป็นพระยานครเขื่อนขันธ์รามัญราชชาติเสนาบดีศรีสิทธิสงคราม เป็นผู้รักษาเมือง เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องเชียงสือเจ้า ราชวงศ์ของญวนหนีภัยการเมืองเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เมื่อองเชียงสือได้กลับไปเป็นใหญ่ในญวนสัมพันธภาพระหว่างไทยกับญวนจึงเป็นไปอย่างแน่นแฟ้นดุจพี่น้อง ต่อมาในรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สัมพันธไมตรีที่มีอยู่ด้วยกันเสื่อมคลายลง เกิดกินแหนงแคลงใจกันสาเหตุจากญวนคิดเป็นเจ้าใหญ่นายโตปกครองประเทศเขมร องต๋ากุน เจ้าเมืองญวน ได้เกณฑ์ไพร่พลญวน - เขมร ผลัดละ ๑๐,๐๐๐ คน ขุดคลองใหญ่จากทะเลสาบเขมร มาออกเมืองบันทายมาศ ใกล้ชายแดนไทยอันจะเป็นเหตุให้ไทยเราได้รับความกระทบกระเทือน เพราะถ้าญวนขุดคลองนี้สำเร็จญวนอาจยกกองทัพเรือมารุกรานไทยเข้าตีหัวเมืองไทยได้ง่ายเข้า เนื่องจากไม่ต้องอ้อมแหลมใหญ่ผ่านทะเล และเมืองบันทายมาศอยู่ใกล้ชายแดนไทยอีกทั้งยังเคยเป็นของไทยมาเก่าก่อน แต่เนื่องจากญวนได้แต่งทูตเข้ามาบังคมพระบรมศพรัชกาลที่ ๑ เลยถือโอกาสถวายสาส์นรัชกาลที่ ๒ ขอเมืองบันทายมาศ โดยที่ไทยเห็นแก่ไมตรีที่มีมาดั้งเดิม พระองค์มิได้เฉลียวพระทัยว่าญวนจะคิดหักหลัง จึงยอมยกเมืองบันทายมาศให้ญวนไป ฉะนั้น พระองค์จึงแน่พระทัยว่าการขุดคลองของญวนในครั้งนี้นั้น เป็นแผนการของญวนที่คิดจะรุกรานไทย พระองค์จึงทรงพระราชดำริว่า เมืองสมุทรปราการเดิมที่สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงสร้างไว้ทรุดโทรมลงมากแล้ว ประกอบทั้งอยู่ห่างไกลจากปากแม่น้ำเจ้าพระยา และทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องป้องกันพระนครทางน้ำให้แข็งแกร่งกว่าที่เป็นอยู่ เห็นควรให้สถาปนาเมืองสมุทรปราการขึ้นใหม่ และเลื่อนออกไปให้ใกล้ปากแม่น้ำ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่น-เจษฎาบดินทร์ (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓) เป็นแม่กองร่วมด้วย เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) จัดการสร้างเมืองสมุทรปราการขึ้นใหม่ ใน พ.ศ. ๒๓๖๒ เป็นการด่วน โดยทรงกำหนดเขตให้ตรงบริเวณพื้นที่ที่ชาวบ้าน เรียกว่า "บางเจ้าพระยา" (เป็นเทศบาลเมืองสมุทรปราการ กับตำบลบางเมืองในปัจจุบัน) อยู่ระหว่างปากคลองปากน้ำคลองมหาวงศ์ มีป้อมปราการเป็นเมืองหน้าศึก ๖ ป้อมปราการ คือ (๒) - ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา (ตะวันออก) ๑. ป้อมประโคนชัย อยู่ที่ปากคลองปากน้ำ ๒. ป้อมนารายณ์ปราบศึก อยู่ในตำบลบางเมือง ๓. ป้อมปราการ อยู่ในตำบลบางเมือง ๔. ป้อมกายสิทธิ์ ในตำบลบางเมือง - ทางฝั่งขวาของแม่เจ้าพระยา (ตะวันตก) มีป้อมนาคราช - ส่วนกลางแม่น้ำมีเกาะใหม่เกิดขึ้น จึงสร้างป้อมขึ้นบนเกาะนั้น เรียกว่า "ป้อมผีเสื้อสมุทร" และในครั้งนั้นโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองปากลัด ในเมืองนครเขื่อนขันธ์ขึ้นมาด้วย ในการสร้างเมืองสมุทรปราการใหม่นี้ ได้สร้างเสร็จเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ พ.ศ. ๒๓๖๕ ครั้นในวันพุธ เวลา ๐๔.๒๔ น. ได้ฤกษ์เอาแผ่นยันต์ทอง เงิน ทองแดง ดีบุก และศิลา ลงสู่ภูมิบาทแล้วยกเสาหลักเมือง พอวันเสาร์ ๐๕.๒๔ น. ทำพิธีฝังอาถรรพ์แผนยันต์องครักษ์อีกครั้งหนึ่ง เสาหลักเมืองที่ทำพิธียกขึ้นครั้งนั้น เป็นที่ตั้งของ "ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง" ในปัจจุบัน ใน ปี พ.ศ. ๒๓๖๕ ก่อนหน้าที่จะทำพิธีฝังหลักเมืองไม่นาน อุปราชเมืองนครพนมได้พาสมัครพรรคพวกและบริวารเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารประมาณ ๒,๐๐๐ คน รัชกาลที่ ๒ โปรดให้ตั้งภูมิลำเนาอยู่แถบคลองมหาวงษ์ในเมืองสมุทรปราการ กับให้ท้าวอินทพิศาล บุตรชายคนโตของอุปราชเมืองนครพนมเป็นพระยาปลัดเมืองสมุทรปราการ ในระหว่างที่สร้างเมืองสมุทรปราการใหม่อยู่นี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้เสด็จทอดพระเนตรงานก่อสร้างอยู่เสมอ ครั้นวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๑ ค่ำ พ.ศ. ๒๓๖๖ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จพระราชทานผ้าพระกฐิน ณ วัดพิชัยสงคราม (วัดนอก) เมืองสมุทรปราการทรงทอดพระเนตรเห็นเกาะหาดทรายข้างป้อมผีเสื้อสมุทร จึงทรงพระราชดำริจะสร้างมหาเจดีย์เพื่อคู่กับชาวเมืองสมุทรปราการที่พระองค์ทรงสถาปนาขึ้นไว้ ดังนั้นจึงโปรดให้สร้าง" พระสมุทรเจดีย์" ขึ้นบนเกาะกลางน้ำตรงท้ายป้อมผีเสี้อสมุทรแต่การสร้างได้เริ่มในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ และเสร็จสิ้นในรัชสมัยของพระองค์ (๓) ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปราบกบฏเวียงจันทน์เสร็จแล้วจะทำสงครามกับญวน พระองค์จึงโปรดให้สร้างป้อมเพิ่มเติมที่เมืองสมุทรปราการ เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๓๗๑ โปรดให้เจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่กองสร้างป้อมฝั่งตะวันตก (ฝั่งขวา) ของแม่น้ำเจ้าพระยา ชื่อป้อม ปีกกาต่อจากป้อมประโคมชัยของเดิม, ป้อมตรีเพ็ชร์ สร้างที่บางจะเกรง (บางนาเกรงในปัจจุบัน) เหนือเมืองขึ้นไป ต่อมา ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๗๗ โปรดให้กรมสมเด็จพระเคชาดิศร ครั้งดำรงพระยศเป็นกรมขุนเดชาอดิสรกับกรมหมื่นเสพสุนทร กรมหมื่นณรงค์หริรักษ์ สร้างป้อมที่บางปลากด ทางฝั่งตะวันตกข้างเหนือเมืองสมุทรปราการ ชื่อป้อมคงกระพัน ในปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๘๘ โปรดให้เจ้าพระยาพระคลัง ไปสร้างป้อมเพิ่มเติมที่เมืองสมุทรปราการ คือ ทำป้อมปีกกาต่อป้อมนาคราช เรียกว่า ป้อมปีกกาพับสมุทร ส่วนป้อมผีเสื้อสมุทร เดิมทำเป็น ๒ ชั้น ให้รื้อชั้นบนออกเสียชั้นหนึ่งแล้วสร้างปีกกาขยายป้อมออกไปทั้ง ๒ ข้าง และให้ถมศิลาปิดปากอ่าวที่แหลมฟ้าผ่า ๕ กอง ไว้ทางเรือเดินเป็นช่องๆ เรียกว่า "โขลนทวาร" ถึงปีวอก พ.ศ. ๒๓๙๑ โปรดให้สมเด็จพระยามหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อครั้งเป็นจมื่นไวยวรนารถ เป็นแม่กองสร้างป้อมใหญ่ขึ้นที่ตำบลมหาวงษ์ ทางฝั่งตะวันออกอีกหนึ่งป้อม เป็นป้อมที่ตั้งของแม่ทัพ ชื่อป้อมเสือซ่อนเล็บ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นความจำเป็นต้องมีป้อมที่ปากอ่าวบริเวณแผ่นดินที่ยื่นออกไปจนถึงตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอเมืองสมุทรปราการ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมพระจุลจอมเกล้า ซึ่งมีป้อมปืนสามารถต้านทานกระสุนปืนเรือทันสมัยได้ ประกอบกับเวลานั้นไทยกำลังมีเรื่องพิพาทกับฝรั่งเศล กรณีพิพาทดินแดนทางแม่น้ำโขง ป้อมพระจุลจอมเกล้าฯ ได้สิ้นพระราชทรัพย์ในการสร้างไปทั้งสิ้น ๑๐,๐๐๐ ชั่ง ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศไทยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็รักษาไว้ไม่ได้นาน เพราะมีประเทศมหาอำนาจตะวันตกมาแสวงหาเมืองขึ้น ทางภาคตะวันออกของทวีปเอเชียประเทศเล็กประเทศน้อยก็ต้องสูญเสียดินแดนแก่มหาอำนาจที่ว่านี้ อย่างไม่มีทางจะเอาดินแดนคืนได้โดยเฉพาะประเทศไทยได้เสียดินแดนให้ประเทศมหาอำนาจตะวันตกไปทั้งหมด ๑๑ ครั้ง และในการเสียดินแดน ครั้งที่ ๗ มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันกับเมืองสมุทรปราการ คือ เหตุการณ์รบที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อเย็นวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๓๖ เนื่องจากในวันนั้น เป็นวันกำหนดการเสด็จมาถึงของอาชดุ๊ค ฟรานซ์เฟอร์ดินานด์ ยุพราชแห่งออสเตรีย โดยจะเดินทางถึงอ่าวไทย เพื่อเยือนประเทศสยาม และในตอนเย็นวันนั้น มีฝนตกตรำๆ ตลอดจนค่ำ เรือรบฝรั่งเศษ ๒ ลำ และมีเรือสินค้าซึ่งเคยทำการค้าระหว่างกรุงเทพฯ กับไซ่ง่อนเป็นเรือนำร่องเข้ามา ถือโอกาสแล่นเข้ามาเป็นการสวมรอย ทำให้ทหารไทยไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเป็นฝ่ายใดแน่นอน จึงเกิดความลังเลใจ เรือรบฝรั่งเศสจึงรอดจากการยิงของทหารไทยที่ป้อมปืนพระจุลจอมเกล้าเข้ามาได้ คงถูกยิงแต่เรือนำร่องและเกยตื้นอยู่ การเข้ามาของเรือรบฝรั่งเศสเป็นการขู่รัฐบาลไทยให้ปฏิบัติตามเงื่อนไข ซึ่งฝรั่งเศสให้ตอบภายใน ๔๘ ชั่วโมง นอกจากนั้นฝรั่งเศสยังส่งเรือรบอีก ๘ ลำ มาปิดอ่าวไทยเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๓๖ อีกชั้นหนึ่งรัฐบาลไทยได้ยอมตกลงตามเงื่อนไขที่ฝรั่งเศสเรียกร้องเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๓๖ ฝรั่งเศสจึงยอมถอนกองเรือรบที่ปิดอ่าว เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๓๖ แม้กระนั้นก็ยังยึดจังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราดไว้อีก ๑๕ ปี เหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖) นี้ นอกจากไทยจะถูกปรับเป็นเงินตราอย่างมหาศาลแล้วต้องเสียดินแดนฝั่งช้ายแม่น้ำโขง เป็นเนื้อที่ทั้งหมด ๑๔๓,๐๐๐ ตารางกิโลเมตรให้แก่ฝรั่งเศส ประเทศลาวทั้งหมด อาณาจักรลานช้าง ซึ่งเป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๖ อยู่กับไทยมาครบ ๓๐๐ ปีพอดี ต้องมาเสียให้ฝรั่งเศสคราวนี้ด้วย และยึดจังหวัดจันทบุรีกับจังหวัดตราดเป็นประกันอีก ๑๕ ปี การที่ไทยต้องเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสใน ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖ หรือ จ.ศ. ๑๒๕๕) นับว่าเป็นครั้งยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งในจำนวน ๑๑ ครั้ง สร้างความขมขื่นให้ไทยอย่างใหญ่หลวง(๔) หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:25:56 สมุทรปราการ ๒
ในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๒๔๓๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงการปกครองพระราชอาณาเขตให้เรียบร้อยเป็นระเบียบ โปรดเกล้าฯ ให้มีการรวบรวมบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับกรมพระกลาโหมกรมมหาดไทย และกรมท่า ให้มาอยู่ในบังคับบัญชา ของกระทรวงมหาดไทย เพียงกระทรวงเดียว อย่างไรก็ตาม ในการจัดระเบียบการปกครองโอนหัวเมืองต่างๆ ให้มาขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทยครั้งนี้ปรากฏว่า เมืองสมุทรปราการและเมืองนครเขื่อนขันธ์ ได้รวมเข้าอยู่ในมณฑลกรุงเทพฯ ขึ้นต่อกระทรวงนครบาลแทน ตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๔ (๕) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงดำริว่านาม "พระประแดง" เป็นเมืองสำคัญมาแต่โบราณกาล สมควรใช้แทนนครเขื่อนขันธ์ เพราะอยู่ติดกันอยู่แล้ว ดังนั้น ใน พ.ศ. ๒๔๕๘ พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ "นคร เขื่อนขันธ์" เป็น "เมืองพระประแดง" สืบมา ใน พ.ศ.๒๔๕๘ รัชกาลที่ ๖ ได้มีพระบรมราชโองการขยาย เขตกรุงเทพมหานครเสียใหม่ด้วยทรงเห็นว่ากรุงเทพมหานครมีความเจริญขยายออกไปมากแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราช-บัญญัติแบ่งการบังคับบัญชาหัวเมืองใหม่ ยกเลิกมณฑลกรุงเทพฯ เดิมที่รวมท้องที่เมืองนนทบุรี เมืองมีนบุรี เมืองพระประแดงเมืองสมุทรปราการ แล้วกำหนดเขตเสียใหม่และให้ยกเมืองธัญบุรี เมืองปทุมธานี ไปสมทบเป็นหัวเมืองขึ้นกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ เป็นต้นมา(๖) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะเมืองขึ้นเป็นจังหวัด เมืองสมุทรปราการก็กลายเป็นจังหวัดสมุทรปราการ และเมืองพระประแดงก็เป็นจังหวัดพระประแดงต่างหาก จังหวัดสมุทรปราการในตอนนั้นมี ๔ อำเภอ คือเมือง, บาง..น่ารัก.. (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบางบ่อ) , บางพลี และเกาะสีชัง (ลดฐานะลงมาเป็นกิ่งอำเภอในภายหลัง เพราะพลเมืองน้อย) และจังหวัดพระประแดง มี ๓ อำเภอ คือ เมืองราษฎร์บูรณะ และพระโขนง ต่อมาในรัชกาลที่ ๗ อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐบาลจึงยุบจังหวัดพระประแดงลงมาเป็นอำเภอหนึ่งให้ขึ้นกับจังหวัดสมุทรปราการ อำเภอราษฎร์บูรณะไปขึ้นกับจังหวัด ธนบุรี และอำเภอพระโขนงไปขึ้นกับจังหวัดพระนคร ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้ออกพระราชบัญญัติยุบจังหวัดสมุทรปราการกับจังหวัดอื่นๆ อีก ๔ จังหวัดไปรวมเป็นจังหวัดพระนคร-ธนบุรี แต่ต่อมาในวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้จัดตั้งจังหวัดสมุทรปราการขึ้นอีกครั้งหนึ่ง การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีกระทรวงมหาดไทย ในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศ และควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้วการจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น กรมปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการ ในท้องที่ต่างๆ ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือ ระบบกินเมือง ให้หมดไป การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใดก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวาง ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมืองระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ"การเทศาภิบาล" ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า "การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาคอันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกันโดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้ คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑลรองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัดรองไปอีกเป็น อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวง ทบวง กรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญาความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อนเพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็ว แก่ราชการและธุรกิจของประชาชนซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย" จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้ การเทศาภิบาล นั้น หมายความรวมว่า เป็น "ระบบ" การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า "การปกครองส่วนภูมิภาค" ส่วน "มณฑลเทศาภิบาล" นั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางและริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ การจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้างและกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่งยากที่จะจัดระเบียบการปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่กกับในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตก บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาลการจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรก ได้วางแผนงาน จัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จกระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายปี เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้วจึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรีมณฑลนครสวรรค์ มณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ตให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี และในปีเดียวกันนั้นเอง ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี ระยอง และตราด พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษเพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายับ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองนอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสียเหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑลมณฑลรายงานต่อกระทรวงเป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒) อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓) ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราช-การจังหวัดในการบริหารราชแผ่นดินในจังหวัดนั้น ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดสมุทรปราการ. สมุทรปราการ : วีระการพิมพ์, ๒๕๒๖. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:26:27 สระบุรี
สระบุรี ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง-ราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า เมืองสระบุรีตั้งขึ้นประมาณ พ.ศ. ๒๐๙๒ ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักร-พรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา คือหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วปีเศษ (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๙๑๒๑๑๑) มูลเหตุตั้งเมืองสระบุรี ลักษณะการปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยาระยะนั้น แบ่งการปกครองออกเป็นอย่างนี้ ๑. หัวเมืองชั้นในและชานเมือง เรียกว่า มณฑลราชธานี ได้แก่ เมืองที่ตั้งอยู่ใกล้พระนคร ที่ปรากฏนามสำคัญคราวนั้น มี เมืองชลบุรี เมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรีและเมืองชัยนาท เป็นต้น ๒. หัวเมืองชานเมือง ได้แก่ เมืองลพบุรี เมืองสุพรรณบุรี เมืองนครนายก เป็นต้น ๓. หัวเมืองฝ่ายเหนือ มีเมืองนครสวรรค์ เมืองสุโขทัย และเมืองพิษณุโลก เป็นต้น ๔. หัวเมืองด้านตะวันออก มีเมืองนครราชสีมา เมืองเพชรบูรณ์ และเมืองจันทบุรี ตลอดจนเมืองปราจีนบุรี เป็นต้น ๕. หัวเมืองด้านตะวันตก มีเมืองมะริด เมืองตะนาวศรี เป็นต้น ๖. หัวเมืองปักษ์ใต้ มีเมืองนครศรีธรรมราช เมืองสุราษฎร์ธานี เป็นต้น การสำรวจสำมะโนครัวชายฉกรรจ์ หรือที่เรียกว่า สักเลข สมัยโน้น ได้แก่ การออกสำรวจชายหนุ่มรุ่นฉกรรจ์เข้ารับราชการทหารนั่นเอง สมัยนั้นผู้คนอยู่ส่วนเมืองใด ก็ให้สังกัดหัวเมืองนั้นๆ ยังไม่ได้เรียกเข้ามาร่วมกันกับมณฑลราชธานีแต่อย่างใด เนื่องจากมีความลักลั่นไม่เป็นระเบียบในการเกณฑ์ไพร่พลเช่นนี้ พอเกิดศึกสงครามมาประชิดติดพระนคร จึงไม่สามารถเรียกระดมพลได้เต็มที่ เนื่องจากเมืองไทยว่างเว้นศึกสงครามมาระยะหนึ่ง พอมีพม่าข้าศึกมา (พระเจ้าตะเบงชะเวตี้แห่งหงสาวดี) ยกทัพมาไทยเราก็พ่ายถึงกับต้องสูญเสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัยอัครมเหสี ถูกพระเจ้าแปรแม่ทัพพม่าฟันสิ้นพระชนม์บนคอช้าง คราวที่ไสช้างออกไปกั้นช้างพระที่นั่งสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิมิให้เป็นอันตรายในสนามรบ (ทุ่งลุมพี ชานพระนครศรี-อยุธยา ด้านทิศเหนือ) ด้วยเหตุนี้เอง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จึงโปรดฯ ให้ตั้งเมืองใหม่ขึ้นอีก ๓ เมือง เพื่อให้สะดวกรวดเร็วและได้ผลทันต่อเหตุการณ์บ้านเมืองคราวเกิดศึกสงคราม คือ ๑. ยกบ้านตลาดขวัญ ขึ้นเป็น เมืองนนทบุรี ๒. ยกบ้านท่าจีน ขึ้นเป็น เมืองสาครบุรี (จังหวัดสมุทรสาคร) ๓. แบ่งเอาเขตเมืองราชบุรี กับเขาเมืองสุพรรณบุรี มารวมกันตั้งขึ้นเป็น เมืองนครชัยศรี (อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม) ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่า เมืองเดิมที่ตั้งอยู่ชานพระนครเคยมีอยู่เดิมแล้ว เช่น เมืองสุพรรณบุรี เมืองอินท์บุรี เมืองพรหมบุรี เมืองสิงห์บุรี และเมืองลพบุรี เมื่อตั้งเมืองเพิ่มเข้ามาอีก จึงสามารถจะติดต่อกันได้แต่ละหัวเมืองภายในหนึ่งวันเท่านั้น นี้เป็นมูลเหตุตั้งเมืองขยายออกไปรอบพระนครหลวง เพื่อรวบรวมไพร่พลไว้ต่อสู้ข้าศึก สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานไว้ว่า เมืองสระบุรี เมืองฉะเชิงเทรา คงจะถูกตั้งขึ้นด้วยกันคราวนั้นเป็นแน่แท้ จากพระราชพงศาวดารที่ปรากฏตอนหนึ่งว่า ไพร่บ้านเมืองตรีจัตวา ปากใต้ฝ่ายเหนือ เข้าพระนครครั้งนี้น้อยนัก หนีออกอยู่ป่าห้วยเขา ต้อนไม่ได้เป็นอันมาก ให้เอาบ้านท่าจีน ตั้งเป็นเมืองสาครบุรี ให้เอาบ้านตลาดขวัญ ตั้งเป็นเมืองนนทบุรี ให้แบ่งเอาแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครชัยศรี แล้วปรึกษาว่า กำแพงลพบุรี (เมืองนครนายก เมืองสุพรรณบุรี) ๓ เมืองนี้ควรจะล้างเสียหรือจะเอาไว้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระราม-เมศวร พระมหินทราธิราช กับมุขมนตรีพร้อมกันปรึกษากราบทูลว่า จะให้ไปรับทัพหัวเมืองนั้น ถ้ารับได้ก็จะเป็นคุณ ถ้ารับมิได้ข้าศึก สังกัดสมสกรรจ์พันจะอาศัยให้รื้อกำแพงเสียดีกว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็บัญชาตาม แล้วให้ตั้งพิจารณาเลขลำเครื่อง ๒๐๐,๐๐๐ เศษ๑ อนึ่งเมืองสระบุรีนั้น ที่ตั้งตัวเมืองคราวแรก คงจะไม่ได้กำหนดเขตแดนไว้แน่นอนและยังไม่ปรากฏว่าเคยได้ตั้งผู้รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองอย่างเป็นทางการ แต่อย่างใดไว้คงจะแบ่งเอาบางส่วนจากแขวงเมืองลพบุรี แขวงเมืองนครราชสีมา และแขวงเมืองนครนายก ตั้งขึ้นเป็นเมืองสระบุรี ในคราวเดียวกันนั้น ทั้งนี้เพราะเขตที่กันขึ้นเป็นเมืองสระบุรี เป็นเขตที่คลุมบางส่วนของลำแม่น้ำป่าสัก สะดวกต่อการเดินทัพขึ้นไปทางภาคตะวันออก - ตะวันออกเฉียงเหนือ และยังเคยเป็นเส้นทางที่พวกขอมสมัยโบราณเคยใช้เดินทางมาก่อนแล้วด้วย เส้นทางคมนาคมพวกขอมผ่านเมืองสระบุรีสมัยโบราณ (ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา) ในหนังสือเรื่อง เที่ยวตามทางรถไฟ พระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายแยกเรื่องความเป็นมาของสระบุรีไว้แต่ละยุคสมัย ดังนี้ สมัยกรุงละโว้ (ลพบุรี) ต่อมาถึงสมัยอโยธยา ท้องที่อันเป็นเขตจังหวัดสระบุรี แต่โบราณครั้งเมื่อพวกขอมยังเป็นใหญ่ในประเทศนี้ อยู่ในทางหลวงสายหนึ่ง ซึ่งพวกขอมไปมาติดต่อกับราชธานีที่นครหลวง (ซึ่งเรียกในภาษาขอมว่า นครธม) ยังมีเทวสถานซึ่งพวกขอมสร้างเป็นปรางค์หินไว้ตามที่ได้ตั้งเมืองปรากฏอยู่เป็นระยะมา คือในเขตจังหวัดปราจีนบุรี มีที่อำเภอวัฒนานครแห่ง ๑ ที่ดงศรีมหาโพธิ์แห่ง ๑ ต่อมาถึงเขตจังหวัดนครนายก มีที่ดงละครแห่ง ๑ แล้วมามีที่บางโขมด ทางขึ้นพระพุทธบาทอีกแห่ง ๑ ต่อไปก็ถึงลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลละโว้ ที่พวกขอมมาตั้งปกครอง แต่ที่ใกล้ลำน้ำป่าสักซึ่งตั้งจังหวัดสระบุรี หาปรากฏสิ่งสำคัญครั้งขอมอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ เพราะฉะนั้นเมืองสระบุรีเห็นจะเป็นเมืองตั้งขึ้นต่อเมื่อไทยได้ประเทศนี้จากขอมแล้ว ข้อนี้สมด้วยเค้าเงื่อนในพงศาวดาร ด้วยชื่อเมืองสระบุรีปรากฏในเรื่องพงศาวดารเป็นครั้งแรก เมื่อรัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราช สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองยกกองทัพมาล้อมพระนครศรีอยุธยา พระไชยเชษฐาเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตยกกองทัพเมืองเวียงจันท์ลงมาช่วยไทย เดินกองทัพเลียบลำน้ำป่าสักลงมา พระเจ้า-หงสาวดีให้พระมหาอุปราชคุมกองทัพไปซุ่มดักทางอยู่ที่เมืองสระบุรีตีกองทัพกรุงศรีสัตนาคนหุตแตกกลับไป ดังนี้เป็นอันได้ความว่า เมืองสระบุรีตั้งมาก่อน พ.ศ. ๒๑๑๒ แต่จะตั้งเมื่อใดข้อนี้ได้แต่สันนิษฐานตามเค้าเงื่อนที่มีอยู่ คือเมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระราชบิดาของสมเด็จพระมหินทราธิ-ราชนั้น พระเจ้าหงสาวดีตะเบงชะเวตี้ ยกกองทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๑ ในสมัยนั้นมีเมืองป้อมปราการเป็นเขื่อนขัณฑ์กันราชธานีอยู่ทั้ง ๔ ทิศ คือเมืองสุพรรณบุรีอยู่ทางทิศตะวันตก เมืองลพบุรีอยู่ทางทิศเหนือ เมืองนครนายกอยู่ทางทิศตะวันออก และเมืองพระประแดงอยู่ทางทิศใต้ กองทัพพระเจ้าหงสาวดียกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ข้างทิศตะวันตก กองทัพไทยจึงไปตั้งต่อสู้อยู่ที่เมืองสุพรรณบุรีรับข้าศึกไม่อยู่ต้องถอยเข้ามาเอาพระนครศรีอยุธยาเป็นที่มั่น จึงได้ชัยชนะ เป็นเหตุให้เห็นว่าเป็นเมืองที่ตั้งเป็นเขื่อนขัณฑ์กันพระนครนั้น หาเป็นประโยชน์ดังที่คาดมาแต่ก่อนไม่ ที่สร้างป้อมปราการไว้ ถ้าข้าศึกเอาเป็นที่มั่นสำหรับทำการสงครามแรมปี ตีพระนคร ก็จะกลับเป็นประโยชน์แก่ข้าศึก จึงให้รื้อป้อมปราการเมืองสุพรรณบุรี เมืองลพบุรี และเมืองนครนายกเสียทั้ง ๓ เมือง คงไว้แต่ที่เมืองพระประแดง ซึ่งรักษาทางปากน้ำ อีกประการ ๑ เห็นว่า ที่รวบรวมผู้คนในเวลาเกณฑ์ทัพยังมีน้อยแห่งนัก จึงได้ตั้งตัวเมืองเพิ่มเติมขึ้นอีกหลายเมือง สำหรับเป็นที่รวบรวมผู้คนเพื่อจะได้เรียกระดมมารักษาพระนครได้ทันท่วงที ในเวลาการสงครามมีมาอีก เมืองที่ตั้งใหม่ครั้งนั้นระบุชื่อไว้ในหนังสือพระราชพงศาวดาร แต่ทางทิศใต้กับทางทิศตะวันตก คือ เมืองนนทบุรี ๑ เมือง สาครบุรี ๑ (สมุทรสาคร) เมือง ๑ และเมืองนครไชยศรีเมือง ๑ แต่ทางทิศอื่นหาได้กล่าวไม่ เมืองสระบุรี (และเมืองฉะเชิงเทรา) เห็นจะตั้งขึ้นในครั้งนี้นั่นเอง คือตั้งเมื่อราว พ.ศ. ๒๐๙๒ ก่อนปรากฏชื่อในพระราชพงศาวดารเพียง ๒๐ ปี เหล่าเมืองที่ตั้งครั้งนั้นเป็นแต่สำหรับรวบรวมผู้คนดังกล่าวมา จึงกำหนดแต่เขตแดนมิได้สร้างบริเวณเมือง ผู้รั้งตั้งจวน อยู่ที่ไหนก็ชื่อว่าเมืองอยู่ตรงนั้น ไม่เหมือนเมืองที่ตั้งมาแต่ก่อน เช่น เมืองราชบุรี และเมืองเพชรบุรี เป็นต้น เมืองตั้งสำหรับรวบรวมคนเช่นว่ามานี้ มีอีกหลายเมือง พึ่งมาตั้งบริเวณเมืองประจำที่ทั่วกันต่อเมื่อรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ดังกล่าวมานี้ เป็นประวัติความเป็นมาของเมืองสระบุรีโดยมีเค้าเงื่อนพอเชื่อถือได้ไม่น้อยเลย นามเจ้าเมืองสระบุรีที่ปรากฏในพงศาวดาร ตำแหน่งบรรดาศักดิ์เจ้าเมืองสระบุรี ปรากฏเด่นชัดในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๒๕ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จยกทัพไทยไปตีเมืองเขมร แต่ไม่ทราบนามจริง คงทราบแต่ว่ามีบรรดาศักดิ์เป็น พระสระบุรี เท่านั้น ซึ่งเทียบเท่ากับเจ้าเมืองฉะเชิงเทรา ที่มีบรรดาศักดิ์เป็น พระ เช่นกัน ส่วนเจ้าเมืองนครนายกกับเจ้าเมืองปราจีนบุรี มีบรรดาศักดิ์เป็น พระยา เจ้าเมืองสระบุรีสมัยสมเด็จพระนเรศวรนั้น น่าจะยังเป็นคนไทยภาคกลางอยู่ มีหน้าที่คุมรักษาฉางข้าวไว้ให้กองทัพหลวง ครั้งยกไปตีเขมรคราวนั้น คงจะเป็นเพราะให้ชาวเมืองสระบุรี สมัยนั้นทำไร่ทำนาเก็บเกี่ยวข้าวไว้สำหรับทางราชการงานสงครามเมื่อต้องการ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จวบกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตำแหน่งเจ้าเมืองสระบุรี ก็ยังมีบรรดาศักดิ์เป็นพระอยู่ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) เจ้าเมืองสระบุรีมีบรรดาศักดิ์เป็น พระยา-สุราราชวงศ์ ตามพระราชพงศาวดารว่าเป็นชนเผ่าลาวพุงดำ ซึ่งถูกเกณฑ์อพยพมาตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ยังเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพขึ้นไปตีนครเวียงจันทน์ (สมัยกรุงธนบุรี) แล้วมาตั้งรกราก ณ แขวงเมืองสระบุรี พ.ศ. ๒๓๒๔ แต่พระยาสุราราชวงศ์ เจ้าเมืองสระบุรีคนนี้ถูกเมืองขวาเชียงใต้ แม่ทัพเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ยกทัพลงมาต้อนครัวชาวสระบุรีขึ้นไปเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙ คาดว่าคงจะเสียชีวิตคราวคุณหญิงโม (ท้าวสุรนารี) สู้กับไพร่พลลาวเวียงจันทน์ที่ทุ่งสัมฤทธิ์ เมืองพิมาย นครราชสีมา ล่วงมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ระยะนั้นการปก-ครองหัวเมืองยังไม่เข้ารูปลักษณะการปกครองอย่างสมัยนี้ เจ้าเมืองสระบุรี ท่านผู้นี้คงจะเป็นลาวพุงดำเชื้อสายจากนครเวียงจันทน์ด้วย ทางการมีการแต่งชื่อเจ้าเมือง และกรมการเมืองใหม่กันอีก คือ เมืองลพบุรี เดิมนามว่า พระนครพราหมณ์ ตั้งใหม่เป็นพระยาสุจริตรักษาลพบุรานุรัก-พิทักษ์ทวีชาติภูมิ ตำแหน่งเจ้าเมือง ส่วนปลัดเมืองเดิมนามว่า ขุนบุรีราชรักษา ตั้งใหม่เป็นพระนครพราหมณ์ เมืองพระพุทธบาท (แก้วประศักเมืองปรันตปะ) เดิมนามว่า ขุนอนันตคีรี ตั้งใหม่เป็นหลวงสัจจภัณฑคิรี ศรีรัตนไพรวัน เจติยาสันคามวาสีนพคูหาพนมโขลน เมืองสระบุรี เดิมนามว่า ขุนสรบุรีปลัด ตั้งใหม่เป็น พระสยามลาวบดีปลัด ตำแหน่งเจ้าเมือง การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลางโดยมีกระทรวงมหาดไทย ในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค มีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่า เป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการใน ท้องที่ต่างๆ เป็นการรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบ และเปลี่ยนระบบการปกครอง ประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือระบบกินเมือง ให้หมดไป การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวาง ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้รวมอำนาจการปกครองเข้ามาอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลมิให้อำนาจการบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๓๕ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ การเทศาภิบาล ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำอยู่แต่เฉพาะในราชธานีนั้น ออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาค เป็นสื่อกลางระหว่างประชากรของประเทศซึ่งอยู่ห่างไกลจากรัฐบาลซึ่งอยู่ในราชธานี ให้ได้ใกล้ชิดกับอาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ด้วย จึงแบ่งเขตการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัด รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวง กรม ในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้ สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย และรวดเร็ว แก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้ การเทศาภิบาล นั้น หมายความรวมว่า เป็น ระบบ การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า การปกครองส่วนภูมิภาค ส่วน มณฑลเทศาภิบาล นั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเอง เช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่น-คงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระ - บรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลที่ข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตกบัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑล ดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเป็นมณฑลเทศาภิบาล การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือมณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้ เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนคร-ชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษเพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ เมืองสระบุรี จึงพอทราบได้ว่า ที่ตั้งตัวเมืองดั้งเดิม ตั้งอยู่บริเวณบึงหนองโง้ง ใกล้วัดจันทบุรี ตำบลศาลารีลาว ซึ่งปัจจุบันเป็นตำบลเมืองเก่า อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ต่อมา เมื่อเปลี่ยนแปลงตัวเจ้าเมืองคนใหม่ ก็ย้ายที่ทำการเจ้าเมืองต่อไปอยู่ที่บ้านไผ่ล้อมน้อย ตามบ้านเรือนที่เจ้าเมืองสร้างอยู่อาศัย แต่ก็คงยังอยู่ในเขตอำเภอเสาไห้นั่นเอง ศาลากลางเมืองสระบุรียังคงอยู่ตรงนั้นเรื่อยมาตราบเท่าสิ้นเจ้าเมืองที่ทางมณฑลกรุงเก่าส่งมาปกครอง เพราะเมืองสระบุรีสมัยนั้น สมัยแบ่งการปกครองเป็นมณฑล เมืองสระบุรีขึ้นอยู่กับมณฑลกรุงเก่า คือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบัน เจ้าเมืองคนใหม่ที่ทางมณฑลแต่งตั้งมาปกครองเมืองสระบุรีระหว่างที่ศาลากลางเมืองอยู่บ้านไผ่ล้อมน้อยนั้น คือ พระยาพิชัยรณรงค์สงคราม (ดิศ) มาเป็นเจ้าเมืองตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๑ ถึง ๒๔๕๒ ท่านเจ้าคุณพิชัยฯ เป็นเจ้าเมืองสระบุรีไม่นานนัก ก็พอดีในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ได้โปรดให้สร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นมาถึงเมืองสระบุรี ท่านเจ้าคุณพิชัยเห็นว่าตัวเมืองเดิมที่เสาไห้นั้น อยู่ห่างไกลจากทางรถไฟ ภูมิประเทศไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบันสมัยนั้น ยากแก่การขยายเมืองในอนาคต จึงได้ดำเนินการสร้างศาลากลางขึ้นใหม่ ณ บริเวณตำบลปากเพรียว การก่อสร้างได้ดำเนินการเรื่อยมาและสำเร็จสามารถโยกย้ายข้าราชการขึ้นทำงานบนศาลากลางได้ ก็เข้าถึงเจ้าเมืองสระบุรีคนที่ ๓ คือ พระยาบุรีสราธิการ (เป้า จารุเสถียร) บิดาของ จอมพลประภาส จารุเสถียร (ปี พ.ศ. ๒๔๕๖-๒๔๕๗) ศาลากลางหลังเก่าได้รับใช้ประชาชนเมืองสระบุรีมาจวบกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ทางการจึงใช้งบประมาณมาสร้างศาลากลางหลังใหม่ (ปัจจุบันนี้) ในสมัยของนายประพจน์ เรขะรุจิ ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี (พ.ศ. ๒๕๐๙-๒๕๑๓) การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑. การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒. เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:26:50 สระบุรี ๒
๓. เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔. รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้แต่ละจังหวัดมีอำนาจเท่าเทียมกันนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรรมการจังหวัด นั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓. ในฐานะของคณะกรรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่น-ดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของ ผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น จังหวัดสระบุรีปัจจุบันแบ่งการปกครองออกเป็น ๑๐ อำเภอ และ ๑ กิ่งอำเภอ คือ ๑. อำเภอเมืองสระบุรี ๒. อำเภอแก่งคอย ๓. อำเภอหนองแค ๔. อำเภอหนองแซง ๕. อำเภอบ้านหมอ ๖. อำเภอเสาไห้ ๗. อำเภอพระพุทธบาท ๘. อำเภอวิหารแดง ๙. อำเภอมวกเหล็ก ๑๐. อำเภอหนองโดน ๑๑. กิ่งอำเภอดอนพุด จังหวัดสระบุรีมีเขตการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๑ เขต มีจำนวนผู้แทนราษฎร จำนวน ๓ คน ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี ๒๕๒๖ มีผู้สมัครได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดสระบุรี คือ ๑. พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร ๒. นายเงิน บุญสุภา ๓. นายปองพล อดิเรกสาร การปกครองส่วนภูมิภาค นอกจากอำเภอและกิ่งอำเภอแล้ว ยังมีหน่วยงานบริหารราชการส่วนภูมิภาคของหน่วยงานต่างๆ ที่ประจำในจังหวัดสระบุรี ดังนี้ ๑. สำนักงานจังหวัดสระบุรี ๒. ที่ทำการปกครองจังหวัดสระบุรี ๓. ที่ทำการอัยการจังหวัดสระบุรี ๔. กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี ๕. เรือนจำจังหวัดสระบุรี ๖. ที่ทำการพัฒนาชุมชนจังหวัดสระบุรี ๗. สำนักงานที่ดินจังหวัดสระบุรี ๘. ที่ทำการโยธาธิการจังหวัดสระบุรี ๙. สำนักงานแรงงานจังหวัดสระบุรี ๑๐. ที่ทำการประชาสงเคราะห์จังหวัดสระบุรี ๑๑. ที่ทำการคลังจังหวัดสระบุรี ๑๒. สำนักงานสรรพากรจังหวัดสระบุรี ๑๓. สำนักงานสรรพสามิตจังหวัดสระบุรี ๑๔. ที่ทำการราชพัสดุจังหวัดสระบุรี ๑๕. สำนักงานเกษตรจังหวัดสระบุรี ๑๖. สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสระบุรี ๑๗. สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ๑๘. สำนักงานป่าไม้จังหวัดสระบุรี ๑๙. สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดสระบุรี ๒๐. สำนักงานสหกรณ์จังหวัดสระบุรี ๒๑. สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี ๒๒. สำนักงานขนส่งจังหวัดสระบุรี ๒๓. สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสระบุรี ๒๔. ที่ทำการสัสดีจังหวัดสระบุรี ๒๕. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระบุรี ๒๖. สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสระบุรี ๒๗. สำนักงานจัดรูปที่ดินจังหวัดสระบุรี การบริหารราชการส่วนกลาง มีหน่วยงานของส่วนกลางและรัฐวิสาหกิจ ที่มีที่ตั้งและพื้นที่ทำการในเขตจังหวัดสระบุรีอีก ดังนี้ ๑, ป่าไม้เขตสระบุรี ๒. สถานีรถไฟจังหวัดสระบุรี ๓. ที่ทำการสถานีไฟฟ้าย่อยสระบุรี ๔. สถานีตำรวจทางหลวงหินกอง ๕. สำนักงานพัฒนาชุมชนเขต ๑ ๖. ศูนย์มาลาเรียเขต ๑ พระพุทธบาท ๗. ศูนย์กามโรคเขต ๑ พระพุทธบาท ๘. ศูนย์วัณโรคเขต ๑๑ พระพุทธบาท ๙. ศูนย์โภชนาการเขต ๑ พระพุทธบาท ๑๐. ศูนย์สุขาภิบาลเขต ๑ พระพุทธบาท ๑๑. ศูนย์ควบคุมโรคเรื้อนเขต ๑ สระบุรี ๑๒. สำนักงานประปาชนบทที่ ๑ ๑๓. ไปรษณีย์โทรเลขสระบุรี ๑๔. ไปรษณีย์โทรเลขปากเพรียว ๑๕. ศูนย์โทรคมนาคม ๑๖. โทรเลขสระบุรี ๑๗. สวนพฤกษศาสตร์พุแค ๑๘. สวนป่าพุแค ๑๙. ศูนย์เพาะชำภาคกลาง (พุแค) ๒๐. สถานีวนกรรมมวกเหล็ก ๒๑. สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง ๒๒. สถานีผสมเทียมสระบุรี ๒๓. โครงการสูบน้ำและบำรุงรักษาเริงราง ๒๔. โครงการสูบน้ำเสาไห้ ๒๕. ชลประทานท่าหลวง ๒๖. นิคมสร้างตนเองพระพุทธบาท ๒๗. นิคมสร้างตนเองเลี้ยงโคนมมวกเหล็ก ๒๘. ศูนย์สาธิตและฝึกอบรมไทย เยอรมัน ๒๙. นิคมสร้างตนเองทับกวาง ๓๐. หน่วยสหกรณ์นิคมหนองเสือ ๓๑. สำนักงานช่างตวงวัดที่ ๑๓ ๓๒. โครงการสำรวจและพัฒนาน้ำบาดาล ๓๓. อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น ๓๔. สวนรุกขชาติมวกเหล็ก ๓๕. องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ๓๖. สำนักงานการไฟฟ้าจังหวัดสระบุรี ๓๗. สำนักงานชุมสายโทรศัพท์จังหวัดสระบุรี ๓๘. ที่ทำการแขวงการทางสระบุรี ๓๙. สำนักงานสถิติจังหวัดสระบุรี ๔๐. สำนักงานชลประทานและบำรุงรักษาคลองเพรียว ๔๑. สำนักงานออมสินจังหวัดสระบุรี ๔๒. สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสระบุรี ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดสระบุรี. สระบุรี : โรงพิมพ์ปากเพรียวการช่าง ๒, ๒๕๒๗ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:27:26 สิงห์บุรี
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ประวัติของไทยนั้นเก่าแก่มาก จดหมายเหตุจีนเมื่อประมาณ ๓๐๐ ปีก่อนพุทธกาลกล่าวถึงภูมิลำเนาเดิมของไทยว่าอยู่ในลุ่มน้ำตอนกลางของแม่น้ำเหลือง ซึ่งอยู่ในท้องที่มณฑลฮูเป และ โฮนานในบัดนี้ ในสมัยเดียวกันนั้น จีนก็ได้มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามที่ราบสูง ในลุ่มน้ำเหลืองตอนบน คือ มณฑลกังซูในบัดนี้ ซึ่งเห็นจะเป็นเพราะถูกพวกต้นตระกูลตาดรุกราน จึงได้ร่นลงมาและปะทะกับไทยเข้า ไทยมีจำนวนน้อยจำต้องร่นลงมาทางใต้หลายทิศหลายทาง พวกไทยส่วนมากร่นลงมาตามแม่น้ำแยงซีเข้าไปในยูนนาน ต่อสู้ชนะพวกพื้นเมืองเดิมและได้ตั้งอาณาจักรน่านเจ้า โดยมีตาลีฟูเป็นเมืองหลวง ต่อมาเมืองหลวงก็ได้ย้ายไปตั้งอยู่ ปูเออฟู อาณาจักรน่านเจ้าครอบครองท้องที่มณฑลยูนนานปัจจุบัน พม่าเหนือและภาคเหนือของสิบสองปันนาประวัติของไทยในสมัยที่กล่าวนี้ รุ่งเรืองที่สุดและอำนาจอยู่อย่างนี้ ๔ ศตวรรษ อย่างไรก็ดี เมื่อจีนรุกรานหนักเข้า ไทยก็จำต้องอพยพร่นลงมาอีก และกว่าจะต่อสู้เอา ชัยชนะขอมเจ้าของถิ่นเดิมได้ ก็เป็นเวลาตั้งหลายศตวรรษ แล้วจึงได้ตั้งอาณาจักรใหม่ ณ เชียงแสน บนฝั่งแม่น้ำโขง อาณาจักรใหม่นี้มีประวัติรุ่งเรืองเหมือนอาณาจักรเดิมต่อมานั้นได้ย้ายจากเชียงแสนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ และตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่ที่ลุ่มแม่น้ำสาลวิน มีภุกามเป็นเมืองหลวง แต่อาณาจักรนี้ไม่ยั่งยืนเพราะอยู่ใกล้ขอมมาก จึงถูกขอมขับกลับไปเลยไปสร้างเมืองเชียงใหม่เป็นเมืองหลวงใหม่ขึ้นที่ แม่น้ำปิง การอพยพลงมาทางใต้ยังคงดำเนินไปอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเรียกกันว่าดินแดนแหลมทองหรือสุวรรณภูมิ อันเป็นที่ตั้งประเทศไทยปัจจุบันนี้ ได้มีชนชาติอื่นอาศัยอยู่ก่อนแล้ว ได้แก่พวกละว้า ซึ่งได้ตั้งภูมิลำเนาอยู่ ๓ แคว้นด้วยกัน คือ ๑. แคว้นโยนก อยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย คือ ดินแดนที่เป็นมณฑลพายัพ และลานนาไทยปัจจุบัน มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองเชลียง (สวรรคโลก) ขึ้นไปจนตลอดหัวเมืองลานนา และลานช้าง ได้ตั้งราชธานี อยู่ที่เมืองเงินยาง (เชียงแสน) ๒. แคว้นทวารวาดี อยู่ตรงตอนกลางของประเทศไทย คือ ดินแดนบริเวณจังหวัดนครปฐม อยุธยา พิษณุโลก นครสวรรค์ ปราจีนบุรี รวมทั้งแหลมมลายู ตั้งราชธานีอยู่ที่นครปฐม ๓. แคว้นโคตรบูร อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยปัจจุบัน มีราชธานีอยู่ที่สกลนคร สำหรับแคว้นทวารวดีนั้น ต่อมาได้ถูกพวกมอญขยายอาณาเขตเข้ามาทางแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าครอบครองกลายเป็นอาณาจักรหนึ่งของชนชาติมอญ สันนิษฐานว่า พวกมอญคงจะได้ตั้งอาณาจักรนี้ขึ้น เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ และสิ้นสุดลงตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖ เนื่องจากอำนาจของขอมได้แผ่เข้ามายังภาคกลางของประเทศไทย อาณาจักรทวารวดี ก็เปลี่ยนมาเป็นอาณาจักรของขอม ซึ่งเรียกเป็นเฉพาะว่าอาณาจักรลพบุรี สมัยทวารวดีนั้น มีศูนย์กลางอาณาจักรอยู่ที่นครปฐม ได้มีการขุดค้นพบหลักฐานต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบทวารวดีอย่างชัดเจน และได้มีการขุดค้นพบโบราณสถาน และหลักฐานต่าง ๆ สมัยทวารวดี ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยด้วยเช่นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ มหาสารคาม ชัยภูมิ และนครราชสีมา และทางภาคกลางของประเทศไทยเช่นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และบ้านโคกไม้เดน อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และที่บ้านคูเมือง อ.อินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี โดยเฉพาะที่อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ได้ค้นพบเหรียญเงินมีตัวอักษร ในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ จารึก มีข้อความว่า ศรีทวารวดีศวรปุณยะ ซึ่งแปลว่า บุญกุศลของพระราชาแห่งศรี-ทวารวดี อันเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่สนับสนุนคำว่า ทวารวดี มีจริงมิใช่เป็นการอ้างเลื่อนลอยโดยพบเหรียญที่มีข้อความดังกล่าวอีกหลายเหรียญ ณ ที่อื่น ๆ ก่อนหน้านี้แล้วจากการขุดค้นพบเมืองโบราณที่บ้านคูเมือง อ.อินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ทำให้ทราบว่าเมืองดังกล่าวได้สร้างขึ้นมา มีความเก่าแก่สมัยทวารวดีตอนต้นและตอนปลาย เรื่อยมาถึงอาณาจักรละโว้ ลักษณะรูปเมืองก็แสดงให้เห็นถึงลักษณะของเมืองสมัยทวารวดีเป็นอย่างดีแสดงให้เห็นว่าจังหวัดสิงห์บุรีมีชุมชนมาตั้งหลักปักฐานอยู่นานแล้ว ภายหลังกลายเป็นเมืองร้างด้วยสาเหตุใดไม่ปรากฏ สันนิษฐานกันว่า เนื่องมาจากเกิดโรคห่า นิยามปรัมปราเกี่ยวกับการสร้างเมืองสิงห์บุรี ว่ากันว่าพระเจ้าสิงหพาหุเป็นผู้สร้าง นามนี้ดูไปพ้องกับสีหพาหุกุมารในพงศาวดารลังกาที่กล่าวไว้ในหนังสือมหาวงศ์ว่า ในสมัยเมื่อร่วมพุทธกาล มีกษัตริย์ชาวอริยพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้าวังคราช ครองวังคนคร เป็นราชธานีอยู่ทางข้างเหนือเมืองกลิงคราษฎร์ได้ราชธิดาพระเจ้ากลิงค-ราษฎร์เป็นอัครมเหสี มีราชธิดานามว่านางสุปา นางสุปาถูกขับไล่จากเมืองไปเพราะมากด้วยกามกิเลส จึงเที่ยวซัดเซพเนจรไปในที่ต่าง ๆ ไปได้พระยาราชสีห์เป็นสามี มีบุตรชื่อสีหพาหุ เพราะมีกำลังวังชามาก เมื่อเติมใหญ่จึงพานางผู้เป็นมารดาหนีพระราชสีห์ กลับมาอยู่กับมนุษย์ฝ่ายข้างพระยาราชสีห์มีความอาลัยอยู่จึงออกติดตามเที่ยวขบกัดชาวเมืองวังคนครล้มตายลงเป็นอันมาก พระเจ้าวังคราชต้องประกาศปาวร้องหาผู้ที่จะรับอาสาฆ่าพระยาราชสีห์นั้น สีหพาหุกุมารจึงอาสาฆ่าพระยาราชสีห์นั้นตาย เพราะเหตุนี้จึงปรากฏนามต่อมาว่าสีหฬกุมาร หมายความว่า กุมารผู้ฆ่าราชสีห์ ต่อมาเมื่อพระเจ้า วังคราชสิ้นพระชนม์ไม่มีเชื้อพระวงศ์ ชาววังคนคร เห็นสีหฬกุมารมีอานุภาพมาก จึงพร้อมใจกันถวายราชสมบัติแก่สีหฬกุมาร สีหฬกุมารรับราชสมบัติแล้ว ไม่ปรารถนาจะอยู่ในวังคนครนั้น จึงได้มอบเมืองให้แก่อำมาตย์ ผู้เป็นสามีใหม่ของมารดา ส่วนตัวออกไปตั้งราชธานีใหม่ใช้ชื่อว่า สีหบุรีแล้วเสวยราชอยู่ ณ เมืองนั้น มีราชบุตรถึง ๓๐ องค์ องค์ใหญ่ทรงพระนามว่า วิชัยราชกุมาร (เรื่องนี้ได้มาจากเรื่องประดิษฐาน พระสงฆ์สยามวงศ์ในลงกาทวีปของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) เมื่อสังเกตุตามนี้ เรื่องนี้อาจเป็นต้นเค้าของนิยายเกี่ยวกับสร้างพระพุทธไสยาสน์วัดนี้ก็ได้ เพราะนามผู้สร้างนี้ก็มีนามเดียวกันคือ ชื่อสีหพาหุ และก็ได้ฆ่าพ่อ คือ พระยาราชสีห์เหมือนกัน แต่ต่างกรรมต่างวาระกัน เรื่องของเราฆ่าพ่อเพราะรังเกียจเป็นสัตว์ ส่วนเรื่องนี้ที่ฆ่าเพราะรับอาสาฆ่าที่พ่อไปขบกัดคนตาย และชื่อเมืองที่ออกไปตั้งใหม่ที่ชื่อสีหบุรี เหมือนกับเมืองสิงห์บุรี เพราะคำว่าสีหกับสิงหก็เป็นคำเดียวกัน สีหเป็นบาลี สิงหเป็นสันสกฤต สีห แปลว่า ราชสีห์เหมือนกัน และพระพุทธไสยาสน์นี้ก็ตั้งอยู่ในจังหวัดสิงห์บุรีด้วย แต่ในเรื่องมหาวงศ์พงศาวดารลังกา มิได้กล่าวไว้ว่าพระเจ้าสีหพาหุเมื่อฆ่าพระยาราชสีห์ผู้เป็นพ่อแล้ว ได้สร้างอนุสาวรีย์อะไรเป็นหลักฐานเพื่อล้างบาปบ้าง ส่วนเรื่องของเราคงมากล่าวเสริมต่อขึ้นก็ได้หรืออาจได้สร้างจริง แต่มิได้อยู่ในลังกา แต่มาอยู่ในสิงห์บุรีเสียเรื่องจึงไม่ปรากฏในมหาวงศ์ แต่มาปรากฏทางของเรา จากตำนานอีกเรื่องกล่าวว่า สิงห์บุรีเป็นเมืองเก่าก่อนสมัยสุโขทัย ตัวเมืองเดิมตั้งอยู่ทางลำน้ำแม่น้ำจักรสีห์ ในท้องที่ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมืองสิงห์บุรี ในปัจจุบันบริเวณใกล้วัดหน้าพระธาตุมีเมืองเก่าเรียกว่า บ้านหน้าพระลาน ปรากฏอยู่ สันนิษฐานว่า พระเจ้าไกรสรราช โอรสพระเจ้าพรหม (พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก) ครองเมืองชัยปราการ (ฝาง) โปรดให้สร้างขึ้นราว พ.ศ. ๑๖๕๐ ครั้งเสด็จพาไพร่พลมาครองเมืองลพบุรีตามรับสั่งพระราชบิดา ซึ่งเข้าใจว่า คงจะมาพักขึ้นบก ณ ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองสิงห์เดิมนี้ เพื่อเดินทางไปลงเรือที่วัดปากน้ำ แม่น้ำลพบุรี เพราะสมัยนั้นลำแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าอำเภอเมืองสิงห์บุรี และคลองบางพุทรายังไม่มี เมื่อเกิดแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นใหม่ทางหน้าจังหวัดสิงห์บุรีบัดนี้ จึงได้ย้ายเมืองไปตั้งทางแม่น้ำน้อย ตำบลโพสังโฆ ใต้วัดสิงห์ (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอค่ายบางระจัน) ลงมา ครั้ง พ.ศ. ๒๓๑๐ เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า เห็นกันว่าแม่น้ำใหม่เป็นทางคมนาคมสำคัญ จึงย้ายเมืองสิงห์บุรีมาตั้งทางแม่น้ำเจ้าพระยา ริมปากคลองนกกระทุ่ง ฝั่งใต้ที่ปากบางต้นโพธิ์ ตำบลบางมอญ (ปัจจุบันคือ ตำบลต้นโพธิ์ อำเภอเมืองสิงห์บุรี) การย้ายครั้งนี้น่าจะเป็นสมัยเดียวกับตั้งเมืองอ่างทองในสมัยกรุงธนบุรี ภายหลังจึงย้ายไปตั้งที่ตำบลบางพุทรา อำเภอเมืองสิงห์บุรี ปัจจุบัน ประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๙-๒๔๔๐ สมัยกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงตั้งอาณาจักรสุโขทัยนั้น มีชนชาวไทยหลายพวกด้วยกันอพยพมาอยู่ในดินแดนตอนใต้ของคาบสมุทรอินโดจีน พวกที่มีกำลังเข้มแข็งก็ตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้น พวกที่อ่อนแอไม่สามารถรวบรวมกันเป็นปึกแผ่นได้ก็เข้ามาอยู่ในความปกครองของชนเหล่าอื่น ระหว่างระยะเวลานี้ มีเจ้านายไทยองค์หนึ่ง ปรากฎพระนามตามที่เรียกกันเป็นสามัญว่า พระเจ้าอู่ทอง ซึ่งเป็นเชื้อสายของราชวงศ์ไชยปราการ สามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในบริเวณภาคกลาง แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยตั้งราชธานีขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๓ ที่หนองโสน หรือบึงพระราม เพราะเห็นว่าอยู่ในทำเลที่เหมาะสมเป็นราชธานี ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์และการเมือง มีลำน้ำล้อมอยู่เป็นคูเมือง ได้แก่ลำน้ำป่าสัก ลำน้ำลพบุรี ลำน้ำเจ้าพระยา ลักษณะชัยภูมิดังกล่าวนี้มีความสำคัญยิ่งทางยุทธวิธีทำให้ปลอดภัยจากศัตรูผู้รุกราน สะดวกในการป้องกันเมืองและเหมาะสำหรับเป็นที่ตั้งมั่นรับข้าศึก เมื่อถึงฤดูน้ำหลากบริเวณนอกพระนครจะเจิ่งไปด้วยน้ำ ข้าศึกไม่สามารถจะตั้งทัพได้สะดวกต้องล่าถอยกลับไป สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วทรงตั้งพระราชโอรส (คือพระราเมศวร) ไปครองเมืองลพบุรีในฐานะเป็นเมืองลูกหลวง และเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญทางหนือ ในการที่จะคอยสดับตรับฟังข่าวคราวของอาณาจักรสุโขทัย และทรงตั้งขุนหลวงพะงั่ว (พี่มเหสี) เป็นพระบรมราชาให้ไปครองเมืองสุพรรณบุรี เมืองหน้าด่านทิศตะวันตก พระบรมราชาได้ยกกองทัพไปตีเมืองชัยนาท เป็นการขู่ขวัญฝ่ายสุโขทัยไว้ก่อน เหตุการณ์ช่วงนี้ แสดงให้เห็นว่าเมืองอินทร์ เมืองสิงห์บุรี เมืองพรหม ในสมัยนั้นอยู่ในความปกครองของกรุงศรีอยุธยาแล้ว ในปี พ.ศ. ๑๘๙๕ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ได้เสด็จยกทัพไปล้อมเมืองพระนครหลวง (นครธม) และได้ยึดเมืองพระนครหลวงได้ใน พ.ศ. ๑๘๙๖ ทำให้พระเดชานุภาพแพร่หลายทั่วไปเป็นผลให้เมืองต่าง ๆ เข้ามาสวามิภักดิ์เป็นเมืองขึ้นอีกเป็นส่วนมาก มีเมืองประเทศราช ๒๐ เมือง เมือง พระยามหานครถือน้ำพิพัฒสัตยา ๘ เมือง เมืองลูกหลวง ๕ เมือง เมืองหลานหลวง ๒ เมือง สมเด็จพระรามาธิบดี ๑ ทรงจัดการปกครองส่วนภูมิภาคตามแนวของกรุงสุโขทัย คือจัดเสมือนการจัดกองทัพเพื่อป้องกันข้าศึกศัตรู มีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่กลาง เวลามีสงครามก็ระดมพลเมืองเข้าเป็นทัพหลวง มีกษัตริย์ผู้เป็นประมุขเป็นแม่ทัพใหญ่ และทรงจัดหัวเมืองหน้าด่านตามทิศ ทั้ง ๔ เป็นทัพหน้าทัพหลัง ปีกซ้ายและปีกขวา มีระยะทางเดินทัพติดต่อกับราชธานี ซึ่งเป็นทัพหลวงได้ภายในระยะเวลา ๒ วัน ดังปรากฏดังต่อไปนี้ คือ ๑) การปกครองหัวเมืองชั้นใน ๑. ทิศเหนือ มีเมืองลพบุรีเป็นเมืองหน้าด่าน ๒. ทิศตะวันออก มีเมืองนครนายกเป็นเมืองหน้าด่าน ๓. ทิศใต้ มีเมืองพระประแดงเป็นเมืองหน้าด่าน ๔. ทิศตะวันออก มีเมืองสุพรรณบุรีเป็นเมืองหน้าด่าน เมืองรอบราชธานีทั้ง ๔ เมืองนี้ มีความสำคัญในการสงครามมาก จึงทรงพิจารณาตั้งราชโอรสเป็นเจ้าเมืองปกครอง จึงเรียกอีกนัยหนึ่งว่า เมืองลูกหลวง นอกจากนี้ ยังมีหัวเมืองชั้นในเป็นรายทางออกไปทั้ง ๔ ทิศ มีดังนี้ คือ ทิศเหนือ เมืองพรหม เมืองอินทร์ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ ทิศตะวันออก เมืองปราจีนบุรี เมืองพนัสนิคม เมืองชลบุรี ทิศตะวันตก เมืองราชบุรี ๒) การปกครองหัวเมืองชั้นนอก การจัดการปกครองหัวเมือง ซึ่งไกลจากราชธานีออกไปมาก ทรงแต่งตั้งข้าราชการ ผู้ใหญ่ให้ออกไปเป็นเจ้าเมือง เรียกว่า เมืองพระยามหานคร มีหน้าที่จัดสรรระดมกำลังชายฉกรรจ์เป็นกองทัพมาสมทบกองทัพใหญ่ ได้แก่หัวเมืองเหล่านี้ คือ ทิศตะวันออก มีเมืองโครามปุระ (ภายหลังเรียกว่าเมืองนครราชสีมา เมืองนี้แต่เดิมมีเมืองอยู่ ๒ เมือง คือ เมืองโครามปุระเมืองหนึ่ง และเมืองสีมาอีกเมืองหนึ่ง ภายหลังได้สร้างเมืองขึ้นใหม่โดยรวมเมืองทั้งสองให้เป็นเมืองเดียวกัน และขนานนามว่า เมืองนครราชสีมา แต่สามัญชนยังคงเรียกกันชื่อเดิม ซึ่งเพี้ยนไปบ้างว่าโคราช) และเมืองจันทบุรี ทิศใต้ มีเมืองชัยยา เมืองนครศรีธรรมราช เมืองพัทลุง เมืองสงขลา และ เมืองถาง ทิศตะวันตก มีเมืองตะนาวศรี เมืองทะวาย เมืองเชียงกรานต์ ภายในเขตเมืองหนึ่ง ๆ แบ่งออกเป็นแขวง มีหมื่นแขวงเป็นผู้ปกครองในแขวงหนึ่ง ๆ แบ่งออกเป็นตำบล มีกำนันเป็นผู้ปกครอง กำนันมักจะได้บรรดาศักดิ์เป็น พัน ในตำบลหนึ่งแบ่งเป็น บ้าน มี ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้ปกครอง ซึ่งหัวหน้าปกครองหน่วยเหล่านี้เจ้าเมืองเป็นผู้แต่งตั้ง การแบ่งเขตปกครองท้องที่เป็นแขวง ตำบล และบ้าน เช่นนี้ เป็นแนวที่ในการต่อมาได้เปลี่ยนเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้านตามลำดับ สำหรับการปกครองภายในราชธานีนั้น สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ได้เริ่มนำการ ปกครองแบบจตุสดมภ์มาใช้ กล่าวคือ การดำเนินการปกครองภายในราชธานี ได้ดำเนินตามแบบสุโขทัยและเขมรผสมกันมาเป็นแบบที่เรียกว่า จตุสดมภ์ คือ จัดหน่วยงานแบ่งออกเป็น ๔ หน่วยแต่ละหน่วยมีเสนาบดีเป็นผู้ควบคุมดูแลบริหารราชการ ลักษณะการจัดระเบียบเป็น ๔ แผนกนั้นสันนิษฐานว่าจะเป็นแบบที่นำมาจากอินเดีย เพราะประเทศอื่น ๆ เช่น พม่า เขมร ชวา มลายู ต่างมีระเบียบ การแบ่งหน่วยราชการเป็น ๔ แผนกเช่นกัน ส่วนของไทยได้รับสืบทอดมาจากเขมรอีกต่อหนึ่ง หน่วยงานทั้ง ๔ แผนกคือ ๑. กรมเมือง มีขุนเมืองเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่เกี่ยวกับการปกครองรักษาสันติสุขบังคับบัญชาบรรดาไพร่บ้านพลเมือง ซึ่งมีถิ่นฐานภูมิลำเนาอยู่ในเขตเมืองหลวง รวมทั้งมีหน้าที่ลงโทษ ผู้กระทำผิดทางอาญาในเขตเมืองหลวงด้วย ๒. กรมวัง มีขุนวังเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่ที่เกี่ยวกับราชสำนัก และพิพากษาคดีด้วยและสำหรับหัวเมืองต่าง ๆ ขุนวังมีอำนาจตั้งยกกระบัตรไปประจำตามเมือง ๆ ละคน ทำหน้าที่พิพากษาคดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองนั้น ๆ ด้วย ๓. กรมคลัง มีขุนคลังเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่จ่าย และเก็บรักษาพระราชทรัพย์ตลอดจนการเงินของประเทศ ๔. กรมนา มีขุนนางเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่ควบคุมดูแลเกี่ยวกับเรือกสวนไร่นาและออกสิทธิที่นาซึ่งถือว่าเป็นงานสำคัญอย่างยิ่ง หน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือ การเก็บ หางข้าว ขึ้นฉางหลวง (เพราะในสมัยโบราณยังไม่มีการเก็บเงินค่านา ใครทำนาได้ข้าวต้องแบ่งเอามาส่งขึ้นฉางหลวงไว้สำหรับใช้ในราชการเรียกว่า หางข้าว) จากหลักฐานการจัดการปกครองของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ที่ทรงจัดให้ เมืองพรหม เมืองอินทร์ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ เป็นหัวเมืองขึ้นในหน้าด่าน รายทางสำหรับทางทิศเหนือ โดยมีเมืองลพบุรีเป็นเมืองหน้าด่านหลักนั้น แสดงให้เห็นว่า เมืองพรหม เมืองอินทร์ เมืองสิงห์ ได้มีอยู่แล้วในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยถูกจัดให้เป็นหัวเมืองชั้นใน ก่อนหน้านั้นเมืองดังกล่าวทั้งสามนี้ อาจอยู่ในความ ปกครองของอาณาจักรสุโขทัยก็ได้ เพราะในช่วงที่อาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรืองนั้น ได้มีอำนาจอิทธิพลแผ่ขยายครอบงำในบริเวณภาคกลางและลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานี้ด้วย แต่ก็ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า เมืองทั้งสามนี้ได้สร้างขึ้นในสมัยใน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลืออยู่ ก็ไม่มีพอที่จะให้ค้นคว้าได้ ชาวไทยมักจะรู้จักประวัติศาสตร์ของคนดีก็ในยุคของอาณาจักรสุโขทัยสมัยราชวงศ์พระร่วงเป็นต้นมา การปกครองกรุงศรีอยุธยามาแก้ไขมาก เมื่อรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเหตุด้วยเมื่อรัชกาลก่อน ได้อาณาเขตกรุงสุโขทัย ซึ่งได้ลดศักดิ์ลงเป็นประเทศราชอยู่นั้น มาเป็นเมืองขึ้น กรุงศรีอยุธยา และตีได้เมืองนครธม (พระนครหลวง) ซึ่งเป็นราชธานีของประเทศขอม เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๑๙๗๖ ในสมัยนั้นได้ข้าราชการเมืองสุโขทัยและชาวกรุงกัมพูชา ทั้งพวกพราหมณ์ พวกเจ้านายท้าวพระยา ซึ่งชำนาญการปกครองมาไว้ในกรุงศรีอยุธยาเป็นอันมาก ได้ความรู้ขนบธรรมเนียมราชการงานเมืองทั้งทางกรุงสุโขทัยและกรุงกัมพูชาถ้วนถี่ดีกว่าที่เคยรู้มาแต่ก่อน จึงเป็นเหตุให้แก้ไขประเพณีการปกครอง เลือกทั้งแบบแผนในกรุงสุโขทัยและแบบแผนขอมในกรุงกัมพูชา มาปรับปรุงเป็นวิธีการปกครองกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่ในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีพระองค์ที่ ๒ ซึ่งเป็นราชโอรสสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ วิธีปกครองที่ปรับปรุงขึ้นเมื่อระหว่าง พ.ศ. ๑๙๙๑ จนถึง พ.ศ. ๒๐๗๒ ใน ๒ รัชกาลที่กล่าวมาจึงได้เป็นหลัก ของวิธีปกครองประเทศสยามสืบมา ถึงแก้ไขบ้างในบางสมัยก็เป็นแต่แก้พลความตัวหลัก วิธียังคงอยู่จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์นี้ การปกครองตามแบบพระบรมไตรโลกนาถนั้น ทรงจัดการปกครองในลักษณะแบบการรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง หลักใหญ่คือ แบ่งการปกครองออกเป็น ๓ ส่วน ได้แก่ ส่วนกลาง ส่วน ภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น กล่าวคือ การปกครองส่วนกลางได้แยกฝ่ายทหารกับพลเรือนออกจากกัน ฝ่ายทหารก็ให้มีหัวหน้าคนหนึ่ง คอยควบคุมดูแล มีบรรดาศักดิ์ เป็นสมุหกลาโหมดูแลราชการเกี่ยวกับการทหารทั้งหมด ฝ่ายพลเรือนก็มีสมุหนายกเป็นหัวหน้า และมีตำแหน่งรองลงไปคือจตุสดมภ์ และได้เปลี่ยนชื่อกรมเมือง เป็นนครบาล กรมวัง เป็นธรรมาธิการ กรมคลัง เป็นโกษาธิบดีและกรมนา เป็นเกษตราธิราช สำหรับการปกครองส่วนภูมิภาคให้เป็นแบบเดียวกันกับราชธานี โดยให้แต่ละเมืองใช้วิธีการปกครอง ฝ่ายพลเรือน คือ มีจตุสดมภ์ มีเวียง วัง คลัง นา ตามหัวเมืองนั้น ๆ ด้วย ได้กำหนดให้หัวเมืองชั้นในคือ บรรดาเมืองที่อยู่ใกล้ในวงราชธานีเป็นเมืองจัตวา หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่หัวเมืองซึ่งอยู่นอกเขตวงราชธานีออกไป กำหนดฐานะเป็นหัวเมืองชั้นเอก โท ตรี โดยลำดับกันตามขนาดและความสำคัญของเมือง ส่วนการปกครองส่วนท้องถิ่น มีการแบ่งอาณาเขตการปกครองท้องที่ออกเป็นหน่วย ๆ เริ่มต้น หมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านซึ่งผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้แต่งตั้งขึ้นเป็นหัวหน้าปกครองหลายหมู่บ้านรวมตัวกันเป็น ตำบล กำนัน ซึ่งได้รับบรรดาศักดิ์ พัน เป็นหัวหน้าปกครองหลาย ๆ ตำบลรวมกันเป็น แขวง มีหมื่นแขวงเป็นผู้ปกครองหลาย ๆ แขวงรวมกันเป็นเมือง มีผู้รั้งเมืองหรือเจ้าเมืองเป็นผู้ ปกครอง ในยุคสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมืองอินทร์ เมืองพรหม เมืองสิงห์ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นหัวเมืองชั้นในก็ได้มีการปรับการปกครองให้เป็นไปตามรูปแบบที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถวางไว้ด้วย นั่นคือ ได้มีสภาพฐานะเป็นหัวเมืองจัตวา ผู้ว่าราชการเมืองเรียกว่า ผู้รั้ง ไม่เรียก เจ้าเมือง เพราะไม่มีอำนาจเด็ดขาดอย่างเจ้าเมือง ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเจ้ากระทรวงในราชธานีพระมหากษัตริย์มักจะทรงแต่งตั้งขุนนางในกรุงศรีอยุธยาออกไปทำหน้าที่ดังกล่าว จึงอยู่ภายใต้การควบคุมของราชธานีอย่างใกล้ชิด ประวัติของนายอินทร์ เมืองพรหม เมืองสิงห์ ในสมัยอยุธยานั้น มีเรื่องราวเกี่ยวกับการศึกสงครามน้อยมาก สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเมืองที่มีแต่ความสงบสุขสงครามที่เกิดขึ้น แทบจะทั้งหมดมีการรบพุ่งกันในที่อื่น โดยเฉพาะสงครามไทยกับพม่านั้น การสงครามจะมีทางภาคพายัพและภาคตะวันตกเป็นส่วนมาก มีการสงครามที่ทำในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี เพียง ๒ ครั้ง เท่านั้น ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๒๗ เป็นระยะที่ไทยประกาศอิสรภาพใหม่ ๆ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ได้ยกกองทัพมาตีไทยหวังให้ยอมอยู่ภายใต้อำนาจพม่าต่อไปอีก เพราะเห็นว่าไทยเสียบ้านเมืองมาก่อนกำลังที่จะต่อสู้ย่อมมีน้อยกว่าแต่ก่อนจึงไม่จำเป็นต้องยกทัพหลวงเข้ามาเหมือนอย่างครั้งพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ก็คงจะตีกรุงศรีอยุธยาได้ พอถึงฤดูแล้วปลายปีนั้น จึงให้จัดทัพยกมาเป็น ๒ ทางพร้อมกันประสงค์จะให้ไทยละล้าละลังในการที่จะต่อสู้ในครั้งนั้น ให้เจ้าเมืองพสิมซึ่งเป็นพระเจ้าอาคุมกองทัพจำนวนพล ๓๐,๐๐๐ คนยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ทัพ ๑ ให้พระเจ้าเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพระอนุชายกกองทัพบกทัพเรือจากเชียงใหม่ จำนวนพล ๑๐๐,๐๐๐ คน ลงมาทางเมืองเหนืออีก ทาง ๆ ให้มาสมทบกันตีกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายข้างกรุงศรีอยุธยานั้น สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการคอยท่าศึกอยู่แล้ว ให้กองสอดแนมออกไปคอยสืบสวนอยู่ทุกทางที่ข้าศึกจะยกมา ครั้งทรงทราบว่าข้าศึกจะยกมาเป็น ๒ ทางจึงให้ตระเตรียมการต่อสู้ ให้จัดพลอาสาชาวหัวเมืองเหนือเป็นทัพบกทัพ ๆ มีจำนวนพล ๑๐,๐๐๐ คนให้เจ้าพระยาสุโขทัยเป็นนายทัพ แล้วจัดพลอาสาชาวกรุงฯ เป็นกองทัพเรืออีกทัพ ๑ ให้พระยาจักรีเป็น นายทัพพระยาพระคลังเป็นยกกระบัตร และสั่งให้ขนย้ายเสบียงอาหารและพาหนะ ในหนทางที่ข้าศึกจะยกมาเสียให้พ้นมือข้าศึกทั้ง ๒ ทาง แล้วให้ต้อนคนเข้าอยู่ในพระนคร เตรียมรักษาป้อมปราการเป็นสามารถ กองทัพหงสาวดียกเข้ามาครั้งนี้จะเป็นด้วยคิดโดยเลินเล่อหรือเป็นด้วยเจ้าเมืองพสิมกับพระเจ้าเชียงใหม่เข้าใจผิดกันอย่างใดอย่างหนึ่ง ยกเข้ามาหาพร้อมกันไม่ พอถึงเดือนอ้าย กองทัพเจ้าเมืองพสิมก็ยกเข้ามาในแดนไทยทางเมืองกาญจนบุรีแต่ทัพเดียว สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบก็เห็นได้ที แต่เวลานั้น น้ำลดยังไม่ถึงที่ น้ำในแม่น้ำลำคลองมีมาก แต่ทางบกแผ่นดินยังเปียก จะเดินกองทัพไม่สะดวก จึงมีรับสั่งให้พระยาจักรียกกองทัพเรือออกไปรักษาเมืองสุพรรณบุรี ต้านทานข้าศึกไว้พลางก่อน กองทัพเจ้าเมืองพสิมยกเข้ามาหมายจะเอาเมืองสุพรรณเป็นที่มั่น ถูกกองทัพเรือพระยาจักรีเอาปืนใหญ่ยิงทนอยู่ไม่ไหวก็ถอยกลับไปตั้งอยู่บนดอนที่เขาพระยาแมน คอยฟังข่าวกองทัพพระเจ้าเชียงใหม่อยู่ที่นั่น ครั้งถึงเดือนยี่ ขึ้น ๒ ค่ำ สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถก็เสด็จด้วยกระบวนเรือจากกรุงศรีอยุธยา ไปทำพิธีเหยียบชิงชัยภูมิ ฟันไม้ข่มนามที่ตำบลลุมพลี แล้วเสด็จไปประทับที่ (ตำบล ป่าโมก) แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ อันเป็นที่ประชุมพล โปรดให้เจ้าพระยาสุโขทัยคุมกองทัพบกเมืองเหนือยกเป็นกองหน้าไปตีกองทัพเจ้าเมืองพสิม ซึ่งตั้งอยู่ที่เขาพระยาแมนแล้วเสด็จยกกองทัพหลวงตามไปตั้งอยู่ที่ตำบลสามขนอนแขวงเมืองสุพรรณบุรี เจ้าพระยาสุโขทัยยกไปถึงเขาพระยาแมนได้รบพุ่งกับกองทัพหน้าของเจ้าเมืองพสิมตีกองทัพพม่าแตกพ่ายไปฝ่ายเจ้าเมืองพสิมเวลานั้นเข้ามายึดเมืองไม่ได้หมายต้องออกไปตั้งอยู่กลางดอนขัดสนเสบียงอาหาร ฟังข่าวกองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ก็ไม่ได้ความ ทำนองออกจะรวนเรอยู่แล้ว พอรู้ว่ากองทัพหน้าแตกก็ไม่ได้คิดจะต่อสู้ รีบถอยหนีกลับไป เจ้าพระยาสุโขทัยได้ทีก็รีบติดตามตีพม่าไปจนปลายแดนเมืองกาญจนบุรีจับได้ (นายกองชื่อ) ฉางชวีและช้างม้ามาถวายเป็นอันมาก กองทัพเจ้าเมืองพสิมหนีไปได้สัก ๑๕ วัน กองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ก็ยกลงมาถึงปากน้ำโพ ในเดือนยี่นั้น ด้วยหัวเมืองเหนือเวลานั้นร้างอยู่ทุกเมืองดังกล่าวมาแล้ว ไม่มีผู้ใดต่อสู้ก็ยกลงมาได้ โดยสะดวกทั้งทัพบกทัพเรือ พระเจ้าเชียงใหม่มาตั้งอยู่ที่เมืองชัยนาท ไม่รู้ว่ากองทัพเจ้าเมืองพสิมถอนหนีไปเสียแล้ว จึงให้ไชยะกยอสูและนันทกยอทางยกกองทัพหน้า จำนวนพล ๑๕,๐๐๐ คน ลงมาตั้งที่ปากน้ำบางพุทราแขวงเมืองพรหม ให้มาสืบสวนนัดกำหนดกับเจ้าเมืองพสิมที่จะยกเข้ากรุงศรีอยุธยาให้พร้อมกัน สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่า กองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ยกลงมาทางข้างเหนือ ก็เสด็จยกกองทัพหลวงไปกับสมเด็จพระเอกาทศรถตั้งทัพหลวงที่บ้านชะไวแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ แล้วให้พระราชมนูเป็นนายทัพ ขุนรามเดชะเป็นยกกระบัตรคุมกองทัพหน้ามีจำนวนทหารม้า ๒๐๐ พลราบ ๓,๐๐๐ คน ยกขึ้นไปตีกองทัพหน้าของข้าศึกที่ปากน้ำบางพุทรา พระราชมนูกับขุนรามเดชะยกขึ้นไปถึงเห็นว่าจำนวนพลในกองทัพของตนมีน้อยกว่าข้าศึกมากนัก จึงคิดเป็นกลอุบายซุ่มกองทัพไว้ในป่า แล้วแต่งกองโจรให้แยกย้ายกันดักฆ่าฟันข้าศึกที่เที่ยวลาดตระเวนหาเสบียงอาหาร และคอยแย่งช้างม้าพาหนะมิให้เอาไปเลี้ยงห่างค่ายใหญ่ได้ ถ้าข้าศึกตามจับเห็นมากก็หลบเลี่ยงไปเสีย ด้วยชำนาญท้องที่กว่าข้าศึก แต่พอเห็นข้าศึกเผลอก็เข้าปล้นทัพมิให้ข้าศึกอยู่เป็นปกติได้ ทัพหน้าข้าศึกตั้งอยู่ไม่ได้ ก็ต้องถอยกลับไปเมืองชัยนาท พระเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ข่าวว่า กองทัพเจ้าเมืองพสิม ซึ่งยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ เสียทีไทยถอนหนีกลับไปเสียแล้ว เห็นจะตีพระนครศรีอยุธยาไม่สำเร็จก็เลิกทัพกลับไป หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:27:42 สิงห์บุรี ๒
ปัจจุบันบริเวณที่พม่าได้มาตั้งค่ายอยู่ที่เมืองพรหมนั้น ยังมีร่องรอยเป็นคูคันดินปรากฏอยู่ที่ตำบลบ้านแป้ง อำเภอพรหมบุรี ส่วนหนึ่งของคูนี้ถนนสายเอเซียได้ตัดผ่าน คูค่ายพม่ามีลักษณะเป็นคันดินยาวเป็นรูปปีกกา สูง ๔.๕๐ เมตร ฐานกว้างประมาณ ๕ เมตร ยาวประมาณ ๓๐๐ เมตร ครั้งที่สองในปี พ.ศ. ๒๓๐๘ พระเจ้ามังระได้ให้มังมหานรธายกทัพเจ้ามาทางเมืองมะริดส่วนทางเหนือให้เนเมียวสีหบดีเคลื่อนกองทัพออกจากเชียงใหม่ตีหัวเมืองต่าง ๆ เรื่อยมา ในระยะแรกที่ฝ่ายไทยได้ทราบข่าวศึกและเห็นว่าพม่าจะต้องยกมาตีไทยแน่นอน จึงได้เตรียมการต่อสู้พม่าเป็นขั้น ๆ พอสรุปได้ คือ ขั้นที่ ๑ ให้เกณฑ์ทหารออกไปรักษาด่าน แบ่งกองทัพเรือออกเป็น ๙ กอง ๆ ละ ๒๐ ลำ แต่ละกองมีกำลังทหารประจำกองละ ๑,๔๐๐ คนพร้อมด้วยเครื่องศาสตรวุธ เรือรบ ๑ ลำมีปืนใหญ่ ๑ กระบอก ปืนขนาดเล็ก ๑ กระบอก แล้วแบ่งไปประจำที่ต่าง ๆ ดังนี้ ๑. ให้พระราชสงกรานต์ ไปตั้งทางปากน้ำเจ้าพระยา ๒. ให้หลวงหรทัยคุมออกไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำลำทอง ๓. ให้พระยาจุหล่า (แขก) ไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำพระประแดง (พระมะดัง) ๔. ให้ศรีวรข่าน ไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำประสบ ๕. ให้หลวงศรียุทธ ไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำหิงสา ๖. ให้หม่อมมหาดเล็กวังหน้า ไปตั้งรับพม่าทางแม่น้ำเมืองสิงห์บุรี ๗. ให้หม่อมเทไพ ไปตั้งรับพม่าทางเมืองอินทร์บุรี ๘. ให้หม่อมทิพยุพัน ไปตั้งรับพม่าทางแม่น้ำเมืองพรหมบุรี ๙. ให้ศรีภูเบศร์ ไปตั้งรับพม่าทางแม่น้ำเมืองพรหมบุรี ชั้นที่ ๒ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทรงจัดทัพให้ไปตั้งรับพม่าห่างไกลออกไปตามจุด ต่าง ๆ ดังนี้ กองทัพที่ ๑ ให้พระยาพิพัฒน์โกษา เป็นแม่ทัพใหญ่ใหญ่คุมกองทัพ ๑๓ กอง แต่ละกองมีกำลัง ๑,๐๐๐ คน มีช้างคลุมเกราะเหล็ก ๑๐ เชือก ช้างเชือกหนึ่งมีปืนใหญ่ขนาดเล็ก ๒ กระบอก มีควาญหัว ๑ คน กลาง ๑ คน ท้ายช้าง ๑ คน มีพลทหารถือทวนตามช้างอีกข้างละ ๑๐๐ คน ให้ไปตั้งรับทัพพม่าที่เมืองมะริด เมืองตะนาวศรี กองทัพที่ ๒ ให้พระยาเพชรบุรี เป็นแม่ทัพใหญ่ คุมกองทัพ ๑๑ กอง แต่ละกองจัดกำลังเหมือนกองทัพที่ ๑ ให้ไปตั้งรับพม่าทางเมืองสวรรคโลก กองทัพที่ ๓ ให้ศิริธรรมราชา เป็นปลัดทัพ ให้พระยาพิพัฒน์โกษาเป็นแม่ทัพคุมกองทัพ ๗ กองอีกทางหนึ่ง เพราะอยู่ในเขตใกล้เคียงกัน ให้ไปตั้งที่ตำบลท่ากระดาน เขตแดนเมืองกาญจนบุรี กองทัพที่ ๔ ให้เจ้าพระยากลาโหม คุมกองทัพ ๑๕ กอง การจัดกำลังทัพจัดแบบเดียวกับกองทัพที่ ๑ ให้ไปตั้งรับทัพพม่าทางเมืองราชบุรี กองทัพที่ ๕ ให้พระยาธิเบศร์เป็นแม่ทัพ คุมกองทัพ ๑๔ กอง การจัดกำลังกองทัพเหมือนกองทัพที่ ๑ ให้ไปตั้งรับพม่าทางเมืองราชบุรี การที่กรุงศรีอยุธยาได้จัดเตรียมการป้องกันพระนครและเตรียมสู้รบพม่า โดยจัดแบ่งออกเป็นกองย่อย ๆ มากมายและแยกไปตั้งอยู่ตามจุดต่าง ๆ โดยพม่ายกทัพมาจริง ๆ ยกมาเพียง ๒ ทางเท่านั้น ดังนั้น กองทัพไทยที่ไปอยู่อีกหลายจุด จึงไม่ได้สู้รบกับพม่าเลย ทำให้เสียกำลังทัพ ไม่ได้ใช้ประโยชน์เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ไทยต้องเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สอง ในขณะที่พม่าตั้งค่ายขยายวงล้อมกรุงศรีอยุธยา โดยมีทัพของเนเมียวสีหบดี ตั้งค่ายทางเหนือของอยุธยาแถบบ้านประสบ (พระประสบ) เนเมียวสีหบดีได้ให้ทหารพม่าจำนวนหนึ่ง ไปเที่ยวค้นทรัพย์จับผู้คนทางเมืองวิเศษไชยชาญและได้ตั้งค่ายอยู่ที่เมืองวิเศษไชยชาญ ได้เกลี้ยกล่อมให้พวกราษฎรให้ยอมอยู่ในอำนาจเป็นพวกของพม่า ขณะนั้นราษฎรในเขตเมืองวิเศษไชยชาญ เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรค์บุรี และเมืองสุพรรณบุรี ได้อพยพไปพึ่งอาจารย์ธรรมโชติ ที่บ้านบางระจัน ซึ่งอยู่ในท้องที่เมืองสิงห์บุรี พม่าได้ส่งคนไปเกลี้ยกล่อมให้เข้าเป็นพวกของพม่า แต่ชาวไทยกลุ่มนี้มีความรักชาติ ไม่ยอมเข้ากับพม่า ได้รวมกำลังกันต่อสู้กับพม่าและสามารถเอาชนะกองทหารพม่าถึง ๗ ครั้ง ในการรบครั้งที่ ๘ ชาวบ้านบางระจันจึงพ่ายแพ้พม่า เพราะไม่ได้รับกำลังช่วยเหลือจากทางกรุงศรีอยุธยา แม้ทางชาวบ้านบางระจันจะส่งคนมาขอปืนใหญ่จากรุงศรีอยุธยา ๒ กระบอกแต่ทางกรุงไม่ให้ เสนาบดีกราบทูลสมเด็จพระยาเอกทัศน์ว่า ถ้าค่ายบ้านบางระจันเสียแก่พม่า พม่าก็จะเอาปืนเข้ามารบกรุงจะให้ไปนั้นมิบังควร พระเจ้าแผ่นดินทรงเชื่อตามคำกราบทูล จึงไม่ทรงให้ปืนใหญ่แก่ชาวบ้านบางระจัน แต่ให้ได้พระยารัตนาธิเบศร์ออกไปหล่อปืนที่บ้านบางระจัน การหล่อปืนใหญ่จะต้องใช้เวลานานพอสมควร ชาวบางระจัน จึงถูกพม่าซึ่งนำโดยพระนายกองตีแตกชาวบ้านบางระจันได้ยืนหยัดต่อสู้พม่าเป็นเวลานานถึง ๕ เดือนจึงเศษจึงเสียทีแก่พม่า ชาวบ้านที่มีชีวิตอยู่รวมทั้งเด็กและสตรีถูกพม่าจับไปเป็นเชลยเป็นส่วนใหญ่ ที่หนีรอดไปได้นั้นมีน้อย ชาวบ้านบางระจัน เป็นตัวอย่างอันดีในการแสดงออก ซึ่งความรักชาติบ้านเมืองยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ สมัยกรุงธนบุรี หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าข้าศึก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ กล่าวได้ว่ากรุงศรีอยุธยาอยู่ในสภาพยับเยินเสียหายมาก ทั้งปราสาทราชวัง วัดวาอาราม และบ้านเรือนของประชาชนถูกเพลิงไหม้เสียหายเป็นส่วนใหญ่ บรรดาประชาชนถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลยประมาณ ๑ แสนครอบครัวส่วนที่เหลืออยู่ ก็มีความทุกข์ยากลำบากล้มตายและฆ่าฟันกันเองทุกหนทุกแห่งเป็นสภาพที่นับว่าเสียหายมาก ซึ่งไม่เคยปรากฏผลความเสียหายเช่นนี้มาเลยในอดีต กรุงศรีอยุธยาซึ่งได้ดำรงปกครองตนเองมาเป็นเวลานานถึง ๔๑๗ ปี มีกษัตริย์ปกครองติดต่อกันมาถึง ๓๔ องค์ ก็ต้องถึงแก่กาลอวสานเสียบ้านเมืองให้แก่พม่า เพราะเหตุที่พระเจ้าแผ่นดินอ่อนแอและคนไทยแตกความสามัคคี แต่เมืองไทยก็ยังโชคดีที่มีคนดีมีความสามารถมากอบกู้ชนชาติไทยให้รวมกันเป็นปึกแผ่นได้อีกสมกับที่ว่ากรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี บุคคลผู้นั้นคือ พระยาวชิระปราการ หรือที่รู้จักกันในนามของ พระยาตาก ได้ทำสงครามขับไล่พม่าออกจากค่ายโพธิ์สามต้นแล้ว จึงเลือกเอากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงสืบต่อมา กรุงศรีอยุธยาจึงได้กลายเป็นอดีต กรุงเก่า ไป ภายหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้วปรากฏว่ามีหัวเมืองชั้นนอกหัวเมืองชั้นในไม่ว่าจะเป็นเมืองเอก เมืองโท หรือเมืองจัตวา และบรรดาเมืองประเทศราชทั้งหลายได้พากันตั้งตัวเป็นอิสระได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ กลุ่มชนต่าง ๆ ก็ต้องรวมกันเพื่อป้องกันโจรภัยเพราะในระยะนี้ปรากฏมีโจรผู้ร้ายชุกชุม สภาพของเมืองไทยภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ แล้ว ปรากฎบ้านเมืองแตกแยกออกเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มที่สำคัญ ๆ ได้แก่ กลุ่มเมืองธนบุรี กลุ่มเมืองพิษณุโลก กลุ่มเมืองนครศรีธรรมราช กลุ่มเมืองนครราชสีมา เมืองสรรคบุรี และยังมีกลุ่มเล็ก ๆ อีกมากมายที่มักก่อปัญหาความวุ่นวาย เมืองอินทร์ เมืองพรหม เมืองสิงห์ ได้เข้าอยู่ในกลุ่มเมืองธนบุรี ซึ่งมีพระเจ้าตากเป็นผู้นำกลุ่มมาตั้งแต่ต้น กลุ่มนี้มีที่ตั้งอยู่ที่เมืองธนบุรีมีเมืองที่อยู่ในอำนาจในส่วนกลางขึ้นมาถึงเมืองลพบุรีภายหลังได้รวบรวมกลุ่มต่าง ๆ ไว้ได้หมด และปรับปรุงฟื้นฟูบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงถาวรขึ้นการ ปกครองส่วนใหญ่ในสมัยกรุงธนบุรียังใช้หลักการปกครอง ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีการปรับปรุงบ้างในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองส่วนภูมิภาคก็คือการแต่งตั้งคนสนิทหรือบุคคลที่สวามิภักดิ์เป็นผู้ปกครองเมือง ให้เมืองใหญ่ช่วยควบคุมดูแลเมืองเล็กและตั้งนายทหารสำคัญไปครองเมือง จุดมุ่งหมายการปรับปรุงก็เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันตนเองให้พ้นอันตรายจากการที่พม่าจะรุกรานเข้ามา ในยุคสมัยกรุงธนบุรี ตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเป็นครั้งที่ ๒ ถึง พ.ศ. ๒๓๒๕ เมืองอินทร์ เมืองพรหม เมืองสิงห์ ก็ยังโชคดีมีแต่ความสงบสุข ไม่มีการรุกรานจากฝ่ายใด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไทยด้วยกันเองหรือพม่า สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การปกครองในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีลักษณะคล้าย ๆ กับการปกครอง ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้างในส่วนที่เกี่ยวกับการ ปกครองในส่วนภูมิภาคที่สำคัญคือ ได้มีการจัดแบ่ง หัวเมืองขึ้นกลาโหม มหาดไทย และกรมท่าใหม่ กล่าวคือ รัชกาลที่ ๑ ทรงพระราชดำริว่า เมื่อครั้งกรุงเก่าเมืองปักษ์ใต้ยกมาขึ้นแก่กรมท่านั้น เพราะกลาโหมมีความผิด บัดนี้ เจ้าพระยามหาเสนา ที่สมุหกลาโหมมีความชอบมาก จึงให้แบ่งหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันตกซึ่งขึ้นกรมท่า ๑๙ เมืองขึ้นมหาดไทย ๑ เมือง รวม ๒๐ เมือง ซึ่งต่อสมุหกลาโหมทำให้การบังคับบัญชาหัวเมืองในส่วนภูมิภาคอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายต่าง ๆ ดังนี้ 1.สมุหนายก มีอำนาจปกครองดูแลหัวเมืองทางฝ่ายอีสานและทางเหนือทั้งทางด้านการทหาร พลเรือน เศรษฐกิจ การศาล การยุติธรรม การป้องกันประเทศและด้านอื่น ๆ ทุกด้านหัวเมืองที่อยู่ในอำนาจได้แก่ เมืองพิษณุโลก เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย เมืองกำแพงเพชร เมืองพิชัย เมืองนครสวรรค์ เมืองพิจิตร เมืองมโนรมย์ เมืองชัยนาท เมืองอุทัยธานี เมืองอินทร์บุรี เมืองพรหมบุรี เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรคบุรี เมืองลพบุรี เมืองสระบุรี เมืองวิเศษไชยชาญ กรุงเก่า เมืองนครนายก เมืองประจิม เมืองฉะเชิงเทรา เมืองสุพรรณบุรี เมืองนครชัยศรี เมืองราชบุรี เมืองกาญจนบุรี เมืองเพชรบูรณ์ เมืองท่าโรง เมืองบัวชุม เมืองชัยบาดาล เมืองกำพรานและเมืองนครศรีธรรมราช 2.สมุหกลาโหม มีอำนาจปกครองดูแลหัวเมืองปักษ์ใต้ทุก ๆ ด้านเช่นเดียวกับ สมุหนายก หัวเมืองที่อยู่ในอำนาจสมุหกลาโหมได้แก่ เมืองสงขลา เมืองพัทลุง เมืองนครศรีธรรมราช เมืองไชยา เมืองหลังสวน เมืองชุมพร เมืองประทิว เมืองคลองวาฬ เมืองกุย เมืองปราณ เมืองตะนาวศรี เมืองมะริด เมืองกระ เมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองพังงา เมืองถลาง เมืองทวาย เมืองไทรโยค 3.กรมท่า มีอำนาจดูแลหัวเมืองชายทะเลตะวันออก ได้แก่เมืองจันทบุรี เมืองตราด เมืองระยอง เมืองบางละมุง เมืองนนทบุรี เมืองสมุทรปราการ เมืองสมุทรสงคราม และเมืองสาครบุรี การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล การจัดระเบียบการปกครองส่วนภูมิภาคในสมัยอยุธยาตอนต้นก่อนที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจะทรงปรับปรุงใหม่นั้น ได้แบ่งอำนาจการปกครองออกเป็นเขต ๆ คือ เขตราชธานี เมืองหน้าด่าน (เมืองลูกหลวง) จะมีเมืองพระยามหานครและประเทศราช แต่ละเขตราชธานีและเมืองหน้าด่าน (เมืองลูกหลวง) จะมีเมืองเอกบังคับบัญชา เมืองโท ตรี จัตวา ที่อยู่ในเขตนั้น ๆ มีรูปลักษณะอย่างเดียวกับการจัดมณฑลนั่นเอง ส่วนประเทศราชหรือเมืองพระยามหานครนั้น ได้จัดให้เมืองเล็กขึ้นกับเมืองใหญ่เป็น ๒ ชั้น เช่นกัน การจัดปกครองเช่นนั้น มีข้อบกพร่องสำคัญอยู่ที่รัฐบาลกลาง ไม่สามารถควบคุมการบริหารราชการของบรรดาหัวเมืองที่อยู่ห่างไกลออกไปจากราชธานีมาก ๆ ได้ ทั้งนี้เพราะการคมนาคมยังไม่เจริญ การเดินทางติดต่อประสานงานระหว่างเมืองจึงทำได้ยาก และเสียเวลามาก ทั้งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เจ้าเมืองมีอิสระในทางการปกครองมาก เพราะมีฐานะเป็นผู้ กินเมือง โดยสมบูรณ์แทบจะไม่ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลกลางเลย โดยเหตุนี้ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงทรงพยายามแก้ไขข้อบกพร่องนี้ โดยรวบอำนาจการปกครองเข้ามาไว้ในส่วนกลางให้มากที่สุด ด้วยการขยายอำนาจการปกครองของราชธานีออกไปครอบคลุมเอาเมืองหน้าด่านทั้งสี่ทิศเข้ามาไว้ในอำนาจ (เลิกเมืองหน้าด่านนั่นเอง) ให้หัวเมืองในเขตราชธานีหรือหัวเมืองชั้นในเหล่านั้นมีฐานะเป็นเมืองจัตวา ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ เรียกผู้ปกครองว่า ผู้รั้ง ไม่ใช่ เจ้าเมือง อย่างเมื่อก่อน ความพยายามที่จะรวบอำนาจของการปกครอง ให้เข้ามาอยู่กับส่วนกลาง ได้ปฏิบัติสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น และเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงให้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ การเทศาภิบาล ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาค อันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่อาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้ คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑลรองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัด รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวง ทบวง กรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้ สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็ว แก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจทางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้ การเทศาภิบาลนั้น หมายความรวมว่า เป็น ระบบ การปกครองอาณาเขต ชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า การปกครองส่วนภูมิภาค ส่วน มณฑลเทศาภิบาล นั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหาร ราชการในท้องที่ต่าง ๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเอง เช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิมอันเป็นระบบยกกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครอง ซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางและริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกันแต่มณฑลสมัยนั้นหาใช้มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราชทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคง และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่าควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล มีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงเหนือ มณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาว หรือ มณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตก บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาลการจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมาและก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีน มณฑลราชบุรี พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๔ มณฑล คือ มณฑลนครไชยศรี มณฑลนครสวรรค์ มณฑลกรุงเก่า (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยาในรัชกาลที่ ๖) มณฑลกรุงเก่าประกอบด้วยเมือง ๘ เมือง คือ กรุงเก่า พระพุทธบาท พรหมบุรี ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง และอินทร์บุรี ข้าหลวงอยู่ที่กรุงเก่า (พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้ยุบเมืองพุทธบาทลงเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองสระบุรี และยุบเมืองอินทร์บุรี และเมืองพรหมบุรี ลงเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองสิงห์บุรี) พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๑ มณฑล คือ มณฑลไทรบุรี พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๑ มณฑล คือ มณฑลเพชรบูรณ์ พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลจันทบุรี และมณฑลปัตตานี พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลร้อยเอ็ด และมณฑลอุบล พ.ศ. ๒๔๕๘ ได้ตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๑ มณฑล คือ มณฑลมหาราษฎร์ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัด และอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสียเหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวก และรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วน ภูมิภาคยิ่งขึ้นและการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒) อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓) ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการ แผ่นดินในจังหวัดได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑) จังหวัด ๒) อำเภอ จังหวัดนั้น ให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดสิงห์บุรี. สิงห์บุรี. หัตถโกศลการพิมพ์, ๒๕๓๗. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:29:06 สมุทรสงคราม สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ผลจากการสำรวจของบุคคลหลายคนเชื่อว่า ผืนแผ่นดินในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเคยเป็นทะเลมาก่อน ต่อมาเพื่อกระแสน้ำลำธารได้พัดพาเอาดินและทรายบนผืนแผ่นดินใหญ่ลงมาทับถมในอ่าว นับเป็นเวลาหลายพันปีเข้า อ่าวก็ตื้นเขินเป็นแผ่นดินงอกรุกทะเลออกไปเรื่อยๆ เมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ฝั่งทะเลอยู่ล้ำเข้ามาในผืนแผ่นดินใหญ่มาก คาดว่าพื้นที่ที่ตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำแม่กลอง ทั้งหมดในขณะนี้ยังไม่มี โดยเหตุนี้จึงถือได้ว่า ในสมัย ๒,๐๐๐ ปีมาแล้วนั้น เมืองสมุทรสงครามยังไม่เกิด สมัยกรุงศรีอยุธยา เท่านี้นักโบราณคดีคณะต่างๆ ได้สำรวจมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจโดยทางราชการหรือส่วนตัว ยังไม่ปรากฏว่าได้พบโบราณสถานที่มีอายุก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาสักแห่งเดียว ฉะนั้น จึงพอจะกล่าวได้ว่าจังหวัดสมุทรสงครามได้สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่เก่าไปกว่านั้น แต่ก็ยืนยันไม่ได้ว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ตอนกลาง หรือตอนปลายแต่จากจดหมายเหตุที่มองซิเออร์เซ-เบเรต์ ซึ่งอยู่ในคณะทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศสที่มี มองซิเออร์ เดอลาลูแบร์ เป็นหัวหน้าคณะเดินทางเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ -๒๒๓๑ แต่ในตอนขากลับมองซิเออร์เซเบเรต์ ได้แยกคณะเดินทางกลับก่อน โดยเดินทางไปลงเรือกำปั่นฝรั่งเศสที่เมืองตะนาวศรี ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองท่าค้าขายทางทะเลที่สำคัญของไทย ระหว่างการเดินทาง เมื่อผ่านเมืองแม่กลอง มองซิเออร์เซเบเรต์ ได้บันทึกรายงานไว้ว่า ณ วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๒๓๐ ข้าพเจ้าได้ออกจาก (เมือง) ท่าจีน เพื่อไป (เมือง) แม่กลอง ตามทางระหว่างท่าจีนกับแม่กลองนี้ มีบางแห่งน้ำตื้น ต้องใช้กระบือลากเรือเหมือนวันก่อน แต่ตอนที่ตื้นวันนี้ยาวกว่าวานนี้และลำบากกว่าวานนี้มาก เวลาเย็นข้าพเจ้าได้ไปถึงเมืองแม่กลอง ซึ่งไกลจาก (เมือง) ท่าจีน ระยะทางประมาณ ๑๐ ไมล์ครึ่ง เมืองแม่กลองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่กว่าเมืองท่าจีนและตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งเรียกกันว่าแม่น้ำแม่กลอง และอยู่ห่างทะเลประมาณ ๑ ไมล์ น้ำรับประทานในเมืองนี้ เป็นน้ำที่ดี เมืองแม่กลองนี้หามีกำแพงเมืองไม่ แต่มีป้อมเล็กๆ สี่เหลี่ยมอยู่ ๑ ป้อม มุมป้อมนั้นนี้มีหอรบอยู่ ๔ แห่ง แต่เป็นหอรบเล็กมาก ก่อด้วยอิฐ คูก็หามีไม่ แต่น้ำท่วมอยู่รอบป้อม กำแพงหรือรั้วในระหว่างหอรบนั้นทำด้วยเสาใหญ่ ๆ ปักลงในดิน และมีเคร่าขวางถึงกันเป็นระยะๆ จากข้อความในบันทึกฉบับนี้ บอกให้ทราบว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ ในรัชกาลสมเด็จพระ-นารายณ์มหาราช นั้น ตรงปากแม่น้ำแม่กลอง มีเมืองแม่กลองตั้งอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นเมืองขนาดใหญ่พอสมควร เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองท่าจีนที่ตั้งอยู่ปากแม่น้ำท่าจีน คือใหญ่กว่าเมืองท่าจีน (จังหวัดสมุทรสาครในปัจจุบัน) นอกจากนั้น ยังบอกให้ทราบว่า ขณะนั้นเมืองแม่กลองไม่มีกำแพงเมือง มีแต่ป้อมเล็กๆ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหน้าเมืองเพียงป้อมเดียว และการเดินทางในสมัยกรุงศรีอยุธยา การเดินทางระหว่างกรุงศรีอยุธยากับเมืองตะนาวศรีที่จะสะดวกสบายนั้นต้องลงเรือจากกรุงศรีอยุธยามายังบางกอก ผ่านคลองและแม่น้ำต่างๆ ในคืนแรกจะพักแรมที่เมืองท่าจีน รุ่งขึ้นนั่งเรือผ่านเมืองแม่กลอง ไปพักที่เมืองเพชรบุรี แล้วเดินทางบกผ่านเมืองปราณ เมืองกุย เมืองแคลง แล้วถึงเมืองตะนาวศรี และลงเรือกำปั่นที่นั้น ชื่อ เมืองแม่กลอง คงใช้ต่อมาอีกเป็นเวลานาน แล้วได้เปลี่ยนชื่อ เป็น สมุทรสงคราม แต่ยังหาหลักฐานยืนยันไม่ได้ว่าได้เปลี่ยนเมื่อใด เพราะจู่ๆ ก็พบเมืองสมุทรสงคราม สมุทรปราการ และสาครบุรี อยู่ในบัญชีรายชื่อหัวเมืองฝ่ายตะวันออก (ในรัชกาลที่ ๑ แห่ง ราชวงศ์จักรี) ในหนังสือ คำให้การชาวกรุงเก่า ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ประทานข้อสันนิษฐานไว้ว่า เป็นคำให้การที่เจ้าหน้าที่พม่าซักถาม ได้จากสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรและข้าราชการใหญ่น้อย ที่พม่าเก็บเอาตัวเป็นเชลยไปประเทศพม่า เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๑๐ ซึ่งหมายความว่า เรื่องราวต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนั้น ได้เกิดขึ้นหรือเป็นอยู่ในเมืองไทยก่อน พ.ศ. ๒๓๑๐ แสดงว่า เมืองแม่กลอง ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองสมุทรสงครามก่อน พ.ศ. ๒๓๑๐ นั่นเอง เว้นแต่ไม่ทราบว่าเป็นปีใด และจากหลักฐานในหนังสือกฎหมายตราสามดวงว่าด้วยพระราชกำหนดเก่าระบุไว้เรื่องการเรียกสินไหมพินัยคดีความ ได้ออกชื่อเมืองแม่กลอง เมืองสาครบุรี และเมืองสมุทรปราการ หมายความว่าในปี พ.ศ. ๒๒๖๕ เมืองนี้ยังคงเรียกว่า เมืองแม่กลอง อยู่ แต่ข้อความในพระราชกำหนดเก่าซึ่งตราขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๙ ระบุว่าโปรดเกล้าฯ ให้พระยารัตนาธิเบศท์สมุหมนเทียรบาล เอาตัวขุนวิเศษวานิช (จีนอะปั่นเต็ก) ขุนทิพและหมื่นรุทอักษรที่บังอาจกราบบังคับทูล ขอตั้งบ่อนเบี้ยในแขวงเมืองสมุทรสงคราม เมืองราชบุรีและเมืองสมุทรปราการ ทั้งๆ ที่ได้มีกฎหมายรับสั่งห้ามไว้ก่อนแล้วมาลงโทษ ฉะนั้น จึงเชื่อได้ว่า เมืองแม่กลองได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองสมุทรสงคราม ในระหว่าง พ.ศ. ๒๒๖๕ (รัชกาลสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) กับ พ.ศ. ๒๒๙๙ (รัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ) หลังจากนั้นมาในทางราชการจึงเรียกชื่อเมืองนี้ว่า เมืองสมุทรสงคราม อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ขณะที่เมืองแม่กลอง เมืองปากน้ำและเมืองท่าจีน ยังมีชื่อเป็นภาษาไทยๆ ไม่ได้เปลี่ยนเป็นภาษาสันสกฤต มีคำ สมุทร อยู่ข้างหน้านั้น ปรากฏในกฎหมายตราสามดวงพระอัยการนาทหารหัวเมือง กล่าวถึงตำแหน่งเจ้าเมืองแม่กลอง เมืองปากน้ำและเมืองท่าจีนว่า พระสมุทรสงคราม พระสมุทรปราการ และพระสมุทรสาคร จึงอาจเป็นได้ว่า ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเมืองทั้งสามตามราชทินนามของผู้ปกครองเมือง เช่น เมืองสมุทรสงคราม เมืองสมุทรปราการ และเมืองสมุทรสาคร ประวัติด้านการทหาร จากบันทึกที่ มองซิเออร์เซเบเรต์ ชาวฝรั่งเศสเขียนไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตอนหนึ่งได้ยืนยันว่าเมืองแม่กลองไม่มีกำแพงเมือง มีแต่ป้อมเล็กๆ ตั้งอยู่หน้าเมืองป้อมเดียวเท่านั้น ป้อมดังกล่าวก่อด้วยอิฐ มุมทั้งสี่ของป้อมสร้างเป็นหอรบ ระหว่างหอรบมีรั้วสร้างด้วยเสาใหญ่ๆ ปักกั้น และว่ารอบๆ ป้อมไม่มีคูน้ำ แต่มีน้ำท่วมรอบป้อม ไม่แน่ใจว่าน้ำรอบป้อมนั้นท่วมอยู่เสมอหรือไม่ มองซิเออร์เซเบเรต์ อาจไปเห็นตอนน้ำขึ้นก็ได้ เพราะเมืองแม่กลองอยู่ใกล้ทะเล ระดับน้ำในแม่น้ำแม่กลองย่อมขึ้นๆ ลงๆ ตามการขึ้นลงของระดับน้ำทะเล อย่างไรก็ตามข้อความนี้แสดง ให้เห็นว่า ในสมัยอยุธยานั้นรัฐบาลได้มองเห็นความสำคัญของเมืองแม่กลองในด้านการทหารแล้ว จึงได้สร้างป้อมขึ้นไว้ป้องกันเรือรบข้าศึกที่จะเข้ามาทางปากน้ำแม่กลอง แต่ป้อมนี้สร้างเมื่อใด จะมีกำลังทหารไทยหน่วยใด หรือทหารต่างชาติมาประจำอยู่สักเท่าไร และจะเรียกป้อมนี้ว่า ค่ายสมุทรสงคราม อย่างที่บางท่านกล่าวไว้หรือไม่ยังไม่พบหลักฐาน สำหรับตัวป้อมบางท่านสันนิษฐานว่า น่าจะสร้างใน รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งก็ไม่แน่นักอาจจะสร้างไว้ก่อนหน้านั้นก็ได้ เนื่องจากเมืองสมุทรสงครามหรือเมืองแม่กลองตามที่ชาวบ้านเรียก ตั้งอยู่ห่างจากเส้นทางเดินทัพของพม่าที่จะผ่านเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา ดังนั้นในสมัยโบราณเมืองสมุทรสงคราม จึงได้รับการกระทบกระเทือนจากสงครามโดยตรงน้อยมาก ไม่เหมือนกับเมืองกาญจนบุรี เพชรบุรี และเมืองราชบุรีที่อยู่บนลำน้ำแม่กลองสายเดียวกันหรือประชิดกัน แต่การเกณฑ์คนไปรบร่วมกับกองทัพในกรุงนั้น ชาวแม่กลองต้องร่วมอยู่ด้วยทุกสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามที่เกิดจากพม่ารุกผ่านเข้ามาด่านเจดีย์สามองค์ ด่านสิงขร และจากทางปักษ์ใต้ ผ่านเมืองปราณและเมืองกุย เพราะสมัยนั้นเมืองแม่กลองมีฐานะเป็นเมืองจัตวา หรือหัวเมืองชั้นใน อยู่ในเขตราชธานี เมื่อเกิดสงครามขึ้นชายฉกรรจ์ในเมืองแม่กลองจึงถูกเกณฑ์ไปเข้ากองทัพกรุงศรีอยุธยาตามพระราชกำหนด โดยมีเจ้าเมืองเป็นผู้บังคับบัญชาโดยใกล้ชิดไปด้วยทุกคราว สมัยกรุงธนบุรี ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) พระองค์ได้โปรดให้ยกกองทัพเรือมาตั้งค่ายที่ตำบลบางกุ้ง เรียกว่า ค่ายบางกุ้ง โดยสร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้งให้อยู่กลางค่ายเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นที่เคารพบูชาของทหาร พ.ศ. ๒๓๑๐ หลังจากที่พม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกแล้ว ค่ายบางกุ้งก็ไม่มีทหารรักษาต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดให้จีนรวบรวมพลพรรคมาตั้งเป็นกองทหารรักษาค่าย จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า ค่ายจีนบางกุ้ง พ.ศ. ๒๓๑๑ พระเจ้ากรุงอังวะ ให้เจ้าเมืองทวายยกทัพมาสืบข่าวสภาพบ้านเมืองในสมัยกรุงธนบุรีว่าสงบราบคาบหรือเกิดจลาจล เพราะช่วงนั้นเป็นระยะเวลาที่ไทยเรากำลังผลัดแผ่นดินใหม่ เจ้าเมืองทวายได้ยกพลเดินทัพทางบกเข้ามาทางไทรโยค และให้ยกทัพบกทัพเรือเข้ามาที่ค่ายตอ-กะออม แล้วเดินทัพล้อมค่ายจีนบางกุ้งไว้ นายทัพพม่าครั้งนั้นชื่อ แมงกี้มารหญ่ามีทหารยกมาด้วย ๒ หมื่นคนเศษ คณะกรรมการเมืองมีใบบอกเข้าไปยังกรุงธนบุรี ขอกำลังมาช่วยรบพม่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทราบข่าวศึก โปรดให้พระมหามนตรี (บุญมา) จัดกองทัพเรือ ๒๐ ลำ แล้วพระองค์ทรงเรือพระที่นั่งสุวรรณพิชัยนาวา เรือยาว ๑๘ วา ปากเรือกว้าง ๓ ศอกเศษ พลกรรเชียง ๒๘ คน พร้อมศาสตราวุธ ยกทัพมาถึงค่ายบางกุ้งในเวลากลางคืน และตีกองทัพพม่าจนแตกพ่ายไปสิ้น พ.ศ. ๒๓๑๗ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ยกทัพไปรบพม่าที่ค่ายบางแก้ว เมืองราชบุรี เสด็จโดยเรือพระที่นั่ง กาบยาว ๑๓ ว่า ปากเรือกว้าง ๓ ศอกเศษ พลพาย ๔๐ คน ไพร่พลในกองทัพ ๘,๘๖๓ คน ปืนใหญ่น้อย ๒๗๗ กระบอก ได้หยุดกองทัพพักพล เสวยพระกระยาหารที่วัดกลางค่ายบางกุ้ง เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๑๗ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ครั้นต่อมาถึงแผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ประเทศไทยเกิดพิพาทกับประเทศญวนถึงกับทำสงครามกันด้วยเรื่องเจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทร์การสงครามระหว่างญวนกับไทยในครั้งนั้น ใช้กองทัพบกและกองทัพเรือ และมีข่าวว่าญวนได้ขุดคลองลัดจากทะเลสาบออกมาอ่าวไทย มีท่าทีว่าญวนจะยกกำลังทางเรือมารุกรานไทย พระบาทสมเด็จพระนั่ง-เกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้สร้างป้อมขึ้นตามปากน้ำสำคัญๆ เป็นลำดับมา เริ่มแต่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาก่อน แล้วก็ปากแม่ท่าน้ำจีน ปากแม่น้ำแม่กลอง ปากแม่น้ำบางประกง และปากแม่น้ำจันทบุรี สำหรับป้อมที่ปากแม่น้ำแม่กลองนั้น หนังสือ ตำนานเรื่องวัตถุต่างๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้าง กล่าวว่า โปรดฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) เป็นแม่กองอำนวยการสร้างป้อมขึ้นที่ปากแม่น้ำหน้าเมืองสมุทรสงครามป้อมหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๔ เสร็จแล้วพระราชทานนามว่า ป้อมพิฆาตข้าศึก เจ้ากรมป้อมมีนามว่าหลวงละม้าย แม้นมือฝรั่ง ปลัดป้อมมีนามว่าขุนฉมังแม่นปืน ส่วนป้อมเก่าที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ไม่ทราบเรื่องราว อาจถูกรื้อลงก่อนสร้างป้อมใหม่ก็ได้ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงราชการเห็นว่าป้อมให้ประโยชน์ในการป้องกันน้อยมาก เนื่องจากความก้าวหน้าทางอาวุธยุทโธปกรณ์ จึงได้รื้อป้อมพิฆาตข้าศึกและกำแพงลง จัดตั้งกองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๑ ขึ้นแทน เมื่อ พ.ศ ๒๔๔๙ โดยโปรดให้นายพลเรือเอก พระมหาโยธา (ฉ่าง แสงชูโต) มาอำนวยการสร้างกองโรงเรียนพลทหารเรือดังกล่าวนี้ ใช้เป็นที่ฝึกอบรมทหารใหม่ที่เกณฑ์จากชายฉกรรจ์ในเมืองสมุทรสงคราม จำนวน ๑ ปี แล้วส่งเข้าไปผลัดเปลี่ยนทหารเก่าในกรุงเทพฯ พอถึง พ.ศ. ๒๔๖๕ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่-หัว ได้ยุบกองโรงเรียนพลทหารเรือ กระทรวงทหารเรือได้ยกอาคารและที่ดินให้กระทรวงมหาดไทย สำหรับใช้เป็นศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นต้นมา จนถึง พ.ศ. ๒๔๙๙ จึงได้ทำการปลูกสร้างศาลากลางจังหวัดใหม่ และโอนศาลากลางจังหวัดหลังเดิมให้กระทรวง สาธารณสุขใช้ในกิจการของโรงพยาบาลจังหวัดสมุทรสงคราม มาจนถึงปัจจุบันนี้ ศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม สมัยเมื่อยังอยู่ที่บริเวณวัดใหญ่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จเยี่ยมเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ และได้ลงพระปรมาภิไธยว่า ๒๓ ก.ค. เช้า ๔ โมง มาเที่ยว เห็นเรียบร้อยดี จุฬาลงกรณ์ ปร. สมุดเยี่ยมนี้จังหวัดยังเก็บรักษาไว้ และนอกจากนี้ จังหวัดสมุทรสงครามยังมีพระแสงราชศัตราวุธฝักทองด้ามทอง เก็บรักษาไว้ที่คลังจังหวัดสมุทรสงคราม พระแสงราชศัตราวุธนี้เป็นของพระราชทานในสมัย พระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็นธรรมเนียมว่า เวลาพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปถึงเมืองนั้นๆ เจ้าเมืองจะต้องนำพระแสงราชศัตราวุธนี้มาทูลถวายคืนไว้ตลอดเวลาที่เสด็จประทับอยู่ที่เมืองนั้น เมื่อเสด็จกลับจึงพระราชทานคืนให้เป็นอาญาสิทธิ์ในการปกครองเมืองแก่เจ้าเมืองนั้นต่อไป การเสด็จประพาสเมืองสมุทรสงคราม สมัยโบราณนั้น ที่ว่าการอำเภออัมพวาเป็นของหลวงยังไม่มี นายอำเภอต้องปลูกบ้านเรือนของตนเองอยู่อาศัย แล้วใช้บ้านนายอำเภอนั้นเองเป็นที่ว่าการอำเภอด้วย นายอำเภออัมพวาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสต้นนั้น ปลูกบ้านอยู่ตรงหัวแหลม ตรงข้ามกับวัดท้องคุ้งปัจจุบัน นายอำเภอผู้นั้นมีนามว่า ขุนวิชิตสมรรถการพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๕ ได้เสด็จไปประทับที่บ้านถึงสองครั้งพร้อมด้วยเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย มีเรื่องเล่าอยู่ในจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นว่า ดังนี้ เรือไฟลากล่องมาถึงแม่น้ำใหญ่จวนจะค่ำ หาที่ทำครัวเย็นก็ไม่ได้เหมาะ ล่องเรือลงมาเห็นบ้านแห่งหนึ่งสะอาดสะอ้านดี มีเรือนแพอยู่ริมน้ำ รับสั่งว่า ที่นี่เห็นพอจะอาศัยเขาทำครัวสักครั้งหนึ่ง ได้ให้กรมหลวงดำรง รับหน้าที่ขึ้นไปขออนุญาตต่อเจ้าของบ้าน กรมหลวงดำรงเสด็จขึ้นไต่ถาม ได้ความว่าเป็นบ้านนายอำเภอ นายอำเภอไปจัดฟืนเรือไฟที่ตรงข้ามบ้านอยู่แต่ภรรยา หารู้จักกรมหลวงดำรงไม่ ขออนุญาตทำครัวที่เรือนแพได้ดังที่ปรารถนา พอขนของขึ้นเรือนแพแล้ว กรมหลวงดำรงยังไม่ทันเสด็จลงมาจากเรือนใหญ่นายอำเภอก็กลับมาถึงไม่ทันเหลียวแลพระเจ้าอยู่หัวที่เรือนแพ มุ่งหน้าตรงขึ้นไปถวายคำนับเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยที่เรือนใหญ่ นายอำเภอเพ็ดทูลกรมหลวงดำรงยังไม่ทันได้กี่คำ นายอัษฎาวุธ ก็คลานศอกนำหนังสือรับสั่งไปถวายกรมหลวงดำรงว่า ขอให้เขารู้จักแต่กรมหลวงดำรงพระองค์เดียว ฉันนั่งดูท่านายอัษฎาวุธคลานเข้าเฝ้ากรมหลวงดำรง ทำท่าทางสนิทราวกับเป็นข้าไทย แต่กรมหลวงดำรงนั้นพออ่านหนังสือรับสั่งแล้วดูพระพักตร์สลด เห็นประทับนิ่งไม่รับสั่งว่ากระไร เป็นแต่พยักพระพักตร์ให้นายอัษฎาวุธกลับลงมา อีกสักครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงรับสั่งกับนายอำเภอและกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ถึงราชการงานเมืองอะไรอึงอยู่บนเรือน พวกกองครัวก็ทำครัวกันอยู่ที่เรือนแพ ทำเสร็จแล้วแต่งเครื่องให้คุณหลวงนายศักดิ์ เชิญขึ้นไปตั้งถวาย กรมหลวงดำรงเสวยพร้อมกับเครื่องเคราที่เจ้าของบ้านเขาหาถวาย ครั้นเสร็จแล้วเมื่อจะลงเรือ กรมหลวงดำรงเสด็จกลับจะลงเรือ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านตามลงมาส่งเสด็จรุมมาตุ้ม พวกที่ไปตามเสด็จรับกระแสร์รับสั่งไว้ให้คลานรับเสด็จกรมหลวงดำรงเป็นอย่างข้าในกรม ส่วนพระเจ้าอยู่หัวเสด็จหลบออกไปบังเสียอยู่หลังเก๋งท้ายเรือ พระ-ราชทานอาสน์ไว้สำหรับกรมหลวงดำรงประทับ กรมหลวงดำรงเลยทรงไถลว่าเดือนหงายสบายดี จะยืนอยู่หน้าเก๋ง รีบสั่งให้ออกเรือ แต่พอพ้นหน้าบ้านก็รับสั่งบ่นใหญ่ว่าเล่นอย่างนี้ไม่สนุก แต่คนอื่นพากันหัวเราะกรมหลวงดำรงทั้งลำ พระนามในจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นนี้ กรมหลวงดำรง คือสมเด็จกรมพระยาดำรง ราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ในเวลานั้นยังเป็นกรมหลวงตามเสด็จในฐานะเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยด้วย นายอัษฎาวุธ คือ สมเด็จพระเจ้าฟ้าอัษฎางเดชาวุธ กรมขุนนครราชสีมา พระราชโอรสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามเสด็จด้วย คุณหลวงนายศักดิ์ คือ พระยานิพัทธราชกิจ (อ้น นรพัลลภ) เป็นอันว่าครั้งนี้นายอำเภอไม่ได้เฝ้าพระเจ้าอยู่หัว ทั้งที่เสด็จประทับอยู่บนบ้าน ได้เฝ้าแต่เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทราบภายหลังคงจะเสียใจอยู่เหมือนกัน เสด็จครั้งนี้คือ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๔๗ แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นเมื่อเสด็จประพาสสมุทรสงครามอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ ก็ทรงระลึกถึงขุนวิชิตสมรรถการจึงได้เสด็จไปเยี่ยมเยียนนายอำเภออัมพวาที่บ้านอีกหนหนึ่ง เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๔๔๕ ทรงจดหมายเหตุไว้ว่า แวะเยี่ยมขุนวิชิตสมรรถการ นายอำเภอ ซึ่งได้เคยปลอมไปบ้านเขาเมื่อมาเที่ยวครั้งก่อน การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราช-การที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศ และควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้วการจัดระเบียบการปกครอง ต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่ง ที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีการปกครองดั้งเดิมของไทย คือ ระบบกินเมือง ให้หมดไป การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใดก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวางในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ การเทศาภิบาล ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:29:25 สมุทรสงคราม ๒
การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาคอันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑลรองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัด รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบลและหมู่บ้านจัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็ว แก่ราชการและธุรกิจของประชาชน จึงต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้ การเทศาภิบาล นั้น หมายความรวมว่า เป็น ระบบ การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า การปกครองส่วนภูมิภาค ส่วน มณฑลเทศาภิบาล นั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้ มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตกบัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับ ดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จกระทรวงมหาไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้ เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนคร -ชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี และในปีเดียวกันนั้นเอง ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี ระยอง และตราด พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษเพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑. การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒. เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓. เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔. รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้นได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓. ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฎิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดสมุทรสงคราม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรพัฒนา, ๒๕๒๖. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:30:04 สุพรรณบุรี
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา(๑) อาจแบ่งได้อย่างกว้าง ๆ ๑. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ๒. สมัยประวัติศาสตร์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หมายถึงสมัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จักใช้ตัวหนังสือ การแบ่งอายุของ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ยึดเอาวัตถุที่ใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้เป็นหลัก ในท้องที่จังหวัดสุพรรณบุรี ปัจจุบันได้ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีโดยบังเอิญ และโดยจงใจของผู้ลักลอบขุดค้นแหล่งโบราณคดีต่าง ๆ ทำให้ทราบได้ว่าในท้องที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นแหล่งที่อยู่ของคนก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคหินใหม่ ตอนกลางประมาณ ๓,๘๐๐ ปี ถึง ๒,๗๐๐ ปีลงมาจนถึงยุคโลหะ ตั้งแต่สมัยสำริดและยุคเหล็ก สังคมของมนุษย์พวกนี้เป็นสังคมเกษตรกรรม รู้จักการเพาะปลูก รู้จักทำภาชนะดินเผา ถลุงแร่และทอผ้า บริเวณที่พบโบราณวัตถุมักจะเป็นที่ดอน น้ำท่วมไม่ถึงอยู่ริมน้ำ และอยู่ไม่ห่างไกลจากภูเขามากนัก น่าเสียดายที่ยังไม่เคยมีการขุดค้นทางด้านก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดสุพรรณบุรี หากได้มีการขุดค้นทางด้านนี้แล้วก็จะได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้นอีกอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ดีผู้ที่สนใจเรื่องราวสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่พบในจังหวัดสุพรรณบุรีจะศึกษาได้จากโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่จัดแสดงอยู่ที่ห้องก่อนประวัติศาสตร์ทวารวดี ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อู่ทอง เป็นต้นว่าขวานหินขัด สมัยหินใหม่ พบที่บริเวณเมืองอู่ทองซึ่งมีอายุประมาณ ๓,๘๐๐ ปี ถึง ๒,๗๐๐ ปี (๒) สมัยหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างสมัยก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ หรือสมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ อาณาจักรฟูนัน (ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๖-๑๐) จากการค้นพบโบราณวัตถุหลายชิ้น เป็นต้นว่า ลูกปัด เครื่องประดับทำด้วยทองหรือดีบุก ที่ประทับตราหรือตราขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เหรียญเงินศรีวัตสะ เศษเครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ ที่เมือง อู่ทองซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัตถุที่ค้นพบที่เมืองออกแก้วซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเมืองท่าของอาณาจักร ฟูนัน ในแหลมโคชินไชนา ในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียตนามภาคใต้มาก(๓) วัตถุเหล่านี้ไม่เคยพบในที่อื่นในแหลมอินโดจีน และเชื่อกันว่าเป็นวัตถุของอาณาจักรฟูนัน (พุทธศตวรรษที่ ๖- พุทธศตวรรษที่ ๑๐) โดยเฉพาะ(๔) นอกจากนี้ยังได้ค้นพบประติมากรรม ศิลปอินเดียสมัยอมราวดี (๑) เรียบเรียงโดย ว่าที่ร้อยตรีบันเทิง พูลศิลป์ ศิลปบัณฑิต โบราณคดี หัวหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อู่ทอง (๒) จิรา จงกล, พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี (พระนคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร,๒๕๐๙,)หน้า ๑๔ (๓) สุภัทรดิศ ดิศกุล, ศาสตราจารย์หม่อมเจ้า, ประวัติศาสตร์เอเซียอาคเนย์ ถึง พ.ศ. ๒๐๐๐, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ๒๕๒๒)หน้า ๑๑ (๔) ปัจจุบันวัตถุส่วนหนึ่ง จัดแสดงอยู่ที่ห้องก่อนประวัติศาสตร์-ทวารวดี ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี (ประมาณพุทธศวรรษที่ ๙-พุทธศตวรรษที่ ๑๐) ที่เมืองอู่ทองอีกด้วย เป็นต้นว่า ชิ้นส่วนองค์พระพุทธรูป ยืนอุ้มบาตร ๓ องค์ ชิ้นส่วนองค์พระพุทธรูปปางนาคปรก ดินเผา รูปกินรีสวมศิราภรณ์ปูนปั้น ชิ้นส่วนหินจำหลักลวดลายและที่เจิมกระแจะจันทน์หิน ซึ่งสืบต่อจนถึงสมัยทวารวดี ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ห้องก่อนประวัติศาสตร์-ทวารวดี ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี อาศัยโบราณวัตถุดังกล่าวแล้ว เป็นเหตุให้ศาสตราจารย์จ็อง บ๊วซเซลิเยร์เสนอความเห็นว่า เมืองอู่ทองตั้งมาก่อนอาณาจักรทวารวดี และอาจเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรฟูนัน หรือเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรฟูนันมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๖ ซึ่งเป็นอาณาจักรที่สำคัญที่สุดในเอเซียอาคเนย์ อาณาจักรนี้ในขณะที่เจริญสูงสุดได้ครอบคลุมไปจนถึงประเทศสาธารณรัฐสังคมเวียตนามภาคใต้ เมื่ออาณาจักรฟูนันหมดอำนาจลงแล้ว เมืองอู่ทองจึงได้กลายเป็นเมืองสำคัญขึ้นในอาณาจักรทวารวดี ในพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ สมัยประวัติศาสตร์ หมายถึงสมัยที่มนุษย์รู้จักใช้ตัวหนังสือ สมัยทวารวดี (พศว.ที่ ๑๑ หรือ ๑๒ ถึง ๑๖) อาณาจักรทวารวดีเป็นอาณาจักรประวัติศาสตร์สมัยแรกในประเทศไทย อาณาจักรนี้ตามความเห็นของศาสตราจารย์จ็อง บ๊วซเซลิเยร์ ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีในภาคเอเซียอาคเนย์ ซึ่งกรม ศิลปากรได้เชิญเข้ามาสำรวจโบราณคดีในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้ลงความเห็นว่า เมืองอู่ทองอาจเป็นราชธานีของอาณาจักรทวารวดีอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง การค้นพบแผ่นทองแดงของพระเจ้าหรรษาวรมันที่บริเวณหน้าโรงเรียนอู่ทองศึกษาลัยในเมืองอู่ทอง ซึ่งมีจารึกใช้ตัวอักษรอยู่ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ก็อาจหมายความว่า พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้เป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรกที่เราทราบพระนามกันสำหรับอาณาจักรทวารวดี อาศัยเหตุนี้ทำให้ศาสตราจารย์จ็อง บ๊วซเซลิเยร์ มีความเห็นต่อไปอีกว่า เมืองอู่ทองจึงเป็นเมืองสำคัญในอาณาจักรทวารวดีในพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ นอกจากนั้นศาสตรจารย์จ็อง บ๊วซเซลิเยร์ ได้กล่าวว่า ศิลปสมัยทวารวดีได้ขยายตัวออกไป ๓ ทาง คือ ทางทิศตะวันออก ทางหนึ่งไปยังอำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี โดยผ่านทางดงละครและดงศรี มหาโพธิ์ อีกทางหนึ่งไปยังที่ราบสูงโคราช โดยผ่านทางจังหวัดสระบุรี และไปแยกออกเป็นหลายสายที่แม่น้ำมูลไปยังจังหวัดมหาสารคาม ทางทิศเหนือไปยังจังหวัดลำพูน (อาณาจักรหริภุญไชย) โดยผ่านทางจังหวัดลพบุรี นครสวรรค์ และตาก ทางใต้มีทางลงไปยังแหลมทองโดยผ่านทางจังหวัดราชบุรี และเพชรบุรี ทางเหล่านี้มาบรรจบกันแถบบริเวณเมืองอู่ทอง การที่ทราบได้เช่นนี้ก็โดยอาศัยหลักฐานจากโบราณวัตถุสถานศิลปสมัยทวารวดีที่ค้นพบตามสายทางเดินเหล่านั้น เมืองอู่ทอง อยู่ในเขตอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๔๐ ๒๒' เหนือ และเส้นแวงที่ ๙๙๐ ๕๓' ๓๐" ตะวันออก ตัวเมืองเป็นรูปรีค่อนข้างกลมขนาด ๙๐๐ x ๑.๗๕๐ เมตร ภายในตัวเมืองและบริเวณใกล้เคียงได้พบโบราณวัตถุสถานสมัยทวารวดีเป็นอันมาก ซึ่งเป็นประโยชน์ในการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้แหล่งชุมชนสมัยทวารวดีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในจังหวัดสุพรรณบุรีที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่เมืองโบราณบ้านคูเมือง ในเขตอำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๔๐ ๕๑' เหนือ และเส้นแวงที่ ๑๐๐๐ ๑๓' ตะวันออก ตัวเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมมนขนาด ๕๑๐X๕๖๐ เมตร (๑) สมัยอู่ทอง (พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๒๐) ภายหลังจากที่เมืองอู่ทองกลายเป็นเมืองร้าง เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เนื่องจากกระแสน้ำในแม่น้ำจระเข้สามพันเปลี่ยนทางเดินและเกิดอหิวาตกโรคระบาดขึ้น จึงได้ย้ายเมืองไปตั้งเมืองใหม่ในท้องที่อำเภอเมืองสุพรรณบุรีปัจจุบัน คือ ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๔๐ ๒๘' เหนือ เส้นแวงที่ ๑๐๐๐ ๑๗' ตะวันออก จากภาพถ่ายทางอากาศปรากฏว่า เป็นเมืองขนาด ๑๐๐๐X ๓๖๐๐ เมตร มีอาณาเขตของตัวเมืองคลุมทั้งสองฟากแม่น้ำท่าจีน ซึ่งมีสภาพเป็นเมืองอกแตก มีแม่น้ำท่าจีนอยู่กลางเมืองไหลผ่านจากเหนือลงใต้คูเมืองด้านตะวันออกเริ่มแต่บริเวณหมู่บ้านตาหมันขนานกับแม่น้ำท่าจีนผ่านบ้านน้อยมาหมดลงใกล้กับโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย ส่วนทางตะวันตก คูเมืองผ่านกลางตัวเมืองสุพรรณบุรี สมัยอยุธยาเมืองนี้เข้าใจว่าเป็น เมืองพันธุมบุรี ตามที่ปรากฏชื่อในหนังสือไตรภูมิของเก่า ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ค้นพบซากโบราณสถานขนาดเล็กสมัยทวารวดีตอนปลาย พระพุทธรูปขนาดใหญ่ทำด้วยหิน ๒ องค์ ที่วัดราชเดชะ (ร้าง) และพระบาทพระพุทธรูปสมัยทวารวดีที่วัดพิหารแดง ต่อมาเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาหมู่บ้าน ในบริเวณเมืองสุพรรณบุรีเก่าให้เจริญขึ้น จึงได้มีการตัดถนนผ่านเข้าไปในบริเวณซากโบราณสถานต่าง ๆ และมีการรื้ออิฐจากโบราณสถานต่าง ๆ เอาไปใช้ในการสร้างบ้านเมืองและสถานที่ทางราชการทั้ง ๒ ฝั่ง ที่ตั้งตัวจังหวัดสุพรรณบุรีปัจจุบันรวมทั้งได้มีการรื้ออิฐจากโบราณสถานต่าง ๆ จากวัดร้างหารายได้หลายครั้งหลายหนไปขายตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๘-พ.ศ. ๒๕๐๐) เป็นเหตุให้หลักฐานทางโบราณคดีในสมัยอู่ทอง ในบริเวณตัวเมืองสุพรรณบุรีเก่าและบริเวณใกล้เคียงหมดสภาพไปเป็นอันมาก โบราณสถานที่เหลือรอดจากการกระทำดังกล่าวมีอยู่เพียงประมาณ ๕ % เท่านั้น(๒)เช่น ๑. เจดีย์ในวัดพระอินทร์ (ร้าง) ๑ องค์ ๒. เจดีย์ในวัดเถลไถล (ร้าง) ๑ องค์ ๓. เจดีย์ในวัดพระรูป ๑ องค์ และพระพุทธไสยาสน์ ๑ องค์ ๔. ฐานเจดีย์หลังอุโบสถวัดพระรูป ๑ องค์ ๕. พระปรางค์ในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ๑ องค์ ๖. เจดีย์ในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ๒ องค์ ๗. เจดีย์ในวัดพริก (ร้าง) ๑ องค์ ๘. พระป่าเลไลยก์ ๑ องค์ ๙.เจดีย์ในวัดมรกต (ร้าง) ๑ องค์ ๑๐.เจดีย์ในวัดสนามชัย (ร้าง) ๑ องค์ (๑) ศรีศักร วัลลิโภดม "สุพรรณภูมิอยู่ที่ไหน" ช่อฟ้าปีที่ ๔ ฉบับที่ ๑๖ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ หน้า ๖๒ (๒) สัมภาษณ์ นายสถาน แสงจิตพันธุ์ อาจารย์โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๔ นอกจากนี้ยังมีเจดีย์สมัยอู่ทอง ยังมีอีกองค์หนึ่งที่วัดเขาดิน ตำบลสระแก้ว อำเภอเมือง สุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี สมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐) จากจารึกตอนท้ายในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พ.ศ. ๑๘๒๒-๑๘๔๑) ซึ่งคงสลักขึ้นหลัง พ.ศ. ๑๘๓๕ ได้กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับชัยชนะของพระองค์ได้ว่าอาจปราบฝูงข้าศึก มีเมืองกว้างขวางหลายเมือง รวมทั้งเมืองสุพรรณภูมิด้วย เมืองนี้คงเป็นเมืองสุพรรณบุรีเก่า ที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๔๐ ๒๘' เหนือ และเส้นแวงที่ ๑๐๐๐๑๗' ตะวันออก ที่ได้กล่าวมาแล้วและคงเป็นเมืองเดียวกับสุพรรณภูมิในจารึกหลักที่ ๔๘ วัดส่องคบ จังหวัดชัยนาท ซึ่งเป็นจารึกบนแผ่นทอง อักษรไทย ภาษาไทย มีศักราชระบุแน่ชัดว่าจะอยู่ในพ.ศ. ๑๙๕๑ ในรัชกาลสมเด็จพระรามราชาธิราช จารึกหลักนี้กล่าวถึงเจ้าเมืองขุนเพชญสารว่าได้เคยทำบุญอุทิศบ้านเรือนถวายวัดในเมืองศรีสุพรรณภูมิ และเมืองศรีอโยธยา เพราะระยะเวลาระหว่างจารึกหลักที่ ๑ ตอนที่กล่าวถึงชื่อเมืองสุพรรณภูมิกับ พ.ศ. ๑๙๕๑ นั้น ห่างกันเพียงประมาณ ๑๐๐ ปีเท่านั้น ประกอบทั้งโบราณวัตถุสถานในเขตเมืองสุพรรณภูมิหรือเมืองสุพรรณบุรีเก่าก็มีถึงสมัยสุโขทัยด้วย (๑) เมืองนี้ต่อมาในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้โปรดให้รื้อกำแพงเมืองลงเมื่อ พ.ศ. ๒๐๘๖ เพื่อไม่ให้พม่าข้าศึกใช้เป็นที่มั่นถ้าเสียเมืองสุพรรณบุรีเก่าให้แก่ข้าศึก เมืองสุพรรณบุรีได้ตั้งอยู่ ณ ที่นี้ตลอดสมัยอยุธยาและได้ปรับปรุงเมืองให้มีขนาดเหมาะสมกับฐานะเมืองที่ถูกลดฐานะจากเมืองลูกหลวงมาเป็นหัวเมืองชั้นใน ในการปรับปรุงครั้งนี้ได้ทิ้งบริเวณเมืองทางฟากตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน มาอยู่แค่ฝั่งตะวันออกแต่เพียงฝั่งเดียวเท่านั้น เข้าใจว่าเมืองแห่งนี้คงสร้างขึ้นระหว่างรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กับสมเด็จพระชัยราชาธิราช (ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๘๙) (๒) สมัยลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙) จากศิลาจารึกที่ปราสาทพระขรรค์ ในบริเวณเมืองพระนคร ประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย ซึ่งสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๖๐) ทำให้ทราบว่ามีเมืองโบราณเมืองหนึ่งมีชื่อตามศิลาจารึกว่า "สวรรณปุระ" ซึ่งน่าจะอยู่ที่บริเวณดอนทางพระ หรือเนินทางพระ ตำบลบ้านสระ อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี เพราะได้พบทรากโบราณสถาน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ มีดินอัด อิฐ และศิลาแลงเป็นรากฐาน น่าเสียดายที่โบราณสถานแห่งนี้ถูกทำลายอย่างยับเยิน ก่อนที่หน่วยศิลปากรที่ ๒ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอู่ทอง ดำเนินการขุดแต่งโบราณสถาน ระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๒๒ ถึงวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๒ จึงไม่สามารถพบหลักฐานทางสถาปัตยกรรมได้อย่างเด่นชัด ถึงกระนั้นก็ดี (๑) ศรีศักร วัลลิโภดม "สุพรรณภูมิอยู่ที่ไหน" ช่อฟ้า ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๖ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ หน้า ๕๖ (๒) ศรีศักร วัลลิโภดม "สุพรรณภูมิอยู่ที่ไหน" ช่อฟ้า ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๖ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ หน้า ๕๘ การขุดแต่งที่ดอนทางพระได้พบปฏิมากรรมต่าง ๆ มีทั้งทำด้วยศิลา และปูนปั้นที่สวยงาม ซึ่งเป็นประโยชน์ในการศึกษาทางศิลปประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ของจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นอันมาก(๑) เช่น หน้าภาพรูปอสูรซึ่งเหมือนกับที่ประดับอยู่ที่ฐานปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี หน้าภาพเศียรเทวดาปูนปั้น ประติมากรรมบางชิ้นก็น่าสนใจ และยังไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นรูปอะไร เช่น รูปครุฑยุดช้าง ๒ เชือก รูปบุคคลที่มีลิ้นจุกปาก และจากการที่ได้พบปฏิมากรรมรูปกลีบขนุนปรางค์ เนื่องในการขุดแต่งจึงสันนิษฐานได้ว่า ทรากโบราณสถานที่เนินทางพระหรือดอนทางพระ คงเป็นรูปปรางค์ที่สร้างตามศิลปเขมร แบบบายน หรือสมัยลพบุรี อนึ่งก่อนหน้าที่จะมีการขุดแต่งดอนทางพระดังกล่าวแล้วข้างต้น ที่โบราณสถานดอนทางพระ ก็เคยมีผู้พบโบราณวัตถุต่าง ๆ เป็นต้นว่า พระพุทธรูปปางนาคปรก(๒) พระพิมพ์ พระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร ศิลปสมัยลพบุรี ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธรูปปางนาคปรก นั้นเป็นศิลปแบบเดียวกับที่พบที่วัดปู่บัว(๓) ตำบลพิหารแดง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากศิลปโบราณวัตถุศิลปสมัยลพบุรี มักจะพบอยู่ทั่วไปทุกอำเภอ(๔) ในจังหวัดสุพรรณบุรี ยกเว้นอำเภอด่านช้างเพียงอำเภอเดียว บริเวณที่พบมากกว่าที่อื่นอยู่ในท้องที่ตำบลพิหารแดง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี สมัยอยุธยา ตอนต้นสมัยอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) โปรดให้ตั้งขุนหลวงพะงั่วพี่พระมเหสีขึ้นเป็นพระบรมราชา(๕) ให้อยู่ครองเมืองสุพรรณบุรีเดิมในฐานะเมืองลูกหลวง และเป็นเมืองหน้าด่าน ด้านตะวันตก ซึ่งในสมัยนั้นเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากในการศึกสงคราม จึงมักจะแต่งตั้งพระราชโอรสหรือเชื้อพระองค์ไปเป็นเจ้าเมือง เป็นที่น่าสังเกตว่าในสมัยนั้นมี "เจ้า" ครองเมืองหน้าด่านเพียง ๒ องค์ เท่านั้น คือ พระราเมศวรพระราชโอรสครองเมืองลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศเหนือและขุนหลวงพะงั่วพี่พระมเหสีครองเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านด้านทิศตะวันตก หน้าด่านอีก ๒ เมือง คือ เมืองนครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านด้านทิศใต้ และเมืองนครนายกซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านด้านทิศตะวันออก ไม่มี "เจ้า" ไปเป็นเจ้าเมือง เมืองสุพรรณบุรีในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) นั้น มีกำลังทหารเข้มแข็งมาก มิได้ทำหน้าที่แต่เพียงเมืองหน้าด่านอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเกิดกรณี "ขอมแปรพักตร์" สมเด็จ พระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) โปรดให้พระราเมศวรพระราชโอรสยกกองทัพไปตีเมืองเขมร แต่ฝ่ายเขมรรู้ตัวก่อน ทัพหน้าของพระราเมศวรยังไม่ทันตั้งค่าย พญาอุปราช ราชโอรสพระเจ้าแผ่นดินเขมรก็ (๑) ปัจจุบันแสดงอยู่ที่ห้องลพบุรี ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี (๒) ปัจจุบันอยู่ที่วิมลโภคาราม ในเขตสุขาภิบาลสามชุก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี องค์หนึ่ง (๓) ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ห้องลพบุรี - รัตนโกสินทร์ ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี (๔) มนัส โอภากุล พระฯเมืองสุพรรณ (สุพรรณบุรี มนัสการพิมพ์ ๒๕๒๔) หน้า ๑๕ (๕) รายงานพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรี ปีรัตนโกสินทร์ ศก ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๔๖) ยกทัพโจมตีทัพหน้าแตก มาปะทะทัพหลวง และเสียพระศรีสวัสดิ์ในที่รบ เมื่อความทราบถึงกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) โปรดให้ขุนหลวงพะงั่ว ยกทัพไปช่วยหลาน และ สามารถตีนครธมได้สำเร็จ พร้อมทั้งกวาดต้อนชาวเขมรเข้ามากรุงศรีอยุธยาเป็นอันมาก(๖) ถึงเก้าหมื่นคน(๗) ส่วนปีที่ตีนครธมได้ ขณะนี้ยังไม่เป็นข้อยุติว่าเป็นปีใด อาจเป็นพ.ศ. ๑๘๙๕ หรือ พ.ศ. ๑๙๑๒ ปลายรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ในช่วงเวลาต่อมาเมืองสุพรรณบุรีกับเมืองลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองลูกหลวงด้วยกันต่างก็แข่งขันกันเองและไม่วางใจซึ่งกันและกันดังจะเห็นได้จากตอนที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) สวรรคต สมเด็จพระราเมศวรพระราชโอรสได้ครองราชสมบัติต่อมา แต่ครองได้เพียง ๑ ปี ขุนหลวง พะงั่วก็เสด็จมาจากเมืองสุพรรณบุรี เข้ากรุงศรีอยุธยาสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ครองกรุงศรีอยุธยา พระราเมศวรต้องเสด็จกลับไปครองเมืองลพบุรีดังเดิม ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าทองลันพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่๑ ขึ้นครองราชสมบัติต่อในพ.ศ. ๑๙๓๑ ได้เพียง ๗ วัน พระราเมศวรก็ยกทัพจากเมืองลพบุรีมาจับสมเด็จพระเจ้าทองลัน สำเร็จโทษ แล้วขึ้นครองราชย์บัลลังก์เป็นครั้งที่ ๒ การช่วงชิงอำนาจระหว่างเมืองสุพรรณบุรีกับเมืองลพบุรี ยังคงกระทำสืบเนื่องต่อมาอีก เมื่อสมเด็จพระรามราชาธิราช พระราชโอรสของสมเด็จพระราเมศวรขึ้นครองราชสมบัติแล้วไม่นานนักพระนครอินทร์เจ้าเมืองสุพรรณบุรี ก็ยกทัพเข้ากรุงศรีอยุธยาและถอดสมเด็จพระรามราชาธิราชออกจากราชบัลลังก์แล้วสถาปนาพระองค์เองเป็นสมเด็จพระนครินทราธิราช (พ.ศ. ๑๙๕๒- พ.ศ. ๑๙๖๗)(๘) และทรงโปรดให้เจ้าอ้ายพระยามาครองเมืองสุพรรณบุรีในฐานะเป็นเมืองลูกหลวง ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนครินทราธิราช สวรรคต เจ้าอ้ายพระยา พระราชโอรสผู้ครองเมืองสุพรรณบุรีกับเจ้ายี่พระยา พระราชโอรสผู้ครองเมืองแพรก (เมืองสรรค์) ต่างก็แย่งชิงราชสมบัติ และชนช้างต่อสู้กันที่เชิงสะพานป่าถ่าน และถึงกับสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้างทั้งสองพระองค์ เจ้าสามพระยา พระราชโอรสผู้ครองเมืองชัยนาทจึงขึ้นครองราชย์ เป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ในรัชกาลนี้ได้เลิกประเพณีแต่งตั้งพระราชโอรสไปครองเมืองลูกหลวง ๒ แห่ง หรือหลายแห่ง เพราะเป็นจุดอ่อนเป็นผลเสียหายมากกว่าผลดี จึงทรงตั้งพระราเมศวร พระราชโอรสเป็นพระมหาอุปราชไปครองเมืองพิษณุโลกเพียงแห่งเดียว เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ สวรรคต ในปี พ.ศ. ๑๙๙๑ จึงได้ครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:30:50 สุพรรณบุรี ๒
ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนครินทราธิราช สวรรคต เจ้าอ้ายพระยา พระราชโอรสผู้ครองเมืองสุพรรณบุรีกับเจ้ายี่พระยา พระราชโอรสผู้ครองเมืองแพรก (เมืองสรรค์) ต่างก็แย่งชิงราชสมบัติ และชนช้างต่อสู้กันที่เชิงสะพานป่าถ่าน และถึงกับสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้างทั้งสองพระองค์ เจ้าสามพระยา พระราชโอรสผู้ครองเมืองชัยนาทจึงขึ้นครองราชย์ เป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ในรัชกาลนี้ได้เลิกประเพณีแต่งตั้งพระราชโอรสไปครองเมืองลูกหลวง ๒ แห่ง หรือหลายแห่ง เพราะเป็นจุดอ่อนเป็นผลเสียหายมากกว่าผลดี จึงทรงตั้งพระราเมศวร พระราชโอรสเป็นพระมหาอุปราชไปครองเมืองพิษณุโลกเพียงแห่งเดียว เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ สวรรคต ในปี พ.ศ. ๑๙๙๑ จึงได้ครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-พ.ศ.๒๐๓๑) ทรงเลิกเมืองลูกหลวง และใช้ระบบขุนนางแทน เมืองสุพรรณบุรีจึงมีแต่ ผู้รั้ง ซึ่งไม่มีอำนาจเด็ดขาดแบบการปกครองเมือง แต่หากต้องปรึกษากับกรมการเมือง ซึ่งประกอบด้วยจ่าเมืองแพ่ง และศุภมาตรา ผู้รั้ง และกรมการเมืองจะได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าแผ่นดินไปปกครองเมืองในความควบคุมของราชธานีอย่างใกล้ชิด(๙) (๖) กรมศิลปากร, พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด),หน้า ๒-๓ (๗) กรมศิลปากร, พระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา, (พระนคร, แพร่พิทยา, ๒๕๑๓) หน้า ๗๙ (๘)เป็นพระเจ้าแผ่นดินไทยพระองค์แรกที่เสด็จพระราชดำเนินไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน ครั้งดำรงพระยศเป็นที่พระมหาอุปราช (๙)สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ "ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ" ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๐๘๖ ในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้แห่งพม่า ได้ยกกองทัพใหญ่เข้ามาตีประเทศไทย(๑๐) ด่านแรกที่ตั้งรับกองทัพพม่า คือ เมืองสุพรรณบุรี ซึ่งมีพระสุนทรสงครามเป็นเจ้าเมือง กองทัพทั้ง ๒ ฝ่าย ได้รบพุ่งกันเป็นสามารถแต่เนื่องจากกำลังกองทัพไทยน้อยกว่า จึงทิ้งเมืองสุพรรณบุรีแตกถอยร่นเข้ามากรุงศรีอยุธยากองทัพพม่าก็ยกติดตามตีเข้ามาจนถึงชานกรุงศรีอยุธยา การศึกครั้งนี้กองทัพพม่าไม่สามารถตีหักเอากรุงศรีอยุธยาได้ต้องถอยทัพกลับไป ผลของการสงครามครั้งนี้เป็นเหตุให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระราชดำริเห็นว่าเมืองสุพรรณบุรี แม้จะมีป้อมคูประตูหอรบมั่นคงสักปานใดก็ตาม แต่เมื่อมีศึกใหญ่ยกมาติดเมืองก็ไม่สามารถจะรับไว้อยู่ และเมื่อข้าศึกตีได้แล้วกลับจะใช้เป็นที่มั่นอีกด้วย จึงโปรดให้รื้อป้อมกำแพงเมืองเสียซีกหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๐๘๖(๑๑) เพื่อว่าข้าศึกตีเมืองได้แล้วจะไม่ได้มีโอกาสอาศัยใช้เป็นที่มั่นอยู่ในเมืองได้อีก และในปีเดียวกันนี้โปรดให้แบ่งท้องที่เมืองราชบุรี และเมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครชัยศรี ต่อมา พ.ศ. ๒๐๙๒ พระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่า ได้ยกกองทัพใหญ่ลงมาล้อมกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเตรียมป้องกันกรุงศรีอยุธยาอย่างเต็มที่ แต่กรุงศรีอยุธยามีกำลังน้อยกว่ากองทัพพม่า เหลือกำลังจะป้องกันพระนครจึงยอมเป็นไมตรีและส่งตัวผู้รับประกันพระนคร คือสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราเมศวร พระยาจักรี และพระสุนทรสงครามเจ้าเมืองสุพรรณบุรี ให้แก่พม่าพร้อมกับช้างพลายเผือก อีก ๔ เชือก(๑๒) ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๑๒๗ รัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชา พระนเรศวร พระราชโอรสได้ทรงประกาศอิสรภาพไม่ยอมขึ้นพม่า เป็นเหตุให้พระเจ้านันทบุเรงพิโรธ โปรดให้ยกกองทัพเข้ามาตี กรุงศรีอยุธยา โดยเดินทัพมาทางด่านเจดีย์ ๓ องค์ ทั้งกองทัพบก และกองทัพเรือของพม่า ปะทะกับกองทัพไทยที่เมืองสุพรรณบุรี และพม่าได้ถูกทัพเรือไทยภายใตับังคับบัญชาของเจ้าพระยาจักรี ตีแตกกลับไป ต่อมากองทัพพม่า ยกเข้ามาทางด่านเจดีย์ ๓ องค์ ผ่านเมืองกาญจนบุรี เข้าตีกรุงศรีอยุธยา ทางสุพรรณบุรีอีก ๒ คราว คือ พ.ศ. ๒๑๓๓ และ พ.ศ. ๒๑๓๕ การรบทั้ง ๒ ครั้ง สมเด็จพระ นเรศวรมหาราชทรงเป็นแม่ทัพเนื่องจากทรงชำนาญภูมิประเทศ และยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง จึงทรงกำหนดพื้นที่ตำบลตะพังกรุ เมืองสุพรรณบุรีเป็นสนามรบทั้ง ๒ ครั้ง ครั้งแรก พ.ศ. ๒๑๓๓ ปีแรกรบกันในท้องที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวคือเมื่อพระมหาอุปราชายกกองทัพผ่านด่านเจดีย์สามองค์เข้ามาแล้ว ก็เดินทัพผ่านแดนป่าสูงที่เต็มไปด้วยเทือกเขาใหญ่ของเมืองกาญจนบุรี(๑๓) เลียบลงมา ตามแนวลำน้ำแควน้อยและแควใหญ่ เมื่อพ้นแดนป่าสูงก็จะถึงพื้นที่สนามรบดอนตะพังกรุตอนใต้ที่บริเวณบ้านทวน(๑๔) แล้วตั้งค่ายใหญ่ประชุมทัพปิดปากทางเข้าแดนป่าสูง ซึ่งเป็นการรักษาเส้นทางสำคัญในการเดินทัพของฝ่ายพม่าไว้แล้วจึงจะเดินทัพตามพื้นที่ดอนขึ้นสู่ทิศเหนือผ่านบ้านจระเข้สามพัน บ้านโข้ง เพื่อไปข้ามลำน้ำที่แม่น้ำท่าคอยเข้าสู่พื้นที่ดอนฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นส่วนเหนือของแดนลุ่มพลี เมืองสุพรรณบุรี แล้วจึงจะเข้าตีเมืองสุพรรณบุรี หรือไปป่าโมกก็จะเข้าตีกรุงศรีอยุธยาได้สะดวกทั้ง (๑๐)ประพัฒน์ ตรีณรงค์ ศึกษาและเที่ยวในเมืองไทย (พระนคร, เลี่ยงเซียง ๒๕๐๒ หน้า ๑๒๘๐) (๑๑) กรมศิลปากร, พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา (พระนคร, อักษรสัมพันธ์ ๒๕๐๕ หน้า ๑๔๔) (๑๒) เล่มเดียวกัน หน้า ๑๕๔ -๑๕๘ (๑๓) สถาน แสงจิตพันธุ์ ตอบคำถามของกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พิมพ์ดีด ๒๕๒๐ (๑๔) คืออำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ๒ แห่ง ถ้าข้ามลำน้ำต่ำลงมากว่านั้นจะเดินทัพไม่ได้ เพราะจะติดพื้นที่หล่มเลนลุ่มพลีตลอดไปจนถึงกรุงศรีอยุธยา ขณะที่กองทัพพระมหาอุปราชา เดินทัพมาตามเส้นทางเดิมที่เคยยกทัพมาครั้งก่อน ๆ ดังกล่าวแล้วข้างต้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชซึ่งทรงจัดเจนภูมิประเทศอยู่แล้วก็ทรงนำกองกำลังทหารจัดซุ่มอยู่ในป่าทึบบริเวณเชิงเทือกเขาพระยาแมน(๑๕) ตอนเหนือบ้านจระเข้สามพัน ตลอดแนวขุนเขาซึ่งพื้นที่เป็นคอคอดของสนามรบ มีเทือกเขาใหญ่อยู่ทางทิศตะวันตก มีลำน้ำจระเข้สามพันอยู่ทางทิศตะวันออก สภาพภูมิศาสตร์บีบกระหนาบพื้นที่ซึ่งเป็นเส้นทางเดินทัพให้เป็นช่องแคบอยู่ระหว่างกลางพระองค์ทรงพระราชดำริที่จะบุกตีกองทัพพม่า ขณะผ่านช่องแคบให้ถอยร่นไปแตกทัพที่ริมแม่น้ำจระเข้สามพันให้จงได้ ขณะที่กองทัพพม่าผ่านเข้าช่องแคบเข้ามาด้วยความประมาท เพราะไม่เคยต้องกลยุทธในสนามรบบริเวณนี้มาแต่ก่อน จึงถูกกองกำลังทหารไทยโจมตีถึงกับแตกพ่ายยับเยินที่ริมลำน้ำ จระเข้สามพันหมดทุกทัพ การรบครั้งนี้ถึงขั้นตะลุมบอน เกือบจับองค์พระมหาอุปราชาได้ พระยาพสิม พระยาพุกาม แม่ทัพพม่าได้แก้ไขเอาพระมหาอุปราชาหนีรอดไปได้ พระยาพุกามตายในที่รบพร้อมกับไพร่พลเป็นจำนวนมาก ทหารไทยจับตัวพระยาพสิมได้ พร้อมทั้งยึดได้ช้างม้าและเครื่องศาตราวุธเป็นอันมาก พระมหาอุปราชาและทหารพม่ารอดตายได้แตกพ่ายหนีกลับไป นอกราชอาณาจักรด้วยความเกรงกลัวในพระบรมราชานุภาพของสมเด็จพระนเรศวรมหารช ต่อมาพระมหาอุปราชา ยกกองทัพเข้ามาตีประเทศไทยอีก เป็นครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๕ ครั้งนี้ได้ยกกองทัพมาตั้งค่ายใหญ่ประชุมทัพปิดปากทางเข้าแดนป่าสูงที่บริเวณบ้านทวนตอนใต้ของสนามรบ เช่นเดียวกับครั้งก่อนแต่เนื่องจากพระมหาอุปราชายังเข็ดขยาดช่องแคบที่เป็นคอคอดของสนามรบดอนตระพังกรุอยู่ เพราะเคยได้รับบทเรียนที่มีค่าอย่างสูงถึงกับเสียชีวิตทหารทั้งกองทัพมาแล้ว จึงได้ให้กำลังส่วนใหญ่ยกล่วงหน้าขึ้นไปสำรวจช่องแคบ และพื้นที่ของสนามรบจากตอนใต้ขึ้นสู่ตอนเหนือ ทหารพม่าสำรวจพื้นที่ขึ้นไปและตั้งทัพหน้าอยู่ถึงบ้านโข้ง สืบทราบว่ากองทัพไทยมีกำลังน้อยกว่าได้ยกมาขัตตาทัพอยู่บนเส้นทางยุทธศาสตร์ พระมหาอุปราชาจึงยกกองทัพหลวงขึ้นสู่พื้นที่ด้านเหนือของสนามรบ เพื่อจะข้ามลำน้ำท่าคอย แล้วนำกำลังส่วนใหญ่ที่มีจำนวนมากกว่าเข้าซุ่มตีกองทัพไทยให้แตกแล้วหวังจะบุกตามตีให้ถึงกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงมีพระราชดำริว่า ช่องแคบคอคอดของสนามรบดอนตระพังกรุนั้น กองทัพพม่ารู้เท่าทันในยุทธวิธีแล้ว จึงวางแผนออกตั้งค่ายหลวงประชุมทัพอยู่ที่บริเวณตระพังน้ำหนองสาหร่ายทางตอนเหนือของสนาม เพื่อปิดทางเข้าออกแดนลุ่มพลีของกรุงศรีอยุธยาไว้ โดยจัดกองทัพซุ่มอยู่ในป่าทึบเหนือบริเวณแม่น้ำท่าคอยคอยท่ารอจังหวะให้กองทัพพระมหาอุปราชายกข้ามลำน้ำมาเมื่อใด จึงจะบุกเข้าโจมตีกองทัพพม่าให้ถอยร่นลงไป แตกทัพที่ริมแม่น้ำอีกครั้งหนึ่งให้จงได้ แต่พระยาศรีไสยณรงค์ไปทำกลแตกเสียที่บ้านดอนระฆัง โดยนำกองสอดแนมเข้าโจมตีทัพหน้าของพม่าอย่างอาจหาญเป็นเหตุให้พม่าไหวตัวเสียก่อน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงทรงเปลี่ยนแผน (๑๕) คือเทือกเขาใหญ่ นับแต่เขาถ้ำเสือ-สุสานสุขนิรันทร์-น้ำตกพุม่วง-เขาพระ ปัจจุบัน ใหม่ แต่เนื่องจากเวลากระชั้นชิดท่ามกลางป่ารกทึบเช่นนั้นทำให้ทหารทุกกองทัพไม่สามารถปฏิบัติการรบได้โดยพร้อมเพรียงกันเพื่อแก้ปัญหา พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยกระทำยุทธหัตถีทันทีในขณะที่กองทัพพระมหาอุปราชาไล่ติดตามทหารพระยาศรีไสยณรงค์เข้ามาใกล้บริเวณหนองสาหร่ายและพระองค์ทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชา ขาดสะพายแล่ง ทิวงคตบนคอช้างพระที่นั่งและกองทัพไทยส่วนหนึ่งได้รุกไล่ตามตีกองทัพพม่าลงไปจนสิ้นเขตพื้นที่สนามรบดอนตระพังกรุ และเข้าตีค่ายใหญ่ทางตอนใต้ของสนามรบแตกยับเยินไปทหารพม่าตายถึงประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน ที่บาดเจ็บหนีกลับไปเป็นอันมาก ทหารไทยจับทหารพม่าได้เป็นอันมากและยึดได้ช้าง ม้า ตลอดจนเครื่องศาสตราวุธเป็นอันมาก ตั้งแต่นั้นมาพม่าก็เข็ดขยาดไม่กล้ายกกองทัพเข้ามาตีประเทศไทยเป็นเวลานานถึง ๑๖๕ ปี ต่อมาถึงรัชกาลพระเจ้าเอกทัศน์ ก่อนจะเสียกรุงไม่นานนัก ได้เกิดสงครามกับพม่าที่บริเวณเมืองสุพรรณบุรีอีกครั้งหนึ่ง(๑๖) สงครามครั้งนี้กองทัพไทยพ่ายแพ้ยับเยินเจ้าพระยาราชเสนาแม่ทัพถูกทหารพม่าไล่ติดตามและพุ่งด้วยหอกขัดถึงอนิจกรรม บนหลังช้าง พระยายมราช ก็ถูกหอกขัดของทหารพม่าบาดเจ็บหลายแห่ง แต่หนีเอาตัวรอดกลับไปได้ ส่วนกองทัพไทยก็แตกพ่ายหนีกองทัพพม่าอย่างไม่เป็นขบวน สมัยธนบุรี (พ.ศ. ๒๓๑๑-๒๓๒๔) เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงธนบรีแล้ว ก็ได้ทำสงครามกับพม่าอีกหลายครั้ง แต่เนื่องจากเมืองหลวงตั้งอยู่ทางทิศใต้ ห่างจากพระนครศรีอยุธยาซึ่งเป็นเมืองหลวงเดิมประมาณ ๗๐ กิโลเมตร และเมืองสุพรรณบุรีก็อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระนครศรีอยุธยาประมาณ ๘๐ กิโลเมตร พม่าซึ่งเดินทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยกกองทัพย้อนขึ้นไปตีเมืองสุพรรณบุรีซึ่งอยู่เหนือกรุงธนบุรีขึ้นไปอีกประมาณ ๑๕๐ เมตร ถ้าพม่าจะตีเมืองหลวงของไทยก็คงจะต้องยกกองทัพตัดตรงเข้าเมืองหลวงเลยทีเดียว หรือถ้าจะยกกองทัพเข้ามาทางใต้ ก็คงตัดตรงจากเมืองราชบุรี ผ่านเมืองสมุทรสงครามเข้ามา เมืองสุพรรณจึงไม่อยู่ในเขตสนามรบในสมัยธนบุรีปรากฏว่ามีการรบกันประปรายในเขตเมืองสุพรรณบุรีเพียงครั้งเดียวเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๙ คือในคราวที่พม่ายกกองทัพมาทางเหนือ เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงเสด็จยกทัพหลวงขึ้นไปเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๓๑๙(๑๗) เพื่อขับไล่กองทัพพม่าซึ่งกำลังรบติดพันอยู่กับกองทัพไทยที่เมืองนครสวรรค์ ครั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกกองทัพไปถึงเมืองชัยนาท กองทัพพม่าทราบข่าวก็ตกใจละทิ้งค่ายที่เมืองนครสวรรค์หลบไปทางเมืองอุทัยธานีและเดินทัพเข้ามาทางเมืองสรรค์บุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกกองทัพติดตามตีกองทัพพม่าจนถึงทุ่งบ้านเดิมบางนางบวช เมืองสุพรรณบุรี และกองทัพทั้ง ๒ ฝ่าย ได้ต่อสู้กันเป็นสามารถที่ทุ่งนั้น ผลการรบครั้งนั้นกองทัพพม่าถูกตีแตกอย่างพ่ายยับเยินกระเจิดกระเจิงไป ต่อจากนั้นก็ไม่มีการรบกับพม่าในเขตเมืองสุพรรณบุรี อีกเลย (๑๖) ตรี อมาตยกุล เรื่องจังหวัดสุพรรณบุรี (ธนบุรี: เจริญรัตน์การพิมพ์ ๒๕๑๓)หน้า ๑๔-๑๕ (๑๗) เสถียร พันธรังษี "ความเป็นมาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่เมืองชัยนาท" บทความในการสัมมนาโบราณคดีที่จังหวัดชัยนาท จัดโดย กรมศิลปากร ๒๐-๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ (อัดสำเนา) สมัยรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ปัจจุบัน) ในตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เข้าใจว่าเมืองสุพรรณบุรีได้ย้ายที่ตั้งเมืองมาตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกแม่น้ำท่าจีน จะย้ายมาแต่ พ.ศ. ใด ไม่สามารถหาหลักฐานได้แน่นอน เมืองที่ย้ายมาตั้งใหม่ในที่ตั้งปัจจุบันที่ไม่ได้ทำเป็นเมืองป้อม กล่าวคือ ไม่มีค่าย คู หอรบ เหมือนอย่างเมืองเก่า เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๘ เจ้าอนุเมืองเวียงจันทร์ลงมาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวช่วยในการพระบรมศพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ผู้คนลงมามาก จึงทรงพระราชดำริแล้วให้ขอแรงไพร่พลที่มาด้วยให้มาตัดต้นตาลที่เมืองสุพรรณบุรี ลากเข็นลงมาไม่กำหนดจำนวนจะไปใช้ที่เมืองสมุทรปราการเพื่อทำป้อมปืนใหญ่ เจ้าอนุได้ให้ราชวงศ์คุมคนมาดำเนินการ(๑) ในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏว่าเมืองที่ย้ายมาตั้งใหม่นี้ยังคงเป็นป่าเปลี่ยวอยู่โดยมาก (๒) สุนทรภู่ได้เดินทางเรือผ่านมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙ แล้วได้เขียนในโครงการนิราศสุพรรณของท่านว่า ตวันเยนเห็นหาดหน้า ถ้ามี เมืองสุพรรณบุรีย รกร้าง ศาลตั้งฝั่งนที ที่หาด ลาดแฮ โรงเล่าเข้าต้มค้าง ของคุ้งหุงสุราฯ (๑๓๓) ผู่รั้งตั้งรั้วรอบ ขอบราย เปนหมู่ดูงัวควาย ไขว่บ้าน สาวสาวเหล่านุ่งลาย แล้วหม่อม มอมเอย จ้ำม่ำล่ำสันสอ้าน อาบน้ำปล้ำปลาฯ (๑๓๔) กรมการบ้านตั้งตลอด ตลิ่งเตียร ต่างต่อล้อเลื่อนเกียร เก็บไว้ เรือริมหาดดาษเดียร รดะปัก หลักแฮ ของเหล่าเชาสวนใต้ แต่งตั้งนั่งซาย ฯ (๑๓๕) ฝั่งซ้ายฝ่ายฟากโพ้น พิสดาร มีวัดพระรูปบูราณ ท่านสร้าง ที่ถัดวัดประตูสาร สงสู่ อยู่เอย หย่อมย้านบ้านขุนช้าง ชิดข้างสวนบันลัง ฯ (๑๓๖) (๑) กรมศิลปากร พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับหอสมุดแห่งชาติ(ธนบุรี คลังวิทยา ๒๕๐๖ หน้า ๒๙-๓๐ )รัชกาลที่ ๓ และที่ ๔ ฉบับของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) (๒) ตรี อมาตยกุล เรื่องจังหวัดสุพรรณบุรี (ธนบุรี เจริญรัตน์การพิมพ์ ๒๕๑๓)หน้า ๑๖ การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินและได้ทรงจัดราชการบริหารส่วนกลางโดยมีกระทรวงมหาดไทยเป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและต่อมาได้โปรดฯ ให้ควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว ต่อมาก็ได้จัดตั้งราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น ได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองที่สำคัญยิ่งในการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลส่วนกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และเปลี่ยนระบบการปกครองจากระบบกินเมืองซึ่งเป็นประเพณีปกครองดั้งเดิมให้หมดไป การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมาและได้จัดตั้งตามลำดับ ดังนี้ คือ พ.ศ. ๒๔๓๗ จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๔ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา และมณฑลราชบุรี พ.ศ. ๒๔๓๘ จัดตั้งมณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ มณฑลกรุงเก่า และมณฑลภูเก็ต พ.ศ. ๒๔๓๙ จัดตั้งมณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ จัดตั้งมณฑลไทรบุรีและมณฑลเพชรบูรณ์ พ.ศ. ๒๔๔๓ เปลี่ยนแปลงสภาพมณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ซึ่งเป็นมณฑลเก่าก่อนจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพื่อการประหยัด พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี พ.ศ. ๒๔๕๐ จัดตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ ประเทศไทยจำต้องยอมยกมณฑลไทยบุรี ให้แก่ ประเทศ อังกฤษ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินประเทศอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. ๒๔๕๕ แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล คือ มณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ สำหรับเมืองสุพรรณบุรี เป็นเมืองอยู่ในเขตมณฑลนครชัยศรี ซึ่งมณฑลนี้ประกอบไปด้วยเมืองนครชัยศรี ,เมืองสุพรรณบุรี และเมืองสมุทรสาคร การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:31:05 สุพรรณบุรี ๓
ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดไม่เป็นนิติบุคคล มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด และได้ยุบเลิกมณฑล เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น ต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินบัญญัติให้ฐานะของจังหวัดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือ ๑. ฐานะเป็นนิติบุคคล ๒. อำนาจบริหารในจังหวัด แต่เดิมตกอยู่แก่คณะกรรมการจังหวัดซึ่งเป็นคณะบุคคลเปลี่ยนแปลงมาอยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัดเพียงคนเดียว ๓. เปลี่ยนแปลงฐานะคณะกรรมการจังหวัด ซึ่งเดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดเป็นคณะที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ สำหรับจังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด และมีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติและให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ปัจจุบันจังหวัดสุพรรณบุรี มี ๙ อำเภอ และ ๑ กิ่งอำเภอ คือ ๑. อำเภอเมืองสุพรรณบุรี ๒. อำเภอบางปลาม้า ๓. อำเภอสองพี่น้อง ๔. อำเภอเดิมบางนางบวช ๕. อำเภอศรีประจันต์ ๖. อำเภอดอนเจดีย์ ๗. อำเภอสามชุก ๘. อำเภอด่านช้าง ๙. อำเภออู่ทอง ๑๐. กิ่งอำเภอหนองหญ้าไซ ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดสุพรรณบุรี . สุพรรณบุรี : มนัสการพิมพ์ , ๒๕๒๘ . หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:32:17 ตราด
สมัยก่อนอยุธยา เรื่องราวเกี่ยวกับจังหวัดตราด ที่ปรากฏจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ ซึ่งรวบรวมได้จากแหล่งต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไปมีอยู่น้อย ไม่พอที่จะเรียบเรียงให้เป็นประวัติที่สมบูรณ์ได้ ยิ่งกว่านั้นหลักฐานบางส่วนก็คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ดังนั้นประวัติศาสตร์ก่อนสมัยอยุธยาจึงไม่มี หากอนุชนรุ่นหลังได้ค้นคว้าและมีหลักฐานใดทางประวัติศาสตร์เพิ่มเติม ก็ชอบที่จะเรียบเรียงเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในภายหลังได้ สมัยอยุธยา ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากแผนที่สมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งไม่แน่ชัดว่า จังหวัดตราดเป็นเมืองมาแต่เมื่อใด เพียงมีชื่อว่า "บ้านบางพระ" ตามหลักฐานที่พระบริหารเทพธานีเขียนไว้๑ อ้างว่าในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๘) ได้มีการแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ในราชอาณาจักรเป็นเมืองเอก โท ตรี และจัตวา ซึ่งเป็นเมืองชั้นในและชั้นกลาง โดยได้จัดแยกออกเป็น ๓ ส่วนคือ หัวเมืองขึ้นเจ้าพระยาจักรีใช้ตราราชสีห์ หัวเมืองขึ้นเจ้าพระยามหาเสนาบดีใช้ตราคชสีห์ และหัวเมืองขึ้นเจ้าพระยาศรีธรรมราชเดโชชาติ ใช้ตราบัวแก้ว ซึ่งในทำเนียบหัวเมืองในสมัยนั้น มีชื่อ "ตราด" ปรากฏอยู่ว่าเป็นหัวเมืองขึ้นต่อเจ้าพระยาศรีธรรมราชเดโชชาติด้วยเมืองหนึ่ง จากหลักฐานนี้อาจแสดงให้เห็นเป็นเบื้องต้นได้ว่า เมืองตราดซึ่งเป็นหัวเมืองชายทะเลนั้น สังกัดอยู่ในฝ่ายการต่างประเทสซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการคลังด้วย ในเรื่องเดียวกันนี้ หลวงวิจิตรวาทการ๒ รวบรวมหลักฐานให้เห็นว่า ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) นั้น ได้มีการจัดแบ่งบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น ๒ ส่วนคือ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยส่วนกลางจัดแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายทหาร มีสมุหพระกลาโหมเป็น ผู้บังคับบัญชา และฝ่ายพลเรือนมีสมุหนายกเป็นผู้บังคับบัญชา สำหรับพลเรือนได้จัดแบ่งรูปการบริหารออกเป็นจตุสดมภ์ (มีรูปเป็นกระทรวง) คือ นครบาลบดี ทำหน้าที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เกษตราธิบดี ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทำมาหากินของราษฎร โกษาธิบดี ทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจการคลังและกิจการต่างประเทศ และธรรมาธิบดีหรือธรรมาธิกรณ์ ทำหน้าที่เกี่ยวกับราชการภายในพระบรมมหาราชวังและการพิจารณาคดีความ ในด้านการบริหารส่วนภูมิภาค ได้จัดแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ออกเป็นหัวเมืองเอก โท ตรี และจัตวา มีผู้ว่าราชการเมืองซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้ไปควบคุมดูแล จากหลักฐานที่หลวงวิจิตรวาทการรวบรวมไว้นี้ ปรากฏว่ามีชื่อ "ตราด" เป็นหัวเมืองขึ้นตรงต่อโกษาธิบดี ซึ่งหลักฐานนี้ปรากฏตรงกันกับหลักฐานที่พระบริหารเทพธานีอ้างไว้ แสดงให้เห็นว่า "ตราด" น่าจะเป็นเมืองเก่าแก่มากกว่า ๓๐๐ ปีเมืองหนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยที่สุดจะต้องเป็นชื่อที่ปรากฏในทำเนียบหัวเมืองมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้นแล้ว จากหลักฐานนี้ต่อมายังไม่ปรากฏเรื่องราวของเมืองตราดอยู่ในเอกสารใด ๆ อีก จนกระทั่งถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งเป็นระยะที่กำลังเกิดกลียุคขึ้น เพราะใกล้เสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า สมัยกรุงธนบุรี ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ปีเดียวกันกับที่กรุงศรีอยุธยาเกิดความคับขันในบ้านเมือง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในสมัยที่เป็นนายทัพอยู่ในกรุงศรีอยุธยานั้น เห็นว่า กองทัพไทยอ่อนกำลังลงและไม่มีทางที่จะต่อสู้กองทัพพม่าที่ล้อมไว้ได้แล้ว จึงได้รวบรวมไพร่พลตีฝ่าลงล้อมออกมาได้ และได้รวบรวมไพร่พลจำนวนหนึ่งทางทิศตะวันออก โดยได้ยกกำลังเข้ามาถึงเมืองตราดด้วยมีปรากฏหลักฐานตามพระราชพงศาวดารว่า "...หลังจากพระเจ้าตากตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว (เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๗ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐) ก็ได้เกลี้ยกล่อมผู้คนให้กลับคืนมายังภูมิลำเนาเดิม...ครั้นเห็นว่าเมืองจันทบุรีเรียบร้อยอย่างเดิม จึงยกกองทัพลงเรือไปยังเมืองตราด พวกกรมการและราษฎรก็พากันเกรงกลัว ยอมอ่อนน้อมโดยดีทั่วทั้งเมือง และขณะนั้นมีสำเภาจีนมาทอดอยู่ที่ปากน้ำเมืองตราดหลายลำ พระเจ้าตากให้เรียกนายเรือมาเฝ้า พวกจีนขัดขืนแล้วกลับยิงเอาข้าหลวง พระเจ้าตากทราบก็ลงเรือที่นั่งคุมเรือรบลงไปล้อมสำเภาไว้แล้วบอกให้พวกจีนมาอ่อนน้อมโดยดี พวกจีนก็หาฟังไม่ กลับเอาปืนใหญ่น้อยระดมยิง รบกันอยู่ครึ่งวันพระเจ้าตากก็ตีได้เรือสำเภาจีนทั้งหมด ได้ทรัพย์สิ่งของเป็นของกองทัพเป็นอันมาก พระเจ้าตากจัดการเมืองตราดเรียบร้อยแล้ว ก็กลับขึ้นมาตั้งอยู่ ณ เมืองจันทบุรี..."๓ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๓๑๓ เขมรยกทัพมาตีเมืองตราดซึ่งเป็นระยะที่พระเจ้ากรุงธนบุรีกำลังยกทัพไปตีเชียงใหม่ แต่ในที่สุดทัพเขมรก็ถูกตีพ่ายไปปรากฏหลักฐานตอนนี้ว่า " พ.ศ. ๒๓๑๓ เขมรยกทัพมาตีเมืองทุ่งใหญ่ (ตราด) เมืองจันทบุรี ในระหว่างที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ แต่กองทัพเมืองจันทบุรีได้ตีกองทัพเขมรแตกพ่ายไป "๔ จากข้อความนี้จะเห็นว่ามีคำว่า "เมืองทุ่งใหญ่" ซึ่งพระบริหารเทพธานีได้แสดงอ้างอิงว่า คือ "ตราด" ทำให้เห็นได้ว่า "ทุ่งใหญ่" กับ "ตราด" นั้นคือเมืองเดียวกัน จากหลักฐานนี้ถ้าพิจารณาถึงสภาพในยุคหลัง ๆ ต่อมาแล้ว คำว่า "ทุ่งใหญ่" คือชื่ออำเภอทางเหนือของเมืองตราด ซึ่งติดต่อกับจันทบุรี แสดงให้เห็นว่าเขมรคงจะยกทัพมาทางตอนเหนือของเมืองตราดแล้วตีเรื่อยไปจนถึงเมืองจันทบุรีนั่นเอง คงจะมิได้ยกมาโดยทางเรือแต่ประการใด ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๑๔ กองทัพเขมรก็ยกทัพมาตีเมืองตราดอีก ปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่า "ครั้นปีเถาะ ตรีศก จุลศักราช ๑๑๓๓ นักพระโสตเป็นใหญ่ในเมืองเปียมมีคุณแก่ พระนารายณ์ราชา แต่ยังชื่อนักองตนมาแต่ก่อน นักองตนยอมเป็นบุตรเลี้ยง ครั้นนักองตนมีไชยชนะพระรามราชา ได้เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวแล้ว นักพระโสตทัตก็มีความกำเริบ เกณฑ์ไพร่พลแขวงเมืองบันทายมาศและเมืองกรังเป็นกองทัพมาตีเมืองตราด เมืองจันทบุรี กวาดต้อนเอาครอบครัวไปเป็นอันมาก เจ้ากรุงธนบุรีทรงพระพิโรธจึงดำรัสให้จัดกองทัพบก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) เวลานั้นดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยาจักรี ได้เป็นแม่ทัพยกไปทางเมืองปราจีนบุรี "๕ การยกไปตีเขมรของเจ้าพระยาจักรีในครั้งนี้ ปรากฏว่าได้ตามตีเขมรต่อไปจนได้เมืองบันทายมาศบริบูรณ์ และบาพนมอีกด้วย จากประวัติศาสตร์ตอนนี้ แสดงให้เห็นว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้รวบรวมผู้คนในเมืองตราดได้อย่างสิ้นเชิง โดยพระองค์ ได้ปราบพวกจีนที่ขัดขืนสำเร็จ แต่ไม่แน่ชัดว่าพระองค์ตั้งทัพอยู่ที่ใดตอนหนึ่งของประวัติศาสตร์ช่วงนี้เองสันนิษฐานว่า กองทัพของพระเจ้ากรุงธนบุรี พักไพร่พลอยู่ที่วัดโยธานิมิต (วัดโบสถ์) และเพื่อเป็นการเทอดพระเกียรติแด่อดีตพระมหากษัตราธิราช ทางราชการได้ประกาศยกย่องวัดโยธานิมิตเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันและเป็นพระอารามหลวงวัดเดียวในจังหวัด นับว่าใช้อุโบสถเก่าของวัดนี้เป็นที่ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ของบรรดาข้าราชการในอดีต และมีการขึ้นบัญชีเป็นพระอุโบสถเก่าโบราณสถานด้วย สมัยรัตนโกสินทร์ เมืองตราดสมัยแรก การร่วมรบในกองทัพในสมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่๓ (พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๙๔) เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ มีการแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ในพระราชอาณาจักรใหม่ขึ้นต่อฝ่ายต่าง ๆ เมืองตราดเป็นเมืองหนึ่งซึ่งขึ้นตรงต่อ "กรมท่า" ปรากฏข้อความตอนนี้ว่า " จึงให้แบ่งหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกขึ้นต่อกรมท่า ๑๙ เมือง กรมมหาดไทยรวม ๒๐ เมือง กับเมืองขึ้นมหาดไทย ยังคงเมืองขึ้นกรมท่าอีก ๘ เมือง คือ เมืองนนทบุรี ๑ เมืองสมุทรปราการ ๑ เมือง สาครบุรี ๑ เมืองชลบุรี ๑ เมืองบางละมุง ๑ เมืองระยอง ๑ เมืองจันทบุรี ๑ เมืองตราด ๑ "๖ แสดงให้เห็นว่าเมืองตราดยังคงสังกัดอยู่กับฝ่ายกิจการต่างประเทศและการคลัง ในฐานะเป็นหัวเมืองฝั่งทะเลและเมืองท่าแห่งหนึ่งอยู่ดังเช่นที่ปรากฏมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยมิได้เปลี่ยนแปลงแต่ประการใด ในรัชสมัยนี้เององเชียงสือซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงชุบเลี้ยงไว้ได้หลบหนีกลับไปยังประเทศญวนเพื่อเอาเมืองคืนในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ ในการไปขององเชียงสือนี้ปรากฏว่าได้หลบหนีมาอยู่ที่ "เกาะกูด" ในเมืองตราดเป็นเวลานาน มีข้อความปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่า " องเชียงสือก็มีความยินดี ใช้ใบไปถึงเรือใหญ่ที่เกาะสีชัง จึงปรึกษาด้วยองญวนทั้งปวง ก็บัดนี้เราจะพักอยู่ที่ไหนดี องจวงจึงว่าถ้าไปพักอยู่ที่เกาะกูดเห็นจะดีกว่าที่อื่น องเชียงสือได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงให้เอาตัวนายจันทร์ นายอยู่ นายเมือง ไปเรือลำเดียวกับองเชียงสือ องเชียงสือให้บ่าวไพร่องเชียงสือไปเข้ารวมเป็นเรือ ๕ ลำ ออกเรือใช้ใบไปพร้อมกันในเวลากลางคืนวันนั้น ใช้ใบไป ๗ วันถึงเกาะกูดฯ เวลานั้นหามีผู้คนอยู่ไม่ "๗ องเชียงสือพักอยู่ที่เกาะกูดเป็นเวลานานถึง ๒ ปี มีความอดอยากมาก ทางกรุงเทพฯ จึงต้องส่งเสบียงไปช่วยเหลือในปี พ.ศ. ๒๓๓๐ ดังปรากฏข้อความในพระราชพงศาวดารว่า " ฝ่ายองเชียงสือซึ่งหนีไปตั้งอยู่ที่เกาะกูดหมดสิ้นเสบียงอาหารจนหมดสิ้นจนกินแต่เนื้อเต่ากับมันกลอย ฝ่ายที่กรุงเทพมหานครทรงทราบว่าองเชียงสือหนีไปอยู่เกาะกูดจึงโปรดให้เรือตระเวนหลายลำพร้อมด้วยปืนและกระสุนดินดำให้กรมการเมืองตราดส่งไปพระราชทานแก่องเชียงสือที่เกาะกูดให้เป็นกำลังและให้ช่วยลาดตระเวนสลัดด้วย ครั้นองเชียงสือได้รับพระราชทานเรือลาดตระเวนและเครื่องศัตราวุธก็พาสมัครพรรคพวกลงเรือไปตีเอาเมืองเขมา เมืองประมวนสอได้ แล้วแต่งให้เรือออกไปลาดตระเวณสกัดจับสลัดญวนได้บ้างยอมเข้ามาสวามิภักดิ์องเชียงสือบ้าง แล้วองเชียงสือให้ฆ่านายสลัดเสียคนหนึ่ง เอาศรีษะใส่ถังมอบพระยาราชาเศรษฐีส่งเข้ามากรุงเทพมหานคร และเมื่อองเชียงสือพักอยู่ที่เกาะกูดนั้นได้แต่งให้องจวงลอบไปสืบการบ้านเมืองตลอดถึงไซ่งอน องจวงกลับมาแล้วแจ้งว่าได้ไปเกลี้ยกล่อมผู้คนเมืองพระตะพังสมัครเข้าด้วยเป็นอันมาก แล้วองจวงจึงพาองเชียงสือไปพักอยู่ที่ปากน้ำเมืองป่าสัก "๘ ในรัชกาลสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นระยะที่มีราชการทัพเกี่ยวกับญวน ลาว และเขมรติดต่อกันเป็นระยะยาวปรากฏหลักฐานว่าเมืองตราดได้เข้าร่วมกับราชการทัพนี้ตลอดเวลา มีเหตุการณ์เกี่ยวกับวีรกรรมของทางเมืองตราดปรากฏอยู่ด้วยมากมาย ซึ่งอาจลำดับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องได้ดังต่อไปนี้ ในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ เมื่อเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์เป็นกบฏ ยกทัพเข้ามาทางนครราชสีมานั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชนิกูล ๑ พระยารามกำแหง ๑ พระราชวังเมือง ๑ พระยาจันทบุรี ๑ คุมกองทัพเมืองจันทบุรี เมืองระยอง เมืองตราด พลหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันออกห้าพัน ขึ้นไปทาง พระตะบองบ้าง ทางเมืองสุรินทร์เมืองสังขะบ้าง เกณฑ์เขมรป่าดงไปด้วยห้าพันให้ยกทัพไปตีเจ้าราชบุตร ณ เมืองนครจำปาศักดิ์ แล้วให้เป็นทัพกระหนาบทั้งฝ่ายทางตะวันออกคือทัพพระยาราชสุภาวดี (สิง)๙ ด้วย "๑๐ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ เกิดจราจลขึ้นในเมืองญวน ทางหัวเมืองต่างๆ ได้ส่งคนออกไปสืบราชการ แจ้งเข้ามาทางพระนคร บอกความเป็นไปของทางเมืองญวนปรากฏข้อความตอนนี้ว่า " ในปีมะเส็ง เบญศก จุลศักราช ๑๑๙๕ ครั้งนั้นกรมการเมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ เมืองจันทบุรี เมืองตราด ต่างพากันแต่งขุนหมื่นกับไพร่ไปสืบราชการที่เมืองเขมรและเมืองญวนต่าง ๆ นั้น สืบได้ข้อราชการเมืองญวนมาทั้งสี่เมือง ๆ จึงมีใบบอกกิจการบ้านเมืองเข้ามายังกรุงเทพฯ ข้อความในใบบอกทั้งสี่หัวเมืองนั้นต้องกัน ครั้งนั้นมีพวกจีนลูกค้าที่อยู่ ณ เมืองไซ่ง่อนและเมืองล่องโห้ ซึ่งเป็นหัวเมืองขึ้นฝ่ายญวน พวกจีนในเมืองทั้งสองตำบลมีข้าศึกที่เกิดจราจลขึ้นในเมืองไซ่ง่อนหนีเข้ามาอาศัยอยู่ที่เมืองตราดบ้าง เมืองจันทบุรีบ้าง กรมการเมือง ทั้งสองเมืองบอกส่งพวกจีนที่หนีมาแต่เมืองญวนนั้นเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าพระยาพระคลัง๑๑ เสนบดีให้ล่ามพนักงานไต่ถามพวกจีนเหล่านั้น ๆ ให้การต้องคำกันทุกคน และคำให้การพวกจีนและหนังสือบอกเมืองเสียมราฐ เมืองพระตะบอง เมืองตราด เมืองจันทบุรี ทั้งสี่เมืองต้องกันกับคำให้การ "๑๒ ในครั้งนั้นจงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลังและเจ้าพระยาบดินทรเดชายกกองทัพไปรบญวน มีข้อความที่เกี่ยวข้องกับเมืองตราดว่า " โปรดเกล้าให้เจ้าพระยาคลัง (ดิศ) ซึ่งว่าที่สมุหพระกลาโหมนั้นถืออาญาสิทธิ์เป็น แม่ทัพเรือคุมไพร่พลหมื่นห้าพันบรรทุกเรือรบมีชื่อในกรุงออกไปเกณฑ์เลขไทยเมืองตราด-เมืองจันทบุรี และเลขหัวเมืองเขมรที่เมืองกำปอดและเมืองเขมรป่ายางรวมกันอีกห้าพันรวมเป็นสองหมื่น ในทัพเรือนั้นให้ยกไปตีเมืองบันทายมาศฝ่ายญวนให้แตกให้จงได้ ให้เจ้าพระยาพระคลังฟังบังคับบัญชา เจ้าพระยาบดินทรเดชาแม่ทัพบกด้วยในข้อราชการศึกที่จะยกเข้าตีญวนนั้น "๑๓ การเกณฑ์กองทัพของเจ้าพระยาพระคลังในครั้งนั้นกระทำดังนี้คือ "จัดให้เจ้าพระยาพลเทพเป็นแม่ทัพหน้า ให้พระยาราชวังสันเป็นทัพนำหน้าเจ้าพระยาพลเทพ ให้พระยาอภัยโนฤทธ์พระยาราชบุรี พระยาระยอง พระยาตราด พระยานครไชยศรี พระยาสมุทรสงคราม ทั้งนี้เป็นปีกซ้ายขวาของทัพหน้า "๑๔ เมื่อยกทัพเรือเข้าตีปรากฏว่าในระหว่างศึกกันในลำน้ำนั้น บรรดานายทัพนายกองเหล่านั้นพากันทอดสมอเรือเสีย เพราะเห็นเรือญวนขวางกั้นอยู่เต็มลำคลอง ทำให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาต้องทำการรบทางบกไปแต่ฝ่ายเดียว เป็นการเสียหายแก่ราชการทัพอย่างยิ่ง จึงมีการพิจารณาโทษบรรดาแม่ทัพนายกองเหล่านั้น ปรากฏข้อความว่า " การที่เรือรบไทยถอนสมอไม่ขึ้นนั้นเป็นเพราะขุนนางผู้ใหญ่ก่อการก่อน จะขอออกชื่อไว้ให้ปรากฏที่เป็นคนมียศหัวเหน้าก่อการขลาดนั้นคือ เจ้าพระยาพลเทพ ชื่อ ฉิมโจโฉ ๑ พระยาเดโชท้านน้ำ ๑ พระยาราชวังสัน ๑ พระยาเพ็ชรบุรี ๑ พระยาราชบุรี ๑ พระยาเทพวรชุน ๑ พระยาอภัยโนฤทธิ์ชื่อบุนนาก ๑ พระยาจันทบุรี ๑ พระยาตราด ๑ พระยาระยอง ๑ พระยานครไชยศรี ๑ พระยาสมุทรสงคราม ๑ พระยาทิพโกษา ๑ พระยาวิสูตรโกษา ๑ พระยานเรนทรฤทธิ์โกษา แขกจาม ๑ พระยาไตรโกษา ๑ ออกชื่อแต่ ๑๖ คนนี้ที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสิ้น "๑๕ ต่อมาเมื่อพระยาบดินทรเดชาได้เข้าอยู่ที่เมืองโจดกแล้ว จึงให้ "พระยาตราด" คุมพล เมืองตราดทั้งสิ้นไปตั้วสิวซ่อมแซมเรือรบเก่าของเขมรที่นักองจันทร์ขึ้นไว้ตกค้างอยู่ที่เมืองกำปอดและเมืองกะพงโสมนั้นมีอยู่หลายสิบลำ ถ้าจะเลือกแต่ที่พอจะใช้ได้คงจะได้เรือรบเกือบร้อยลำ ถ้าพระยาตราดทำการซ่อมแซมเรือรบเก่าเขมรเสร็จแล้วได้มากน้อยเท่าใดให้คุมมาส่งไว้ในเมืองบันทายมาศ "๑๖ ในขณะนั้นทางเขมรก็คิดตั้งตัวเป็นกบฏขึ้น พาสมัครพรรคพวกโจรเข้ามาลอบยิงไพร่พลที่คุมเรือลำเลียงเสบียงอาหารล้มตายไปเป็นอันมาก เจ้าพระยาพระคลังจึงมีคำสั่งให้ พระปลัดเมืองตราดบุตรผู้ใหญ่พระยาจันทบุรีและพี่ชายต่างมารดากับหลวงยกกระบัตร "คุมไพร่พลสามร้อยกองหนึ่ง แล้วให้เป็นนายทัพบกไปติดตามเรือลำเลียงเสบียงอาหารที่เขมรตีไว้คืนมาให้จงได้ ถ้าไม่ได้เสบียงคืนมาก็ให้ตามไปจับเขมรเหล่าร้ายที่เมืองกำปอดมาให้ได้มาบ้าง ให้พระปลัดรีบยกไปทางบกก่อนโดยเร็ว แล้วสั่งให้หมื่นสิทธิสงคราม นายด่านเมืองตราดคุมไพร่พลสองร้อยคนเป็นนายทัพบกเพิ่มเติมไปติดตามเรือลำเลียงอีกกองหนึ่งแต่ให้ไปทางด้านตะวันตก ให้ยกไปรวมกันกับพระปลัดที่เมืองกำปอดข้าง เหนือ "๑๗ พระปลดเมืองตราดยกไปถึงลำน้ำแห่งหนึ่งชื่อ ท่าช้างข้าม เป็นเวลาพลบค่ำจึงหยุดพักผ่อน พวกเขมรในเมืองกำปอดจึงเข้าลอบโจมตี รุ่งขึ้นพระปลัดเมืองตราดจึงรวบรวมไพร่พลที่เหลือเดินทางต่อไปก็ถูกเขมรลอบโจมตีอีก ทำให้ไพร่พลล้มตายลงเป็นอันมาก แต่กองทัพของหมื่นสิทธิสงครามมาพบเข้าจึงช่วยไว้ได้ และรับพระปลัดเมืองตราดและไพร่พลที่รอดตายรวม ๓๕ คน เข้าไว้ ยกทัพเดินทางต่อไป ได้ปะทะกับกำลังฝ่ายเขมรและจับพวกเขมรได้ ๑๔ คน สอบสวนด้วยวิธีการต่าง ๆ นานาแล้วได้ความว่า "พระคะเชนทรพิทักษ์เขมรนายกองช้างของนักองจันทร์ ตั้งให้คุมคนเลี้ยงช้างอยู่ที่เมืองกำปอดนั้น พระคะเชนทรพิทักษ์ท้ารบว่ากองทัพไทยแตกพ่ายญวนมาแล้วและกองลำเลียงไทยบรรทุกข้าวปลาอาหารมาถึงเมืองกำปอด ติดน้ำยังกำลังเข็นเรืออยู่ที่ในลำคลอง พระคะเชนทรพิทักษ์ เห็นว่าได้ทีมีช่อง จึงได้ชวนไพร่พลชาวบ้านป่าที่อดอยากขัดสนเสบียงนั้นได้เจ็ดสิบแปดสิบคน แล้วพากันมาตีปล้นเรือเสบียงได้เรือยี่สิบสามลำ "๑๘ จากเอกสารนี้ปรากฏข้อความต่อไปนี้ว่า พระคะเชนทรพิทักษ์นั้นเมื่อกระทำการเช่นนั้นแล้ว คิดเกรงกลัวกองทัพไทยจะยกติดตามมา จึงแต่งให้คนไปซุ่มโจมตีอยู่ดังกล่าวข้างต้น เมื่อสอบสวนได้ความดังนั้นหมื่นสิทธิสงครามนายด่านเมืองตราดจึงยกเข้าล้อมพระคะเชนทรพิทักษ์และจับตัวได้พร้อมทั้งบุตรภรรยาและครอบครัว จึงให้เขมรเชลยขนข้าวปลาอาหารที่เขมรตีชิงเอาไปนั้นกลับคืนมาได้รวม ๑๘ ลำ เสียหายไปเพราะพวกเขมรกระทุ้งท้องเรือจมไป ๕ ลำ จากนั้นจึงลำเลียงเสบียงอาหารทั้ง ๑๘ ลำนั้นส่งไปยังเมืองบันทายมาศ๑๙ คุณความดีที่หมื่นสิทธิสงครามกระทำในครั้งนั้น เจ้าพระยาพระคลังได้รายงานให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาทราบทั้งหมด รวมทั้งความผิดพลาดของหลวงยกกระบัตรเมืองจันทบุรีซึ่งคุมเรือเสบียงอาหารไปถูกเขมรซุ่มโจมตีแล้วเอาตัวรอด ปล่อยให้ไพร่พลสู้รบตามลำพังจนเสียแก่เขมรไปนั้น และเรื่องที่พระปลัดเมืองตราดพาไพร่พลเมืองตราดไปตายถึง ๒๖ คนเหลือกลับมาเพียง ๓๔ คนนั้นด้วย เจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงมีบัญชาให้พิจารณาโทษผู้กระทำความผิด โดยให้ประหารชีวิตหลวงยกกระบัตร ส่วนพระปลัดเมืองตราดถือว่ามีความผิดไม่มากนัก ให้เฆี่ยนหลัง ๖๐ ทีหรือ ๓๐ ที แล้วตระเวนรอบค่าย ๓ วัน ส่วนการลดหรือถอดบรรดาศักดิ์อย่างไรให้พิจารณาเอง เจ้าพระยาพระคลังจึงให้ควบคุมตัวหลวงยกกระบัตรเมืองจันทบุรีกับพระปลัดเมืองตราดส่งไปให้เจ้าพิจารณาเอง เจ้าพระยาพระคลังจึงให้ควบคุมตัวหลวงยกกระบัตรเมืองจันทบุรีกับพระปลัดเมืองตราดส่งไปให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาทำโทษ เนื่องจากตนไม่กล้าฆ่าตามคำสั่ง เพราะ "กลัวบาปเกรงกรรมจะตามไปชาติหน้า" หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:32:45 ตราด ๒
ในครั้งนั้นเจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงโทษผู้กระทำผิด โดยประหารชีวิตหลวงยกกระบัตรเมืองจันทบุรี สำหรับพระปลัดเมืองตราดให้เฆี่ยนหลังหกสิบทีแล้ว "ลดฐานานุศักดิ์ลงคงเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองจันทบุรีแทนที่หลวงยกกระบัตรชื่อแก้วที่มีความผิดฆ่าเสียนั้นแล้ว" ส่วนหลวงสิทธิสงครามซึ่งทำความดีไว้นั้น ได้มีหนังสือไปยังเจ้าพระยาพระคลังว่า " ให้เจ้าคุณพระคลังตั้งหมื่นสิทธิสงครามนายด่านเมืองตราด ให้มอบถาดโคนโทน้ำทองให้แก่เขาเป็นเครื่องยศ แล้วให้มีใบบอกไปในกรุงเทพฯ ด้วย "๒๐ เจ้าพระยาพระคลังได้ตั้งหมื่นสิทธิสงครามเป็นพระปลัดเมืองตราด ส่วนพระปลัดเมืองตราดคนเดิมถูกลดตำแหน่งลงเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองจันทบุรีนั้น ขณะที่ถูกคุมตัวส่งไปยังเจ้าพระยาพระคลังได้กระโดดน้ำตายเสียก่อน พระปลัดเมืองตราดคนใหม่นี้ได้รับคำสั่งให้คุมไพร่พลไปรับเรือรบที่พระยาตราดไป ตั้งซ่อมแซมอยู่ที่เมืองกำปอดและเมืองกะพงโสมเจ็ดสิบลำ คุมไปส่งที่เมืองบันทายมาศ เรื่องราวของหมื่นสิทธิสงคราม ซึ่งต่อไปได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระปลัดเมืองตราด ดังกล่าวนี้อาจจะสอดคล้องกับเรื่องราวที่เคยมีผู้เขียนไว้ในเรื่องราวเกี่ยวกับจังหวัดตราดตอนนี้ว่า มีชาวท่ากุ่มคนหนึ่งถูกเกณฑ์ ไปในกองทัพครั้งนี้ด้วย ได้รับเลื่อนยศเป็น "หมื่นคง" ได้ทำการสู้รบอยู่เข้มแข็งในกองทัพมากบุคคลนี้กล่าวกันว่าเป็นต้นตระกูล "กุมภะ" เมื่อมีเรื่องราวสอดคล้องกันเช่นนี้ อาจสันนิษฐานได้ว่า เป็นคน ๆ เดียวกันก็ได้ ในราชการสงครามที่เกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ เมืองตราดมีบทบาทในการร่วมรบด้วยทุกครั้งจนสิ้นรัชกาล เมืองตราดสมัยเปลี่ยนแปลง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองครั้งสำคัญนั้น มีเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองตราดอยู่ไม่มากนัก ที่สำคัญได้แก่ การตั้งเมือง ปัจจันตคีรีเขตต์และการแบ่งราชการปกครองหัวเมือง ในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ (จ.ศ. ๑๒๑๗) ซึ่งเป็นปีที่ ๕ แห่งการขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการ ให้ตั้งเกาะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมืองตราดมาก่อน๒๑ ขึ้นเป็นเมืองใหม่ โดยพระราชทานนามเมืองนี้ว่า เมืองปัจจันตคีรีเขตต์ (เกาะกง) เมื่อจัดตั้งเมืองนี้ขึ้นมาแล้ว เมืองปัจจันตคีรีเขตต์จึงเป็นเมืองหน้าด่านแทนเมืองตราด เพราะเป็นเมืองที่มีเขตติดต่อกับเขมรและญวน รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ในพระราชอาณาจักรให้ขึ้นต่อกรมมหาดไทย กรมพระกลาโหม และกรมท่า ตามประกาศพระบรมราชโองการ ประกาศข้อความต่อไปนี้ "ข้าพระพุทธเจ้า พระยาราชวรานุกูลฯ ขอพระราชทานน้อมเกล้าถวายคำนับบังคมทูลกระหม่อมทราบ ฝ่าพระบาททรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้าว่าราชการในกรมนานั้น พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ และในข้อพระราชบัญญัติของนา มีว่า เสนาที่จะเดินประเมินนาหัวเมืองชั้นใน ชั้นกลาง ชั้นนอกนั้น ข้าพระพุทธเจ้ารับใส่เกล้าฯ จัดหัวเมืองขึ้นกรมมหาดไทย กรมพระกลาโหม กรมท่าเป็นสามชั้นดังนี้ นั้นนอก เมืองขึ้นกรมมหาดไทย เมืองขึ้นกรมพระกลาโหม เมืองขึ้นกรมท่า เมืองระยอง ๑ จันทบุรี ๑ เมืองตราด ๑ รวม ๓ ๒๒ ข้อความตามประกาศนี้ แสดงถึงสังกัดของเมืองตราดยังขึ้นกับกรมท่าอยู่ต่อไปอีก และต่อมาก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งมีการปรับปรุงการปกครอง แบ่งเป็นกระทรวง ต่าง ๆ ในส่วนกลางขึ้น ได้มีการแต่งตั้ง "เจ้าเมืองกรมการ" มาปกครองดูแล โดยมีประกาศตั้งชื่อเจ้าเมืองในสมัยนั้นไว้ดังนี้ "เมืองขึ้นกรมท่า เมืองตราด พระยาพิพิธสมบัต แปลงว่า พระยาพิพิธฤทธิเดชวิเศษ สิงหนาทแล้วแปลงว่า พระยาพิพิธภักดีศรีสมบัติ แล้วแปลงอีกว่า พระยาพิพิธพิไสยสุนทรการหลวงราชภักดีสงครามแปลงว่า พระวรบาทภักดีศรีสงคราม ปลัด หลวงศรีสงคราม แปลงว่า หลวงรามฤทธิรงค์ ยกกระบัตรตั้งปลัดจีนขึ้นใหม่อีกนาย ๑ พระยาปราณีจีนประชา ปลัดจีนเมืองปัจจันตคีรีเขตต์เดิมหลวงเกาะกง ทรงตั้งใหม่ว่า พระพิไชยชลธี หลวงคิรีเนมิททวีปปลัด ๒๓ เมืองตราด ในสมัยนั้นจึงมีกรมการเมือง ๔ คน คือ เจ้าเมือง ปลัดเมือง ปลัดเมืองฝ่ายจีน (ปลัดจีน) และยกกระบัตรเมือง ส่วนเมืองปัจจันตคีรีเขตต์ มีกรมการเมือง ๒ คน คือ เจ้าเมืองและปลัดเมือง ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์เป็นต้นมาประเทศไทยถูกคุกคามจากประเทศจักรวรรดินิยมตะวันตกอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและฝรั่งเศส ทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับปรุงต้องปรับปรุงฐานะทางการทหารและกิจการฝ่ายพลเรือนให้ทันสมัย และเข็มแข็งยิ่งขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๒๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์จัดตั้งสถานีทหารเรือขึ้นตามชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก สถานีทหารเรือในครั้งนั้นได้จัดตั้งขึ้นที่ ชลบุรีบางพระ บางละมุง ระยอง แกลง จันทบุรี ขลุง ตราด เกาะกงและเกาะเสม็ดนอก๒๔ ซึ่งจากผลการดำเนินงานนี้ที่ให้เมืองตราดและเกะกงกลายสภาพมาเป็น "สเตชั่นทหารเรือ" สำหรับเป็นด่านป้องกันภัยที่จะคุกคามจากฝรั่งเศสทางทะเล ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ ฝรั่งเศสได้เริ่มดำเนินการทางทหารใช้กำลังเข้าบีบบังคับไทยโดยยกกองทัพมาเข้าขับไล่ทหารไทยให้ถอยร่นออกจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและส่งเรือรบเข้ามาจอดอยู่ในกรุงเทพฯ ทำให้ความยุ่งยากทางชายแดนไทยเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการปรึกษาการป้องกันพระราชอาณาเขตขึ้น และจัดกองบัญชาการทัพออยู่ตามหัวเมืองชายทะเลแต่ละด้านขึ้นด้วย ทางด้านหัวเมืองฝ่ายตะวันออกซึ่งขึ้นอยู่กับกระทรวงต่างประเทศ (เดิมขึ้นกรมท่า) นั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้แต่งตั้งให้พลเรือจัตวาพระยาชลยุทธโยธินทร์ (ANDER DU PLESSIS DE RICHELIEU) เป็นผู้จัดการป้องกันพระราชอาณาเขตทางหัวเมืองฝ่ายตะวันออก ทางกระทรวงต่างประเทศได้มีคำสั่งมายังผู้ว่าราชการเมืองแถบนี้ ซึ่งรวมทั้งเมืองตราดด้วย ให้ช่วยพระยาชลยุทธโยธินทร์จัดการทุกอย่างที่เกี่ยวกับการป้องกันพระราชอาณาเขต๒๕ สำหรับด้านเมืองตราดและเกาะกงนั้น ปรากฏตามหนังสือของพระยาชลยุทธโยธินทร์ ซึ่งนำขึ้นกราบทูลเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๓๖ ว่า "ที่เกาะกงจัดทหารมะรีน (ทหารเรือ) จากกรุงเทพฯ ๑๔ คน ทหารจากเมืองตราด ๒๔ คน ทหารจากเมืองแกลง ๑๒ คน รวม ๕๐ คน แจกปืนเฮนรีมาตินี ๑๐๐ กระบอก กระสุนพร้อม ที่แหลมงอบจัดทหารไว้ ๒๐๐ คน พร้อมที่ส่งไปช่วยทางเกาะกง ถนนระหว่างแหลมงอบกับเมืองตราด มีสภาพไม่ดีให้บ้านเมืองเร่งซ่อมถนนให้เร็วใน ๑ เดือนพอให้เกวียนเดินได้ ที่แหลมงอบนี้จ่ายเป็นเฮนรีมาตินี ๒๘๘ กระบอก กระสุนพร้อม"๒๖ เมืองตราดถูกฝรั่งเศสยึดครอง ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสได้เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝรั่งเศสได้ใช้ความพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้ายึดครองดินแดนของประเทศไทยให้ได้ในที่สุด ดังเช่นได้กระทำจนเป็นผลสำเร็จมาแล้วในญวน เขมร และลาว ซึ่งในที่สุดเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีผลกระทบให้จังหวัดตราด ต้องตกอยู่ใน ความปกครองของฝรั่งเศสก็อุบัติขึ้น มูลเหตุของการยึดครอง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากเกิดการรบที่ปากน้ำเจ้าพระยา เมื่อ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๓๖ (ร.ศ. ๑๑๒) ฝรั่งเศสยื่นคำขาดให้ฝ่ายไทยปฏิบัติตามเมื่อ ๒๐ กรกฎาคม ๒๔๓๖ โดยให้เวลาตอบ ๔๘ ชั่วโมง ฝ่ายไทยได้ตอบข้อเรียกร้องเมื่อ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๓๖ แต่ไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายฝรั่งเศส ดังนั้น วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๓๖ ฝรั่งเศสจึงประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยและในวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๓๖ ฝรั่งเศสสั่งผู้บัญชาการกองเรือภาคตะวันออกไกลปิดล้อมอ่าวไทย ตั้งแต่แหลม เจ้าลายถึงบริเวณแหลมกระบังและในวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๓๖ ฝรั่งเศสได้ประกาศปิดล้อมอ่าวไทยครั้งที่ ๒ โดยขยายเขตเพิ่มบริเวณเกาะเสม็ด จนถึงแหลมลิง รวม ๒ เขต ในวันเดียวกันคือ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๓๖ ฝ่ายไทยจำต้องยอมรับคำขาดของฝรั่งเศสที่ยื่นไว้แต่เดิม ในวันรุ่งขึ้นฝรั่งเศสถือโอกาสยื่นคำขาดเพิ่มเติมอีก โดยประกาศยึดปากน้ำและเมืองจันทบุรีไว้เป็นประกันและบังคับให้ไทยถอนตัวออกจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงอีกด้วย ไทยจำเป็นต้องยอมรับโดยไม่มีทางเลือก เมื่อฝ่ายไทยปฏิบัติตามคำขาดนั้นแล้ว ฝรั่งเศสได้ยกเลิกการปิดอ่าวในวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๔๓๖ เวลา ๑๒.๐๐ น. แต่การยึดปากน้ำและเมืองจันทบุรียังคงยึดไว้ตามเดิม ต่อมาได้มีการทำสัญญาสงบศึกกันโดยหนังสือสัญญาฉบับลงวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๔๓๖ (ร.ศ. ๑๑๒) ในหนังสือสัญญาฉบับนี้ มีข้อความระบุไว้ในอนุสัญญาผนวกต่อท้ายหนังสือสัญญาข้อ ๖ ว่า "คอนเวอนแมต์ (CONVORNMENT) ฝรั่งเศสจะได้ตั้งอยู่ต่อไปที่เมืองจันทบุรี จนกว่าจะได้ทำการสำเร็จแล้วตามข้อความในหนังสือสัญญานี้ " แม้ทางฝ่ายไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ฝรั่งเศสบีบบังคับไว้แล้ว ฝรั่งเศสก็ไม่ยอมถอนทหาร ยังคงยึดจันทบุรีไว้อีกเป็นเวลานานถึง ๑๐ ปี เป็นเหตุให้ต้องมีการตกลงทำสัญญาขึ้นใหม่อีกฉบับหนึ่งคืออนุสัญญาลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๔๕ (ร.ศ. ๑๒๑) แต่หนังสือฉบับนี้ฝรั่งเศสไม่ยอมให้สัตยาบันและไม่ถอนกำลังออกจากจันทบุรี จึงได้ตกลงมีสัญญาต่อมาอีก คือ สัญญาลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖ (ร.ศ. ๑๒๒) คราวนี้ฝรั่งเศสจึงถอนกำลังออกจากจันทบุรี ฝรั่งเศสยึดครองเมืองตราด ย่างเข้าปี ร.ศ. ๑๒๒ แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์นั้นเอง ฝรั่งเศสได้ให้สัตยาบันที่กรุงปารีสเมื่อธันวาคม ๒๔๔๗ มีผลให้จังหวัดตราดและบรรดาเกาะทั้งหลายภายใต้แหลมลิงไปต้องตกไปเป็นของฝรั่งเศส จากหลักฐานสัญญาลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖ ไม่มีข้อความใดระบุการ ครอบครองจังหวัดตราดไว้เลย แต่ในข้อ ๓ แห่งสัญญาระบุไว้ว่า รัฐบาลฝรั่งเศสและรัฐบาลไทยต่างจะตั้งข้าหลวงผสมกันออกไปทำการกำหนดเขตแดน พระบริหารเทพธานี๒๗ กล่าวอ้างไว้ว่า ได้มีการกำหนดปักปันเขตแดนกันตรงแหลมลิง (ในตำบลบางปิด อำเภอแหลมงอบ) จึงดูเหมือนว่าฝรั่งเศสได้สิทธิในการครอบครองเมืองตราดแทนจันทบุรี เมื่อข่าวการยึดครองของฝรั่งเศสแพร่สะพัดรู้ไปถึงราษฎร ต่างก็ตกใจและเกิดการอพยพ แต่ด้วยเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรีชาสามารถและทอดพระเนตรเหตุการณ์ไกล จึงได้พยายามทุกวิถีทางที่จะเกิดความสงบเรียบร้อยภายในบ้านเมือง ความพยายามของพระองค์ท่านที่จะประวิงเวลาให้เมืองตราดคงอยู่ในพระราชอาณาจักรไร้ผล ในที่สุดฝ่ายไทยจึงต้องมอบเมืองตราดให้แก่ฝรั่งเศสแน่นอน ในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๔๔๗ ได้มีพิธีส่งมอบเมืองตราดให้แก่ฝรั่งเศส จากหลักฐานของพระบริหารเทพธานี บันทึกไว้ว่าพระยาศรีสหเทพและที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย (มิสเตอร์โรบินส์) เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยมอบเรสิดังต์เดอฟอริงลิมง ข้าหลวงฝ่ายฝรั่งเศสเป็นผู้รับมอบ ได้กระทำพิธีมอบที่หน้าเสาธงซึ่งอยู่หน้าศาลากลางที่พระยาพิพิธฯ สร้างไว้ โดยมีทหารฝ่ายละ ๑ โหล มอบวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๔๔๗ เวลาเที่ยงวัน มีข้าราชการฝ่ายพลเรือนเข้าแถวอยู่ด้วย พระยาศรีสหเทพ เป็นผู้อ่านประกาศมอบเมืองให้แก่ฝรั่งเศสพอจบลงเรสิดังต์ ข้าหลวงฝรั่งเศสอ่านคำรับมอบจากรัฐบาลสยามเป็นภาษาฝรั่งเศส เมื่อจบพิธี ทหาร ๒ ฝ่ายยิงสลุตฝ่ายละ ๑ โหล แตรบรรเลงขึ้น ทันใดพระยาศรีสหเทพชักธงสยามลง เรสิดังต์ ชักเชือกธงฝรั่งเศสขึ้น เมื่อธงฝรั่งเศสถึงยอดเสา ทหารยิงสลุตอีกฝ่ายละ ๑ โหล๒๘ นับจากนั้นมาเมืองตราดจึงตกอยู่ในความยึดครองของฝรั่งเศส จนถึงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๔๔๙ จึงได้มีการตกลงทำหนังสือสัญญาขึ้นอีกฉบับหนึ่งเรียกว่า "หนังสือสัญญาระหว่างสมเด็จ พระเจ้าแผ่นดินสยามกับเปรสสิเดนต์แห่งรีปัปลิคฝรั่งเศส" ฝรั่งเศสจึงคืนเมืองตราดให้ไทยตามเดิม แต่ฝ่ายไทยจะต้องยอมยกดินแดนเมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐและเมืองศรีโสภณ เป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน เมืองทั้งสามเมืองนั้นมีดินแดนประมาณ ๕๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร แลกกับเมืองตราด ประมาณ ๒๙๑๙ ตารางกิโลเมตร ยกเว้นเมืองปัจจันตคีรีเขตต์ (เกาะกง) ฝรั่งเศสมิได้คืนแต่ประการใด การทำสัญญาฉบับนี้ ทำในวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๔๔๙ แต่ได้มีพิธีรับมอบเมืองคืนเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๔๕๐ เวลา ๙.๐๐ น. ฝ่ายฝรั่งเศสมีรุซโซ อาระมองค์ อังมินิส ตราเตอร์ เดอแซร์วิศ เซวิลเลอ เรสิดังค์ เดอฟรังค์ ณ เมืองกำปอดเป็นข้าหลวงฝ่ายฝรั่งเศสพระยาศรีสหเทพข้าหลวงฝ่ายไทยเป็นผู้รับมอบ จากหลักฐานการมอบเมืองตราด หลวงสาครคชเขตต์ ได้รวบรวมเล่าไว้ในหนังสือ จดหมายเหตุความทรงจำสมัยฝรั่งเศสยึดเมืองตราดว่า๒๙ ในพิธีรับมอบ ข้าหลวงสองฝ่าย แต่งเครื่องแบบเต็มยศ พร้อมด้วยข้าราชการทหาร ตำรวจ ประชุมกันหน้าศาลากลางจังหวัด ข้าหลวงฝ่ายฝรั่งเศสอ่านหนังสือมอบเมืองเป็นภาษาฝรั่งเศส แล้วส่งคำแปลให้ ฝ่ายข้าหลวงไทยกล่าวคำรับมอบเมืองและชักธงไทยขึ้นสู่ยอดเสาจากนั้นจึงมีการดื่มให้พรแก่ประเทศของกันและกันตามธรรมเนียม หลังพิธีมอบเมืองตราดคืนจากฝรั่งเศสแล้ว ได้มีพิธีสมโภชเมืองโดยตกแต่งประดับประดาสถานที่ราชการและอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นประดิษฐานบนศาลากลางจังหวัด แล้วนิมนต์พระภิกษุรวมจำนวน ๕๕ รูป เท่าพระชนมายุของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีการสวดมนต์เย็น โดยมีพระครูสังฆปาโมกข์ เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรีเป็นประธานกลางคืนมีการประดับโคมไฟและมีมหรสพ ตามอาคารบ้านเรือนมีการตกแต่งและตั้งเครื่องบูชา มีการเลี้ยงอาหารแก่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ชั้นผู้น้อย รุ่งขึ้นเช้ามีการตักบาตรแด่พระภิกษุสงฆ์ เสร็จแล้วเวลา ๑๔.๐๐ น. เชิญพระบรมฉายาลักษณ์ประดิษฐานที่หน้าศาลากลางจังหวัดแล้วข้าหลวงประจำจังหวัดเชิญธงมหาราชขึ้นสู่ยอดเสา ลั่นกลองชัยและประโคมดนตรี กองทหารและตำรวจทำวันทยาวุธและยิงสลุต เรือมกุฎราชกุมารซึ่งยังทอดสมออยู่ที่ปากอ่าวก็ยิงสลุตด้วย พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา บรรดาข้าราชการและประชาชนต่างพากันเปล่งเสียงไชโย ๓ ครั้ง เสร็จแล้วพระครูเจ้าคณะจังหวัดจันทบุรีอ่านคาถาพระพรชัยแทนพระสงฆ์ทางฝ่ายราษฎรมีขุนสนิท กำนันตำบลวังกระแจะอ่านคำถวายชัยมงคลในนามประชาชน มีข้อความต่อไปนี้ "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้อพระพุทธเจ้าราษฎรจังหวัดตราดขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า การที่จังหวัดตราดได้กลับคืนมาเป็นพระราชอาณาจักรไทยตามเคยอย่างแต่ก่อนนั้น เป็นพระเดชและพระมหากรุณาธิคุณในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้ และข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้กลับมาเป็นข้าขอบขัณฑเสมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท รวมกับพลเมืองซึ่งเป็นชาติเดียวกันตามเดิมนั้น เป็นที่ยินดีของข้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้มาประชุมพร้อมกันอาราธนาพระสงฆ์มาเจริญ พระพุทธมนต์แล้ว ได้ถวายอาหารบิณฑบาตแลขอให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระเจริญ พระชนมายุยืนนาน สถิตดำรงในสิริราชสมบัติยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ ปราศจากสรรพโรคาพิบัติอุปัทวันตราย มีพระราชประสงค์กิจสิ่งใด ขอให้สำเร็จดังพระราชประสงค์จงทุกประการเทอญ"๓๐ คำถวายชัยมงคลนี้ได้มีการจัดทำคำแปลเป็นภาษาอังกฤษส่งไปทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยทางโทรเลข ณ ยุโรปด้วย เมื่อทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว พระองค์ได้ทรงมีพระราชโทรเลขพระราชทานตอบมาจากเมืองตรอนเซียม ประเทศนอรเวย์ มีข้อความดังนี้ "ถึงผู้ว่าราชการกรมการ และราษฎรเมืองตราด" เรามีความจับใจเป็นอย่างยิ่งในถ้อยคำที่เจ้าทั้งหลายได้กล่าวแสดงความจงรักภักดีต่อตัวเรา เรามีความยินดีที่ได้เมืองตราดกลับคืนและขออนุโมทนาในการกุศลที่เจ้าทั้งหลายได้พร้อมกันจัดทำในคราวนี้การที่เจ้าทั้งหลายได้พลัดพรากจากเรานั้น เรามีความเสียดายเป็นอันมากแต่บัดนี้มีความยินดีนักที่เจ้าทั้งหลายได้กลับคืนมาในพระราชอาณาจักรของเรา ซึ่งเราจะเป็นธุระจัดการทะนุบำรุงให้เจ้า ทั้งหลายได้รับความสุขสำราญต่อไปภายหน้า เราจะได้มาเมืองตราดเพื่อเยี่ยมราษฎรชาวเมืองตราด ซึ่งเป็นที่ชอบพอและได้เคยพบปะกันมาแต่ก่อน ๆ แล้วนั้นด้วย"๓๑ การเสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองตราด จากการที่ประชาชนชาวจังหวัดตราดได้มีโทรเลขไปกราบทูลแสดงความยินดีที่ได้กลับคืนมาสู่อาณาจักรดังกล่าวแล้วนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชปรารถว่า เมื่อเสด็จนิวัติพระนครจะเสด็จแวะเมืองตราดก่อน ดังนั้นหลังเสด็จพระราชดำเนินกลับจากยุโรปโดยประทับเรือพระที่นั่งมหาจักรีซึ่งทางฝ่ายผู้รักษาพระนครได้จัดการไปรับเสด็จที่เมืองปีนังเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๔๕๐ จึงได้เสด็จมายังเมืองตราดโดยมาประทับแรมที่เกาะกูดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๕๐ ได้เสด็จประพาสเกาะกระดาษและถึงเมืองตราดในตอนเช้าวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๕๐๓๒ เมื่อเสด็จออกจากเรือพระที่นั่งขึ้นประทับพลับพลาที่ท่าเรือแล้วพระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถาถวายเสร็จแล้วพระบริรักษ์ภูธรผู้ว่าราชการเมืองตราดกราบบังคมทูลพระกรุณาอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ ที่พักผู้ว่าราชการเมือง เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงพลับพลาที่ประทับซึ่งมีพระสงฆ์ ประชาชนและข้าราชการคอยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ ฝ่ายคณะสงฆ์มีพระญาณวราภรณ์ เจ้าคณะมณฑลจันทบุรีเป็นประธาน เจ้าอธิการ แจ้งว่าที่เจ้าคณะรอง๓๓ ได้อ่านคำถวายพระพรชัยมงคลแทนพระสงฆ์เมืองตราดแสดงความยินดีที่เสด็จพระราชดำเนินมาประพาสเมืองตราด มีข้อความต่อไปนี้ คำถวายพระพรมงคล ของพระภิกษุสงฆ์เมืองตราด ขอถวายพระพร เจริญพระสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนม์สุขทุกประการ จงมีแด่สมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภาร พระองค์สมเด็จพระปรมินทรธรรมิกมหาราชาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณธรรมอันประเสริฐ อาตมาภาพพระภิกษุสงฆ์ในแขวงเมืองตราด ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสแสดงปิติคาถาในเบื้องต้น และถวายพระพรมงคลในที่สุด การที่ได้เมืองตราดกลับมาเป็นราชอาณาเขตสยามตามเดิม เป็นเหตุให้พุทธศาสนิกชนตั้งต้นแต่พระภิกษุสงฆ์ ได้กลับมาพึ่งพระบรมราชสมภาร บรมราชูปถัมภ์ของสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ซึ่งเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก ทรงพระคุณธรรมอันมหาประเสริฐ บำเพ็ญพุทธศาสนกิจตามสามารถด้วยพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ข้อนี้ทำให้เกิดปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว และยังซ้ำเสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองตราดในครั้งนี้ เพื่อให้ชาวเมืองได้เห็นเป็นสวัสดิมงคล และแสดง พระเมตตาคุณที่มีอยู่ในประชาชนชาวเมืองตราดเป็นอันมาก จึงได้เกิดความปราโมทย์โสมนัสทวียิ่งขึ้น ด้วยมาระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นต้นนั้น จึงพร้อมใจกันตั้งสัตยาธิษฐานถวายพระพรมงคล พาหุ สหสฺสมภินิมฺมิตสาวุธนฺตํ ครีเมขลํ อุทิตโฆรสเสนมารํ ทานาทิธมฺมวิธินา ชตวา มุนินโท ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลํ สมเด็จพระผู้มีพระภาคย์มหามุนินทร์ได้ทรงชนะมารกับทั้งเสนาอันร้ายกาจ ทรงคีรีเมขล์เป็นราชคชาธาร มีกรพันหนึ่งซึ่งทรงสรรพอาวุธอันนฤมิต แล้วด้วยธรรมวิธีคือพระบารมีสิบทัศมี พระทานพระบารมีเป็นต้น ด้วยอานุภาพแห่งสมเด็จพระทศพลมหามุนินทร์ซึ่งทรงชนะมารนั้น ขอชัยมงคลอันเลิศจงมีแด่สมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าผู้ทรงพระคุณธรรมอันมหาประเสริฐและขอพระพุทธาทิรัตนัตตยานุภาพจงอภิบาลอุปถัมภ์สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าให้ทรงเกษมสานต์ ทรงพระชนมายุยืนนาน และทรงบริบูรณ์ด้วย วรรณ สุข ทุกทิวาราตรี ยิ่งด้วยพระกำลังปฏิภาณปรีชาและวรกาย ผู้มุ่งหมายอนัตถจงเสื่อมสูญและกลับนำประโยชน์เกื้อกูลมา สรรพอุปสรรคอุปัทวันตราย ทุกขโรคาพาธภัยพิบัติจงพินาศ ราชลาภจงหลั่งไหลมาทุกทิศานุทิศ สรรพธรรมิกราชประสงค์จงประสิทธิดังพระราชหฤทัย โดยไม่เนิ่นช้า สยามานาเขตจงไพศาลและบริบูรณ์ด้วยประโยชน์สาร ขอสมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าทรงสถิตยืนนานในพระบรมราชมไหศวริยสมบัติ เพื่อได้ทรงอุปถัมภ์พระบรมพุทธศาสนาให้ถาวรเจริญยิ่ง และเพื่อประชาราษฎรได้ประสบสิ่งซึ่งเป็นคุณประโยชน์สุขทั่วหน้าด้วยพระเมตตาคุณ พระกรุณาคุณพระบรมราชูปถัมภ์โดยธรรมมิกอุบายเป็นนิจนิรันดร์ ขอถวายพระพร๓๔ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:33:11 ตราด ๓
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบแล้ว พระสงฆ์สาธุพร้อมกัน จากนั้นได้พระราชทานย่ามที่ระลึกการเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปแก่พระสงฆ์ พระสงฆ์ถวายอดิเรกเสร็จแล้วพระองค์ได้เสด็จออกหน้าพลับพลา ข้าราชการมณฑลจันทบุรีและเมืองตราดตลอดจนราษฎรเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพร้อมกัน ผู้ว่าราชการเมืองตราดได้อ่านคำถวายพระพรชัยมงคล ในนามประชาชนเมืองตราด มีข้อความต่อไปนี้ คำถวายชัยมงคล ของประชาชนชาวเมืองตราด ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทาน พระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลพระกรุณาแทนบรรดาข้าราชการและประชาชนราษฎรอันล้วนร่วมฉันทสโมสร คำนึงถึงพระเดชพระคุณในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่ได้ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จมาถึงเมืองตราด ให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ถวายบังคมแทบเบื้องพระบาทยุคลในเวลาวันนี้ จำเดิมแต่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทราบความตามโทรเลขที่พระราชทานมาแต่ในเวลาเสด็จประพาสอยู่ ณ ประเทศยุโรปเมื่อ ณ เดือนกันยายน ทรงพระกรุณาดำรัสว่าจะเสด็จมาให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้เฝ้าถึงเมืองตราดนี้ ก็ได้พากันตั้งหน้าหมายตาคอยด้วยความยินดีที่จะได้ประสบมงคลสมัยอันนั้นอยู่ แต่มิได้คาดเลยว่าจะทรงพระราชอุตสาหเสด็จมาในเวลาขากลับจากประเทศยุโรปก่อนได้เสด็จคืนยังพระราชนิเวศน์มณเทียรสถานในพระราชธานีที่ได้เสด็จจรจากพรากไปแล้วเป็นช้านาน ที่สู้ทรงทรมานพระองค์เสด็จมาทั้งนี้จะพึงคิดเห็นได้แต่ด้วยเหตุอย่างเดียว คือ ว่าทรงพระเมตตาแก่ชาวเมืองตราดเหมือนอย่างบิดาที่มีความอาวรณ์ระลึกถึงบุตรแล้ว และมิได้คิดแก่ความลำบากยากเข็ญอย่างไร สู้ฝ่าฝืนทูรประเทศทางกันดารไปเพื่อแต่ที่จะให้เห็นหน้าบุตรเป็นที่ตั้ง ดังนี้ อันน้ำใจของประชาชนชาวเมืองตราด เมื่อได้แลเห็นพระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐในเวลาวันนี้ ความปิติยินดีตื้นเด็มอกไปทั่วหน้า พ้นวิสัยที่จะพรรณนาด้วยถ้อยคำให้ทรงทราบได้ว่า ความยินดีที่ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในครั้งนี้มีแก่ชาวเมืองตราดสักเพียงใด ถ้าจะมีที่เทียบเปรียบได้ก็แต่ด้วยความยินดีของพระชาลีนางกัณหาเมื่อได้กลับไปพบเห็นพระเวสสันดรและนางมัทรีที่กล่าวไว้ในกัณฑ์ฉขัติยบรรพนั้นพอจะนับว่าเป็นทำนองเดียวกันได้ด้วยประการทั้งปวง อำนาจความปิติยินดีที่มีทั่วหน้ากันในครั้งนี้กับทั้งอำนาจกุศลบุญราศีอันบังเกิดแต่ความกตัญญูกตเวทีของชาวเมืองตราด ซึ่งได้มีมั่นคงต่อฝต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททั้งในเวลาทุกข์และสุขสืบเสมอมาทุกเมื่อนี้ สมควรจะอ้างเป็นสัจจาธิษฐานแห่งข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งจะพร้อมกันทูลถวายพระชัยมงคลให้ประสิทธิในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทในเวลานี้ และด้วยอำนาจสัจจาธิษฐานนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายของพระราชทานถวายพรแด่ สมเด็จพระบรมนาถบพิตรพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขอให้ทรงพระเจริญสิริสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคล พระชนมายุสถาพร ขอให้ทรงมีชัยชำนะแก่อริราชดัสกรทั่วทิศานุทิศ และขอให้สรรพราชกิจประสิทธิ์สมดังพระราชหฤทัยจำนงจงทุกประการเทอญ ขอเดชะ๓๕ เมื่ออ่านจบแล้วได้บรรจุคำถวายชัยมงคลในกล่องงาซึ่งทำเป็นรูปกระบอกยอดเป็นพระเกี้ยวทองคำทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นได้มีพระราชดำรัสตอบ ดังต่อไปนี้ พระราชดำรัสตอบประชาชนชาวเมืองตราด ดูกรประชาชนอันเป็นที่รักของเรา ถ้อยคำซึ่งเจ้าทั้งหลายได้มอบฉันทะให้กล่าวเฉพาะหน้าเราเวลานี้เป็นที่จับใจอย่างยิ่ง สมัยเมื่อเราต้องพลัดพรากจากเขตแดนอันเป็นที่พึงใจซึ่งเราได้ใส่ใจบำรุงอยู่เมื่อนึกถึงประชาชนทั้งหลายอันเป็นที่รักใคร่คุ้ยเคยของเราต้องได้รับความเปลี่ยนแปลงอันประกอบไปด้วยความวิบัติไม่มากก็น้อย ย่อมมีความเศร้าสลดใจเป็นอันมาก เพราะเหตุฉะนั้น ครั้นเมื่อเราได้รับโทรเลขจากเมืองตราดในเวลาที่เราอยู่ในประเทศยุโรป เป็นสมัยเมื่อเราได้มาอยู่รวมกันอีกจึงมีความยินดีอย่างยิ่ง มีความปรารถนาที่จะใคร่ได้มาเห็นเมืองนี้และเจ้าทั้งหลายเพื่อจะได้ระงับความลำบากอันใดซึ่งจะเกิดขึ้นด้วยความเปลี่ยนแปลงและเพื่อจะได้ปรากฏเป็นที่มั่นใจแก่เจ้าทั้งหลายว่าการทั้งปวงจะเป็นที่มั่นคงยืนยาวสืบไป เจ้าทั้งหลายผู้ที่ได้ละทิ้งภูมิลำเนาจะได้กลับเข้ามาสู่ถิ่นฐานและได้ละเว้นการทำมาหากินจะได้มีใจอุตสาหะทำมาหากินให้บริบูรณ์ดังแต่ก่อนและทวียิ่งขึ้น ซึ่งเจ้าทั้งหลายคิดเห็นว่าเราเหมือนบิดาที่พลัดพรากจากบุตรจึงรีบมาหานั้นเป็นความคิดอันถูกต้องแท้ ขอให้เชื่ออยู่ในใจเสมอสืบไปในเบื้องหน้าดังเช่นที่คิดเห็นในครั้งนี้ว่า เราคงจะเป็นเหมือนบิดาของเจ้าเสมอตลอดไป ย่อมยินดีด้วยในเวลามีความสุข และจะช่วยปลดเปลื้องอันตรายในเวลามีภัยได้ทุกข์ บัดนี้เรามีความยินดีที่ได้เห็นเจ้าทั้งหลายมาสโมสรประชุมกัน ณ ที่นี้ด้วยหน้าตาอัน เบิกบาน ซึ่งเป็นพยานว่าถึงเราได้อยู่ในประเทศที่ไกล แต่รัฐบาลของเราได้จัดการต้อนรับเจ้าทั้งหลายโดยความเอื้อเฟื้อเป็นธรรม และมีความกรุณาสมดังความปรารถนาและคำสั่งของเราเป็นที่พอใจในความจงรักภักดีของเจ้าทั้งหลาย ทั้งในเวลาที่ล่วงมาแล้วและในเวลานี้จึงมีความปรารถนา ที่จะให้เมืองตราดนี้อยู่เย็นเป็นสุขสมบูรณ์และขออำนวยพรแก่ประชาราษฎรให้มีความเจริญสุขสิริสวัสดิ์ ทำมาค้าขึ้นบริบูรณ์มั่งคั่งสืบไปในภายหน้า๓๖ เมื่อจบพระราชดำรัสแล้วประชาชนได้เปล่งเสียง "สาธุ" พร้อมกัน จากนั้นได้พระราชทานพระแสงสำหรับเมือง๓๗ โดยผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้รับจากพระหัตถ์ และอัญเชิญขึ้นพาดไว้เหนือบันไดแก้วบนโต๊ะบูชา ประชาชนและข้าราชการได้พร้อมกันโห่ถวายพระพรชัยมงคล ๓ ครั้ง พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ พนักงานประโคมดนตรี หลังจากนั้นพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้พนักงานแจกเสมาที่ระลึกในการเสด็จประพาส ยุดรปให้แก่เด็กและหัวหน้าราษฎรทุกชาติทุกภาษาด้วย เสร็จแล้วพระะบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสถนนในเมืองแล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงท่าเรือในเวลา ๑๖ นาฬิกา เสด็จประทับเรือพระที่นั่งออกจากท่าเรือต่อไปยังเมืองจันทบุรี การแยกอำเภอทุ่งใหญ่ออกจากเมืองขลุง เมื่อจังหวัดตราดกลับคืนมาเป็นของไทยตามเดิมแล้ว ได้มีประกาศให้ยุบเมืองขลุงลงให้คงสภาพเป็นเพียงอำเภอขึ้นกับจังหวัดจันทบุรีตามเดิม ส่วนอำเภอทุ่งใหญ่ซี่งได้ประกาศให้ขึ้นกับเมืองขลุง เมื่อปี ๒๔๔๙ นั้น ให้โอนกลับมาขึ้นกับเมืองตราดต่อไปตามเดิม๓๘ การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล เทศาภิบาล แต่เดิมมาหัวเมืองต่าง ๆ มิได้มีการแบ่งออกเป็นท้องที่ย่อย ๆ คงเรียกชื่อเมือง และ หมู่บ้านเท่านั้นต่อมาในปี ๒๔๔๐ (ร.ศ. ๑๑๖) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตรา "ข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ร.ศ. ๑๑๖" ขึ้นไว้ โดยแบ่งมณฑลออกเป็นเมือง แต่ละเมืองแบ่งออกเป็นอำเภอแต่ละอำเภอแบ่งออกเป็นตำบล แบ่งเป็นหมู่บ้าน มีตำแหน่งผู้ว่าราชการเมือง นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้บังคับบัญชาปกครองดูแลลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ๓๙ ในเขตจังหวัดได้มีประกาศเกี่ยวกับการแบ่งเมืองต่างๆ ออกเป็นเมืองชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีการระบุชื่อ "เมืองตราด" ไว้ โดยขึ้นในเขตมณฑลจันทบุรี ๔๐ ตม "ข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ร.ศ. 122" การจัดรูปการปกครองในปัจจุบัน ระเบียบการบริหารราชการส่วนภูมิภาค จังหวัดตราด หรือเมืองตราด เดิมจัดแบ่งลักษณะการปกครอง เมืองตราดออกเป็นอำเภอ ๓ อำเภอ ปรากฏหลักฐานที่พระบริหารเทพธานี รวบรวมไว้ว่า๔๑ เมืองตราดในสมัยพระยาพิพิธพิไสยสุนทรการ (สุข ปรัชญานนท์) เป็นผู้ว่าราชการเมือง (พ.ศ. ๒๔๔๒-๒๔๔๗) ดังนี้ ๑. อำเภอเมือง ตั้งอยู่ที่ตำบลบางพระ มีตำบลรวม ๒๓ ตำบล คือ บางพระ เกาะกันเกรา หนองเสม็ด หนองคันทรง แหลมหิน ห้วงน้ำขาว อ่าวญวน หนองโสน น้ำเชี่ยว แหลมงอบ บางปิด ปลายคลอง วังแจะ คลองใหญ่ (เขาสมิง) ห้วงแร้ง ตะกางแหลมฆ้อ ยายหลิ่ว ท่าพริก ชำราก คลองใหญ่ (แหลมงอบ) แหลมกลัด และท่าลุ่ม (คงเป็นท่ากุ่ม) มี ขุนศรีวิไชย เป็นนายอำเภอ (ส่วนคลองใหญ่ปัจจุบันเดิมขึ้นกับเมืองปัจจันตคีรีเขตต์) ๒. อำเภอศรีบัวทอง ตั้งอยู่ที่บ้านท่าฉาง๔๒ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำคลองใหญ่มีตำบล ๑๐ ตำบล คือ ศรีบัวทอง ท่าโสม แสนตุ้ง สะตอ ช้างทูน ประณีต บ่อนาวง ด่านชุมพร ตากแว้ง ท่าฉาง มีนายปลั่งเป็นนายอำเภอ๔๓ ๓. อำเภอเกาะช้าง ตั้งอยู่ที่บ้านด่านใหม่ (บ้านคลองนนทรีปัจจุบัน) ท้องที่อำเภอนี้เป็นเกาะทั้งหมด คือ เกาะช้าง เกาะกูด เกาะม้า (เกาะหมาก) เกาะกระดาษ เกาะไม้ซี้ใน เกาะไม้ชี้นอก เกาะคลุ้ม เกาะขาน (เกาะจาน) และเกาะเล็ก ๆ อีกมากมายรวม ๔๑ เกาะ ตั้งเสนาหลาย (ชื่อเสนา) เป็นนายอำเภอ๔๔ อำเภอศรีบัวทองนั้น น่าจะมีการแบ่งแยกออกเป็นอำเภอใหญ่อีกอำเภอหนึ่งชื่อ "อำเภอทุ่งใหญ่ ในสมัยต่อมา ๆ มา แต่ไม่พบหลักฐานยืนยันว่าเป็นปีใดแน่ และต่อมามีประกาศยุบอำเภอ ศรีบัวทองเข้าเป็นอำเภอเดียวกันกับอำเภอทุ่งใหญ่เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๓๔๕ เหตุที่ยุบอำเภอศรีบัวทองนี้เข้าใจว่าคงเป็นเพราะราษฎรที่มีอาชีพขุดพลอยกันมาแต่เดิมนั้น ได้พากันอพยพออกไปทำมาหากินที่อื่น ทำให้หมู่บ้านต่าง ๆ กลายเป็นหมู่บ้านร้างไป ซึ่งถ้าศึกษาจากแผนที่สมัยหลัง๔๖ จะพบชื่อหมู่บ้านร้างอยู่หลายหมู่บ้านด้วยกันในบริเวณดังกล่าวนี้ ต่อมาระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๖-๒๔๖๔ ในสมัยพระตราษบุรีศรีสมุทร์เขต (ธน ณ สงขลา) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น ได้มีการจัดตั้งกิ่งอำเภอ เพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่งเรียกว่า กิ่งอำเภอคลองใหญ่ ให้ขุนชำนิ บำราบพาล (คอย อภิบาลศรี) เป็นปลัดกิ่งอำเภอ๔๗ บริเวณที่ตั้งกิ่งอำเภอคลองใหญ่นี้ แต่เดิมขึ้นกับเมืองปัจจันตคีรีเขตต์ และเมืองนี้ถูกฝรั่งเศสยึดครองพร้อมกับเมืองตราดในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๔๙ หลังจากเมืองตราดหลุดพ้นจากการยึดครองของฝรั่งเศสแล้วได้มีการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาขึ้น ทำให้บริเวณกิ่งอำเภอคลองใหญ่กลับเป็น่ของไทย ส่วนเมืองปัจจันตคีรีเขตต์ ฝรั่งเศสมิยอมคืน ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรด- เกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่า "เมือง" มาเป็น "จังหวัด" แทนทั้งหมด๔๘ สำหรับจังหวัดตราด ได้มีประกาศเปลี่ยนชื่อ อำเภอต่าง ๆ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ โดยเปลี่ยนชื่อ "อำเภอเมือง" เป็น "อำเภอบางพระ" และอำเภอทุ่งใหญ่" เป็น "อำเภอเขาสมิง" ส่วนกิ่งอำเภอคลองใหญ่ ยังคงใช้ชื่อเดิมอยู่๔๙ ต่อมาได้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนชื่ออำเภอบางพระเป็น อำเภอเมืองตราด เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๘๑๕๐ และเปลี่ยนชื่ออำเภอเกาะช้าง เป็น อำเภอแหลมงอบ เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๔๘๒๕๑ จากหลักฐานของกรมแผนที่ทหารบก แสดงจังหวัดจันทบุรี มาตราส่วน ๑ : ๕๐,๐๐๐ ระวาง ๔.๔๘.๑๙ สำรวจ พ.ศ. ๒๔๕๕, ๒๔๕๖ และ ๒๔๕๗ จัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๖๐, ๒๔๖๑, ๒๔๖๒ และ ๒๔๖๘ แบ่งเขตอำเภอดังนี้ ๑. อำเภอเมือง มี ๑๗ ตำบล คือ บางพระ วังแจะ หนองเสม็ด หนองคันทรง แหลมหิน ห้วงน้ำขาว อ่าวญวน หนองโสน ปลายคลอง ห้วยแร้ง แหลมฆ้อ ยายหลิ่ว ท่าพริก ชำราก ตะกาง แหลมกลัด และท่ากุ่ม ๒. อำเภอเขาสมิง มี ๑๐ ตำบล คือ เขาสมิง แสนตุ้ง ศรีบัวทอง สะตอ ด่านชุมพร ช้างทูน ประณีต บิ่นนาวง ตากแว้ง และท่าฉาง ๓. อำเภอเกาะช้าง มี ๕ ตำบล คือ น้ำเชี่ยว แหลมงอบ บางปิด เกาะช้าง และเกาะหมาก เปลี่ยนอำเภอเกาะช้างเป็นอำเภอแหลมงอบ ๔. กิ่งอำเภอคลองใหญ่ มีตำบลเดียว คือ ตำบลคลองใหญ่ การเปลี่ยนแปลงเขตอำเภอ เขตตำบล และเขตหมู่บ้าน ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ขอสรุปดังนี้ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๗๙ โอนตำบลแหลมกลัด อำเภอคลองใหญ่ ขึ้นอำเภอบางพระ (อำเภอเมืองตราด)๕๒ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๑ ยุบตำบลบ้านแหลมหินรวมกับตำบลหนองคันทรง ยุบตำบล ปลายคลองรวมกันกับตำบลวังแจะ และโอนหมู่บ้านบางหมู่บ้านในตำบลบางพระขึ้นตำบลหนองเสม็ด๕๓ ๒๕ กันยายน ๒๔๘๒ เปลี่ยนชื่อตำบลอ่าวญวน เป็นตำบลอ่าวใหญ่๕๔ ๔ ธันวาคม ๒๔๘๕ เปลี่ยนแปลงเขตตำบลในเขตอำเภอเมือง และเขตอำเภอเขาสมิง๕๕ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๐ โอนเกาะกูดเกาะไม้ซี้ จากตำบลเกาะช้าง อำเภอแหลมงอบขึ้นตำบลคลองใหญ่ กิ่งอำเภอคลองใหญ่๕๖ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องตั้งตำบลในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งประกาศ ณ วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๔๙๐ และเรื่องตั้ง และเปลี่ยนแปลงเขตตำบลในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งประกาศ ณ วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๔๙๑ นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลง หมู่บ้าน ตำบล และอำเภอต่าง ๆ ในเขตอำเภอเมือง ๓ ตำบล ๑๑ หมู่บ้าน เขตอำเภอเขาสมิง ๓ ตำบล ๑๑ หมู่บ้าน๕๗ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๑ โอนเกาะกูด ตำบลคลองใหญ่ กิ่งอำเภอคลองใหญ่ตั้งเป็นหมู่ ๙ ตำบลเกาะช้าง อำเภอแหลมงอบ๕๘ ๑๙ มิถุนายน ตั้งตำบลเกาะหมาก อำเภอแหลมงอบ๕๙ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๑ เปลี่ยนแปลงเขตอำเภอไม้รูด กิ่งอำเภอคลองใหญ่ ให้มีหมู่บ้าน ๓ หมู่บ้าน ตำบลหาดเล็ก ๓ หมู่บ้าน๖๐ ๓ ธันวาคม ๒๕๐๒ ตราพระราชกฤษฎีกา จัดตั้งกิ่งอำเภอคลองใหญ่ เป็นอำเภอคลองใหญ่๖๑ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๓ ประกาศกระทรวงมหาดไทย แบ่งอำเภอเขาสมิง ตั้งเป็นกิ่งอำเภอ บ่อไร่ มี ๓ ตำบล คือ ตำบลบ่อพลอย ตำบลช้างทูน และตำบลด่านชุมพล๖๒ ต่อมาได้ ตั้งตำบลหนองบอน ขึ้นอีกเมื่อ ๒ สิงหาคม ๒๕๑๙๖๓ ๑๓ กรกฏาคม ๒๕๒๔ มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะกิ่งอำเภอบ่อไรเป็นอำเภอบ่อไร่๖๔ ในปัจจุบัน (๒๕๒๖) จังหวัดตราดแบ่งเขตการปกครองท้องที่เป็น ๕ อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอเขาสมิง อำเภอคลองใหญ่ อำเภอแหลมงอบ และอำเภอบ่อไร่ ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ๑. การจัดตั้งเทศบาล จัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเทศบาล เมืองตราด จังหวัดตราด พุทธศักราช ๒๔๗๘ ซึ่งตราไว้เมื่อ ๗ ธันวาคม ๒๔๗๘ ตามพระราชกฤษฎีกามาตรา ๔ ดังนี้ ด้านเหนือ ตั้งแต่หลักเขตต์ที่ ๑ ต้นทางเดินวัดกลางด้านเหนือตรงไปทิศตะวันออกถึงหลักเขตต์ที่ ๒ ริมถนนไปตำบลวังกระแจะ๖๕ ฝั่งตะวันตก ข้ามถนนนั้น ตัดตรงผ่านทุ่งนาไปยังเขตต์ที่ ๓ ริมถนนไปท่าเรือจ้างฝั่งเหนือ ด้านตะวันออก ตั้งแต่หลักเขตต์ที่ ๓ ข้ามถนนไปท่าเรือจ้างถึงหลักเขตต์ที่ ๔ ระยะทาง จากหลักเขตต์ที่ ๓ นั้น ๕๒๘ เมตร ด้านใต้ ตั้งแต่หลักเขตต์ที่ ๔ ตัดตรงเป็นมุมฉากถึงหลักเขตต์ที่ ๕ ริมแม่น้ำบางพระ ฝั่งตะวันออกข้ามแม่น้ำถึงหลักเขตต์ที่ ๖ ริมแม่น้ำบางพระฝั่งตะวันตก เลียบตามริมแม่น้ำบางพระฝั่งใต้ถึงหลักเขตต์ที่ ๗ ริมถนนจะไปอำเภอเกาะช้างฝั่งตะวันออก ข้ามถนนเลียบตามริมแม่น้ำบางพระฝั่งใต้ของหลักเขตต์ที่ ๘ ริมเชิงสะพานเกาะกันเกราตะวันออกเฉียงใต้ ข้ามแม่น้ำถึงหลักเขตต์ที่ ๙ ตรงริม เชิงสะพานเกาะกันเกราฝั่งเหนือ ด้านตะวันตก ตั้งแต่หลักเขตต์ที่ ๙ เลียบริมทางเดินวัดโบสถ์ด้านตะวันตกไปบรรจบหลักเขตต์ที่ ๑๖๖ ต่อมาเมื่อ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๔ ได้มีพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตเทศบาล เมืองตราด พ.ศ. ๒๕๐๔ ทำให้เทศบาลเมืองตราดมีเนื้อที่ ๒.๕๒ ตารางกิโลเมตร๖๗ ๖๗ ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๗๘ ตอนที่ ๙๗ วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๐๔ หน้า ๑๒๔๗-๑๒๕๐ ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรสมัย, ๒๕๒๗. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:35:06 เชียงราย
๑. สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ครั้นพ่อขุนเมงราย ประสูติแล้ว และเมื่อเจริญพระชันษาได้ ๒๑ พรรษา ได้เสวยราชย์ครอบครองสมบัติ ที่เมืองหิรัญนครเงินยาง เมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๒ พระองค์ให้เจ้าพระยามหานครทั้งหลายไปถวายบังคม หากเจ้าเมืองขัดขืนก็แต่งตั้งกองทัพออกไปปราบปราม ตีได้เมืองมอบ เมืองไร เมืองเชียง-คำ แล้วปลดเจ้าผู้ครองนครเหล่านั้น แต่งตั้งขุนนางของพระองค์ครองเมืองนั้นแทน ต่อมาหัวเมืองทั้งหลาย เช่น เมืองเชียงช้าง เป็นต้น ก็พากันมาอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้น เพราะเกรงเดชานุภาพ ของพ่อ-ขุนเมงราย เมื่อพ่อขุนเมงรายได้ทรงรวบรวมหัวเมืองฝ่ายเหนือในอาณาเขตรอบ ๆ ได้แล้ว จีงดำริจะทรงกรีฑาทัพไปแสดงฝีมือในด้านการยุทธต่อหัวเมืองฝ่ายใต้ลงมา จึงไปรวมพล ณ เมืองลาวกู่เต้า เผอิญช้างมงคล (ช้างพระที่นั่ง) ของพระองค์ได้พลัดหายไป พ่อขุนเมงรายจึงเสด็จติดตามรอยช้างไปจนถึงดอยจอมทอง ริมแม่น้ำกก เห็นภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์เป็นชัยภูมิที่ดี จึงให้สร้างเมืองใหม่ขึ้น โดยก่อปราการโอบเอาดอยจอมทองไว้ในท่ามกลางขนานนามเมืองว่า "เมืองเชียงราย" ใน พ.ศ. ๑๘๐๕ แล้วพ่อขุนเมงรายก็อพยพจากเมืองหิรัญนครเงินยางมาประทับอยู่ ณ เมืองเชียงราย ต่อมาอีก ๓ ปี พ่อขุนเมงรายก็ไปตั้งเมืองใหญ่ขึ้นอีกเมืองหนึ่ง ณ ตำบลเมืองฝาง (เมืองไชยปราการเดิม) ต่อจากนั้นอีกหนึ่งปีก็ยกกองทัพไปตีเมืองผาแดงเชียงของ เมื่อได้เมืองผาแดงเชียงของแล้ว กลับมาประทับ ณ เมืองฝางอีกประมาณ ๖ ปี จึงได้ยกกองทัพไปตีเมืองเชิงแล้วก็ทรงกลับมาประทับเมืองฝางตามเดิม พ่อขุนเมงรายมีพระโอรส ๓ องค์ คือ ๑. เจ้าเครื่อง ๒. เจ้าราชบุตรคราม ๓. เจ้าราชบุตรเครือ เมืองฝางที่พ่อขุนเมงรายประทับอยู่ติดกับแว่นแคว้นลานนา พ่อค้าวาณิชย์ชาวเมืองหริ-ภุญไชย ไปมาค้าขายที่เมืองฝาง พ่อขุนเมงรายทราบว่าเมืองหริภุญไชยเป็นเมืองมั่งคั่งสมบูรณ์ก็อยากได้ไว้ในอำนาจ ก็ทรงแต่งตั้งให้อ้ายฟ้า เข้าไปเป็นไส้ศึกอยู่ในเมืองหริภุญไชยในปี พ.ศ. ๑๘๑๘ และใน พ.ศ. ๑๘๒๔ พ่อขุนเมงรายก็ยกกองทัพมาตีเอาหริภุญไชยได้ จึงให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ คือขุนเครื่องไปครองเมืองเชียงราย ขุนเครื่องหลงเชื่อถ้อยคำ ขุนใสเรืองคิดการกบฎ พ่อขุนเมงรายจึงให้อ้ายเผียนไปซุ่มดักยิงด้วยหน้าไม้ปืนยา (หน้าไม้อาบยาพิษ) ถูกขุนเครื่องตายแล้วใส่สถาปนาเจ้าราชบุตรคราม โอรสองค์ที่ ๒ สืบราชสมบัติเมืองเชียงรายแทน ใน พ.ศ. ๑๘๑๙ พ่อขุนเมงรายได้ยกกองทัพมาติดเมืองพะเยา พระยางำเมืองเห็นว่าจะสู้ด้วยกำลังไม่ได้ จึงยกกองทัพออกไปรับปลายแดน ต้อนรับด้วยไมตรี แล้วยกตำบลบ้านปากน้ำให้แก่พ่อขุนเมงราย ซึ่งพระองค์ก็ทรงรับปฏิญาณเป็นมิตร ต่อมาอีก ๔ ปี พ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนเมงราย พระยางำเมือง ได้ทรงกระทำสัตย์ปฏิญาณต่อกัน โดยทรงเอาโลหิตที่นิ้วพระหัตถ์ผสมกับน้ำสัตย์ เสวยทั้ง ๓ พระองค์ สัญญาว่าจะไม่เบียดเบียนกันตลอดชีวิต ในปี พ.ศ. ๑๘๒๙ พ่อขุนเมงรายทรงสร้างเมืองใหม่ชื่อ เวียงกุมกาม (ในท้องที่ อ. สารภี จ. เชียงใหม่) เป็นที่ประทับและในปีนั้นได้ยกกองทัพไปตีเมืองหงสาวดี พวกมอญยอม อ่อนน้อมโดยดี ได้เครื่องราชบรรณาการและราชธิดามอญมาเป็นบาทบริจาริกา ในปี พ.ศ. ๑๘๓๒ ได้ยกกองทัพไปตีเมืองพุกามของพม่าได้สำเร็จ ได้พาเอาช่างฝีมือพม่ามาทำงานที่อาณาจักรลานนาไทยหลายสาขา ในปี พ.ศ. ๑๘๓๔ ได้พิจารณาสร้างเมืองใหม่ ณ บริเวณเชิงดอยสุเทพ โดยมีพ่อขุนรามคำแหง และพระยา-งำเมือง ช่วยวางผังเมืองให้สร้างเมืองเสร็จในปี พ.ศ. ๑๘๓๙ โดยขนานนามว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" แล้วทรงทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เมงราย และสถาปนาอาณาจักรลานนาไทย ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๑๘๖๐ พ่อขุนเมงรายมหาราชได้เสด็จประพาสตลาดในเมืองเชียงใหม่ ถูกอสนีบาต (ฟ้าผ่า) สวรรคตลง พระยาไชยสงคราม (เดิมชื่อเจ้าราชบุตรครามได้รับสถาปนาเป็นพระยาไชยสงคราม) เนื่องจากอาสาพระบิดายกทัพไปรบกับกองทัพของพระยาเบิก เจ้าเมืองเขลางค์ จนมีชัยชนะ เมื่อได้จัดการถวายพระเพลิงพระศพพ่อขุนเมงรายมหาราชแล้ว ได้สถาปนาให้พระยาแสนภูราชโอรสองค์ใหญ่พระชนมายุ ๔๑ พรรษา ขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ ใน พ.ศ. ๑๘๖๑ ส่วนพระยาไชยสงคราม กลับไปประทับที่เมืองเชียงราย พ.ศ. ๑๘๗๐ พระยาไชยสงครามสวรรคตพระยาแสนภู จึงให้เจ้าคำฟู โอรส-องค์ใหญ่ครองเมืองเชียงใหม่ส่วนพระองค์กลับไปครองเมืองเชียงราย พ.ศ. ๑๘๗๑ พระยาแสนภู มีพระประสงค์จะสร้างนครอยู่ใหม่ ต้องการชัยภูมิที่ดีจึงให้เสนาอำมาตย์ไปตรวจตราสถานที่ จึงได้เมืองเก่ารอบริมแม่น้ำโขง อันเป็นบริเวณเมืองโบราณของเมืองไชยบุรี จึงได้สร้างเมืองขึ้น ณ สถานที่นั้น โดยเอาแม่น้ำโขงเป็นคูปราการด้านตะวันออกอีก ๓ ด้าน ให้ขุดคูโอบรอบนครไว้ ทำพิธีฝังหลักเมืองเมื่อวันศุกร์ เดือน ๕ หรือเดือน ๗ เหนือ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. ๑๘๗๑ และขนานนามเมืองใหม่ว่า "หิรัญนครชัยบุรีศรีเชียงแสน" ปัจจุบันนี้เรียกว่าเชียงแสน หรือเวียงเก่า ๒. สมัยกรุงศรีอยุธยา กษัตริย์ราชวงศ์เมงราย ได้ครอบครองราชสมบัติเมืองเชียงแสนสืบ ๆ มา จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๑๙๐๘ มีพวกฮ่อมารบกวนแต่ก็ถูกตีแตกพ่ายไป พระเจ้าสามฝั่งแกน เจ้านครเชียงใหม่ได้ตั้งให้เจ้าขุนแสน ลูกพระยาวังพร้าวไปครองเมืองเชียงแสน สถาปนาให้เป็น "พระยาสุวรรณคำล้านนาไชย-สงคราม" ต่อมาสมัยพระยากมลเป็นเจ้าเมืองเชียงแสน ซึ่งขณะเดียวกันกับพระเจ้าเมกุฎิราช ครองเมืองเชียงใหม่ ใน พ.ศ. ๒๑๐๑ เชียงใหม่ เชียงราย และเชียงแสน ตลอดจนหัวเมืองฝ่ายเหนือ ได้ตกลงเป็นของยินนอง (บุเรงนอง) เจ้ากรุงหงสาวดีและตกอยู่ในความปกครองพม่านับตั้งแต่นั้นมา ๓. สมัยกรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ยกกองทัพมาปราบปรามขับไล่พม่าทางหัวเมืองฝ่ายเหนือแต่ก็ไม่สำเร็จเด็ดขาด ในราว พ.ศ. ๒๓๔๗ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์จักรีกรมหลวงเทพหริรักษ์ พระยายมราช ยกกองทัพขึ้นไปขับไล่พม่าออกจากเชียงแสนได้สำเร็จ และให้เผาเมืองเชียงแสนเสียสิ้นกวาดต้อนผู้คนพลเมืองประมาณ ๒๓,๐๐๐ ครอบครัวแบ่งเป็น ๕ ส่วน แต่ละส่วนให้ไปอยู่เมืองเชียงใหม่ ลำปาง น่าน เวียงจันทน์ และอีกส่วนหนึ่งลงมายังกรุงเทพฯ แล้วโปรดฯ ให้ตั้งอยู่ที่สระบุรี ราชบุรี ๔. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๔๑๒ ในสมัยของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เจ้าอุปราชเจ้า-ราชวงศ์นครเชียงใหม่ มีใบบอกข้อราชการไปยังกรุงเทพฯ ว่า พม่า ลื้อ เขิน จากเมืองเชียงตุง ๓๘๑ คน ยกครอบครัวมาอยู่เมืองเชียงแสน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตอบไปให้เจ้าอุปราชว่าให้จัดการแต่งคนไปว่ากล่าวให้พวกพม่า ลื้อ เขิน เหล่านั้นถอยออกไปจากราชอาณาเขตไทยเสีย แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะพวกนั้นไม่ยอมออกไป พ.ศ. ๒๔๑๗ เจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าครองนครเชียงใหม่ เกณฑ์ไพร่พลจากเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน จำนวนทั้งสิ้น ๔,๕๐๐ คน ยกออกจากเมืองเชียงใหม่ไปเชียงรายและเชียงแสนไล่ต้อนพวกพม่า ลื้อ เขิน เหล่านั้นออกจากเชียงแสนตั้งแต่นั้นมา เชียงแสนก็เป็นเมืองร้าง รัชกาลที่ ๕ จึงได้โปรดให้เจ้าอินต๊ะ บุตรเจ้าบุญมา (เจ้าบุญมาเป็นน้องเจ้ากาวิละ เจ้าครองนครเชียงใหม่) เจ้าผู้ครองนครลำพูนเป็นหัวหน้านำราษฎรเมืองลำพูน เชียงใหม่ ประมาณ ๔,๕๐๐ ครอบครัว ไปหักร้าง-ถางพงที่เมืองเชียงแสนเดิม เพื่อให้เป็นเมืองใหม่ เจ้าอินต๊ะ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นพระยาราชเดชดำรง ตำแหน่งเจ้าเมืองเชียง-แสน เจ้าเมืองหัวเมืองฝ่ายเหนือมี ๕ ชื่อ ประจำเมืองต่าง ๆ คือ พระยาประเทศอุดรทิศ เจ้าเมืองพะเยา พระยามหิทธิวงศา เจ้าเมืองฝาง พระยารัตนาเขตต์ เจ้าเมืองเชียงราย พระยาราชเดชดำรง เจ้าเมืองเชียงแสน พระยาจิตวงศ์วรยรังษี เจ้าเมืองเชียงของ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีสหเทพ (เสง วิริยศิริ) จัดการปกครองมณฑลพายัพชั้นใน พระยาศรีสหเทพ จึงร่างข้อบังคับสำหรับที่ว่าการเมือง เรียกว่า "เค้าสนาม- หลวง" คือจัดให้มี กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แต่ละแคว้นขึ้นกับเมืองเรียกว่า "เจ้าเมือง" เมืองขึ้นกับบริเวณเรียกว่า "ข้าหลวงบริเวณ" ข้าหลวงบริเวณขึ้นกับ "เค้าสนามหลวง" จัดการเก็บเงินรัชชูปการเรียกว่า "ค่าแรงแทนเกณฑ์" คนหนึ่งปีละ ๔ รูปี (ต่อมาเรียก ๔ บาท) ในที่สุดวิธีการนี้ได้จัดทำขึ้นเป็นพระราชบัญญัติเรียกว่า "พระราชบัญญัติตั้งมณฑลพายัพ" ตั้งนครเชียงใหม่เป็นที่ตั้งมณฑล เมืองเชียงแสน สมัยนี้ขึ้นต่อกระทรวงกลาโหม และต่อมา เมื่อประกาศให้ใช้พระราช-บัญญัติปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๒๕๗ จึงมาขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๒๔๐ พระอาราชดำรงถึงแก่กรรมต่อมาเกิดมีพวกไทยใหญ่รวมกันเป็นโจรเข้าปล้นเมือง บุตรพระยาราชเดชดำรงกับญาติและไพร่พลช่วยกันต่อสู้ชนะและปราบปรามได้สำเร็จ พ.ศ. ๒๔๔๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งนายไชยวงศ์ บุตรพระยาราชเดชดำรงเป็นพระราชเดชดำรง สืบสกุลแทนบิดา และต่อมาย้ายที่ทำการมาตั้งที่ตำบลกาสา ตั้งเป็นอำเภอปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอแม่จัน ส่วนเมืองเชียงแสนเดิมให้เป็นกิ่งอำเภอเชียงแสนหลวงซึ่งในสมัยต่อมาก็ได้ยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอเชียงแสน พ.ศ. ๒๔๔๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้ง นายคำหมื่น บุตรพระราชเดชดำรง (เจ้าอินต๊ะ) เป็นพระยาราชบุตรขึ้นกับเมืองเชียงรายในสมัยนั้นเจ้าพระยาสุรสีห์วิศิษฐ์ศักดิ์ (ไชย กัลยาณมิตร) เป็นเสนาบดีและองค์มนตรีสมุหเทศาภิบาลพายัพประจำมณฑลพายัพ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๕๓ หรือ ร.ศ. ๑๒๙ ได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย ยกเมืองเชียงราย ขึ้นเป็นเมืองเชียงราย อันรวมอยู่ในมณฑลพายัพฯ การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีกระทรวงมหาดไทย ในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้วจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการในท้องที่ต่าง ๆ ระบบการ ปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบอบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อยและเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือ ระบบกินเมือง ให้หมดไป การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใดก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ ๆ ส่วนหัวเมืองอื่น ๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวางในสมัยที่สมเด็จเจ้าบรมวงศ์เธอกรม-พระยาดำรงราชานุภาพดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ การเทศาภิบาล ซึ่งพระยาราชเสนา (ศิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูล-ฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำอยู่แต่ในราชธานีนั้นออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาคเป็นสื่อกลางระหว่างประชากรของประเทศ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากรัฐบาลที่อยู่ในกรณีให้ได้ใกล้ชิดกับอาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชประเทศชาติด้วย ฯลฯ จึงแบ่งเขตการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับกันดังนี้ คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑลรองถัดไปเป็นเมือง คือ จังหวัดรองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวง ทบวงกรมของราชธานีและจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อยและรวดเร็วแก่ราชการและกิจธุระของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้ การเทศาภิบาล นั้น หมายความรวมว่า เป็น ระบบ การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า การปกครองส่วนภูมิภาค ส่วน มณฑลเทศาภิบาลนั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดการปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกันแต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบการปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มี พระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพาและมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตก บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้น-มา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ก็ได้จัดตั้งเป็นลำดับดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีน มณฑลราชบุรี ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่และในตอนปลายนี้ เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนคร-ชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี และในปีเดียวกันนั้นเอง มณฑลเพชรบูรณ์ตั้งขึ้น พ.ศ. ๒๔๔๒ (ดูการเทศาภิบาล) ร.ศ. ๑๑๘ (๒๐ บท และกฎหมายประจำค่า) พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่า ๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี ระยอง และตราด พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. ๒๔๕๔ ประกาศยกเมืองเชียงรายเป็นเมืองจัตวา รวมอยู่ในมณฑลพายัพ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๔ (รศ. ๑๒๙) พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑาพายัพ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดเป็นผู้บริหารเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑. การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒. เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓. เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวงเป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔. รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิ-ภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓. ในฐานะของคณะกรรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิบัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ได้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น คณะกรรมการจังหวัดประกอบด้วยปลัดจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดซึ่งกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ส่งมาประจำ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะกรรมการจังหวัดโดยตำแหน่ง และในกรณีที่มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด ให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมเป็นคณะกรรมการจังหวัดด้วย ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย, พุทธศักราช ๒๕๒๗, หน้า ๔๓-๕๒ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:35:35 กำแพงแพชร
สมัยก่อนสุโขทัย หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่พอจะตรวจสอบได้ของชุมชนโบราณแถบนี้ ได้แก่ ตำนานสิงหนวติกุมารซึ่งกล่าวถึง อาณาเขตของโยนกนคร ในสมัยพระยาอชุตราชาว่าทิศใต้จดชายแดนลวะรัฐ (ละโว้) ที่สบแม่ระมิง (ปากแม่น้ำปิง) ความนี้ส่อให้เห็นว่าดินแดนเมืองกำแพงเพชรแต่โบราณนั้น เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโยนกนครด้วยและจากตำนานฉบับเดียวกันนี้บันทึกว่า พระองค์ชัยศิริ ได้ละทิ้งเวียงไชยปราการหนีข้าศึกลงมาตั้งเมืองใหม่ชื่อว่า เมืองกำแพงเพชร แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีอื่นใดที่จะระบุได้แน่ชัดว่า เมืองกำแพงเพชรของพระองค์ชัยศิริ จะเป็นเมืองเดียวกับเมืองกำแพงเพชรในปัจจุบัน แต่ก็มีผู้สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเมืองเดียวกับเมืองไตรตรึงส์หรือเมืองแปป ซึ่งเป็นเมืองเก่าอยู่ทางฝั่งตะวันตกของลำน้ำปิง หรือเทพนครซึ่งอยู่บนฝั่งตะวันออกของลำน้ำปิง ซึ่งพบร่องรอยการเป็นเมืองโบราณทั้งสองแห่ง จากหลักฐานดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า ชุมชนดั้งเดิมแถบนี้เป็นคนไทยที่มีสายสัมพันธ์กับคนไทยในอาณาจักรลานนาไทย (โยนกนคร) หลักฐานสำคัญก่อนสุโขทัยอีกฉบับหนึ่ง ได้แก่ตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ตอนที่ว่าด้วยพระ สีหลปฏิมาหรือพระพุทธสิหิงค์ ได้กล่าวถึงบ้านโค ซึ่งตามทางสันนิษฐานว่าน่าจะหมายถึงบ้านโคน หรือเมืองคนที ว่าเป็นบ้านเดิมของโรจราช หรือพระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย สมัยสุโขทัย เมืองและชุมชนโบราณในกลุ่มเมืองกำแพงเพชรสมัยสุโขทัยที่ปรากฏชื่อในศิลาจารึก ได้แก่เมืองนครชุม เมืองชากังราว เมืองคนที เมืองบางพาน เมืองเหล่านี้บางเมืองอาจเคยเป็นบ้านเมืองมาแล้วก่อนสมัยสุโขทัย แต่ในสมัยสุโขทัยตอนต้นเมืองนครชุมเป็นเมืองหลักในบริเวณนี้ โดยมีเมืองชากังราวเป็นเมืองเล็กๆ ร่วมสมัยอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง ตรงข้ามเมืองนครชุม เมื่อแรกเริ่มเป็นเมืองลูกหลวงของกรุงสุโขทัย ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ส่งผู้ใดมาปกครอง ที่เมืองชากังราวฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง ตรงข้ามกับเมืองนครชุมนั้นสมเด็จพระเจ้าบรม-วงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในประชุมปาฐกถาตอนที่ว่าด้วย "พงศาวดารกรุงสุโขทัยคราวเสื่อม" ว่าน่าจะสร้างขึ้นเป็นเมืองลูกหลวงคู่กับเมืองศรีสัชนาลัยในรัชกาลพระเจ้าเลอไทย ซึ่งหากจะเทียบกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ตอนนี้ที่เมืองศรีสัชนาลัยนั้น พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) เป็นอุปราชครองเมืองอยู่ ส่วนที่เมืองชากังราวนั้นพระยางั่วนำทัพเรือจากเมืองชากังราวเสด็จไปยึดเมืองสุโขทัยเป็นเหตุให้พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) อุปราชเมืองศรีสัชนาลัยต้องยกทัพไปปราบปราม แล้วจึงขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครองกรุงสุโขทัย ในรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) เมืองนครชุมและเมืองชากังราวมีความสำคัญมากขึ้น ดังมีหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ ๓ ว่า "ศักราช ๑๒๗๙ ปีระกา เดือน ๔ ออก ๕ ค่ำ วันศุกร์ หนไทย กัดเล้า บูรพผลคุณี นักษัตรเมื่อยามอันสถาปนานั้น เป็น ๖ ค่ำ แลพระยาลือไทยราช ผู้เป็นลูกพระยาเลอไทย เป็นหลานแก่พระยารามราช เมื่อได้เสวยราชย์ในเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย ได้ราชาภิเษก อันฝูงท้าวพระยาทั้งหลายอันเป็นมิตรสหายอันมีในสี่ทิศนี้ แต่งกระยาดงวาย ของฝากหมากปลามาไหว้อันยัดยัญอภิเษกเป็นท้าวเป็นพระยา จึงขึ้นชื่อศรีสุริยพงศ์มหาธรรมราชาธิราช หากเอาพระศรีรัตนมหาธาตุอันนี้มาสถาปนาในเมืองนครชุมนี้ ปีนั้น "(๑) ศิลาจารึกหลักที่ ๓ หรือที่เรียกว่า จารึกนครชุมนี้ ได้กล่าวถึงเมืองบางพาน เมืองคนทีว่าเป็นเมืองที่ขึ้นแก่กรุงสุโขทัย มีเจ้าปกครอง ที่เมืองบางพานนี้ ยังโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระพุทธบาท ที่เขานางทองแห่งหนึ่ง ในปลายรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ปรากฏหลักฐานในชินกาลมาลีปกรณ์ว่า เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) เสด็จมาประทับที่เมืองชัยนาท (ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร ตีความว่าคือสองแควหรือพิษณุโลก(๒)) หลังจากที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ (๑) (พระเจ้าอู่ทอง) ยกกองทัพมายึดไปได้และทรงคืนให้ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ได้โปรดให้พระมหาเทวีผู้เป็นพระ-กนิษฐา ทรงครองเมืองสุโขทัยแทนให้อำมาตย์ชื่อติปัญญา (พระยาญาณดิส) มาครองเมืองกำแพงเพชร (ผูกเป็นศัพท์ภาษาบาลี วชิรปราการ) ในสมัยนี้เอง ติปัญญาอำมาตย์ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานในเมืองกำแพง- เพชร และแม้ว่าชินกาลมาลีปกรณ์จะออกชื่อเสียงเมืองกำแพงเพชรสมัยนั้นแต่หลักฐานเอกสารพงศาว-ดารกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ยังคงเรียกชากังราว อยู่ต่อมา สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) เมืองกำแพงเพชร ยังคงเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของกรุงสุโขทัย มีติปัญญาอำมาตย์ หรือพระยาญาณดิสปกครองเมือง ในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๒ แห่งกรุงสุโขทัย ปรากฏหลักฐานในประชุมพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ว่า ในปี พ.ศ. ๑๙๑๖ และปี พ.ศ. ๑๙๑๙ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) เสด็จไปตีชากังราว พระยาคำแหงเจ้าเมืองชากังราว สามารถยกพลเข้าต่อสู้จนกองทัพอยุธยาต้องยกทัพกลับทั้งสองคราวจนกระทั่งในปี พ.ศ. ๑๙๒๑ กองทัพอยุธยาขึ้นไปตีเมืองชากังราวอีก พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ทรงยอมแพ้ออกมาถวายบังคม กรุงสุโขทัยตกเป็นประเทศราชขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ได้จัดแบ่งกรุงสุโขทัยออกเป็น ๒ ภาค โดยให้พระมหาธรรมราชา- ที่ ๒ ปกครองอาณาเขตทางลำน้ำยมและน่าน โดยมีเมืองพิษณุโลกเป็นเมืองเอกภาคหนึ่ง ส่วนด้านลำน้ำปิงให้พระยายุทิษฐิระราชบุตรบุญธรรมเป็นผู้ปกครอง คือบริเวณตากและกำแพงเพชร โดยมีเมืองกำแพงเพชรเป็นเมืองเอก จึงเข้าใจว่าเมืองชากังราวเมืองนครชุม ตลอดจนเมืองอื่นๆ จะรวมกันเป็นเมืองกำแพงเพชรตั้งแต่นั้นมา หลังจากสุโขทัยพ่ายแพ้กรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๑๙๒๑ แล้ว ต่อมาอีก ๑๐ ปี พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐฯ บันทึกไว้อีกว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ต้องเสด็จยกทัพไปชากังราวอีก แต่ทรงประชวรกลางทาง ต้องเสด็จกลับ และเสด็จสวรรคตกลางทาง ต่อมาในปี พ.ศ. ๑๙๖๒ สมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ ๑ เสด็จขึ้นปราบจลาจลเมืองเหนือ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระยารามคำแหงครองเมืองสุโขทัย ให้พระยาบาลเมืองครองเมืองชากังราว เมืองชากังราวขึ้นโดยตรงต่อกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๙๔ ในสมัยสมเด็จพระบรมไตร-โลกนาถ ซึ่งในขณะนั้นกรุงสุโขทัยยังแข็งเมืองอยู่ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๐๐๕ กรุงสุโขทัยจึงขึ้นกับกรุงศรี-อยุธยา ประวัติศาสตร์ชาติไทยตอนนี้ เป็นช่วงที่น่าฉงนในเรื่องการรบทัพจับศึกและชื่อบุคคลใน ราชวงศ์สุโขทัย แต่ถ้าจะทำความเข้าใจกับประวัติศาสตร์สุโขทัยสักเล็กน้อย ก็จะสามารถทำความเข้าใจกับประวัติศาสตร์ตอนนี้ไม่ยากนัก โดยจะขอยกประวัติย่อของอาณาจักรสุโขทัย ที่ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงนิพนธ์ไว้มาประกอบดังนี้ "อาณาจักรสุโขทัย เป็นอาณาจักรแรกของไทยที่อาจทราบเรื่องราว และศักราช ได้ค่อนข้างแน่นอนจากศิลาจารึกและจดหมายเหตุ จากการสอบสวนในชั้นหลังสุด อาจกล่าวได้ว่าพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัยมี ๙ พระองค์คือ ๑. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ราว พ.ศ. ๑๘๐๐ - พ.ศ. ๑๘๑๑ ๒. พ่อขุนบาลเมือง ราว พ.ศ. ๑๘๑๑ - พ.ศ. ๑๘๒๑ ๓. พ่อขุนรามคำแหง ราว พ.ศ. ๑๘๒๑ - พ.ศ ๑๘๖๐ ๔. พระเจ้าเลอไทย ราว พ.ศ. ๑๘๖๖ - พ.ศ. ๑๘๘๔ ๕. พระเจ้างั่วนำถม ราว พ.ศ. ๑๘๙๐ ๖. พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ราว พ.ศ. ๑๘๙๐ - ราว พ.ศ. ๑๙๑๑ ๗. พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ราว พ.ศ.๑๙๑๑ - ราว พ.ศ. ๑๙๔๒ ๘. พระมหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสยลือไทย) ราว พ.ศ. ๑๙๔๒ -พ.ศ. ๑๙๖๒ ๙. พระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล) ราว พ.ศ. ๑๙๖๒ - ราว พ.ศ. ๑๙๘๑ ในรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง ถ้าเราเชื่อตามศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักที่ ๑ จะเห็นได้ว่าอาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองมาก มีอาณาเขตกว้างใหญ่ คือ ทางทิศตะวันออกไปถึงเมืองสระหลวง (ติดกับพิษณุโลก) สองแคว (พิษณุโลก) ตลอดจนถึงฝั่งแม่น้ำโขง ถึงเมืองเวียงจันทร์ เวียงคำ ในประเทศลาวปัจจุบันทางทิศใต้ถึงเมืองพระบาง (นครสวรรค์) แพรก (ชัยนาท) สุพรรณภูมิ (อู่ทอง) ราชบุรี เพชรบุรี นครศรีธรรมราชจนจดฝั่งทะเล ทางทิศตะวันตกถึงเมืองฉอด (สอด) และหงสาวดีในประเทศพม่า แต่ทางทิศเหนือถึงเพียงเมืองแพร่ เมืองชะวา (หลวงพระบาง) ในประเทศลาว จากพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ ปรากฏว่าในปี พ.ศ. ๑๙๑๔ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) แห่งพระนครศรีอยุธยา ได้เสด็จไปตีเมืองเหนือได้ทั้งหมด ซึ่งคงหมายถึงอาณาจักรสุโขทัย และตั้งแต่นั้นมาก็มีการรบพุ่งระหว่างอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยาอีกหลายครั้ง เช่น ในปี พ.ศ. ๑๙๑๖-๑๙๑๘ และ ๑๙๑๙ ปรากฏว่า ในปี พ.ศ. ๑๙๒๑ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ได้เสด็จไปตีเมืองชากังราว (กำแพงเพชร) อีกและพระมหาธรรมราชาได้เสด็จออกมาถวายบังคม พระมหาธรรมราชาองค์นี้ คงเป็นพระมหาธรรมราชาที่ ๒ ราชโอรสของพระเจ้าลิไทยหรือพระมหาธรรมราชาที่ ๑ นั่นเอง ในปี พ.ศ. ๑๙๖๒ พระมหาธรรมราชาที่ ๓ สวรรคต และอาณาจักรสุโขทัยเป็นจลาจลอีก สมเด็จพระนครินทราธิราช แห่งพระนครศรีอยุธยาจึงได้เสด็จขึ้นมาระงับการจลาจลถึงเมืองพระบาง (นครสวรรค์) ปรากฏว่าพระยาบาลเมืองและพระยาราม ซึ่งคงอยู่ในราชวงศ์สุโขทัยกำลังแย่งราชสมบัติกันอยู่ในขณะนั้น ได้ออกมาถวายบังคม พระยาบาลเมืองได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล) พระมหาธรรมราชาที่ ๔ คงสวรรคตในปี พ.ศ. ๑๙๘๑ เพราะปรากฏว่าในปีนั้นสมเด็จพระ-บรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งขณะนั้นกำลังดำรงพระยศเป็นพระราเมศวร ตำแหน่งรัชทายาท ได้เสด็จขึ้นมาครองเมืองพิษณุโลก และนับแต่นั้นมาอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยา ก็ได้รวมกันเป็นอาณา-จักรเดียว"(๓) เมืองชากังราว ซึ่งต่อมากรุงศรีอยุธยาออกชื่อเรียกเป็นกำแพงเพชร ต้องรับศึกหนักจากกรุงศรีอยุธยาหลายครั้ง เพราะทุกครั้งที่กองทัพกรุงศรีอยุธยายกไปตีกรุงสุโขทัย จะต้องเข้าตีชากังราวก่อนเสมอ ซึ่งก็ได้รับการต่อสู้อย่างเหนียวแน่น กองทัพกรุงศรีอยุธยาไม่สามารถเข้าตีเมืองได้เลย แม้เมื่อกรุงสุโขทัยจะต้องยอมแพ้แก่กรุงศรีอยุธยาแล้ว เมืองกำแพงเพชรก็ยังพยายามที่จะแข็งเมืองเป็นอิสระอยู่เสมอ แต่ในที่สุดก็ตกเป็นเมืองขึ้นแก่กรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๙๙๔ เป็นต้นมา ตลอดระยะเวลาที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมืองกำแพงเพชรไม่เคยร้างหรือลดความสำคัญลงเลย ยังคงเป็นเมืองหน้าด่านให้กรุงศรีอยุธยาในการทำศึกสงครามกับพม่า และบรรดาหัวเมืองทางเหนือมาโดยตลอด และเมื่อกองทัพพม่าจะยกเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาก็มักจะเข้ามายึดเมืองกำแพงเพชร ให้ได้ เพื่อใช้เป็นแหล่งสะสมเสบียงอาหารเช่นกัน เมื่อกำแพงเพชรขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา ก็ไม่ปรากฏหลักฐานราชวงศ์ผู้ครองเมืองแน่ชัด แต่เข้าใจว่าคงจะส่งข้าราชการไปปกครอง และมีตำแหน่งพระยาวชิรปราการ ดังที่พระเจ้าตากสินได้รับพระ-ราชทางตำแหน่งในตอนปลายกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกยับเยิน และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้ว พระเจ้ากรุงธนบุรีมุ่งแต่การทำนุบำรุงเมืองให้เป็นปกติเรียบร้อย เมืองกำแพงเพชรซึ่งอยู่ห่างไกลจึงไม่มีบทบาทในสมัยกรุงธนบุรีมากนัก นอกจากการเป็นเมืองหน้าด่าน ในคราวรบทัพจับศึกเท่านั้นและเพราะเหตุที่กำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่าน ต้องรับศึกหนักตลอดมา ประชาชนพลเมืองไม่เป็นอันทำมาหากิน ต้องอพยพหลบภัยอยู่เสมอ บ้านเมืองวัดวาอาราม ตลอดจนโบราณสถาน โบราณวัตถุ ทั้งหลาย ก็ย่อยยับไปเพราะผลแห่งสงคราม เมืองกำแพงเพชรปัจจุบันจึงเหลือแต่เพียงซากเมืองเก่าให้เราได้ชมเท่านั้น สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัฐสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรม-วงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลให้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำเนินการจัดตั้งมณฑลขึ้นในหัวเมืองชั้นใน ๔ มณฑลเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๕ คือ มณฑลกรุงเก่า มณฑลปราจีน มณฑลพิษณุโลก และมณฑลนครสวรรค์ เมืองกำแพงเพชรถูกจัดให้อยู่ในมณฑลนครสวรรค์ รวมอยู่กับเมืองอื่นๆ ได้แก่ ชัยนาท สรรค์บุรี มโนรมณ์ อุทัยธานี พยุหคีรี ตาก และนครสวรรค์ มณฑลนครสวรรค์นี้กว่าจะตั้งเป็นมณฑลอย่างสมบูรณ์ก็ในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ มีการเปลี่ยนคำว่า เมืองเป็นจังหวัด เมืองกำแพงเพชรจึงเปลี่ยนเป็นจังหวัดกำแพงเพชร ตั้งแต่ครั้งนั้น และยังคงขึ้นอยู่กับมณฑลนครสวรรค์เรื่อยมา จนกระทั่งมีการยกเลิกมณฑลเทศาภิบาลไปในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ มีการจัดระเบียบการปกครองแผ่นดินใหม่ จนถึงปัจจุบัน การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบบเทศาภิบาล ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระองค์ได้ทรงปรับปรุงระบบการปกครองประเทศให้ทันสมัย โดยมีพระราชโองการยกเลิกระเบียบการปกครองแต่เดิม และประกาศตั้งกระทรวงแบบใหม่ขึ้น ๑๒ กระทรวงเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ โดยจัดสรรอำนาจและหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้เป็นสัดส่วนอาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงเกษตราธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม เป็นต้น บรรดาหัวเมืองที่แบ่งเป็นฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ ก็ให้อยู่ในบังคับบัญชาตราราชสีห์ของกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด ตามประกาศพระบรมราชโองการลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ร.ศ. ๑๑๓ (พ.ศ. ๒๔๓๗) เมื่องานปกครองหัวเมืองที่เคยแยกไปอยู่ในอำนาจของกระทรวงกลาโหมก็ดี กระทรวงการต่างประเทศ หรือกรมเจ้าท่าก็ดี ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทยเพียงกระทรวงเดียว กระทรวงมหาดไทยจึงมีฐานะเป็นศูนย์กลางบัญชาการงานปฏิรูปการปกครองให้ทันสมัยโดยปริยาย เมื่อสมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเสด็จไปตรวจราชการหัวเมืองครั้งแรกได้ทรงพบข้อขัดข้องหลายประการในการปกครองหัวเมือง ประการแรก คือ มีหัวเมืองมากเกินไปแม้แต่หัวเมืองชั้นในก็มีหลายสิบเมืองการคมนาคมกับกรุงเทพฯ จะไปถึงก็ล่าช้า เช่นจะไปเมืองพิษณุโลกต้องเดินทางไปกว่า ๑๒ วันจึงจะถึง หัวเมืองก็อยู่หลายทิศทาง จะจัดการอันใดก็พ้นวิสัยที่เสนาบดีจะออกไปจัดหรือตรวจการได้เอง มีแต่ตราสั่งข้อบังคับและแบบแผนส่งออกไปในแผ่นกระดาษให้เจ้าเมืองจัดการ เจ้าเมืองก็มีหลายสิบคนจะเข้าใจคำสั่งต่างกันอย่างไร และใครจะทำการซึ่งสั่งไปนั้นอย่างไรก็ยากที่จะรู้ ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำริพร้อมด้วยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จัดตั้งระเบียบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้น การจัดระเบียบการปกครองเมืองแบบมณฑลเทศาภิบาล เป็นการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะตัวแทน หรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทย เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงขอนำคำจำกัดความของ "การเทศาภิบาล" ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยมากล่าวไว้ ณ ที่นี้ "การเทศาภิบาล" คือการปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราช-การต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาค เป็น สื่อกลางระหว่างประชากรของประเทศซึ่งอยู่ห่างไกลจากรัฐบาลซึ่งอยู่ในราชธานีให้ได้ใกล้ชิดกับอาณา ประชากรเพื่อให้เขาได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและเกิดความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติฯ ด้วย จึงแบ่งเขตการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นชั้นอันดับดังนี้ คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถัดลงไปเป็นเมืองคือ จังหวัด รองลงไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดีให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อยและรวดเร็วแก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย"(๔) การปกครองหัวเมืองในสมัยก่อนใช้ระบบเทศาภิบาลนั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลจากกรุงเทพฯ เท่าใดก็ยิ่งมีอิสระมากขึ้นเท่านั้น หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่ หัวเมืองใกล้ฯ ส่วนหัวเมืองอื่นที่ไกลออกไปมักจะมีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมือง และมีอำนาจอย่างกว้างขวาง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงทรงพยายามที่จะจัดให้มีอำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่จุดเดียวกัน โดยจัดตั้งระบบเทศาภิบาล ซึ่งเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดการปกครองกันเองเช่นแต่ก่อนอันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล จึงเป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง หรือริดรอนอำนาจเจ้าเมืองตามระบบเดิมลงอย่างสิ้นเชิง และเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมหัวเมืองเข้าเป็นแบบมณฑลๆ ละ ๕ เมือง หรือ ๖ เมือง ในขนาดท้องที่ที่ผู้บัญชาการมณฑลอาจจะจัดการและตรวจตราได้เองตลอดอาณาเขตเรียกว่า "มณฑลเทศาภิบาล" ข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงในเขตมณฑลของตน การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล รัฐบาลมิได้ดำเนินการในทีเดียวทั้งประเทศ แต่ได้จัดตั้งเป็นระยะๆ ไปตั้งแต่ก่อนการปฏิรูปราชการบริหารส่วนกลาง ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ ทั้งนี้ถือลำน้ำซึ่งเป็นทางคมนาคมในสมัยนั้นเป็นเครื่องกำหนดเขตมณฑล (มณฑลเทศาภิบาลที่จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนและมณฑลนครราชสีมา ต่อมาเมื่อมีการโอนหัวเมืองทั้งหมดซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมมาอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้วจึงได้รวมหัวเมืองฝ่ายใต้จัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง) จากนั้นมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ก็ได้มีการจัดตั้งยุบเลิก แต่เปลี่ยนเขตของการปกครองมณฑลเทศาภิบาลอยู่ตลอดเวลา ตามความเหมาะสม ในมณฑลเทศาภิบาลแต่ละมณฑลมีข้าราชการคณะหนึ่งประกอบด้วยข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑล ข้าหลวงมหาดไทย ข้าหลวงยุติธรรม ข้าหลวงคลัง เลขานุการข้าหลวงเทศาภิบาล และแพทย์ประจำมณฑลข้าราชการบริหารมณฑลจำนวนนี้เรียกว่า "กองมณฑล" เจ้าหน้าที่ ๖ ตำแหน่ง ดังกล่าวนี้เป็นเจ้าหน้าที่ที่กระทรวงมหาดไทยได้จัดให้มีขึ้นสำหรับบริหารงานมณฑล ละ ๑ กอง เป็นข้า-ราชการที่สังกัดกระทรวงมหาดไทยทั้งสิ้น ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลเป็นผู้รับผิดชอบปกครองมณฑล มีอำนาจสูงสุดในมณฑลเหนือข้าราชการพนักงานทั้งปวง มีฐานะเป็นข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ทรงมอบความไว้วางพระราชหฤทัย โดยคัดเลือกจากขุนนางผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ออกไปปฏิบัติราชการมณฑลละ ๑ คน หน่วยการปกครองมณฑลเทศาภิบาลนี้ทำหน้าที่เหมือนสื่อกลางเชื่อมโยงรัฐบาลกลาง กับหน่วยราชการส่วนภูมิภาคหน่วยอื่นๆ เข้าด้วยกัน ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลมีอำนาจที่ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งการได้เอง ยกเว้นเรื่องสำคัญซึ่งจะต้องขอความเห็นมายังกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น เป็นการแบ่งเบาภาระของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นอันมาก มณฑลเทศาภิบาลนับว่าเป็นวิธีการปกครองที่ทำให้รัฐบาลสามารถดึงเอาหัวเมืองๆ เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจพระเจ้าอยู่หัวได้อย่างแท้จริงผู้ว่าราชการเมืองของแต่ละเมืองในมณฑลต้องอยู่ภายในบังคับบัญชาข้าหลวงเทศาภิบาลอีกชั้นหนึ่ง โดยมิได้ขึ้นตรงต่อเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยโดยตรง ต่อมากระทรวงมหาดไทยยังได้เพิ่มตำแหน่งข้าราชการมณฑลขึ้นอีก เพื่อแบ่งเบาภาระข้าหลวงเทศาภิบาล เช่น ตำแหน่งปลัดเทศาภิบาลอำนาจหน้าที่รองจากข้าหลวงเทศาภิบาล เสมียนตรามณฑลเป็นเจ้าพนักงานการเงินรักษาพัสดุ ดูแลรักษาการปฏิบัติราชการมณฑลและมหาดเล็กรายงานมีหน้าที่ออกตรวจราชการตามเมืองและอำเภอต่างๆ ตลอดมณฑลเป็นต้น จังหวัดกำแพงเพชรนั้นถูกจัดอยู่ในมณฑลนครสวรรค์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ โดยรวมอยู่กับเมืองอื่น ได้แก่ ชัยนาท สรรค์บุรี นโนรมย์ อุทัยธานี พยุหคีรี ตาก และนครสวรรค์ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครอง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบการปกครองหรือการบริหารราชการส่วนภูมิภาค โดยมีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งแบ่งหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภอ โดยมิได้บัญญัติให้มีมณฑลตามนัยดังกล่าวจึงเท่ากับเป็นการยกเลิกมณฑลไปโดยปริยาย แต่ได้จัดแบ่ง "ภาค" ขึ้นใหม่ และให้มีข้าหลวงตรวจการสำหรับทำหน้าที่ตรวจควบคุม แนะนำ ชี้แจงข้อราชการต่อหน่วยราชการส่วนภูมิภาคเท่านั้น โดยมิได้มีหน้าที่บริหารราชการทั่วไปเหมือนอย่างมณฑลเทศาภิบาล ดังนั้น จังหวัดกับส่วนกลางจึงสามารถติดต่อกันได้โดยตรงมิต้องผ่านภาคแต่อย่างใด ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ประกาศพระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๕ ยกเลิกพระราชบัญญัติเดิม พ.ศ. ๒๔๗๖ เสีย และจัดระเบียบการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นภาค จังหวัดและอำเภอโดยมีผู้ว่าราชการภาคคนหนึ่งเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาข้าราชการส่วนภูมิภาคภายในเขต ต่อมาก็ได้มีการยกเลิกภาคอีกโดยสิ้นเชิง ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๙ เหลือแต่เพียงหน่วยการปกครองจังหวัดและอำเภอตามเดิม พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๕ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้ใช้มาอีกเป็นเวลานาน จนกระทั่งถูกยกเลิกโดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ซึ่งเริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นต้นไป โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ จังหวัดตั้งโดยพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายที่ต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐบาล ในการบริหารราชการของจังหวัดหนึ่งๆ นั้น มีผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทยคนหนึ่ง เป็นผู้รับนโยบายและคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติให้เหมาะสมกับท้องที่และประชาชน และเป็นหัวหน้าบังคับบัญชาบรรดาข้าราชการส่วน ภูมิภาคในเขตจังหวัดผู้ว่าราชการจังหวัด มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดและปลัดจังหวัดเป็นผู้ช่วยปฏิบัติราช-การ และมีคณะกรมการจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดจากกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น อำเภอจัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกา ในอำเภอหนึ่งมี นายอำเภอเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชา มีปลัดอำเภอและหัวหน้าส่วนราชการ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ส่งมาประจำ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือนายอำเภอในการปฏิบัติราชการแผ่นดิน จังหวัดกำแพงเพชรปัจจุบันนี้แบ่งการปกครองเป็น ๗ อำเภอ คือ ๑. อำเภอเมืองกำแพงเพชร ๒. อำเภอขานุวรลักษบุรี ๓. อำเภอคลองขลุง ๔. อำเภอพรานกระต่าย ๕. อำเภอไทรงาม ๖. อำเภอลานกระบือ ๗. อำเภอคลองลาน ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดกำแพงเพชร. กรุงเทพฯ : บริษัทบพิธการพิมพ์ จำกัด, ๒๕๒๙. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:36:13 ลำพูน
๑. สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ลำพูน เดิมชื่อ หริภุญชัย เดิมเป็นถิ่นฐานของเมงคบุตร (คือพวกชนเผ่าสกุลมอญในสุวรรณภูมิ ภาคเหนืออันเป็นสาขาหนึ่งของชนเผ่ามอญ เขมร จากมหาอาณาจักรพนม) พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า ต่อไปจะบังเกิดนครหริภุญชัยขึ้น และเมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วพระบรมสารีริกธาตุจึงปรากฏขึ้นมาเอง เมืองหริภุญชัย เป็นเมืองโบราณเก่าแก่ที่สุดในภาคเหนือ สร้างขึ้นระหว่างแม่น้ำ ๒ สาย คือ แม่น้ำปิง และแม่น้ำกวง ความมุ่งหมายการสร้าง เพื่อเป็นแหล่งขยายอารยธรรมของอาณาจักรที่ รุ่งเรืองของละโว้ไปทางทิศเหนือ ไปสู่ชนที่อาศัยอยู่กระจัดกระจายในบริเวณแถบนั้น ๒. สมัยกรุงศรีอยุธยา ลำพูนเป็นเมืองเล็กที่มิได้ตั้งขึ้นเพื่อขยายอิทธิพลทางอาณาจักร จึงถูกรังแกจากชุมชนที่ใหญ่กว่าตลอดมา ทำให้อาณาจักรลานนาไทยที่อยู่ตรงกลางเปลี่ยนมือการปกครองหลายครั้ง และ ตกอยู่ในอำนาจของพม่าและมอญเป็นเวลานานถึง ๒๐๐ ปี (พ.ศ. ๒๑๐๑-๒๓๑๗) พระเมืองแก้ว ราชวงศ์เม็งราย ผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ ๑๓ ได้รื้อกำแพงเมืองหริภุญชัยเดิม และสร้างใหม่ให้แคบลงซึ่งรวมอยู่ในอาณาจักรนครพิงค์ ต่อมา พ.ศ. ๒๒๗๒-๒๒๗๕ พม่าคุกคาม แคว้นลานนา เจ้ามหายศเมืองลำพูน ได้ยกกองทัพไปรบกับชาวลำปาง แพ้นายทิพย์ช้าง พรานป่าชาวบ้าน ปงยางคก (ต้นตระกูล ณ เชียงใหม่ ณ ลำพูน ณ ลำปาง และเชื้อเจ็ดตน) ได้กู้ลำปางพ้นจากอำนาจพม่า หลังจากนั้นปี พ.ศ. ๒๓๐๔ โปมะยุง่วน ยกกองทัพมาตีเชียงใหม่ (ขณะนั้นขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา) ได้แล้วเข้าครองเชียงใหม่ แต่พระยาลำพูนไม่ยอมขึ้นกับพม่าหนีมาอยู่เมืองพิชัย ในเวลาต่อมาปี พ.ศ. ๒๓๐๖ พม่ายกทัพมาตีลำพูนแตก เจ้าเมืองไชยส้องสุมผู้คนเข้าแย่งตีเมืองคืน แต่มีกำลังน้อยกว่า จึงพ่ายแพ้ถูกฆ่าตาย ปี พ.ศ. ๒๓๐๘ ชาวเมืองลำพูนรวมกำลังเป็นกบฎเข้ารบกับโปมะยุง่วนที่เชียงใหม่ โปมะยุง่วนหนีกลับเมืองอังวะพม่าส่งอะแซหวุ่นกี้มาปราบลำพูนราบคาบในปี พ.ศ. ๒๓๐๙ ๓. สมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงมีพระราชดำรัสว่า ตราบใดที่พม่ายังมีอำนาจครอบงำแผ่นดินลานนาไทยอยู่ การป้องกันประเทศให้เป็นเอกราชย่อมกระทำได้ยาก จึงตกลงพระทัยยกกองทัพขึ้นมาทำศึกชิงนครพิงค์จากพม่าถึง ๒ ครั้ง คือเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๔ แต่ไม่สำเร็จ ครั้งที่สอง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๗ ทรงได้รับความร่วมมือจากพญาจ่าบ้านกับเจ้ากาวิละยึดได้นครเชียงใหม่และหัวเมืองอื่นๆ เช่น แพร่ ลำปาง ลำพูน และน่าน โดยให้เจ้าศรีบุญมา อนุชาองค์น้อยเป็นอุปราชของเจ้าบุรีรัตน์ (อนุชาของเจ้ากาวิละ) อพยพชาวลำปาง เชียงใหม่ และเมืองยอง (ชาวเวียงยองที่อยู่เขตตำบลเวียงยองในปัจจุบัน) มาอยู่ลำพูน ๑,๐๐๐ ครอบครัว ๔. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อาณาจักรลานนาไทยซึ่งมีลำพูนรวมอยู่ด้วยได้พ้นจากอำนาจของพม่าโดยสิ้นเชิง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๕ โดยกองทัพไทยทำการขับไล่พม่าออกจากหัวเมืองต่างๆ ในลานนาไทย ถึงกระนั้นลำพูนและหัวเมืองลานนาไทยก็ยังคงตกเป็นประเทศราชของกรุงเทพฯ มาทำนองเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมา พ.ศ. ๒๓๕๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งพระยาราชวงศ์คำฝั้น เป็นพระยาลำพูนไชย นับเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์แรกของลำพูน ซึ่งจะจัดลำดับได้ดังนี้ 1.เจ้าคำฝั้น พ.ศ. ๒๓๕๗ ถึง พ.ศ. ๒๓๕๘ ครองเมืองได้ ๑ ปี 2.เจ้าบุญมา พ.ศ. ๒๓๕๘ ถึง พ.ศ. ๒๓๗๐ ครองเมืองได้ ๑๒ ปี 3.เจ้าน้อยอินทร์ (อิ่น) พ.ศ. ๒๓๗๐ ถึง พ.ศ. ๒๓๘๑ ครองเมืองได้ ๙ ปี 4.เจ้าน้อยคำตัน พ.ศ. ๒๓๘๑ ถึง พ.ศ. ๒๓๘๔ ครองเมืองได้ ๓ ปี 5.เจ้าน้อยธรรมลังกา พ.ศ. ๒๓๘๔ ถึง พ.ศ. ๒๓๘๖ ครองเมืองได้ ๒ ปี 6.เจ้าน้อยไชยลังการ พ.ศ. ๒๓๘๖ ถึง พ.ศ. ๒๔๑๔ ครองเมืองได้ ๒๘ ปี 7.เจ้าดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ (เจ้าดาวเรือง) ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๔ ถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ ครองเมืองได้ ๑๗ ปี 8.เจ้าเหมพินทุไพจิตร (เจ้าคำหยาด) ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๑ ถึง พ.ศ. ๒๔๓๘ ครองเมือง ได้ ๗ ปี 9.เจ้าอินทยงยศโชติ (เจ้าน้อยอินทยงยศ) ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๘ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๔ ครองเมืองได้ ๑๖ ปี 10.พลตรีเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๔ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๖ ครองเมืองได้ ๓๒ ปี ๔. การจัดรูปแบบการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงประกาศรวมหัวเมืองต่างๆ ของอาณาจักรลานนาไทยเป็นมณฑลพายัพ เป็นส่วนหนึ่งในผืนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทย อาณาจักรลานนาไทยจึงสิ้นสภาพของการเป็นประเทศราช พ้นจากการต้องส่งเครื่องราชบรรณาการคือ ต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน ฯลฯ แล้วก็สูญสิ้นความเป็นอาณาจักรลงด้วยเหมือนกัน เว้นแต่ยังคงมีเจ้าผู้ครองนคร มีฐานันดรศักดิ์เป็น "เจ้า" เช่นเดียวกับในตอนที่เข้ารวมอยู่ในอำนาจของไทยใหม่ๆ ผิดกันแต่เพียงในสมัยที่จัดตั้งเป็นมณฑลขึ้นแล้วทางราชการได้แต่งตั้งข้าหลวงใหญ่ (ต่อมาเปลี่ยนเป็นสมุหเทศาภิบาลและโดยเฉพาะมณฑลพายัพเปลี่ยนเป็นอุปราช) มาดำเนินการปกครอง และแต่งตั้งเจ้าเมืองเข้าปฏิบัติราชการแทนเจ้าผู้ครองนคร (ซึ่งเรียกกันว่าเจ้าหลวง) ทั้งนี้ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๒๔๔๐ เป็นต้นมา สำหรับตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครนั้น ถือว่าเป็นตำแหน่งมีเกียรติ และมีเจ้าผู้ครองนครขึ้นทุกๆ จังหวัดในมณฑลพายัพ ยกเว้นจังหวัดแม่ฮ่องสอนไม่มีเจ้าผู้ครองนครๆ มาสิ้นสุดลง ภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองประเทศเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ยุบเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครเสียทั้งหมดไม่แต่งตั้งขึ้นใหม่อีก ในเมื่อเจ้าผู้ครองนครนั้นพิราลัยลง ๖. การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. ๒๔๗๖ มีการจัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัด และกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหารเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองนอกจากจะแบ่งเขตการปกครองเป็นจังหวัด และอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก 1)การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและ ตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง 2)เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง 3)เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น 4)รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑล เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัด ดังนี้ 1)จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล จังหวัดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยระเบียบการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ 2)อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่คณะกรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด 3)ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้ที่มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการ แผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมามีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น 1)จังหวัด 2)อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของ ผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:36:46 นครสวรรค์
นครสวรรค์เป็นเมืองโบราณ ซึ่งสันนิษฐานว่าตั้งขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี โดยมีปรากฏชื่อในศิลาจารึกเรียกว่า เมืองพระบาง เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในการทำศึกสงครามมาทุกสมัย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย กรุงธนบุรี จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ตัวเมืองดั้งเดิมตั้งแต่อยู่ในที่ตอนบริเวณเชิงเขาขาด (เขาฤาษี) จรดวัดหัวเมือง (วัดนครสวรรค์) ยังมีเชิงเทินดินเป็นแนวปรากฏอยู่ เมืองพระบางต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองชอนตะวัน เพราะตัวเมืองตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา และหันหน้าเมืองไปทางแม่น้ำซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ทำให้แสงอาทิตย์ส่องเข้าหน้าเมืองตลอดเวลา แต่ภายหลังได้เปลี่ยนเป็นชื่อ เมืองนครสวรรค์ เพื่อเป็นศุภนิมิตอันดี นครสวรรค์ มีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักแพร่หลายมาแต่เดิมว่า ปากน้ำโพ โดยปรากฏเรียกกันมาแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามประวัติศาสตร์ในคราวที่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ครั้งสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กองทัพเรือจากกรุงศรีอยุธยาได้ยกไปรับทัพข้าศึกที่ปากน้ำโพ แต่ต้านทัพข้าศึกไม่ไหว จึงล่าถอยกลับไป ที่มาของคำว่า ปากน้ำโพ สันนิษฐานได้ ๒ ประการคือ อาจมาจากคำว่า ปากน้ำโผล่ เพราะเป็นที่ปากน้ำแคว ยม และน่าน มาโผล่รวมกันเป็นต้นแม่น้ำเจ้าพระยา หรืออีกประการหนึ่งคือมีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่อยู่ตรงปากน้ำ ในบริเวณวัดโพธิ์ซึ่งเป็นที่ตั้งศาลเจ้าพ่อกวนอูในปัจจุบันจึงเรียกกันว่า ปากน้ำโพธิ์ก็อาจเป็นได้ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงนำพระพุทธรูปชื่อ พระบาง ไปคืนให้เมืองเวียงจันทน์ แต่ติดศึกพม่าต้องเอาพระพุทธรูป "พระบาง" มาค้างไว้ที่เมืองนี้ ต่อมาไทยรบทัพจับศึกกับพม่า และปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือที่แข็งเมือง ยกมาตีกรุงศรีอยุธยาและตอนต้นกรุงเทพฯ กองทัพไทยได้ยกเคลื่อนที่ขึ้นมาเลือกนครสวรรค์ (ที่เคยเป็นโรงทหารเก่าหลังโรงเหล้าเดี๋ยวนี้) เป็นที่ตั้งทัพหลวงแล้วดัดแปลงขุดคูประตูหอรบ จากตะวันตกตลาดสะพานดำไปบ้านสันคูไปถึงทุ่งสันคู เดี๋ยวนี้ยังปรากฏแนวคูอยู่ เมื่อข้าศึกยกลงมาจากทุ่งหนองเบน หนองสังข์ สลกบาตร และตะวันออกเฉียงใต้ของลาดยาวมาเหนือทุ่งสันคู เมื่อฤดูแล้งเป็นที่ดอนขาดน้ำ ถ้าฝนตกน้ำก็หลากเข้ามาอย่างแรงท่วมข้าศึก ไทยยกทัพตีตลบหลังพม่าวิ่งหนีผ่านช่องเขานี้จึงได้ชื่อว่า "เขาช่องขาด" มาจนบัตหนี้ เนื่องจากเมืองนครสวรรค์เป็นหัวเมืองชั้นตรี ซึ่งปรากฏอยู่ตามกฎหมายเก่า ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ ราว พ.ศ. ๒๑๐๐ ว่าด้วยเรื่องดวงตราประทับหนังสือที่ให้เสนาบดีเจ้ากระทรวงใช้ในราชการ ดังนั้นเมืองนครสวรรค์ จึงมิได้มีบทบาทที่ถูกกล่าวถึงไว้ในประวัติศาสตร์สำคัญของไทยเท่าใดนัก การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงพระราชดำริที่จะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคง จึงทรงริเริ่มจัดรูปการปกครองท้องถิ่นขึ้นใหม่ โดยให้รวมหัวเมืองต่าง ๆ เข้าเป็นมณฑล มีผู้ปกครองมณฑลขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทยแต่กระทรวงเดียว ครั้งแรกได้ทรงเริ่มจัดตั้งมณฑลขึ้น ๔ มณฑล คือ มณฑลกรุงเก่า มณฑลปราจีน มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลพิษณุโลก แต่ตั้งเป็นมณฑลสมบูรณ์มีข้าหลวงเทศาภิบาลปกครองถูกต้องเพียง ๒ มณฑล ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ คือมณฑลปราจีน และมณฑลพิษณุโลก ส่วนอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลกรุงเก่า และมณฑลนครสวรรค์มาจัดตั้งสำเร็จในปลายปี พ.ศ. ๒๔๓๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ (พระองค์เจ้าวัฒนานุวงค์ ต้นราชสกุล วัฒนวงค์) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่าและให้พระยาดัสกรปลาศ (อยู่) ซึ่งเคยเป็นข้าหลวงใหญ่อยู่ ณ เมืองหลวงพระบาง เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ ในการจัดตั้งมณฑลนครสวรรค์ ได้รวมเอาหัวเมืองทางแม่น้ำเจ้าพระยาตอนเหนือขึ้นไปจนถึงแม่น้ำปิงเข้าด้วยกัน ๘ เมือง คือเมืองชัยนาท เมืองสรรคบุรี เมืองมโนรมย์ เมืองอุทัยธานี เมืองพยุหะคีรี เมืองนครสวรรค์ เมืองกำแพงเพชร และเมืองตาก ตั้งที่ว่าการมณฑลอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ การจัดรูปปกครองในลักษณะมณฑลได้ดำเนินการมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยุบมณฑลและระเบียบเทศาภิบาลของเก่าไปให้คงไว้แต่หัวเมืองและอำเภอ โดยให้ทุกเมืองมีฐานะเท่าเทียมกัน ปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อเจ้ากระทรวง และรับคำสั่งจากเจ้ากระทรวงโดยตรง การจัดรูปการปกครองสมัยปัจจุบัน ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยการยุบเลิกมณฑลตามระเบียบเทศาภิบาลแบบเก่าไปแล้ว ได้มีการจัดระบบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย และจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ครั้นมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กำหนดฐานะจังหวัดเป็นนิติบุคคล และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารจังหวัดแต่เพียงบุคคลเดียว โดยมีคณะกรมการจังหวัดเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด การปกครองรูปจังหวัดในปีปัจจุบัน เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน โดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ซึ่งจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภอ มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติในจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดหนึ่งคน เป็นผู้รับนโยบายของทางราชการมาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องถิ่นและประชาชน เป็นหัวหน้าบังคับบัญชาบรรดาข้าราชการฝ่ายบริหาร และส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัด โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด หรือทั้ง ๒ ตำแหน่ง เป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งนี้ในการบริหารราชการแผ่นดินให้มีคณะกรมการจังหวัด เป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดนครสวรรค์. นครสวรรค์ : ไพศาลการพิมพ์, ๒๕๒๙. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:38:23 แม่ฮ่องสอน
สมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ แม่ฮ่องสอน เดิมเป็นชุมชนบ้านป่า ไม่มีผู้ใดปกครอง คงมีแต่ชาวไทยใหญ่จากชายแดนพม่าเข้ามาอยู่อาศัย ทำมาหากินบ้างเป็นบางฤดู ความสำคัญในสมัยนั้นเป็นเพียงทางผ่านของกองทัพพม่าที่เดินทางเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา หรือหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๗๔ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้ามโหตร-ประเทศ (เจ้าพระยาเชียงใหม่มหาวงศ์) เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ประสงค์จะได้ช้างป่ามาฝึกใช้งานจึงบัญชาให้เจ้าแก้วเมืองมาควบคุมไพร่พล หมอครวญพร้อมด้วยกำลังช้างต่อ ออกเดินทางไปสำรวจและคล้องช้างป่าทางด้านดินแดนแถบนี้ เจ้าแก้วเมืองมาเดินทางรอนแรมจากเชียงใหม่ มาถึงที่แห่งหนึ่งทางทิศใต้ริมฝั่งน้ำปาย เห็นว่าทำเลดีและเหมาะสม เพราะเป็นที่ราบมีน้ำท่าบริบูรณ์ ทั้งยังเป็นป่าโปร่ง มีหมูป่าลงกินโป่งชุกชุม เหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นหมู่บ้านได้ จึงหยุดพักไพร่พลอยู่ ณ ที่แห่งนี้ แล้วทำการรวบรวมชาวไทยใหญ่ที่กระจัดกระจายกันอยู่ให้มาตั้งบ้านเรือนเป็นหลักแหล่ง และตั้งชื่อว่า "บ้านโป่ง-หมู" ซึ่งปัจจุบันได้เพี้ยนเป็น "บ้านปางหมู" ซึ่งเป็นสถานที่ที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และแต่งตั้งให้ "พระกาหม่อง" เป็นหัวหน้าบ้านปกครองดูแล เมื่อเจ้าแก้วเมืองมา ได้จัดตั้งหมู่บ้านโป่งหมูเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางต่อไปทางใต้เพื่อคล้องช้างป่า จนถึงลำห้วยแห่งหนึ่งไม่ไกลจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนในปัจจุบันนัก ได้พบรอยเท้าช้างป่ามากมาย จึงหยุดพักพลอยู่ ณ ที่นั้นทำการคล้องช้างป่าได้หลายเชือก เมื่อได้ช้างป่ามาแล้ว ก็ได้ตั้งคอกฝึกสอนช้างป่าในลำห้วยนั้น และได้มอบให้ "แสนโกม" บุตรชายพะกาหม่อง ไปชักชวนผู้คนมาอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านและชื่อว่า "แม่ร่องสอน" ซึ่งปัจจุบันเรียกเพี้ยนเป็น "แม่ฮ่องสอน" การจัดรูปแบบการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงประกาศรวมหัวเมืองต่างๆ ของอาณาจักรลานนาไทยเป็นมณฑลพายัพเป็นส่วนหนึ่งในผืนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทย อาณาจักรลานนาไทยจึงสิ้นสภาพของการเป็นประเทศราช พ้นจากการต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ คือ ต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน ฯลฯ และก็สูญสิ้นความเป็นอาณาจักรลงด้วยเช่นกัน เว้นแต่ยังคงมีเจ้าผู้ครองนครมีฐานันดรศักดิ์เป็น "เจ้า" เช่นเดียวกับในตอนที่เข้ารวมอยู่ในอำนาจของไทยใหม่ๆ ต่างกันแต่เพียงในสมัยที่จัดตั้งเป็นมณฑลขึ้นแล้วทางราชการได้แต่งตั้งข้าหลวงใหญ่ ต่อมาเปลี่ยนแปลงเป็นสมุหเทศาภิบาล และโดยเฉพาะมณฑลพายัพ เปลี่ยนเป็น อุปราช มาดำเนินการ ปกครอง และแต่งตั้งเจ้าเมืองมาปฏิบัติราชการแทนเจ้าผู้ครองนคร (ซึ่งเรียกกันว่าเจ้าหลวง) ทั้งนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา สำหรับตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครนั้นถือว่าเป็นตำแหน่งมีเกียรติ และมีเจ้าผู้ครองนครอยู่ทุกจังหวัดในมณฑลพายัพ ยกเว้นจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไม่มีเจ้าผู้ครองนคร เจ้าผู้ครองนครมา สิ้นสุดลงภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองประเทศ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ และยุบเลิกเจ้าผู้ครองนครเสียทั้งหมด ไม่แต่งตั้งขึ้นใหม่อีก ในเมื่อเจ้าผู้ครองนครนั้นถึงแก่พิราลัยลง การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. ๒๔๗๖ มีการจัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัด และอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริการราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัด และ กรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองเป็นจังหวัด และอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องมาจาก ๑. การคมนาคมสื่อสารสะดวก และรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อนสามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒. เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓. เห็นว่าหน่วยมณฑล ซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔. รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑล เมื่อจังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดนี้ ๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบการบริหาร แห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒) อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้นได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลเดียวคือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓) ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการ แผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมามีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบ บริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑) จังหวัด ๑) อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:39:13 ลำปาง
จังหวัดลำปางเป็นที่ตั้งเมืองโบราณที่มีความสำคัญของประวัติศาสตร์ และโบราณคดีมาตั้งแต่สมัยหริภุญไชย คือราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๓ มีชื่อเรียกในตำนานเป็น ภาษาบาลีว่า "เขลางค์นคร" คำว่า "ลคร" (นคร) เป็นชื่อสามัญของเมืองเขลางค์ ซึ่ง นิยมเรียกกันอย่างแพร่หลาย ปรากฏอยู่ในตำนานศิลาจารึกและพงศาวดารส่วนภาษาพูดโดยทั่วไปเรียกว่า "ละกอน" ดังนั้นเมืองลคร (นคร) จึงหมายถึงบริเวณอันเป็นที่ตั้งของ เขลางค์ ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำวัง ในเขตตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปางในปัจจุบัน ส่วนคำว่า "ลำปาง" ปรากฏชื่ออยู่ในตำนานวัดพระธาตุลำปาง หลวง ซึ่งเรียกเป็นภาษาบาลีว่า "ลัมภกัปปะ" ตั้งอยู่ในเขตตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง อยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศใต้ราว ๑๖ กิโลเมตร เป็นที่ประดิษฐานของพระธาตุลำปางหลวงในปัจจุบัน คำว่านครลำปาง เป็นชื่อเรียกเมืองนครลำปางตั้งแต่สมัยเจ้าทิพย์ช้างเป็นต้นมา ทั้งนี้เพราะได้อพยพผู้คนจากลำปางหลวงมายังเมืองลคร แล้วเจ้าทิพย์ช้างได้รับการ สถาปนาเป็นเจ้าเมือง จึงเรียกชื่อเมืองว่า นครลำปาง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นครลำปางยุคแรกหรือสมัยเขลางค์นคร ซึ่งค้นได้จากตำนานมูลศาสนาชินกาล มาลีปกรณ์ ตำนานจามเทวีวงศ์ ตำนานไฟม้างกัลป์ ตำนานรัตนพิมพวงศ์ และพงศาวดารโยนก กล่าวว่า เมืองนี้สร้างขึ้นราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ประมาณปี พ.ศ. ๑๒๐๔ พระฤษีวาสุเทพ ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณ เชิงดอยสุเทพ ได้ร่วมกับพระสุกกทันตฤษีแห่งเมืองละโว้ (ลพบุรี) สร้างเมืองหริภุญไชย (ลำพูน) แล้วทูลขอผู้ปกครองจากพระเจ้าลพราช กษัตริย์กรุงละโว้ พระองค์ได้ประทาน พระนางจามเทวี พระราชธิดาให้มาเป็นผู้ครองนครพร้อมกับได้นำพระภิกษุสงฆ์ ผู้รอบรู้พระไตรปิฎก พราหมณ์ราชบัณฑิต แพทย์ ช่างฝีมือดี เศรษฐี คหบดี อย่างละ ๕๐๐ คน ตามเสด็จขึ้นมาด้วย ในขณะที่เสด็จขึ้นมานั้น พระนางทรงครรภ์ เมื่อประทับอยู่หริภุญไชยได้ ๗ วัน ได้ประสูติโอรสฝาแฝด ๒ องค์ นามว่า มหันตยศกุมาร หรือมหายศและอนันตยศกุมารหรืออินทรวร เมื่อกุมารทั้ง ๒ เจริญวัย พระนางจามเทวีได้ ราชาภิเษกเจ้ามหายศให้เป็นกษัตริย์ปกครองหริภุญไชย ส่วนเจ้าอนันตยศเป็นอุปราช ต่อมา เจ้าอนันตยศมีพระประสงค์ไปสร้างเมืองใหม่ พระฤาษีวาสุเทพ จึงได้แนะนำให้ไปหาพรานเขลางค์ ที่เขลางค์บรรพต หรือภูเขาสองยอด ครั้นเมื่อพบแล้วพรานเขลางค์จึงได้พาไปพบ พระสุพรหมฤาษีบนดอยงาม แล้วขออาราธนาให้ช่วยสร้างเมือง พระสุพรหมฤาษีและพรานเขลางค์ได้เลือกหาชัยภูมิ ที่เหมาะสม แล้วสร้างเมืองขึ้นบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำวัง (วังกตินที) เมื่อ พ.ศ. ๑๒๒๓ โดยสร้างเป็น สี่เหลี่ยมจัตุรัสตามแบบอย่างเมืองหริภุญไชย แล้วขนานนามว่า เขลางค์นคร แล้วอัญเชิญเจ้าอนันตยศขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครอง ทรงนามว่า พระเจ้าอินทรเกิงกร เมืองเขลางค์ : สมัยหริภุญชัย เมืองเขลางค์ตั้งอยู่ในเขตตำบลเวียงเหนือ สร้างขึ้นใน พ.ศ. ๑๒๒๓ มีรูปร่างเป็น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กำแพงเมืองชั้นล่างเป็นคันดิน ๓ ชั้น ชั้นบนเป็นอิฐ สันนิษฐานว่า สร้างต่อเติมขึ้น ภายหลัง มีความยาววัดโดยรอบ ๔,๔๐๐ เมตร เนื้อที่ประมาณ ๖๐๐ ไร่ มี ประตูเมืองที่สำคัญ ได้แก่ ประตูม้า แระตูผาบ่อง ประตูท่านาง ประตูต้นผึ้ง ประตูป่อง ประตูนกกด และประตูตาล ปูชนียสถานที่สำคัญได้แก่ วัดพระแก้วดอนเต้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคย เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธ มหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๓๒ - ๒๐๑๑ นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานที่สำคัญอีกหลายแห่ง ได้แก่ วัดอุโมงค์ซึ่งเป็นวัดร้างอยู่ บริเวณประตูตาล ส่วนวัดที่อยู่นอกกำแพงเมืองได้แก่วัดป่าพร้าว วัดพันเชิง วัดกู่ขาว หรือ เสตกุฎาราม ซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระสิกชีปฏิมากร วัดกู่แดง วัดกู่คำ ระหว่างวัด กู่ขาวมายังเมืองเขลางค์ก็มีแนวถนนโบราณทอดเข้าสู่ตัวเมืองสันนิษฐานว่า สร้างในสมัยที่พระนางจามเทวีเสด็จมาประทับที่เมืองเขลางค์ใช้เชื่อมเมืองเขลางค์กับเขตพระราชสถาน ที่เรียกว่า อาลัมพางค์นคร และใช้เป็นเขื่อนกั้นน้ำเพื่อทดน้ำเข้าสู่ตัวเมือง เมืองเขลางค์ : สมัยลานนาไทย ใน พ.ศ. ๑๘๒๔ พระเจ้ามังรายได้แผ่ขยายอำนาจเข้าครอบครองหริภุญชัย พระยาญีบา เจ้าเมืองสู้ไม่ได้ จึงอพยพหนีมาพึ่งพระยาเบิกโอรสยังเมืองเขลางค์นคร ต่อมา ใน พ.ศ. ๑๘๓๘ พระยาเบิก ได้ยกกองทัพไปตีเมืองหริภุญชัยคืน แต่พ่ายแพ้กลับมา ขุนคราม โอรสของพระเจ้ามังรายยก กองทัพติดตามมาทันปะทะกันที่ตำบลแม่ตาน ปรากฏว่าพระยาเบิกเสียชีวิตในการสู้รบ ส่วนพระยา ญีบาเมื่อทราบข่าว จึงพาครอบครัวหนีไปพึ่งพระยาพิษณุโลก เจ้าเมืองสองแคว (พิษณุโลก) ประทับ อยู่ที่นั่นจนสิ้น พระชนม์ จึงนับว่าเป็นการสิ้นวงศ์เจ้าผู้ครองเมืองเขลางค์รุ่นแรก เมื่อขุนครามตีเมืองเขลางค์ได้แล้วจึงแต่งตั้งให้ขุนไชยเสนาเป็นผู้รั้งเมืองสืบ ต่อมา ขุนไชยเสนาได้สร้างเมืองขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๑๘๔๕ เป็นเมืองเขลางค์รุ่นสอง เมืองเขลางค์ที่สร้างขึ้นในสมัยลานนาไทย มีเนื้อที่ประมาณ ๑๘๐ ไร่ อยู่ถัด จากเมือง เขลางค์เดิมลงไปทางทิศใต้ กำแพงเมืองก่อด้วยอิฐ วัดความยาวโดยรอบได้ ๑,๑๐๐ เมตร มีประตูเมือง ที่สำคัญได้แก่ ประตูเชียงใหม่ ประตูนาสร้อย ประตูปลายนา โบราณสถานที่สำคัญได้แก่ วัดปลายนา ซึ่งปัจจุบันเป็นวัดร้าง และวัดเชียงภูมิ ปัจจุบันคือ วัดปงสนุก ในระยะต่อมาได้รวมเมืองเขลางค์ทั้งสองแห่งเข้าด้วยกัน ดังปรากฏหลักฐานทางสถาปัตยกรรมลานนาไทยก่อนรับอิทธิพลของพม่า เช่นที่วัดพระแก้วดอนเต้า เมืองเขลางค์ : เมืองนครลำปาง เมืองเขลางค์ระยะนี้มีชื่อเรียกว่าเมืองนครลำปาง ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดและตลาดเมืองลำปาง มีพื้นที่ประมาณ ๓๕๐ ไร่ กำแพงก่อด้วยอิฐยาว ๑,๙๐๐ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๑ ในสมัยเจ้าหอคำดวงทิพย์ (ปัจจุบันอยู่ในแนวถนนรอบเวียง) โบราณสถานที่สำคัญได้แก่ หออะม๊อก (หอปืนใหญ่โบราณ) วัดกลางเวียงหรือ วัดบุญวาทย์วิหาร วัดน้ำล้อม วัดป่าดั๊วะ ความสำคัญของเมืองเขลางค์สมัยราชวงศ์มังราย (พ.ศ. ๑๘๔๕ - ๒๑๐๑) ในสมัยราชวงศ์มังราย เขลางค์นครเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของอาณาจักรลานนาไทย ปรากฏชื่อในตำนานพื้นเมืองว่าเมืองนคร เจ้าเมืองมียศเป็นหมื่น ในสมัยพระเจ้าติโลกราช เชียงใหม่ทำสงครามเพื่อแย่งชิงหัวเมืองไทยเหนือกับกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ นครลำปางเป็นแหล่งชุมนุมทัพที่สำคัญ ของพระเจ้าติโลกราชทรงแต่งตั้งให้หมื่นด้งนครเป็นเจ้าเมือง จนกระทั่งสามารถตีเมืองเชลียงไว้ได้ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๕๘ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ได้ยกกองทัพมาตี นครลำปาง โดยเข้าทางประตูนางเหลี่ยว แล้วอัญเชิญพระสิขีปฏิมากร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำคัญไปจากวัดกู่ขาว นครลำปางเป็นหัวเมืองสำคัญของลานนาไทย มาจนถึงสมัยพระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์ แห่งกรุงหงสาวดี ได้แผ่อำนาจเข้าครอบครองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๑๐๑ นับตั้งแต่นั้นมาลานนาไทย ทั้งปวงจึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่ามาเป็นเวลานานกว่า ๒๐๐ ปี บางครั้งก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกรุงศรีอยุธยาบ้าง เช่น ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยุคแห่งการกอบกู้บ้านเมืองของชาวนครลำปาง นับตั้งแต่สมัยพระเจ้าบุเรงนองเป็นต้นมา พม่าได้จัดส่งเจ้านายมากำกับการปกครอง หัวเมืองลานนาไทย โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เชียงใหม่ ต่อมาระยะหลังได้ ย้ายไปอยู่ที่ เชียงแสน การปกครองของพม่าระยะหลังมิได้มุ่งให้หัวเมืองลานนาไทยเป็นประเทศราชอย่างแท้จริงดังแต่ก่อน เพราะมีการกบฏบ่อยครั้ง ประกอบกับพม่าต้องทำสงครามกับมอญ จึงปกครองชาวลานนาอย่างกดขี่และเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น ทำให้ชาวลานนาไทยหลายกลุ่มลุกฮือขึ้นต่อสู้ แต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งถึงสมัยของเจ้าพระยาสุลวะลือไชยสงคราม หรือ "หนานทิพย์ช้าง" สามารถขับไล่พม่าออกจากเมืองลำปางได้สำเร็จ ต่อมาบ้านเมืองก็ประสบความวุ่นวายอีก ทางเมืองนครลำปางเกิดการแย่ง ชิงอำนาจ ระหว่างเจ้าชายแก้ว (ลูกของหนานทิพย์ช้าง) เจ้าเมืองนครลำปาง กับท้าวลิ้นก่าน เจ้าเมืองคนเดิมแต่เจ้าชายแก้วสู้ไม่ได้ จึงหนีไปพึ่งเจ้าเมืองแพร่ ภายหลังจากที่พม่ากลับเข้ามามีอำนาจใน ลานนาไทยอีก ได้พิจารณาคดีนี้ โดยให้เจ้าชายแก้วและท้าวลิ้นก่านดำน้ำแข่งกัน ปรากฏว่าท้าวลิ้นก่าน พ่ายแพ้ จึงถูกพม่าประหารชีวิต พร้อมทั้งริบทรัพย์สินและครอบครัว สำหรับสถานที่ที่ดำน้ำชิงเมือง อยู่บริเวณหน้าวัดปงสนุก ซึ่งแม่น้ำวังไหลผ่านในสมัยนั้นยังมีศาลท้าวลิ้นก่านปรากฏอยู่ตรงข้าง วัดปงสนุกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ พม่าแต่งตั้งให้เจ้าชายแก้วเป็นที่ "เจ้าฟ้าหลวงไชยแก้ว" ครองเมืองนครลำปาง แต่พม่า ยังปกครองชาวนครลำปางอย่างกดขี่ทารุณอยู่ หากผู้ใดขัดขืนก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก นับตั้งแต่ การจองจำ ริบทรัพย์สมบัติ ลูกเมีย ไปจนถึงการประหารชีวิต อันเป็นสภาวะที่ชาวนครลำปางสุดแสนจะทนทานต่อไปได้ ดังนั้นเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงมีบัญชาให้เจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ (รัชกาลที่ ๑ และสมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท) ยกกองทัพไปตีเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๔ เจ้ากาวิละ (โอรสของเจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว) จึงพาอนุชาทั้งหกเข้าสวามิภักดิ์ แล้วนำทหารชาวนครลำปางเข้าสมทบยกขึ้นไปตีเชียงใหม่พม่าได้จับเจ้าฟ้าหลวงชายแก้วไว้เป็นประกัน เมื่อกองทัพไทยยกขึ้นไปเชียงใหม่ เจ้ากาวิละ จึงนำทหารชาวนครลำปางตีหักเข้าเมืองได้ก่อนช่วย พระบิดาออกจากที่คุมขังได้สำเร็จ แล้วนำกำลังสมทบกับกองทัพไทยใต้ตีพม่าแตกพ่ายไป ความดีความชอบครั้งนี้ เจ้ากาวิละได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง "นครลำปาง" และต่อมาเลื่อนเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ตามลำดับ ความสัมพันธ์ระหว่างนครลำปางกับกรุงเทพฯ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ความสัมพันธ์ระหว่างนครลำปางกับกรุงเทพฯ เป็นผลสืบเนื่องมาจากเจ้ากาวิละและ พระอนุชา ได้นำเอาบ้านเมืองเข้าสวามิภักดิ์ต่อกองทัพไทยที่ยกขึ้นไปตีพม่าที่เชียงใหม่ ใน พ.ศ. ๒๓๑๔ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านครลำปางกับราชวงศ์จักรีมีความผูกพันกันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะเจ้านายฝ่ายเหนือต้องการสวามิภักดิ์ต่อคนไทยด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติ เนื่องจากสมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาทได้สู่ขอเจ้าศรีอโนชา กนิษฐาของเจ้ากาวิละเป็นชายาทางกรุงเทพฯก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เมืองนครลำปางอย่างสม่ำเสมอด้วยดีตลอดมา บรรดาเจ้านายฝ่ายเหนือได้รับยกย่องให้มีฐานะสูงขึ้น เป็นถึงเจ้าประเทศราช อย่างไรก็ตามพม่าก็มิได้ลดละความพยายามที่จะกลับเข้ามามีอิทธิพลในลานนาไทยอีก เพื่อใช้เป็นแหล่งสะสมผู้คนและเสบียงอาหาร เข้าโจมตีกรุงเทพ ฯ สงครามคราวพม่าตีนครลำปาง และป่าซาง (พ.ศ. ๒๓๓๐) หลังจากที่พระเจ้าปะดุงพ่ายแพ้แก่กองทัพไทยไปจากสงครามเก้าทัพ (พ.ศ. ๒๓๒๘) และสงครามที่ท่าดินแดง (พ.ศ. ๒๓๒๙) แล้ว บรรดาหัวเมืองประเทศราชลื้อ เขิน ของพม่าแถบเมืองเชียงตุง เชียงรุ้ง เมืองสาด เมืองปุก็พากันกระด้างกระเดื่องแข็งเมือง พระเจ้าปะดุงจึงโปรดให้ยกกองทัพไป ปราบปรามใน พ.ศ. ๒๓๓๐ โดยมีหวุ่นยีมหาชัยสุระเป็นแม่ทัพใหญ่ คุมรี้พล ๔๕,๐๐๐ คน ลงมาทางหัวเมืองไทยใหญ่ ครั้นยกมาถึงเมืองนายได้แบ่งกำลังออกเป็นสองส่วนออกปราบบรรดาหัวเมืองที่กระด้างกระเดื่อง สำหรับกองทัพพม่าที่ยกเข้าทางหัวเมืองลานนาไทย จอข่องนรทาเป็นแม่ทัพคุมรี้พล ๕,๐๐๐ คน ยกลงมายึดเมืองฝางไว้เป็นแหล่งชุมนุมพล และสะสมเสบียงอาหารไว้รอกำลังส่วนใหญ่เพื่อเตรียมเข้าตีนครลำปาง ฝ่ายโปมะยุง่วนเจ้าเมืองเชียงใหม่ซึ่งหลบหนีกองทัพไทยไปอยู่เมืองเชียงแสนมีกำลังรักษาบ้านเมืองไม่มากนัก เพราะกำลังส่วนหนึ่งถูกเกณฑ์ไปช่วยทำนาที่เมืองฝาง จึงทำให้พระยาแพร่ ชือมังชัย และพระยายองเห็นเป็นโอกาสคุมกำลังเข้าโจมตีเมืองเชียงแสนโปมะยุง่วนสู้ไม่ได้หนีไปอาศัยอยู่กับพระยาเชียงราย จึงถูกพระยาเชียงรายควบคุมตัวส่งแก่ พระยาแพร่ และพระยายอง แล้วพระยาแพร่และพระยายองคุมตัวส่งแก่เจ้ากาวิละ ที่นครลำปางเนื่องจากเห็นว่าโปมะยุง่วนเป็นบุคลสำคัญระดับเจ้าเมือง ทางนครลำปางจึงคุมตัวส่งลงไปถวายยังกรุงเทพฯ การจับโปมะยุง่วนเป็นเชลยได้ กลายเป็นผลดีต่อฝ่ายไทยอย่างมาก เพราะได้นำตัวไปสอบสวนข้อราชการสงคราม ทำให้ทราบข่าว แน่ชัดว่า พม่าเตรียมกองทัพเข้ามาตีนครลำปางในฤดูแล้ง เมื่อตีได้แล้วก็จะกลับไปตั้งมั่นอยู่ที่เชียงใหม่ อีกครั้งหนึ่ง(คำให้การของโปมะยุง่วนต่อมากลายเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ฉบับหนึ่ง ที่เรียกว่า คำให้การของชาวอังวะ) การที่พม่ามีนโยบายเข้ามายึดเชียงใหม่เป็นที่มั่น นับว่าเป็นอันตรายต่อบรรดาหัวเมืองเหนือทั้งปวง ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงคิดหาทางป้องกันไว้ก่อน โดยมีพระบรมราชโองการให้เจ้ากาวิละแบ่งครอบครัวจากนครลำปางส่วนหนึ่ง ขึ้นไปรักษาเมืองเชียงใหม่ ส่วนทางเมืองนครลำปางโปรดให้เจ้าคำโสมอนุชา เจ้ากาวิละเป็นเจ้าเมืองสืบแทน เนื่องจากมีกำลังน้อยเจ้ากาวิละเห็นว่าไม่เพียงพอที่จะรักษาเมืองเชียงใหม่ ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม เพราะเป็นเมืองร้างมาหลายปี ดังนั้นจึงอพยพครอบครัวไปตั้งที่ป่าซางก่อนเป็นการชั่วคราว โดยมีกองทหารจากเมืองสวรรคโลก และกำแพงเพชรยกขึ้นมาช่วยป้องกันบ้านเมือง ในระหว่างนั้นได้รวบรวมผู้คนที่กระจัดกระจายบริเวณชายแดน มาไว้ในบ้านเมืองตามนโยบายที่เรียกว่า "เก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง" แต่ยังไม่ทันจะอพยพขึ้นไปตั้งมั่นที่เชียงใหม่ พม่าก็ได้ยกกองทัพมาโจมตีเสียก่อน ดังนั้นจึงตั้งมั่นอยู่ที่ป่าซางถึง ๕ ปี เศษ ครั้นถึงฤดูแล้ง พ.ศ. ๒๓๓๐ กองทัพของหวุ่นยีมหาชัยสุระยกลงจากเชียงตุงเข้ายึดเชียงใหม่คืน ตีเชียงรายแล้วเข้าสมทบกับกองทัพของจอข้องนรทาที่ฝาง รวมรี้พลได้ ราว ๓๐,๐๐๐ คน ยกลงมาทางเมืองพะเยา เข้าตีนครลำปาง ส่วนทางป่าซางพระเจ้าปะดุงทรงมีรับสั่งให้ยีแข่งอุเมงคีโป คุมกำลัง ๑๖,๐๐๐ คน* จากเมืองเมาะตะมะ เข้าโจมตีล้อมไว้ป้องกันมิให้ยกไปช่วยทางนครลำปาง ฝ่ายกองทัพพม่าที่ล้อมนครลำปาง เจ้าคำโสมได้นำทัพชาวเมืองต่อสู้ป้องกันบ้านเมืองไว้อย่างเข้มแข็ง พม่าพยายามเข้าปล้น เมืองหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จจึงตั้งค่ายล้อมไว้ให้ขาดเสบียงอาหาร ขณะนั้นทางกรุงเทพฯ กำลังเตรียมกองทัพจะไปตีเมืองทวาย ครั้นทราบข่าวการศึกทางหัวเมืองเหนือ จึงโปรดให้พระอนุชาธิราช สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยกขึ้นมาช่วย พอยกขึ้นมาถึงนครลำปาง โปรดให้ตั้งค่ายโอบล้อม พม่าไว้อีกชั้นหนึ่ง เมื่อพร้อมแล้วก็ ส่งสัญญาณให้กองกำลังในเมืองตีกระหนาบออกมาพร้อมกัน พม่าสู้ไม่ได้จึงแตกพ่ายหนีกลับไปยัง เชียงแสน ส่วนที่ป่าซางกองทัพไทยก็ได้ยกขึ้นไปช่วยตีกระหนาบข้าศึกแตกพ่ายไป เช่นเดียวกัน ภายหลังเสร็จจากการศึกสงครามคราวนี้ เจ้ากาวิละเจ้าเมืองเชียงใหม่และเจ้าคำโสม เจ้าเมืองนครลำปาง ได้พาพระอนุชา (เจ้าเจ็ดตน) เข้าเฝ้าสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท แล้วถวายพระพุทธสิหิงค์ให้นำไปประดิษฐาน ณ กรุงเทพ ฯ มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ในปีจุลศักราช ๑๑๘๑ (พ.ศ. ๒๓๓๗) เจ้ากาวิละได้เรียกพระอนุชาทั้ง ๖ เข้าเฝ้าแล้ว มีโอวาทคำสอน โดยมุ่งให้มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งมีสาระสำคัญ ตอนหนึ่งว่า "ตั้งแต่เจ้าเราทั้งหลายไปภายหน้าสืบไป ถึงชั่วลูก ชั่วหลาน เหลน หลีด หลี้ ตราบสิ้น ราชตระกูลแห่งเราทั้งหลาย แม้นว่าลูกหลาน เหลน หลีด หลี้ บุคคลใดยังมีใจใคร่กบฏ คิดสู้รบกับ พระมหากษัตริย์เจ้า แห่งราชวงศ์จักรี แล้วเอาตัวและบ้านเมืองไปพึ่งเป็น ข้าม่าน ข้าฮ่อ ข้ากูลา ข้าแก๋ว ข้าญวน ขอผู้นั้นให้วินาศฉิบหาย ตายวาย พลันฉิบหายเหมือนกอกล้วย พลันม้วยเหมือนกอเลา กอคา ตายไปแล้วก็ขอให้ตกนรกแสนมหากัปป์ อย่าได้เกิดได้งอก ผู้ใดยังอยู่ตามโอวาทคำสอนแห่งเรา อันเป็นเจ้าพี่ ก็ขอให้อยู่สุข วุฒิจำเริญ ขอให้มีเตชะฤทธีอนุภาพปราบชนะศัตรูมีฑีฆา อายุมั่นยืนยาว" สงครามคราวพม่าตีเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๓๔๐) ภายหลังจากกองทัพพม่าพ่ายแพ้แก่กองทัพไทยไป เมื่อครั้งตีนครลำปางและป่าซาง ในปี พ.ศ. ๒๓๓๐ เจ้ากาวิละจึงได้อพยพผู้คนจากป่าซาง ขึ้นไปตั้งมั่นที่เชียงใหม่ ใน พ.ศ. ๒๓๓๙ ยังจัดราชการบ้านเมืองไม่เป็นที่เรียบร้อย พม่าก็ยกกองทัพเข้ามาโจมตี ใน พ.ศ. ๒๓๔๐ ทั้งนี้เพราะพระเจ้าปะดุงยังคิดเสียดายอาณาเขตในแคว้นลานนาไทยอยู่ จึงสั่งให้เนมะโยกยอดินสีหะสุระคุมกองทัพมาประชุมพลที่เมืองนาย รวมรี้พล ๕๕,๐๐๐ คน จัดเป็น ๗ กองทัพ พม่าจัดวางกำลังล้อมเมืองเชียงใหม่ไว้อย่างแน่นหนาถึง ๓ ชั้น ประสงค์จะตีหักเอาเมืองให้ได้ แต่เจ้ากาวิละก็สามารถคุมกำลัง ป้องกันเมืองไว้ได้ ทางกรุงเทพฯเมื่อทราบข่าวศึกเมืองเชียงใหม่จึงโปรดให้สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จยกกองทัพขึ้นมาช่วยเหลือ ประชุมทัพที่นครลำปาง ส่งกองทัพหน้าเข้าตีค่ายพม่าซึ่งสกัดอยู่ที่ลำพูน และป่าซางแตกพ่ายไป แล้วกองทหารชาวนครลำปางได้สมทบกับกองทัพหลวง รวม ๔๐,๐๐๐ คน ยกขึ้นไปตีกระหนาบพม่าที่ล้อมเชียงใหม่แตกพ่ายไปอย่างยับเยิน จับเชลยอาวุธ และช้างม้าพาหนะไว้ได้จำนวนมาก สงครามขับไล่พม่าออกจากเขตแดนลานนาไทย (พ.ศ. ๒๓๔๕ - ๒๓๔๗) ภายหลังจากกองทัพพม่าพ่ายแก่กองทัพไทยในสงครามพม่าตีเชียงใหม่แล้ว ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๔๔ เจ้ากาวิละได้เกณฑ์กำลังจากหัวเมืองเหนือไปโจมตีเมืองสาด หัวเมืองประเทศราชของพม่าเป็นการตอบแทนบ้าง จับได้เจ้าเมืองกับลูกชายรวมทั้งทูตพม่าซึ่งส่งไปเจริญสัมพันธไมตรีกับ ตังเกี๋ยลงไปถวายยังกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังกวาดต้อนครอบครัว ชาวเมืองสาดประมาณ ๕,๐๐๐ คน มาใส่บ้านเมือง เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระเจ้าปะดุงขัดเคืองมาก จึงโปรดให้อินแซะหวุ่น คุมกองทัพ ๔๐,๐๐๐ คน มาตีเชียงใหม่ ใน พ.ศ. ๒๓๔๕ สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จยกกองทัพไทยขึ้นมาช่วยเหมือนครั้งก่อน ครั้นถึงเมืองเถินพระองค์ประชวรเป็นโรคนิ่ว ไม่สามารถ เสด็จต่อไปได้อีก จึงแต่ง กองทัพขึ้นมาสมทบกับกองทัพของนครลำปาง ขึ้นไปช่วยทางเชียงใหม่จนสามารถขับไล่พม่าแตกพ่ายไป เมื่อเสร็จสงคราม เจ้ากาวิละเจ้าเมืองเชียงใหม่ และเจ้าดวงทิพเจ้าเมืองนครลำปาง ได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระอนุชาธิราชที่เมืองเถิน ทรงมีรับสั่งให้ช่วยกันขับไล่พม่าออกจากเชียงแสนให้ได้ แล้วพระองค์เสด็จกลับถึงกรุงเทพ ฯ ได้ไม่นานก็ทิวงคต พอถึงฤดูแล้งกองทัพหลวงมีเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์และเจ้าพระยายมราช พร้อมด้วยกองทัพของเชียงใหม่ นครลำปาง น่าน และเวียงจันทน์ ยกไปตีเชียงแสนใน พ.ศ. ๒๓๔๗ แต่ปรากฏว่าการบังคับบัญชากองทัพไม่เด็ดขาด เนื่องจากมีหลายกองทัพ ส่วนกองทัพวังหลวงที่ยกขึ้นไปนั้นก็ ไม่ตั้งใจทำสงครามอย่างเต็มที่ เนื่องจากถูกปรับโทษจากการยกไปตีเชียงใหม่ล่าช้า ตั้งล้อมเชียงแสนอยู่ได้ ๒ เดือน กองทัพชาวใต้ ได้เลิกทัพกลับเสีย ก่อนคงเหลือแต่กองทัพของลานนาไทย และ เวียงจันทน์ยังคงล้อมเชียงแสนต่อไป จนกระทั่งในที่สุดชาวเชียงแสนลักลอบเปิดประตูเมืองให้เนื่องจากเห็นว่าเป็นพวกเดียวกันจึงสามารถ ยึดเชียงแสนไว้ได้ เจ้ากาวิละสั่งให้รื้อกำแพงเมือง และทำลายเมืองเพื่อมิให้เป็นที่มั่นของข้าศึกอีกต่อไป แล้วอพยพครอบครัวชาวเชียงแสนลงมา ได้ครอบครัวประมาณ ๒๐,๐๐๐ คนแบ่งออกเป็น ๕ ส่วน ส่งลงไปกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้ไปตั้งหลักแหล่งอยู่ที่อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ในปัจจุบัน ที่เหลือส่งไปเวียงจันทน์ น่าน เชียงใหม่และนครลำปาง ชาวเชียงแสนที่อพยพลงมาอยู่ที่นครลำปางอาศัยอยู่แถบบริเวณวัดปงสนุกสืบต่อลูกหลานกันมา จนถึงปัจจุบัน ความดีความชอบในครั้งนี้เจ้ากาวิละได้รับบำเหน็จความชอบมาก โปรดให้สถาปนาเป็นพระเจ้าเชียงใหม่มีฐานะเป็นเจ้าประเทศราช หลังจากตีเมืองเชียงแสนได้กองทัพของลานนาไทยประกอบด้วย เชียงใหม่ นครลำปาง แพร่ เมืองเถิน น่าน รวมทั้งกองทัพของลานช้างได้แก่ หลวงพระบางและเวียงจันทน์ ร่วมกันยกขึ้นไปตีเมืองยอง เมืองลื้อ เมืองเขิน เมืองเชียงตุง เมืองเชียงรุ้ง เมืองเชียงแขง ตลอดจนบรรดาหัวเมืองต่างๆ แถบไทยใหญ่ ลื้อ เขิน มาเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของกรุงเทพฯ ทำให้อาณาเขตของ ไทยแผ่ออกไปกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าครั้งใดๆ นับตั้งแต่นั้นมาบรรดาหัวเมืองลานนาไทย ทั้งปวงจึงปลอดภัยจากการรุกรานของพม่าข้าศึก ด้วยเดชะพระบารมีแห่งบรมราชจักรีวงศ์ การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล เพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงขอนำคำจำกัดความของ "การเทศาภิบาล" ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลอง กระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า "การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการ อันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำ แต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไป ดำเนินงานในส่วนภูมิภาคให้ได้ใกล้ชิดกับอาณาประชากร เพื่อให้เขาได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและ เกิดความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย จึงแบ่งเขตการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกัน เป็นขั้นอันดับกันดังนี้คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัด รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้ สอดคล้องกับ ทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อยและรวดเร็วแก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทาง ราชการเป็นที่พึ่งด้วย" จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้ การเทศาภิบาล นั้นหมายความรวมว่า เป็น "ระบบ" การปกครองอาณาเขต ซึ่งเรียกว่า "การปกครองส่วนภูมิภาค" ส่วน "มณฑลเทศาภิบาล" นั้น คือส่วนหนึ่งของการปกครองแบบเทศาภิบาล ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆแทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม ซึ่งเรียกว่าการปกครองแบบ "กินเมือง" ดังนั้นระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ ในส่วนกลาง และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูป การปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลแล้ว แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดัง จะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาจักรให้มั่นคง และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่าควรจะ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:39:34 ลำปาง ๒
รวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงมีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทย กับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่ เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตกรวมเป็นมณฑลภูเก็ต บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนงาน จัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่า มาเป็นแบบใหม่และเมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวบรวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่าและได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันตกเป็นมณฑลไทรบุรี และได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพการปกครองมณฑลอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพมณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่ อังกฤษเพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ เป็นระบอบประชาธิปไตยนั้นปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาค ออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัด เป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็น จังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศ ใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑล รายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหาร แห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒) อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓) ในฐานะคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการ ส่วนภูมิภาคเป็น ๑) จังหวัด ๒) อำเภอ จังหวัดนั้นได้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:40:35 อุทัยธานี
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ได้สำรวจและขุดค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๒ ถึงวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๑๒ ที่บริเวณเชิงเขานาค ตำบลเขาขี้ฝอย อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี พบว่าดินแดนบางแห่งของจังหวัดอุทัยธานี เคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ก่อนประวัติศาสตร์ ยุคโลหะประมาณ ๓,๐๐๐ ปี ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว บริเวณที่พบแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคโลหะนั้น เป็นเนินดินอยู่ติดกับเชิงเขานาคและลาดลงสู่ลำน้ำตากแดดซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำสะแกกรัง เขานาคเป็นเทือกเขายาวไปทางทิศเหนือและใต้สูงประมาณ ๑๐๐ เมตร หัวเขาด้านทิศเหนือจดลำตากแดด ในฤดูแล้งจะมีน้ำขังอยู่เป็นห้วง ๆ ที่เชิงเขานาคเป็นเนินดินเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ ลาดลงสู่ลำน้ำตากแดด แหล่งโบราณคดีที่พบอยู่ทางฟากด้านทิศตะวันตก เป็นภูมิประเทศเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในสมัยโบราณ เนื่องจากเป็นเนินดินน้ำท่วมไม่ถึง อยู่ใกล้ลำน้ำและภูเขา เหมาะแก่การเพาะปลูกและล่าสัตว์ หาอาหาร ใกล้น้ำบริโภค อาจจะใช้ลำน้ำเป็นทางคมนาคมติดต่อกับชุมชนอื่นได้อีกด้วย การขุดตรวจในบริเวณที่ชาวบ้านเคยพบโครงกระดูกนั้น เป็นดินร่วนปนทรายลึกลงจากผิวดิน พบเศษเครื่องปั้นดินเผาเศษสำริด แต่มีจำนวนน้อย พบร่องรอยโครงกระดูกมนุษย์ ๑ โครง กระดูกป่นเป็นผงเหลือแต่ฟันรวมกันอยู่หลายซี่ ในระดับลึกประมาณ ๖๐ เซนติเมตร ลักษณะดินเป็นดินร่วนปนทรายสีน้ำตาลอ่อน และมีเศษหินผุปนรวมอยู่ด้วย ต่ำจากระดับลึก ๖๐ เซนติเมตร เป็นดินปนกรวดหินปูนก้อนเล็กๆ และไม่พบโบราณวัตถุอื่นๆ เลย ถัดจากหลุมนี้ไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๕๐ เมตร ได้พบเครื่องปั้นดินเผาบนผิวดินจำนวนมาก ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ ในระดับลึกจากผิวดินประมาณ ๖๐ เซนติเมตร โครงแรกที่พบเป็นการฝั่งเดี่ยว นอนหงายเหยียดตรง แขนแนบลำตัว วางหันหัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ศีรษะเอียงไปทางขวา อยู่ในสภาพที่แตกเป็นชิ้นๆ เนื่องจากแรงกดของดิน ไม่มีเครื่องประดับหรืออาวุธฝั่งรวมอยู่ด้วย มีแต่กองเศษภาชนะดินเผาวางอยู่ข้างตัวตั้งแต่ไหล่ลงไปถึงปลายเท้า กระดูกอยู่ในสภาพค่อนข้างเปื่อย กระดูกสันหลัง ซี่โครง และเชิงกรานผุหมดยากต่อการสันนิษฐานว่าเป็นชายหรือหญิงฟันแข็งแรง แต่หน้าฟันลึกมาก อาจเป็นเพราะว่า กินอาหารที่ปนเศษกรวดทรายอันเกิดจากการใช้ฟันบดอาหารจำพวกแป้ง ฟันกรามใหญ่ซี่สุดท้ายยังอยู่ในที่ แสดงว่าผู้ตายมีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี และเสียชีวิตคงจะอายุไม่เกิน ๔๐ ปี โครงกระดูกสัดส่วนสูงโดยประมาณไม่เกิน ๑๖๐ เซนติเมตร อีกหลุมหนึ่งพบโครงกระดูกมนุษย์ฝังรวมกัน ประมาณ สี่โครง ซ้อนอยู่ในลักษณะนอนหงายเหยียดตรง แขนแนบลำตัววางหันหัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเช่นเดียวกัน โครงกระดูกทุกโครงในหลุมนี้ผุเปื่อยมาก ที่ยังคงรูปร่างอยู่แยกได้ ๔ โครง นอกนั้นเป็นกระดูกส่วนต่างๆ เช่น กะโหลก กระดูกแขนขา ชิ้นส่วนของกระโหลกศีรษะ ฝังรวมๆ กันอยู่แต่วางเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบนอกจากโครงกระดูกผู้ใหญ่แล้ว พบฟันน้ำนมอยู่รวมกันเป็นกลุ่มกับเศษกระโหลกบางๆ เข้าใจว่าเป็นศพเด็กเล็กๆ ฝังรวมอยู่ด้วย หลุมฝังศพนี้ไม่มีภาชนะดินเผาที่รวมอยู่เป็นกลุ่มเลย ภาชนะที่พบวางอยู่ทางด้านขวาของปลายเท้า เครื่องประดับที่พบมี กำไลสำริดสวมติดข้อมือซ้ายซ้อนกัน ๒ วง มีลวดลายคล้ายเชือกถักแบบถักเปีย และมีห่วงสำริดหรือแหวนสำริดกองอยู่ระหว่างกระดูกต้นขา นอกนี้ยังพบลูกปัดหินลายขาวดำ (Boudid Agate) และลูกปัดหินสีส้ม (Carnalian) ที่บริเวณคอลูกปัดแก้วสีแสดหรือแดงคล้ำ และลูกปัดแก้วสีน้ำเงินขนาดเล็กที่บริเวณข้อมือ นอกจากนี้ได้พบขวานเหล็กและเครื่องมือเหล็กฝังรวมอยู่หลายชิ้น ขวานเหล็กเล่มหนึ่งวางทับอยู่บนกระดูกต้นขาขวามีเศษผ้าเนื้อหยาบติดอยู่ใกล้กับคมขวานเหล็ก ลักษณะใยเส้นด้ายอาจจะทำด้วยเปลือกไม้ ขวานเหล็กอีกอันหนึ่งยังมีร่องรอยของด้ามไม้ติดอยู่ เนื้อไม้เป็นเส้นคล้ายไม้ไผ่ เข้าใจว่า มนุษย์สมัยนั้นอาจนำซอไม้รวกมาทำเป็นด้ามก็ได้เพราะซอไม้รวกแก่จัดจะมีความแข็งและเหนียวไม่แพ้ไม้เนื้อแข็งอื่นๆ เศษผ้าและไม้ที่ยังไม่ผุเปื่อยไปทั้งๆ ที่มีอายุนับพันปีนี้ก็เนื่องจาก มีสนิมเหล็กช่วยรักษาไว้สำหรับสิ่งของอื่นที่พบมี แร่ดินเผา ลูกกระสุนดินเผา เศษเครื่องประดับสำริด เศษเหล็กที่เหลือจากการหลอมก้อนแร่ เปลือกหอยกาบกระดูกและเขาสัตว์ โดยเฉพาะกระสุนดินเผามีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ ๑.๐๐-๒.๐๐ เซนติเมตร กระดูกสัตว์ต่างๆ เป็นสัตว์หลายประเภท เช่น หมู เก้ง กวาง สัตว์ประเภทฟันแทะ (Rodent) วัวควาย กระดูกปลา กระดองเต่า เขาสัตว์ มีรอยตัดด้วยมีดคม วันที่ ๒๙ เมษายน ๓๐ มิถุนายน ๒๕๑๓ ได้มีการขุดสำรวจเรื่องราว ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ที่เชิงเขานาคอีกครั้งหนึ่ง พบโครงกระดูกลึกจากผิวดินประมาณ ๔๐ เซนติเมตร ในลักษณะนอนหงายซ้อนกันเหยียดยาว แขนแนบลำตัวอยู่ในชั้นดินปนกรวด วางศีรษะไปทางทิศตะวัน-ตกเฉียงเหนือ มีภาชนะดินเผาวางเป็นกลุ่มอยู่ทางด้านซ้าย ส่วนหลักฐานที่พบเพิ่มเติมและแตกต่างจากครั้งที่แล้วมี ถ้วยสำริดที่มีสภาพเกือบสมบูรณ์ ตุ๊กตาดินเผาเป็นรูป สัตว์สี่เท้าบางจำพวก เช่น กบ เสือ และอื่นๆ ที่ชำรุด เสียมเหล็ก ขวานเหล็ก ที่มีรอยจักสาน ของภาชนะที่ใส่ติดอยู่พร้อมเมล็ดพืช กำไลสีเขียวลักษณะแบน มีรูสำหรับต่ออยู่ ๓ แห่ง อยู่ที่เดียวกับท่อนแขนที่มีกำไลสำริดสวมอยู่ ๘ อัน หัวลูกศรและปลายหอก ฉมวก ที่ทำด้วยโลหะ ขวานหินมีป่า ขวานหินขัดและขวานหินกระเทาะ ลูกกระพรวนสำริดที่มีสภาพสมบูรณ์ นอกนั้นก็เป็นเศษภาชนะดินเผาลูกปัดหินกำไล และแหวนสำริด เปลือกหอย เขาสัตว์ ตะกรัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้มีการสำรวจพบแหล่งมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ในท้องที่อื่นอีกหลายแห่ง คือ พบเครื่องมือหินกระเทาะสมัยหินเก่า ทำจากหินกรวด ที่นำมาจากเหมืองแค่ อำเภอบ้านไร่ พบภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์บนหน้าผาที่อยู่บนเทือกเขาปลาร้า เขตอำเภอลานสัก พบขวานหินขัด เศษภาชนะดินเผา และเครื่องมือเหล็กเป็นรูปคล้ายเคียวในถ้ำเขาฆ้องชัย อำเภอลานสัก พบขวานหินขัดที่ถ้ำเขาปฐวี อำเภอทัพทัน, พบขวานหินขัดรูปเหมือนปัจจุบันเศษภาชนะดินเผา และกระดูกสัตว์ ที่ถ้ำเขาตะพาบ ตำบลวังหิน อำเภอบ้านไร่ พบขวานหินขัดสมัยใหม่ ที่บริเวณถนนตรงหมู่บ้านชวนพลู หรือสวนพลู อำเภอบ้านไร่ เป็นจำนวนมาก พบโครงกระดูก เศษภาชนะดินเผา และลูกปัดหินสี แวดินเผาที่บ้านท่าทอง บ้านดงยางใต้ อำเภอเมืองอุทัยธานี โดยเฉพาะ ที่บ้านท่าทอง พบลูกปัดหุ้มด้วยทองคำเป็นต้น ซึ่งเกือบจะเรียกได้ว่า พื้นที่ทุกแห่งของจังหวัดอุทัยธานีเคยเป็นที่อยู่ หรือเส้นทางของมนุษย์ในสมัยโบราณมาก่อน พ.ศ. ๑๐๐๐ เมื่อมีมนุษย์มาอาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยโบราณ นิทานของพื้นบ้านของหมู่บ้านหนองเต่า อ.เมือง ก็ได้มีเล่าต่อสืบทอดกันมาว่าที่บริเวณเขานาคนั้น เดิมเป็นที่อยู่ของพวกพญานาค (เข้าใจว่าเป็นมนุษย์ชาวเขาเผ่านาคา) และห่างจากเขาไปทางทิศตะวันออกนั้น มีหนองน้ำขนาดใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของเต่าทอง (เข้าใจว่าเป็นพวกหากินตามชายน้ำ) พญานาคซึ่งคงจะเป็นพวกนาคาที่มีความดุร้ายหรือมนุษย์ที่กินคน ก็พยายามที่จะจับเต่าทองไปเป็นอาหาร ส่วน เต่าทองนั้น ได้พยายามหลบหลีกและคบหา อยู่กับพวกเทวดา ซึ่งต้องเป็นคนที่มีวิชาความรู้มาก จนในที่สุดทนหนีพญานาคไม่ได้ ก็ไปขอร้องให้พวกเทวดาช่วยสาปแช่งให้พญานาคตายแข็งเป็นหินอยู่ที่เขา ส่วนพญานาคตนอื่นก็หนีไป ทิ้งไว้แต่พญานาคที่ดื้อกว่าให้ถูกสาปเป็นหิน เขาลูกนี้จึงชื่อว่าเขานาคส่วนหนองน้ำใหญ่นั้น เรียกว่าหนองเต่า เป็นหมู่บ้านใหญ่จนทุกวันนี้ อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า พญานาค ตนหนึ่งเกิดไปชอบหญิงสาวคนหนึ่งเข้าก็เห็นจะชื่อนางเป็นคนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับเจ้าหลวงซึ่งชอบพออยู่กับเธอเหมือนกัน มาระยะหลัง เธอก็เกิดตัดสินใจไม่ถูกว่าจะอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับใครดี เมื่อเป็นอย่างนี้เจ้าหลวง กับพญานาค ก็ตกลงนัดพบกันอย่างลูกผู้ชาย เพื่อเจรจาความต่อหน้านางให้แตกหักเสร็จสิ้นกันไป ในที่สุดก็ตกลงใจกันไม่ได้ จึงเกิดการต่อสู้กันอย่างชนิดต้องใช้วิชาตัวเบาฝ่ามือพญามารเข้าต่อสู้กับขวานพยัคฆ์เหิรเจ็ดคาบสมุทร เสียงสนั่นหวั่นไหวจนพวก เทวดา ต้องเผ่นออกมาดูศึกหน้านาง ครั้งหนึ่งคมขวานจามไปถูกแผ่นดิน ถึงกับแยกเป็นลำน้ำตากแดดพวกเทวดา เห็นว่าไม่ได้เรื่อง จึงสาปให้เจ้าหลวงตายแข็งเป็นหินอยู่ที่ เขาหลวง ส่วนพญานาค ก็ให้กลายเป็นเขานาคตากแดดจนตาย สำหรับนางต้นเหตุให้เกิดวิวาทนั้นได้ตัดเนื้อนมขว้างไปให้ เจ้าหลวงข้างหนึ่ง กลายเป็น ภูเขานมนาง อยู่คนละฝั่งกับลำน้ำตากแดด เขตอำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ ส่วนอีกข้าง ขว้างให้พญานาคออกไปเสียไกลเป็น ภูเขาแหลม อยู่ในท้องที่อำเภอทัพทัน ส่วนสถานที่ต่อสู้กันนั้น เรียกว่า วังรอจนทุกวันนี้ เป็นเรื่องเล่ากันสนุกๆ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดทางโบราณคดีแต่อย่างใด นอกจากสถานที่ที่มีจริงตามเรื่องนี้ บริเวณเชิงเขาซับฟ้าผ่า อยู่ในเขตรักษาพันธุ์ป่าห้วยขาแข้ง อำเภอลานสักซึ่งมีภูมิประเทศเป็นหมู่เขา อยู่ใกล้ห้วยน้ำซับ มีหินวงกลม อยู่รวมทั้งหมด ๖ วง ลักษณะเป็นหินอัคนี ขนาดต่างๆ เรียงซ้อนเป็นแนวคล้ายกองหินทำเป็นรูปวงกลมบางวงมีขนาดกว้าง ๒.๐๐-๒.๕๐ เมตร บางวงมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๓๗ เมตร วงหินวงกรมเหล่านี้ เข้าใจว่ามีอายุในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคหินใหม่ นอกจากนี้ ยังพบหินวงกลมในป่าเขตบ้านน้ำพุ ตำบลคอกควาย อำเภอบ้านไร่ อีกแห่งหนึ่งสอบถามได้ความว่า เป็นที่ฝังศพชาวละว้ามาแต่โบราณ หินวงกลมนี้ บางคนเรียกว่า "สังเวียนไก่" ในที่แห่งแรกเคยมีผู้พบเศษภาชนะดินเผาด้วย มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ นิยมเขียนภาพไว้บนผนังถ้ำ หรือหน้าผาสูง เพื่อถ่ายทอดความคิดเห็น มักเป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากการจดจำหรืออาศัยเค้าโครงของสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ในชีวิตประจำวัน รูปแบบและลักษณะของภาพมักจะออกมาตามความคิดฝันที่ติดหูติดตา ที่จังหวัดอุทัยธานีได้มีการสำรวจพบภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ที่หน้าผา บนเทือกเขาปลาร้า ตำบลห้วยคต อำเภอ บ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งมีขนาดสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ เมตร หน้าผานี้อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นหน้าผาขนาดใหญ่ และมีภาพเขียนรูปคน สัตว์ และรูปทรงเรขาคณิต อยู่บนหน้าผาหลายรูป ภาพเขียนสีรูปคนนั้น เขียนเป็นเส้นด้ายด้วยสีแดงคร่ำ บางรูปจางเป็นสีส้ม รูปคนเขียนลงสีทึบ ภายในสวมเครื่องประดับเป็นขนนกที่หัว ที่เอวมีเครื่องประดับห้อยอยู่ ดูเหมือนอวัยวะเพศ ที่มือสวมกำไลสี่เหลี่ยม บางรูปภายในเขียนเป็นเส้นตัดขวางเป็นก้างปลา สามารถแยกลักษณะการเขียนภาพคนได้ ๓ ชนิด คือ ภาพคนที่ลงสีทึบภายใน ภาพคนที่วาดเฉพาะเส้นรอบรูปภายในโปร่ง และภาพคนที่วาดเป็นเส้นรอบนอกของรูป ภายในเขียนแบบประจุดอยู่เต็มช่วงลำตัว เป็นลักษณะพิเศษมีอยู่ ๓ รูป คนละขนาดและยืนเรียงกันอยู่ด้านในสุดของหน้าผา รูปหนึ่งมีประจุดในลำตัว อีก ๒ เป็นเส้นตรงและเส้นตัดขวางอยู่ภายในลำตัวมือและเท้าไม่ได้วาดต่อให้ครบ ภาพคนบางรูปเขียนในท่าจูงวัว และบางรูปมือถือไม้อยู่กับสุนัข เป็นต้น ภาพเขียนสีรูปสัตว์ มีรูปวัวที่ภายในเขียนเป็นรูปตัดขวางในลำตัว บางรูปเขียนเป็นเส้นรอบรูป ส่วนภายในทาสีประกอบเป็นสีดำ แสดงให้เห็นด้านข้าง เห็นขา ๓-๔ ขา สัตว์บางตัวมีขนนกประดับที่หัวด้วย พื้นผนังหน้าผามีเส้นร่างสีดำเต็มไปหมด เข้าใจว่า เขียนภาพร่างก่อนที่จะลงสี รูปสัตว์ที่เขียนมีภาพ วัว ไก่ กบ เต่า ค่างหรือลิง สุนัข เป็นต้น สีที่เขียนเป็นสีแดงคร่ำ ภาพเขียนสีที่เป็นรูปทรงเรขาคณิตส่วนใหญ่เป็นเส้นร่างสีดำ ดูไม่ออก บางแห่งทาสีดำเป็นพืชคล้ายรูปสัตว์ บางรูปเป็นเส้นโค้งหลายเส้นกระจายออกจากจุดกลางวนไปทางซ้าย บางภาพเป็นรูปสัตว์แบบขาวดำ ภาพเขียนสีที่พบในจังหวัดอุทัยธานีนี้เป็นภาพเขียนที่เข้าใจว่า ผู้เขียนช่วยกันเขียนหลายคน จึงมีรูปแบบลักษณะของภาพแตกต่างกัน บางรูปเขียนทับซ้อนเส้นร่างเดิม บางรูปถูกน้ำฝนไหลชะ สีหลุดเห็นเป็นรูปเลือนลาง และเปลี่ยนสีแดงคร่ำเป็นสีส้มหรือแดง เดิมเข้าใจว่า คงมีภาพเขียนอยู่เต็มหน้าผาแห่งนี้ การเขียนนั้นผู้เขียนต้องตั้งร้านไม้สำหรับเขียนจึงจะสามารถเขียนภาพได้ สูงประมาณ ๗-๘ เมตร ภาพเขียนที่พบบนยอดเขาปลาร้านี้ มีลักษณะพิเศษคือ รูปคนมีเครื่องประดับ ภาพคนเขียนไว้หลายแบบในที่เดียวกัน และเป็นภาพเขียนสีที่มีลักษณะชัดเจนและสมบูรณ์ที่สุด อายุประมาณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคโลหะ สรุปได้ว่า พื้นที่ของจังหวัดอุทัยธานีเดิมเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ มาตั้งแต่โบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจจะเป็นมนุษย์ที่อพยพมาตั้งแต่สมัยหินเก่า จากจังหวัดกาญจนบุรีเข้ามาอาศัยอยู่ในเขตอำเภอบ้านไร่ แถบลำธารเก่าบริเวณทางเข้าเหมืองแร่ แล้วอพยพกระจัดกระจายไปอยู่ตามถ้ำตามชายน้ำ มีวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงเป็นสมัยหินใหม่ ซึ่งพบเครื่องมือหินขัดใกล้ลำธาร บ้านสวนพลู หรือบ้านชวนพลู ในเขตอำเภอบ้านไร่ ถ้ำเขาฆ้องชัย ในเขตอำเภอลานสักเป็นต้น จนอพยพเข้ามาถึงเชิงเขานาค ก็เปลี่ยนเป็นวัฒนธรรมสมัยโลหะ อยู่ร่วมกันเป็นหมู่บ้านชุมชนเล็กใกล้ลำน้ำตากแดด ทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ อาจมีพาหนะใช้ เช่นเลื่อนหรือล้อสำหรับทางน้ำอาจจะมีเรือขุดใช้ รู้จักถลุงแร่ เป็นช่างทำเครื่องเหล็ก และเครื่องสำริด ทอผ้าทำเครื่องนุ่งห่ม มีการแลกเปลี่ยนเครื่องมือ เครื่องใช้ระหว่างชุมชนใช้เครื่องประดับต่าง ๆ เช่น กำไล ลูกปัด ห่วงหู หรือห่วงจมูก แหวน เป็นต้น เครื่องมือที่ช่วยในการเพาะปลูก ทำด้วยเหล็ก มีรูปร่างคล้ายเสียมในสมัยปัจจุบันอาวุธของมนุษย์สมัยนี้ได้แก่ ใบหอก ขวาน และอาจจะใช้คันกระสุนสำหรับล่าสัตว์ขนาดเล็ก ภาชนะดินเผามีขนาด รูปร่าง และลวดลายต่างๆ กันส่วนมากค่อนข้างบางประดิษฐ์ด้วยฝีมือปราณีต ดินที่ใช้ปั้นเป็นดินปนทราย ประเพณีการฝังศพ นิยมวางหันหัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่มีโลงใส่ และฝังเครื่องมือเครื่องใช้ของคนตายรวมไปกับศพมนุษย์สมัยนี้มีความสูงเฉลี่ยประมาณ ๑๖๐ เซนติเมตร มักเสียชีวิตในวัยฉกรรจ์ อายุไม่เกิน ๔๐ ปี มนุษย์สมัยโลหะที่อยู่ในจังหวัดอุทัยธานี พบว่า ได้ปั้นตุ๊กตาดินเผารูปสัตว์คล้ายกบ และสัตว์สี่เท้าบางจำพวก จะเป็นเครื่องเล่นของเด็ก หรือใช้สำหรับพิธีกรรมบางอย่าง ไม่สามารถสันนิษฐานได้ใกล้เคียง เพราะพบในสภาพที่ชำรุดไม่สมบูรณ์ ส่วนชาวละว้า ลุ และกระเหรี่ยง นั้นเป็นชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามาแต่เดิม เมื่อได้รับการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมและผสมเผ่าพันธุ์กับชาติอื่น ก็สืบทอดเชื้อชาติและเปลี่ยนแปลงตนเองให้เจริญ ถึงกับสามารถตั้งบ้านเมืองในสมัยทวาราวดี สมัยทวาราวดี ในพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖ นั้น ได้มีการรวมตัวกันเป็นชุมชนเล็ก และรับเอาวัฒนธรรมจากอินเดียมาจัดตั้งเป็นบ้านเมืองบนดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ดังนั้นเมืองโบราณสมัยนี้จึงเกิดขึ้นในเขตจังหวัดนครสวรรค์ สุพรรณบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี และอุทัยธานี เป็นต้น ส่วนมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์สมัยโลหะตอนปลายก็ได้รับเอาความเจริญดังกล่าว และคงจะพากันอพยพ เข้ารวมกลุ่มในอารยะธรรมศิลปทวาราวดีบนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และมีบางส่วนที่อพยพเข้าไปอาศัยอยู่ในที่ห่างไกล จังหวัดอุทัยธานี ปรากฏว่าได้มีการสำรวจพบหลายแหล่งในท้องที่เขตอำเภอต่างๆ คือ ๑. เมืองโบราณบ้านด้ายหรือบ้านใต้ อยู่ในท้องที่ตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอเมือง อุทัยธานี ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแควตากแดด ลักษณะตัวเมือง เกือบจะเป็นรูปวงรี ด้านทิศเหนือใช้ลำน้ำตากแดดเป็น คูเมือง ส่วนด้านอื่นๆ เป็นคูและกำแพงดิน ตัวคูเมืองกว้างประมาณ ๓๐ เมตร กำแพงดินหนาประมาณ ๒๐ เมตร สูงราว ๕ เมตร แนวโบราณสถานรอบยาว ๘๖๕ เมตร ส่วนรอบนอกยาว ๑,๒๗๐ เมตร วัดตั้งแต่ลำน้ำตากแดดเข้าไป แล้วอ้อมออกลำน้ำตากแดดตอนล่างแนวโบราณสถานนี้ กว้าง ๑๗๐ เมตร ห่างด้านละประมาณ ๒๐ เมตร กำแพงดินส่วนที่ใกล้ลำน้ำถูกตัดเป็นทางเดินมีเศษภาชนะดินเผาติดปะปนอยู่ในเนื้อดิน กลางเมืองมีสระน้ำขนาดกว้าง ๘๗ เมตร ยาว ๑๑๐ เมตร ลึกเข้าไปด้านละประมาณ ๒๐ เมตร จะเป็นตัวสระรูปวงรี เนื้อที่ของเมืองโบราณแห่งนี้มีประมาณ ๑๐๐ ไร่ ๙๙ ตารางวา มีซากโบราณสถานอยู่ ๑ แห่ง ที่เชิงเขานาคนอกคูเมืองด้านทิศตะวันตกทางทิศใต้ของกำแพงดิน มีซากเจดีย์ รูปสี่เหลี่ยมขนาด ๓๓ เมตร ฐานก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ ส่วนบนถูกทำลายหักพังไม่เป็นชิ้นดี มุมกำแพงด้านทิศเหนือ พบระฆังหินสีเทากว้าง ๗๘ เซนติเมตร ยาว ๑๕๐ เซนติเมตร หักเป็นสองท่อน กับมีผู้เคยพบพระพุทธรูปสำริดฝังอยู่ริมลำน้ำตากแดด พระพิมพ์ดินเผาปางสมาธิ ฐานเป็นรูปบัว เศียรหักไปส่วนหนึ่ง ตุ้มหูสำริด กำไลหิน เป็นต้น ๒. เมืองโบราณบ้านคูเมือง อยู่ในท้องที่ตำบลดงขวาง อำเภอหนองขาหย่าง ตัวเมืองถูกแปรสภาพเป็นไร่นา ลักษณะตัวเมือง เป็นรูปวงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๘๐๐ เมตร คูเมืองกว้างประมาณ ๓๐ เมตร กำแพงดินกว้างประมาณ ๒๐ เมตร ตอนกลางลาดเป็นแอ่งคล้ายท้อง กะทะ ถูกปรับเป็นที่นาไปเกือบหมด รวมเนื้อที่ประมาณ ๑๔๐ ไร่ เมืองนี้มีทางเข้า ๓ แห่ง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ และทิศเหนือ โบราณวัตถุที่เคยพบมีลูกปัดสีต่างๆ เป็นจำนวนมาก เครื่องปั้นดินเผาก้อนตะกั่ว ตราดินเผา รูปดอกไม้กับรูปสิงห์ ลักษณะเลือนลางมาก แท่งหินบดยา แว ถ้วยหรือตระกรันดินเผา ขวานหินขัดทำด้วยหินทราย ก้อนแร่เหล็กพระพิมพ์ดินเผา เป็นต้นนอกจากนี้พบระฆังหินแบบเจาะรู ๒ รู และรูเดียวขนาดใหญ่ ๒x๕ ศอก จากทางเข้าทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีร่องรอยเจดีย์เล็ก ๆ เรียงรายห่างกันประมาณ ๒๐ เมตร ยาวเกือบ ๒ กิโลเมตร จนถึงองค์เจดีย์ใหญ่ ที่ดงหนองสระ หรือดงเจดีย์ราย เข้าใจว่าจะเป็นโบราณสถานที่สำคัญ และชาวเมืองออกมาทำบุญกันที่นี่ทุกวันพระ บนเขาระแหงที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองโบราณแห่งนี้ ชาวบ้านเล่าว่ามีเจดีย์เก่าแก่อยู่ด้วย ๓. เมืองโบราณเมืองการุ้ง อยู่ในท้องที่ตำบลวังหิน อำเภอบ้านไร่ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมถนนสายหนองฉาง-บ้านไร่ ตรงกิโลเมตรที่ ๔๐ เดิมเป็นพื้นที่ป่าทึบ ปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นไร่นา ลักษณะของตัวเมืองเป็นวงกลมรี เส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ ๘๐๐ เมตร ประกอบด้วยคูเมือง กว้างประมาณ ๒๐ เมตร ลึกประมาณ ๒ เมตร มีกำแพงดินล้อมรอบ คูเมืองบางตอนถูกเกลื่อนลง คูเมืองยาวตลอดเป็นระยะทางประมาณ ๘๐๐ เมตร บางแห่งตื้นกว่าระดับเดิม และมีการขุดลอกคูเมืองใหม่ ภายในบริเวณเมืองมีซากเจดีย์หักพังอยู่ค่อนไปตรงกลาง ตัวเมืองด้านในอยู่ติดกับทิวเขาอีกด้านหนึ่งอยู่ติดกับถนนที่ตัดผ่านในระยะหลัง ภายในเมืองมีสระน้ำอยู่ค่อนไปทางทิศเหนือ และที่นอกกำแพงดินด้านทิศใต้มีสระโบราณอีกแห่งหนึ่ง โบราณวัตถุที่พบนั้น มีพระพุทธรูปปางเสด็จดาวดึงส์และสิ่งอื่นๆ เช่นเดียวกับเมืองสมัยทวาราวดีทั่วๆ ไป ๔. เมืองโบราณบึงคอกช้าง อยู่ในท้องที่ตำบลไผ่เขียว อำเภอสว่างอารมณ์ ตัวเมืองตั้งอยู่ในป่า ซึ่งได้ทำการสำรวจและขุดตรวจ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๑๔ ถึงวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๑๔ ปรากฏว่า คูเมืองกว้างประมาณ ๒๐ เมตร กำแพงดินสูงโดยเฉลี่ยประมาณ ๖-๗ เมตร มีประตูเข้าเมืองทั้ง ๔ ทิศ และริมประตูเมืองทั้ง ๔ มีสระน้ำเฉพาะด้านทิศตะวันออก มีคันคูอีกชั้นหนึ่งซึ่งเข้าใจว่า ขุดเพื่อเชื่อมโยงกับลำห้วยทางด้านตะวันออก เพื่อให้น้ำเข้าไปหล่อเลี้ยงในคูเมือง เนื่องจากเมืองอยู่ในป่าทึบจึงมีซากวัชพืชทับถมผิวดินหนามาก ไม่อาจพบเศษเครื่องปั้นดินเผาได้ โบราณสถานที่สำรวจมีอยู่ ๕ แห่ง คือ ภายในตัวเมือง ๑ แห่ง ตั้งอยู่ใกล้คูเมืองด้านทิศใต้ ลักษณะเป็นเนินศิลาแลง ขนาดของเนินมีเส้นฝ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐ เมตร ตอนกลางถูกขุดเป็นโพรง นอกคูเมืองมีโบราณสถานก่อด้วยอิฐอีก ๓ แห่ง มีขนาดกว้าง ๑๔ เซนติเมตร ยาว ๓๗ เซนติเมตร และหนา ๗-๘ เซนติเมตร มีแกลบผสมมาก ขนาดของเนินที่ใหญ่ที่สุด กว้างด้านประมาณ ๑๐ เมตร สูงประมาณ ๓ เมตร ส่วนอีก ๒ แห่ง เป็นเนินขนาดเล็กกว้างประมาณ ๖-๗ เมตร สูงประมาณ ๑/๒ เมตร นอกจากนี้ ยังพบซากโบราณสถานอยู่บนยอดเขาทางทิศตะวันออกของตัวเมืองอีก ๑ แห่ง ซึ่งก่อสร้างด้วยอิฐที่เผาแกร่งและมีสีแดงเข้ม มีส่วนผสมกับทรายมากกว่าแกลบและมีน้ำหนักอิฐขนาดกว้าง ๑๒ เซนติเมตร ยาว ๒๔ เซนติเมตร และหนา ๖ เซนติเมตร โบราณสถานแห่งนี้ อยู่ในสภาพถูกทำลาย ที่บริเวณเมืองนี้ พบหลักฐานที่สำคัญมาก คือ ศิลาจารึกอักษรโบราณ ๓ หลัก เป็นอักษรปัลลวะ ภาษามอญ แปลเป็นความว่า ๑. สมัยที่ปรัชญาเป็นเลิศ ๒. บุญย่อมส่งเสริมนักพรต ๓. จงเลือกไปทางนี้ นอกจากการสำรวจพบเมืองโบราณสมัยทวาราวดี ที่เด่นชัดในท้องที่จังหวัดอุทัยธานี ดังกล่าวนี้แล้วยังได้สำรวจพบเรื่องราวสมัยทวาราวดี ในพื้นดินแถบนี้หลายแห่ง คือ ๑. พบโบราณสถานสมัยทวาราวดีที่บ้านเก่า หมู่ที่ ๒ ตำบลลานสัก อำเภอลานสัก เป็นเนินสูง ๑ เมตร ตรงกลางถูกขุดเป็นบ่อ พบอิฐขนาดใหญ่มีลักษณะแปลกมีลวดลายขีดเขียนด้วยน้ำมือเป็นเส้นคู่บ้าง เป็นลายเส้นรูปทรงเรขาคณิตในรูปหลายแบบบ้าง ซึ่งทำเป็นลวดลายขีดเขียนแบบแผ่นอิฐก่อนเผา โดยขีดเขียนเพียงด้านเดียว และยังมีผู้พบอิฐที่มีรูปมนุษย์และรูปเทวดาบริเวณโบราณสถานนั้น นอกจากพบอิฐที่มีขนาด ๓๔+๑๙+๘.๕ เซนติเมตร ขนาด ๓๓+๑๙.๕+๘ เซนติเมตร และ ๑๗+๓๓.๕+๑๐ เซนติเมตร แล้วยังพบในเสมา ดินเผาขนาด ๕๐+๒๗.๕+๘ เซนติเมตร อีกด้วย สันนิษฐานว่า คงจะเป็นโบสถ์เก่าสมัยทวาราวดี เสียดายที่ถูกทำลายมาก่อนแล้ว จึงไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีมากนัก ๒. พบพระพิมพ์ดินเผาสมัยทวาราวดีและแม่พิมพ์ดินเผา เป็นจำนวนมากในถ้ำศูนย์ตา ตำบลบ้านไร่ อำเภอบ้านไร่ ซึ่งเป็นถ้ำที่เข้าใจว่าคงเป็นแหล่งสร้างพระพิมพ์ในสมัยทวาราวดี ยังสำรวจไม่พบว่า บริเวณนั้นมีภูมิสถาน ที่เป็นเมืองโบราณสมัยทวาราวดี อยู่ใกล้เคียงเลย ภายในถ้ำปรากฏว่ามีเศษพระพิมพ์ดินเผา และแม่พิมพ์อยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนที่สมบูรณ์นั้น ได้มีผู้นำเอาไปจนหมดสิ้นแล้ว ลักษณะพระพิมพ์ดินเผานี้ เป็นรูปพระนั่งห้อยเท้าอยู่ในซุ้มใต้พุทธคยา แบบเดียวกับที่เคยพบที่บ้าน พงนึก จังหวัดกาญจนบุรี นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูปไม้จำหลักสมัยหลังๆ เป็นจำนวนมาก เข้าใจว่าถ้ำแห่งนี้ เดิมเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรืออาจถือเป็นวัดแห่งหนึ่งในสมัยนั้นก็ได้ ๓.รูปปูนปั้นของนางดารา สมัยทวาราวดี แสดงแบบของการแต่งกายของคนในสมัยนั้น เป็นศิลปศรีวิชัย ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ได้ไปจากจังหวัดอุทัยธานี ไม่ทราบว่าจากที่แห่งใด เข้าใจว่าจะได้ไปจากเมืองการุ้ง ๔. พบร่องรอยของเมืองโบราณในเขตตำบลห้วยคต อำเภอบ้านไร่ ตรงทางแยกบ้านทุ่งนางาม เรียกบ้านน้ำวิ่ง มีคูเมืองและเคยพบเศษภาชนะดินเผา และมีร่องรอยคูเมืองที่อยู่ระหว่างตำบลห้วยรอบกับบ้านหินโจน มีคันคูเป็นรูปวงรี และมีลำคลองผ่านกลางทะลุไปอีกด้านหนึ่ง ชาวบ้านเรียกบึงทะลุ ประกอบกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้เป็นชาวมอญ ที่อยู่สืบทอดกันมานาน เคยมีผู้พบเศษอิฐหักกระจัดกระจายอยู่บ้าง หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:41:06 อุทัยธานี ๒
จังหวัดอุทัยธานี มีเมืองโบราณ สมัยทวาราวดี เกิดขึ้นในท้องที่หลายแห่งบางแห่งมีโบราณสถานที่สำคัญ จนเชื่อว่า ในสมัยทวาราวดีได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากขึ้น และมีเชื้อสายสืบทอดมาจากเผ่าพันธุ์ มอญทวาราวดี (คือเผ่าพันธุ์ ที่ผสมกับชาวละว้าและธิเบต) มีวัฒนธรรมทวาราวดี สร้างสรรศิลปวัตถุขึ้นโดยวิวัฒนาการไปอย่างช้าๆ เปลี่ยนรูปแบบของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ รับอิทธิพลทางศิลปของอินเดียจนสามารถสร้างรูปปูนปั้นนางดารา พระพิมพ์ดินเผา พระพุทธรูปสำริดและเครื่องปั้นดินเผา รวมถึงการก่อสร้างด้วยอิฐแดงและเผาอิฐได้ เป็นต้น จนนับว่าดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีความเจริญสูงสุดในสมัยทวาราวดีซึ่งหมายถึงเมืองโบราณต่างๆ ที่พบในจังหวัดอุทัยธานีด้วย สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ในราว พ.ศ. ๑๔๓๖ ขอมได้ครอบครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดนั้น อำนาจของพวกละว้าที่อาศัยอยู่ตามเมืองโบราณต่างๆ นั้น ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไร เพราะขอมได้ส่งคนไปปกครองเฉพาะเมืองสุโขทัย เมืองละโว้ และเมืองศรีเทพ ถึงกระนั้นก็มีหลักฐานจากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ กษัตริย์ของขอมก็ยังได้ส่งพระพุทธรูปชื่อ "พระชัยพุทธมหานาค" ออกมาประดิษฐานตามเมืองต่างๆ ที่อยู่ในดินแดนภาคกลางของประเทศไทยถึง ๒๓ แห่ง ได้แก่ ลโวทยปุระ (เมืองละโว้) สุวรรณปุระ (เมืองสุพรรณเก่า) คัมพูปัฏฎนะ (เข้าใจว่าเมืองแถบสระโกสิ-นารายณ์ หรือเมืองนครปฐม) ชัยราชบุรี (เมืองราชบุรี) ศรีชัยสิงห์บุรี (เข้าใจว่าเมืองสิงห์ ที่จังหวัดกาญจนบุรี) ศรีชัยวัชรบุรี (เข้าใจว่าเป็นเมืองเพชรบุรี) เป็นต้นเป็นเรื่องที่น่าจะสันนิษฐานได้ว่า เมืองโบราณในเขตจังหวัดอุทัยธานีก็น่าจะมีส่วนได้รับพระพุทธรูปดังกล่าวด้วยไม่พบหลักฐานอื่นใดนอกจากซากอิฐศิลาแลงในแถบสระนารายณ์ หมู่ ๖ ตำบลหนองหลวง เขตอำเภอสว่างอารมณ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปสระสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวประมาณ ๓๐-๓๗ เมตร ลึกประมาณ ๑ เมตร ทางด้านใต้ของขอบสระ มีแท่งศิลาใหญ่ มีถนนเก่าปรากฏอยู่ด้วย ส่วนโบราณวัตถุที่พบมีพระพุทธรูปตรีกาย หรือพระพุทธรูปสามองค์นั่งเรียงอยู่บนฐานเดียวกัน ตามคติมหายานที่ถือว่า พระพุทธเจ้ามี ๓ กาย คือพระธรรมกายพระสัมโภคีกาย และพระนิรมานกาย (หรือพระธยานิพุทธ พระอาทิพุทธ) พระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้ นั่งปางมารวิชัย ทรงรัดเกล้าที่เรียกว่า เทริดขนนกและกุณฑลแบบแปลกประทับนั่งสมาธิราบครองจีวรห่มเฉียง มีขอบจีวรต่อจากชายขอบสี่เหลี่ยมที่พาดอยู่บนพระอุระด้านซ้าย ลงมาคลุมพระหัตถ์ซ้ายและพระโสณี แผ่นหลังติดอยู่กับเรือนแก้ว ซึ่งส่วนบนทำเป็นรูปปลายใบไม้ หมายถึง พระศรีมหาโพธิ์ เนื้อเป็นสำริด สูง ๓๑.๕ เซนติเมตร ฐานกว้าง ๗.๘ เซนติเมตร พบที่ตำบลดอนขวาง อำเภอเมืองอุทัยธานี ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาตสำริด ศิลปสมัยลพบุรี พบที่วัดหนองพังค่า อำเภอเมืองอุทัยธานี เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะยืนยันได้ว่า ในสมัยนี้ มีพระพุทธรูปฝีมือลพบุรี ที่ได้รับอิทธิพลของขอมเข้ามาในจังหวัดอุทัยธานีแล้ว ชนชาติที่อาศัยอยู่ก็คงจะเป็นชาวทวาราวดีที่สืบเชื้อสายจากมอญหรือละว้า ต่อมา "ท้าวมหาพรหม" ซึ่งปรากฏในตำนานว่าเป็นผู้ตั้งเมืองอุทัยเก่า ก็ใช้เวลาช่วงนี้รวบรวมชนชาติไทยเป็นชุมชนเล็กๆ จนในที่สุดก็สร้างบ้านเมืองเป็นหลักฐานที่บ้านอุทัยเก่า ในท้องที่อำเภอหนองฉาง ซึ่งพบแนวศิลาแลง วางเรียงเป็นทางยาวอยู่ลึกประมาณ ๒ เมตร และระฆังหินประมาณการสร้างเมืองคงตกราวสมัยสุโขทัย หมู่บ้านแห่งนี้จึงเรียกกันทั่วๆ ไปว่า "บ้านอู่ไทย" ซึ่งหมายถึง เป็นที่อยู่ของชาติไทย ดูจะเข้าเค้าที่ว่าในพื้นที่หลายแห่งของจังหวัดอุทัยธานีมักเป็นที่อยู่ของชนชาติต่างๆ เช่น หมู่บ้านมอญ หมู่บ้านละว้า หมู่บ้านไทย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้นำเอาคำ "อุทัย" ไปหาความหมายเป็นบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรือง และเป็นเมืองที่พึ่งตั้งขึ้น เหมือนดวงอาทิตย์แรกขึ้นจากขอบฟ้า จึงทำให้เข้าใจว่าเมืองอุทัยเก่าเป็นเมืองใหญ่ ที่มีผู้คนอยู่ทำมาหากิน และมีพืชพันธ์ธัญญาหารสมบูรณ์กว่าแหล่งอื่นถ้าพิจารณาตามข้อเท็จจริงแล้ว ไม่น่าจะกลายเป็นเมืองใหญ่ได้รวดเร็วถึงขนาดนั้น ที่น่าจะเข้าใจก็คือหมู่บ้านอู่ไทยนั้น มีผู้คนที่เป็นชนชาติไทยไปตั้งถิ่นฐานทำมาหากินเป็นกลุ่มก้อน และคงจะได้ชักชวน พี่น้องคนไทยด้วยกันมาอยู่เสียที่แห่งนี้ เนื่องด้วยมีที่ดินทำมาหากินกว้างขวาง มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ จึงเป็นหมู่บ้านที่เจริญกว่าหมู่บ้านอื่นๆ ที่เป็นหมู่บ้านชาวมอญ หมู่บ้านชาวกระเหรี่ยงดังนั้นหมู่บ้านอู่ไทยจึงเป็นแหล่งกลางสำหรับหมู่บ้านอื่น ไปมาติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าด้วยส่วนที่จะมีการเดินทางติดต่อกับหมู่บ้านไกลๆ นั้น ก็คงจะมีบ้างเพราะพื้นที่แถบนี้มีเมืองโบราณสมัยทวาราวดี เกิดขึ้นแล้วหลายแห่งและมีชื่อเรียกนำหน้าด้วยคำว่า "อู่" เช่นเมืองอู่บน หรือเมืองบน ที่บ้านโคกไม้เดน อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เมืองอู่ตะเภา ที่บ้านอู่ตะเภา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองอู่ล่าง เข้าใจว่าเป็นเมืองลพบุรี ตามคำพังเพยที่ว่า "ฝูงกษัตริย์เมืองบน ฝูงคนเมืองล่าง (หรือลพบุรี) .." เป็นต้น ส่วนที่เป็นชื่ออื่นก็มี เมืองจันเสน ที่อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เมืองดงแม่นาง เมือง ที่ตำบลตาสัง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เมืองประคำ ที่ตำบลโคกเดื่อ อำเภอไพศาลี บ้านเมืองที่ร่วมสมัยเดียวกับเมืองอู่ไทยหรือเมืองอุทัยนั้น ได้เกิดขึ้นหลายแห่งในสมัยสุโขทัย โดยเฉพาะดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีเมืองพระบาง ที่จังหวัดนครสวรรค์ เมืองชัยนาท, เมืองแพรก ศรีราชา ที่อำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท, เมืองไพสาลี ที่ตำบลสำโรงไชย อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์, เมืองศรีราชาที่จังหวัดสิงห์บุรี เป็นต้น นับเป็นความเจริญของดินแดนในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาที่ได้วิวัฒนาการ และเปลี่ยนแปลงตัวเองสร้างสรรโบราณวัตถุสถานสำคัญขึ้น สำหรับเมืองอู่ไทยนั้น ในระยะหลังๆ เมื่อกระแสน้ำเปลี่ยนทางเดิน ทำให้เกิดกันดารน้ำอันเป็นเหตุให้มีการอพยพทิ้งหมู่บ้าน ไปหาแหล่งทำมาหากินในที่อื่น และอาจจะเลยเข้ามาอยู่ในแถบแม่น้ำสะแกกรัง เขตจังหวัดชัยนาท จนสามารถตั้งหมู่บ้าน หรือชุมชนเล็ก ๆ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งเรียกกันภายหลังว่าบ้านสะแกกรัง ส่วนเมืองอู่ไทย หรือเมืองอุทัยเก่า ก็คงจะร้างลงระยะหนึ่ง ต่อมา "พะตะเบิด" ชาวกระเหรี่ยงได้อพยพผู้คนเข้ามาอยู่ที่เมืองอู่ไทย หรือ เมืองอุทัยเก่าอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยอยุธยา พร้อมกับได้สร้างโบราณสถานหลายแห่งตามลำดับ และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ โดยขุดดินทางด้านทิศใต้ ของตัวเมืองเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เรียกว่า ทะเลสาบ และปรากฏในตำนานว่า "พะตะเบิด" ได้เป็นเจ้าเมืองคนแรกของเมืองอู่ไทยหรือเมืองอุทัยเก่าที่ไม่เข้าใจคือ เหตุใดชาวกระเหรี่ยงจึงมีอำนาจและเป็นเจ้าเมือง จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าการที่ผู้คนเข้ามาอยู่ในเมืองอู่ไทย หรือเมืองอุทัยเก่านี้เป็นชนชาติกระเหรี่ยง ละว้า ถึงอย่างไร ก็น่าจะมีคนไทยหลงเหลืออยู่บ้างแต่ถ้าได้ศึกษาถึงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์แล้วจะเห็นได้ว่า ชนชาติละว้า หรือชนชาติกระเหรี่ยง เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถ่ายทอดมาจากมนุษย์เผ่าพันธุ์ไทย อย่างน้อยก็เกี่ยวพันกันอยู่ก็น่าที่จะเข้าใจว่า "พะตะเบิด" ก็เป็นเชื้อสายเผ่าพันธุ์ไทยได้ นอกนี้ไม่ปรากฏหลักฐานอะไรถึงการ ปกครองที่ต่อเนื่องมาจาก "พะตะเบิด" หรือผู้ปกครองคนต่อมา เมืองอู่ไทย หรือเมืองอุทัยเก่าในสมัยอยุธยานั้นได้มีการสร้างวัดตามทิศต่างๆ ดังนี้ ทิศเหนือ วัดหัวหมาก ทิศตะวันตก วัดยาง ทิศตะวันออก วัดแจ้ง และทิศใต้ วัดหัวเมือง โดยมีหลักเมืองทำด้วยไม้แต่อยู่ตรงกลางค่อนไปทางทิศใต้ ห่างจากวัดหัวเมืองประมาณ ๑๐๐ เมตร ตัวเมืองอุทัยเก่ามีอาณาเขตที่ถือเอาวัดเป็นเกณฑ์ประมาณกว้าง ๓๐๐ เมตร และยาวประมาณ ๕๐๐ เมตร นอกตัวเมืองทางด้านทิศใต้เป็นทะเลสาปและมีวัดกุฏิตั้งอยู่ริมทะเลสาปด้านใต้ ซึ่งมีแนวคลองผ่านเข้าตัวเมือง ถัดจากตัวเมืองไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๒ กิโลเมตรเป็นหมู่บ้านคลองค่าย ซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายทหารในสมัยอยุธยา สำหรับเกณฑ์ไปช่วยเมืองหลวงในยามศึกสงครามและเป็นหน้าด่านป้องกันพม่าที่ยกทัพเข้ามาทางเขตเมืองอุทัยเก่า สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเมืองอุทัยเก่านั้นเป็นเมืองอยู่ใกล้ชายแดน ควรจะเป็น "เมืองด่าน" ใช้ระมัดระวังพม่าที่เดินทัพเข้ามาทางด่านแม่ละเมา และด่านเจดีย์สามองค์ซึ่งเป็นเส้นทางที่พม่าใช้เดินทัพเข้ามาแต่โบราณ จึงให้จัดตั้งด่านป้องกันขึ้นหลายแห่งคือ ด่านเมืองอุทัย (ที่บ้านคลองค่าย) ด่านแม่กลอง ด่านเขาปูน ด่านหนองหลวง ด่านสลักพระ โดยถือเอาเมืองอุทัยเก่าเป็น "หัวเมืองด่านชั้นนอก" โดยมีเจ้าเมืองอุทัยเก่าเป็นผู้ดูแลด่านต่างๆ เมืองอุทัยเก่าในสมัยนั้นมีอาณาเขตการปกครองดังนี้ ทางทิศตะวันออกติดต่อกับเมืองแพรก (เมืองสรรค์บุรี) ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจดกับเมืองพระบาง (เมืองพังค่าจังหวัดนครสวรรค์)ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดต่อกับเมืองแปป (เมืองกำแพงเพชร) และเมืองฉอด (อยู่ที่จังหวัดตาก) ถือแนวแม่น้ำและลำคลองเป็นแนวเขต เช่นแม่น้ำกลอง คลองห้วยแก้ว ลำห้วยเปิ้นเป็นต้น สำหรับด่านสำคัญที่อยู่ปลายแดนด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือได้ให้พระพล (พระพลสงคราม) เป็นผู้รักษาด่านแม่กลอง และพระอินทร์ (พระอินทรเดช) เป็นผู้รักษาด่านหนองหลวงซึ่งเป็นด่านที่สำคัญของเมืองอุทัยเก่า (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก) ในพงศาวดารพม่าปรากฏว่า "สมเด็จพระนเรศวรยกทัพติดตามตีกองทัพพระเจ้าหงสาวดีไปจนถึงหนองหลวง แล้วจึงกลับคืนพระนคร" ต่อมาสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้โปรดให้บัญญัติอำนาจการใช้ตราประจำตำแหน่งมีบัญชาการตามหัวเมืองนั้นๆ ได้ระบุในกฎหมายเก่า ลักษณะพระธรรมนูญว่า "เมืองอุไทยธานีเป็นหัวเมืองขึ้นแก่มหาดไทย" ตัวเมืองอุทัยเก่านั้นเป็นเมืองดอนตั้งอยู่บนพื้นที่ต่อเนื่องกับเชิงเขาบรรทัดที่เป็นเขตแดนติดกับเมืองมอญ (เมาะตะมะและเมาะตำเลิม) มีที่ราบทำนาได้มาก ทั้งมีธารน้ำไหลลงมาจากภูเขากักตุนเก็บน้ำเข้ามาใช้ในการทำนา ไม่มีเวลาที่นาจะเสีย จึงมีผู้คนได้ตั้งบ้านเรือนทำนากันมาก จนเป็นบ้านเมืองใหญ่ ด้วยเหตุที่หัวเมืองตั้งอยู่บนที่ดอนห่างจากคลองสะแกกรังประมาณ ๕๐๐ เส้น ลำห้วยที่มีอยู่เดิมใกล้ๆ ตัวเมืองก็ตื้นเขินและใช้การไม่ได้ เรือจึงขึ้นไปไม่ถึงเมื่อจะขายข้าวต้องบรรทุกเกวียนมาทางบกลงมาที่แม่น้ำสะแกกรัง อันเป็นปลายเขตแดนเมืองชัยนาท และเมืองมโนรมย์ และการส่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ต้องอาศัยแม่น้ำสะแกกรังเป็นหลัก ดังนั้นประชาชนที่รับซื้อผลิตผลสินค้าของชาวอุทัยธานี จึงพากันไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสะแกกรัง ซึ่งเป็นตลาดค้าขายของชาวเมืองอุทัยธานี พ.ศ. ๒๒๐๖ แผ่นดิน ของสมเด็จพระนารายณ์ กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา พม่าได้ปราบปรามพวกมอญเมืองเมาะตะมะ ซึ่งเป็นกบฏจับมังนันทมิตร อาของพระเจ้าอังวะ พาเข้ามาในดินแดนไทยดังนั้น "ครั้นถึงกติกมาสได้ศุภวารดฤถี พิชัยฤกษ์ เจ้าพระยาโกษาธิบดี และท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งปวงกราบถวายบังคมลายกพลโยธาแยกกันไปทางด่านเจดีย์สามองค์บ้าง ทางด่านเขาปูนและด่านสลักพระแดนเมืองอุทัยธานีบ้าง ส่วนกองทัพพระยาสีหราชเดโชชัย ซึ่งลงมาจากเมืองเชียงใหม่ถึงเมืองตากนั้นก็รีบยกมาทางเมืองกำแพงเพชร เมืองนครสวรรค์ ผ่านเมืองอุทัยธานีถึงเมืองศรีสวัสดิ์รบกับพม่าที่ไทรโยค และท่าดินแดงร่วมกับทัพใหญ่ของเจ้าพระยาโกษาธิบดีคือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ขุนเหล็ก) เป็นแม่ทัพใหญ่พร้อมด้วยพระยาวิเศษชัยชาญ พระยาราชบุรีและพระยาเพชรบุรี จนพม่าแตกพ่ายหนีไปด้วยกำลังทหารหาญกับชาวด่านเมืองอุทัยธานีที่ได้ติดตามทัพ พระยาสีหราชเดโชชัยมาช่วยรบในคราวนี้ด้วย สมเด็จพระปฐมมหาชนก กำเนิดที่บ้านสะแกกรัง " บ้านสะแกกรัง" เดิมนั้นมีต้นสะแกใหญ่อยู่กลางหมู่บ้าน เป็นตลาดค้าขายสำคัญมาแต่โบราณ ครั้นมีเจ้านายเดินทางมาซื้อพืชผล และเป็นที่สนใจของเจ้านายคนอื่นๆ จนถึงกับ "จมื่นมหา-สนิท (ทองคำ) " ซึ่งเป็นบุตร "เจ้าพระยาวงศาธิราช (ขุนทอง)" ได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านสะแกกรัง ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ดังปรากฏในคำโคลงมหามกุฏราชคุณานุสรณ์ พระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ว่า "ในระหัศราชะหัตถ์นั้น เสนอสาร เพียงเกี่ยวโกสาปาน ญาติยั้ง อนุสันตตินั่นตำนาญ อื่นออกยาเอย นาม ราชะนกูล ตั้ง คฤหาสน์แคว้นแขวงอุทัย" บ้านสะแกกรัง ที่มีพ่อค้าคอยรับซื้อข้าวพืชพันธุ์ของป่าอยู่นั้น เมื่อปรากฏว่ามีเจ้านายมาตั้งบ้านเรือนอยู่ดังกล่าว ก็ได้มีการสร้างวัดขึ้นตามแหล่งชุมนุมชน เช่นวัดกร่าง (วัดพิชัยปุรณาราม) วัดท่าซุง, วัดเดิมบนยอดเขาสะแกกรัง เป็นต้น ด้วยเหตุที่เมืองอุทัยเก่าเป็นเมืองด่านการขนย้ายช้างใช้ในการสงคราม และช้างป่าเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา จำเป็นต้องใช้ลำคลองสะแกกรังเป็นเส้นทางขนส่ง โดยต่อแพล่องส่งลงไปยังกรุง อันเป็นเหตุให้ "บ้านสะแกกรัง" เป็นแหล่งรวมช้างศึก และได้จัดสร้าง "พะเนียดช้าง" (บริเวณวัดใหม่จันทารามพบเสาตะโพนช้าง และพระพุทธรูปองค์ใหญ่) เป็นที่พักสำหรับขนถ่ายช้าง ไปลงที่ท่าช้าง ซึ่งเป็นที่ลาดกว้าง ตั้งแต่ห้าแยกลาดเทลงไปจนถึงแม่น้ำสะแกกรัง ส่วนตลาดนั้นอยู่ถัดเข้ามาข้างใน (แถวหน้าวัดหลวงราชาวาสเดี๋ยวนี้ตั้งแต่บ้านขุนกอบกัยกิจเข้าไป) ซึ่งไม่ห่างจาก "พะเนียดช้าง" เท่าไรนัก ต่อมาในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระจมื่นมหาสนิท (ทองคำ) ได้เป็นพระยาราชนิกูล อยู่ที่บ้านสะแกกรัง จนบุตรชายคนใหญ่ชื่อ "ทองดี" เกิดที่นั่น จากพระราชหัตถเลขาของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีถึง เซอร์ จอห์น เบาริ่ง เป็นภาษาอังกฤษแปลจากหนังสือ The Kingdom and People (The Royal Dynasty) หน้า ๖๕-๖๖ มีความว่า "สมเด็จพระนารายณ์ จึงได้ทรงแต่งตั้งนายปาน ให้เป็นเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศแทนพระยาคลังซึ่งเป็นพี่ชาย และเป็นต้นตระกูลของบรรพบุรุษของเราต่อมา แต่เรื่องราวการรับราชการในสมัยต่อมานั้นไม่ปรากฏ จนกระทั่งถึงสมัยสมเด็จพระภูมินทร์ราชาธิราช ซึ่งปกครองประเทศสยามระหว่าง ค.ศ. ๑๗๐๖-๑๗๓๒ (พ.ศ. ๒๒๔๙-๒๒๗๕) ซึ่งเป็นพระมหาชนกปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จักรีและเป็นพระอัยกาของพระบิดาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน (คือตัวฉันเอง) และกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง (คือพระอนุชาองค์รองของฉัน) ของประเทศสยาม อันเป็นราชโอรสอันสูงศักดิ์ของราชวงศ์ที่ได้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางกระทรวงต่างประเทศซึ่งได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาและต่อมาได้ย้ายถิ่นฐานอยู่ที่บ้านสะแกกรังอันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง ที่เป็นสาขาของแม่น้ำสายใหญ่เชื่อมอาณาเขตติดต่อภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศสยาม ประมาณเส้นรุ้ง ๑๓๐ ๑๕๐ ๓๐" เหนือจะกว่าเล็กน้อย เส้นแวง ๙๙๐ ๙๐" ตะวันออก ซึ่งเล่ากันว่าบุคคลผู้มีความสำคัญได้ถือกำเนิดที่นี่ และกลายเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษของราชวงศ์สยาม ได้สมรสกับบุตรสาวคหบดีชาวจีนผู้มั่งคั่งซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณกำแพงเมือง ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระราชวัง ได้รับราชการเป็นที่โปรดปรานของพระมหากษัตริย์โดยมีหน้าที่ร่างราชสาส์นต่างๆ และทำการติดต่อกับหัวเมืองฝ่ายเหนือ (ทั้งที่เป็นหัวเมืองอิสระ และที่ยังไม่เป็นอิสระต่อประเทศสยามที่อยู่ทางภาคเหนือ) และมีหน้าที่รักษาพระราชลัญจกร ได้รับพระราชทานนามว่า "พระอักษรสุนทร เสมียนตรา" คุณพระมีบุตรธิดากับภรรยาคนแรกรวม ๕ คน และต่อมาภรรยาได้ถึงแก่กรรม คุณพระจึงได้แต่งงานกับน้องสาวของภรรยา มีบุตรหญิงคนหนึ่ง ต่อมาพระยาราชนิกูลได้ย้ายเข้าไปทำราชการที่กรุงศรีอยุธยาและนายทองดีบุตรชายคนใหญ่ของพระยาราชนิกูล (ทองคำ) ซึ่งถือกำเนิดที่บ้านสะแกกรังนั้นเจริญวัยแล้ว ก็ได้ย้ายตามบิดาเข้ามารับราชการที่กรุงศรีอยุธยา ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ และได้บรรดาศักดิ์เป็น "พระอักษรสุนทรศาสตร์" เสมียนตรา มีหน้าที่ร่างราชสาส์นต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ และรักษาพระราชลัญจกร ต่อมาได้แต่งงานกับสตรีงามชื่อ "หยก" (บางแห่งว่า "ดาวเรือง") มีบุตรและธิดา ๕ คน คือ ๑ "สา" เป็นหญิงภายหลังได้สถาปนาเป็น "สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระยาเทพสุดาวดี (ส) ๒ "ราม" เป็นชายภายหลังได้สถาปนาเป็น "พระเจ้ารามณรงค์" ๓ "แก้ว" เป็นหญิงภายหลังได้สถาปนาเป็น "สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์ (แก้ว)" ๔ "ทองด้วง" เป็นชายภายหลังสถาปนาตนเป็น "พระเจ้าแผ่นดินต้น" (ต่อมาได้ถวายพระนามตามพระพุทธรูปว่า "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก") และ ๕ "บุญมา" เป็นชายภายหลังได้สถาปนาเป็น "สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท" (ซึ่งนับว่าเป็นปฐมวงศ์ของกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ต่อมาอันมีสกุลวงศ์ต่อเนื่องกันมาดังนี้ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:41:33 อุทัยธานี ๓
ลำดับสกุลวงศ์สมเด็จพระชนกาธิบดี สมเด็จพระเอกาทศรถ พระยาพระราม กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ขุนนางเชื้อสายมอญ ราชวงศ์สุโขทัย อพยพเข้ามาในแผ่นดิน สมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชธิดา สืบเชื้อสายมาจาก พระยาพระราม ท้าวสมศักดิ์วงศามหาธาตี (ม.จ.บัว) สมญานาม หม่อมเจ้าชายเจิดอำไพ สืบเชื้อสาย ว่า "เจ้าแม่วัดดุสิต" เป็นพระสนมเอกของ มาจาก สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) แม่ทัพ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ราชทูต ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้าพระยาวงศาธิราช (ขุนทอง) เสนาบดีคลังใน สมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ พระยาราชนิกูล (ทองคำ) ปลัดทูลฉลองในกรม มหาดไทย ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ บ้านสะแกกรัง คุณหญิงหยก (บางแห่งว่าดาวเรือง) สมเด็จพระชนกาธิบดี (ทองดี) เป็น สมเด็จพระ บุตรีคหบดี ชาวอัมพวา ปฐมบรมมหาชนกนาถ กำเนิดที่บ้านสะแกกรัง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท (บุญมา) (ทองด้วง) สถาปนาเป็นสมเด็จพระปฐมกษัตริย์ เป็นที่ สมเด็จพระอนุชาธิราช แม่ทัพในสมัย ราชวงศ์จักรี สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพ) สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี - รัชกาลที่ ๑ ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐเกิดศึกกลางเมืองขึ้น ทำให้ไพร่ฟ้าข้าราชการล้มตายจนไม่มีกำลังป้องกันพระนครและบ้านเมือง "จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้กระทำตามคำซึ่งกราบทูลนั้น เจ้าพระยาราชภักดี ก็จัดแจงแต่งทัพหลวงให้ถือตราพระราชสีห์ออกไปเกลี้ยกล่อมเลขจัดพลัด ณ หัวเมืองวิเศษวิเศษไชยชาญเมืองสุพรรณบุรี เมืองนครชัยศรี เมืองพรหมบุรี เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรคบุรี เมืองชัยนาทบุรี เมืองมโนรมย์ เมืองอุทัยธานี เมืองนครสวรรค์ ได้คนเป็นอันมาก พ.ศ. ๒๓๐๙ แผ่นดินพระเจ้าเอกทัศน์กองทัพเนเมียวสีหบดี ๔,๐๐๐ คน ได้ยกลงมาจากเมืองนครสวรรค์ ลงมาทางเมืองชัยนาท เมืองอุทัยธานี เมืองสรรคบุรี ถึงเขตกรุงศรีอยุธยา ส่วนกองทัพมังมหานรธา ๓,๐๐๐ คน ได้มาตั้งอยู่ที่วัดป่าฝ้าย ปากน้ำพระประสบ ข้างด้านเหนือ นอกจากนี้พระเจ้า อังวะ ยังให้สุรินทจอข่อง คุมพลอีก ๑,๐๐๐ คน ยกลงมาพักอยู่เมืองเมาะตะมะ แล้วยกหนุนเข้ามาทางด่านอุทัยธานี ตั้งทัพอยู่ที่เมืองวิเศษไชยชาญ และพระยาเจ่งรามัญคุมพล ๒,๐๐๐ คน ยกหนุนเข้ามาทางกาญจนบุรี ตั้งทัพที่ขนอนหลวง วัดโปรดสัตว์ขณะที่รอทัพอยู่นี้ พม่าได้ลาออกไปเที่ยวค้นทรัพย์จับคนทางเมืองวิเศษไชยชาญ เมืองสรรคบุรี เมืองสุพรรณ เมืองสิงห์ถึงอุทัยธานี จนทำให้คนไทย รวมกำลังกันที่ "บ้านบางระจัน" ต่อสู้พม่าได้ถึง ๘ ครั้ง ก็สู้พม่าไม่ได้ ต่อมาน้ำท่วมกรุงศรีอยุธยา พม่าได้รื้ออิฐวัดมาก่อกำแพงเป็นค่าย แล้วรุกมาตั้งที่วัดกระชาย วัดพลับพลาชัย วัดเต่า วัดสุเรนทร วัดแดง ยกเป็นหอรบสูง แล้วระดมกำลังปล้นกรุง ในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ ได้ จึงเผาพระนคร จับคนปล้นทรัพย์สินจนสิ้น แม่ทัพพม่าฝ่ายเหนือก็เชิญสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ ซึ่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุและพระขัตติยาวงศา เสนามาตย์ไปพร้อมกับทรัพย์สมบัติศัสตราวุธ ยกออกทางด่านอุทัยธานี เดินบกไปถึงเมืองเมาะตะมะ ขณะนั้นบ้านเมืองเกิดระส่ำระสายอย่างหนัก ผู้คนต่างหนีพม่าเข้าป่าลึก บ้างก็ถูกกวาดต้อนไปกับเขาด้วย รวมทั้งชาวเมืองอุทัยส่วนหนึ่งที่หลบหนีไม่ทันด้วย พระเถระที่ปรากฏชื่อมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา (จาก "ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ " เป็นตัวเขียนอักษรขอมลายรดน้ำปิดทอง อยู่ที่บานหน้าต่างพระอุโบสถบานที่ ๗ ด้านซ้ายทางทิศเหนือ) นั้นชื่อ "พระครูอนุโลมมุนีเป็นพระสมณศักดิ์เจ้าคณะเมืองอุทัยธานี ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏว่าอยู่ที่วัดใด สมัยกรุงธนบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้สถาปนากรุงธนบุรีในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ พระองค์ต้องทำการปราบปรามบรรดาชุมนุมต่างๆ เป็นการขยายอาณาเขตให้กว้างขวางออกไป ในปีขาล พ.ศ. ๒๓๑๓ เจ้ากรุงธนบุรีทรงปรารภที่จะปราบปรามหัวเมืองเหนือและได้ข่าวว่า เมื่อเดือนหก "เจ้าพระฝาง" ซึ่งเป็นใหญ่ในหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวงนั้นเกณฑ์กองทัพให้ลงมาลาดตระเวนตีเอาข้าวปลาอาหาร และเผาบ้านเรือนราษฎรเสียหลายตำบล จนถึงเมืองอุทัยธานี และเมืองชัยนาท เป็นทำนองจะคิดลงมาตีกรุงธนบุรี พระองค์จึงยกทัพไป ๓ ทัพ เข้าตีเมืองพิษณุโลกและเมืองสวางคบุรีจนแตกพ่ายไป พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นถึงความสำคัญ ของเมืองอุทัยธานี ซึ่งถูกพม่าย่ำยียับเยินจนเป็นเมืองร้าง จึงแต่งตั้งให้ "ขุนสรวิชิต (หน)" ไปตั้งกองด่านรักษาเมืองอุทัยเก่าประมาณ ๒ กิโลเมตร ครั้งอะสีหวุ่นคยี (อะแซหวุ่นกี้) แม่ทัพคนสำคัญของพม่า ยกกองทัพใหญ่เข้ามาทางหัวเมืองเหนือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๘ นั้น ได้ให้โปสุพลา โปมะยุง่วน ยกกองทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ ส่วนอะแซ หวุ่นคยีเองยกกองทัพหลวงพล ๑๕,๐๐๐ คน เดินทัพเข้าทางด่านแม่ละเมาะ เมืองตากด่านลานหอยและเมืองสุโขทัย แล้วคุมพล ๓๐,๐๐๐ คน เข้าล้อมเมืองพิษณุโลกไว้ ครั้งพม่ายกทัพมาถึงเมืองกำแพงเพชร เห็นไทยตั้งค่ายรักษาเมืองนครสวรรค์แข็งแรง จึงตั้งค่ายที่เมืองกำแพงเพชรแล้วแต่งกองโจรเดินลัดป่าทางฝั่งตะวันตกอ้อมหลังเมืองนครสวรรค์ลงไปเมืองอุทัยเก่ากอง ๑ พอวันเสาร์ เดือน ๓ แรม ๑๒ ค่ำ พระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงทราบว่า พม่าที่เมืองกำแพงเพชร "ยกลงมาตั้งค่าย ณ บ้านโนนศาลาสองค่าย บ้านสลกบาตรค่ายหนึ่ง บ้านหลวงค่ายหนึ่ง ในแขวงเมืองกำแพงเพชร แล้วแยกไปทางเมืองอุทัยธานีกองหนึ่ง เข้าเผาบ้านอุทัยธานีเสีย" แล้วจะยกไปทางไหนสืบไม่ได้ความ พระองค์ทรงระแวงพม่าที่ยกไปจากเมืองอุทัยธานีจะไปซุ่มสั่งดักทางดอยตีกองลำเลียง ใต้เมืองนครสวรรค์ลงมาอีก จึงโปรดให้แบ่งไพร่พลในกองทัพหลวง ๑,๐๐๐ คน ให้เจ้าอนุรุธเทวา บัญชาการทัพเป็นจางวางบังคับทั้งสามกอง มีกองทัพของขุนอินทร์เดชเป็นแม่กอง กองทัพหลวงปลัดเมืองอุทัยธานีกับหลวงสรวิชิต นายด่านเมืองอุทัยธานี เป็นกองหน้า และกองทัพของเจ้าเชษฐกุมาร เป็นกองหลวง ซึ่งยกลงมาคอยป้องกันลำเลียงเสบียงอาหารและเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ส่งไปจาก พระนครไม่ให้พม่าที่ยกมาเมืองอุทัยธานีซุ่มดักทางคอยโจมตี ครั้นเมื่อพม่าได้เมืองพิษณุโลกแล้วเสบียงอาหารภายในเมืองอัตคัตผู้คนในเมืองอดอยากอ่อนแอ อะแซหวุ่นคยี จึงให้มังแยยางูคุมพลไปทางเมืองเพชรบูรณ์และเมืองหล่มศักดิ์ให้กะละโบ่ คุมพลมาลาดตะเวนทางเมืองกำแพงเพชร รวบรวมหาเสบียงอาหาร ต่อมาอะแซหวุ่นคยีได้ข่าวว่าพระเจ้า มังระสิ้นพระชนม์ จึงกูจาราชบุตรได้ครองราชสมบัติ จึงรีบเก็บทรัพย์สมบัติกวาดต้อนผู้คนกลับออกทางเมืองสุโขทัย เมืองตาก และด่านแม่ละเมา จึงทิ้งให้กองทัพกะละโบ่ กับมังแยยางูในเมืองไทยด้วยสั่งกลับไม่ทันคงสั่งแต่เพียงให้กองทัพกะละโบ่ รอกลับพร้อมกับ มังแยยางูพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบว่า พม่าเลิกทัพกลับแล้วยังคงมีกองทัพของกะละโบ่และมังแยยางูเหลืออยู่ จึงแบ่งกองทัพออกเป็น ๔ กอง ติดตามพม่าไปเมืองตาก เมืองกำแพงเพชร และเมืองเพชรบูรณ์ ส่วนทัพหลวงนั้น ตั้งค่ายรอรับครอบ-ครัวที่แตกฉานมาจากพิษณุโลกที่บางแขม เมืองนครสวรรค์ ครั้นวันจันทร์ เดือน ๖ แรม ๑๑ ค่ำ พ.ศ. ๒๓๑๙ พม่าข้างเมืองอุทัยธานียกแยกขึ้นไปเมืองเพชรบูรณ์ กองทัพไทยตามไปพบกองทัพมังแยยางูที่บ้านนายยม ใต้เมืองเพชรบูรณ์ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๖ แรม ๑๔ ค่ำ ก็ระดมกำลังตีจนแตกพ่าย พากันหนีไปทางเหนือ เข้าไปในแดนลานช้าง พอถึงเดือน ๗ ปีวอก พ.ศ. ๒๓๑๙ พระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงทราบว่ามีกองทัพพม่ากะละโบ่ตั้งอยู่ที่เมืองกำแพงเพชรประมาณ ๒,๐๐๐ คนเศษ จึงให้พระยายมราช พระยาราชสุภาวดี พระยานครสวรรค์ ยกกองทัพไปสมทบกันตีพม่า ส่วนพระองค์นั้น เสด็จยกทัพหลวงไปตั้งอยู่ที่ปากคลองขลุง พม่ารู้ข่าวก็รีบยกทัพหนีไปทางเหนือ ส่วนพม่าอีกกองหนึ่งประมาณ ๑,๐๐๐ คนเศษ ได้ยกแยกมาทางทิศตะวันตก เดินทัพเข้ามาถึงเมืองอุทัยธานีเที่ยวเก็บทรัพย์จับผู้คนและเผาบ้านเรือนเสียฆ่าหลวงตาลำบากตายแล้วยกหนีไปทางนารีซึ่งปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า "ครั้น ณ วันพฤหัสบดีเดือน ๗ ขึ้น ๑๓ ค่ำ จึงเสด็จถอยกองทัพหลวงมาประทัพ ณ เมืองนครสวรรค์ จึงชาวด่านเมืองอุทัยธานี บอกลงมากราบทูลว่าทัพพม่ายกผ่านลงมาประมาณพันเศษ เผาค่ายที่ด่านนั้นเสีย แทงหลวงตาลำบากอยู่องค์หนึ่ง แล้วยกไปทางนารี จึงดำรัสให้หลวงเสนาภักดี กองแก้วจินดา ยกติดตามไปถ้าทันเขาจงตีให้แตกฉาน แล้วให้ยกตามไปจนถึงเมืองชัยโชค" ครั้นได้ข่าวว่าทัพพม่ากองหนึ่ง ยกลงไปทางเมืองอุทัยธานี จึงยกกองทัพลงมาทางด่านเขาปูน ด่านสลักพระ หมายจะไปตามตีพม่าทางเมืองอุทัยธานี แล้วสั่งให้พระยายมราช พระยาราชสุภาวดี ซึ่งตั้งทัพอยู่ที่บ้านโคนเมืองกำแพงเพชร ยกทัพลงมาตีกองทัพพม่าทางเมืองอุทัยธานีอีก ๒ กองสมทบกับกองทัพมอญ ของพระยารามัญวงศ์กอง ๑ กวาดร่นมาตั้งแต่ทางเหนือ มายังเมืองอุทัยธานี ส่วน พระองค์นั้น เสด็จกลับคืนพระนคร เมื่อวันเสาร์เดือน ๗ ขึ้น ๑๔ ค่ำ กองทัพเจ้าอนุรุธเทวา ได้พบพม่าตระเวนหาเสบียงอาหารกองหนึ่ง ที่เมืองสรรคบุรี จึงเข้าตีแตกร่นหนีขึ้นไปสมทบกับพม่า ๑,๐๐๐ คน ที่ตั้งค่ายอยู่ที่ด่านเมืองอุทัยธานี ส่วนกองทัพพระยายม-ราช พระยาราชสุภาวดี นั้น ได้ยกลงมาตั้งค่ายประชิดอยู่ที่ด่านเมืองอุทัยธานี ต่อมาขัดสนเสบียงอาหาร จึงต้องถอยทัพมาตั้งอยู่ ณ คอกไก่เถื่อน ต่อมากองทัพเจ้าอนุรุธเทวา หลวงเสนาภักดี กองแก้วจินดา ได้มาพบกองทัพกะละโบ่ตั้งค่ายที่เมืองนครสวรรค์ เห็นเหลือกำลังจึงบอกไปยังกรุงธนบุรี จึงให้กรมขุนอนุรักษ์สงคราม หลานเธอ กรมขุนรามภูเบศร์ กับเจ้าพระยามหาเสนา คุมพลไปตีกองทัพกะละโบ่ทางเมืองนครสวรรค์ แล้วให้กรมขุนอินทรพิทักษ์ ลูกเธอคุมทัพเรือหนุนไปช่วยอีก แล้วพระองค์ก็เสด็จยกกองทัพหลวงทางเรือ มาบัญชาการรบอยู่ที่เมืองชัยนาท เมื่อเดือน ๙ และพระองค์ได้โปรดให้เกณฑ์หากองทัพ เมืองพิจิตร เมืองนครสวรรค์ เมืองอุทัยธานี ลงมารวมกันที่ค่ายหลวง ณ เมืองชัยนาทให้หมดสิ้น ฝ่ายกองทัพพม่าซึ่งตั้งอยู่ ณ ด่านเมืองอุทัยธานีนั้น ขัดสนเสบียงอาหาร จึงถอยค่ายเลิกทัพกลับไปพอดีกับกองทัพไทย เข้าใจว่าตั้งอยู่ที่บ้านทัพหมื่น บ้านทัพค่าย บ้านทัพหลวง ยกทัพติดตามทันที่ บ้านทัพทัน (คืออำเภอทัพทัน) พม่าถูกไทยฆ่าตาย แตกหนีแยกย้ายไม่เป็นระเบียบออกไปทางเขาดาวเรือง ปลายเขตแดนบ้านโคกหม้อ ขึ้นไปทางบ้านพลวงสองนาง พม่าต่างหนี ต่างปล้นสดมภ์เสบียงอาหาร ฉุดคร่าหญิงสาวจนชาวบ้านกลัวรานต่างก็เอาลูกสาวไปซ่อนตามโพรงไม้ใหญ่ๆ ซึ่งมีอยู่มากในป่าแถบนั้น หลบซ่อนอยู่จนเวลารุ่งสาง พอดีเวลาวัดย่ำฆ้องระฆังพระลุกขึ้นครองผ้าออกบิณทบาตร หมู่บ้านแห่งนี้เรียกกันว่า "บ้านโพรงซ่อนนาง" (ต่อมาเรียกบ้านพลวงสองนาง) ถัดมาเรียก "บ้านสว่างน้อย" กองทัพไทยได้ขับไล่พม่าเตลิดหนีจนไม่สามารถตามทัน จนรุ่งแจ้งก็ไม่เห็นพม่าจึงหยุดตั้งค่าย ตรงที่ถัดจากบ้านว่างน้อยพักผ่อนหุงหาอาหารกินกันด้วยเสียเวลาหลับนอนรุกไล่พม่ามาหลายวันหลายคืน ผ่านท้องที่ทุรกันดารมากมาย ร่างกายต่างอ่อนเปลี้ยไปตามๆ กัน ชาวบ้านที่หลบซ่อนพม่า ก็สบายใจที่กองทัพไทยมาช่วย ต่างจัดหาอาหารมาเลี้ยงทหารไทย ท้องที่ตรงนั้นเรียกกันต่อๆ มาว่า "บ้านสว่างแจ้งสบายใจ" คือ บ้านสว่างอารมณ์ อำเภอสว่างอารมณ์ เดี๋ยวนี้ ครั้นวันพุธ เดือนสิบ ขึ้นค่ำหนึ่งพระยาราชภักดี และพระยาพลเทพ ที่ขึ้นไปตามพม่าทางเมืองเพชรบูรณ์ ได้พบพม่าที่บ้านนายยม จึงขับไล่ตีพม่าแตก หนีไปทางเมืองอุทัยธานี จับได้เก้าคน ส่วนที่หนีมาได้ครั้น ทราบว่ากองทัพพม่าทิ้งค่ายที่เมืองอุทัยธานีเสียแล้ว ก็หนีเลยไปสมทบกันที่เมืองนครสวรรค์ รวมกับพม่าที่หนีมาจากเมืองอุทัยธานีด้วย ต่อมาก็ถูกกองทัพกรมขุนอนุรักษ์สงคราม กรมขุนรามภูเบศร์ และเจ้าพระยามหาเสนาระดมกำลังตีกองทัพพม่าที่ค่ายเมืองนครสวรรค์แตกหนีเข้ามาทางเมืองอุทัยธานี กองทัพไทยรุกไล่พม่าในเมืองอุทัยธานี ได้ติดตามสมทบ และทันกองทัพพม่าที่บ้านเดิมบางนางบวช เมืองสุพรรณบุรีจึงตีกองทัพพม่าหนีร่นออกไปทางด่านเจดีย์สามองค์ เมืองอุทัยเก่า เป็นเมืองด่านที่สำคัญพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงโปรดให้พระราชทานช้างหลวงสำหรับเมืองอุทัยธานี เพื่อใช้ในกองทัพทหารด่าน คือ เมื่อปีวอก อัฐศก พ.ศ. ๒๓๑๙ ได้พระราชทานช้างหลวง ๒ เชือก แก่เมืองอุทัยธานี เข้ากองทัพไปรบที่ดอนไก่เถื่อน และเมื่อปีระกา นพศก พ.ศ. ๒๓๒๐ ได้พระราชทานช้างหลวง "พระอุทัยธานี อยู่แก่พระรามรณคบ พลาย ๒ พลัง ๓ (ราม) ๕ " สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ บ้านสะแกกรัง เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ มีความอุดมสมบูรณ์กว่าบ้านอื่นๆ ประกอบกับเมืองอุทัยธานีเก่าถูกพม่าทำลายเสียหายมาก เช่น พระปรางค์ที่วัดแจ้ง (นัยว่าสร้าง พ.ศ. ๒๐๘๑) ถูกพม่าทำลายยอดปรางค์หักเสีย (ในระยะหลังๆ พระอาจารย์ทิม คงคสโร ได้เป็นหัวหน้าชักชวนพุทธศาสนิก-ชนช่วยกันหาช่างมาปฏิสังขรณ์ ต่อจากฐานเก่าจนสำเร็จเป็นองค์พระปรางค์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘) วัด อื่นๆ ก็ถูกพม่าเผาทำลายจนร้าง ผู้คนต่างได้อพยพหนีมาอยู่ที่บ้านสะแกกรังซึ่งมีพื้นที่เหมาะสมกับการทำมาหากิน ทำนา ค้าขายขาว และยังมีความสำคัญต่อการลำเลียงขนส่งข้าวปลาอาหาร อาวุธยุทธภัณฑ์ ตลอดจนช้างศึกช้างป่า เข้าสู่พระนคร จึงเป็นเหตุให้บ้านสะแกกรังเริ่มครึกครื้นเป็นตลาดใหญ่ จนถึงกับทำให้เมืองอุทัยเก่าซบเซาลง บรรดาเจ้านาย นายทหารชาวด่าน ก็นิยมตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นี้ ด้วยมีลำคลองสะแกกรังเป็นเส้นทางคมนาคมทางเรือได้สะดวกต้องกับพระราชประสงค์ของพระเจ้ากรุงธนบุรี ต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ได้จัดการบ้านเมืองให้เป็นระเบียบ แต่งตั้งเจ้าเมืองปกครองตามเมืองต่างๆ ส่วนที่เป็นด่านอยู่ก่อนก็คงมีนายด่านเป็นผู้ดูแลรักษาเหมือนเดิม และได้สำรวจบัญชีช้างหลวงที่สูญหายหลังจากสงครามด้วยสำหรับหลวงสรวิชิต (หน) นายด่านเมืองอุทัยธานี ผู้ซึ่งขึ้นม้านำทหารออกมารับเสด็จ ณ ทุ่งแสนแสบเมื่อครั้งกรุงธนบุรี เกิดจลาจล แล้วนำทัพเข้าสู่พระนครนั้น ก็ทรงโปรดให้รับราชการอยู่ด้วย ภายหลังได้แต่งตั้งให้เป็น พระยาพิพัฒนโกษา และเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ตามลำดับเนื่องจากมีความดีความชอบหลายประการ รวมทั้งมีความสามารถในการเรียบเรียงหนังสือด้วย ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ปรากฏว่าได้ตั้งให้หลวงณรงค์เป็นพระอุทัยธานี เจ้าเมืองอุไทยธานี นอกจากนี้ พระองค์ยังได้โปรดให้จัดตั้งด่านเพิ่มเติมขึ้นอีก ด้วยทรงระแวงพม่า ที่จะเข้ามาทางเมืองอุทัยธานี เช่น ด่านทัพสะเหล่าปูนอุมปุม, ด่านอัทมาต เป็นต้น และปรากฏในพงศาวดารว่า พระอุทัยธรรมเป็นกองหลัง ตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองชัยนาท ระวังพม่าจะยกมาทางด่าน เมืองอุทัยธานี พร้อมกับจัดให้มีการลาดตระเวนด่านเมืองเมาะตะมะและเมืองเมาะตำเลิม ตลอดจน แต่งคนออกไปสืบราชการเป็นประจำเจ้าเมืองที่ปรากฏชื่อในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คือ พระยาอุไทยธานี อันเป็นบรรดาศักดิ์ของเจ้าเมืองอุทัยธานี รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ นั้น ได้ดำเนินรอยตามสมเด็จพระราชบิดา กล่าวคือ ทรงเห็นถึงความสำคัญของทหารด่าน และการสืบราชการในเมืองมอญ เช่น พ.ศ. ๒๓๒๕ หลวงอินทกำโนน ขุนยกกระบัตร ขุนสรวิชิต ขุนหมื่นกรมการ คุมไพร่ออกไปตั้งรักษาด่านทัพสะเหล่าปูนอุมปุม เป็นต้น แม้แต่เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ชาวด่านเมืองอุทัยธานีเอง ก็ทรงโปรดปรานทำนุบำรุงอยู่จนเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๓๔๘ เมื่อ จ.ศ. ๒๓๕๒ นั้น เมืองอุทัยธานีได้จัดส่ง ไม้ชื่อ ไม้เสา ไม้ไผ่ ไม้อุโลก หวาย น้ำมันยาง สีผึ้ง และอื่นๆ สำหรับทำเครื่องพระเมรุ พระบรมศพสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ ๑ ) ซึ่งกำหนดจะถวายพระเพลิง ณ เดือน ๔ ปีมะเส็ง ตามตราเจ้าพระยาจักรี ที่ให้ขุนไชยเสนารับมาและยังได้จัดผ้าขาว ๒๐๐ ชิ้น ขมิ้น ๑ เพื่อจัดทำผ้าสบง สดับปกรณ์ ตามหนังสือ เจ้าพระยาจักรีส่งไปเกณฑ์ ลงวันอาทิตย์แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑ ปีมะเส็ง ในปีนั้นขุนสถารพลแสนมหาดไทย ได้คุมน้ำพระพัทสัจจา มาพระราชทานที่เมือง อุไทยธานี และโปรดให้มีตราถึง เมืองอุไทยธานี ให้เจ้าเมืองกรมการ เลาพลเมือง ราษฏร โกนผมไว้ทุกข์ แต่กองอาทมาตชาวด่าน ต้องลาดตะเวนให้งดไว้ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ นั้น เมืองอุไทยธานีได้มีหน้าที่แต่งคนออกไปสืบข้อราชการ ทางเมืองเมาะตะมะ และเมาะตำเลิม ซึ่งมีความปรากฏในสารตรา (เลขที่ ๒๑ จ.ศ. ๑๑๘๘) พ.ศ. ๒๓๖๙ ที่พระยาจักรีมีมาถึงพระยาอุไทยธานี เรื่องได้รับหนังสือ กางดุ กระเหรี่ยง มีมาถึงหลวงอินกำโนน เป็นอักษรรามัญแจ้งราชการว่า กางดุจัดให้กางภุระกับไพร่ ๑๕ คน ออกไปลาดตระวนถึงคลองมิคลานพบจางกางเก้าะกง กระเหรี่ยงพม่า ๙ คนบอกว่า เมืองเมาะตะมะมีอังกฤษอยู่ ๕๐๐ คน อังกฤษตีเมืองอังวะได้แต่ ณ วัน ๗ ค่ำ ฯลฯ เห็นว่าอังกฤษแต่งให้พูดจาจะให้เลื่องลือ ความจะหาจริงไม่ ซึ่งพระยาอุไทยธานีกรมการไม่ไว้ใจแก่ราชการ ให้หลวงอินนายกองคุมไพร่ ออกไปลาดตระเวนพิทักษ์รักษาด่าน ทั้งกลางวันกลางคืน สืบข้อราชการอยู่อีกนั้น ชอบด้วยราชการอยู่แล้วให้พระยาอุไทยธานี กรมการ กำชับหลวงอินกำโนนกองอาฏมาต และหลวงขุนหมื่นชาวด่าน ให้ระวังระไวพิทักษ์รักษาด่านทางจงกวดขันแล้วให้สืบเอาข้อราชการให้ได้ความจงแน่ ถ้าได้ข้อราชการประการใดให้บอกลงไปให้แจ้งหนังสือมา ณ วันพุธ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ จุลศักราช ๑๑๘๘ ปีจอ อัฏศก สำหรับข่าวจากกางดุ กระเหรี่ยงนั้นได้แจ้งให้ทราบเมื่อ วันอาทิตย์ ขึ้น ๑๓ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๘๗ พ.ศ. ๒๓๖๘ มีความละเอียดแจ้งว่า อังกฤษเป็นเจ้าขึ้นนั่งเมืองอังวะ ในเมืองเมาะตะมะ ยิงปืนใหญ่ ๑๕ นัด ในเมืองย่างกุ้ง ยิงปืนใหญ่ ๑๕ นัด นอกจากหน้าที่สำคัญทางชายแดน ดังกล่าวแล้ว เมืองอุไทยธานียังส่งกระวานจำนวน ๒ หาบเป็นประจำทุกปี ซึ่งเก็บที่ป่าคอกควาย ป่าระบำ ป่าอุมรุต ป่ากลมซึ่งมีใบบอก (เลขที่ ๒๑๒ จ.ศ. ๑๒๐๗) ว่า ด้วยถึง ณ วัน เดือนเก้า เดือนสิบ เป็นเทศกาลผลกระวานลูกแก่ขุนหมื่นและ ไพร่กอง อัฏมาต เคยเก็บผลกระวาน ทูลเกล้าฯ ถวายปีละ ๒ หาบ ข้าพเจ้ากรมการ ได้จัดแจงเร่งรัดขุนหมื่น กองอัฏมาต ออกไปเก็บผลกระวานในตำบลป่าหน้าด่าน เมืองอุไทยธานี ได้ผลกระวานหนักสองหาบครบจำนวน และจะมีใบบอกส่งกระวานส่วย เป็นประจำทุกปี (ดังใบบอกเลขที่ ๑๐๐ จ.ศ. ๑๒๐๘, เลขที่ ๕๙ จ.ศ. ๑๒๐๙ แล หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:41:51 อุทัยธานี ๔
เลขที่ ๑๔๗ จ.ศ. ๑๒๑๐ เป็นต้น) บางครั้งก็ให้เป็นเงินแทนผลกระวานที่ยังค้างอยู่ (ร่างสารตราเลขที่ ๑๘๒/๒ จ.ศ. ๑๒๐๕) พ.ศ. ๒๓๘๓ ได้ส่งครกสำหรับตำดินปืนไปยังกรุงเทพฯ มีความปรากฏในใบบอก (เลขที่ ๘ จ.ศ. ๑๒๐๒) ว่า ..ด้วยมีตราพระราชสีหะ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมขึ้นไปถึงข้าราชการกรมการว่าให้เกณฑ์ครกไม้หว้า ประดู่ ไม้ยาง จ่ายครัวแขกและตำดินสำหรับราชการสี่สิบใบนั้น ข้าราชการกรมการได้ทราบในท้องตราพระราชสิหะ ซึ่งโปรดขึ้นไป ทุกประการแล้ว ข้าราชกรมการตัดได้ครกไม้ยางสิบสองใบ ไม้หว้าแปด ไม้ใหญ่แปดกำสูงศอกคืบ ได้ขนาดอย่างตามท้องตราเกณฑ์นั้นแล้ว โดยแต่งให้นายเมืองคุมครกมาส่งด้วยแล้ว .. พ.ศ. ๒๓๘๖ มีร่างสารตรา (เลขที่ ๑๕๕/๒ จ.ศ. ๑๒๐๕) แจ้งว่าเมือง อุไทยธานี ได้ส่งมาดเรือยาว ๙ วา กำลัง ๕ ศอกเศษลงไปยังกรุงเทพฯ ต่อมา ณ ๕ ฯ ๔ ค่ำ ปีเถาะ ได้มีสารตรา (เลขที่ ๒๔/๑ จ.ศ. ๑๒๐๕) โปรดเกล้าฯ ให้หลวงสัดดี เป็นพระศรีสุนทรปลัดเมืองอุไทยธานี ครั้งเมื่อมีการซ่อมแซม และปักหลักสายโซ่ที่เมืองนครเขื่อนขันฑ์ และเมืองสมุทรปราการได้เกณฑ์ (ร่างตรา ๓๘/๓ จ.ศ. ๑๒๐๕) ให้เมืองอุไทยธานีส่งไม้ยาง ยังค้างอยู่ ยางใหญ่ ๕ กำ จำนวน ๓๐ ต้นไปกรุงเทพในเดือน ๙ ข้างแรม ปีเถาะ ปัญหาเขตแดนเมืองอุไทยธานีกับเมืองเมาะตำเลิม ในปี พ.ศ. ๒๓๘๖ ขุนจ่าสัจ ขุนทิพย์ไพรีมีชื่อกองอาฎมาต ขุนเพชรนารายณ์ไพรีมีชื่อด่านพล ขุนอิน ขุนวิชิต ไพรี มีชื่อด่านหลวงสรวิชิต ได้ออกไปสืบราชการ ณ เมืองเมาะตำเลิมเมื่อวัน ๔ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีขาลจัตวาศกนั้น ปรากฏในคำให้การ (เลขที่ ๑๓๒/๒ จ.ศ. ๑๒๐๕) ว่า ในระหว่างทางขุนอิน ขุนวิชิตป่วยไปไม่ได้ ครั้นเมื่อถึงบ้านกางโกะเกะ ขุนเพชรนารายณ์ ได้ป่วยเป็นไข้ จึงให้อยู่รักษาตัวโดยมีมะผิม มะมีบ่าวดูแล ครั้นขุนจ่าสัจ ขุนทิพย์ กลับจากสืบราชการแล้ว ได้ถามกางโกะเกะ และทราบว่าขุนเพชรนารายณ์หายป่วยกลับไปแล้ว เมื่อถึงเมืองอุไทยธานี ไม่เห็นขุนเพชรนารายณ์ และทราบว่าคนทั้งหมดอยู่ที่บ้านระแหง กับมะเกาะ น้องมะมี พระยาอุไทยธานีจึงให้ขุนจ่าสัจ ขุนพิทักษ์ กับไพร่ ๕ คนไปตามตัว เดินทางไปถึงบ้านระแหงเมื่อวันที่ ๑ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีเถาะ เบญจศก จึงทราบข่าวจากมะเกาะว่า ขุนเพชรนารายณ์ตายเสียแล้วที่บ้านกางชมภู ส่วนมะมี มะผิน มะกลิ่น บ่าวทำมาหากินที่นั่น และได้ขอติดตามบ่าวจนถึงบ้านมะฝาง บ้านกระเหรี่ยง ต่อมาได้มีปัญหาเกี่ยวกับเขตแดนที่เกี่ยวกับเมืองเมาะตำเลิม เมืองมะริด เนื่องจากอังกฤษมีอำนาจในประเทศพม่า มีจดหมายเหตุสำคัญหลายฉบับ เช่น จดหมายเหตุ (เลขที่ ๙/๙ จ.ศ. ๑๒๐๖ พ.ศ. ๒๓๘๗ ) ว่า เขตแดนเมืองอุไทยธานี ตั้งแต่เขาใหญ่ปลายคลองแม่เมยมาตามลำคลองแม่ทรางออกลำน้ำตองโป๊ะตะวันออก มาจดลำน้ำตีโล ต่อกับด่านเมืองศรีสวัสดิ์ ในระหว่างมีคลองแม่ทราง แม่กรอม แม่นางดัด แม่สะเริง แม่กริว แม่อำจาม ปลายคลองออก แต่เข้าต้นคลองไปออกแม่น้ำตองโป๊ะฝั่งตะวันออก เป็นแดนเมืองอุไทยธานีแม่น้ำตองโป๊ะฝั่งตะวันตกเป็นแดนอังกฤษ ต่อมา พ.ศ. ๒๓๘๘ มีสารตรา (เลขที่ ๒๔๘/๒ จ.ศ. ๑๒๐๗) ว่า หนังสือเจ้าพระยาจักรี มาถึงพระยาอุไทยธานี ด้วยทรงพระกรุณาตรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า พระยาขานุจักร์ ออกไปสืบราชการทางเมืองเมาะตำเลิมกลับเข้ามา ณ กรุงเทพ อังกฤษ เจ้าเมืองเมาะตำเลิม มีหนังสือให้พระยาขานุจักร์ ถือเข้ามาถึงเสนาบดีผู้ใหญ่ ณ กรุงเทพฯ ว่าเขตแดนเมืองเมาะตำ-เลิม กับเขตแดนเมืองอุไทยธานีเมืองตากบ้านระแหง จะต่อกันเพียงใด จะขอแบ่งปันให้เป็นแน่นอนอย่าให้วิวาทกันด้วยเขตแดนต่อไปนั้น เขตแดนเมืองอุไทยธานี จะต่อกันกับเขตแดนเมืองเมาะตำเลิมที่ตำบลใด สมเด็จพุทธเจ้าอยู่หัวจะใคร่ทรงทราบ บัดนี้ ให้หมื่นพลันเมืองบน ข้าหลวงมหาดไทย ถือตราขึ้นมาให้พระยาอุไทยธานี กรมการจัดหลวงขุนหมื่นกรมการ ชาวด่านที่สันทัดทาง และรู้จักที่ตำบลเขตแดนเมืองอุไทยธานี กับเมืองเมาะตำเลิมกันต่อที่แห่ง ที่ตำบลใด เป็นแน่ให้ได้สัก ๒-๓ คน ให้พระยา อุไทยธานีพาเอาตัวหลวงขุนหมื่น กรมการ ชาวด่านรีบลงไป ณ กรุงเทพฯ โดยเร็วถ้าขุนจ่าสัจกลับมาเมืองอุไทยธานีแล้ว ก็ให้เอาตัวขุนจ่าสัจลงไปด้วย จะได้ไล่เลียงไถ่ถาม ด้วยเขตแดนเมืองอุไทยธานีกับเมืองเมาะตำเลิมให้ได้ความเป็นแน่ หนังสือมา ณ วัน ๑๓ เดือน ๖ ปีมะเส็ง สัพศก ครั้นเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๙ (จากสารตราเลขที่ ๔๕/๔ จุลศักราช ๑๒๐๗) พ.ศ. ๒๓๘๘ เจ้าพระยาโกษาธิบดี สมุหกลาโหม กับพระยาราชสุภาวดี ได้จัดแจงที่เขตแดนหัวเมือง ของกรุงเทพฯ ที่ติดต่อกับเขตแดนหัวเมืองอังกฤษทางทิศตะวันตก พร้อมกับสอบถามพระยาอุไทยธานี พระสุนทร ปลัดผู้เป็นพระยาตาก และพระปลัดเมืองตากเกี่ยวกับเขตแดนเมืองอุไทยธานี เมืองตากเมื่อได้ความแล้วก็ได้ทำแผนที่เขตแดนที่แน่นอน และในสารตรา (เลขที่ ๔๕/๒ จ.ศ. ๑๒๐๗) เรียบเรียงเป็นความปัจจุบันดังนี้ สารตรา ท่านเจ้าพระยาจักรี ให้มาแก่ พระปลัด กรมการเมืองอุไทยธานีด้วยพระกรุณาตรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า ณ วัน ๘ แรม ๑๒ ค่ำ ปีมะเส็ง สัพศก กะปิตันแหนริยมาเรียนดุรันอังกฤษเจ้าเมืองเมาะตำเลิม มีหนังสือให้มะโกน ไทยรามัญ ถือไปยังเสนาบดี ณ กรุงเทพฯ ฉบับหนึ่งว่า เมืองอังวะมีหนังสือมาถึง กะปิตันแหนริยมาเรียนดุรัน เจ้าเมืองเมาะตำเลิมว่า เมืองเชียงใหม่ไปรุกที่เขตแดนของพม่าๆ หาได้ทำสิ่งใดที่ไปรุกเขตแดนไม่ เพราะอังกฤษทำหนังสือสัญญาไว้แต่ก่อนว่า พม่าเป็นไมตรีกับอังกฤษๆ เป็นมหามิตรกับกรุงเทพฯ พม่าก็ต้องเป็นใจความดังนี้ ฉบับหนึ่งว่าขุนนางอังกฤษจะขึ้นมาดูเขตแดนฝ่ายเหนือกะปิตันแหนริยมาเรียนดุรัน จะใคร่พบขุนนางฝ่ายกรุงที่รู้เขตแดนแน่ พูดจาเด็ดขาดได้ ไปที่ปลายเขตแดนพร้อมกันในเดือนยันณุว่าเร-(มกราคม) หน้า คิดเป็นเดือนยี่ข้างไทยจะได้ว่ากล่าวด้วยที่เขตแดนชี้แจงกันให้เด็ดขาด หนังสือซึ่งมะโกนไทย ถือเข้ามาเมื่อเดือน ๙ สองฉบับ และเมื่อ ณ เดือน ๖ ปีมะเส็ง สัพศก พระยาขานุจักร์ ซึ่งออกไปสืบราชการกลับเข้ามา กะปิตันแหนริยมาเรียนดุรัน มีหนังสือมอบให้ พระยาขานุจักร์ถือเข้ามาเป็นภาษาอังกฤษ ๕ ฉบับ อักษรรามัญ ๗ ฉบับ ว่าด้วย กะปิตันริยมาเรียนดุรัน รับไปดูที่เขตแดนเมืองกระกับเมืองมะริดต่อกัน กับว่าด้วยพระสุนทร ปลัดเมืองตาก มีหนังสือให้พระสุทัตธานีถือไปตามลูกหนี้ ซึ่งหนีไป ณ เมืองเมาะตำเลิมพระสุทัตธานีไปทำล่วงเกิน (?) ในบ้านเมืองอังกฤษและหนังสือซึ่งอังกฤษให้พระยาขานุจักร์ มะโกนไทย ถือเข้ามานั้นโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดี มีหนังสือตอบให้มะโกนไทย ถือกลับออกไปแต่ วัน เดือนสิบ ขึ้น ๔ ค่ำแล้ว ซึ่งอังกฤษกำหนดมาว่าเดือนยี่จะขึ้นไปดูที่เขตแดนฝ่ายเหนือ ขอให้ขุนนางไทยที่เป็นผู้ใหญ่พูดจาเด็ดขาดได้ไปให้พร้อมกัน จะได้ว่ากล่าวด้วยที่เขตแดนชี้แจงกันให้เด็ดขาดนั้น เขตแดนเมืองตากกรมการ เป็นผู้น้อยแต่ลำพัง เจ้าเมืองกรมการ จะพูดจากับอังกฤษ ความจะไม่เด็ดขาด โปรดเกล้าฯ ให้พระยากำแพงเพ็ชรเป็นข้าหลวงผู้ใหญ่ ไปคอยพูดจากับอังกฤษได้มีตราขึ้นไปถึงพระยากำแพงเพ็ชร พระยาตาก กรมการ ความแจ้งอยู่แล้ว แต่เขตแดนเมืองอุไทยธานีที่ติดต่อกับแดนอังกฤษนั้น โปรดเกล้าฯ ว่า พระยาอุไทย-ธานีก็เป็นเจ้าเมืองผู้ใหญ่ ได้ทำแผนที่ก่อนที่จะแจ้งพอจะพูดจากับอังกฤษได้ โปรดเกล้าฯ ให้พระยา อุไทยธานี พระปลัด หลวงยกกระบัตร กรมการคอยรับรองพูดจากับอังกฤษ ให้ถูกต้องตามทำนองและแผนที่เขตแดนซึ่งชาวด่านบอกตำบลให้ทำนั้น เขตแดนข้างฝ่ายเหนือ ด่านเมืองอุไทยธานี ได้รักษาต่อกับเมืองตาก ตั้งแต่เขาใหญ่ปลายคลองแม่น้ำตองเมย มาตามคลองแม่ทรางออกลำคลองแม่น้ำตองโป๊ะ ฝั่งตะวันออกเป็นเขตมาจนลำน้ำตีโลต่อกับด่านเมืองศรีสวัสดิ์ ในระวางมีคลองแม่ทราง แม่กรวม แม่นางดัด แม่สะเลิง คลองแม่กริว แม่อำจาม ปลายคลองออกแต่เขา ต้นคลองไปออก แม่น้ำตองโป๊ะฝั่งตะวันออก ในป่าอันนี้ ผู้คนได้ไปเที่ยวเก็บผึ้งอยู่ทุกปี พระยาอุไทยธานีลงไปเฝ้าทูลละออง ได้พาหลวงขุนหมื่นชาวด่านลงไปชี้แจง ให้ทำแผนที่เขตแดนต่อกันกับแดนอังกฤษ ตั้งแต่ทิศเหนือ เป็นลำดับต่อๆ กันลงไปทุกเมือง จนสุดเขตแดนเมืองกระ พระยาอุไทยธานี ได้ทำแผนที่รู้ความถ้วนถี่แล้ว ถ้าอังกฤษจะมาพูดจากับพระยาอุไทยธานี พระปลัด กรมการ จะเอาที่เขตแดนให้ล้ำเกินเข้ามา ที่แห่งใด ตำบลใด ก็ให้ตอบว่าที่เขตแดนแต่เดิมมาอยู่แต่เพียงนั้น จะมาเอาถึงที่ตำบลนั้น เป็นแดนเมืองอุไทยธานี ล้ำเกินเข้ามานักยอมให้ไม่ได้ ถ้าเขาว่าจะเอาแต่เพียงแม่น้ำตองโป๊ะข้างตะวันตก ก็ให้ว่าชอบแล้ว เขตแดนแต่ก่อนมา ก็อยู่แต่เพียงนี้ อังกฤษมาดูแลว่ากล่าวเป็นสัตย์ เป็นธรรมสมควรหนักหนาความอันนี้จะบอกลงไปยังท่านอัครมหาเสนาบดีให้ทราบ ถ้าเขาดูเขตแดนเมืองอุไทยธานีแล้ว ก็ให้ถามเขาว่าจะไปดูเขตแดนเมืองไหน ที่แห่งใด ตำบลใดอีกบ้าง จะไปเมืองใด จะได้มีหนังสือไปให้เจ้าเมืองกรมการผู้ใหญ่ๆ ออกมาคอยพูดจาชี้แจงที่เขตแดนให้ ถ้าอังกฤษจะไปที่เขตแดนที่เมืองตากก็ให้พระยาอุไทยธานี พระ-ปลัดกรมการมีหนังสือแต่งตั้ง คนถือไปแจ้งความกับพระยากำแพงเพ็ชร ณ เมืองตาก ถ้าอังกฤษว่าจะไปดูเขตแดนข้างเมืองกาญจนบุรี เมืองศรีสวัสดิ์ ก็ให้มีหนังสือลงมาถึงเจ้าเมืองกรมการเมืองกาญจนบุรี เมืองศรีสวัสดิ์ ให้รู้ความ จะได้ออกไปพูดจากับอังกฤษด้วยที่เขตแดนทันกำหนด และการซึ่งจะพูดจากับอังกฤษนั้น ให้พระยาอุไทยธานี พระปลัดกรมการ พูดจาให้นิ่มนวล (?) เรียบร้อยอย่าให้พูดให้แข็งแรง การหาสำเร็จด้วยพูดจาแข็งแรงไม่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้คัดสำเนาหนังสือเสนาบดี มีตอบไปถึงอังกฤษ ๓ ฉบับ กับแผนที่เขตแดนเมืองอุไทยธานี มอบให้พระยาอุไทยธานีเอาขึ้นมาด้วย จะได้พิเคราะห์ดูให้ถ้วนถี่ จะได้รู้ราชการพูดจากับอังกฤษถูกต้อง ไม่ผิดกับความในท้องตราและหนังสือเสนาบดี ซึ่งมีตอบไปถึงอังกฤษจึงทุกประการ ถ้าพระยาอุไทยธานี ได้พูดจากับอังกฤษคอยที่เขตแดนความตกลงแล้วกันแลประการใดให้บอกลงไปให้แจ้งหนังสือมา ณ วันจันทร์ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะเส็ง นักสัต สัพศก หลังจากที่พระยาอุไทยธานี ได้รับทราบตามสารตราข้างต้นแล้ว ก็มีใบบอก (เลขที่ ๒๑๑ จ.ศ. ๑๒๐๗) เมื่อวันอาทิตย์ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๒ ปีมะเส็งมีความสำคัญตอนหนึ่งว่า ข้าพเจ้า พระยาอุไทยธานี พระปลัดกรมการ เกณฑ์กรมการหกคน, ขุนหมื่นสิบหก, ไพร่สี่สิบเอ็ดคน, เข้ากันหกสิบสามคน, เกณฑ์ด่านพลหลวงพลหนึ่ง, ขุนหมื่นสามคน, ไพร่แปดคน, เข้ากันสิบสองคนเกณฑ์ด่านสรวิชิต หลวงสรวิชิตหนึ่ง ไพร่สิบห้าคนเข้ากันยี่สิบสองคน เกณฑ์การอาฏมาต หลวงอินนายกองหนึ่ง ขุนจ่าสัจปลัดกองหนึ่ง ขุนหมื่นแปดคน ไพร่สี่สิบคนเข้ากันห้าสิบคนเข้ากันข้าพเจ้ากรมการด่านพลด่านสรวิชิตด่านอาฏมาตนายไพร่ร้อยสามสิบเจ็ดคน ให้หลวงแพ่งหลวงจ่าเมืองกรมการอยู่รักษาเมืองแต่ข้าพเจ้า พระยาอุไทยธานีพระปลัดหลวงกำแหง ผู้ว่าที่หลวงยกกระบัตรหลวงสุนทรภักดี ขุนละคอน ขุนทิพรองนา ขุนรองสัสดีหมื่นรองแขวง กรมการกับนายด่านทั้งปวง กราบถวายบังคมลาขุนหมื่นและไพร่โดยออกไปจากเมืองอุไทยธานี แต่ ณ วันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรมแปดค่ำ ปีมะเส็ง สัพศก ไปคอยอังกฤษอยู่ที่แม่กริว แม่อำจามแกร (?) เมืองอุไทยธานี ฝากแม่น้ำตองโป๊ะฝากตะวันออกด้วยแล้ว . ในที่สุดพระยาอุไทยธานีและอังกฤษก็ได้พูดจากำหนดเขตแดนจนเป็นที่เรียบร้อย ครั้นเมื่อวันจันทร์ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๒ ปีมะเส็ง หลวงชมภู ชาวกระเหรี่ยง อยู่เมืองตาก ได้พาครอบครัวกระเหรี่ยงมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลอุ้มผาง ในแม่จัน แม่กลอง แขวงเมืองอุไทยธานี มีชายฉกรรจ์ ๑๕ คน ครอบครัวชาย หญิง ๓๐ คน รวม ๔๕ คน ด้วยพระยาตากถึงแก่กรรมไม่มีที่พึ่ง พระยาราชสุภาวดีได้มีหนังสือ (เลขที่ ๒๕๐/๑-๒ จ.ศ. ๑๒๐๗) ถึงพระยาอุไทยธานีและพระยาตาก ถึงความสมัครใจของหลวงชมภู ที่จะขออยู่เมืองอุไทยธานี ต่อมาวันพฤหัสบดี ขึ้น ๒ ค่ำเดือน ๒ หลวงแพ่งเมืองอุไทยธานี ได้มีใบบอก (เลขที่ ๒๐๙ จ.ศ. ๑๒๐๗) ให้หมื่นชำนิ พาหลวงชมภู กระเหรี่ยงลงมาขอบารมีที่พึ่งจาก พระยาอักษรสุนทรเสมียนตรา วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ พ.ศ. ๒๓๘๘ นายแจ้ง ผู้ว่าที่ขุนสุพมาตราได้คุมเอาถาดหมาก คนโทเงิน เครื่องยศ สำหรับที่หลวงยกกระบัตร ซึ่งถึงแก่กรรมส่งคืนเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติ ตามใบบอก (เลขที่ ๒๑๐ จ.ศ. ๑๒๐๗) ของพระยาพิไชยสุนทร เมื่อวันอังคาร แรม ๓ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๓๘๙ แสนเชือกขุนหมื่นกรมช้าง ได้ถือตราสาร (เลขที่ ๓๑/๑ จ.ศ. ๑๒๐๘ ) ของเจ้าพระยาจักรีขึ้นมาติดตามช้างสำคัญที่หลบหนีเข้าป่า ณ เมืองอุไทยธานีและขอมะจูกับบุตรของมะจู ๒ คน จากพระยาอุไทยธานี ช่วยในการติดตามด้วย สาเหตุที่ย้ายเมืองอุไทยธานีมาบ้านสะแกกรัง เมื่อราว พ.ศ. ๒๓๗๖ นั้น ข้าราชการชาวกรุงเทพฯ ได้เป็นพระยาอุไทยธานี เจ้าเมือง อุไทยธานี ครั้นขึ้นไปถึงเมืองอุไทยธานีก็คิดว่า ถ้าบ้านเรือนอยู่ที่สะแกกรัง จะหาเลี้ยงชีพโดยชอบธรรมได้ดีขึ้นและจะว่าราชการเมืองอุไทยธานี (ที่เมืองอุทัยเก่า อำเภอหนองฉาง ) ก็ไปจากที่นั้นได้ไม่ลำบากอันใดพระยาอุไทยธานีคนนี้เป็นเพื่อนกันกับพระยาชัยนาท ในเวลานั้นจึงขอตั้งบ้านเรือนบนฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง เพื่อจะค้าขายข้าวหาประโยชน์นับว่ากลัวความไข้ ไม่กล้าขึ้นไปว่าราชการที่เมืองอุไทยธานีเก่า สำหรับศาลาที่ว่าการเมืองอุไทยธานี ได้ใช้หลังบ้านพักของเจ้าเมืองอุไทยธานี ปลูกโรงไม้ยาวชั้นเดียว หลังคามุงกระเบื้องแบบไทย ส่วนพวกกรมการเมืองอุไทยธานี นั้น ก็ได้ย้ายตามมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสะแกกรังตามเจ้าเมือง จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๓๑๙ ได้เกิดปัญหาเรื่องเงิน อากรสมพัตสรตลาดเงินค่าเสนากร ซึ่งไม่ชำระกันเนื่องจากเขตแดนเมืองอุไทยธานีกับเมืองชัยนาท ไม่ถูกต้อง อันมีจดหมายเหตุ (ร่างตราเลขที่ ๑๔๐/๒ จ.ศ. ๑๒๑๐) ดังนี้ หนังสือพระยามหาอำมาตย์ฯ มาถึงพระยาอุไทยธานี ด้วยหลวงปลัด หลวงอนุรักษ์ภักดี กรมการเมืองชัยนาทบอกลงไปว่า บ้านสะแกกรังที่พระยาอุไทยธานีตั้งอยู่กับราษฎรตั้งเรือนทำมาหากินตามริมฝั่งน้ำตะวันตก ตั้งแต่ปากกระบาดขึ้นไปจนบ้านท่าคล่อเหนือบ้านสะแกกรัง สมพัสษร อากรตลาดหาได้ชำระไม่ แต่บ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง บ้านทุ่งแฝก เสนาอากรเรียกเป็นแขวงเมืองไชย-นาทต่อๆ มา ครั้ง ณ ปีมะเส็ง สัพศก นายโพ พวกหมื่นเทพอากรมาบอกพระยาไชยนาท กรมการว่า บ้านทุ่งแฝก บ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง พระยาอุไทยธานีว่า เป็นแขวงเมืองอุไทยธานี หาได้ชำระเงินอากรไม่ พระยาไชยนาท กรมการว่าให้ทำเรื่องราวมาจะบอกลงไป ณ กรุงเทพฯ นายโพหมื่นเทพอากรก็หาทำเรื่องราวมายื่นไม่ อยู่ ณ ปีมะแม นพศก พวกหมื่นเทพอากรมาว่า หลวงปลัด กรมการ แต่งกรมการพาหมื่นเทพอากรไปว่ากล่าวกับพระยาอุไทยธานีๆ ว่า บ้านทุ่งแฝกเป็นแขวงเมืองไชยนาทแต่บ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง บ้านหนองเต่า เป็นที่เมืองอุไทยธานี พระยาอุไทยธานีได้ทำแผนที่ลงไปทูลเกล้าฯ ถวายแล้วครั้นสืบเถาแก่ผู้ใหญ่ก็ว่า บ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง บ้านหนองเต่าเป็นแขวงเมืองไชยนาทหลายคนนั้น ความทั้งนี้จะเท็จจริงประการใดไม่แจ้ง และแขวงไชยนาทเขตแดนกว้างขวางเกี่ยวคาบมาจนถึงเมืองอุไทยธานี พระอุไทยธานีว่าไม่ทำแผนที่บ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง บ้านหนองเต่า เป็นที่เมืองอุไทยธานีลงมาทูลเกล้าฯ ถวายกันเอาที่เขตแดนเมืองไชยนาทมา ทั้งนี้ชอบอยู่แล้วหรือ กรมการและราษฏรเมืองไชยนาทที่เป็นคนผู้ใหญ่ กับที่กรุงเทพฯ ก็รู้กันอยู่ว่าบ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง บ้านหนองเต่า เป็นเมืองไชยนาทแต่เดิม เมื่อพระยาอุไทยธานี เป็นที่เจ้าเมืองจะตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ แขวงเมืองอุไทยธานีว่าที่ไชยภูมิไม่ที่ จึงว่ากล่าวกับ กรมการเมืองไชยนาทจะขออยู่ ณ บ้านสะแกกรัง ก็อยู่ต่อๆ มา ครั้งนี้พระยาอุไทยธานี จะครอบงำเอาที่บ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง บ้านหนองเต่า เป็นเมืองอุไทยธานี ปรารถนาจะได้ปลูกสร้างต้นผลไม้และทำไร่กัน (?) ที่จะตั้งอากรสมพัสษรไม่ให้นายอากรเรียกเอาด้วย ฝ่ายเมืองไชยนาทไม่ยอม เป็นความวิวาทกันอยู่ไม่รู้แล้วเดี๋ยวนี้พระยาไชยนาทกลับมาแต่ราชการทัพพระยาอุไทยธานี พระยาไชยนาท ก็เป็นเจ้าเมืองผู้ใหญ่เขตแดนเกี่ยวข้องกันอยู่อย่างไรก็ให้นัดหมายดูแล พูดจาปรึกษาหารือกันจะเป็นที่เขตแดนเมืองใด ก็ให้ว่ากันเสียให้เด็ดขาด ตกลงเป็นที่เมืองไชยนาทฯ จะได้นำเรียนเงินอากรสมพัสษรต่อไป จะใช้แต่กรมการพูดจะไปมา การก็จะหาแล้วกันไม่ได้มีตรามาถึงพระยาไชยนาท ความแจ้งอยู่แล้ว ถ้าชำระว่ากล่าวไม่ตกลงจะบอกขอข้าหลวงขึ้นมาสอบสวนดู หรือจะแต่งกรมการผู้ใหญ่ทั้งสองทางทำแผนที่เมืองไชยนาท เมืองอุไทยธานี ลงไปว่ากล่าว ณ กรุงเทพฯ ได้ ก็ให้เร่งคุมแผนที่ลงไป จะได้ตัดสินให้เป็นอันแล้วแก่กัน หนังสือมา ณ วันเสาร์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก สัมฤทธิ์ศก นอกจากนี้ยังมีหนังสือไปถึงพระยาไชยนาท (ร่างตราเลขที่ ๑๙๐/๔ จ.ศ. ๑๒๑๐) ถึงเรื่องบ้านเรือนอยู่ในแขวงเมืองอุไทยธานีหรือเมืองไชยนาท และให้นัดหมายพูดจากันไม่เป็นที่ตกลง ในที่สุดพระยามหาอำมาตย์ จึงให้กรมการขึ้นมาสอบสวนเขตแดนเมืองอุไทยธานีและให้สอบเขตแดนเมืองไชยนาทกับเมืองอุไทยธานีที่ติดต่อกัน เพื่อสะดวกต่อการเก็บอากรสัมพัสษรตลาด และเงินค่าเสนาอากรด้วยเห็นว่า (จาก ประชุมนิพนธ์ พระนิพนธ์ ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุ-ภาพ) เจ้าเมืองอุไทยธานีไม่ควรจะมาอยู่ในแขวงเมืองไชยนาท อีกทั้งเวลานั้นพวกเจ้าเมืองกรมการ อุไทยธานีตั้งบ้านเรือนเป็นหลักแหล่งมั่นคงเสียแล้ว จะไล่ไปก็จะเกิดเดือดร้อนจึงให้ตัดเขตบ้านสะแกกรังทางฝั่งคลองฟากใต้กว้าง ๑๐๐ เส้น ตั้งแต่ท้ายบ้านสะแกกรัง ไปจดแดนเมืองอุไทยเก่า โอนที่นั่นจากเมืองไชยนาทเป็นของเมืองอุไทยธานีฯ จึงตั้งอยู่ที่ปลายสุดเขตแดน ทางฝั่งคลองสะแกกรังฟากเหนือ ตรงบ้านเจ้าเมืองอุไทยธานี ข้ามไปก็เป็นเขตแดนเมืองมโนรมย์ข้างใต้บ้านลงมาสักคุ้งน้ำหนึ่งก็เป็นแดนเมืองไชยนาท ครั้นเมื่อมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นแขวง เมืองอุไทยธานีเก่า จึงมีเพียง ๔ แขวงหนองขุนชาติ แขวงหนองกระดี่ แขวงหนองหลวง และแขวงแม่กลอง ซึ่งเรียกกันติดปากว่า แม่กลองหนองหลวง เพราะมีเขตแดนติดต่อกันส่วนแขวงหนองขุนชาตินั้น ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นแขวงอุทัยเก่า จังหวัดอุทัยธานีสมัยการปกครองระบอบประชาธิปไตย จังหวัดอุทัยธานี ถึงแม้จะมีความเป็นอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระ-ปกเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็ยังมีภูมิประเทศที่ค่อนข้างจะทุรกันดารปราศจากการคมนาคมใดๆ นอกจากทางเกวียนที่ต้องบุกผ่านป่า หรืออาศัยเรือขึ้นล่องติดต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยาโดยอาศัยลำน้ำสะแกกรังที่ไหลผ่านตัวเมือง ปากแม่น้ำสะแกกรังตั้งอยู่ตรง ต.คุ้มสำเภา อ. มโนรมย์ จ.ชัยนาทนั้น ที่ปากน้ำเดิมนั้นหน้าฤดูแล้งราษฎร์จะช่วยกันทำคันดินใหญ่เป็นเขื่อนกั้นน้ำ เพื่อกั้นไม่ให้น้ำในแม่น้ำสะแกกรังแห้ง เรือแพที่จะผ่านเข้าออกต้องเข็นข้ามเขื่อนนี้ ซึ่งเป็นเขื่อนดินทำเป็นตัวทำนบกั้นน้ำไว้ให้ชาวเมืองได้อาศัยน้ำอาบ กิน และเพาะปลูก ตลอดจนการสัญจรไปมาในยามปกติด้วยภูมิประเทศของจังหวัดนี้เป็นที่ดอนแห้งแล้ง ในฤดูน้ำลดลง แม่น้ำสะแกกรังจะแห้งขอด ซึ่งเป็นเหตุให้ลำบากแก่การคมนาคมและการประกอบกสิกรรมทั่วไปส่วนใหญ่ชาวจังหวัดอุทัยธานีมีอาชีพทำนาเป็นล่ำเป็นสัน นับเป็นเมืองประเภทอู่น้ำอู่ข้าวที่สำคัญ ครั้นเมื่อมีการสร้างเขื่อนเจ้าพระยาขึ้น เขื่อนที่กั้นตรงปากน้ำก็เลิกทำเพราะน้ำในแม่น้ำสะแกกรังมีบริบูรณ์อยู่ตลอด ต่อมาได้มีการเลิกภาคที่ตั้งขึ้นเป็นมณฑลในรัชกาลที่ ๖ ใหม่ โดยรวมเป็นมณฑลเดียว และจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเดิมนั้นขึ้นกับมณฑลนครสวรรค์ ได้เปลี่ยนไปรวมขึ้นอยู่กับมณฑลอยุธยา จังหวัดอุทัยธานีในสมัยใหม่ได้เปลี่ยนแปลงตามโครงร่างของการบริหารราชการที่ขยายวงกว้างขึ้น ยกเลิกชั้นข้าราชการและนำเอาระบบการกำหนดเงินเดือนตามตำแหน่งมาใช้แล้วเปลี่ยนแปลงใช้การจัดชั้นข้าราชการควบคู่ไปกับการจัดชั้นตำแหน่งประกาศยกเลิกมณฑลเสียในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ และจัดให้จังหวัดเป็นหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคที่สำคัญที่สุด พร้อมกับให้มีเทศบาลเป็นหน่วยราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ส่วนผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นให้เรียก ข้าหลวงประจำจังหวัด จังหวัดอุทัยธานีทุกวันนี้ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ที่ยังรักษาศิลปวัฒน-ธรรมของบ้านเมืองไว้เป็นอย่างดี จนมีคำพังเพยกล่าวไว้ว่า ดำน้ำสามผุด ไม่หลุดอุทัย และ อยู่อุทัยไม่ต้องอุทธรณ์ ค่ำมืดก็นอนที่อุทัย ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดอุทัยธานี . กรุงเทพฯ : บพิธการพิมพ์ , ๒๕๒๘ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:42:45 เชียงใหม่
ประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ (สมัยราชวงศ์มังราย และสมัยพม่าปกครอง) อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว เมืองเชียงใหม่มีชื่อที่ปรากฏในตำนานว่า นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ เป็นราชธานีของอาณาจักรล้านนาไทยมาตั้งแต่พระยามังรายได้ทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๙ นับถึงปัจจุบันมีอายุร่วมเจ็ดร้อยปี และเมืองเชียงใหม่ได้มีวิวัฒนาการสืบเนื่องกันมาในประวัติศาสตร์ตลอดมา เชียงใหม่มีฐานะเป็นนครหลวงอิสระ ปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์มังราย ประมาณ ๒๐๐ ปี (ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๓๙ - ๒๑๐๑) ในปี พ.ศ. ๒๑๐๑ เชียงใหม่ได้เสียเอกราชให้แก่กษัตริย์พม่าชื่อบุเรงนอง และได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่านานร่วมสองร้อยปี จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงช่วยเหลือล้านนาไทยภายใต้การนำของพระยากาวิละและพระยาจ่าบ้าน ในการทำสงครามขับไล่พม่าออกไปจากเชียงใหม่และเมืองเชียงแสนได้สำเร็จ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสถาปนาพระยากาวิละเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ ในฐานะเมืองประเทศราชของกรุงเทพ และมีเชื้อสายของพระยากาวิละซึ่งเรียกว่าตระกูลเจ้าเจ็ดตนปกครองเมืองเชียงใหม่ เมืองลำพูน และลำปางสืบต่อมา จนกระทั่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดให้ปฏิรูปการปกครองหัวเมืองประเทศราชได้ยกเลิกการมีเมืองประเทศราชในภาคเหนือ จัดตั้งการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เรียกว่า มณฑลพายัพ และเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๖ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ปรับปรุงการปกครองแบบจังหวัด เชียงใหม่จึงมีฐานะเป็นจังหวัดจนปัจจุบัน เพื่อให้สะดวกในการอ่านเรื่องราวของเชียงใหม่และล้านนาไทย จึงขอแบ่งยุคสมัยใน ประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่เป็น ๔ สมัย ดังนี้ 1.สมัยก่อนสร้างเมืองเชียงใหม่ (ก่อน พ.ศ. ๑๘๓๙) 2.สมัยราชวงศ์มังรายปกครอง (พ.ศ. ๑๘๓๙ - ๒๑๐๑) 3.สมัยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า (พ.ศ. ๒๑๐๑ - ๒๓๑๗) 4.สมัยเป็นเมืองประเทศราชของไทย (พ.ศ. ๒๓๑๗ - ๒๔๗๖) สมัยก่อนสร้างเมืองเชียงใหม่ (ก่อน พ.ศ. ๑๘๓๙) ก่อนที่พระยามังรายจะสร้างเมืองเชียงใหม่นั้น ได้มีบ้านเมืองและชุมชนใหญ่เกิดขึ้นแล้ว ได้แก่ เมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน เมืองหริภุญไชย เมืองพะเยา และยังได้มีการค้นพบเมืองเล็กๆ อีกมากมายหลายเมืองตามลุ่มน้ำต่างๆ เช่น เวียงฝาง เวียงปรึกษา เวียงสีทวง เวียงพางคำ เวียงสุทโธ เวียงห้อ เวียงมะลิกา และเวียงท่ากาน๑) ฯลฯ เป็นต้น เชื่อกันว่าบริเวณตอนบนของภาคเหนือ ลุ่มแม่น้ำต่างๆ เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำโขง เป็นที่ตั้งของชุมชนที่มีวัฒนธรรมอยู่มาก่อน ในบทความนี้จะกล่าวถึงเรื่องราวและเมืองต่างๆ ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ พอสังเขปดังนี้ จากข้อมูลเอกสารประเภทตำนานและพงศาวดาร ได้กล่าวถึงการที่ชุมชนเผ่าไทเข้ามาตั้งถิ่นฐานทางตอนบนของภาคเหนือในสมัยแรกนั้น มีผู้นำสำคัญ ๒ ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์ไทยเมืองของพระเจ้าสิงหนวัติกุมารและราชวงศ์ลวจังกราช ซึ่งมีเรื่องราวปรากฏในตำนานสิงหนวัติกุมาร พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน และตำนานสุวรรณโคมคำ ราชวงศ์สิงหนวัติกุมาร๒ ตำนานเล่าว่ามีราชบุตรชื่อ สิงหนวัติกุมาร ได้อพยพผู้คนมาจากเมืองไทยเทศเมื่อมหาศักราช ๑๗ (ตอนต้นพุทธกาล) มาตั้งบ้านเมืองใกล้กับแม่น้ำโขงและไม่ไกลจากเมืองสุวรรณโคมคำมากนัก เมืองใหม่ชื่อ นาคพันธุ์สิงหนวัตินคร ข้อความในตำนานต่อมาสับสนแต่จับใจความได้ว่า เมืองนาคพันธุ์ฯ นี้ได้เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า โยนกนครไชยบุรีศรีช้างแสน เมืองนี้มีกษัตริย์ปกครองสืบมาถึง พ.ศ. ๑๕๔๗ มีคนจับปลาไหลเผือกได้ ลำตัวโตขนาดต้นตาล ยาวประมาณ ๗ วา เมื่อฆ่าแล้วแจกจ่ายให้ผู้คนในเมืองได้นำไปประกอบอาหารรับประทาน ในเวลากลางคืน คืนนั้น เมืองนี้ได้เกิดภัยพิบัติฟ้าคะนอง แผ่นดินไหว และเมืองได้ล่มจมเป็นหนองน้ำไป ชาวเมืองที่ไม่ประสบภัยได้ร่วมใจกันสร้างเมืองใหม่ชื่อ เวียงปรึกษาขึ้น๓ ราชวงศ์สิงหนวัติก็สิ้นสุดลง สำหรับศักราชส่วนใหญ่คลาดเคลื่อนไม่ตรงกัน เมืองหิรัญเงินยางเชียงแสน และเมืองเชียงแสน ประมาณ พ.ศ. ๑๑๘๑ ได้เกิดเมืองชื่อ หิรัญเงินยางเชียงแสนขึ้นบริเวณดอยตุง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ตามตำนานเล่าว่า พระยาลวจังกราชได้รับบัญชาจากพระอินทร์ให้ลงมา ปกครองเมืองหิรัญเงินยางเชียงแสน ซึ่งขณะนั้นไม่มีกษัตริย์ปกครองและพระยาอนิรุทธได้เชิญเจ้าเมืองทุกเมืองไปประชุมตัดศักราช เมืองนี้ไม่มีกษัตริย์ไปประชุม จึงทูลขอผู้ปกครองจากพระอินทร์ เทพบุตร ลวจังกราชจึงได้เสด็จลงมาจากสวรรค์ พร้อมทั้งมเหสีและบริวารไต่ตามบันไดเงินลงมาบริเวณดอยตุง ชาวบ้านจึงพร้อมใจให้เป็นผู้ปกครองเมืองนี้ชื่อ หิรัญเงินยางเชียงแสน และทรงมีกษัตริย์ปกครองสืบมาหลายพระองค์จนถึงพระยาลาวเมง พระราชบิดาพระยามังราย ผู้สร้างเมืองเชียงใหม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องจากตำนานเมืองเงินยางเชียงแสน มีนักวิชาการบางท่านตีความเรื่องนี้ว่า พระยาลวจังกราชนั้น เดิมเป็นชาวพื้นเมืองในเขตดอยตุง เดิมคงเรียกว่า ปู่เจ้าลาวจก เพราะเป็นผู้มีจอบมาก (จก = จอบ) และให้ประชาชนเช่าจอบเพื่อทำนา ที่เป็นเช่นนี้เพราะการทำจอบเป็นเทคนิคชั้นสูง ผู้ใดผลิตจอบได้ก็จะสามารถควบคุมการผลิตได้ ปู่เจ้าลาวจกคงจะได้รับยกย่องให้เป็นหัวหน้าเผ่าไทบริเวณนั้น และปกครองเมืองเงินยางเชียงแสน และมีเชื้อสายสืบมาจนถึงพระยามังราย๔ เมืองหริภุญไชย นอกเเหนือจากเมืองต่างๆ ดังกล่าวนามข้างต้นแล้ว บริเวณลุ่มแม่น้ำปิงมีชุมชนสำคัญอีกชุมชนหนึ่งที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีวิวัฒนาการสืบต่อกันมาเป็นเวลานานคือ เมืองหริภุญไชย หรือลำพูน มีเอกสารหลายเรื่องที่กล่าวถึงเมืองนี้ ได้แก่ ตำนานลำพูน ตำนานพระธาตุหริภุญไชย จามเทวีวงศ์ ตำนานมูลศาสนา และชินกาลมาลีปกรณ์ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาค้นคว้าจากโบราณสถานและโบราณวัตถุ ซากเมืองโบราณต่างๆ เช่น เมืองท่ากาน เวียงมะโน เวียงเถาะ ซึ่งเป็นเมืองบริวารของลำพูน อาจารย์ ร.ศ.ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม ได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียด ในรายงานเรื่องแคว้นหริภุญไชย : โบราณคดีไทยในทศวรรษที่ผ่านมา หลักฐานที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่ง คือ ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ ได้กล่าวถึงเมืองลำพูน ซึ่งตรงสมัยพ่อขุนศรีนาวนำถมผู้ปกครองสุโขทัยก่อนสมัยพ่อขุนรามคำแหง จาก หลักฐานต่างๆ พอช่วยให้ทราบเรื่องราวของหริภุญไชยได้พอสรุปดังนี้ เมืองนี้ตามตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นโดย ฤาษี ชื่อ วาสุเทพ เมื่อสร้างเสร็จได้ไปทูลเชิญ พระนางจามเทวีจากเมืองละโว้มาปกครอง ราว พ.ศ. ๑๒๐๐ พระนางได้นำบริวารและพระสงฆ์เสด็จขึ้นมาทางน้ำมาปกครองเมืองหริภุญไชย และมีเชื้อสายของพระนางปกครองสืบมาหลายพระองค์ นับเวลานานถึงหกร้อยปี จนกระทั่งถึงสมัยพระยาบาหรือยีบา ได้เสียเอกราชแก่พระยามังรายในราว พ.ศ. ๑๘๒๔ หริภุญไชยจึงมีสภาพเป็นเมืองหนึ่งของดินแดนล้านนาไทยเรื่อยมา และในสมัยพระยากาวิละได้ฟื้นฟูเมืองลำพูนให้เจริญขึ้น และมอบให้เชื้อสายของพระองค์ไปปกครองเรื่อยมา อนึ่งในสมัยพระนางจามเทวีนี้ พระนางได้ทรงสร้างเมืองลำปางหรือเขลางค์นครให้ราชบุตรปกครองอีกเมืองหนึ่งด้วย๕ เมืองหริภุญไชยเป็นเมืองโบราณที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีศิลปวัฒนธรรมและพระพุทธศาสนารุ่งเรืองมาก มีศิลปกรรมที่มีลักษณะของตนเอง คือ ศิลปสกุลช่างหริภุญไชย ตลอดจนพบว่ามีการใช้ภาษามอญโบราณในศิลาจารึกของหริภุญไชยด้วย ปัจจุบันหริภุญไชยหรือลำพูนมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือของไทย เมืองพะเยา เมืองพะเยาเป็นเมืองเก่าที่สำคัญอีกเมืองหนึ่งก่อน พ.ศ. ๑๘๓๙ ตามเอกสารตำนานต่างๆ๖ เรียกชื่อว่า ภูกามยาว เรื่องราวของเมืองนี้ก็เช่นเดียวกับหริภุญไชย สามารถตรวจสอบได้จากข้อมูลต่างๆ ได้แก่ เอกสารประเภทตำนาน เป็นต้นว่า ตำนานพะเยา ฉบับวัดศรีโคมคำ ตำนานเมืองพะเยา ฉบับหอสมุดแห่งชาติ ประชุมพงศาวดารภาค ๖๑ ข้อมูลจากศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่สอง ปรากฏชื่อเมืองพะเยาด้วยดังข้อความว่า เมืองใต้ออกพ่อขุนนำถุม เบื้องตะวันออกเถิง เบื้องหัวนอนเถิงลุนคา ขุนคา ขุนด่าน เบื้องในหรดีถึงฉอด เวียงเหล็ก เบื้องตะวันตกเถิง ลำพูน บู .. เบื้องพายัพถึงเชียงแสนและพะเยา ลาว ๗ ข้อความในจารึกแสดงว่ามีเมืองพะเยาก่อน พ.ศ. ๑๘๓๙ ตามตำนานเมืองพะเยา เขียนว่าเมืองนี้สร้างขึ้นโดยพ่อขุนจอมธรรม ซึ่งพระองค์ได้เป็นราชบุตรของพ่อขุนลาวเงินหรือขุนเงินแห่งเมืองเงินยางเชียงแสน พ่อขุนจอมธรรมได้อพยพประชาชนมาสร้างเมืองพะเยา และมีเชื้อสายของพระองค์ปกครองสืบมา กษัตริย์พระองค์สำคัญอีกพระองค์หนึ่งของพะเยาเป็นที่รู้จักของปัจจุบันดี คือ พระยา งำเมือง ซึ่งตามตำนานเล่าว่าพระองค์เป็นพระสหายของพระยามังราย ได้ทรงมาร่วมสร้างเมืองเชียงใหม่ด้วย นอกจากพระยางำเมืองแล้ว ตามตำนานต่างๆ ได้เล่าว่า พระยาเจือง หรือขุนเจือง ผู้นำที่พะเยามีความสามารถมาก พระองค์มีพระชนมายุระหว่าง พ.ศ. ๑๖๒๕ - ๑๗๐๕ โดยพระยาเจืองเป็นกษัตริย์พะเยา ในสมัยของพระองค์ ดินแดนล้านนาไทยได้ขยายออกไปอย่างกว้างขวางถึงสิบสองพันนา เวียตนาม (แกว) ล้านช้าง๘ สมัยของพระองค์เป็นสมัยสำคัญอีกสมัยหนึ่งของล้านนาไทย อนึ่งจากการศึกษาค้นคว้าทางด้านโบราณคดีที่เมืองพะเยาของ ร.ศ.ศรีศักดิ์ ได้พบเครื่องมือหินและโลหะ คือ หัวขวานสำริดและผาลไถ ทำด้วยเหล็กกำหนดอายุไม่ได้ที่เมืองพะเยา สันนิษฐานบริเวณที่ราบลุ่มเชียงรายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง ได้พัฒนาเป็นสังคมบ้านเมืองก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ นอกจากนี้เมืองพะเยายังมีความเจริญทางศิลปกรรม ได้พบศิลปวัตถุจำนวนมากที่พะเยา เรียกว่า ศิลปสกุลช่างพะเยา๙ และได้พบศิลาจารึกเป็นจำนวนมากอีกด้วย เมืองพะเยามีกษัตริย์ปกครองสืบมาต่อจากพระยาจอมธรรมหลายพระองค์จนถึงสมัย พระยาคำลือ ซึ่งขณะนั้นเชียงใหม่มีกษัตริย์ชื่อพระยาคำฟู ปกครองเชียงใหม่ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๖๖ - ๑๘๗๙ กษัตริย์ลำดับที่ ๕ พระยาคำฟูได้ร่วมมือกับพระยาเมืองน่านยกกองทัพไปตีพะเยาและยึดครองพะเยาได้ในปี พ.ศ. ๒๐๓๘ ซึ่งปรากฏข้อความในศิลาจารึกวัดลี แต่ในตำนานพะเยาเขียนว่า พระยา คำฟูยกทัพไป พ.ศ. ๑๘๘๑1 อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งนี้ ทำให้พะเยาเสียเอกราชตกเป็นเมืองในอาณาเขตของแคว้นล้านนาตั้งแต่นั้นมา โดยสรุป ดินแดนภาคเหนือของประเทศไทย บริเวณแม่น้ำต่างๆ คือ แม่น้ำกก แม่น้ำโขง แม่น้ำปิง แม่น้ำอิง ฯลฯ มีชุมชนตั้งอยู่แล้วก่อนที่พระยามังรายจะสร้างเมืองเชียงใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ดินแดนบริเวณนี้มีวัฒนธรรมเจริญรุ่งเรืองหลายด้าน และเมื่อพระยามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่แล้ว สันนิษฐานว่าจะมีการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดและรับเอาวัฒนธรรมของชุมชนที่มีอยู่และเจริญรุ่งเรืองแล้วมาเป็นของตนเอง เป็นต้นว่าล้านนาไทยเชียงใหม่อาจจะรับเอากฎหมายธรรมสัตถของมอญซึ่งใช้อยู่ในหริภุญไชยมาตราเป็นกฎหมายมังรายศาสตร์ และรับเอาอักษรมอญมาดัดแปลงเป็นอักษรพื้นเมืองล้านนาหรืออักษรไทย นอกจากนี้อาจจะรับเอาพุทธศาสนาของแคว้นหริภุญไชยมาด้วย เพราะหริภุญไชยมีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านพุทธศาสนา เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนามาจนถึงอย่างน้อยสมัยพระเจ้า กือนา2 กษัตริย์ราชวงศ์มังรายปกครองเชียงใหม่เป็นลำดับที่ ๖ (พ.ศ. ๑๘๙๘ - ๑๙๒๘) พระยากือนาจึงได้พยายามสร้างให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนา อนึ่ง สันนิษฐานว่า ก่อนที่พระยามังรายจะสร้างเมืองเชียงใหม่นั้น ดินแดนบริเวณนี้คงจะเป็นที่อยู่ของพวกละว้าหรือลัวะ (Lawa, Sua) กล๋อมหรือขอมดำ พวกนี้ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้เมื่อใด สันนิษฐานว่าจะอยู่นานแล้วก่อนจะสร้างเมืองเชียงใหม่ ดังปรากฏหลักฐานในจามเทวีวงศ์และชินกาลมาลีปกรณ์ได้เล่าว่า ขุนหลวงวิลังคะเป็นกษัตริย์ลัวะปกครองบ้านเมืองอยู่บริเวณดอยสุเทพ และเป็นผู้ที่ประสงค์จะได้พระนางจามเทวีเป็นพระมเหสีของตน3 หลักฐานอื่นๆ เกี่ยวกับลัวะพบทั่วไปในบริเวณจังหวัดเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน ได้พบเนินดินหรือกู่เก่าๆ ในเขตอำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน4 และปัจจุบันพวกลัวะก็ยังอาศัยอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอแม่สะเลียง อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอจอมทองและอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ อาจารย์ถิ่น รัติกนก และคณะ ได้ทำการศึกษา วิจัยด้านประวัติศาสตร์และมนุษยวิทยาเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีของละว้า ที่บ้านบ่อหลวง บ้านกองลอย บ้านอุมลอง บ้านแม่โถ บ้านวังกอง บ้านขุน และบ้านนาฟ่อน รวม ๗ หมู่บ้าน อำเภอฮอด เชียงใหม่ ซึ่งประชาชนเป็น ชาติลัวะ และพวกลัวะนอกจากจะอาศัยอยู่ในดินแดนดังกล่าวแล้ว ยังมีชนเผ่าลัวะอาศัยอยู่ที่เวียงหนองสอง อำเภอป่าซาง ลำพูน และที่บ้านแม่เ..เซนเซอร์..ยะ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่อีกด้วย ผลของการศึกษาพบว่า วัฒนธรรมประเพณีของลัวะหลายประการท่อาจจะตกทอดมาถึงคนในเชียงใหม่เพราะมีประเพณีคล้ายกับประเพณีเชียงใหม่ปัจจุบัน คือ ประเพณีการเกิดมี แม่ฮับ หรือหมอตำแย ประเพณีการอยู่ไฟหลังการคลอดบุตรเรียกว่า อยู่เดือน ความเชื่อเรื่องผีบ้าน ผีเมือง ผีบรรพบุรุษ ประเพณีการบูชาเสาหลักเมือง หรือเสาอินทขิล ความเชื่อเรื่องการปลูกบ้านที่เสามงคลหรือเสาเอก หลังคาบ้านนิยมทำไม้ไขว้เป็นรูปสามเหลี่ยมเรียกว่า กาแล และประเพณีทำศพที่มีการจุดไฟยามหน้าศพ ตุงสามหางและตุงห่อข้าวใช้ในกระบวนแห่ศพไปฌาปนกิจ5 ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นวัฒนธรรมประเพณีของลัวะที่พบในประเพณีของเชียงใหม่ในปัจจุบัน ดังนั้น สันนิษฐานว่า ก่อนที่จะสร้างเมืองเชียงใหม่โดยพระยามังราย พ.ศ. ๑๘๓๙ นั้น บริเวณลุ่มน้ำต่างๆ มีเมืองสำคัญๆ เกิดขึ้นหลายเมือง เป็นต้นว่า หริภุญไชย พะเยา เชียงแสน มี วัฒนธรรมที่เป็นของตนเอง และได้มีการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มชนต่างๆ ด้วย พระยามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ พระยามังรายตำนานเล่าว่าทรงเป็นราชบุตรของพระยาลาวเมงและพระนางเทพคำข่าย เจ้าหญิงแห่งเมืองเชียงรุ้ง เสด็จขึ้นครองราชย์ที่เมืองเงินยางเชียงแสน ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๕ พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะรวบรวมแคว้นต่างๆ ที่กระจัดกระจายและเป็นอิสระต่างๆ ให้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยจะทรงขยายอำนาจลงมาทางใต้บริเวณลุ่มแม่น้ำปิง และพยายามขยายลงไปถึงบริเวณ ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและสาละวิน บริเวณลุ่มแม่น้ำปิงขณะนั้นมีเมืองหริภุญไชยเป็นเมืองสำคัญและมีความอุดมสมบูรณ์มั่งคั่งทางเศรษฐกิจ พระยามังรายมีพระประสงค์จะยึดครองเมืองหริภุญไชยไว้ในอำนาจ จึงทรงย้ายเมืองหลวงหรือทรงมาสร้างเมืองอีกเมืองหนึ่ง คือ เมืองเชียงรายทางใต้ลงมาในราว พ.ศ. ๑๘๐๖ แต่พระองค์พบว่าภูมิประเทศไม่เหมาะแก่การขยายอำนาจลงมาทางใต้ จึงทรงย้ายไปประทับที่เมืองฝางในราวปี พ.ศ. ๑๘๑๗ ที่เมืองนี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองหริภุญไชยมากนัก พระองค์ทราบถึงความมั่นคงและความมั่งคั่งของรัฐหริภุญไชยดี จึงดำเนินนโยบายแบบบ่อนทำลาย โดยให้อ้ายฟ้าทหารของพระองค์มาเป็นไส้ศึกในเมืองหริภุญไชย โดยใช้เวลาทั้งหมดเกือบ ๗ ปี อ้ายฟ้าสามารถทำให้ประชาชนในเมืองนี้ไม่พอใจพระยายีบาหรือพระยาบา กษัตริย์ของตนโดยอ้ายฟ้าดำเนินกลวิธีต่างๆ หลายวิธี เช่น เกณฑ์แรงงานอย่างหนักในการไปขุดเหมืองชลประทาน ที่เรียกว่า เหมืองอ้ายฟ้าหรือเหมืองแข็ง เกณฑ์ประชาชนตัดไม้ลากไม้ในฤดูฝนมาทำคุ้มที่ประทับของพระยาบา ทำให้ไร่นาของประชาชนได้รับความเสียหายมาก นอกจากนี้อ้ายฟ้ายังได้กราบทูลให้พระยาบาห้ามประชาชนเข้ามาร้องทุกข์กับกษัตริย์โดยตรงดังเช่นที่เคยปฏิบัติมา ให้ทุกคนติดต่อร้องทุกข์กับอ้ายฟ้า แล้วอ้ายฟ้าก็ตัดสินไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมาก6 อ้ายฟ้าได้กล่าวกับประชาชนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนทำไปนั้นเป็นบัญชาจากพระยาบา ทั้งสิ้น ประชาชนจึงไม่ชอบพระยาบามาก และเมื่อมีศึกพระยามังรายมาประชิด ประชาชนจึงไม่กระตือรือร้นจะช่วยรบกับผู้ปกครอง ในที่สุดพระยามังรายจึงยึดหริภุญไชยไว้ในอำนาจได้สำเร็จเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๔ ปัญหามีว่า ทำไมพระยาบาจึงเชื่อคำแนะนำของอ้ายฟ้า จึงให้อ้ายฟ้าเข้ามามีอำนาจในเมืองหริภุญไชยเช่นนี้ ทั้งที่อ้ายฟ้าเป็นขุนนางจากเมืองอื่น คำตอบหรือข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้มีได้หลายทาง ข้อแรกผู้เขียนขอเสนอข้อสันนิษฐานจากหลักฐานกฎหมายว่า ที่พระยาบาเชื่อคำแนะนำอ้ายฟ้าเพราะมีข้อความตอนหนึ่งในกฎหมายหลายฉบับระบุว่า บุคคลผู้รู้สันฐานต่างประเทศ เป็นบุคคลหรือไพร่เมืองชั้นดีและจัดว่าเป็นไพร่ที่หาได้ยาก ถ้าทำผิดให้ลงโทษสูงสุดให้เนรเทศแทนการประหารชีวิต7 อ้ายฟ้าเป็นขุนนางที่มาจากต่างประเทศและเป็นผู้รู้สันฐานเรื่องราวของต่างประเทศ นอกเหนือจากเมืองหริภุญไชย พระยาบาจึงยอมรับความเป็นผู้รู้ของอ้ายฟ้า และพร้อมที่ยกย่องอ้ายฟ้าโดยง่ายเพราะอ้ายฟ้าอาจจะมีความรู้เรื่องเมืองหิรัญเงินยางเชียงแสน เมืองเชียงราย และเมืองฝางดีกว่าทุกคนในเมืองหริภุญไชย อีกประการหนึ่งสันนิษฐานว่าพระยาบาอาจจะมีความขัดแย้งกับขุนนางของตน จึงได้ยกย่องอ้ายฟ้าขึ้นเป็นผู้ช่วยของพระองค์ทุกด้านโดยไม่เฉลียวใจว่าจะมาเป็นไส้ศึกของกระยามังราย เมื่อพระยามังรายได้เมืองหริภุญไชยแล้ว ได้ประทับอยู่ระยะหนึ่ง แล้วยกให้อ้ายฟ้าไป ปกครองแทนพระองค์ โดยพระองค์ได้สร้างเมืองใหม่อีกเมืองหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ชื่อเมืองชะแว เมืองนี้น้ำท่วมจึงได้ย้ายมาสร้างเมืองอีกเมืองหนึ่ง คือ เวียงกุมกาม ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอสารภีในปัจจุบัน เมืองนี้น้ำก็ท่วมอีก ไม่เหมาะจะให้เป็นเมืองหลวงถาวรได้ จึงได้พยายามแสวงหาทำเล ภูมิประเทศเพื่อสร้างเมืองใหม่ ในที่สุดทรงพบบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง ตอนเหนือของเวียงกุมกาม บริเวณเชิงภูเขาสุเทพ จึงได้เชิญพระสหายของพระองค์มาช่วยคิดการสร้างเมือง คือ พระยาร่วง (พ่อขุนรามคำแหง) แห่งเมืองสุโขทัย พระยางำเมืองแห่งเมืองพะเยา ดังปรากฏข้อความเรื่องนี้ในตำนาน ราชวงศ์พื้นเมืองเชียงใหม่ ความว่า สหายคำพระยางำเมือง พระยาร่วงทั้งสองนั้น กูจักเรียกร้องเสงปองโฟ่จา (ปรึกษา) แล้วจึงควรตั้งชะแล พระยามังรายก็ใช้อำมาตย์ผู้รู้ผู้หลวกไปเมืองพรุยาว (พะเยา) ที่อยู่พระยางำเมือง และเมืองสุกโขทัยที่พระยาล่วง (ร่วง) ก็เรียกร้องเอาพระยาทั้งสองอันเป็นมิตรรักกับด้วยพระยามังราย ก็ชักเชิญว่า จักตั้งบ้านใหญ่เมืองหลวง พระยา มังราย พระยางำเมือง พระยาร่วง ๓ คน ทั้งเสนาอามาตย์ไพร่บ้านไพเมือง สมณพรามณ์ ช่างไม้ ช่างต้อง (แกะสลัก) ช่างแต้ม ทั้งหลายพร้อมเพรียงเสงปองกัน จักเบิกบายชื่อโสรกยังเวียงว่า ชนพบุรีศรีนครเชียงใหม่ ก็โสรกมีสิ้นนี้8 เมื่อสร้างเสร็จใน พ.ศ. ๑๘๓๙ จึงให้ชื่อเมืองนี้ว่า นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ เป็น ศูนย์กลางการเมืองการปกครองและศูนย์กลางความเจริญของล้านนาตลอดมา เชียงใหม่สมัยราชวงศ์มังราย หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:43:21 เชียงใหม่ ๒
เมื่อพ่อขุนมังรายสร้างเมืองเชียงใหม่แล้ว ได้ทรงปกครองและประทับอยู่เมืองนี้ตลอด พระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์เป็นกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถ ทรงเป็นนักรบ นักปกครอง และอาจจะกล่าวว่าพระองค์เป็นนักพัฒนาก็ได้ ด้วยทรงเป็นผู้นำในการสร้างบ้านเมืองหลายเมือง ด้านการปกครองในสมัยนี้สันนิษฐานว่าพ่อขุนมังรายจะทรงปกครองเฉพาะเมืองเชียงใหม่เท่านั้น ส่วนเมืองอื่นเช่นเมืองเชียงราย เมืองหริภุญไชยนั้น คงแต่งตั้งให้ราชโอรสหรือข้าราชการขุนนางที่มีความสามารถไปปกครองแทน เช่น เมืองเชียงรายได้ให้ราชโอรสขุนครามไปปกครอง เมืองหริภุญไชยให้อ้ายฟ้าอามาตย์เอกไปครอง1 ส่วนด้านการตุลาการหรือการพิจารณาคดีนั้น สันนิษฐานว่าพ่อขุนมังรายจะทรงรวบรวมกฎหมายขึ้นใช้ปกครองที่เรียกว่า มังรายศาสตร์2 ซึ่งสันนิษฐานว่ามังรายศาสตร์นี้อาจจะได้รับ อิทธิพลมาจากกฎหมายธรรมศาสตร์ของมอญจากหริภุญไชยก็อาจเป็นได้ และกฎหมายนี้คงได้ใช้ ปกครองบ้านเมืองสืบมา3 ด้านการส่งเสริมอาชีพประชาชน พ่อขุนมังรายได้ส่งเสริมให้ประชาชนประกอบอาชีพหลายอาชีพ นอกเหนือจากการเกษตรกรรม ได้พบข้อความในตำนานต่างๆ กล่าวว่าพระองค์ได้นำช่างฝีมือประเภทต่างๆ เช่น ช่างทอง ช่างต้อง ช่างเหล็ก ช่างเงิน ฯลฯ มาจากเมืองพุกามเมื่อคราวเสด็จไปเมืองพุกาม ระบุว่า ดังเจ้าอังวะพุกามนั้นก็เสงปองโฟ่จากันแล คันแสงปองกันแล้ว ยังช่างหล่อ ช่างตี ช่างฆ้อง ผู้ทรงสราด (ฉลาด) ทั้งหลายมาก็เลือกเอาผู้อันช่างหล่อ ช่างตีทั้งหลาย ช่างตีฆ้อง ๒ หัว ทังลูกสิถ (ศิษย์) ลูกน้องทังมวล ๕๐๐ ทังเครื่องพร้อมแล้ว จักยื่นถวายท้าวล้านนา 4 ด้านความสัมพันธ์กับอาณาจักรเพื่อนบ้านนั้น เชียงใหม่มีความสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรสุโขทัย และอาณาจักรพะเยาตลอดจนอาณาจักรพุกาม ซึ่งความสัมพันธ์นี้จะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนและการรับเอาวัฒนธรรมระหว่างล้านนาไทยเชียงใหม่กับอาณาจักรใกล้เคียง เช่น ในเวลาต่อมาเชียงใหม่รับเอาพุทธศาสนานิกายหินยานจากสุโขทัย เป็นต้น พ่อขุนมังรายสิ้นพระชนม์ราว พ.ศ. ๑๘๕๔ เมื่อสิ้นสมัยพ่อขุนมังรายแล้ว เชียงใหม่ได้ปกครองโดยราชโอรสเชื้อสายราชวงศ์มังรายอีกหลายพระองค์ คือ พระยาคราม (พ.ศ. ๑๘๕๕ - ๑๘๕๕) พระยาแสนภู (พ.ศ. ๑๘๕๕ - ๑๘๘๗) พระยาน้ำท่วม (พ.ศ. ๑๘๖๕ - ๑๘๖๖) พระยาคำฟู (พ.ศ. ๑๘๖๖ - ๑๘๖๙) และ (พ.ศ. ๑๘๗๘-๑๘๗๙) และ พระยาผายู (พ.ศ. ๑๘๘๐ - ๑๘๙๙) ในช่วงระยะเวลาที่พระยาดังกล่าวปกครองบ้านเมืองนั้น บ้านเมืองอยู่ในระยะก่อร่างสร้างเมืองให้มั่นคงยิ่งขึ้น ในที่นี้จะขอกล่าวถึงพระราชกรณียกิจของกษัตริย์เชียงใหม่เฉพาะพระองค์ที่สำคัญเท่านั้น หลังจากสมัยพระยาผายูแล้วกษัตริย์องค์ต่อมาคือ พระยากือนา ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๘ - ๑๙๒๘ พระยากือนา ทรงเป็นราชโอรสของพระยาผายูเป็นกษัตริย์ลำดับที่ ๖ ของราชวงศ์มังราย ในรัชสมัยของพระองค์นั้น พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ได้เข้ามาแพร่หลายและประดิษฐานในล้านนาไทย กล่าวคือ ในราว พ.ศ. ๑๙๑๒ พระยากือนาได้อาราธนาพระสงฆ์จากอาณาจักรสุโขทัย สุมนเถระนำเอาพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เข้ามาเผยแพร่ประดิษฐานในล้านนาไทยและเจริญรุ่งเรืองสืบมาจนทุกวันนี้ ในสมัยโบราณก่อนที่รับลัทธิลังกาวงศ์เข้ามาเผยแพร่พุทธศาสนาในล้านนานั้น จากหลักฐานทางโบราณคดีตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่าง สันนิษฐานว่าล้านนาไทยจะนับถือพุทธศาสนามาก่อนแล้ว เป็นนิกายมหายาน เพราะได้มีการขุดพบเศียรพระพุทธรูปแบบทวารวดีที่หริภุญไชย และพบเจดีย์มนต์ตามคติมหายาน เพราะได้มีการขุดพบเศียรพระพุทธรูปแบบทวารวดีที่หริภุญไชย และพบเจดีย์มนต์ตามคติมหายานที่อำเภอเชียงแสนและล้านนาไทยมีประเพณีทำบุญปอยข้าวสัง อุทิศส่วนกุศลแก่ ผู้ตายซึ่งประเพณีนี้เหมือนพิธีกงเต๊กตามคติมหายาน เป็นต้น5 เมื่อพุทธศาสนาเข้ามาแพร่หลายในล้านนาแล้ว มีผลทำให้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างล้านนาไทยกับอาณาจักรสุโขทัย ทั้งทางศาสนา ศิลปกรรม ประเพณีและพุทธศาสนาได้เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของคนล้านนาไทยด้วย พระสงฆ์มีบทบาทและได้รับการยกย่องจากสังคมล้านนามาก เช่น ทางด้านการศึกษา พระสงฆ์มีฐานะเป็นครูของประชาชน ด้านการเมืองตั้งแต่สมัย พระยากือนาเป็นต้นไปพบหลักฐานว่าพระสงฆ์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินคดีต่างๆ 6 ร่วมกับขุนนางของบ้านเมือง นอกจากนี้พระสงฆ์ยังมีบทบาทในการว่ากล่าวตักเตือนกษัตริย์ล้านนาไทยผู้ประพฤติไม่ถูกต้องอีกด้วย และเป็นที่พึ่งของประชาชนในยามบ้านเมืองอยู่ในความยุ่งยาก เช่น สงคราม เป็นต้น นับว่าพระสงฆ์เริ่มมีบทบาทตั้งแต่สมัยพระเจ้ากือนาเป็นต้นไป เมื่อสิ้นสมัยพระยากือนาแล้ว กษัตริย์องค์ต่อมาคือ พระยาแสนเมืองมา (พ.ศ. ๑๙๒๙ - ๑๙๔๕) และต่อมาก็ถึงสมัย พระยาสามฝั่งแกน7 ในรัชกาลของพระองค์ พ.ศ. ๑๙๖๗ มีพระเถระชาวเชียงใหม่ ๒๕ องค์ พระชาวลพบุรี ๘ องค์ พระรามัญ ๑ องค์ ได้ไปศึกษาภาษาบาลีและพุทธศาสนาในลังกา เมื่อกลับมาได้นิมนต์พระพุทธศาสนา ๓ คณะ คือ ๑. คณะพื้นเมือง ๒. คณะรามัญ ๓. คณะสีหล (พ.ศ. ๑๙๔๕ - ๑๙๘๕) กษัตริย์ต่อมาเป็นกษัตริย์องค์สำคัญพระองค์หนึ่งของล้านนาไทย คือ พระยาติโลกราช ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๘๔ - ๒๐๓๐ พระยาติโลกราช หรือพิลกราช ทรงเป็นราชโอรสของพระยาสามฝั่งแกน เป็นกษัตริย์ลำดับที่ ๑๐ ของราชวงศ์มังราย ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถพระองค์หนึ่ง ทรงทะนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองทุกด้าน โดยเฉพาะทางด้านการเมืองและศาสนา ทางด้านการเมืองนั้นฐานะของเมืองเชียงใหม่มั่นคงมาก พระองค์ทรงขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางถึงเมืองแพร่ เมืองน่าน หัวเมืองไทยใหญ่ เช่น เมืองปั่น เมืองสี่ป้อ เมืองนาย เมืองลอกจอก เป็นต้น นอกจากนี้เชียงใหม่ยังได้ทำสงครามกับอาณาจักรอยุธยาในสมัยพระบรมไตรโลกนาถหลายครั้ง ในปี พ.ศ. ๑๙๙๔ เชียงใหม่กับอยุธยาทำสงครามชิงดินแดน เนื่องจากพระยายุทธิษเฐียร เจ้าเมืองสองแคว เอาใจออกห่างจากอยุธยามาสวามิภักดิ์ต่อเชียงใหม่ ได้นำทัพเชียงใหม่ไปตีหัวเมืองเหนือของอยุธยา อยุธยาจึงส่งกองทัพมาขับไล่ และ พ.ศ. ๒๐๐๓ พระยาเชลียง เจ้าเมืองสวรรคโลก เอาใจออกห่างจากอยุธยามาสวามิภักดิ์ต่อเชียงใหม่ นำกองทัพเชียงใหม่ไปตีหัวเมืองของอยุธยา จึงเกิดสงครามนี้ขึ้นปรากฏว่าเชียงใหม่ไม่สามารถตีเมืองได้ พอดีเกิดศึกฮ่อ เชียงใหม่จึงยกทัพกลับ พ.ศ. ๒๐๑๘ พระยาติโลกราชจึงทรงติดต่อขอทำไมตรีต่ออยุธยาเป็นการยุติสงคราม อยุธยาเองก็บอบช้ำจากการทำสงครามกับล้านนาไทย ประกอบกับอยุธยาสามารถตีหัวเมืองเหนือคือสุโขทัยจากล้านนาไทยได้ใน พ.ศ. ๒๐๐๕ เมื่อได้ดินแดนทั้งหมดกลับคืนจึงไม่มีเหตุทำสงครามกันอีกต่อไป สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงทรงยอมรับไมตรีจากล้านนาไทย ในตอนปลายสมัยพระยาติโลกราช8 อย่างไรก็ตามสงครามนี้ยังผลให้ล้านนาไทยอ่อนกำลังและเสียรี้พลเป็นจำนวนมาก ทำให้บ้านเมืองอ่อนแอลง จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เสียเอกราชแก่พม่าในที่สุด ในสมัยพระยาติโลกราช พุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด พระองค์ทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนามาก ทรงสร้างวัดขึ้นหลายวัด เช่น วัดโพธาราม (วัดเจ็ดยอด) ซึ่งต่อมาพระองค์ได้โปรดให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นที่วัดนี้ ประมาณ พ.ศ. ๒๐๒๐ นับเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกโลก ครั้งที่ ๘ นอกจากนี้ยังได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาจากวัดพระธาตุลำปางหลวง มาประดิษฐานไว้ที่วัดเจดีย์หลวงด้วย อาจกล่าวได้ว่า ในสมัยพระยาติโลกราชนี้ล้านนาไทยมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดสมัยหนึ่ง หลังจากสมัยพระยามังรายแล้ว บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์เป็นปึกแผ่นมั่นคงมาก อาจเรียกว่าเป็นยุคทองล้านนาไทยก็ได้ เมื่อสิ้นสมัยพระยาติโลกราชแล้ว กษัตริย์พระองค์ต่อมาคือ พระยายอดเชียงราย (พ.ศ. ๒๐๓๑ - พ.ศ. ๒๐๔๐) และหลังจากนี้ก็เป็นสมัยของพระยาเมืองแก้ว ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๘ - ๒๐๖๘ ในสมัยนี้เป็นสมัยที่สำคัญอีกสมัยหนึ่ง พระยาเมืองแก้วเป็นราชโอรสของพระยอดเชียงรายในสมัยนี้เป็นสมัยที่วรรณคดีของล้านนาไทยมีความเจริญรุ่งเรืองมาก พระสงฆ์มีความรู้แตกฉานเชี่ยวชาญในภาษาบาลีมาก ซึ่งเป็นภาษาในพระไตรปิฎกฝ่ายหินยาน พระสงฆ์ในสมัยนี้ได้แต่งคัมภีร์ไว้มากมาย มีความไพเราะมาก เช่น ชินกาลมาลีปกรณ์หรือชินกาลมาลินี แต่งโดยพระรัตนปัญญาเถระ คัมภีร์ มังคลัตถทีปนี และเวสันตรปนี แต่งโดยพระศิริมังคลาจารย์ จามเทวีวงศ์ แต่งโดยพระโพธิรังสี เป็นต้น (คัมภีร์มังคลัตถทีปนี ปัจจุบันใช้เป็นหลักสูตรสอบปริยัติธรรมประโยค ๔, ๖, ๗) หลังจากสมัยพระเมืองแก้วแล้ว พระสงฆ์ล้านนาก็ได้แต่งคัมภีร์ที่มีชื่อเสียงไว้อีกหลายเล่ม เช่น สารัถทีปนี แต่งโดยพระญาณวิลาสเถระ รัตนพิมพวงศ์ แต่งโดยพระพรมปัญญาชาวลำปาง และสิหิงคนิทาน ฯลฯ9 อาจจะกล่าวได้ว่าสมัยนี้เป็นยุคทองของวรรณกรรม สิ้นสมัยพระเมืองแก้วแล้ว ข้าราชการประชาชนได้แต่งตั้งพระยาเกษเกล้า อนุชาของพระยาเมืองแก้วขึ้นเป็นกษัตริย์สืบมา ด้วยพระเมืองแก้วไม่มีราชโอรส พระยาเกษเกล้าหรือพระเมืองเกษเกล้าครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๐๖๙ - ๒๐๘๑ สมัยนี้บ้านเมืองตกอยู่สมัยเสื่อม ซึ่งเริ่มอ่อนแอลงตั้งแต่สิ้นสมัยพระยาติโลกราชแล้ว ได้เกิดการจลาจลแย่งชิงราชสมบัติในสมัยพระเมืองเกษเกล้า อำนาจการ ปกครองตกอยู่ในมือของข้าราชการขุนนาง ข้าราชการมีอำนาจมากถึงกับสามารถถอดถอนและแต่งตั้งกษัตริย์ได้ ข้าราชการขุนนางได้พร้อมใจกันปลดพระเมืองเกษเกล้าออกจากตำแหน่งกษัตริย์เชียงใหม่แล้วเนรเทศพระองค์ไปอยู่เมืองน้อย และได้อัญเชิญท้าวซายคำ ราชโอรสของพระเมืองเกษเกล้าขึ้นเป็นกษัตริย์เชียงใหม่แทน ต่อมาข้าราชการเห็นว่าท้าวซายคำปกครองบ้านเมืองไม่ชอบด้วยราชธรรม ปกครองไม่เป็นธรรม ข้าราชการจึงได้ร่วมมือกันปลงพระชนม์ท้าวคำซายเสีย แล้วกลับไปอัญเชิญ พระเมืองเกษเกล้าจากเมืองน้อยกลับมาครองราชย์อีกครั้งหนึ่ง และต่อมาไม่นานพระเมืองเกษเกล้า ถูกลอบปลงพระชนม์อีก ในระยะนี้ขุนนางเชียงใหม่ได้อัญเชิญพระนางจิรประภาเทวีขึ้นปกครองอยู่ ระยะหนึ่ง หลังจากนั้น ข้าราชการขุนนางได้พร้อมใจกันเชิญพระไชยเชษฐาธิราชแห่งเมืองล้านช้าง ซึ่งเป็นราชโอรสของพระนางยอดคำทิพ พระราชธิดาของพระเมืองเกษเกล้ากับพระเจ้าโพธิสารให้มา ปกครองเชียงใหม่ พระไชยเชษฐาปกครองระหว่าง พ.ศ. ๒๐๘๙ - ๒๐๙๐ ปกครองเชียงใหม่ได้ประมาณสองปี พระเจ้าโพธิสารราชบิดาสิ้นพระชนม์ พระองค์จึงได้เสด็จกลับไปปกครองเมืองล้านช้าง เมืองเชียงใหม่จึงว่างกษัตริย์ลงอีกครั้งหนึ่ง ต่อมา ข้าราชการขุนนางจึงพิจารณาเห็นพ้องกันว่าให้อัญเชิญพระเมกุฏิ (เจ้าฟ้าแม่กุ) แห่งเมืองนาย ซึ่งพระเมกุฏิทรงเป็นเชื้อสายของขุนเครือราชบุตรพ่อขุนมังรายมาปกครองเชียงใหม่ พระ เมกุฏิปกครองระหว่าง ๒๐๙๔ - ๒๑๐๑ นับเป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์มังรายที่ปกครองเชียงใหม่ก่อนที่จะตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า จากหลักฐานตำนานเชียงใหม่ฉบับวัดหมื่นล้านกล่าวว่า บ้านเมืองในสมัยพระเมกุฏินั้นอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง ประชาชนได้รับความเดือดร้อนนานับประการจากการกระทำของขุนนางพม่า10 ที่พระเมกุฏิมอบอำนาจให้ปกครองบ้านเมือง ได้มีการสั่งเกณฑ์แรงงานจากประชาชนอย่างหนัก เรียกเก็บภาษีมาก ทำให้ประชาชนไม่พอใจและเดือดร้อนมาก ดังปรากฏข้อความว่า ในขณะนั้นบ้านเมืองทั้งมวลก็คว่ำเขือก เป็นทุกข์ด้วยกาน (การ) บ้านกานเมืองมากนัก ผัวไปทางหนึ่งเมียไปทางหนึ่ง ต่อเก็บส่วยไรก็พ้นประหมาน (มาก) ชุอันเป็นหย่อมหญ้าข้าเมืองนั้นแล เขานั่งไหนไห้ (ร้องไห้) หั้น ด้วยมหาราชเจ้ามีอาชญา หื้อคนพาลาเก็บส่วนไร้ร่ำล้นพ้นประมาณ ไพร่ฟ้าข้าเมืองหาสังจักออกจักเสียก็บ่ได้ เขาก็นั่งไหนไห้หั้น ขณะนั้นบ้านเมืองทังมวลเกิดโกลาหนชุบ้านชุที่ ทุกขภัยอยากน้ำกั้นข้าวมากนัก บ้านเหนือรบบ้านใต้ บ้านใต้รบบ้านเหนือ ครุบชิงกัน (แย่งชิงกัน) เอาข้าวของหั้นแล บ้านเมืองทังมวล ก็ตระหมอดหอดหิว (อดอยาก) แห้งแล้งมากนัก น้ำฟ้าน้ำฝนก็บ่ตกมาได้แล 11 สำหรับความเสื่อมของเมืองเชียงใหม่ ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณซึ่งได้เขียนไว้ในตำนานเชียงใหม่ ฉบับวัดหมื่นล้าน (พิมพ์โดยภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๒๕๑๙ ปัจจุบันเท่าที่พบเป็นตำนานเรื่องเดียวที่กล่าวถึงความเสื่อมของเชียงใหม่) กล่าวว่าเมื่อบ้านเมืองกำลังระส่ำระสายนั้น ประชาชนและขุนนางได้อาราธนาสมเด็จสามีสังฆราชมหาเถระไปกราบทูลพระเมกุฏิทรงทราบว่า บ้านเมืองจะพินาศฉิบหายด้วยพระองค์ได้ละทิ้งจารีตประเพณีดั้งเดิมของบ้านเมือง และการกระทำบางอย่างเป็นเหตุให้บ้านเมืองเสื่อมหรือฉิบหาย ซึ่งภาษาล้านนาไทยเรียกว่า ต้องขึด สมเด็จสามีสังฆราชมหาเถระ กราบทูลขอให้พระเมกุฏิทรงปฏิบัติตามจารีตประเพณีของล้านนาไทย ทั้งนี้เพราะพระเมกุฏิและขุนนางจากเมืองนายมีวัฒนธรรมประเพณีบางอย่างแตกต่างจากล้านนาไทย การกระทำบางอย่างคนเมืองเหนือถือว่าไม่เสียหายแต่คนล้านนาไทยถือว่าจะเป็นเหตุให้บ้านเมืองเสื่อมหรือ ต้องขึด จากตำนานเชียงใหม่พอสรุปว่าบ้านเมืองเชียงใหม่เสื่อมเพราะการกระทำของพระเมกุฏิและขุนนางของพระองค์ได้ดังนี้ ประการแรก พระเมกุฏิอนุญาตให้สร้างกำแพงใหม่ล้อมกำแพงเก่าในลักษณะราหูอมจันทร์ ประการที่สอง พระเมกุฏิไม่ควบคุมดูแลขุนนางพม่า (ที่มาจากเมืองนาย) อนุญาตให้ประชาชนนำศพผ่านออกประตูช้างเผือก อ้อมไปทางแจ่งหัวริน ผ่านประตูสวนดอกและแจ่งกู่เฮืองแล้วจึงเผา เชื่อว่าเป็นการย่ำอายุเมืองเชียงใหม่ ประการที่สาม ขุนนางอนุญาตให้ประชาชนนำโลงศพที่เผาศพแล้วเหลือโลงไว้นำโลงกลับเข้ามาในเมือง ซึ่งผิดจารีตประเพณีเดิม ประการที่สี่ ขุนนางอนุญาตให้ประชาชนบางคนเผาศพภายในกำแพงเมือง ริมฝั่งแม่น้ำ บริเวณเกาะ และในวัด ซึ่งไม่ทำกันมาก่อน ประการที่ห้า อนุญาตให้ประชาชนกวนน้ำและระบายน้ำในหนองบัว ๗ กอให้แห้ง (ปัจจุบันสันนิษฐานว่าคือบริเวณที่ลุ่มตรงข้ามคูเมืองบริเวณแจ่งศรีภูมิ) ซึ่งเป็นหนองน้ำสำคัญของเมือง ประการที่หก ลำน้ำห้วยแก้วมีประชาชนไปกั้นทางน้ำให้ไหลเข้าเมืองโดยสะดวก ประการที่เจ็ด เกณฑ์ประชาชนตัดไม้ชักลากมาในฤดูฝนล่องตามแม่น้ำและเหมืองฝาย ทำให้ทำนาได้ไม่สะดวก ประชาชนได้รับความลำบากมาก ประการที่แปด พระเมกุฏิห้ามประชาชนบูชาบวงสรวงเทพยดาอารักษ์ เสาอินทขีล และผีบ้านผีเมือง ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญของคนล้านนาไทย การกระทำดังกล่าวของพระเมกุฏิและขุนนางของพระองค์ คนล้านนาไทยเชื่อว่าทำให้บ้านเมืองเสื่อม เทพยดาอารักษ์ไม่ปกปักษ์รักษาบ้านเมือง เมื่อพม่ายกกองทัพมาโจมตี จึงเสียเมืองแก่พม่า (พระเจ้าบุเรงนอง) โดยง่าย ดังนั้น จะเห็นว่าเมืองเชียงใหม่สมัยพระเมกุฏิปกครองนั้น บ้านเมืองอ่อนแอ ประชาชน ข้าราชการ ขุนนาง แตกความสามัคคี จนยากจะแก้ไขให้เข้มแข็งดังเดิมได้ จึงเสียเอกราชแก่พระเจ้า บุเรงนองในปี พ.ศ. ๒๑๐๑ ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านานนับสองร้อยปีเศษ จึงสามารถขับไล่พม่าออกไปในสมัยราชวงศ์กาวิละ เชียงใหม่เมืองประเทศราชของพม่า เมื่อบุเรงนองยึดเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว ในระยะแรกนี้พม่ามิได้เข้ามาปกครองโดยตรง แต่ได้แต่งตั้งให้พระเมกุฏิเจ้าเมืองเชียงใหม่ปกครองบ้านเมืองตามเดิม ในฐานะเมืองประเทศราชของพม่าซึ่งเชียงใหม่จะต้องส่งเครื่องบรรณาการ ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง จะต้องเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินปีละ ๑ ครั้ง เป็นอย่างน้อย จะต้องส่งส่วยเป็นสิ่งของตามที่พม่าต้องการ เช่น ช้าง ม้า น้ำรัก เครื่องแพรพรรณต่างๆ และจะต้องจัดหากำลังคน เสบียงอาหารช่วยพม่าในยามเกิดศึกสงคราม12 ต่อมาพม่าได้ปลดพระเมกุฏิออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองเชียงใหม่ใน พ.ศ. ๒๑๐๗ โดยพม่าอ้างว่าพระเมกุฏิคิดการเป็นกบฎ พม่าได้แต่งตั้งสตรีเชื้อสายราชวงศ์มังรายเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่คือ นางพระยาราชเทวี หรือพระนางวิสุทธิ-เทวี ซึ่งนับเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่เชื้อสายราชวงศ์มังรายองค์สุดท้ายที่ปกครองบ้านเมืองฐานะประเทศราชของพม่า เมื่อนางพระยาราชเทวีสิ้นพระชนม์ พม่าก็ได้แต่งตั้งให้เจ้านายและข้าราชการของพม่ามา ปกครองเมืองเชียงใหม่โดยตรง กษัตริย์เชียงใหม่สมัยที่พม่าปกครองรวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๓ พระองค์ การปกครองของพม่าในล้านนาไทย พม่าพยายามปกครองหัวเมืองล้านนาไทยอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการกบฏ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นผู้ปกครองบ้านเมือง พม่าจะควบคุมเป็นพิเศษ พม่าได้ควบคุมนโยบายสำคัญๆ ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ โดยได้ควบคุมการแต่งตั้งโยกย้ายถอดถอนเจ้าเมืองล้านนาไทย ตลอดจนการปูนบำเหน็จและการลงโทษด้วย ควบคุมการเกณฑ์กำลังคนเพื่อใช้ในยามสงคราม และพม่าได้นำตัวราชบุตรหรืออนุชาเจ้าเมืองประเทศราชไปไว้เป็นตัวประกันที่เมืองพม่าด้วย สำหรับการปกครองภายในบ้านเมืองนั้น กิจการใดที่ไม่ขัดกับผลประโยชน์ของพม่า สันนิษฐานว่าพม่าคงอนุโลมให้เจ้าเมืองในล้านนาไทยมีอิสระ ปกครองกันเองภายใต้อำนาจของพม่า สำหรับเมืองเชียงใหม่นั้นในฐานะที่เป็นเมืองสำคัญ พม่าได้แต่งตั้งขุนนางและกษัตริย์พม่าเข้ามาทำการปกครองโดยตรง นับตั้งแต่สิ้นสมัยนางพระยาราชเทวีเป็นต้นมา ได้พบหลักฐานข้อความในเอกสารคัมภีร์โบราณ ได้เขียนเกี่ยวกับกฎหมายที่พม่าใช้ปกครองในเมืองเชียงใหม่ แสดงให้เห็นว่าพม่า ดำเนินการปกครองตามจารีตประเพณีที่เคยปกครองมาแต่ก่อน เพื่อป้องกันมิให้ประชาชนเชียงใหม่เกลี่ยดชังผู้ปกครองพม่าซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการต่อต้านพม่าก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามพม่าก็ได้ควบคุมและจัดการเกี่ยวกับบางเรื่องอย่างเข้มงวดกวดขัน ซึ่งได้ปรากฏข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้ในคัมภีร์ราชวงศาพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับวัดเชียงมั่น พอสรุปได้ดังนี้ พม่ากับไพร่เมือง13เชียงใหม่ ได้พบว่าพม่ามีคำสั่งให้ข้าราชการขุนนางพม่าเลี้ยงดู รักษาไพร่ไทอย่าให้ไพร่ไทเดือดร้อนทุกข์ยาก ให้ไพร่มีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ และให้ไพร่ยินดีที่จะทำงานให้ทางบ้านเมือง ดังปรากฏข้อความว่า สักราชได้ ๙๓๑ ตัว (พ.ศ. ๒๑๑๒) เดือน ๑๑ ออก ๑๐ ค่ำ วัน ๗ รักชื่อโกชนะ ๑๖ ลูก กินเมืองพิง จาเรนั้นก็หื้อมังแรส่วย ต้องเข้าภิทูรไหว้สาเจ้าตนบุญใหญ่ ธัมมราชาหลวงเมืองเชียงใหม่แต่เช่นเกล่า (เก่า) ราชาทั้งหลายมีรีดเกล่ารอยหลังมา อันได้แต่งกินเมืองเชียงใหม่ เก็บหอมไพร่ไทอวบฟักรักสา บ่หื้อรีดมล้าง เยืองสันใด (ฉันใด) ไพร่ไทไพร่บ้านไทเมืองบ่ร้อนบ่ไหม้บ่ทุกข์ยาก ก็หื้อเสมอกับด้วยกัน หื้อมีสมันตหื้อสุขหนุกชุ่มเย็น ดั่งข้าใหญ่ไพร่ไทกูทั้งหลาย เช่น กูนี้ก็มีใจชื่นชมยินดีเวียกส้าง (ทำงาน) ซื้อขายกินไปใกล้ไปไกลนั่งนอนก็เสมอดั่งพร้อมกันพร้อมเพรียง เกี่ยวกับการบุกเบิกที่นาของไพร่หรือประชาชน พม่าให้อนุโลมตามกฎหมายมังรายศาสตร์ว่าเรือกสวนไร่นาใดกลายเป็นนาร้างนาน ๑๐ ปี ต่อมาไพร่ไทได้แผ้วถางบุกเบิกให้เป็นไร่นา ให้ไพร่ ทำนาโดยไม่เก็บค่านา ๓ ปี ถ้าเกิน ๓ ปีไปแล้ว ให้ขุนกินเมืองเก็บภาษีตามประเพณีโบราณ ดัง ข้อความว่า ประการ ๑ ดั่งข้าเจ้าคนในทั้งหลาย ไร่นาเรือกสวนห้วยร้องปลาบวกหนองทั้งหลายนั้น เปล่าห่าง ๑๐ ปี ไพร่ไทข้าเจ้า (ข้า หมายถึงทาส) เอาการทั้งหลาย แผ้วถางถากฟันเยียะไร่ แปลงนานั้น บ่ล้ำสามปี อย่าได้เอาของฝาก (ภาษีหรือค่าเช่า) คันล้ำสามปีไปหากเยียะสร้างก็ดี ขุนกินเมืองกินแคว้น แก่หัวทั้งหลาย หื้อได้หยั่งแยงหยุดผ่อน อย่าเอาเต็มอาเจียรบูราณ (โบราณ)1 กรณีที่ไพร่ไปรบในสงครามได้กู้เงินในระหว่างทำสงคราม เมื่อกลับมาถึงบ้านเมืองแล้ว ให้ผู้กู้ใช้คืนสองเท่า ถ้าลูกหรือสามีไปกู้เงินในระหว่างไปรบ มีผู้รู้เห็นหลายคนว่ากู้ไปจริง (สันนิษฐานว่ากรณีนี้ผู้กู้อาจจะตายในสงคราม ผู้เขียน) ให้ลูกเมียใช้หนี้แทนถ้าไม่มีเงินใช้เพราะยากจน ให้เจ้านายของไพร่ (อมวยขระกูล)2ใช้แทน ถ้าเจ้านายไม่ใช้แทน ให้ข้าราชการขุนนางพม่าประชุมปรึกษากันแล้วใช้เงินแทนไพร่3เพื่อให้ไพร่ไปรบข้าศึก นับเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของพม่าที่ให้แก่ไพร่ผู้อุทิศเวลาและชีวิตไปรบในสงคราม นอกจากนี้ พม่ายังได้ออกกฎหมายไพร่เกี่ยวกับความสะดวกสบายของลูกหลานไพร่ที่ไปรบว่า ถ้าลูกหรือสามีของไพร่ผู้ใดไปช่วยรบในสงครามต่างบ้านต่างเมือง ขุนกินเมืองหรือผู้ปกครองไพร่ผู้นั้นจะเรียกลูกหรือภรรยาของผู้ศึกษาไปใช้งานมิได้4 ข้อนี้นับเป็นการให้สิทธิพิเศษแก่ลูกและภรรยาของผู้ไปรบสงครามประการหนึ่งเช่นกัน เกี่ยวกับการควบคุมไพร่เมืองหรือประชาชนนั้น ได้พบข้อความที่แสดงให้เห็นว่าพม่าได้พยายามควบคุมไพร่เมือง เพราะไพร่เป็นกำลังสำคัญของบ้านเมืองทั้งยามสงบและยามสงคราม พม่าอนุญาตให้ไพร่เมืองย้ายถิ่นฐานได้ แต่ห้ามมิให้ไพร่เมืองหลบหนีไปอยู่ป่า หรือหลบออกจากเมืองไปอยู่ในที่ๆ พม่าควบคุมไม่ถึง ถ้าพบว่าคนใดหลบหนีไปอยู่ป่าให้จดชื่อของคนผู้นั้นแล้วนำไปแจ้งให้เจ้านายทราบ เพื่อจะได้สั่งดำเนินการกับไพร่ผู้นั้นต่อไป ดังปรากฏข้อความว่า หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:43:47 เชียงใหม่ ๓
ประการ ๑ ดั่งเมืองอันได้แต่งเก็บหอมนั้น แต่บ้าน ๑ ก็ย้ายออกไปอยู่บ้าน ๑ แก่หัวสิบซาว (นายสิบนายซาว) 1ทั้งหลายเรียกร้องเอานั้น ดังแก่บ้านพ่อเมืองนั้น อย่าเกิ้งอย่าเกิ๊ด (อย่าขัดขวาง) อย่าห้ามทาประมาณ ๑ ออกแต่บ้านนั้น ไปลี้ลับซงอยู่นั้น (ไปซ่อนอยู่) หื้อได้เหมียดหมายซื่อแล้ว หื้อได้เข้าไหว้สาที่สนามคา2 3 อนึ่ง พม่าได้กำหนดให้ไพร่ทำงานให้กับทางราชการบ้านเมืองตามประเพณีแต่โบราณมา ซึ่งในสมัยราชวงศ์มังรายไพร่ทุกคนมีหน้าที่มาทำงานให้บ้านเมืองตามที่กำหนด เรียกว่า ไพร่เอาการเมือง พม่าได้ควบคุมมิให้ไพร่หนีงาน ถ้าราชการมีงานให้ไพร่ทำ แล้วไพร่ทำอุบายหลบหนีงานให้ ควบคุมไว้ หากเมื่อทำงานเสร็จแล้วขุนนางพม่าอนุญาตให้กลับบ้าน ไพร่ต้องไปอยู่ที่เดิมหรือสังกัดเดิม แต่ทำอุบายจะหลบหนีอีกให้ลงโทษจำคุก (ปันราชวัตร) ไพร่ผู้นั้น4 ถ้ากรณีบ้านเมืองมีงานให้ไพร่ทำ พ่อแม่ของไพร่ผู้นั้นทราบแล้วว่าจะต้องให้ลูกของตนไปทำงานนั้น แต่พ่อแม่ละเลยหลีกเลี่ยงโดยได้ส่งลูกของตนไปอยู่ที่อื่น หรือให้ลูกของตนไปหลบอยู่ตามป่าเขา ถือว่าหลีกเลี่ยงงานราชการ ให้จับกุมพ่อแม่แล้วให้ลงโทษประหารชีวิต ซึ่งถือว่าเป็นโทษสถานหนัก แสดงว่าพม่าควบคุมแรงงานไพร่อย่างเข้มงวดกวดขันมาก ในทางตรงกันข้ามก็สันนิษฐานได้ว่า พม่า ลงโทษอย่างรุนแรงนี้ก็อาจจะเป็นเพราะมีไพร่เมืองพยายามหลบหนีงานราชการมากก็เป็นได้ จึงลงโทษสถานหนักเพื่อให้คนเกรงกลัวต่อโทษที่จะได้รับนั้น ซึ่งข้อนี้อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาชนเชียงใหม่ไม่พอใจการปกครองของพม่าแล้วหาทางเป็นกบฏจากพม่าตลอดเวลา เกี่ยวกับเรื่องนี้มีความระบุว่า ประการ ๑ ดั่งกิจการราชการเจ้าเกิดมีก็หากรู้จักว่า จักได้ลูกเอาราชการก็เอาลูกเต้าไปส่งเสียที่ไกลแล้ว ก็ซุกซ่อนหว่างห้วยพูดอยป่าเถื่อนบุบุ่นไปซุกซ่อนตั๋วอยู่ยังหว่างห้วยพูดอยพูเขา (ภูเขา) เป็นผู้หลีกเว้นยังการเจ้าดั่งเขาทั้งหลายนั้น ก็หื้อไล่กุมกำยับเอาทั้งแม่หญิงพ่อชายหื้อเสี้ยงแล้ว หัวเขาตกดินนับเสี้ยง (ฆ่าเสีย)5 เกี่ยวกับเรื่องของข้าทาสนั้น พม่ากำหนดว่าผู้ใดทุบตีทาส (ข้า) ของผู้อื่นตายให้แจ้งความให้ขุนนางพม่าทราบ อย่าได้ปิดบังไว้ แสดงว่าพม่าควบคุมทาสในเชียงใหม่ด้วย6 ขบวนการยุติธรรมในบ้านเมือง กรณีมีคดีพิพาทเกิดขึ้นในบ้านเมืองให้ผู้ปกครองหรือ เจ้าขุนเป็นผู้ตัดสินคดี ถ้าเป็นคดีสำคัญหรือคดีใหญ่ให้มีการประชุมเจ้าเมือง (ขุนกินเมือง) เลขานุการ (จาเรแคว้น) หัวหน้าแคว้นและล่าม ให้ประชุมพร้อมกันที่กว้าน (ศาล) แล้วจึงให้พิจารณาตัดสินตามธรรมศาสตร์ (รีดคลองธัมมสาด) ราชศาสตร์ อย่าได้ตัดสินโดยเห็นแก่สินบนหรือตัดสินโดยลำเอียง7 นับว่าพม่าได้ให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนในปกครองของพม่าพอสมควร เกี่ยวกับการควบคุมข้าราชการของพม่านั้น ได้พบข้อความที่แสดงว่าพม่าปกครองเชียงใหม่อย่างมีระเบียบแบบแผน ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของขุนนางพม่าที่ทำหน้าที่ผู้ปกครอง บ้านเมืองอย่างรัดกุม เพื่อให้การปกครองเป็นไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและตามที่พม่าต้องการ และเป็นการป้องกันมิให้ข้าราชการพม่าใช้อำนาจข่มเหงประชาชน ดังพอจะสรุปถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับ ข้าราชการพม่าได้ดังนี้ ห้ามข้าราชการพม่า ปรับไหมหรือลงโทษประชาชน โดยที่กฎหมายมิได้กำหนดว่าเป็นความผิด ถ้าจะมีการพิจารณาตัดสินคดีห้ามตัดสินคดีตามใจชอบ ให้พิจารณาโดยละเอียด รอบคอบก่อนแล้วจึงตัดสิน8 ลูกหลานของขุนนางพม่าในเชียงใหม่ หากไปเที่ยวตามหมู่บ้านต่างๆ ห้ามใช้อำนาจไปบังคับประชาชนให้นำอาหาร หมู เป็ด ไก่ หมาก เมี่ยง พลู ของขบเคี้ยวต่างๆ จากชาวบ้าน ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน9 สำหรับทหารพม่าที่มาจากหงสาวดีและอังวะ เข้าตั้งเมืองเชียงใหม่แล้วให้ปลูกโรงช้างโรงม้าบ้านเรือนขึ้นใหม่ อย่าได้ข่มเหงขุนนาง (ขุนกินบ้านกินเมือง) เชียงใหม่ทั้งหลายให้เดือดร้อน เขาแบ่งปันให้เท่าใดให้รับเอาเพียงเท่านั้น อย่าได้แก่งแย่งครุบชิงเอาของเขา10 ส่วนประชาชนพม่าในเมืองเชียงใหม่นั้น ห้ามแอบอ้างเอากฎหมายหรือหนังสือทางบ้านเมืองไปข่มเหงเบียดเบียน ปรับไหมประชาชน ถ้าผู้ใดได้กระทำเช่นนี้ ให้ขุนนางทั้งหลายจับกุมผู้ทำผิดและครอบครัวที่คนพม่าผู้นั้นไปละเมิดปรับไหมข่มเหงเขา ให้นำมามอบให้ขุนนางผู้ใหญ่พิจารณา ลงโทษ11 ด้านภาษีอากร พม่าได้พยายามควบคุมทรัพยากรต่างๆ ให้นำมาใส่พระคลังไว้ มิให้ ข้าราชการซ่อนหรืออำหรือใช้สอยของของทางราชการ ดังความว่า วัตถุกับน้ำ คันไร่นา เรือกสวนบ้านป่าคนทั้งหลายฝูงนั้น ดั่งขุมกินบ้านกินเมืองทั้งหลาย อย่าซ่อนอย่าอำไว้ อย่าได้ใช้สอย ก็หอบขมาเข้าที่ราชสมบัติ 12 สำหรับของที่เป็นของทางราชการบ้านเมืองมาก่อน (สมัยราชวงศ์มังราย) อย่าได้ เปลี่ยนแปลงล้มล้างเสีย เดิมเคยเก็บเข้าคลังอย่างใดก็ให้ปฏิบัติตามเดิมเช่นนั้น ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้สมบัติของบ้านเมืองในสมัยพม่าปกครองลดจำนวนลง13 กรณีที่ประชาชนหรือเจ้าขุนนำส่วยมาให้เป็นส่วยเดือนหรือส่วยปี เป็นน้ำมันดิน หรือ สิ่งของอื่นๆ ข้าราชการขุนนางพม่าอย่าได้เก็บไว้เป็นของตน ดังปรากฏข้อความว่า คันข้าเจ้าคนในทั้งหลาย อันส่วยเขาด้วยเขาปลี (ปี) เขาเดือน เชาเดือน เชาน้ำมันดิน กาง (กลาง) ท่า หอบสิ่ง ดั่งข้าเจ้าคนในทั้งหลายฝูงนี้อย่าได้เก็บเอา14 ส่วนฉางหลวงหรือพระคลังหลวงนั้น ให้ได้นำข้าว พืชพันธ์ (เครื่องปลูก) อาหารต่างๆ มาเก็บรักษาไว้ตามประเพณีที่เคยมา เพื่อฉางหลวงคลังหลวงจะได้มีข้าวของเงินทองไว้ใช้สอยในกิจการบ้านเมืองหรือคราวจำเป็น เช่น ยามสงคราม ดังปรากฏข้อความว่า ประการ ๑ ดังสาง (ฉาง) หลวงเหล้ม (เล่ม หลวง อันได้หล่อได้ปันตาม เช่นเกล่า ตามเช่นเกล่า (เก่า) รอยหลัง ก็หื้อได้จัดถามแล้ว หื้อได้เปล่าเติน (ประกาศเตือน) สร้างแปลง ข้าว ยา ยาเคี้ยว เครื่องปลูกทั้งหลาย หื้อได้ใส่ได้หล่อ ตามเช้นเกล่าบูราณ 15 ในกรณีที่ทางราชการบ้านเมืองมีความจำเป็นรีบด่วนในการจะเรียกเกณฑ์เงินทอง ข้าวเปลือก ข้าวสาร เช่น ในภาวะสงคราม ทางราชการจะเรียกเก็บจากประชาชนก็ไม่ทันการณ์ ให้ข้าราชการเจ้าเมืองทั้งหลายจ่ายทดแทนไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บจากไพร่และอย่าได้เก็บค่าดอกเบี้ยหรือค่าตอบแทนที่จ่ายทดแทนครั้งนั้น ให้เรียกเก็บเท่าที่จ่ายทดแทนไป ดังปรากฏข้อความว่า ประการ ๑ ขุนกินบ้านกินเมืองแก่หัวจาเรทั้งหลาย ดั่งกิจจราชการหากเกิดมีมานั้นและดั่งเงินทองข้าวเปือก (เปลือก) ข้าวสาน (สาร) นั้น หากบ่ทันเก็บเป็นการอันรีบนั้น หื้อแก่ หัวขุนกินบ้านกินเมืองทั้งหลายได้ออกปันก่อน คันออกแล้วเบี้ยเงินข้าวเปือกข้าวสานนั้นดั่งขุนกินบ้านกินเมืองทั้งหลาย ดั่งคนเวียกคนการทั้งหลาย ลูกบ้านลูกเมืองทั้งหลาย ก็อย่าได้ขึ้นดอกออกปลายเอามาเสียกว่า (มากกว่า) อันออกนั้น 16 จากข้อความในกฎหมายพม่า17 เกี่ยวกับเรื่องไพร่เมือง การควบคุมไพร่เมืองและข้าราชการพม่าด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนพ่อค้าประชาชนพม่าในเชียงใหม่ และเรื่องความยุติธรรมดังกล่าวข้างต้น อาจจะกล่าวได้ว่า พม่าได้พยายามปกครองเมืองเชียงใหม่อย่างรัดกุมและมีระเบียบ เพื่อให้การปกครองเป็นไปอย่างถูกต้องและเรียบร้อย ตลอดจนได้พยายามปกครองโดยอนุโลมตามประเพณีดั้งเดิมที่เคยปฏิบัติมา เช่น เรื่องเกี่ยวกับการบุกเบิกไร่นาของพม่า เป็นต้น การที่พม่าอนุโลมให้ใช้กฎหมายมังรายศาสตร์และได้แก้ไขเพิ่มเติมบางตอนนั้น ด้วยได้พบข้อความในกฎหมายมังรายศาสตร์ว่า ตามคลองยายีม่าน ว่าด้วยลักษณะมักเมียท่าน อันนี้อยู่นอกคลองมังรายศาสตร์แล 18 หมายว่าตามกฎหมายพม่าว่าด้วยการไปชอบเมียผู้อื่นให้ลงโทษหนัก ซึ่งข้อนี้ไม่ใช่กฎหมายมังรายศาสตร์ ที่พม่าอนุโลมเช่นนี้อาจเป็นเพราะพม่าได้ป้องกันมิให้คนเชียงใหม่หรือล้านนาไทยเดือดร้อน และรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงด้านการปกครองจากพม่า อันจะก่อให้เกิดความวุ่นวายหรือประชาชนเกลียดชังพม่าทำให้ยากแก่การควบคุมและอาจจะมีการจลาจลขึ้นได้ อย่างไรก็ตามก็จะพบว่า แม้พม่าอนุโลมตามประเพณีดั้งเดิมของล้านนาไทยบางเรื่องที่ไม่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของพม่าก็ตาม แต่เรื่องที่สำคัญและเป็นผลประโยชน์ของพม่า เช่น เรื่องการควบคุมไพร่ การทำงานของไพร่ ฯลฯ จะเห็นว่าพม่าได้เข้ามาควบคุมอย่างเข้มงวดกวดขัน อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่คนล้านนาไทยไม่พอใจและคิดการกบฏต่อพม่าตลอดมา เมื่อฝ่ายไทยมาช่วยเหลือเพื่อขับไล่พม่าออกจากบ้านเมืองคนล้านนาไทยจึงร่วมมือกับฝ่ายไทยด้วยดี จนสามารถขับไล่พม่าออกไปได้สำเร็จ วัฒนธรรมประเพณีพม่าในล้านนาไทย ตลอดระยะเวลาที่พม่าปกครองล้านนาไทยเป็นเวลาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๑๐๑ ถึง พ.ศ. ๒๓๑๗ นั้น พม่าได้นำเอาวัฒนธรรมประเพณีของตนเข้ามาเผยแพร่ในล้านนาไทยหลายด้าน ทั้งด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ความเชื่อ การแต่งกาย อาหาร ฯลฯ ทางด้านศิลปกรรม โดยเฉพาะศิลปกรรมที่เกี่ยวกับศาสนา เช่น เจดีย์ในเชียงใหม่หลายวัดสร้างตามแบบเจดีย์พม่า เช่น เจดีย์วัดแสนฝาง เป็นต้น ประเพณีการสร้างรูปสิงห์ตามวัดต่างๆ นิยมสร้างตามประเพณีพม่า ด้านปติมากรรมพบพระพุทธรูปแบบพม่าในวัดต่างๆ ในล้านนาไทยทั่วไป เช่น พระพุทธรูปวัดพระแก้วดอนเต้า อำเภอลำปาง๕๓ การที่คนล้านนาไทยนิยมบวชเณรมากกว่าบวชพระภิกษุนั้น เป็นประเพณีนิยมของพม่าอย่างหนึ่งเช่น๕๔ การนิยมสักตามร่างกายเป็นประเพณีของพม่า ซึ่งคนพม่าถือว่าเด็กผู้ชายของพม่าจะถือว่าเป็นหนุ่มต่อเมื่อได้สักตามร่างกายแล้ว โดยสักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ และเชื่อว่าทำให้คงกระพัน ประเพณีการสักนี้ พม่านำเข้ามาใช้ในล้านนาไทยด้านศาสนา๕๕ พม่าได้เอาพุทธศาสนา..เซนเซอร์..นยานแบบพม่า เรียกว่า นิกายม่าน เข้ามา เผยแพร่ในล้านนาไทย แต่สันนิษฐานว่าไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร แม้ว่าพม่าจะนำเอาพระสงฆ์เข้ามาและสร้างวัดพม่าก็ตาม๕๖ ส่วนความนิยมและสิ่งที่พม่านำไปจากเชียงใหม่หรือล้านนาไทยนั้น สันนิษฐานว่าพม่าคงนำไปน้อยมาก เพราะคนพม่าที่เข้ามาปกครองล้านนาไทยนั้นมีจำนวนน้อยและอยู่ในฐานะผู้ปกครองล้านนา จึงไม่เลื่อมใสยกย่องวัฒนธรรมของคนที่ตนปกครองอยู่ อย่างไรก็ตามพม่าได้นำเอาวิธีการบางอย่างที่พม่าไม่สามารถทำได้นำไปใช้ในบ้านเมืองของตน เช่น พม่านำเอาวิธีขุดพื้นรักลงเป็นรูปภาพต่างๆ ไปจากเชียงใหม่๕๗ พม่าปกครองเชียงใหม่นาน ๒๐๐ ปี จนถึงสมัยพระยากาวิละได้ร่วมมือกับฝ่ายไทยขับไล่อำนาจพม่าออกไปได้สำเร็จ ล้านนาไทยจึงเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของไทยเรื่อยมา ประวัติศาสตร์การปกครองเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๓๑๗ - ๒๔๗๖ (ตรงกับสมัยกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ ๑ - ๗)) สรัสวดี อ๋องสกุล เชียงใหม่ในช่วงเวลานับตั้งแต่เป็นประเทศราชของไทยใน พ.ศ. ๒๓๑๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณะการปกครองต่างไปจากสมัยก่อนหน้านั้น และเมื่อพิจารณาสามารถแบ่งออกเป็น ๒ สมัย ดังนี้ ๑. เชียงใหม่สมัยเป็นประเทศราชของไทย (พ.ศ. ๒๓๑๗ - ก่อนการปฏิรูปสมัยรัชกาลที่ ๕) ๒. เชียงใหม่สมัยปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพ (พ.ศ. ๒๔๒๗ - ๒๔๗๖) ๑.๑ เชียงใหม่สมัยเป็นประเทศราชของไทย (พ.ศ. ๒๓๑๗ - ก่อนการปฏิรูปสมัย รัชกาลที่ ๕) การฟื้นม่านและการเข้าสวามิภักดิ์ต่อไทย เชียงใหม่ตกเป็นเมืองขึ้นพม่าระหว่าง พ.ศ. ๒๑๐๑ - ๒๓๑๗ ในช่วงเวลาสองร้อยกว่าปี เชียงใหม่ยังคงเป็นศูนย์กลางของหัวเมืองล้านนาไทยที่พม่ายึดเป็นฐานที่มั่น โดยส่งข้าหลวงมาปกครองโดยตรง เข้าใจว่ามีการควบคุมอย่างเข้มงวด ชาวเชียงใหม่ได้ก่อการกบฏหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ซึ่งเป็นช่วงที่กษัตริย์พม่าอ่อนแอลง เชียงใหม่สามารถแยกตัวเป็นอิสระอยู่ระยะหนึ่งและถึงปี พ.ศ. ๒๓๐๖ พม่าก็สามารถตีเชียงใหม่ได้อีกครั้ง ซึ่งในครั้งหลังนี้พม่าได้กวาดต้อน ผู้คนไปเป็นเชลยจำนวนมาก ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวว่า ไพร่ไทยชาวเชียงใหม่ไปอังวะนับ เสี้ยง 19 ทั้งนี้เพื่อบั่นทอนกำลังมิให้เชียงใหม่รวมกำลังต่อต้านพม่าได้อีก อย่างไรก็ตามความคิดของชาวเชียงใหม่ที่จะ ฟื้นม่าน ก็ยังมีอยู่เสมอดังปรากฏเหตุการณ์การต่อสู้กับโป่มะยุง่วน (โป่หัวขาว) เจ้าเมืองเชียงใหม่ ที่กลางเมืองเชียงใหม่มีสองครั้ง ครั้งแรก พ.ศ. ๒๓๑๒ จักกายน้อยพรหมเสียชีวิตในที่รบ ครั้งที่สอง พ.ศ. ๒๓๑๔ โดยพระยาจ่าบ้าน (บุญมา) ซึ่งมีกำลังน้อยและอาวุธก็ไม่พร้อมจึงพ่ายแพ้ พระยาจ่าบ้านหนีไปหาพระยากาวิละเจ้าเมืองลำปางเพื่อปรึกษาทางฟื้นม่านซึ่งได้ตกลงจะร่วมมือกัน20 โดยใช้วิธีหันไปสวามิภักดิ์ต่อฝ่ายไทยแล้วช่วยกันขับไล่พม่าออกไปในปี พ.ศ. ๒๓๑๗ ความคิดที่จะฟื้นม่านของผู้นำชาวล้านนาไทย ตรงกับความต้องการของฝ่ายไทยที่พยายามขับไล่พม่าออกไปจากล้านนาไทยอยู่แล้ว กล่าวคือเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกู้อิสรภาพและจัดตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี ทรงปราบปรามชุมนุมต่างๆ ที่ตั้งตนเป็นอิสระจนสามารถรวบรวมหัวเมืองภายในให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่งในราว พ.ศ. ๒๓๑๓ หลังจากนั้น ทรงเห็นความจำเป็นที่ต้องขับไล่พม่าออกไปจากล้านนาไทยให้ได้ ทั้งนี้เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจุดยุทธศาสตร์ของล้านนาไทย ซึ่งอยู่ระหว่างพม่ากับไทย หากไทยไม่สามารถครอบครองล้านนาไทยไว้ในอำนาจ อันตรายจากพม่าจะมาถึง และเข้าใจว่าสาเหตุที่พระเจ้าตากสินและกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ให้ความสำคัญต่อหัวเมืองประเทศราชล้านนาไทยมากนั้น เพราะเป็นบทเรียนจากการเสียกรุงศรีอยุธยาทั้งสองครั้งพม่าสามารถยึดเอาล้านนาไทยเป็นแหล่งสะสมเสบียงอาหาร อาวุธ และกำลังคนเข้าร่วมในสงคราม ทำให้ไทยเสียเปรียบมากจนพ่ายแพ้สงคราม ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดของไทยต้องยึดล้านนาไทยให้ได้ แนวความคิดดังกล่าวเห็นได้จากพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๑ มีความตอนหนึ่งว่า และราชการข้างหัวเมืองฝ่ายเหนือ แม้กรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์คิดทำไม่สำเร็จ พระเศียรก็จะไม่ได้คงอยู่กับพระกายเป็นแท้21(ขีดเส้นใต้โดยผู้เขียน) สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกทัพไปตีเชียงใหม่ครั้งแรก พ.ศ. ๒๓๑๓ โดยให้เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เป็นทัพหน้า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนำทัพหลวง ๑๕,๐๐๐ คน เข้าล้อมเมืองไว้ กองทัพไทยสามารถยกขึ้นไปถึงลำพูนได้โดยสะดวก ไม่ได้รับการต่อสู้ขัดขวางจาก หัวเมืองรายทางเลย แต่การตีเชียงใหม่ครั้งแรกไม่ได้ผล22 พระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกกองทัพไปอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๓๑๗ ครั้งนี้เป็นโอกาสของผู้นำชาวล้านนาไทยจะได้ร่วมมือกับกองทัพไทยขับไล่พม่าออกไป สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้นำล้านนาไทยทำการฟื้นม่านและตัดสินใจเลือกข้างฝ่ายไทยนั้น ตามหลักฐานเท่าที่ปรากฏเข้าใจว่าเป็นผลมาจากการปกครองของโป่มะยุง่วน (โป่หัวขาว) ที่ใช้นโยบาย แข็งกร้าวกระทำการกดขี่ข่มเหงชาวล้านนาไทยมากยิ่งกว่าโป่อภัยคามิณีเจ้าเมืองคนก่อนซึ่งปรากฏในหลักฐานพื้นเมืองว่า ในกาลหว่างนั้น อาชญามารก็แฮงกล้าแข็งฮ้อนไหม้ หาที่จักไว้อก วางใจก็บ่ได้ เก็บเงินคำใส่ฑัณฑ์กรรมผูกมัดฮักมุบแขนขา เอาแม่ฮ้าง นางสาว ส่งหาบนาบคาว ยามโป่หัวหงอก มาเป็นมยุโหงวร นั่งแต่งอยู่เมืองพิงซ้ำฮ้ายนักบางปีก็บ่มีสักเตื่อแล23 ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวว่า โป่หัวขาวกระทำร้อนไหม้แก่บ้านเมืองแล24 นอกจากนั้นหลักฐานทางฝ่ายพม่าคือพงศาวดารฉบับหอแก้ว25 กล่าวถึงโป่มะยุง่วน (โป่ หัวขาว) กระทำการริดรอนอำนาจของพระยาจ่าบ้าน พระยาสามล้าน พระยาแสนหลวงแห่งเมืองเชียงใหม่และพระยากาวิละ เจ้าเมืองลำปาง ซึ่งผู้ปกครองพื้นเมืองดังกล่าวเคยคุมไพร่พลไปช่วย ราชการศึกจีนที่กรุงอังวะ26 มีความ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:44:07 เชียงใหม่ ๔
ดีความชอบกษัตริย์พม่าให้อำนาจปกครองตามเดิม ความบาดหมางระหว่างพระยาจ่าบ้านกับโป่มะยุง่วน (โป่หัวขาว) ทำให้มีการปะทะกันที่กลางเมืองเชียงใหม่และพระยาจ่าบ้านชักชวนพระยากาวิละ ฟื้นม่าน ส่วนโป่มะยุง่วนใช้วิธีจับครอบครัวของพระยาจ่าบ้านและพระยากาวิละคุมขังไว้ และออกคำสั่งจับพระยาจ่าบ้านและพระยากาวิละส่งไปชำระโทษที่กรุงอังวะ ซึ่งน่าจะเป็นแรงบีบคั้นให้พระยาทั้งสองเข้ามาสวามิภักดิ์กับฝ่ายไทย เมื่อพิจารณาการตัดสินใจเข้ากับฝ่ายไทยของพระยาจ่าบ้านและพระยากาวิละ ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ล้านนาไทยที่สำคัญ จากฐานะเมืองขึ้นของพม่ามาเป็นประเทศราชของไทย โดยที่ก่อนหน้านั้นผู้นำชาวล้านนาไทยต่างยอมรับในอำนาจของพม่า เช่น พระยาสุลวะลือไชย (ทิพย์ช้าง) ในที่สุดต้องยอมรับอำนาจของกษัตริย์อังวะโดยส่งบรรณาการไปให้ ซึ่งความดีความชอบครั้งนั้น กษัตริย์อังวะได้พระราชทานชื่อให้ใหม่ว่า พระยาไชยสงคราม1 เจ้าชายแก้ว2ได้รับความ ช่วยเหลือจากกษัตริย์อังวะโดยส่งกองทัพมาช่วยปราบท้าวลิ้นกาง บุตรพ่อเมืองคนเก่าที่แย่งชิงเมืองไป เมื่อการสู้รบยุติลงกษัตริย์อังวะแต่งตั้งให้เจ้าชายแก้วเป็นเจ้าเมืองลำปางในปี พ.ศ. ๒๓๐๗3 แผนการของพระยาจ่าบ้านและพระยากาวิละที่จะเข้าสวามิภักดิ์กับฝ่ายไทยนั้นเริ่มต้นโดยพระยาจ่าบ้านอาสากับโปสุพลาแม่ทัพพม่าที่อยู่เชียงใหม่ว่าจะเป็นกองหน้าล่องลงไปก่อนเพื่อเอาสวะและไม้ซุงออก ทัพเรือจะได้ยกไปตีกรุงธนบุรีสะดวก โปสุพลาเห็นชอบเกณฑ์ไพร่พลติดตามพระยา จ่าบ้านไป เมื่อสบโอกาสพระยาจ่าบ้านสังหารไพร่พลพม่าแล้วรีบไปหาเจ้าพระยาจักรี (รัชกาลที่ ๑) แม่ทัพฝ่ายไทยที่กำแพงเพชร ส่วนพระยากาวิละได้ออกอุบายให้เจ้าคำโสมแต่งกองทัพคุมกำลังพม่าส่วนใหญ่แสร้งยกทัพไปสกัดกองทัพไทยเพื่อไม่ให้พม่าระแวงสงสัย เมื่อได้โอกาสพระยากาวิละคุมไพร่พลสังหารทหารพม่าซึ่งอยู่รักษาการณ์ในเมืองลำปางล้มตายจำนวนมาก รวมทั้งจักกายศิริจอสูแม่ทัพพม่าด้วย จากนั้นมอบให้เจ้าดวงทิพย์ล่วงหน้าไปสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าตากสินมหาราช แล้วพระยากาวิละก็นำบรรณาการออกต้อนรับกองทัพหลวง และกองทัพพระยากาวิละได้ร่วมกับกองทัพหลวงเข้าตีเมืองเชียงใหม่สำเร็จ เมื่อเสร็จสงครามเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๓๑๗ พระเจ้าตากสินมหาราชทรงตอบแทนความดีความชอบ โดยโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระยาจ่าบ้านเป็นพระยาวิเชียรปราการครองเมืองเชียงใหม่ พระยากาวิละครองเมืองลำปาง พร้อมทั้งทรงแต่งตั้งญาติพี่น้องของพระยาจ่าบ้านและพระยากาวิละให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ เพื่อช่วยราชการบ้านเมืองทั้งสองด้วย4 นับเป็นการวางรากฐานการปกครองหัวเมืองประเทศราชล้านนาไทยเป็นครั้งแรก และครั้งนี้พระเจ้าตากสินมหาราชทรงมอบ อาญาสิทธิ์ แก่ เจ้าเมืองทั้งสองให้ปกครองบ้านเมืองกันเองตามธรรมเนียมเดิมของล้านนาไทย หลังจากที่เชียงใหม่ตกเป็นประเทศราชของไทยแล้ว พม่ายังพยายามยึดเชียงใหม่กลับคืนโดยยกกองทัพเข้าเมืองมาหลายครั้ง (ครั้งแรก พ.ศ. ๒๓๑๘) พระยาจ่าบ้านป้องกันเมืองเชียงใหม่อย่างเข้มแข็ง แต่ในที่สุดก็รักษาเมืองไว้ไม่ได้เพราะผู้คนมีน้อยและอยู่ในสภาพอดอยาก ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวถึงสภาพบ้านเมืองเชียงใหม่ในขณะนั้นว่า เจ้าพระยาจ่าบ้านมีกำลังฉกรรจ์ ๑,๙๐๐ ข้ามขางเวียงอยู่ ผู้คนเป็นอันอยากน้ำกั้นเข้ามามากนัก ช้าง ม้า วัว ควาย เป็ด ไก่ หมู หมา หัวบุกหัวบอน หัวกล้วย จั๊กก่า จะเล้อ จิ้งหรีด ตึ๋กแตน ก็บ่ค้าง และ ยามนั้นเวียงเชียงใหม่เป็นห่ารกอุกต้นอันด้วยคุ่มเครือเขาเถาวัลย์ เป็นที่แรดช้างเสือหมีผู้คนก็บ่หลายข้อนกันอยู่เท่าพอหมดแต่ร่มชายคาแลฯ หนทางเดินไปมาหากันเหตุว่าบ่มีโอกาสจักแผ้วจักถาง5 พระยาจ่าบ้านจึงต้องถอยไปตั้งมั่นที่วังพร้าวและลำปาง เมื่อกองทัพพม่ากลับไปพระยา จ่าบ้านก็จะกลับไปตั้งเมืองเชียงใหม่อีกในช่วงเวลาสั้นๆ จึงเป็นลักษณะกลับไปกลับมา และช่วงปลายสมัยธนบุรี เชียงใหม่ถูกปล่อยให้เป็นเมืองร้างรวมทั้งเมืองอื่นๆ ในล้านนาไทยด้วย จะมีแต่เมืองลำปางที่เป็นแหล่งที่มั่นของฝ่ายไทย การฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๓๓๙ - ๒๓๔๗) เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๒๕ พระยากาวิละพร้อมด้วยเจ้านายพี่น้องลงมาเฝ้าถวายเครื่องราชบรรณาการและกราบบังคมทูลข้อราชการ ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระยากาวิละเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่แทนพระยาจ่าบ้าน (บุญมา) ซึ่งเสียชีวิตลงในปลายสมัยธนบุรี6 และโปรดเกล้าฯ ให้น้องพระยากาวิละดำรงตำแหน่งสำคัญในเมืองเชียงใหม่และลำปาง ดังนี้ เจ้าคำโสมเป็นเจ้าเมืองลำปาง เจ้าธรรมลังกาเป็นอุปราชเมืองเชียงใหม่ เจ้าดวงทิพย์เป็นอุปราชเมืองลำปาง เจ้าหมูล่าเป็นพระยาราชวงศ์เมืองลำปาง และเจ้าคำฝั้นเป็นเจ้าบุรีรัตน์เมืองเชียงใหม่7 ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๕๗ จึงได้เป็นเจ้าเมืองลำพูน8 จากการแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ดังกล่าวจะเห็นว่าเมืองเชียงใหม่มีฐานะสูงกว่าเมืองลำปางและลำพูน ในระยะแรกบรรดาเจ้าเจ็ดตนจะเลื่อนตำแหน่งจากเจ้าเมืองลำพูนเป็นเจ้าเมืองลำปาง และจากเจ้าเมืองลำปางเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ขึ้นเป็นลำดับ แต่ในเวลาต่อมาการเลื่อนตำแหน่งเจ้าเมืองจะแต่งตั้งจากเจ้านายบุตรหลานของเมืองนั้นเอง จึงเป็นการแยกราชวงศ์เชียงใหม่ วงศ์ลำปาง และลำพูนเด่นชัดยิ่งขึ้น สำหรับอำนาจสิทธิขาด เจ้าเมืองเชียงใหม่มีอาญาสิทธิ์สูงสุดถึงขั้นประหารชีวิตด้วยการใช้ดาบตัดศีรษะ เจ้าเมืองลำปางเข้าใจว่ามีสิทธิเพียงใช้หอกเสียบอก9 และเจ้าเมืองลำพูนมีสิทธิลดลงอีกโดยใช้หอกเสียบบั้นเอว10 อำนาจของเจ้าเมืองจึงลดหลั่นตามลำดับ การที่รัชกาลที่ ๑ ทรงแต่งตั้งให้ตระกูลเจ้าเจ็ดตนครองเมืองเชียงใหม่และลำปางในทันที เข้าใจว่าเป็นเหตุผลที่ต้องการให้ร่วมกันสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่ล้านนาไทย โดยเฉพาะเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของล้านนาไทยขณะนั้นอยู่ในสภาพเมืองร้าง จำเป็นต้องฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ พร้อมกับกวาดล้างอิทธิพลของพม่าให้หมดไป พระยากาวิละจึงมีหน้าที่ สร้างบ้านแปงเมือง เชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง และโดยที่เชียงใหม่อยู่ในอิทธิพลพม่า พระยากาวิละไม่สามารถตั้งเมืองได้ทันที จึงเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ ด้วยการตั้งเวียงป่าซางก่อน และตั้งมั่นอยู่ถึง ๑๔ ปี จึงสามารถตั้งเมืองเชียงใหม่ได้ใน พ.ศ. ๒๓๓๙ ส่วนอิทธิพลของพม่าในล้านนาไทยถือว่าสิ้นสุดลงในสงครามขับไล่พม่าปี พ.ศ. ๒๓๔๗ โดยกองทัพเชียงใหม่รวมกับกองทัพฝ่ายไทยยกไปตีเมืองเชียงแสนซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองของพม่าสำเร็จ การฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่เริ่มตั้งแต่ตั้งเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๓๓๙ จนถึงขับไล่พม่าออกไปจากล้านนาไทยในปี พ.ศ. ๒๓๔๗ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการรวบรวมพลเมืองเข้ามาในเมืองเชียงใหม่ เป็นยุคที่เรียกว่า เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง11 พระยากาวิละกวาดต้อนชาวเมืองเชียงใหม่ที่หลบหนีเข้าป่าให้กลับสู่เมือง และเริ่มกวาดต้อนผู้คนจากสิบสองปันนา ไทยใหญ่ ไทยลื้อ ไทยเขิน และยอง ผู้คนที่กวาดต้อนมามีหลายชนิดเข้าใจว่าเป็นช่างฝีมือหรือไพร่เมืองชั้นดีจะให้ตั้งถิ่นฐานในตัวเมือง เช่น เขิน ที่ถนนวัวลาย ส่วนไพร่ที่ไม่เป็นช่างฝีมือจะไว้นอกเมือง เช่น เขินที่สันทราย ยองที่ลำพูน ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนมาก็จะตั้งชื่อหมู่บ้านของตนตามชื่อบ้านเมืองเดิมที่ตนถูกกวาดต้อนลงมา เช่น เมืองวะ เมืองเลน เมืองขอน เมืองกาย พยาก เป็นต้น เชียงใหม่สมัยพระยากาวิละจึงพ้นจากสภาพเมืองร้าง นอกจากพระยากาวิละจะ เก็บข้าใส่เมือง ดังกล่าวแล้ว ยังมีการฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ใน รูปแบบต่างๆ เช่น ราชประเพณี โดยการกระทำพิธีราชาภิเษก สถาปนาราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนขึ้นปกครองสืบต่อจากราชวงศ์มังราย การทำนุบำรุงพุทธศาสนา โดยสร้างวัด พระพุทธรูป การสร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่ การเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นรัตนตึงษาอภินวบุรี เป็นต้น12 นับว่าพระยากาวิละและเจ้านายบุตรหลานได้สร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงแก่เมืองเชียงใหม่ และล้านนาไทยยิ่ง การปกครองภายในเมืองเชียงใหม่ก่อนการปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพ ในสมัยพระยากาวิละได้นำระบบการปกครองบางอย่างของไทยไปปรับปรุงใช้ที่เชียงใหม่ เช่น การแต่งตั้งพระยาแสนหลวง พระยาสามล้าน พระยาจ่าบ้าน และพระยาเด็กชาย ให้อยู่ในตำแหน่งปฐมอัครมหาเสนาบดี ทั้ง ๔ ทำหน้าที่เหมือนจตุสดมภ์ของไทย คือเป็น เวียง วัง คลัง นา ตามลำดับ โดยถือว่าตำแหน่งดังกล่าวสูงกว่าข้าราชการอื่นๆ ดังตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ระบุว่า มีพระยาแสนหลวง พระยาสามล้าน พระยาจ่าบ้าน พระยาเด็กชาย13 เป็นใหญ่แก่ท้าวพระยาทั้งหลาย 14 และการตั้งตำแหน่งวังหน้าและวังหลังเพิ่มขึ้น ซึ่งพระยากาวิละแต่งตั้งให้พระยาอุปราชดำรงตำแหน่ง วังหน้า พระยาบุรีรัตน์ดำรงตำแหน่งวังหลังเป็นครั้งแรก สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของไทยในด้านความคิดและแบบอย่างทางการปกครองที่มีต่อเมืองเชียงใหม่ โครงสร้างทางการปกครองของเมืองเชียงใหม่ ประกอบด้วยเจ้าขัน ๕ ใบ ได้แก่ เจ้าเมือง และผู้ช่วยเหลือในการปกครองอีก ๔ ตำแหน่ง คือ พระยาอุปราช พระยาราชบุตร พระยาราชวงศ์ และพระยาบุรีรัตน์ ในทางทฤษฎีตำแหน่งเจ้าขัน ๕ ใบนี้ จะได้รับการแต่งตั้งและถอดถอนจากกรุงเทพฯ แต่ในทางปฏิบัติเจ้านายชั้นสูงในเชียงใหม่จะเสนอชื่อผู้เห็นสมควรจะได้รับตำแหน่งนี้ขึ้นมา โดยทางรัฐบาลกลางที่กรุงเทพฯ จะแต่งตั้งตามที่เสนอมา นับว่าการเมืองภายในเชียงใหม่มีอิสระอยู่มาก ส่วนหน้าที่ของตำแหน่งเจ้าขัน ๕ ใบ ในระยะแรกซึ่งอยู่ในช่วงสงครามระหว่างไทยกับพม่า จึงเข้าใจว่าหน้าที่หลักคือการควบคุมกำลังรบ แต่ในระยะต่อมาเมื่อราชการสงครามเบาบางลง หน้าที่ของเจ้าขัน ๕ ใบ จึงเปลี่ยนแปลงไปดังมีผู้สันนิษฐานว่า ตำแหน่งอุปราชทำหน้าที่การคลัง เจ้าราชบุตรและเจ้าราชวงศ์มีหน้าที่เกี่ยวกับทหาร และเจ้าบุรีรัตน์เป็นผู้จัดการปกครองภายในเมือง15 โดยมี เจ้าเมืองเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดควบคุมกิจการทั่วไป ตำแหน่งผู้ช่วยราชการของเจ้าเมืองนี้ ในสมัยต่อมาเมื่อราชการขยายออกไปและเจ้านายบุตรหลานก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น จึงทำการแต่งตั้งเพิ่มเติมอีกหลายตำแหน่งและหลายครั้งเป็นลำดับดังนี้คือ เดิมนั้นมีเพียงเจ้าขัน 5 ใบ ครั้นในสมัยพระเจ้ากาวิโรรสสุริยวงศ์ (พ.ศ ๒๓๙๙ - ๒๔๑๒) รัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มอีก ๓ ตำแหน่ง คือ เจ้าราชภาคินัย พระยาอุตรการโกศล พระยาไชยสงคราม ในสมัยต่อมาเจ้าอินทวิชยานนท์ (พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๓๙) รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งเพิ่มอีก ๓ ตำแหน่ง คือ เจ้าราชภาติกวงษ์ เจ้าราชสัมพันธ์สงศ์ และเจ้าสุริยวงศ์ ราว พ.ศ. ๒๔๓๗ ทรง โปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มอีก ๒ ตำแหน่ง คือ เจ้าทักษิณนิเกตน์ และเจ้านิเวศอุดร ครั้น พ.ศ.๒๔๔๑ หลังจากตราพระราชบัญญัติศักดินาเจ้านายแล้ว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มอีก ๔ ตำแหน่ง คือ เจ้าประพันธ์พงษ์ เจ้าวรญาติ เจ้าราชญาติ และเจ้าไชยวรเชษฐ16 นอกจากตำแหน่งเจ้าขัน ๕ ใบ และตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าผู้ครองนครที่แต่งตั้งเพิ่มขึ้นตามลำดับดังกล่าวแล้ว ในการบริหารบ้านเมืองยังมีคณะกรรมการชุดหนึ่งเรียกว่าเค้าสนามหลวง ซึ่งจะประกอบด้วยเจ้านายชั้นสูง ๓๒ คน เข้าใจว่าจะมีเจ้าขัน ๕ ใบ และเจ้านายอื่นๆ เช่น พระยาจ่าบ้าน พระยาสามล้าน พระยาแสนหลวง เค้าสนามหลวงมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาราชการบ้านเมืองของเจ้าเมืองและช่วยเหลือในการบริหารบ้านเมือง มีที่ทำการอยู่ที่คุ้มของเจ้าเมือง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการ ปกครอง ตำแหน่งเค้าสนามหลวงไม่ปรากฏชัดว่าเริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ในสมัยรัชกาลที่ ๒ (พ.ศ. ๒๓๕๒ - ๒๓๖๗) ก็ปรากฏว่ามีตำแหน่งเค้าสนามหลวงนี้แล้ว17 ส่วนการปกครองในระดับท้องถิ่น จะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นตำบลและหมู่บ้าน ตำบลมีกำนัน (แคว่น) ปกครอง หมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้าน (แก่บ้าน) ปกครอง โดยทำหน้าที่ดูแลความทุกข์สุข ทั่วไปแต่อำนาจแท้จริงอยู่ที่เค้าสนามหลวง ทั้งแคว่นและแก่บ้านจะมียศเป็นแสนท้าว หรือพญา ซึ่ง เข้าใจว่าท้องถิ่นที่อยู่ใกล้และขึ้นตรงต่อเชียงใหม่ เจ้าเมืองจะเป็นผู้แต่งตั้ง การปกครองในส่วนหัวเมือง อาจจะแบ่งเป็นหัวเมืองภายใน และหัวเมืองชายแดน หัวเมืองภายในจะขึ้นโดยตรงต่อเชียงใหม่ เช่น ฝาง เชียงดาว พร้าว เข้าใจว่าเจ้าเมืองเชียงใหม่จะแต่งตั้งคนที่ไว้วางใจไปปกครองและทำหน้าที่เก็บส่วยข้าวส่งฉางหลวง และในกรณีเมืองที่อยู่ห่างไกลจะให้ส่งของป่าหายากแทนการส่งส่วยข้าว ส่วนหัวเมืองชายแดนซึ่งขึ้นเชียงใหม่มีหลายเมือง เนื่องจากเชียงใหม่ในสมัยพระยากาวิละได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง ในทางเหนือจดเมืองเชียงรุ้ง เชียงขวาง สิบสองปันนา18 ส่วนทางตะวันตกสามารถครอบครองหัวเมืองด้านตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน เช่น เมืองจวด เมืองทา เมืองต่วน เมืองสาด เมืองหาง หรือที่เรียกว่า หัวเมืองเงี้ยวทั้งห้า เมืองเหล่านี้ได้มาด้วยวิธีการ ๒ อย่าง คือ การเกลี้ยกล่อมเข้าไว้ในอำนาจโดยไม่ต้องสู้รบกัน ซึ่งหากไม่ยอมก็จะใช้วิธีการปราบปรามเมื่อปราบสำเร็จก็จะกวาดต้อนผู้คนในเมืองนั้นมา โดยปล่อยให้เมืองนั้นร้างไว้19 ขณะ เดียวกันก็ถือว่าเมืองร้างนั้นเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของเชียงใหม่และหัวเมืองชายแดนจะปกครองตามธรรมเนียมเดิมของตน การปกครองเมืองเชียงใหม่ในฐานะประเทศราชของไทย ในการปกครองเมืองเชียงใหม่ รัฐบาลกลางที่กรุงเทพฯ ได้ใช้นโยบายและวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1.นโยบายการปกครองเมืองเชียงใหม่ รัฐบาลกลางทั้งในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้นต่างมีนโยบายสนับสนุนให้เชียงใหม่เป็นเมืองหน้าด่านฝ่ายเหนือที่เข้มแข็งเพียงพอที่จะป้องกันการรุกรานจากพม่า ดังจะเห็นได้ว่าพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องให้ความช่วยเหลือให้เชียงใหม่ฟื้นตัวโดยเร็ว โดยโปรดเกล้าฯ ให้พระยาจ่าบ้านเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ให้รักษาเมืองจากการโจมตีของพม่า แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากเชียงใหม่อยู่ในสภาวะสงครามมานานบ้านเมืองจึงทรุดโทรม ขาดแคลนกำลังคนที่จะช่วยกันรักษาเมืองไว้ได้20 ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๑ พระองค์มีพระบรมราโชบายเช่นเดียวกับพระเจ้า ตากสินมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยากาวิละเจ้าเมืองลำปางให้ขึ้นไปครองเมืองเชียงใหม่ เพราะ พระยากาวิละมีฝีมือในการรบสามารถป้องกันการรุกรานของพม่าได้หลายครั้ง ด้วยเหตุนี้เมืองเชียงใหม่จึงได้รับการฟื้นฟูให้มั่นคงเป็นศูนย์กลางของดินแดนล้านนาไทยอีกครั้งหนึ่ง วิธีการดำเนินงานเพื่อให้เชียงใหม่มีความเข้มแข็ง รัฐบาลกลางในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้กระทำการช่วยเหลือเชียงใหม่หลายรูปแบบ ประการแรก การช่วยเหลือด้านอาวุธเพื่อใช้ในราชการสงครามนับเป็นสิ่งที่รัฐบาลกลางให้ความช่วยเหลือเสมอมา ดังปรากฏหลักฐานในสมัยรัชกาลที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๓๔๕ เมื่อทรงมีพระราชดำริให้เมืองเชียงใหม่และลำปางยกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงแสน ซึ่งเป็นที่มั่นของฝ่ายพม่า ทรงพระราชทานอาวุธปืนและกระสุนจำนวนหนึ่ง21 และในสมัยรัชกาลที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๔๐๐ เมืองเชียงใหม่ขอพระราชทานปืนหามแล่น ๑๐๐ กระบอก22 ประการที่สอง การส่งกองทัพหลวงช่วยเหลือป้องกันเมืองเชียงใหม่ ในระยะที่เพิ่งจะตั้งเมืองในสมัยพระยากาวิละในปี พ.ศ. ๒๓๔๐ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวว่าพระยากาวิละไม่สามารถป้องกันเมืองเชียงใหม่ตามลำพัง เนื่องจากกำลังคนมีไม่เพียงพอจึงขอทัพหลวงมาช่วย ซึ่งรัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรฯ ยกกองทัพไปช่วย ได้ร่วมกันสู้รบจนพม่าพ่ายไป23 และในสงครามขับไล่พม่าออกจากเชียงแสนใน พ.ศ. ๒๓๔๗ กองทัพหลวงก็ขึ้นไปช่วยกองทัพเชียงใหม่ด้วย ประการที่สาม การคืนครัวเรือนที่เชียงใหม่กวาดต้อนมาได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นกำลังช่วยกันรักษาและทำนุบำรุงบ้านเมือง ดังเช่น พระยากาวิละยกทัพไปตีเมืองสาด เมืองปัน เมืองปุ แล้วกวาดครัวมาถวายรัชกาลที่ ๑ ๆ ทรงพระราชทานคืนครัวเรือนที่กวาดต้อนมาได้คืนเชียงใหม่ไป อีกทั้งยัง พระราชทานเงินและเสื้อผ้าเป็นบำเหน็จความดีความชอบแก่นายทหารในครั้งนั้นด้วย24 การคืนครัวนี้สืบมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ ซึ่งพระราชทานกลับคืนไปเช่นกัน25 ประการที่สี่ การตั้งเมืองลำพูนและเชียงรายเพื่อเป็นกำลังช่วยเหลือเชียงใหม่ เมื่อมีราชการสงครามเกิดขึ้น โดยตั้งเมืองลำพูนสมัยรัชกาลที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๕๗ ซึ่งเป็นช่วงที่เชียงใหม่มีความมั่นคงระดับหนึ่งแล้ว ส่วนเมืองเชียงรายจัดตั้งขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๘๖ โดยเจ้าเมืองเชียงใหม่ ลำปาง และลำพูนขอพระราชทานตั้งเมืองขึ้นใหม่26 อาจกล่าวได้ว่าเมืองลำพูนและเชียงราย ตลอดจนลำปางในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นเมืองบริวารของเชียงใหม่เพราะทรงถือว่าเมืองเชียงใหม่มีเจ้าเมืองเป็นญาติผู้ใหญ่กว่าเมืองอื่นๆ ซึ่งสืบสายตระกูลเจ้าเจ็ดตนเช่นเดียวกัน จึงให้สิทธิ์แก่เจ้าเมืองเชียงใหม่ เช่น สามารถว่ากล่าว ตักเตือน และลงโทษเจ้าเมืองและเจ้านายบุตรหลานเมืองอื่นๆ ได้27 และยังมีสิทธิเสนอชื่อผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองและอุปราชเมืองลำพูน28 อนึ่ง สารตราสมัยรัชกาลที่ ๓ ถึงเจ้าเมืองเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน จะเน้นเสมอถึงการให้ทั้งสามเมืองช่วยกันปกครองบ้านเมืองและป้องกันภัยจากพม่า จากความพยายามสนับสนุนให้เชียงใหม่มีความเข้มแข็งได้ประสบความสำเร็จในปลาย รัชกาลที่ ๑ เมืองเชียงใหม่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว สามารถขับไล่พม่าจากฐานที่มั่นในเมืองเชียงแสนในปี พ.ศ. ๒๓๔๗ และหลังจากสงครามครั้งนั้นพม่าไม่ได้ยกทัพมาโจมตีหัวเมืองล้านนาไทยเป็นกองทัพใหญ่อีก จะมีแต่กองทัพจากเมืองเชียงใหม่และเมืองอื่นๆ ในล้านนาไทยร่วมกันยกไปตีเขตหัวเมืองขึ้นของพม่า ซึ่งในปี พ.ศ. ๒๓๔๘ ก็สามารถขยายอาณาเขตไปถึงเชียงตุง เชียงรุ้ง เมืองลื้อ สิบสองปันนา อาณาเขตของล้านนาไทยจึงขยายออกไปอย่างกว้างขวาง29 ๒) วิธีการควบคุมเชียงใหม่ในฐานะเมืองประเทศราช เมื่อพิจารณาลักษณะการปกครองภายในเมืองเชียงใหม่ตามหัวข้อที่กล่าวมาแล้วจะ เห็นว่ารัฐบาลกลางให้เชียงใหม่มีอิสระในการปกครองตนเองอย่างมาก โดยที่รัฐบาลกลางไม่เข้าไป ยุ่งเกี่ยวในกิจการภายใน เชียงใหม่สามารถกำหนดรูปแบบการปกครองตนเองตามขนบธรรมเนียมของท้องถิ่น อย่างไรก็ตามรัฐบาลกลางก็ไม่ปล่อยให้เป็นอิสระเสียทีเดียว เพราะรัฐบาลกลางใช้วิธีการ ควบคุมโดยอ้อม ซึ่งมีหลายวิธีการด้วยกันที่จะให้เชียงใหม่ต้องตระหนักถึงอำนาจของรัฐบาลกลางที่เหนือกว่าอยู่เสมอ วิธีการซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการควบคุมที่สำคัญคือ การแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าขัน ๕ ใบ ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองในระดับสูงที่พระมหากษัตริย์จะพระราชทานตำแหน่งให้30 โดยบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่จะต้องเข้าเฝ้าที่กรุงเทพฯ ทุกครั้งเพื่อรับตราตั้งและเครื่องยศ ในการ พระราชทานเครื่องยศแล้วแต่โอกาส ตำแหน่งเดียวกันอาจจะรับเครื่องยศต่างกัน และเครื่องยศทุกชิ้นจะต้องคืนเมื่อถึงแก่กรรม โดยทางกรุงเทพฯ จะตรวจนับเครื่องยศ มีหลักฐานว่าการส่งคืนเครื่องยศของเจ้าเชียงใหม่พุทธวงษ์ (พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๘๙) ขาดไป ๕ สิ่ง ซึ่งทางกรุงเทพฯ ไม่ทวงถาม31 นอกจากนั้นมีพิธีการต่างๆ ที่ต้องแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ที่กรุงเทพฯ เช่น เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน เจ้าเมืองและเจ้านายบุตรหลานต้องลงมาร่วมในงานพระบรมศพและเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ด้วย การกระทำพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจา ปีละ ๒ ครั้ง โดยประกอบพิธีที่วัดสำคัญ มีเจ้าขัน ๕ ใบและเจ้านายบุตรหลานอื่นๆ ร่วมด้วย พิธีนี้มีการให้สัตย์สาบาน รัฐบาลกลางจึงถือว่าเป็นพิธีสำคัญที่แสดงความจงรักภักดี ผู้ที่ไม่ร่วมพิธีจะถูกเพ่งเล็ง ในสมัยรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ พบหลักฐานเสมอที่ทรงย้ำให้กระทำพิธีนี้32 อย่างไรก็ตามที่กล่าวมาเป็นรูปพิธีการยอมรับอำนาจของรัฐบาลกลางมากกว่า ส่วน วิธีการควบคุมที่แสดงอำนาจที่เฉียบขาด เช่น การเรียกตัวให้เข้าเฝ้าเพื่อสอบสวนความผิดดังกรณีพระเจ้าตากสินมหาราชเรียกตัวพระยาจ่าบ้านและพระยากาวิละซึ่งมีการลงโทษตัดขอบหูพระยา กาวิละและขังพระยาจ่าบ้านตามที่กล่าวมาแล้ว และกรณีรัชกาลที่ ๔ เรียกตัวเจ้ากาวิโลรสสุริยวงษ์เข้าเฝ้าเพราะได้ข่าวว่าฝักใฝ่พม่า ซึ่งผลปรากฏว่าไม่มีความผิดจึงให้กลับไปครองเมืองตามเดิม33 นอกจากนั้นถ้ารัฐบาลกลางไม่แน่ใจว่าจะจงรักภักดีก็จะให้ทำราชการในกรุงเทพฯ เช่นกรณีพระยาแพร่มังไชยเคยถูกพม่าจับตัวไปและอยู่กับพม่า ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๓๑๘ - ๒๓๒๘) ได้หันมาช่วยกองทัพไทยโดยยกทัพไปตีเชียงแสนและสามารถจับตัวเจ้าเมืองเชียงแสนนำส่งมากรุงเทพฯ ได้ นับว่ามีความดีความชอบมาก แต่รัชกาลที่ ๑ ยังแคลงพระทัยจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาแพร่มังไชยรับราชการที่กรุงเทพฯ มิให้กลับไปครองเมือง34 หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:44:31 เชียงใหม่ ๕
๓) พันธะของเมืองเชียงใหม่ต่อรัฐบาลกลางที่กรุงเทพฯ สิ่งที่เชียงใหม่ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของเมืองประเทศราชแบ่งได้เป็น ๒ ประการ ประการแรก การส่งเครื่องราชบรรณาการ ส่วย และสิ่งของต่างๆ เครื่องราชบรรณาการ ต้องส่ง ๓ ปีต่อครั้ง เป็นเครื่องหมายของการยอมอยู่ใต้การบังคับบัญชา หากไม่ส่งจะถือว่ากบฏ เครื่องราชบรรณาการประกอบด้วยสิ่งสำคัญคือต้นไม้ทองเงินขนาดเท่ากัน ๑ คู่ และสิ่งของอีกจำนวนหนึ่งตามความเหมาะสม โดยไม่กำหนดชนิดและจำนวน หลักฐานในสมัยรัชกาลที่ ๔ พบว่าส่งต้นไม้ทองเงินสูง ๓ ศอกคืบ ๗ ชั้น และไม้ขอนสัก ๓๐๐ ต้น หรือบางปีส่งน้ำรักแทนในจำนวน ๑๕๐ หรือ ๓๐๐ กระบอก1 ต้นไม้ทองเงินที่ส่งมาถวายเข้าใจว่าไม่น่าจะมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากนัก เมื่อเทียบกับส่วยและการเกณฑ์สิ่งของซึ่งมีมูลค่าสูงกว่ามาก ส่วย เป็นสิ่งของที่ต้องส่งทุกปี ในอัตราที่ค่อนข้างแน่นอน ส่วยที่สำคัญของเชียงใหม่ คือ ไม้ขอนสัก ซึ่งเป็นของหาง่ายในท้องถิ่น ตามหลักฐานสมัยรัชกาลที่ ๓ พบว่าเชียงใหม่ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ส่งไม้ขอนสัก ๕๐๐ ต้น น่าน ๔๐๐ ต้น ลำปาง ๔๐๐ ต้น แพร่ ๒๐๐ ต้น ลำพูน ๒๐๐ ต้น2 อย่างไรก็ตามการส่งส่วยบางครั้งไม่ครบจำนวน มีการค้างส่วย ซึ่งสำหรับเมืองเชียงใหม่ไม่พบหลักฐานการทวงส่วยให้ส่งให้ครบหรือเร่งให้ส่ง เท่าที่พบมีเมืองแพร่ส่งไม้ขอนสักไม่ครบรัฐบาลกลางเร่งให้ส่งด่วน3 และเมืองน่านเจ้าเมืองของดส่งส่วยไม้ขอนสัก ๓ ปี ซึ่งรัชกาลที่ ๔ ไม่ยอมและ ถูกว่ากล่าวตักเตือน4 นอกจากไม้ขอนสักแล้วเชียงใหม่ส่งผ้าขาวเพลา ปีละ ๒๐๐ เพลา และน้ำรัก ๕๓๗ ทะนาน5 นอกจากจะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการและส่วยแล้ว เมื่อมีงานพระราชพิธี เช่น พระบรมศพ รัฐบาลกลางจะเกณฑ์สิ่งของ ตามหลักฐานในงานพระราชพิธีบรมศพรัชกาลที่ ๑ พ.ศ.๒๓๕๒ เชียงใหม่ถูกเกณฑ์กระดาษหัว ๒๐,๐๐๐ แผ่น ลำปางส่งกระดาษหัว ๑๕,๐๐๐ แผ่น ลำพูนส่งกระดาษหัว ๕,๐๐๐ แผ่น แพร่ส่งกระดาษหัว ๒๐,๐๐๐ แผ่น ป่าน ๕ หาบ และเมืองน่านต้องส่งกระดาษหัว ๓,๐๐๐ แผ่น ป่าน ๕ หาบ6 และเมื่อรัฐบาลกลางมีการก่อสร้างพระราชวังและวัดก็จะเรียกเกณฑ์ไม้ขอนสัก เช่น รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างพระราชวังที่ลพบุรีต้องใช้ไม้ขอนสักจำนวนมาก เท่าที่ค้นคว้าไม่พบหลักฐานว่าเมืองเชียงใหม่ถูกเกณฑ์เท่าไร พบแต่หลักฐานว่าเมืองลำปางต้องส่งไม้ขอนสักครั้งนั้นถึง ๑,๐๐๐ ต้น7 อย่างไรก็ตามเมื่อเชียงใหม่ส่งเครื่องราชบรรณาการและส่วยลงมา รัฐบาลกลางจะส่ง สิ่งของตอบแทนให้กลับไปใช้สอยในบ้านเมือง โดยพระราชทานแก่ผู้คุมบรรณาการหรือส่วย สิ่งของที่พระราชทานมักจะเป็นของที่ทางเชียงใหม่ขาดแคลนและขอร้องมา แต่ในการพระราชทานไม่แน่นอนว่าเป็นอะไร และมีจำนวนเท่าใด สมัยรัชกาลที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๔๕ พระราชทาน ดังนี้ ปืนนกคุ้มกระสุน ๒ นิ้ว ๒ บอก ปืนเล็กกระสุน ๓ นิ้ว ๒ บอก ๓ นิ้ว กระสุนปืนใหญ่ ๔ นิ้ว ๒,๕๐๐ ลูก ๕ นิ้ว ดีบุกหนัก ๕ หาบ สุพันถันหนัก ๓ หาบ ฉาบพล ๒,๐๐๐ ใบ กะทะเหล็ก ๗ ใบ ทองคำเปลว ๕,๐๐๐ แผ่น กระจกหนัก ๑๐ หาบ8 ฯลฯ เป็นต้น ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๙๐ พระราชทานพานไถนาโดยให้แวะรับเจ้าภาษีเหล็กที่เมืองชัยนาท และพบว่าการเข้าเฝ้าครั้งนั้นมีเจ้าอุปราชเชียงใหม่นำมา มีผู้คนติดตามถึง ๓๔๙ คน ในระหว่างการเข้าเฝ้าและเดินทางกลับทรงพระราชทานสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคซึ่งประกอบด้วย ข้าวสาร ๓๔๙ ถัง9 ฟืน ๕๐๐ ดุ้น เสื่อ ๔๒ ผืน น้ำมันมะพร้าว ๑๓๐ ทะนาน เป็นต้น10 เมื่อพิจารณาจากการตอบบรรณาการและส่วยแล้วนับว่าทั้งเมืองเชียงใหม่และรัฐบาลกลางต่างมีพันธะที่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และคงมีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงใหม่และกรุงเทพฯ สมัยก่อนการปฏิรูปการปกครองดำเนินไปด้วยความราบรื่น ประการที่สอง การป้องกันประเทศ ถือเป็นหน้าที่สำคัญของเมืองประเทศราชที่ต้อง ช่วยเหลือรัฐบาลกลาง เช่น ยามมีศึกสงครามจะถูกเกณฑ์กำลังทหารซึ่งจะต้องส่งกำลังมาช่วยอย่าง รวดเร็วเพื่อไม่ให้ถูกเพ่งเล็ง กองทัพเชียงใหม่เคยถูกเกณฑ์ราชการศึกหลายครั้ง เช่น คราวกบฏ เจ้าอนุวงศ์ พ.ศ. ๒๓๖๙ และเมื่อสถานการณ์ปกติเมืองประเทศราชต้องอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมป้องกันบ้านเมืองเสมอ ดังสารตราในสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ส่งถึงเมืองเชียงใหม่ตอนหนึ่งมีความว่า อีกประการหนึ่งให้ตรวจตราค่ายคูประตูเมือง ป้อมกำแพง หอรบเชิงเทินตึก ปืนดิน สำหรับบ้านเมือง สิ่งใดชำรุดหักอยู่ให้จัดแจงตกแต่งซ่อมแปลงทำขึ้นไว้ให้มั่นคงจะได้เป็นสง่างามกับบ้านเมือง สัตรูจะไม่ได้ประมาตขึ้นได้ กับให้บำรุงทหาร จัดแจงปืน กระสุนดินดำ เครื่องสาตราวุธ รวบรวมเสบียงอาหารใส่ยุ้งฉางให้พร้อมสรรพไว้กับบ้านเมือง มีราชการกิจสงครามคุกคามค่ำคืนประการใดก็ให้พร้อมมูล อีกประการหนึ่งให้แต่งกองลาดตระเวณตรวจตรารักษาด่านสืบราชการปลายแดนอย่าให้ขาด ถ้ามีเหตุการณ์ชายแดนให้บอกเมืองลคอร, ลำพูน แลหัวเมืองที่ไกลให้รู้ราชการ ให้เร่งรีบบอกลงกรุงเทพฯ ให้เมืองเชียงใหม่, ลำพูน, ลำปางช่วยกันรบพุ่งต้านทานไว้กว่ากองทัพกรุงเทพฯ กองทัพหัวเมืองจะขึ้นไปถึง อย่าให้เสียเขตแดนบ้านเมือง 11 ๒.๒ เชียงใหม่สมัยปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพ (พ.ศ. ๒๔๒๗ - ๒๕๗๖)12 ตามที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าเชียงใหม่นับตั้งแต่ตกเป็นประเทศราชของไทยใน พ.ศ. ๒๓๑๗ จนถึงช่วงก่อนการปฏิรูปสมัยรัชกาลที่ ๕ สถานการณ์โดยทั่วไปในเชียงใหม่อาจกล่าวได้ว่าไม่ก่อให้เกิดปัญหาอย่างใดต่อรัฐบาลกลาง แม้ว่าวิธีการควบคุมเมืองเชียงใหม่จะไม่รัดกุมเท่าไรนักก็ตาม การเปลี่ยนแปลงในรูปที่รัฐบาลกลางต้องเข้าไปควบคุมกิจการภายในมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่ง ในที่สุดก็ผนวกเอาเชียงใหม่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของไทยนั้น เกิดขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นยุคแห่งการปรับปรุงประเทศตามแบบตะวันตก ด้านการปกครองหัวเมืองมีการยกเลิกระบบการปกครองเมืองประเทศราชซึ่งเคยปฏิบัติกันมาช้านาน โดยจัดตั้งการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้นแทน มีข้าหลวงเทศาภิบาลที่รัฐบาลกรุงเทพฯ ส่งไปปกครองและขึ้นสังกัดกระทรวงมหาดไทย ระบบมณฑลเทศาภิบาลที่จัดตั้งขึ้นจึงเป็นการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติรัฐ ซึ่งมีอำนาจรวมศูนย์ที่องค์พระมหากษัตริย์ มูลเหตุของการปฏิรูปการปกครอง เกิดจากปัญหา ๒ ประการ คือ ปัญหาเกี่ยวกับ กิจการป่าไม้และปัญหาความวุ่นวายในหัวเมืองชายแดน ซึ่งเป็นปัญหาที่สืบเนื่องมาจากสถานการณ์ในเชียงใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไปหลังจากอังกฤษเข้าครอบครองดินแดนพม่า ทำให้คนในบังคับอังกฤษเข้ามามีความสัมพันธ์กับเชียงใหม่มากขึ้นและกลายเป็นปัญหาในเวลาต่อมา ประการแรก ปัญหาเกี่ยวกับกิจการป่าไม้ ที่มาของปัญหาเกิดจากแต่เดิมป่าไม้ทั้งหมดเป็นของเจ้าเมืองและเจ้านายบุตรหลานและยังไม่มีราคามากนัก มีการตัดไม้ขายแต่น้อย การขายมักจะอยู่ในรูปเจ้าของป่าอนุญาตให้ลูกหลานใช้บ่าวไพร่ตัดขายคราวละ ๑๐๐ - ๒๐๐ ต้น โดยไม่คิดเงินทอง13 ต่อมาคนในบังคับอังกฤษเข้ามาทำกิจการป่าไม้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ และกิจการได้ขยายตัวอย่าง รวดเร็ว ป่าไม้จึงมีมูลค่ามหาศาล เกิดการแข่งขันกันเพื่อให้ได้ทำสัมปทานป่าไม้ ซึ่งเจ้าของป่าไม้ก็ให้สัมปทานซ้ำซ้อนในป่าเดียวกันเสมอ จึงเกิดเป็นกรณีพิพาทฟ้องร้องต่อกงศุลอังกฤษและรัฐบาลไทยเป็นคดีความมากมาย ดังปรากฏว่า พ.ศ. ๒๔๑๖ ที่เชียงใหม่มีคดีฟ้องร้องด้วยเรื่องป่าไม้ ๔๒ เรื่อง เมื่อมีการชำระคดีต้องยกฟ้อง ๓ เรื่อง อีก ๑๑ เรื่อง มีหลักฐานว่าจำเลยคือเจ้าอินทรวิชยานนท์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๓๙) ผิดจริงต้องชดใช้เป็นค่าปรับถึง ๔๖๖,๐๑๕ รูปี14 ซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก รัฐบาลกลางจึงจ่ายให้ก่อนโดยให้เจ้าอินทรวิชยานนท์ผ่อนใช้ ๗ ปี15 ประการที่สอง ปัญหาความวุ่นวายในหัวเมืองชายแดน หัวเมืองชายแดนที่เกิดเป็นปัญหาคือบริเวณที่เรียกว่าหัวเมืองเงี้ยวทั้งห้า16 ประกอบด้วยเมืองหาง เมืองสาด เมืองต่วน เมืองทา และเมืองจวด (จวาด) เมืองเหล่านี้ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวินและอยู่ระหว่างเขตแดนของเชียงใหม่กับพม่า เชียงใหม่ได้หัวเมืองเงี้ยวทั้งห้าในสมัยพระยากาวิละฟื้นฟูบ้านเมือง แต่ด้วยวิธีการปกครองเมืองขึ้นของเชียงใหม่ที่ปล่อยให้ปกครองตนเองอย่างอิสระ จึงมีฐานะเป็นเมืองขึ้นแต่เพียงในนาม เท่านั้น และเมื่ออังกฤษเข้าครอบครองพม่า บรรดาหัวเมืองชายแดนพม่าต่างพยายามแยกตัวเป็นอิสระมีการรบพุ่งกันเสมอ และมักจะล้ำแดนเข้ามาเกณฑ์ราษฎรในเขตหัวเมืองเงี้ยวทั้งห้าเสมอ และ สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไขจากทางเชียงใหม่ ทำให้ความวุ่นวายในหัวเมืองชายแดนขยาย วงกว้างยิ่งขึ้น เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมมีการปล้นฆ่าคนในบังคับอังกฤษซึ่งเข้ามาติดต่อค้าขายในล้านนาไทย ดังเช่นในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ เกิดกรณีปล้นฆ่ามองตาทวย มองอุนอง และลูกจ้าง ซึ่งต่างเป็นคนในบังคับอังกฤษ โดยเจ้าเมืองเชียงใหม่ไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้17 รัฐบาลอังกฤษที่อินเดียจึงต้องการให้ รัฐบาลไทยรักษาความสงบในหัวเมืองชายแดนเพื่อคนในบังคับอังกฤษจะได้ปลอดภัย จากปัญหาทั้งสองประการที่เกิดขึ้นนั้น เป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลกลางต้องจัดการปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพในเวลาต่อมา และเพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของคนในบังคับอังกฤษ รัฐบาลอังกฤษที่อินเดียกับรัฐบาลไทยจึงตกลงทำสัญญาเชียงใหม่ (The Treaty of Chiengmai) ฉบับแรก พ.ศ. ๒๔๑๖ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อที่จะจัดการป้องกันผู้ร้ายที่ปล้นสดมภ์ตามชายแดนเชียงใหม่ และอังกฤษยินยอมให้คนเอเชียในบังคับอังกฤษที่มีคดีแพ่งขึ้นศาลที่จะจัดตั้งขึ้นที่เชียงใหม่ แต่มีข้อแม้ว่าในกรณีที่คนในบังคับอังกฤษยินยอมเท่านั้น หากไม่ยินยอมต้องส่งคดีนั้นให้แก่กงศุลอังกฤษที่กรุงเทพฯ หรือเจ้าหน้าที่อังกฤษที่ยองสะลินในพม่าเป็นผู้ดำเนินการตัดสิน สนธิสัญญาเชียงใหม่ฉบับนี้นับเป็นครั้งแรกที่อังกฤษยินยอมให้อำนาจทางการศาลแก่ไทยบ้าง แม้จะไม่สมบูรณ์นักก็ตาม อย่างไรก็ดีสนธิสัญญาฉบับนี้มีข้อบกพร่องหลายประการ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการป้องกันโจรผู้ร้ายตามบริเวณหัวเมืองชายแดน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่เกินกำลังที่เมืองเชียงใหม่จะจัดการให้เรียบร้อยได้18 และด้านคดีความต้องส่งมาฟ้องร้องต่อกงศุลอังกฤษที่กรุงเทพฯ เสมอ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาจึงเกิดทำสนธิสัญญาเชียงใหม่ฉบับที่สอง พ.ศ. ๒๔๒๖ โดยขยายอำนาจศาลไทยให้กว้างขึ้นอีกคือ กำหนดให้คนในบังคับอังกฤษต้องขึ้นศาลต่างประเทศทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ซึ่งเป็นการยกเลิกสิทธิของคนในบังคับอังกฤษที่เคยได้รับตามสัญญาเชียงใหม่ฉบับแรกที่ว่า จะขึ้นศาลไทย ต่อเมื่อตนเองยินยอม อย่างไรก็ตามการพิจารณาคดีต่างๆ กงศุลหรือรองกงศุลมีสิทธิถอนคดีจากศาลต่างประเทศไปชำระที่ศาลกงศุลได้ทุกเวลาที่เห็นสมควร จากสัญญาเชียงใหม่ฉบับที่สอง ทำให้รัฐบาลไทยยินยอมให้รัฐบาลอังกฤษจัดตั้งกงศุลประจำเมืองเชียงใหม่ และจากการทำสัญญาเชียงใหม่ที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้ง แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของตะวันตกที่เข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะอังกฤษมีผลประโยชน์ผูกพันอยู่เป็นอันมาก จนรัฐบาลไทยต้องเร่งดำเนินงานแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในเชียงใหม่ การปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพจึงเกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๒๗ ข้าหลวงสามหัวเมืองกับการแก้ไขปัญหาที่เชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๔๑๗ - ๒๔๒๖) หลังจากทำสนธิสัญญาเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๑๖ รัฐบาลกลางได้ส่งพระนรินทรราชเสนี (พุ่ม ศรีไชยยันต์) ไปเป็นข้าหลวงสามหัวเมืองประจำที่เชียงใหม่ เพื่อควบคุมดูแลและแก้ไขปัญหาในเมืองเชียงใหม่ ลำปาง และลำพูน19 ตามที่ระบุในสัญญานั้นซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลกลางได้ส่งข้าหลวงขึ้นไปประจำการ ความมุ่งหมายของการส่งข้าหลวงสามหัวเมืองพอสรุปได้ ๓ ประการคือ ประการแรกเพื่อให้ข้าหลวงทำหน้าที่ชำระคดีความที่เกี่ยวข้องกับคนในบังคับอังกฤษจึงมีฐานะเป็น ข้าหลวงตระลาการ ศาลต่างประเทศ ประการที่สองเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างกรุงเทพฯ กับเชียงใหม่ ประการที่สามเพื่อแนะนำให้เจ้าเมืองเชียงใหม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญาเชียงใหม่และปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาล ดังนั้น ในระยะแรกนี้จึงไม่มีนโยบายถึงขั้นยกเลิกฐานะเมืองประเทศราชหรือยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมืองเชียงใหม่ เพียงแต่ต้องการให้เจ้าเมืองเชียงใหม่ยอมปฏิบัติตามความต้องการของรัฐบาลกลางที่กรุงเทพฯ จึงอาจเปรียบเสมือน หุ่น หรือเครื่องจักรที่รัฐบาลกลางจะหมุนไปทางไหนก็ได้ นับว่าเป็นการเริ่มใช้วิธีการดำเนินงานแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะไม่สร้างความรู้สึกบังคับจิตใจของเจ้าเมืองเชียงใหม่ ทั้งนี้เห็นได้จากพระราชหัตถเลขารัชกาลที่ ๕ ซึ่งมีไปถึงข้าหลวงสามหัวเมือง (พ.ศ. ๒๔๒๖ - ๒๔๒๘) มีความตอนหนึ่งว่า การที่เป็นข้าหลวงสามหัวเมืองนี้ ต้องถือว่าเป็นผู้รักอำนาจแลรักษาคำสั่งกรุงเทพฯ ที่จะให้เป็นไปได้ตามคำสั่งทุกประการ แลต้องรู้ความประสงค์ของกรุงเทพฯ ว่าเราถือว่าเมืองเชียงใหม่ ยังไม่เป็นพระราชอาณาเขตรของเราแท้ เพราะยังเป็นประเทศราชอยู่ตราบใด แต่เราก็ไม่ได้คิดจะรื้อถอนวงษ์ตระกูลมิให้เป็นประเทศราช เป็นแต่อยากจะถือยึดเอาอำนาจ ที่จริง เมื่อจะว่าโดยย่อแล้ว ให้ลาวเป็นเหมือนหนึ่งเครื่องจักร ซึ่งเราจะหมุนไปข้างน่าฤามาข้างหลังก็ได้ตามชอบใจ แต่เป็นการจำเป็นที่จะต้องทำการอย่างนี้ด้วยสติปัญญาเป็นมากกว่าอำนาจกำลัง ต้องอย่าให้ลาวเห็นว่าเป็นการบีบคั้นกดขี่ ต้องชี้ให้เห็นในการที่เป็นประโยชน์ แลไม่เป็นประโยชน์เป็นพื้น 20 พระบรมราโชบายที่รัชกาลที่ ๕ ทรงวางไว้ดังกล่าวนับว่าเหมาะสมกับหัวเมืองประเทศราชเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าเมืองเชียงใหม่เคยปกครองบ้านเมืองอย่างค่อนข้างจะอิสระและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกรุงเทพฯ เมื่อเทียบกับหัวเมืองประเทศราชในภาคใต้เช่น ไทรบุรี และปัตตานี ซึ่งพยายามต่อต้านอำนาจรัฐบาลกลางเสมอ การที่จะดำเนินการควบคุมเชียงใหม่ให้มากขึ้นกว่าเดิมย่อมจะต้องกระทบกระเทือนจิตใจต่อเจ้าเมืองผู้ต้องสูญเสียอำนาจต่างๆ ที่เคยได้รับ รัชกาลที่ ๕ จึงทรงกำชับข้าหลวงที่ส่งมาประจำการที่เชียงใหม่เสมอ เช่น ให้ระมัดระวังไม่ให้เจ้าเมืองเชียงใหม่รู้สึกว่าถูกกดขี่, สิ่งที่ข้าหลวงกระทำต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าเมือง21 ข้าหลวงต้องสร้างสัมพันธไมตรีอันดีกับเจ้าเมือง หากข้าหลวงคนใดมีเรื่องบาดหมางกับเจ้าเมืองและเจ้านายบุตรหลานจะเรียกตัวกลับ22 นอกจากนั้นยังห้ามเรียกร้องกะเกณฑ์สิ่งใดที่จะสร้างความเดือดร้อนแก่เจ้าเมืองเชียงใหม่23 อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลกลางจะแก้ไขปัญหาโดยส่งข้าหลวงมาประจำการที่เชียงใหม่ แต่ปัญหาทั้งกรณีพิพาทเรื่องป่าไม้และปัญหาความวุ่นวายทางชายแดนก็หาได้ยุติลงไม่ ในที่สุดรัฐบาลอังกฤษกับรัฐบาลไทยต้องทำสนธิสัญญาเชียงใหม่ฉบับที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๔๒๖ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้รัฐบาลไทยแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง สาเหตุที่ทำให้ข้าหลวงสามหัวเมืองไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ พอสรุปได้ ๒ ประการ ประการแรก ข้าหลวงสามหัวเมืองไม่มีอำนาจชำระคดีเต็มที่ โดยข้อบังคับกำหนดให้มีอำนาจชำระความไม่เกิน ๕,๐๐๐ รูปี24 ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิน ดังนั้นคดีความต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเชียงใหม่จะมาสิ้นสุดกันที่กรุงเทพฯ เสมอ ประการที่ ๒ นโยบายของรัฐบาลกลางยังไม่ประสงค์จะเปลี่ยนแปลงใดๆ มากนัก ทั้งนี้เพราะเกรงปฏิกิริยาจากเจ้าเมืองเชียงใหม่และเจ้านายบุตรหลานจึงเป็นแต่เพียงส่งข้าหลวงสามหัวเมืองมาปูทางให้กับการปฏิรูปในครั้งต่อไป ดังนั้นข้าหลวงที่ส่งมาประจำเชียงใหม่ใน พ.ศ. ๒๔๑๗ จึงมียศเพียงชั้นพระ (พระนรินทรราชเสนี พุ่ม ศรีไชยยันต์) ข้าหลวงคนแรกตำแหน่งเดิมเป็นปลัดบัญชีกรมพระกลาโหม ซึ่งมีส่วนทำให้เจ้านายบุตรหลานไม่ยำเกรงเท่าที่ควร25 การปฏิรูปการปกครองในเมืองเชียงใหม่ หลังจากที่รัฐบาลอังกฤษกับรัฐบาลไทยทำสนธิสัญญาเชียงใหม่ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๒๖ ซึ่งสัญญาฉบับนี้อังกฤษมุ่งหมายให้ไทยแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เชียงใหม่อย่างแท้จริง โดยอังกฤษต้องการให้ไทยส่งข้าหลวงที่มีอำนาจเต็มขึ้นไปดำเนินการ เพราะขณะที่กำลังเจรจาทำสัญญาฉบับนี้ บรรดา หัวเมืองขึ้นพม่าต่างเป็นอิสระทำการสะสมเสบียงอาหารโดยยกกำลังเข้าโจมตีหัวเมืองชายแดนลานนา ไทย26 และความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้นเกินกำลังที่เมืองเชียงใหม่จะจัดการให้เรียบร้อยได้ ประกอบกับสถานการณ์ภายในเชียงใหม่ขณะนั้นกำลังยุ่งยาก เพราะเจ้าเทพไกรษรชายาของเจ้าอินทรวิชยานนท์ผู้มีความสามารถในการปกครองถึงแก่พิราลัย ในปี พ.ศ. ๒๔๒๖ เจ้าอินทรวิชยานนท์ก็ไม่มีความเข้มแข็งเพียงพอ เจ้านายชั้นสูงในเชียงใหม่จึงแย่งชิงอำนาจกัน นับเป็นโอกาสดีของรัฐบาลกลางที่จะดำเนินการปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพโดยมีศูนย์กลางการดำเนินงานที่เชียงใหม่27 การปฏิรูปการปกครองในเมืองเชียงใหม่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพ ซึ่งเป็นกระบวนการรวมหัวเมืองประเทศราชลานนาไทยเข้ากับส่วนกลาง รัฐบาลกลางวาง เป้าหมายของการปฏิรูปการปกครองเพื่อสร้างเอกภาพแห่งชาติ ซึ่งมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมอำนาจเพียงแห่งเดียว ในการดำเนินการจะต้องกระทำสิ่งสำคัญ ๒ ประการ คือ ประการแรก ยกเลิกฐานะหัวเมืองประเทศราชที่เป็นมาแต่เดิม โดยจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล ส่งข้าหลวงมา ปกครอง ขณะเดียวกันก็พยายามยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมืองเสีย โดยรัฐบาลกลางริดรอนอำนาจของ เจ้าเมืองอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งในที่สุดตำแหน่งเจ้าเมืองก็สลายตัวไป ประการที่สอง การผสม กลมกลืนชาวพื้นเมืองให้มีความรู้สึกเป็นพลเมืองไทยเช่นเดียวกับพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ กล่าวคือให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชนในชาติ รัฐบาลกลางใช้วิธีจัดการปฏิรูปการศึกษาใน ลานนาโดยจัดระบบโรงเรียนหนังสือไทยซึ่งเป็นระบบการศึกษาแบบใหม่เข้าแทนที่ การเรียนในวัดและกำหนดให้เรียนภาษาไทยกลางแทนภาษาไทยยวน28 การปฏิรูปการปกครองในเมืองเชียงใหม่มีลักษณะการดำเนินงานที่ต่อเนื่องและยาวนาน ซึ่งสามารถแบ่งเป็น ๒ สมัย - สมัยก่อนจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. ๒๔๒๗ - ๒๔๔๒) - สมัยจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. ๒๔๔๒ - ๒๔๗๖) เชียงใหม่สมัยก่อนจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. ๒๔๒๗ - ๒๔๔๒) เชียงใหม่สมัยปฏิรูปการปกครองหัวเมืองลาวเฉียง (พ.ศ. ๒๔๒๗ - ๒๔๓๕) การปฏิรูปหัวเมืองลาวเฉียงเป็นการเข้าควบคุมเมืองเชียงใหม่อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก ซึ่งรัชกาลที่ ๕ มีพระราชดำริว่าในการวางรากฐานการปฏิรูปต้องส่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิชิต- ปรีชากรไปปูทางเพราะนอกจากเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแล้ว ยังเป็นผู้ที่มีความสามารถรอบรู้และมีความตั้งพระทัยในการดำเนินงาน ทำให้เจ้าเมืองเชียงใหม่และเจ้านายบุตรหลานยำเกรงและยอมรับการ เปลี่ยนแปลง29 การดำเนินงานกรมหมื่นพิชิตปรีชากรทรงปรับปรุงด้านการปกครองให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น โดยยังคงให้มีตำแหน่งเค้าสนามหลวงแต่ลดความสำคัญลงจนยกเลิกไปเอง จากนั้นทรงแต่งตั้งเสนา ๖ ตำแหน่งขึ้นมาใหม่ ประกอบด้วยกรมมหาดไทย กรมทหาร กรมคลัง กรม ยุติธรรม กรมวัง และกรมนา แต่ละกรมมีเจ้านายบุตรหลานดำรงตำแหน่งเสนา เป็นผู้บังคับบัญชากรม ข้าราชการจากส่วนกลางเป็นผู้ช่วยเสนา ทำหน้าที่ให้คำแนะนำและช่วยเหลือเจ้านายบุตรหลานที่ยังไม่ เข้าใจรูปแบบการปกครองอย่างใหม่ ดังนั้น ผู้ช่วยเสนาจึงเป็นผู้คุมอำนาจการปกครองและทำหน้าที่ จัดการด้านต่างๆ อย่างแท้จริง นอกจากนั้นมีตำแหน่งพระยารองซึ่งสงวนไว้ให้เจ้านายบุตรหลาน หรือขุนนางพื้นเมืองเป็นตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญมาก แต่มีไว้เพื่อถนอมน้ำใจชาวพื้นเมือง ในแต่ละกรมจึงประกอบด้วยตำแหน่งพระยาว่าการกรม (เสนา) พระยาผู้ช่วยไทย (ผู้ช่วยเสนา) และพระยา รองลาว30 ตำแหน่งเสนาทั้ง ๖ ตั้งขึ้นเพื่อมิให้เจ้านายบุตรหลานรู้สึกว่าต้องสูญเสียอำนาจและ เกียรติยศไป สำหรับเหตุผลของการตั้งเสนา ๖ ตำแหน่ง เพื่อจะกระจายอำนาจของเจ้าเมือง ซึ่งเคยมีอย่างมากไปสู่เจ้านายบุตรหลานและโดยเฉพาะข้าราชการจากส่วนกลาง ซึ่งเป็นกลจักรสำคัญของการควบคุมอำนาจ อย่างไรก็ตามตำแหน่งเสนาทั้ง ๖ เป็นตำแหน่งการเมืองซึ่งคัดเลือกโดยเค้าสนามหลวงแล้วเสนอให้เจ้าเมืองแต่งตั้งและมีสิทธิโยกย้ายหรือถอดถอนได้ ซึ่งเป็นการให้เจ้าเมืองเชียงใหม่ทำหน้าที่ควบคุมเสนาทั้ง ๖ ด้วย และเป็นนโยบายที่ต้องการไม่ให้ตำแหน่งเสนาทั้ง ๖ เป็นอิสระจนเกินไป ซึ่งมีผลทำให้เสนาทั้ง ๖ และเค้าสนามหลวงมีความสัมพันธ์กัน31 การจัดการปกครองแบบใหม่จำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องเก็บภาษีจาก ท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย โดยที่รัฐบาลกลางไม่ต้องส่งเงินมาช่วย และเมื่อมีเงินเหลือจ่ายตามงบประมาณในแต่ละปีกำหนดว่าต้องนำส่งรัฐบาลกลาง เพื่อให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายของการปฏิรูปการปกครองจึงมีการปรับปรุงการเก็บภาษีอากรให้เป็นแบบเดียวกับระบบกรุงเทพ ดังนี้ ประการแรก การจัดระบบผูกขาดให้เจ้าภาษีนายอากรประมูล ครั้งแรกมีภาษี ๕ ชนิด คือ ภาษีสุรา ภาษีสุกร ภาษีนา ภาษีครั่ง และสมพัตสรต้นไม้32 หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:44:51 เชียงใหม่ ๖
ประการที่สอง การเพิ่มชนิดของภาษีอากรขึ้นใหม่หลายอย่าง แยกตามหมวดหมู่ได้ถึง ๙ ประเภท ซึ่งแต่เดิมเท่าที่พบมีภาษีข้าวและภาษีหลังคาเรือนเท่านั้น1 ประการสุดท้าย รูปแบบการเก็บภาษี เดิมเก็บเป็นผลผลิต เช่น ปลูกข้าวเสียภาษีเป็นข้าว แต่ระบบใหม่ต้องเสียภาษีเป็นเงิน ทั้งที่ระบบเศรษฐกิจแบบเงินตรายังไม่แพร่หลาย ราษฎรยังเคยชินกับการแลกเปลี่ยนสิ่งของและระบบเศรษฐกิจคงเป็นแบบเลี้ยงตัวเอง การจัดเก็บภาษี ระบบกรุงเทพฯ ดังกล่าว นับว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ครั้งใหญ่ในล้านนาไทยที่มีผลกระทบกระเทือนต่อราษฎรอย่างยิ่ง เพราะราษฎรนอกจากจะถูกขูดรีดจากเจ้าภาษีนายอากรแล้วยังต้องจ่ายภาษีเป็นเงินจำนวนมาก ราษฎรจึงเดือดร้อน กรมหมื่นพิชิตปรีชากรทรงทำหน้าที่วางรากฐานกับการปฏิรูปหัวเมืองลาวเฉียงเท่านั้น โดยใช้เวลาเพียงปีเศษ (พ.ศ. ๒๔๒๗ - ๒๔๒๘) ก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ เพื่อช่วยราชการด้านอื่นต่อไป รัฐบาลกลางได้จัดส่งข้าหลวงคนต่อมาปกครอง โดยมีนโยบายให้จัดการปกครองตามแบบที่กรมหมื่นพิชิตปรีชากรทรงวางรากฐานไว้ แต่รูปแบบที่กรมหมื่นพิชิตปรีชากรทรงวางไว้เสื่อมคลายลงเป็นลำดับนับตั้งแต่พระยาเพชรพิไชย (จิน จารุจินดา) (พ.ศ. ๒๔๓๑) ดำรงตำแหน่งข้าหลวงห้าหัวเมือง พระยาเพชรพิไชยแทนที่จะรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของรัฐบาลกลาง กลับเป็นใจให้เจ้าอินทรวิชยานนท์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ล้มเลิกระเบียบแบบแผนต่างๆ โดยเจ้าอินทรวิชยานนท์ออกหนังสือประกาศเรียกร้องให้รัฐบาลกลางยกเลิกเสนา ๖ ตำแหน่ง ยกเลิกระบบภาษีอากรแบบกรุงเทพฯ ขอใช้ระบบเดิมคือเก็บส่วยในอัตรา ๑๐ ชัก ๒ แล้วให้นำส่งเค้าสนาม ขอเก็บภาษีข้าวเป็นผลผลิตและเก็บภาษีหลังคาเรือน ในคำประกาศนั้นอ้างว่าเทพยดาที่รักษาบ้านเมืองไม่พอใจการดำเนินงานของกรมหมื่นพิชิตปรีชากร จึงบันดาลให้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล และพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนสมัยเจ้าเมืองเชียงใหม่คนก่อนๆ2 นับเป็นวิธีการที่อ้างความเชื่อถือของราษฎรเป็นเครื่องมือต่อรอง ซึ่งเข้าใจว่าราษฎรบางส่วนคงเห็นด้วยกับคำประกาศ เพราะกำลังเดือดร้อนกับการกดขี่ของเจ้าภาษีนายอากรอยู่แล้ว หลังจากเจ้าอินทรวิชยานนท์ออกหนังสือประกาศให้ราษฎรทราบแล้ว ก็นำความกราบบังคมทูลต่อรัชกาลที่ ๕ ซึ่งรัชกาลที่ ๕ ไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เข้าสู่ระบบเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่เดือน พระยาเพชรพิไชยกลับยินยอมให้เจ้าอินทรวิชยานนท์ยกเลิกระบบการเก็บภาษีแบบกรุงเทพฯ โดยพลการ นอกจากนั้นพระยาเพชรพิไชยยังใช้ตำแหน่งหาผลประโยชน์ เช่น ทุจริตเงินหลวงถึง ๑๖,๓๗๗ รูปี3 และร่วมมือกับเจ้าเมืองเชียงใหม่ให้อนุญาตเปิดบ่อนการพนัน ทั้งที่เมื่อสมัยกรมหมื่นพิชิตปรีชากรทรงมีประกาศห้ามเล่นการพนันทุกชนิดเป็นอันขาด4 พระยาเพชรพิไชยกระทำผิดอย่างร้ายแรงดังกล่าว จึงถูกเรียกตัวกลับกรุงเทพฯ ทันที และผลการปฏิบัติงานของพระยาเพชรพิไชยสร้างความแตกแยกในหมู่ข้าราชการไทยที่ส่วนกลางส่งมา เนื่องจากมีข้าราชการไทยอีกกลุ่มหนึ่งพยายามรักษาอำนาจรัฐบาลกลางอย่างเต็มที่ ความแตกแยกของข้าราชการไทยทำให้ราชการต่างๆ หยุดชะงักลง และเป็นโอกาสให้เจ้าเมืองเชียงใหม่เรียกร้องอำนาจและผลประโยชน์คืน ในการแก้ไขปัญหารัฐบาลกลางส่งข้าหลวงชุดใหม่มา ประกอบด้วย พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าโสณบัณฑิตย์ ดำรงตำแหน่งข้าหลวงพิเศษ และพระยามหาเทพในตำแหน่งข้าหลวงห้า หัวเมือง ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์โดยพยายามรักษาอำนาจรัฐบาลกลาง แต่สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นกบฏพระยาปราบสงคราม (พญาผาบ) กบฏพระยาปราบสงครามเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ ที่ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่5 เรื่องราวเกี่ยวกับกบฏพระยาปราบสงครามเป็นสิ่งที่น่าสนใจยิ่ง จึงมีการศึกษา ค้นคว้ากันมาบ้างแล้ว6 แต่ยังสามารถตีความในแนวทางอื่นได้อีก ซึ่งผู้เขียนพยายามศึกษาเรื่องนี้โดยใช้หลักฐานจากการสัมภาษณ์บุคคลที่สูงอายุในท้องถิ่น ประกอบกับหลักฐานของทางราชการที่ หอ จดหมายเหตุแห่งชาติ จากการศึกษาพบว่า พระยาปราบสงครามผู้นำกบฏมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีความสามารถสูง และเป็นผู้ปกครองระดับท้องถิ่นโดยได้รับความไว้วางใจจากเจ้าเมืองเชียงใหม่ให้ ปกครองและเก็บภาษีด้านฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง คือบริเวณแขวงจ๊อม (หนองจ๊อม) แขวงคือ (แม่คือ) และแขวงกอก7 จากหลักฐานของทางราชการระบุชัดเจนว่าพระยาปราบสงครามเป็นแคว่น (กำนัน) แต่เมื่อพิจารณาหน้าที่ของพระยาปราบสงครามซึ่งได้ปกครองแคว่นและแก่บ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) โดยพิจารณาจากคำกราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๕ ของเจ้าพระยาพลเทพ มีความตอนหนึ่งว่า เป็นต้นท้าวขุนกรมการแขวงกำนันนายบ้าน8 เพราะฉะนั้นหากเทียบอำนาจหน้าที่นี้คงเท่ากับนายอำเภอ แต่ในสมัยนั้นบริเวณ ๓ แขวงดังกล่าวขึ้นกับเมืองเชียงใหม่ ยังไม่มีการจัดตั้งเป็นอำเภอดังปัจจุบัน จากการสัมภาษณ์บุคคลในท้องถิ่นต่างมีความเห็นตรงกันว่า พระยาปราบสงครามเป็นผู้นำท้องถิ่นที่เก่งกล้าด้านไสยศาสตร์และการรบพุ่ง เป็นที่ยอมรับนับถือและเลื่องลือในหมู่บ้านละแวกนั้น ซึ่งคงมีส่วนทำให้ราษฎรที่เดือดร้อนจากการเก็บภาษีเข้าร้องเรียนต่อพระยาปราบสงคราม พระยาปราบสงครามจึงออกปกป้องราษฎรจนลุกลามเป็นกบฏพระยาปราบสงคราม เหตุการณ์กบฏพระยาปราบสงครามมีจุดเริ่มต้นจากระบบเก็บภาษีอากรผูกขาด โดยเฉพาะภาษีหมาก พลู มะพร้าว เมื่อพระองค์เจ้าโสณบัณฑิตย์กำหนดให้เก็บอากรพืชสวนแบบกรุงเทพฯ คือออกเก็บปีละครั้งแทนระบบเดิมที่กรมหมื่นพิชิตปรีชากรกำหนดให้มีการเสียภาษีเฉพาะเมื่อมีการซื้อขายเกิดขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นระบบใหม่แม้ไม่มีการซื้อขายก็ต้องถูกเก็บภาษีหรือยังไม่ทันขายก็ต้องเสียภาษีแล้ว ทำให้ราษฎรไม่สามารถหาเงินมาเสียได้ทัน ราษฎรจึงต้องการเสียภาษีเป็นผลผลิตทางเกษตรตามระบบการเก็บภาษีแบบเดิมของลานนาไทย น้อยวงษ์เป็นผู้ประมูลภาษีหมาก มะพร้าว พลู ได้ในอัตราปีละ ๔๑,๐๐๐ รูปี ซึ่งสูงกว่าอัตราเดิมถึง ๑๖,๐๐๐ รูปี9 ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเก็บภาษีอย่างเข้มงวดเพื่อให้ได้เงินกลับคืนมาให้มากที่สุด น้อยวงษ์ได้ออกเก็บภาษีตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๒ เป็นต้นมา ในอัตราที่สูงกว่าเดิม คือ หมาก ๒ ต้น ต่อวิ่น มะพร้าว ๑ ต้น ต่อวิ่น (๑ วิ่น = ๑๒.๕ สตางค์) ราษฎรที่ปลูกพืชสวนดังกล่าวได้รับการเดือดร้อนจากการข่มเหงของพวกเจ้าภาษีที่บังคับให้จ่ายค่าภาษีตามที่ตนกำหนดซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก โดยเฉพาะแขวงคือ แขวงจ๊อม และแขวงกอก ในเขตพระยาปราบสงครามปกครอง เป็นบริเวณที่นิยมปลูกต้นหมากกันมากมายจนต้องใช้วิธีการนับโดยจักตอกมัดละร้อย นำไปมัดตามโคนต้นหมาก แล้วหักลบออกจากตอกที่เหลือ10 แต่ละบ้านจะต้องเสียภาษีระหว่าง ๘๐ - ๒๐๐ รูปี11 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก12 เมื่อเทียบกับสมัยที่พระยาปราบสงครามทำหน้าที่เก็บภาษีส่งให้เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ จะเก็บภาษีหลังคาเรือนครอบครัวละ ๕ รูปี ส่วนข้าวก็เก็บตามจำนวนพันธุ์ที่ใช้ปลูกในอัตราพันธุ์ข้าวปลูก ๑ ถัง เสียส่วย ๒ ถัง เมื่อพวกเจ้าภาษีมาเก็บอากรพืชสวนดังกล่าวในเขตแขวงจ๊อม (ตำบลหนองจ๊อม อำเภอ สันทรายในปัจจุบัน) ราษฎรส่วนหนึ่งไม่สามารถนำเงินมาชำระค่าภาษีได้จึงขอเสียเป็นผลผลิต พวก เจ้าภาษีไม่ยอมกลับข่มเหงจำขื่อมือเท้าราษฎร สร้างความไม่พอใจแก่ราษฎรที่พบเห็นเกิดรวมตัวกันต่อต้านพวกเจ้าภาษีโดยมีพระยาปราบสงครามเป็นผู้นำ ซึ่งเริ่มต่อต้านด้วยการประกาศห้ามไม่ให้ เจ้าภาษีเก็บภาษีในเขตตำบลหนองจ๊อมแล้วลุกลามใหญ่โตถึงกับวางแผนจะเข้าโจมตีเมืองเชียงใหม่ โดยมุ่งหมายจะสังหารข้าราชการจากส่วนกลางและเจ้าภาษีชาวจีนในฐานะผู้สร้างความเดือดร้อน13 แต่ถูกทางการปราบปรามเสียก่อนโดยที่พระยาปราบสงครามหลบหนีไปได้จึงรวมกำลังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งหลังได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองเชียงตุง สามารถยึดเมืองฝางได้ อย่างไรก็ตามในที่สุดก็ถูกทางการปราบปรามจนสำเร็จ14 สาเหตุของกบฏพระยาปราบสงครามเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการ ปกครองและเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการปฏิรูปการปกครองในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งทำให้เจ้าเมืองเชียงใหม่และเจ้านายบุตรหลานต้องสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จึงพยายามต่อต้านการดำเนินงานปฏิรูปการปกครองตลอดมา และในเหตุการณ์กบฏพระยาปราบสงคราม เจ้านายในเมืองเชียงใหม่ก็มีส่วนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง15 ในการตีความเท่าที่ผ่านมาต่างก็ยอมรับว่าเจ้านายในเมืองเชียงใหม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกบฏด้วย16 แต่ไม่มีผู้ใดพิจารณาต่อไปว่าการปฏิรูปการปกครองของกรมหมื่นพิชิตปรีชากรนั้น ได้กระทบกระเทือนถึงโครงสร้างทางการปกครองในระดับล่างทั้งหมด ซึ่งรวมถึงแคว่นและแก่บ้านด้วย ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านี้ ก่อนหน้าจะปฏิรูปการปกครองเป็นกลุ่มที่เคยมีผลประโยชน์ต่อการเก็บ รวบรวมภาษีอากรให้เจ้าเมืองเชียงใหม่ ข้าราชการท้องถิ่นจึงสูญเสียผลประโยชน์ และรู้สึกว่ารัฐบาลกลางเข้ามายุ่งเกี่ยวมากเกินไป หลักฐานที่สนับสนุนนั้นเห็นได้ชัดว่าผู้ร่วมก่อการกบฏครั้งนี้ล้วนเป็น ข้าราชการระดับท้องถิ่นทั้งสิ้น เช่น พระยาปราบสงคราม แคว่นและแก่บ้าน ประกอบด้วย พระยาขัติยะ (แคว่นแม่คือ) ท้าวยาวิไชย (แก่บ้านป่าบง) พระยารัตนคูหา (แก่บ้านถ้ำ) พระยาจินใจ (แคว่นจ๊อม) พระยาชมภู (แก่หัวฝาย) ท้าวเขื่อนคำ (แคว่นกอก) และท้าวขัด ท้าวใจ ท้าวเขื่อนแก้ว ท้าวราช ท้าวขันคำ แสนเทพสุรินทร์ เป็นต้น17 สำหรับสาเหตุที่ผลักดันให้พระยาปราบสงครามก่อการกบฏผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นผลโดยตรงจากการสูญเสียผลประโยชน์ด้านการจัดเก็บภาษีด้านแม่ปิงฝั่งตะวันออก นอกจากนั้นยังมีสาเหตุประกอบการตัดสินใจของพระยาปราบสงครามอีกด้วย ได้แก่ การได้รับความสนับสนุนจากเจ้านายในเมืองเชียงใหม่ และไม่พอใจการทำทารุณต่อราษฎรในความปกครอง ซึ่งพระยาปราบสงครามตาม คำบอกเล่าเป็นคนดีรักความยุติธรรม หลังจากเกิดกบฏพระยาปราบสงคราม อำนาจของรัฐบาลกลางเริ่มลดลงตามลำดับจนมีลักษณะคล้ายระบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งรัชกาลที่ ๕ ทรงเข้าพระทัยถึงความรู้สึกกระทบกระเทือนใจของเจ้านายในเมืองเชียงใหม่ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่ดำเนินการปฏิรูป ในช่วงหลังกบฏพระยาปราบสงคราม (พ.ศ. ๒๔๓๒ - ๒๔๓๕) จึงไม่มีการแก้ไขปัญหาทันที เชียงใหม่สมัยปฏิรูปการปกครองมณฑลลาวเฉียง (พ.ศ. ๒๔๓๖ - ๒๔๔๒) ความจำเป็นต้องปรับปรุงการปกครองมณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพในเวลาต่อมาเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่รัฐบาลไทยต้องยอมยกหัวเมืองเงี้ยวทั้งห้าและหัวเมืองกะเหรี่ยง ซึ่งมีปัญหาวุ่นวายเสมอมาให้แก่รัฐบาลอังกฤษในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ และในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ไทยก็เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแก่ฝรั่งเศสในวิกฤตกาล ร.ศ. ๑๑๒ ทำให้เขตแดนด้านตะวันออกของมณฑลลาวเฉียงต้องเผชิญกับการรุกรานของฝรั่งเศสตลอดมา ในที่สุดไทยต้องเสียหัวเมืองฝั่งขวาแม่น้ำโขง ซึ่งขึ้นกับเมืองน่านแก่ฝรั่งเศสใน พ.ศ. ๒๔๔๖ การดำเนินงานครั้งนี้มีพระยาทรงสุรเดช (อั้น บุนนาค) ดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่มณฑลลาวเฉียงเป็นเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๔๓๖ - ๒๔๔๒) และได้ขยายเขตการปฏิรูปออกไปจากเดิมถึงเมืองแพร่และเมืองน่านด้วย ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะเมืองเชียงใหม่เท่านั้น พระยาทรงสุรเดชจัดการหลายด้านซึ่งสามารถรวมอำนาจเข้าสู่รัฐบาลกลางสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง ด้านการปกครองในระดับมณฑล พระยาทรงสุรเดชริเริ่มจัดตั้งกองมณฑลลาวเฉียงซึ่งเป็นหน่วยงานที่สำคัญมาก กองมณฑลมีพระยาทรงสุรเดชข้าหลวงใหญ่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด และมีข้าหลวงรองในตำแหน่งข้าหลวงมหาดไทย ข้าหลวงยุติธรรม ข้าหลวงคลัง ข้าหลวงป่าไม้ และมี ข้าราชการระดับเสมียนพนักงานประจำอยู่ในกองมณฑล รูปแบบการปกครองดังกล่าวจะเห็นว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับการปกครองมณฑลเทศาภิบาลซึ่งจะจัดในสมัยต่อมา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่รัฐบาลกลางได้เตรียมพื้นฐานที่จะปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลในมณฑลพายัพให้เป็นแบบแผนเช่นเดียวกับมณฑลภายใน และข้อบกพร่องครั้งนี้จะได้รับการแก้ไขในสมัยมณฑลเทศาภิบาล ส่วนการปกครองในเมืองเชียงใหม่ พระยาทรงสุรเดชตั้งตำแหน่งพระยาผู้ช่วยเสนาทั้ง ๖ ให้ครบทุกตำแหน่ง หลังจากที่ถูกเจ้าเมืองเชียงใหม่ยกเลิกไปในครั้งที่เจ้าพระยาพลเทพเป็นข้าหลวงพิเศษในพ.ศ. ๒๔๓๓ การตั้งเสนา ๖ ตำแหน่ง พระยาทรงสุรเดชใช้วิธีการที่เรียกว่า อุบายเกี้ยวลาว18 โดยเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองเชียงใหม่ให้แต่งตั้งผู้ช่วยเสนา ๖ ตำแหน่งขึ้น ซึ่งประสบความสำเร็จ พระยาทรงสุรเดชดึงตัวข้าราชการที่ทำการในกองมณฑลมาดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น ผู้ช่วยเสนาคลังและ ผู้ช่วยเสนานา ทั้งยังดึงเอาตำแหน่งสำคัญทั้งสองมารวมไว้ที่ว่าการมณฑลลาวเฉียง การกระทำดังกล่าวก็เท่ากับที่ว่าการมณฑลแย่งตำแหน่งและงานต่างๆ ที่ระดับเมืองเคยทำ ซึ่งเจ้านายบุตรหลานเริ่มไม่พอใจเพราะเกรงว่าจะสูญเสียอำนาจต่างๆ ที่มีอยู่อย่างรวดเร็ว และเกรงว่ารัฐบาลจะยกตำแหน่งต่างๆ ไปไว้ ณ ที่ว่าการมณฑลเสียหมดจนกระทั่งตนไม่มีอำนาจหน้าที่จะทำกิจการใดๆ ความไม่พอใจการกระทำของพระยาทรงสุรเดช เป็นสาเหตุให้เจ้านายในเมืองเชียงใหม่ทำหนังสือร้องเรียนนำขึ้นกราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๕ การปกครองในเมืองอื่นๆ พระยาทรงสุรเดชจัดส่งข้าหลวงไปประจำเมืองตามลำดับความสำคัญคือ พระยาทรงสุรเดชถือเป็นข้าหลวงที่ ๑ ประจำอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ โดยเขตการปกครองรวมไปถึงเมืองลำพูนด้วย รองลงมามีข้าหลวงที่ ๒ ประจำอยู่ที่เมืองลำปางและเมืองน่าน และข้าหลวงที่ ๓ ประจำที่เมืองแพร่ ข้าหลวงที่ส่งไปประจำเมืองจะเป็นตัวแทนของข้าหลวงใหญ่ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่เจ้านายบุตรหลานเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลกลาง อย่างไรก็ตามในช่วงที่พระยาทรงสุรเดชดำเนินการปฏิรูปไม่ปรากฏว่า ได้มีการ เปลี่ยนแปลงในระดับอำเภอ ตำบล และหมู่บ้านแต่อย่างใด คงปล่อยให้มีสภาพดังเดิม การเปลี่ยนแปลงในระดับท้องถิ่นจะเด่นชัดในสมัยที่มีการปกครองแบบเทศาภิบาล ในด้านการคลัง พระยาทรงสุรเดชรวบอำนาจไว้ไม่ให้เจ้าเมืองเชียงใหม่และเจ้านาย บุตรหลานใช้จ่ายอย่างอิสระ โดยกำหนดให้เจ้าเมืองเชียงใหม่ได้รับเงินผลประโยชน์ (ไม่รวมค่าตอไม้) ปีละ ๘๐,๐๐๐ รูปี19ซึ่งในขณะที่ดำเนินการอยู่นั้นเจ้าเชียงใหม่อินทรวิชยานนท์ถึงแก่พิราลัย พระยา ทรงสุรเดชจึงตัดเงินผลประโยชน์ให้เหลือปีละ ๓๐,๐๐๐ รูปี พร้อมทั้งลดเงินเดือนเจ้านายบุตรหลานที่รับ ราชการ และจัดการโยกย้ายถอดถอนบางตำแหน่งแล้วให้ข้าราชการไทยเป็นแทนพร้อมกับเพิ่มเงินเดือนให้ การจัดการของพระยาทรงสุรเดชสร้างความรู้สึกบีบคั้นต่อเจ้านายบุตรหลานในเมืองเชียงใหม่มากจนเกิดการแตกแยกแบ่งเป็นฝ่ายข้าหลวงและฝ่ายเจ้านายบุตรหลาน ซึ่งมีความรุนแรงถึงขนาดแบ่งเขตแดนกัน โดยฝ่ายข้าหลวงอยู่ด้านริมแม่น้ำปิง20 ส่วนเจ้านายบุตรหลานอยู่ในกำแพงเมืองและทั้งสองฝ่ายมุ่งประทุษร้ายต่อกัน สถานการณ์จึงตึงเครียดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง รัชกาลที่ ๕ ทรงแก้ไขโดยเรียกตัวพระยาทรงสุรเดชกลับกรุงเทพฯ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระยานริศรราชกิจ (สาย โชติกเสถียร) ซึ่งไม่เข้มงวดเช่นพระยาทรงสุรเดชขึ้นไปเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลแทน และจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล โดยมีพระยาศรีสหเทพ (เส็ง วิรยศิริ) ดำเนินการปฏิรูป (ธันวาคม ๒๔๔๒ - เมษายน ๒๔๔๓) เชียงใหม่สมัยจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. ๒๔๔๒ - ๒๔๗๖) การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลเริ่มจากหัวเมืองชั้นในก่อน แล้วขยายไปยังหัวเมืองประเทศ-ราชเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๔๙ จึงทั่วพระราชอาณาจักร มณฑลพายัพจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๒ อย่างไรก็ตามดินแดนส่วนนี้ได้รับการปฏิรูปมาตั้งแต่ก่อนหน้าเป็นมณฑลเทศาภิบาลแล้ว (พ.ศ. ๒๔๒๗ - ๒๔๔๒) การจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลเป็นการยกเลิกฐานะหัวเมืองประเทศราชลานนาไทย มาเป็นดินแดนส่วนหนึ่งในพระราชอาณาจักรอย่างแท้จริง รูปแบบของมณฑลเทศาภิบาลได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพการปกครองแบบเดิม โดยกำหนดให้แต่ละเมืองมีคณะกรรมการบริหารเรียกว่าเค้าสนามหลวง ประกอบด้วยข้าหลวงประจำเมือง เจ้าเมือง และข้าหลวงผู้ช่วย ซึ่งตำแหน่งข้าหลวงประจำเมืองเชียงใหม่ คือ พระยาอุดมพงษ์เพ็ญสวัสดิ์ (ม.ร.ว.ประยูร อิศรศักดิ์) เจ้าอุปราช (เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์) รั้งตำแหน่งเจ้าเมือง และขุนรัฐกิจข้าหลวงผู้ช่วย ด้านอำนาจหน้าที่เป็นของข้าหลวงประจำเมือง โดยเจ้าเมืองไม่มีหน้าที่ปกครอง บ้านเมืองโดยตรง ได้แต่ยกย่องให้เกียรติในนามเท่านั้น อย่างไรก็ตามเจ้าอุปราชซึ่งรั้งตำแหน่งเจ้าเมืองเชียงใหม่ไม่พอใจการเข้าควบคุมของรัฐบาล จึงเรียกร้องให้ข้าหลวงเทศาภิบาลลดอำนาจของข้าหลวงประจำเมืองลง และขอมีอำนาจกลับคืนดังเดิม21 แต่ไม่ได้ผล นอกจากจัดตั้งเค้าสนามหลวงเป็นคณะกรรมการบริหารสูงสุดแล้ว ยังคงรูปแบบเสนา ๖ ตำแหน่งไว้ตามเดิม แม้ว่าจะไม่เหมาะสมกับกาลสมัยนักก็ตาม แต่เพื่อไม่ให้เจ้านายบุตรหลานซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาต่างๆ ไม่พอใจการดำเนินงานของรัฐบาล และรัฐบาลใช้วิธีค่อยๆ เลิกเสนา ๖ ตำแหน่งไป โดยจัดข้าราชการจากส่วนกลางเข้าดำรงตำแหน่งกรมการเมืองต่างๆ แทน เช่น ปลัดเมือง ยกกระบัตร จ่าเมือง และสัสดี เป็นต้น ในด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจรัฐบาลเข้าควบคุมมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้เจ้าเมืองต้องเสียภาษีที่ดินเช่นเดียวกับราษฎรทั่วไป วิธีการนี้ทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ ๑๐ เท่า เพราะที่ดินส่วนใหญ่เป็นของเจ้านายเมืองเหนือ และรัฐบาลก็ได้จัดสรรรายได้ของเจ้าเมืองออกเป็นเงินเดือน เงินส่วนแบ่งค่าตอไม้ และเงินส่วนแบ่งค่าแรงแทนเกณฑ์ รวมแล้วปีหนึ่งเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์จะมีรายได้ไม่น้อยนักคือ ประมาณ ๒๔๐,๒๗๗ บาท22 แต่รายได้นี้ไม่คงที่ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินค่าตอไม้และเงินแทนเกณฑ์ซึ่งเก็บได้ไม่แน่นอน และในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้ขอรับพระราชทานผลประโยชน์เป็นเงินเดือนๆ ละ ๒๐,๐๐๐ บาท23 อย่างไรก็ตามในระยะแรกที่จัดสรรรายได้ดังกล่าว เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ไม่พอใจนักแต่ก็ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง ส่วนราษฎรก็ได้รับการกระทบกระเทือนจากการปฏิรูประบบการเก็บภาษีอากรเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการเก็บเงินแทนเกณฑ์จากชายฉกรรจ์จำนวน ๔ บาทต่อปี ซึ่งมักจะเสียเงินแล้วยังถูกเกณฑ์แรงงานเสมอ โดยทางการไม่จ่ายค่าตอบแทนให้ ซึ่งตามปกติกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้จ่ายค่าตอบแทนในอัตราวันละ ๒ สลึง ราษฎรจึงเดือดร้อนและไม่พอใจข้าราชการจากส่วนกลางที่กวดขันเกณฑ์แรงงานสร้างถนนและสะพานทั้งในเมืองและนอกเมือง หลังจากจัดการปกครองแบบเทศาภิบาลผ่านไป ๓ ปี ปัญหาต่างๆ ก็ตามมา เนื่องจากความไม่พอใจของราษฎรและเจ้านายเมืองเหนือผู้เสียอำนาจและผลประโยชน์และปัญหาการขาดแคลนข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถในทุกระดับ โดยเฉพาะตำแหน่งนายแขวง (นายอำเภอ) ซึ่งรัฐบาลกำหนดว่าต้องเป็นข้าราชการจากส่วนกลางนั้นมีจำนวนน้อยมาก ดังนั้นแต่ละแขวงที่จัดตั้งขึ้นจึงมีพื้นที่กว้างขวางมาก ทั้งการคมนาคมก็ยากลำบากนายแขวงจึงดูแลไม่ทั่วถึง ซ้ำนายแขวงส่วนหนึ่งไม่เข้าถึงประชาชน ดูหมิ่นชาวพื้นเมืองและใช้อำนาจกดขี่เกณฑ์แรงงานจนเกินไป ปัญหาเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปตามเมืองต่างๆ ในมณฑลพายัพ แต่ที่ลุกลามเป็นการต่อต้านครั้งใหญ่เกิดที่เมืองแพร่ในเหตุการณ์กบฏเงี้ยว พ.ศ. ๒๔๔๕ พวกกบฏเป็นกองโจรเงี้ยวที่ได้รับการสนับสนุนจากเจ้านายเมืองแพร่ ครั้นพวกกบฏ ยึดเมืองสำเร็จ เงี้ยวชาวเมืองและราษฎรได้ร่วมมือกับโจรเงี้ยวเข่นฆ่าข้าราชการจากส่วนกลางถึง ๒๐ กว่าคน สำหรับเมืองเชียงใหม่มีการต่อต้านเช่นเดียวกันซึ่งเกิดก่อนกบฏเงี้ยวเมืองแพร่แต่ไม่รุนแรงเท่า การต่อต้านการเกณฑ์แรงงานของราษฎรในเมืองเชียงใหม่เท่าที่พบหลักฐานจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติครั้งแรกวันที่ ๑๘ มีนาคม ปลายปี พ.ศ. ๒๔๔๔24 โดยพระยานริศรราชกิจโทรเลขแจ้งทางกรุงเทพฯ ว่า ราษฎรแลแก่บ้านแขวงเมืองเชียงใหม่ร้องว่าเค้าสนามหลวงได้กะเกณฑ์ทำถนนหนทาง แลว่าได้เสียเงินแทนเกณฑ์แล้วยังถูกเกณฑ์อีก25 และวันที่ ๒๓ เมษายน ต้นปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ราษฎรแขวงแม่วังและแขวงเกืองหลายร้อยคนขัดขืนไม่ยอมทำถนน ความรุนแรงของการประท้วงไม่ยอมทำตามคำสั่งของทางราชการเกิดขึ้นอีกเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ ณ ที่ทำการแขวง..ใคร?..ัด มีราษฎรประมาณ ๖๐๐ คน พร้อมอาวุธมีดดาบและไม้ พากันไปชุมนุมประท้วงกรมการแขวง..ใคร?..ัดและได้เกิดการปะทะกัน ตำรวจซึ่งอยู่ร่วมกับกรมการแขวง..ใคร?..ัดจำนวน ๑๐ นาย ใช้ปืนยิงถูกราษฎร ผลราษฎรตาย ๖ คน บาดเจ็บ ๒ คน ส่วนพวกกรมการแขวงบาดเจ็บ ๒ คน ผลของกบฏเงี้ยวเมืองแพร่เปิดโอกาสให้รัฐบาลเข้าจัดการปกครองมณฑลพายัพได้อย่างเต็มที่ โดยส่งกำลังทหารเข้าปราบพวกกบฏอย่างเฉียบขาด พร้อมกับลงโทษเจ้านายเมืองแพร่ด้วยการปลดออก แล้วให้ข้าราชการจากส่วนกลางดำรงตำแหน่งใหม่ทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อเป็นตัวอย่างให้เมืองอื่นๆ เห็นว่าการต่อต้านรัฐบาลไม่มีทางสำเร็จ นอกจากยอมสนับสนุนแต่โดยดี หลังจากเกิดกบฏเงี้ยวท่าทีของเจ้านายเมืองเหนือจึงยอมรับอำนาจรัฐทุกอย่าง ในการดำเนินงานปฏิรูปการปกครองช่วงหลังกบฏเงี้ยวมีพระยาสุรสีห์วิศิษฐ์ศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) (พ.ศ. ๒๔๔๕ - ๒๔๕๘) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลซึ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง พระยา สุรสีห์วิศิษฐ์ศักดิ์เริ่มต้นแก้ไขปัญหาบุคลากร โดยคัดเลือกข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถและเข้าถึงราษฎร นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากนั้นก็ใช้นโยบายผ่อนปรนไม่เกณฑ์แรงงานจนเกินไป ขณะเดียวกันก็สร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่น ทั้งด้านการศึกษา การไปรษณีย์โทรเลข การสาธารณสุข และการซ่อมสร้างถนนและสะพานอย่างมากมาย ส่วนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเจ้าเมืองเชียงใหม่ปรากฏว่าเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ของ-รับเป็นเงินเดือนเพียงอย่างเดียว โดยรัฐบาลกลางใช้วิธีคำนวณจากรายได้เท่าที่ผ่านมาโดยเฉลี่ยแล้วกำหนดเป็นเงินเดือนซึ่งได้เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ส่วนเจ้าแก้วนวรัฐเจ้าเมืองคนสุดท้ายได้เงินเดือนๆ ละ ๑๐,๐๐๐ บาท ต่อมาเพิ่มเป็น ๑๒,๐๐๐ บาท26 เงินเดือนนี้ถือเป็นการพระราชทานเฉพาะบุคคลเมื่อสิ้นชีวิตจะงดจ่ายทันที และการให้ผลประโยชน์เป็นเงินเดือนก็เท่ากับว่าเจ้าเมืองมีฐานะเหมือน ข้าราชการทั่วไป นับเป็นความสำเร็จที่จะนำไปสู่การยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมืองประเทศราชในเวลาต่อมา พระยาสุรสีห์วิศิษฐ์ศักดิ์จัดการปกครองอยู่ ๑๓ ปี (พ.ศ. ๒๔๔๕ - ๒๔๕๘) ก็ประสบความสำเร็จเป็นที่พอใจของรัฐบาลยิ่ง โดยเฉพาะด้านการศึกษาเป็นช่วงที่เกิดการปฏิรูปการศึกษาในล้านนา ราษฎรนิยมเรียนหนังสือไทยกันมาก การผสมกลมกลืนให้มีความรู้สึกเป็นพลเมืองไทยค่อยประสบความสำเร็จเป็นลำดับ ส่วนเจ้าเมืองเชียงใหม่และเจ้านายบุตรหลานให้การสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาลทั้งด้านการศึกษา และการทำนุบำรุงบ้านเมือง มณฑลพายัพในช่วง พ.ศ. ๒๔๕๘ - ๒๔๖๘ จะจัดเป็นระเบียบแบบแผนเช่นเดียวกับมณฑลภายในทุกประการ และช่วงนี้มีการจัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ประกอบด้วย ลำปาง แพร่ น่าน แล้วรวมกับมณฑลพายัพเป็นมณฑลภาคพายัพ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในเชียงใหม่จะเกิดหลังจากทางรถไฟสายเหนือมาถึงปลายทางที่เชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีการขยายเนื้อที่เพาะปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจอื่นๆ เพื่อส่งเป็นสินค้าออก27 และสินค้าจากส่วนกลางก็เข้ามาเชียงใหม่มากขึ้น รวมทั้งวิทยาการความเจริญในทุกๆ ด้านด้วย การปกครองเมืองเชียงใหม่ช่วง พ.ศ. ๒๔๖๘ - ๒๔๗๖ เป็นการปรับปรุงช่วงสุดท้ายก่อนยกเลิกระบบเทศาภิบาล ได้เริ่มเมื่อรัชกาลที่ ๗ ขึ้นครองราชย์ ทรงยกเลิกระเบียบแบบแผนต่างๆ ที่จัดขึ้นในช่วง พ.ศ. ๒๔๕๘ - ๒๔๖๘ ทรงยุบเลิกตำแหน่งและหน่วยงานที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เช่น ยุบมณฑลมหาราษฎร์เข้ากับมณฑลพายัพ ยุบเลิกตำแหน่งเสนาทั้ง ๖ ซึ่งว่างมานานแล้ว และทรงดำเนินนโยบายยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมืองโดยเด็ดขาด ซึ่งกำหนดว่านับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ เป็นต้นไป28 หากตำแหน่งเจ้าเมืองใดว่างลงจะไม่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นอีก ส่วนเจ้าเมืองที่มีชีวิตอยู่ก็ได้เงินเดือนจนถึงแก่พิราลัย ซึ่งเจ้าแก้วนวรัฐเจ้าเมืองเชียงใหม่องค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัยใน พ.ศ. ๒๔๘๒ จึงเป็นการสิ้นสุดตำแหน่งเจ้าเมืองเชียงใหม่ และหลังจากคณะราษฎร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ยกเลิกระบบมณฑลเทศาภิบาลลงใน พ.ศ. ๒๔๗๖ มณฑลพายัพจึงสลายตัว ส่วนเมืองเชียงใหม่ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนาไทยในอดีตก็มีฐานะเป็นเพียงจังหวัดเช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆ สืบมาจนปัจจุบัน บทสรุป หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:45:04 เชียงใหม่ ๗
เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนาไทย ซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่ โดยเป็นอิสระในสมัยที่ราชวงศ์มังรายปกครอง ครั้นถึงสมัยพระเจ้าบุเรงนองพม่ามีความเข้มแข็งมากสามารถตีเชียงใหม่สำเร็จใน พ.ศ. ๒๑๐๑ และในเวลาต่อมาก็โจมตีอยุธยาสำเร็จอีกใน พ.ศ. ๒๑๑๒ อยุธยาสามารถเป็นอิสระจากพม่าหลังจากถูกครอบครอง ๑๕ ปี ส่วนล้านนาไทยพยายามดิ้นรนเป็นอิสระอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถพ้นจากอิทธิพลของพม่าได้ ล้านนาไทยมีสภาพที่อ่อนแอถูกพม่าครอบครองเกือบตลอดเวลา มีช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฝ่ายอยุธยาเข้าครอบครอง1 อย่างไรก็ตามความคิดที่จะ ฟื้นม่าน (ต่อต้านพม่า) ของชาวเชียงใหม่เกิดขึ้นเสมอ แต่ไม่สำเร็จเชียงใหม่ไม่สามารถขับไล่พม่าโดยลำพังได้ ในที่สุดใน พ.ศ. ๒๓๑๗ พระยาจ่าบ้านและพระยา กาวิละเข้าสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แล้วร่วมกับกองทัพไทยขับไล่พม่าออกไปนับ ตั้งแต่นั้นมาเชียงใหม่จึงมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชของไทย ในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น พม่ายังคงรุกรานเชียงใหม่และหัวเมืองประเทศราชล้านนาไทยเพื่อหวังจะกลับมาปกครองอีก รัฐบาลสมัยนั้นต้องช่วยเหลือให้ล้านนาไทยเข้มแข็งสามารถต่อต้านกับพม่าได้ สมัยรัชกาลที่ ๑ มีนโยบายฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางของล้านนาไทยที่เข้มแข็ง โดยแต่งตั้งพระยากาวิละเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ทำหน้าที่ ฟื้นเมืองเชียงใหม่ และขับไล่ อิทธิพลพม่าให้หมดไป ซึ่งประสบความสำเร็จในปลายรัชกาลที่ ๑ เมืองเชียงใหม่ฟื้นตัวอย่างมั่นคงและสามารถขับไล่พม่าออกไปจากที่มั่นที่เมืองเชียงแสนใน พ.ศ. ๒๓๔๗ การปกครองเมืองเชียงใหม่ในฐานะเมืองประเทศราช รัฐบาลกลางไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวใน กิจการภายในทั้งด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และขนบธรรมเนียมประเพณี เจ้าเมืองเชียงใหม่จึงมีอิสระในการบริหารบ้านเมืองของตนเป็นอันมาก แต่มิได้หมายความว่ารัฐบาลกลางจะไม่ควบคุมเชียงใหม่เสียทีเดียว เพราะรัฐบาลกลางใช้วิธีการที่แสดงตนว่ามีฐานะที่เหนือกว่าเชียงใหม่ เช่น การแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าขัน ๕ ใบ ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองในระดับสูง บุคคลที่ได้รับตำแหน่งต้องยอมรับในอำนาจของพระมหากษัตริย์ โดยการเข้าเฝ้าเพื่อรับตราตั้งและเครื่องยศ และวิธีการให้กระทำพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจาซึ่งมีการสาบานว่าจะจงรักภักดี นอกจากนั้นยังให้เมืองเชียงใหม่ปฏิบัติตามพันธะของเมืองประเทศราชในรูปของการส่งต้นไม้เงินทอง เครื่องราชบรรณาการ ส่วยและการเกณฑ์ของ และการเกณฑ์ช่วยราชการสงคราม เป็นต้น วิธีการปกครองเมืองเชียงใหม่ในฐานะเมืองประเทศราชดังกล่าว นับว่าเหมาะสมกับ สภาวการณ์ในสมัยนั้น ซึ่งรัฐบาลกลางมีกำลังน้อยควบคุมไม่ถึง การคมนาคมไม่สะดวก และไม่จำเป็นต้องเพิ่มภาระเพราะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับก็เพียงพออยู่แล้ว ในส่วนเจ้าเมืองเชียงใหม่ก็ต้องการมีสิทธิในการปกครองตามขนบธรรมเนียมของตน อย่างไรก็ตามเมื่อตะวันตกเข้ามาสภาพการปกครองหัวเมืองประเทศราชดังกล่าว ได้กลายเป็นปัญหาที่ทำให้รัฐบาลกลางต้องเข้าไปควบคุมมากขึ้นตามลำดับ การปฏิรูปการปกครองในเมืองเชียงใหม่จึงเกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๒๗ ซึ่งพร้อมกับเมืองลำปางและลำพูน รวมเรียกว่าหัวเมืองลาวเฉียง นับเป็นดินแดนแห่งแรกในพระราชอาณาจักรที่รัฐบาลกลางต้องเร่งดำเนินการด้วยมีปัญหาเกี่ยวพันกับคนในบังคับอังกฤษ การปฏิรูปการปกครองในเมืองเชียงใหม่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพ โดยมีเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของการปฏิรูป ลักษณะการดำเนินงานเป็นการผนวกดินแดนหัวเมืองประเทศราชเชียงใหม่และล้านนาไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งในพระราชอาณาจักรที่ใช้เวลายาวนานถึง ๔๙ ปี (พ.ศ. ๒๔๒๗ - ๒๔๗๖) โดยมีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านการปกครอง การศาล การภาษีอากร การคลัง การศึกษา และอื่นๆ ตามความเหมาะสม โดยเฉพาะตำแหน่งเจ้าเมืองเชียงใหม่ รัฐบาลไม่ยกเลิกในทันทียังคงให้ดำรงตำแหน่งอย่างมีเกียรติ แต่ขณะเดียวกันก็พยายามลดอำนาจและผลประโยชน์ของเจ้าเมืองเชียงใหม่อย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังจะเห็นว่าในช่วงแรกที่รัฐบาลกลางส่งข้าหลวงสามหัวเมืองขึ้นมาแก้ไขปัญหาที่เมืองเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๑๗ - ๒๔๒๖ ยังไม่ได้ควบคุมเจ้าเมืองเชียงใหม่โดยตรง เพียงแต่ส่งข้าหลวงขึ้นไปแนะนำให้เจ้าเมืองเชียงใหม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามสนธิสัญญาเชียงใหม่และตามคำสั่งของรัฐบาลเท่านั้น ครั้นต่อมาในช่วง พ.ศ. ๒๔๒๗ - ๒๔๔๒ รัฐบาลดำเนินการปฏิรูปการปกครองซึ่งเริ่มเข้าควบคุมอำนาจและผลประโยชน์บางอย่างและเป็นการวางรากฐานก่อนการจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เพราะเมื่อจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลใน พ.ศ. ๒๔๔๒ เป็นเวลาที่รัฐบาลสามารถดำเนินการขั้นตอนยกเลิกฐานะหัวเมืองประเทศราช พร้อมกับเข้าควบคุมอำนาจทางการปกครองและผลประโยชน์จากเจ้าเมืองเหนือได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะหลังกบฏเงี้ยว พ.ศ. ๒๔๔๕ ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ (ปี พ.ศ ๒๔๕๑) เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๔๔๕ - ๒๔๕๒) ขอรับผลประโยชน์เป็นเงินเดือนประจำจึงเริ่มมีฐานะเหมือนข้าราชการทั่วไป และสมัยรัชกาลที่ ๖ เจ้าเมืองเหนือที่เหลืออยู่ก็ขอรับพระราชทานเงินเดือนเช่นเดียวกันหมด ในสมัยรัชกาลที่ ๗ พระองค์ทรงดำเนินการในขั้นต่อมาคือ ยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง โดยกำหนดว่าหากเจ้าเมืององค์ใดถึงแก่พิราลัยแล้วจะไม่โปรดเกล้าฯ ให้ผู้ใดดำรงตำแหน่งอีก เท่ากับยกเลิกตำแหน่งไปโดยปริยาย สัญลักษณ์ของเมืองประเทศราชจึงค่อยสลายตัวลง ครั้นเมื่อคณะราษฎรยกเลิกการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลใน พ.ศ. ๒๔๗๖ มณฑลพายัพจึงถูกยุบ แต่ผลของการเปลี่ยนแปลงในช่วงการปฏิรูปการ ปกครองคงเป็นรากฐานสืบมาถึงปัจจุบัน หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:45:51 น่าน
สมัยก่อนกรุงสุโขทัย ดินแดนจังหวัดน่านปัจจุบัน ในโบราณสมัยเป็นอาณาจักรเล็กๆ ส่วนหนึ่งในลานนาไทยตั้งอยู่ในอาณาจักรใหญ่ที่มีจำนวนมากกว่า ทางทิศตะวันตกได้แก่ ลานนาไทย ซึ่งมีเชียงใหม่เป็น ราชธานีสำคัญ และพม่าซึ่งอยู่ถัดต่อไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีหลวงพระบางและสิบสองปันนา กับมีอาณาจักรสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาอยู่ทางทิศใต้ ฉะนั้นสภาพการของแคว้นน่านจึงตกอยู่ด้วยเหตุผลว่า ถ้าอาณาจักรใดมีอำนาจมาก แคว้นน่านก็ตกไปอยู่ในอำนาจของอาณาจักรนั้น ที่จะตั้งเป็นเอกราชโดยลำพังตนเองนั้น เท่าที่ปรากฏในประวัติความเป็นมา ที่น้อยที่สุด โดยถูกรั้งกันไปรั้งกันมาอยู่ จนกระทั่งอาณาจักรสยามได้รวบรวมอาณาจักรลานนาไทยทั้งหมดไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สมัยใดที่แคว้นน่านตกอยู่ในความปกครองของอาณาจักรสยามหรือลานนาไทยด้วยกัน สมัยนั้นความรุ่งเรืองร่มเย็นเป็นสุขก็มีเป็นปกติอยู่แก่บ้านเมือง เพราะอาณาจักรทั้งสองนี้ปกครองด้วยความยุติธรรมและปรารถนาดี ปราศจากเสียซึ่งการวิหิงสาเบียดเบียน ถ้าเมื่อใดต้องตกไปอยู่ในความปกครองของพม่า บ้านเมืองก็เดือดร้อนระส่ำระสายเพราะวิธีการปกครองของพม่าไม่เป็นการสร้างสรรค์มีแต่จะทำลาย และกอบโกยหาผลประโยชน์ในเมืองขึ้นด้วยลักษณะทารุณกรรมนานาประการ ซึ่งปรากฏเป็นพฤติการณ์อันขมขื่นเกิดขึ้นแก่ชาติทั้งปวงที่ตกอยู่ในสมัยที่พม่ามีอำนาจอยู่ทั่วๆ กัน นอกจากนี้แคว้นน่านยังถูกรุกรานราวีจากเพื่อนบ้าน ซึ่งมาจากทางหลวงพระบางและสิบสองปันนา บางคราวก็สามารถตีทัพเหล่านี้แตกไป บางคราวก็พาลเสียบ้านเมืองหรือต้องอพยพเข้าป่าถอยร่นไปตั้งอยู่ในเมืองตอนเหนือบ้าง ตอนใต้บ้าง ไม่ใคร่เป็นปกติ นับเป็นประวัติความเป็นมาของแคว้นน่านในยุคโบราณกาล เมืองน่านกับอาณาจักรลานนาไทย เบื้องต้นก่อนที่จะกล่าวถึงประวัติของแคว้น ขอกล่าวถึงอาณาจักรลานนาไทยพอเป็นเค้ามูลก่อน กล่าวคือว่าเดิมนับแต่ชนชาติในอาณาจักรน่านเจ้า ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศจีนได้อพยพจากเมืองเดิมลงมาสู่พื้นที่ทางใต้และแยกย้ายกันไปตั้งอยู่ในภูมิภาคต่างๆ แล้ว ส่วนหนึ่งของไทยเดิมได้ข้ามแม่น้ำโขงลงมาสู่แคว้นสยามสุวรรณภูมิ ตั้งเมืองเชียงแสนหรือนครโยนกขึ้นเป็นราชธานี ภายหลังขอมได้แผ่อำนาจขยายอาณาเขตต่อขึ้นมาจนถึงแคว้นโยนก และใช้กำลังกองทัพปราบปรามนครโยนกราบคาบในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ขอมก็เข้าปกครองแคว้นสยามสุวรรณภูมิฝั่งใต้แม่น้ำโขงตลอดไป ต่อมาพระเจ้าพรหมมหาราชประมุขของชาวไทยในแคว้นโยนก ได้ระดมกำลังเข้าขับไล่ขอมออกไปจากแคว้นโยนก และชิงหัวเมืองใหญ่น้อยของขอมได้เป็นอันมาก แผ่อาณาเขตลงมาตลอดแดนที่เรียกว่า ลานนา คือภาพพายัพในปัจจุบันแล้วสร้างนครชัยปราการ (เมืองฝาง) ขึ้นเป็นราชธานีแห่งอาณาจักรลานนาในราว พ.ศ. ๑๖๖๑ นครชัยปราการดำรงอิสระภาพมาจนราว พ.ศ. ๑๗๓๑ ถึงสมัยพระเจ้าสิริชัยก็ถูกข้าศึก (ซึ่งตามพงศาวดารต่างๆ กล่าวว่าเป็นมอญบ้าง ไทยใหญ่บ้าง) ยกทัพมาติดนครชัยปราการ พระเจ้าสิริ-ชัยเห็นเหลือกำลังที่จะต้านทาน จึงอพยพพลเมืองและสมัครพรรคพวกกันลงมาทางใต้ภายหลังเชื้อวงศ์เชียงรายจึงได้ไปเป็นกษัตริย์สำคัญขึ้นในกรุงสุโขทัย และเมืองสุพรรณภูมิเรียกว่า ราชวงศ์เชียงราย เป็นลำดับต่อไป ฝ่ายข้างอาณาจักรลานนาตั้งแต่พระเจ้าสิริชัยทิ้งนครชัยปราการอพยพมาทางใต้แล้วจำ-เนียรกาลต่อมาพวกไทยที่เหลืออยู่ก็ควบคุมกันตั้งบ้านเมืองขึ้นหลายแห่ง ต่างฝ่ายต่างตั้งเป็นอิสระแก่กัน ตลอดทั้งอาณาจักรในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ หัวเมืองต่างๆ ที่เป็นนครใหญ่ที่สำคัญมี ๓ นคร คือ - นครเงินยาง (เชียงแสน) ตั้งอยู่ฝ่ายเหนือ - นครพะเยา ตั้งอยู่ตอนกลาง - นครหริภุญชัย ตั้งอยู่ฝ่ายใต้ และนครน่านก็เชื่อว่าได้กำเนิดขึ้นแล้วในยุคนั้น แต่เค้าเงื่อนตามพงศาวดารโยนกอันกล่าวถึงตำนานฝ่ายเหนือได้ความว่า ขอมซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองละโว้ได้มามีอำนาจปกครองอาณาจักรลานนาทั้งหมด โดยให้ราชธิดาอันมีนามว่า พระนางจามเทวี ขึ้นครองเมืองหริภุญชัย (เมืองลำพูน) ต่อมาในราว พ.ศ. ๑๖๐๐ เมื่อพระเจ้าอนุรุธราชา- ธิราชแห่งกรุงพุกาม แผ่อาณาจักรเข้ามาในลุ่มน้ำเจ้าพระยาขับไล่ขอมออกไป ต่อมาพวกลานนาได้กลับตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นที่เมืองเชียงแสนอีกวาระหนึ่ง ผู้ที่เป็นปฐมกษัตริย์ต้นวงศ์นี้ มีนามว่า จักกราช ซึ่งมีกษัตริย์สืบราชวงศ์ครองเมืองอยู่ทั่วอาณาจักรลานนาทั้งปวง ตามตำนานอันว่าด้วยลำดับวงศ์จัก-กราชข้างฝ่ายเมืองน่าน ก็ยืนยันไว้ว่ากษัตริย์ครองเมืองน่านในยุคโบราณได้สืบมาจากวงศ์นี้ด้วย กำเนิดของเมืองน่าน ตามพงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่า เมืองน่านได้มีกำเนิดเป็นหลักฐานครั้งแรกที่เมืองวร-นคร (เมืองปัว) ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดน่านในปัจจุบัน ตามพงศาวดารกล่าวว่า พระยาภูคาเจ้าเมืองย่าง (อยู่ในท้องที่ตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว) มีราชบุตร ๒ องค์ องค์พี่ชื่อ ขุนนุ่น องค์น้องชื่อ ขุนฟอง เมื่อเจริญวัยขึ้น พระมหาเถรแตงได้สร้างเมืองทางฝั่งตะวันออกแม่น้ำโขงชื่อว่า จันทบุรี (หลวงพระบาง) ให้แก่ขุนนุ่นผู้พี่ แล้วสร้างเมืองริมฝั่งแม่น้ำน่านชื่อว่า วรนคร ให้แก่ขุนฟองผู้น้องและปันอาณาเขตของสองเมืองขึ้นคือฝ่ายวรนครทิศเหนือถึงเมืองท่านุ่นริมฝั่งแม่น้ำโขง ทิศใต้สุดศาลเมืองล่าง (เข้าใจว่าเป็นเมืองย่าง) เป็นแดน กาลเวลาดังกล่าวตกอยู่ในรัชสมัยของพระเจ้าพ่อขุนรามคำแหง แห่งกรุงสุโขทัย ทางอาณาจักรลานนาก็มีพระยางำเมืองเป็นเจ้าเมืองพะเยา และพระยาเม็งรายเป็นเจ้านครเชียงราย ในขั้นแรกที่สร้างเมืองนี้ขึ้นนั้น ไม่ปรากฏศักราชว่าเป็นพุทธ-ศักราช ๑๘๖๕ ก็ต่อเมื่อเจ้าเมืองวรนครได้ล่วงไปแล้วถึง ๒ องค์ ถ้าจะคาดคะเนตามเหตุการณ์ในพงศาวดารเมืองน่านตอนนี้และนับถอยหลังหวนไปหาการตั้งเมืองวรนครแล้ว ก็ไม่เกิน ๔๐ ปี คือประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๕ แต่ตามพงศาวดารโยนกที่กล่าวตามตำนานเมืองเชียงแสนอันว่าด้วยลำดับวงศ์จักกราชซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ของลานนาในเมืองเชียงราย กล่าวว่า นับตั้งแต่ลาวจักกราชไปได้ ๑๒ ชั่วกษัตริย์ถึงพระยาลาวจังกาเรือนแก้ว ก็เสียเมืองไชยวรนครเชียงรายให้แก่พระยาน่านหรือนันทบุรีผู้ชื่อว่า พระยากือคำล้าน ราว พ.ศ. ๑๕๑๘ ประการหนึ่ง กับเมื่อขุนเจืองกษัตริย์เมืองพะเยา ลำดับที่ ๒ มีอายุได้ ๑๖ ปี คือ พ.ศ. ๑๖๕๗ ได้มาคล้องช้าง ณ เมืองน่าน พระยาน่านผู้มีนามว่า พลเทวะ ยกราชธิดานามว่า พระนางจันทรเทวี ให้เป็นภรรยาของขุนเจืองประการหนึ่ง หรือในขั้นหลังที่สุด เมื่อขุนเจืองได้ปราบดาภิเษกครองเมืองแกวได้ ๑๔ ปี คือ พ.ศ. ๑๖๙๑ มีโอรสกับพระนางอู่แก้วราชธิดาพระยาแกว ๓ องค์ ผู้พี่ชื่อ ท้าวอ้ายผาเรือง ผู้กลางชื่อ ท้าว ยี่คำหาว ผู้น้องชื่อ ท้าวสามชุมแสง ครั้นราชกุมารทั้งสามเจริญวัยแล้ว จึงยกราชสมบัติเมืองแกวให้แก่ท้าวอ้ายผาเรืองผู้เป็นราชโอรสองค์ใหญ่ แล้วโอรสผู้กลางชื่อท้าวยี่คำหาวให้ไปเป็นพระยาครองเมืองลานช้าง และโอรสผู้น้องอันชื่อท้าวสามชุมแสงมาเป็นพระยาครองเมืองนนทบุรี (น่าน) ดังนี้ แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า เมืองน่านเดิมได้ตั้งเป็นรากฐานขึ้นในครั้งใดก็ดีแต่ตามเรื่องราวของเมืองอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเมืองน่านในสมัยต่างๆ ข้างต้นนี้ ทำให้เห็นได้ว่าเมืองน่านได้ตั้งมานานแล้วเท่าๆ กับหรือเก่าแก่กว่าเมืองโบราณบางเมืองในลานนาไทยด้วยกัน ซึ่งต้องมีหลักฐานมาก่อนตั้งที่เมืองวรนครนี้ อนึ่ง ในรัชสมัยของพระเจ้าพ่อรามคำแหง (พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๘๖๐) ปรากฏในศิลาจารึกว่าเมืองน่านเป็นเมืองประเทศราช ขึ้นแก่กรุงสุโขทัยเมืองหนึ่งจึงเข้าใจว่าเมืองน่านในครั้งนั้นมิใช่แต่จะได้มีกำเนิดขึ้นด้วยอายุอันช้านาน ยังได้รวมกันตั้งอยู่เป็นบ้านเมืองมีเขตแดนเป็นปึกแผ่นแล้วอีกด้วย แม้จะยังไม่กว้างขวางใหญ่โต แต่ก็คงเป็นเมืองชั้นราชธานี จึงจัดเข้าอยู่ในอันดับว่าเป็นเมืองประเทศราชเช่นเดียวกับเมืองใหญ่อื่นๆ ที่ขึ้นแก่กรุงสุโขทัย นามเมือง นามเดิมปรากฏแต่เดิมมาเรียกว่า เมืองน่าน บ้าง เมืองนาน บ้าง นันทบุรี บ้าง แต่ ตามศิลาจารึกของพระเจ้าพ่อขุนรามคำแหง ราว พ.ศ. ๑๘๒๐ เศษ เรียกว่า เมืองน่าน ส่วนนามที่เรียกว่า เมืองนาน นี้ ปรากฏในตำนานพระธาตุแช่แห้ง ว่าเป็นนามที่ได้มีขึ้นโดยพุทธทำนาย แต่ทั้งนี้สันนิษฐานว่าเกี่ยวด้วยความนิยมของชาวลานนาไทยในการแต่งตำนานในอันที่จะสืบสาวราวเรื่องให้เข้าไปต่อเนื่องกับสมัยพุทธกาลเป็นข้อใหญ่ เพราะนาม เมืองน่าน นั้น มีเหตุผลเพียงเพื่อจะยกย่องพระธาตุแช่แห้งอันเป็นปูชนียสถานสำคัญของบ้านเมืองให้มีกำเนิดขึ้นในสมัยพุทธกาลเท่านั้น และคำที่เรียกว่า เมืองนาน นั้นก็ไม่ปรากฏเรียกในพงศาวดารเมืองน่านเลย นอกจากจะเรียกกันในตำนานพระธาตุแช่แห้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วก็หายไป ส่วนนาม นันทบุรี ปรากฏว่าเรียกกันอยู่แทบทุกตำนาน และเชื่อว่าได้มีกำเนิดขึ้นในชั้นหลังในสมัยมัธยมประวัติ เพระครั้งนั้นทางลานนามีผู้เชี่ยวชาญภาษาบาลีมาก เหตุแต่ได้มีพระสงฆ์ในลังกามาสืบศาสนาติดต่อกับลานนาอยู่ช้านาน นาม นันทบุรี ที่ตั้งขึ้นใหม่ก็ไม่จำเป็นจะต้องเอาความหมายจากนามเดิม เพียงแต่ให้มีสำเนียงสัมผัสสอดคล้องกันไปกับคำเดิมเท่านั้น แม้ว่า เมืองน่าน จะได้คำใหม่ว่า นันทบุรี แล้ว ก็ยังมิได้ทิ้งนามเดิมเสียทีเดียวคงเรียกคู่กันมาว่า นันทบุรี ศรีนครน่าน ซึ่งใช้กันในทางราชการในสมัยโบราณและศุภอักษร นามเมือง นันทบุรี เป็นนามที่ไพเราะและมีความหมายเป็นมงคลนาม แต่ก็มีหลายพยางค์และเรียกยาก ความที่ไม่นิยมในการที่จะต้องเขียนหรือเรียกกันยืดยาว จึงหันกลับมานิยมนามเมืองไปตามเดิมว่า เมืองน่าน ตราบมาจนถึงปัจจุบัน อนึ่ง ในตำนานพระอัฒภาค เรียกชื่อเมืองน่านว่า นันทสุวรรณนคร และในตำนานชิน-กาลมาลินี เรียกว่า กาวราชนคร นัยว่าเป็นแคว้น กาว ซึ่งเลือนมาจากคำว่า แกว, กอย, ก้อ และกุ๊ย ซึ่งเป็นภาษาจีนแปลว่า ผี หรือ พวกดำมืด (อนารยะ) อันหมายถึงชนชาติที่น่าอาศัยอยู่ใน แคว้นน่านแต่ดึกดำบรรพ์ ตำนานเก่าๆ มักเรียกเมืองน่านอีกคำหนึ่งว่า กาวน่าน คำนี้น่าจะถูกเรียกจากชนชาติที่เจริญอันอยู่ทางเหนือ เพราะคำว่า น่าน มีสำเนียงคล้ายกับคำจีนว่า น่าง ซึ่งแปลว่าทิศใต้ ฉะนั้น กาวน่าน ก็คือ คนดำที่อยู่ทางทิศใต้ นั่นเอง ความข้อนี้อาจผิดหรือถูกก็ได้แต่ก็ปรากฏว่าได้มีพวก กาว หรือ แกว ฝ่ายตะวันออกอันอยู่ใกล้เคียงกับกาวฝ่ายใต้อยู่อีกพวกหนึ่งคือญวนในปัจจุบัน และนามของแคว้นน่านเดิมน่าจะมีนามมาจาก กาวน่าน ตามตำนานเก่าและเหตุผลที่กล่าวแล้ว น่าจะถูกต้องกว่านามอื่นๆ ต่อมาเมื่อชนชาติพวกหนึ่งได้อพยพตั้งอยู่ในแถบแคว้นกาวน่านแล้ว คำว่า กาว จึงได้หายไป คงเหลือเฉพาะแต่คำว่า น่าน เป็นนามเมืองมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเป็นแต่เพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น อาณาเขตเมืองน่านในสมัยโบราณ การที่จะทราบว่าอาณาเขตเมืองน่านในสมัยโบราณมีเพียงไรนั้น เป็นการที่ยากที่จะทราบได้ เพราะไม่มีหลักฐานปรากฏพอที่จะจับเอาเป็นเค้าเงื่อนได้ มาทราบเรื่องพอเป็นเลาๆ ก็ต่อเมื่อตอนตั้งเมืองที่ วรนคร กล่าวคือ ได้ระบุอาณาเขตของวรนครไว้ดังนี้ - ทิศเหนือติดต่อกับเมืองพระบาง เมืองท่านุ่น อันเป็นเมืองเล็กๆ (หรือตำบล) อยู่ ณ ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง - ทิศใต้ จดเมืองย่าง - ทิศตะวันออกและตะวันตก ไม่ปรากฏ แต่สำหรับอาณาเขตทางทิศตะวันตกนั้น พอจะทราบได้จากอาณาเขตของเมืองพะเยาซึ่งอยู่ติดต่อกันและมีอาณาเขตซึ่งกล่าวไว้ชัดเจนในสมัยเดียวกัน คือ กล่าวว่า "หนหรดีของพะเยา" ตั้งแต่ดอยหลักไก่ ไต่สันเขา ไปหนบูรพ ถึงห้วยผากาด, ตาดม่าน (ตาดแปลว่าน้ำตก), ปางซี่พัน, ไหม- สามเชื้อ (สามอย่าง), สบห้วยน้ำกู (สบห้วยคือปากห้วย), ล่องน้ำพุงไปจับน้ำยม (จับคือพบถึง), ขึ้นตามน้ำยมไปจับปากน้ำปัน, แล้วไปจับห้วยบ่อทอง, แล้วไต่ตามสันเขาไปจับตาดเซาวา ฯลฯ ซึ่งอาณาบริเวณตามลุ่มน้ำยมที่กล่าวนั้น เป็นดินแดนของอำเภอปงในปัจจุบัน และอาณาเขตของเมืองพะเยา กับวรนครน่าจะติดต่อกันที่ทิวเขาดอยภู่, ดอยวาว ซึ่งอยู่ระหว่างอำเภอปงกับอำเภอปัวนั่นเอง เพราะดอยทั้งสองนี้เป็นสันเขาที่กั้นพื้นที่ทางลุ่มแม่น้ำยมกับพื้นที่ทางฟากตะวันออกให้แยกออกจากกัน ภายหลังเมื่อได้ตั้งเมืองใหม่ขึ้นที่บ้านห้วยได้คือเมืองน่านปัจจุบันแล้ว ปรากฏว่าทางทิศใต้มีอาณาเขตยาวไปจนถึงอำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นอาณาเขตของแคว้นน่านมาแต่เดิม และทางตะวันตกท้องที่ในแถบลุ่มแม่น้ำยมก็เข้ามารวมอยู่ในเขตของอำเภอเมืองน่าน แต่อาณาเขตทางทิศเหนือนั้น น่าจะถูกร่นมามาก เพราะในระยะหลังปรากฏว่าถูกแคว้นล้านช้างและแกวรุกรานเข้ามาจนถึงชานเวียง ฉะนั้น อาณาเขตของเมืองน่านจึงย่อมเอาเป็นยุติมิได้เลย เพราะเกี่ยวกับการขยายและการแผ่อำนาจของบ้านเมืองใกล้เคียงอยู่เป็นปกติ ต่อมาเมื่อหัวเมืองใหญ่น้อยในลานนาไทยทั้งปวงได้ตกเป็นอาณาเขตของพระราชอาณา-จักรสยามแล้ว คือเมื่อครั้งทางการปกครองยังยกเมืองใหญ่ๆ ในลานนาไทยให้เป็นเมืองประเทศราชขึ้น ตรงต่อกรุงเทพมหานครนั้น ด้วยความสวามิภักดิ์และความอุตสาหะวิริยภาพของเจ้าผู้ครองนครน่านได้เป็นกำลังสำคัญในพระราชสงครามทางฟากแม่น้ำโขงอย่างแข็งแรงเป็นอันดีได้เพิ่มพูนดินแดนที่ตีได้เข้ามาอยู่ในความปกครองของจังหวัดน่านเป็นบำเหน็จรางวัลเป็นอันมากและนับแต่ ร.ศ. ๑๒๒ มาจนถึงระยะหลังสุดก่อนถึงปัจจุบัน จังหวัดน่านมีอาณาเขต ดังนี้ - ทิศเหนือ จดฝั่งแม่น้ำโขง ที่เมืองเชียงของ จังหวัดเชียงราย - ทิศตะวันตก โอบอาณาเขตบางส่วนของจังหวัดเชียงรายทางแม่น้ำอิง เรื่อยลงมาจนจดเข้าไปในเขตแม่น้ำยมท้องที่อำเภอปง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยาและติดต่อกับจังหวัดลำปางและจังหวัดแพร่ - ทิศตะวันออก จากทิศเหนือล่องตามฝั่งแม่น้ำโขง ตัดตรงลงมาทางเมืองเชียงลม เชียงฮ่อน ไปเมืองเงิน แล้วไปจดทิวเขาหลวงพระบาง ซึ่งทอดลงมาทางใต้ - ทิศใต้ เลยเข้าไปในจังหวัดอุตรดิตถ์ สิ้นเขตที่บ้านผาเลือด อำเภอท่าปลา กับมีเมืองสิงห์, เมืองนัง, เมืองหลวงน้ำทา, เมืองภูคา, เมืองเชียงราบ, เมืองเชียงแข็ง ซึ่งอยู่ตามฟากแม่น้ำโขงฝั่งซ้ายเป็นเมืองขึ้นอีกด้วย สมัยกรุงสุโขทัย เมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๐ มีบุคคลสำคัญเกิดขึ้นในลานนาไทย ๒ คน คือพระยา งำเมือง เจ้าเมืองพระเยาองค์หนึ่ง กับพระยาเม็งรายเจ้าเมืองเชียงรายองค์หนึ่ง ส่วนทางอาณาจักรสุโขทัยมีพระเจ้ารามคำแหง เป็นพระมหากษัตริย์ที่เรืองพระเดชานุภาพอยู่ทางทิศใต้อีกพระองค์หนึ่ง วาระแรกที่ปรากฏในพงศาวดารเมืองน่าน หลังจากแคว้นน่านได้ตั้งวรนครขึ้นแล้ว มิช้า พระยางำเมืองเจ้าเมืองพะเยาก็เข้ามายึดเมืองวรนครเป็นเมืองขึ้น การเข้ามาถือเอาซึ่งเมืองวรนครครั้งนี้เป็นการง่ายมาก มิได้มีการรบพุ่งแต่อย่างใด เพราะทางฝ่ายวรนครไม่ทันรู้ตัว เตรียมการป้องกันไม่ทัน ครั้งนั้นเจ้าเมืองวรนครเป็นผู้หญิง เป็นชายาของพระเจ้าเก้าเถื่อนเจ้าเมืองวรนครอันดับที่ ๒ ซึ่งได้ละเมืองวรนครไว้ให้แก่ชายา แล้วไปครอบครองเมืองย่างอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง การที่เสียเมืองวรนครให้แก่แคว้นพะเยาครั้งนี้ ไม่ปรากฏว่าพระเจ้าเก้าเถื่อนทำการแก้มือแก่พระยางำเมืองแต่ประการใด เห็นจะไม่มีกำลังพอที่จะทำการตอบแทนนั่นเอง ในพงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่า ในขณะที่พระยางำเมืองเข้ามาถึงวรนครนั้น นางพระยาวรนครได้หนีออกไปจากเมืองได้ไปคลอดบุตรระหว่างทางเป็นชาย ภายหลังเมื่อกุมารนั้นมีอายุ ๑๖ ปี ได้ถวายตัวอยู่ในราชสำนักพระยางำเมือง และพระยางำเมืองโปรดปรานให้นามว่า ขุนใส่ยศ และให้ไปครองเมืองปราด ส่วนเมืองวรนครนั้น พระยางำเมืองให้นางชายาผู้หนึ่งชื่อว่า อั้วลิมกับบุตรชายชื่อว่าอามป้อมมาครอง ภายหลังนางอั้วลิมเกิดผิดใจกับพระยางำเมืองด้วยเรื่องเป็นเชิงว่าพระยางำเมืองระแวงในความจงรักภักดีของนาง นางเจ็บใจจึงร่วมคิดกับขุนใส่ยศ เจ้าเมืองปราดแข็งเมืองต่อพระงำเมืองและมาตั้งอยู่ที่วรนคร แล้วขุนใส่ยศกับนางอั้วลิมก็สมสู่อยู่ด้วยกันฉันท์สามีภริยา ความทั้งนี้ทราบถึงพระยางำเมืองจึงยกกองทัพมาตีวรนคร ทางฝ่ายเมืองวรนครให้เจ้าอามป้อมเป็นทัพยกออกไปเมื่อกองทัพทั้งสองฝ่ายได้ปะทะทำการรบกันเพียงเล็กน้อย พระยางำเมืองก็เลิกทัพกลับไป นับว่าเกิดความสลดพระทัยในการที่บิดากับบุตรต้องมาทำสงครามกัน ต่อจากนี้ขุนใส่ยศได้อภิเษกเป็นเจ้าเมืองวรนคร มีนามว่า พระยาผานอง ในปี ๑๘๖๕ นับแต่นั้นมาการเกี่ยวข้องระหว่างแคว้นพะเยากับแคว้นน่านก็ขาดตอนไปเฉยๆ ไม่มีเรื่องกล่าวถึงกันอีกเลย ส่วนการเกี่ยวข้องระหว่างเมืองน่านกับกรุงสุโขทัย ได้ความตามศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงว่า เมืองน่านเป็นเมืองประเทศราชของกรุงสุโขทัย ข้อความทั้งนี้ไม่มีปรากฏในพงศาวดารเมืองน่าน และไม่ทราบว่าไปขึ้นในปีใด ศิลาจารึกนี้เข้าใจว่าจารึกในราว พ.ศ. ๑๘๓๕ พ่อขุนรามคำแหงเสวยราชย์เมื่อราว พ.ศ. ๑๘๒๐ ถ้าคิดอย่างไม่ละเอียดก็ตกอยู่ในระหว่างรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงระยะ ๑๕ ปีนี้ ปัญหาจึงมีว่าเมืองน่านไปขึ้นแก่แคว้นพระเยาก่อนหรือกรุงสุโขทัยก่อน แต่ข้อนี้เมื่อวิจารณ์ตามรัชสมัยของกษัตริย์ทั้งสองพระองค์นี้ คือ พระยางำเมืองเสวยราชย์เมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๑ และพ่อขุนราม-คำแหงเสวยราชย์เมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๐ โดยถือว่าเมืองน่านคือวรนครเป็นหลักแล้ว ก็ต้องเข้าใจว่าเมืองน่านต้องขึ้นแก่แคว้นพะเยาก่อน เพราะถ้าขึ้นแก่กรุงสุโขทัยก่อนแล้ว พระยางำเมืองจะมาตีเมืองน่านมิได้เลย ด้วยเมืองน่านขึ้นแก่กรุงสุโขทัยอยู่ในระหว่าง พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๘๓๕ และการที่พระยางำเมืองจะมาชิงเมืองขึ้นของพ่อขุนรามคำแหงนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะปรากฏว่าแคว้นพะเยาในสมัยนั้นไม่มีกำลังพอที่จะแย่งอำนาจกับเมืองใหญ่ เช่น กรุงสุโขทัยได้ แม้ว่าจะเป็นอันยุติว่า เมืองน่านขึ้นต่อแคว้นพะเยาก่อนกรุงสุโขทัยแล้วก็ดี แต่เมื่อได้ใคร่ครวญถึงปีที่พระยาผานองแข็งเมืองต่อพระยางำเมือง และขึ้นครองเมืองวรนคร ใน พ.ศ. ๑๘๖๕ แล้วก็ทำให้ฉงนอีก เพราะเมืองน่านขึ้นแก่กรุงสุโขทัยในระหว่าง พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๘๓๑ ดังกล่าวแล้ว ถ้าเช่นนั้นคำที่ปรากฏในศิลาจารึกว่าเมืองน่านอาจไม่อยู่ในวรนครก็เป็นได้ เมืองย่างเป็นเมืองเดิมอยู่ในแคว้นน่าน ส่วนวรนครเพิ่งจะเกิดทีหลังในราว พ.ศ. ๑๘๒๕ ชะรอยเมืองน่านในศิลาจารึกนั้น จะได้แก่เมืองย่างและคงจะไปขึ้นแก่กรุงสุโขทัยก่อน พ.ศ. ๑๘๒๕ คือประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๘๒๔ ซึ่งก่อนกำเนิดของเมืองวรนคร เมืองวรนครจึงตั้งอยู่เป็นอิสระ แม้สองเมืองนี้ภายหลังจะเป็นเมืองอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่เมืองวรนครก็เพิ่งจะตั้งขึ้นใหม่เป็นเอกเทศ ซึ่งพระยางำเมืองก็คงจะถือว่าเมืองวรนครเป็นเมืองอิสระอยู่อีกส่วนหนึ่งต่างหาก จึงได้ยกกำลังเข้ามาครอบครอง ฝ่ายพระยาผานองเมื่อได้มาตั้งอยู่ที่วรนครแข็งเมืองต่อแคว้นพะเยาแล้ว ในชั้นนี้เองที่ได้เข้าไปสวามิภักดิ์ขอขึ้นต่อกรุงสุโขทัย ด้วยเหตุนี้เมื่อพระยางำเมืองยกทัพมาปราบวรนคร จึงต้องเลิกทัพกลับไป คงมิใช่เกิดความสลดใจที่จะต้องทำการรบกับลูกอกตัญญูเป็นแน่ ต่อมาเมื่อพระยาเก้าเถื่อนเจ้าเมืองย่างถึงแก่พิราลัยแล้ว เมืองย่างก็รวบเป็นเมืองเดียวกับวรนคร อันดับกาลต่อไป ทางกรุงสุโขทัย เมื่อพ่อขุนรามคำแหงสวรรคตแล้ว ราชโอรสได้ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๔ ทรงพระนามว่า พระเจ้าฤไทชัยเชษฐ์ หรือพระเจ้าเลอไทในรัชกาลนี้พระเจ้าแสนเมืองมิ่ง พระเจ้ากรุงเมาะตะมะแห่งราชวงศ์ฟ้ารั่วแข็งเมือง แล้วยกกองทัพมาตีเมืองทวาย เมืองตะนาวศรีของอาณาจักรสุโขทัยได้ในปี พ.ศ. ๑๘๖๑ พระเจ้าฤไทยชัยเชษฐ์แต่งกองทัพไปปราบปรามก็ไม่สำเร็จ แต่นั้นมาอาณาจักรสุโขทัยก็เสื่อมลง เป็นเหตุให้บรรดาหัวเมืองขึ้นชั้นนอกพากันกระด้างกระเดื่องขึ้นเป็นลำดับ ฝ่ายทางอาณาจักรลานนาไทยราชวงศ์พระยาเม็งรายได้สืบราชสมบัติต่อกันมาจนถึงพระ-ยาคำฟู ได้รวบรวมแคว้นลานนาอันมีเมืองหริภุญชัย พะเยา และเงินยางให้กลับรวมกันเข้าเป็นอาณา-จักรอันเดียวกัน ต่อจากกษัตริย์องค์นี้มาอีกองค์เดียว ก็ย้ายราชธานีจากเชียงแสนไปตั้งอยู่ที่เชียงใหม่ตามเดิม ส่วนอาณาจักรสุพรรณภูมิอันตั้งอยู่ทางทิศใต้ถัดจากอาณาจักรสุโขทัยลงไป เมื่อเจ้าเมืองอู่ทองถึงแก่พิราลัยแล้ว เชื้อสายราชวงศ์เชียงรายผู้เป็นบุตรเขยก็ได้สืบตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเป็น พระเจ้าอู่ทองสืบต่อมาภายหลังพระเจ้าอู่ทองก็ย้ายราชธานีมาตั้ง ณ เมืองอโยธยา เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๐ และมีอานุภาพอยู่ทางใต้อีกฝ่ายหนึ่ง ขณะเมื่ออาณาจักรสุโขทัยอ่อนอำนาจลงนั้น ประเทศราชต่างๆ โดยมากก็คิดตั้งตัวเป็นเอกราช แต่กำลังเมืองประเทศราชทั้งปวงไม่สม่ำเสมอกัน ที่เป็นเมืองเล็กเมืองน้อยก็เห็นจะพ้นวิสัยก็คงจะสงบนิ่งอยู่ ไม่ต้องการอะไรยิ่งไปกว่าที่จะรักษาเอาตัวรอด แม้เมืองอื่นๆ จะได้กระด้างกระเดื่องต่อกรุงสุโขทัยไปแล้วเป็นอันมาก แต่เมืองน่านยังคงสงบเป็นปกติอยู่ ยังมีการเกี่ยวข้องกับกรุงสุโขทัยโดยฐานะเป็นเมืองออกอยู่เป็นลำดับมา หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:46:09 น่าน ๒
เรื่องนี้ปรากฏตามพงศาวดารเมืองน่านต่อมาว่า เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๙ (ศักราชนี้ปรากฏในตำนานพระธาตุแช่แห้ง) ว่า พระยาการเมืองสืบมาจากพระยาผานองได้เป็นเจ้าเมืองวรนคร ในกาลครั้งนั้นพระยาโสปัตตกันทิ เจ้าเมืองสุโขทัย ได้ใช้มาเชิญพระยาการเมืองไปช่วยพิจารณาสร้างวัดหลวงอภัยในกรุงสุโขทัย ครั้นสร้างเสร็จแล้ว เจ้าเมืองสุโขทัยได้ให้พระบรมธาตุแก่พระยาการเมือง อันเป็นมูลเหตุของการประดิษฐานพระบรมธาตุของเมืองน่านอีกเรื่องหนึ่ง โดยพระยาการเมืองได้มาเลือกชัยภูมิในอันที่จะประดิษฐานพระบรมธาตุ และเลือกได้สถานที่ ณ ดอยภูเพียงแช่แห้งนัยว่าเป็นที่เคยบรรจุพระบรมธาตุมาแต่กาลก่อนๆ ดอยภูเพียงแช่แห้งนี้เป็นเนินผาเขาดินเตี้ยๆ ตั้งอยู่ใกล้เมืองน้ำเตียนกับแม่น้ำลิง ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำน่าน ตรงข้ามกับเมืองน่านที่ย้ายมาตั้งในชั้นหลังๆ ห่างออกไปราว ๓ กิโลเมตร แล้วนำลี้พลอัญเชิญพระบรมธาตุมาบรรจุไว้ ณ ที่นี้ ต่อมาพระยาการเมืองมีหทัยศรัทธาปรารถนาใคร่ที่จะได้ปฏิบัติรักษาพระมหาธาตุแช่แห้งอยู่เป็นนิตย์ จึงได้อพยพผู้คนพลเมืองลงมาตั้งเมืองอยู่ ณ ที่แช่แห้ง อันมีพระมหาธาตุตั้งอยู่ภายในกำแพงเมือง เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๒ แท้จริงพระยาการเมืองคงจะมิได้มาตั้งเมืองใหม่ด้วยความศรัทธาในพระมหาธาตุแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่จะเป็นที่พึงพอใจในสถานที่บริเวณนี้ ซึ่งมีที่ราบกว้างใหญ่อยู่ทั้งสองฟากของแม่น้ำน่าน มีภูมิฐานอุดมดีกว่าวรนครอีกประการหนึ่งด้วย แต่การตั้งเมืองอยู่ที่แช่แห้งนี้ดำรงได้เพียง ๑๐ ปี พระยาผากองซึ่งเป็นเจ้าเมืองอันดับ ต่อมา ก็อพยพข้ามฟากแม่น้ำน่านมาสร้างเมืองขึ้นใหม่ที่บ้านห้วยไค้ คือเมืองที่ตั้งจังหวัดน่านปัจจุบันอันอยู่ใกล้ๆ กับลำแม่น้ำน่าน เมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๑ ด้วยเหตุว่าเมืองแช่แห้งกันดารน้ำ เพราะอยู่บนเนินสูงและแม่น้ำลิงเป็นที่ตั้งเมืองนั้น เป็นแต่เพียงลำธารเล็กๆ น้ำย่อมเหือดแห้งไปในฤดูแล้ง เป็นความ อัตคัตกันดารอยู่เช่นนี้เสมอมา ซึ่งเคยปรากฏเช่นนี้มาตั้งแต่ตั้งเมืองใหม่ๆ แล้ว ย้อนกลับมากล่าวถึงพระยาโสปัตตกันทิเจ้าเมืองสุโขทัยในสมัยดังกล่าว เข้าใจว่าเป็นพระมหาธรรมราชาลิไท กษัตริย์รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงสุโขทัยเพราะตกอยู่ในรัชสมัยเดียวกัน หากแต่พระนามที่กล่าวในพงศาวดารเมืองน่านเรียกไปเสียอีกอย่างหนึ่ง การเปลี่ยนนามบุคคลและสถานที่ให้เป็นมคธพากย์เช่นนี้ ปรากฏอยู่ในตำนานของหัวเมืองฝ่ายเหนือมากมาย รู้สึกว่าเป็นที่นิยมกันทั่วไปในยุคโบราณ ความเข้าใจที่ว่าพระยาโสปัตตกันทิเป็นพระมหาธรรมราชาอันเกี่ยวกับด้วยเรื่องพระบรมธาตุนี้ มีศักราชปรากฏสมกับเค้าเงื่อนตามที่มีในศิลาจารึกนครชุมว่า พระมหาธรรมราชาได้พระบรมธาตุมาจากลังกาทวีป จึง ณ วัน ๖ ๓ ค่ำ ปีระกา พ.ศ. ๑๙๐๐ พระองค์ได้บรรจุพระบรมธาตุได้ที่เมืองนครชุม (เมืองเก่าอยู่หลังจังหวัดกำแพงเพชรเดี๋ยวนี้) และสร้างพระมหาธาตุขึ้นไว้ ตามพงศาวดารเมืองน่านที่ว่าสร้างวัดหลวงอภัย ก็เห็นจะเป็นการก่อสร้างก่อพระมหาธาตุนี่เอง ก็แลลักษณะการไปช่วยเหลือการนี้ของพระยาการเมือง เมื่อพิเคราะห์ดูตามข้อความและเหตุผลในพงศาวดารที่กล่าวมาแล้ว เห็นได้ว่าเป็นลักษณะการไปตามคำเรียกร้องของผู้มีอำนาจมากกว่าที่จะเป็นการไปโดยเชื้อเชิญฐานเป็นเพื่อนบ้านเมืองเคียงกัน อนึ่งกรุงสุโขทัยในระยะนี้ถึงจะอ่อนอำนาจลง แต่ความเป็นไปภายในบ้านเมืองยังคงมั่นคงอยู่ แม้ทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยาซึ่งเรืองเดชา- นุภาพปรากฏขึ้น ยังสงบไม่รุกราน ครั้งนั้นกรุงสุโขทัยยังคงจะมีเมืองขึ้นเหลืออยู่บ้างแม้จะมีเหลืออยู่น้อย แต่จำนวนที่เหลือนั้นต้องมีเมืองน่านอยู่ด้วยเมืองหนึ่ง เป็นธรรมดาว่าเจ้าเมืองประเทศราชจะต้องเข้าไปช่วยในการมหกรรมที่กล่าวมาแล้ว ดังปรากฏตามที่เจ้าเมืองน่านได้ไปนั้น เพราะกิจการในฝ่ายพระศาสนาพระมหาธรรมราชาทรงถือเป็นรัฐประศาสนโยบายสำคัญในการปกครองพระราชอาณาจักรส่วนหนึ่งควรเทียบได้ว่าพ่อขุนรามคำแหงทรงบำเพ็ญจักรวรรดิวัตรแผ่พระราชอาณาจักรและพระราชอำนาจด้วยการปกครองปราบปรามราชศัตรูฉันใด พระมหาธรรมราชาลิไทก็ทรงบำเพ็ญในทางที่จะเป็นธรรมราชา คือปกครองพระราชอาณาจักรด้วยธรรมานุภาพเป็นสำคัญฉันนั้น ในรัชสมัยนี้จังเป็นอันยุติได้ว่า เมืองน่านยังคงเป็นเมืองประเทศราชของกรุงสุโขทัยอยู่ต่อไป ต่อมา ปรากฏตามพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ว่า ศักราช ๗๓๘ ปีมะโรงอัฐศก (พ.ศ. ๑๙๑๙) เสด็จไปเอาเมืองซากังราวได้พระยา กำแหงแลท้าวผากองคิดกันว่า จะยอทัพหลวงทำมิได้ท้าวผากองเลิกทัพหนี เสด็จยกทัพตามตีทัพท้าวผากองแตก ได้ท้าวพระยาเสนาขุนหมื่นครั้งนั้นมาก แล้วทัพหลวงเสด็จกลับคืน เหตุการณ์ในตอนนี้ เป็นรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ ๒ (พระมหาธรรมราชาไสลือไท) ซึ่งได้มีสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับกรุงสุโขทัยเกิดขึ้นประปรายแล้ว ข้อความที่ปรากฏจากพระราชพงศาวดารข้างต้นนี้ คือสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ได้เสด็จไปตีเมืองกำแพงเพชร (ซากังราว) เป็นครั้งที่ ๒ พระยากำแหงเจ้าเมืองกำแพงเพชรได้กองทัพท้าวผากองมาช่วยรักษาเมืองกำแพงเพชรอีกทัพหนึ่ง ทัพท้าวผากองและเจ้าเมืองกำแพงเพชรยกเข้าปะทะกับทัพฝ่ายกรุงศรีอยุธยา สู้ไม่ได้ท้าวผากองจึงเลิกทัพหนี สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ เสด็จยกทัพตามตีทัพท้าวผากองแตกพ่ายไป แต่ยังตีเมืองกำแพงเพชรไม่ได้ ในระหว่างเหตุการณ์นี้ ทางฝ่ายเมืองน่าน พระยาผากองเป็นเจ้าเมือง ย้ายเมืองจาก แช่แห้งข้ามแม่น้ำน่านมาตั้งเมืองใหญ่ที่บ้านห้วยไค้ รัชสมัยของพระยาผากองเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๑๑ ถึง พ.ศ. ๑๙๓๑ เมื่อได้ตรวจพงศาวดารทางฝ่ายเมืองเหนือสอบดูแล้ว เห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องมาทางน่านยิ่งกว่าเมืองอื่นๆ ทางเหนือด้วยกัน เข้าใจว่าท้าวผากองผู้ที่ไปช่วยเจ้าเมืองกำแพงเพชรรักษาเมืองนั้นเป็นคนเดียวกับพระยาผากองเจ้าเมืองน่านนั่นเอง พระศักราชและเหตุผลยุติลงตรงกันคือใน พ.ศ. ๑๙๑๙ อยู่ในระหว่างรัชสมัยของพระยาผากองเจ้าเมืองน่านและเวลานั้นเมืองน่านยังเป็นเมืองประเทศราชของกรุงสุโขทัยอยู่ อันเป็นธรรมเนียมที่เมืองขึ้นจะต้องไปช่วยราชการทัพศึกของเมืองที่เป็นนาย ทางฝ่ายเมืองน่านเพิ่งรู้สึกขัดแย้งต่อกรุงสุโขทัยก็ต่อเมื่อพระยาผากองได้ไปเห็นความอ่อนแอในการทัพศึกของฝ่ายกรุงสุโขทัยที่เมืองกำแพงเพชรเป็นเบื้องต้น ความตั้งใจที่จะตั้งตัวเป็นอิสระก็คงจะเริ่มมีขึ้นเมื่อคราวนั้น และเมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ปราบอาณาจักรสุโขทัยให้อ่อนน้อมเมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๑ สิ้นเชิงแล้วจึงเป็นช่องทางอันงามที่จะเปิดให้เมืองน่านเป็นอิสระ การขาดตอนจากอาณาจักรสุโขทัยและความเป็นเอกราชของเมืองน่านจึงน่าจะเข้าใจว่าได้กลับมีขึ้นนับแต่การละนั้น สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่ออาณาจักรกรุงศรีอยุธยาและอาณาจักรสุโขทัยรวมกันเป็นอาณาจักรสยามแล้วต่อไปนี้ในพื้นสยามสุวรรณภูมิก็ยังเหลือแต่อาณาจักรลานนา ซึ่งเป็นดินแดนของไทยเหนือตั้งเป็นอิสระอยู่แต่ฝ่ายเดียว ไทยสยามกับไทยลานนาได้เริ่มทำสงครามกันใน พ.ศ. ๑๙๒๓ อันเป็นแผ่นดินของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ เป็นต้นไป กาละนี้ แคว้นน่านได้เป็นอิสระอยู่ในภาคลานนาส่วนหนึ่ง อันเริ่มแต่ราว พ.ศ. ๑๙๒๑ เป็นลำดับมา ระหว่างกาลนี้ยังไม่มีใครเอาใจใส่กับแคว้นน่านนัก เพราะสงครามชิงอำนาจและเขตแดนอาณาจักรใหญ่ๆ ยังกำลังติดพันกันอยู่ แคว้นน่านจึงได้ปกครองตนเองโดยความเรียบร้อยมาได้หลายปี ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของอาณาจักรสยามนี้ แคว้นน่านมีเหตุการณ์เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเพียงเล็กน้อย แต่เกี่ยวข้องกับพม่าและลานนาด้วยกันอยู่จนตลอดสมัย ประวัติการของแคว้นน่านในยุคกรุงศรีอยุธยานี้ อาจแบ่งตามเหตุการณ์ได้เป็น ๒ ตอนคือ ๑. เมืองน่านขึ้นเชียงใหม่ ๒. เมืองน่านขึ้นพม่า เมืองน่านขึ้นเชียงใหม่ แคว้นน่านได้ดำรงอิสระมา ๗๒ ปี เจ้าเมืองได้สืบสมบัติผลัดเปลี่ยนกันต่อๆ มาพอถึงเจ้าอินต๊ะแก่นท้าว ใน พ.ศ. ๑๙๙๓ ก็เสียเมืองแก่พระเจ้าติโลกราชเจ้านครเชียงใหม่ มูลเหตุที่จะเกิดสงครามกับเชียงใหม่ขึ้นคราวนี้ ได้ความตามพงศาวดารโยนกว่าท้าว- ลกราชบุตรที่ ๖ แห่งเจ้าพระยาสามฝั่งแกนเจ้านครเชียงใหม่ ได้ชิงสมบัติจากพระราชบิดาปราบดาภิเษกเป็นพระมหาศรีสุธรรมธิโลกราชขึ้นในนครเชียงใหม่แล้ว ครั้นล่วงมาถึงจุลศักราชที่ ๘๐๕ (พ.ศ. ๑๙๘๖) พระยาแก่นท้าวเจ้าเมืองน่านแต่งกลอุบายให้ไปทูลพระเจ้าเชียงใหม่ว่าศึกแกว (ญวน) จักมาตกเมืองน่าน ขอกองทัพเมืองนครเชียงใหม่มาช่วยรักษาเมือง พระเจ้าเมืองเชียงใหม่ไม่ระแวงพระทัยสำคัญว่าจริง จึงแต่งทัพให้ยกมารักษาเมืองน่าน ก็มิได้มีศึกแกวยกมาพระยาแก่นท้าวเจ้าเมืองน่านกระทำกลอุบายหลอกลวงต่างๆ พระเจ้าติโลกราชได้ทรงทราบว่าเจ้าเมืองน่านหลอกลวง ดังนั้นก็ทรงพระพิโรธจึงเสด็จยกกองทัพหลวงมาตีเมืองน่าน ตั้งล้อมเมืองขับเคี่ยวกันอยู่เป็นแรมปีจึงได้เมือง พระยาแก่นท้าวเจ้าเมืองน่านหนีลงไปพึ่งพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา พระเจ้าติโลกราชจึงตั้งให้ท้าวผาแสนผู้น้องพระยาแก่นท้าวเป็นเจ้าเมืองน่านต่อไป ฝ่ายข้างพงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่า ในปีจุลศักราช ๘๑๒ (พ.ศ. ๑๙๙๓) เจ้าอินต๊ะแก่นท้าวเจ้าเมืองน่านแต่งทูตให้นำเอาเกลือบ่อมางไปเป็นบรรณาการถวายพระเจ้าติโลกราชยังนครเชียงใหม่ ครั้นต่อมา พระเจ้าติโลกราชมีพระทัยปรารถนาใคร่ที่ได้เมืองน่านไปส่วยค้ำเมืองเชียงใหม่ จึงยกกองทัพมาติดเมืองและเสียเมืองแก่พระเจ้าติโลกราชในปีนั้น และเจ้าอินต๊ะแก่นท้าวหนีลงไปพึ่งพระยาชะเลียง (พระยายุทธิศฐิร) ข้อแตกต่างของสองตำนานนี้ที่สำคัญก็คือ สาเหตุในการทำสงคราม ตำนานทางเชียงใหม่ว่าฝ่ายน่านหลอกลวง แต่ฝ่ายเมืองน่านก็ว่าเมืองเชียงใหม่ต้องการเมืองน่านไปเป็นเมืองส่วยเกลือ ความจริงคงจะเป็นว่าเจ้าอินต๊ะแก่นท้าวได้ส่งบรรณาการไปเมืองเชียงใหม่จริง แต่เพียงเพื่อขอความพิทักษ์รักษาในยามที่จะมีศึกมาติดเมืองน่าน ซึ่งมีข่าววี่แววอยู่บ้าง ข้อนี้เป็นความจริงเพราะหลังจากเมืองน่านไปขึ้นแก่เชียงใหม่แล้วไม่ช้า ก็มีศึกหลวงพระบางและแกวตกมาเมืองน่านในระยะใกล้ๆ กัน คงจะไม่ใช่หลอกลวงตามตำนานเชียงใหม่กล่าวเป็นแน่ เพราะอยู่ดีๆ จะไปหาเหตุมาสู่บ้านเมืองก็ผิดวิสัย นอกจากนี้ข้อความอื่นๆ ยกเว้นแต่ศักราช ซึ่งควรเชื่อตามที่กล่าวไว้ในพงศาวดารเมืองน่าน เพราะกล่าวไว้ชัดเจนว่า เมืองเชียงใหม่ปกครองเมืองน่านในยุคนี้ มีข้อที่น่าสังเกตคือ แต่เดิมมาเมืองน่านจัดการปกครองโดยพลการตนเองทุกอย่าง ที่เป็นข้อสำคัญก็คือการสืบสมบัติเป็นเจ้าเมือง ก็ย่อมเป็นไปโดยสืบสันติวงศ์หรือโดยความพร้อมใจของพลเมืองอันเชิญขึ้น เป็นการภายในบ้านเมืองทั้งสิ้น แม้จะตกไปเป็นเมืองขึ้นของเมืองอื่น เช่น เมื่อครั้งกรุงสุโขทัยก็เพียงแต่ส่งเครื่องราชบรรณาการเท่านั้นประเทศที่ ปกครองมิได้ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจการภายในบ้านเมืองของเมืองน่าน แต่เมื่อพระเจ้าติโลกราชได้ปกครองเมืองน่านแล้ว ได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรกในเรื่องการตั้งเจ้าเมืองซึ่งสุดแล้วแต่พระทัยของพระเจ้าเชียงใหม่จะเห็นสมควรแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นประมาณ ฉะนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองน่านในยุคนี้ จึงไม่จำกัดว่าจะต้องลงทางสายสกุลเจ้าเมืองน่าน หรือโดยความเห็นของชาวเมืองหรือไม่ ความเป็นประเทศราชของเมืองน่านได้ถูกจำกัดลงอีกชั้นหนึ่ง ในทำนองที่จะคุมเมืองน่านให้คงเป็นดินแดนของเมืองเชียงใหม่โดยมั่นคง ส่วนการป้องกันบ้านเมืองนั้นได้รับความคุ้มครองทันท่วงทีและเหตุการณ์ดีขึ้น การพระศาสนาได้ย่างขึ้นสู่ความเจริญ พระมหาธาตุแช่แห้งอันเป็นปูชนียสถานประจำบ้านเมือง ซึ่งพระยาการเมืองสร้างขึ้นภายหลังเป็นที่รกร้างเลื่อนลอยไป ก็ได้บูรณะปฏิสังขรณ์ให้คืนดีขึ้นในสมัยนั้น เมืองน่านได้อยู่ในความปกครองของเมืองเชียงใหม่มาได้ ๑๐๘ ปี ใน พ.ศ. ๒๑๐๑ พม่าปราบลานนาไทยราบคาบ เมืองน่านก็ตกไปเป็นเมืองขึ้นของพม่าสืบมาแต่กาลนั้น เมืองน่านขึ้นพม่า ก่อนที่จะบรรยายถึงเหตุการณ์ตอนนี้ ควรนำความเป็นไปทางฝ่ายพม่ามากล่าวไว้โดยสังเขปก่อนคือ ฝ่ายข้างเมืองหงษาวดี เมื่อพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ (สุวรรณเอกฉัตร) ทิวงคตแล้ว หัวเมืองในราชอาณาจักรหงษาวดีก็พากันตั้งแข็งเมืองอยู่ทั่วไป ที่เมืองหงษาวดีเองก็มีมอญตั้งตัวขึ้นเป็นพระเจ้าหงษาวดีบุเรงนอง (พระเชษฐาธิราช) แล้ว ซึ่งเป็นพี่เขยของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้เหลือกำลังที่จะปราบปรามได้ก็พาสมัครพรรคพวกหนีไปจากเมืองหงษาวดี ภายหลังเมื่อได้ซ่องสุมผู้คนได้เป็นกำลังพอแล้ว ก็ยกไปตีเมืองที่ตั้งตัวขึ้นใหม่ๆ และทำการปราบปรามพวกนี้อยู่ ๓ ปี จึงสงบเรียบร้อย แล้วก็ตั้งตัวขึ้นเป็นพระเจ้าหงษาวดี มีพระนามว่า พระเจ้าศิริสุธรรมราช ใน พ.ศ. ๒๐๙๖ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า พระเจ้าบุเรงนองหรือพระเจ้าชนะสิบทิศ เมื่อพระเจ้าบุเรงนองจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว ก็ยกไปตีเมืองอังวะ ได้เมืองอังวะแล้วก็ยกไปตีเมืองไทยใหญ่และเชียงใหม่ต่อไปเป็นลำดับ เหตุการณ์ในตอนนี้ มีพฤติการณ์เนื่องมาจากพม่าไปตีเมืองนาย คือเมืองไทยใหญ่ก่อน กล่าวคือ ครั้งนั้นพระเจ้าเมกุฏิไทยใหญ่เมืองนายมาครองเมืองเชียงใหม่ เมื่อพระเจ้าบุเรงนองไปตีเมืองเจ้านาย เจ้าเมืองนายเป็นญาติกับพระเจ้านครเชียงใหม่ จึงขอกองทัพเมืองเชียงใหม่ให้ไปช่วย พระเจ้าเชียงใหม่ได้แต่งกองทัพส่งให้ไป เมื่อพระเจ้าบุเรงนองได้เมืองนายแล้ว จึงถือเอาเหตุที่เมืองเชียงใหม่ พม่าเข้าล้อมเมืองเชียงใหม่อยู่ ๓ วัน ก็เข้าเมืองเชียงใหม่ได้ใน พ.ศ. ๒๑๐๑ เมืองน่านและเมืองอื่นๆ ในลานนาด้วยกันที่ขึ้นเชียงใหม่ ก็ตกไปเป็นเมืองขึ้นของพม่าด้วยโดยปริยาย พม่าคงตั้งพระเจ้าเมกุฏิเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่อยู่ตามเดิม ฝ่ายทางเมืองน่าน ในขณะที่เมืองเชียงใหม่เสียแก่พม่าแล้วนั้น เจ้าเมืองน่านหนีไปจากเมือง พม่าจึงตั้งพระยาหน่อคำไชยเสถียรสงคราม (เข้าใจว่าเป็นชาวเมืองเชียงใหม่) มาเป็นเจ้าเมืองแทน ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๑๐๗ พระเจ้าเมกุฏิเจ้านครเชียงใหม่ร่วมคิดกับพระยากมลเจ้าเมืองเชียงแสน แข็งเมืองต่อกรุงหงษาวดี เรื่องนี้ได้ความตามพงศาวดารพม่าว่า ยังมีพระยาน่านและเจ้าเมืองอื่นๆ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอีกด้วย พระเจ้าหงษาวดีจึงยกกองทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ ครั้งนั้นพระเจ้าเชียงใหม่เห็นเหลือกำลังที่จะสู้รบ จึงออกไปอ่อนน้อม ส่วนพระยาน่านกับพวกอพยพหนีไปพึ่งอยู่กับพระไชยเชษฐา ณ กรุงศรีสัตนาคนหุต (พงศาวดารเมืองน่านไม่มีปรากฏ) นับแต่กาลนี้ไป เมืองน่านและเมืองอื่นๆ ในลานนาไทยก็ถูกควบคุมให้อยู่ในความ ปกครองของพม่าที่เมืองเชียงใหม่ โดยใกล้ชิดกวดขัน มีสัมพันธภาพไม่ขาดตอนจากกันอยู่กระทั่งสยามได้ขับไล่พม่าไปจากลานนาไทยสิ้นเชิง และรวมลานนาไทยเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในยุคหลัง ในระหว่างกาลที่ลานนาไทยได้ตกอยู่ในความปกครองของพม่านั้น ได้ขาดตอนจากพม่าไปตกเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาอยู่ ๒ คราว ในวาระแรกเมื่อในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นวีรกษัตริย์ประเสริฐของชาติไทย อันทรงสุรภาพปราบปรามไปทั่วทุกทิศ และในวาระที่ ๒ เมื่อในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่ก็เป็นในชั่วเวลาอันเล็กน้อย พอสิ้นรัชสมัยพระมหากษัตริย์ที่ทรงเดชานุภาพแล้ว ลานนาไทยก็ตกไปเป็นเมืองขึ้นของพม่าตามเดิม ครั้งนั้นพม่าตั้งศูนย์กลางการปกครองลานนาไทยที่เมืองเชียงใหม่ มีกองทัพทหารและข้าหลวงมาประจำสำหรับคอยกำกับ เจ้าเมืองพม่าที่ประจำอยู่ตามเมืองต่างๆ นั้น มีทั้งพม่าและชาวพื้นเมืองที่เชียงใหม่มีเจ้าพม่ามาปกครองอยู่เป็นเวลานาน ที่เมืองน่านเองก็มีพม่ามาเป็นเจ้าเมืองหลายคน ในชั้นหลังพม่าได้ส่งกำลังทหารมาตั้งอยู่ที่เมืองเชียงแสนคุมเมืองตอนเหนือไว้อีกชั้นหนึ่ง เหตุที่พม่าควบคุมลานนาไทยไม่ทิ้งเช่นนี้ ลานนาไทยจึงตกเป็นของพม่าอยู่จนตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องแต่พม่าปกครองลานนาไทยด้วยความ..น่ารัก..มโหดทารุณกรรม กดขี่ ข่มเหง แก่ราษฎรพลเมืองด้วยประการต่างๆ ลักษณะการเช่นนี้ได้เป็นไปทุกระยะกาลสมัย ต่างได้รับความเดือดร้อนอยู่ทั่วกันเป็นสาหัส จนปรากฏว่าประชาชนชาวลานนาไทยมีแต่ความตระหนกตกใจไหวหวั่นด้วยภยันตรายต่างๆ มิได้วางใจเป็นปกติได้ เหตุด้วยพม่ารามัญมาประหัตประหารปราบปรามย่ำยีด้วยอำนาจดังกล่าวมาแล้วจนน้ำใจคนวิลานปลาส ได้เห็นหรือได้ยินอะไรที่แปลกประหลาดก็หมายเอาว่าเป็นอุบาทว์บอกเหตุลางร้ายทุกอย่างไป นับแต่ยุคโบราณประวัติลงมา ชาวลานนาไทยก็เห็นจะได้พบรสชาติของการปกครองที่ป่าเถื่อนเช่นนี้เป็นครั้งแรก หัวใจของชาวลานนาไทยต่างร่ำร้องคร่ำครวญ ในเมื่อไม่สามารถจะแก้มือแก้เผ็ดตอบแทนแก่พม่าได้ และร้อนเร่าปานประหนึ่งจะลุกเป็นไฟในเมื่อความหยาบช้าทารุณนั้นได้แล่นขึ้นถึงขีดที่จะทานทน จนมีคำกล่าวกันอันเป็นที่น่าเห็นใจนักหนาในระหว่างชาวเมืองกับเจ้านายว่า ครั้น เจ้าจะเป็นม่าน ตูข้าขอหนี ครั้น เจ้าจะเป็นไทย ตูข้าขอรบม่าน เป็นอาทิ ฉะนั้น เมื่อความคับแค้นใจมีมากเข้าอัดไว้มากเข้าจนล้นอกล้นใจของทุกๆ คน ทนอยู่ไม่ได้แล้ว การแข็งเมืองจะจราจลก็บังเกิดขึ้นเป็นไปตามกฎธรรมดา จึงในเมืองน่าน เมื่อ พ.ศ. ๒๑๔๓ เจ้าเจตบุตรพรมินทรบุตรพระยาหน่อคำไชยเสถียรสงครามที่พม่าตั้งเป็นเจ้าเมืองได้รับกำลังสนับสนุนจากพระหน่อแก้ว เจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ซึ่งมีพม่าเป็นเจ้าเมือง แต่ไม่สำเร็จ เจ้าเจตบุตรต้องหนีไปอยู่เมืองล้านช้าง๑ ภายหลังถูกพม่าจับไปฆ่าที่เมืองเชียงใหม่เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๔๖ ในปี พ.ศ. ๒๑๖๗ เจ้าอุ่นเมือง เจ้าเมืองน่านแข็งเมืองต่อพม่าแล้วหนีไปเมืองล้านช้างภายหลังคุมผู้คนกลับมาตั้งที่เมืองน่านอีก เจ้าฟ้าสุทโธเจ้าเมืองเชียงใหม่ (พม่า) ยกกองทัพมาตีเมืองน่านได้ เจ้าอุ่นเมืองหนีไปเมืองลานช้าง ครั้งนั้นชาวบ้านชาวเมืองแตกตื่นพากันซอกซอนหรีไปอยู่ตามป่าตามเขาเป็นอันมาก กองทัพพม่าได้กวาดเอาราษฎรที่หนีไม่ทันและทรัพย์สินสมบัติกลับไป ใน พ.ศ. ๒๒๔๖ เจ้าพระเมืองราชา เจ้าเมืองน่านแข็งเมืองต่อพม่า พม่ายกกองทัพมาเป็นอันมาก เจ้าพระเมืองราชาเห็นเหลือกำลังที่จะต่อสู้ก็อพยพครอบครัวหนีไปเมืองลานช้าง ราษฎรคงแตกตื่นหนีไปเที่ยวซ่อนอยู่ตามดงตามป่าเช่นเคย ครั้งนั้นพงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่าป้อมปราการ บ้านเรือน วัดวาอาราม พระพุทธรูป พระธรรมคัมภีร์ เจดีย์สถานต่างๆ พม่าก็ทำลายเผาเสียสิ้น จนจะเหลือให้ไว้แต่พื้นแผ่นดินเปล่าๆ เท่านั้น ฝ่ายทางเมืองเชียงใหม่นั้นเล่า เมื่อ พ.ศ. ๒๒๗๑ เจ้าทองคำ ชาวลานช้างได้ครองเมืองเชียงใหม่ด้วยความรู้สึกอันเดียวกันก็แข็งเมืองขึ้น กองทัพพม่ามารบราวีบ้านเมืองเดือดร้อนจลาจลอยู่เสมอมา จนเสียเมืองเชียงใหม่แก่ข้าศึก ต่อจากนั้นหัวเมืองทั้งหลายต่างก็ตั้งซ่องควบคุมกันเป็นหมู่เป็นเหล่าหลายพวกหลายหมู่ ต่างหมู่ต่างก็รบราฆ่าฟันกันและกัน ไพร่บ้านพลเมืองกระจัดกระจายระส่ำระสายจนหาความสุขมิได้ สมัยกรุงธนบุรี สภาพเช่นนี้ได้ยืนยงคงทนต่อมาช้านาน จนเมื่อทางอาณาจักรสยาม พระยาตาก (สิน) ได้ตั้งเมืองธนบุรีขึ้นเป็นราชธานี ตั้งตัวขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองแผ่นดินสยามขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ พระองค์ได้ทรงขับไล่พม่าที่เข้ามาปกครองหัวเมืองไทยออกไปจนสิ้นเชิงและปราบปรามเมืองใหญ่ๆ ที่ตั้งตัวเป็นก๊กเป็นเหล่าราบคาบในไม่ช้า ตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลาที่ไทยทำสงครามกับพม่าเพื่อทำลายอิสรภาพของไทยเป็นหลายครั้ง และตีพม่าปราชัยกลับไปทุกคราว กาละนี้แสงสว่างแห่งสันติสุขร่มเย็นได้จับภูมิภาคแห่งสยามทั่วแล้ว และยังจะทอแสงทอดมาสู่ลานนาไทยต่อไป ในที่สุด พ.ศ. ๒๓๑๗ ก็ได้มาถึงสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จกรีฑาทัพมาตีได้เมืองเชียงใหม่ก่อนกาลที่ทัพหลวงใกล้จะมาถึง ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า พื้นแผ่นดินในลานนาไทยก็ไหวหวั่นสะเทือนเป็นเหตุประหนึ่งว่า ธรณีลานนาจะทรงพม่าไว้แต่เพียงกาลจำกัดเท่านี้ และแล้วต่อมากองทัพไทยก็ขับไล่พม่าหนีออกไปจากลานนา เป็นอันว่า อาณาจักรลานนาได้กลมกลืนเป็นอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกับอาณาจักรสยามดำรงไว้ซึ่งชาติ ไทย ที่ต่างแยกย้ายกันอยู่ให้เป็นชาติไทยบริบูรณ์เหมือนเช่นเดิม สืบมาแต่กาละนั้น ฝ่ายข้างเมืองน่าน ในระหว่างที่ทัพกรุงยกเข้าตีเมืองเชียงใหม่นั้น เจ้ามโนเป็นเจ้าเมืองน่าน ได้ให้เจ้าน้อยวิธูรราชวงศ์เมืองน่าน ไปในการทัพของพม่าที่เมืองเชียงใหม่ เมื่อกองทัพไทยเข้าเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว ได้ตัวเจ้าน้อยวิธูร จึงเกลี้ยกล่อมให้เข้าสวามิภักดิ์ แล้วตั้งเป็นเจ้าเมืองน่านขึ้นต่อกรุงธนบุรีต่อไป สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในต้นรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมืองน่านยังมีเจ้า เมืองเป็นสองฝ่ายอยู่ คือ พระยามงคลวรยศเป็นเจ้าเมืองฝ่ายกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ที่ท่าปลา ฝ่ายหนึ่งและเจ้าอัตถวรปัญโญ (ภายหลังโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็นเจ้าฟ้า) ผู้เป็นหลาน เป็นเจ้าเมืองฝ่าย บุรรัตนอังวะ ตั้งอยู่ที่เมืองเทิงอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้เหตุด้วยครั้งที่เมืองน่านขึ้นกรุงเทพฯ เจ้าอัตถวรปัญโญตกอยู่ในเมืองเชียงแสนกับพม่า ภายหลังเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ เจ้าอัตถวรปัญโญลงไปหาพระยามงคลวรยศที่เมืองท่าปลา ขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารในกรุงเทพมหานคร พระยามงคลวรยศมีความยินดี จึงมอบบ้านเมืองให้เจ้าอัตถวรปัญโญครองครอง ครั้งล่วงมาอีกปีหนึ่งเจ้าอัตถวรปัญโญก็ลงไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังกรุงเทพฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอัตถวรปัญโญดำรงตำแหน่งเจ้า-เมืองน่านต่อไปตามเดิม ในสมัยกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ เป็นต้นมา เมืองน่านมีเจ้าผู้ครองนคร ๙ คน มีรายนามดังต่อไปนี้ ๑. พระยามงคลวรยศเป็นเจ้าผู้ครองในรัชกาลที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ๒. พระยาอัตถวรปัญโญ (หลาน ๑) เป็นเจ้าผู้ครองในรัชกาลที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ ทรงสถาปนาเป็นเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๗ ๓. พระยาสุมนเทวราช (น้า ๒) เป็นเจ้าผู้ครองในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๓ -พ.ศ. ๒๓๖๘ ๔. พระมหามหายศ (บุตร ๒) เป็นเจ้าผู้ครองนครในรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๘ - พ.ศ. ๒๓๗๘ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:46:33 น่าน ๓
๕. พระยาอชิตวงศ์ (บุตร ๓) เป็นเจ้าผู้ครองในรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙ ครองราชย์ ๗ เดือนก็ถึงแก่พิราลัย ๖. พระยามหาวงศ์ (เป็นญาติทางฝ่ายมารดา) เป็นเจ้าผู้ครองนครในรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๑ - พ.ศ. ๒๓๙๔ ๗. พระยาอนันตยศ (บุตร ๒) เป็นเจ้าผู้ครองนครในรัชกาลที่ ๔ ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๙๕ - พ.ศ. ๒๔๓๔ ทรงสถาปนาเป็นเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ ๘. เจ้าสุริยพงศ์ผริตเดช (บุตร ๗) เป็นเจ้าผู้ครองในรัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ทรงสถาปนาเป็นพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖ - พ.ศ. ๒๔๖๑ ๙. เจ้ามหาพรหมสุรธาดา (บุตร ๗) เป็นเจ้าผู้ครองนครในรัชกาลที่ ๖ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑ ถึงแก่พิราลัยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ เจ้าผู้ปกครองน่านทุกท่าน ล้วนแต่ได้ปฏิบัติราชการในกรุงเทพมหานครมาแล้วด้วยดีมีความชอบปรากฏเหมาะสมทุกระยะกาลสมัย เป็นกำลังในการทัพศึกเสมอด้วยวีรชนผู้กล้าหาญทั้งหลาย ประกอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตั้งมั่นอยู่ในความกตัญญูกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตน-โกสินทร์อยู่เป็นลำดับมาตลอดกาล การตั้งเมืองน่านในปัจจุบัน ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า พระยาผากองได้สร้างเมืองขึ้นใหม่ที่บ้านห้วยไค้ เมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๑ เมืองน่านซึ่งตั้งอยู่ ณ บ้านห้วยไค้ ในสมัยต่อมามีตัวเมืองเป็น ๒ แห่ง คือ เมืองเก่า เรียกว่า เวียงใต้ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านแห่งหนึ่ง กับเมืองใหม่เรียกว่า เวียงเหนือ ตั้งอยู่บนดอนข้างหลังเวียงเก่าถัดขึ้นไปอีกแห่งหนึ่ง เหตุที่มีตัวเมืองสองแห่งนั้น กล่าวคือ เริ่มแต่พระยาผากองได้มาตั้งเมืองที่ริมแม่น้ำน่านนี้แล้ว เจ้าเมืองน่านได้ผลัดเปลี่ยนครองเมืองต่อๆ กันมาหลายชั่วหลายวงศ์ อยู่มาถึง พ.ศ. ๒๓๖๐ ในรัชกาลที่ ๒ กรุงรัตนโกสินทร์ เกิดน้ำท่วมพัดกำแพงเมืองและวัดวาอารามบ้านเรือนในเมืองเก่าหักพังลงเป็นอันมาก พระยาสุมนเทวราช เจ้าเมืองน่านจึงไปสร้างเมืองขึ้นบนดอนมิให้น้ำท่วมถึง ย้ายไปอยู่เมืองใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๒ ภูมิฐานเมืองเก่าที่ปรากฏในปัจจุบัน ด้านตะวันออกตั้งอยู่ริมท้องหลง (ลำรางน้ำ) กำแพงเมืองห่างจากท้องหลง ๔ วา ท้องหลงนี้เป็นลำน้ำน่านเก่า มีลำรางไปบรรจบกับแม่น้ำน่าน ปัจจุบันทางใต้ที่บ้านดอนและทางเหนือที่บ้านดอนแก้ว เมื่อย้ายเมืองจากเวียงเหนือกลับคืนมาตั้งที่เวียงใต้ภายหลังอีกนั้น น่านจะเป็นด้วยน้ำน่านได้กลับไปเดินในทางสายใหม่เดี๋ยวนี้แล้ว ซึ่งอาจเป็นโดยขุดทางน้ำขึ้นใหม่ก็ได้ เพราะระยะทางที่น้ำสายใหม่และสายเก่ามาบรรจบกันนั้น มีระยะเพียง ๑ กิโลเมตรเศษๆ เท่านั้น เมืองใหม่นั้นตั้งอยู่ที่บ้านพระเนตร ห่างจากเมืองเก่าไป ๓ กิโลเมตร ตัวเมืองทอดไปตามลำแม่น้ำน่าน ห่างจากแม่น้ำประมาณ ๘๐๐ เมตร มีเหตุมณฑลแห่งคูเมือง คือ ด้านเหนือจดบ้านน้ำล้อม ด้านตะวันออกยาวไปตามถนนสุมนเทวราชเดี๋ยวนี้ ด้านใต้จดทุ่งนาริน ด้านตะวันตกยาวไปตามแนวของขอบสนามบินด้านนอก เวลานี้มีแต่เพียงซากเมืองเท่านั้น เจ้าเมืองน่านตั้งอยู่ที่เวียงเหนือสืบกันมาได้ ๓๖ ปี จนถึงในรัชกาลที่ ๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ พระยาอนันตยศ (ภายหลังได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้านครน่าน คือบิดาของพระ-เจ้าสุริยพงศ์ผรติเดช และเจ้ามหาพรมสุรธาดา) จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตย้ายกลับมาตั้งอยู่ที่เมืองเก่าและย้ายมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ เป็นที่ประทับของเจ้าเมืองน่านสืบกันมาจนบัดนี้ ตัวเมืองน่าน ใน พ.ศ. ๒๔๐๐ กำแพงเมือง ตัวเมืองน่านหันหน้าเมืองออกสู่แม่น้ำน่านซึ่งเป็นเบื้องตะวันออก มีกำแพง ๔ ด้าน ด้านยาวทอดไปตามลำน้ำน่านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวกำแพงสูงจากพื้นดินประมาณ ๒ วา มีเชิงเทินกว้าง ๓ ศอก ประกอบด้วยในเสมาตรงมุมกำแพงก่อป้อมไว้ทั้ง ๔ แห่ง มีปืนใหญ่ประจำป้อมๆละ ๔ กระบอก มีประตู ๗ ประตู ที่ประตูก่อเป็นซุ้ม ประกอบด้วยใบทวารแข็งแรง กำแพงด้านตะวันออกมีประตูชัย, ประตูน้ำเข้ม ด้านตะวันตกมีประตูท่อน้ำ, ประตูหนองห่าน ด้านใต้มีประตูเชียงใหม่, ประตู่ท่าลี่ มีคูล้อม ๓ ด้าน เว้นด้านตะวันออกซึ่งเป็นลำแม่น้ำน่านเดิมกั้นอยู่ การก่อสร้างกำแพงเมืองเมื่อครั้งแรกมาตั้งเมืองนี้ มีเรื่องเล่ากันสืบมาเป็นทำนองเทพนิยายว่า ครั้งนั้นตกอยู่ในวัสสันตฤดู มีโคอศุภราชตัวหนึ่งวิ่งข้ามแม่น้ำน่านมาจากทางทิศตะวันออก ครั้นมาถึงที่บ้านห้วยไค้ก็ถ่ายมูลและเหยียบพื้นดินทิ้งรอยไว้ เริ่มแต่ประตูชัยบ่ายหน้าไปทิศเหนือแล้ววกไปทางทิศตะวันตกเป็นวงกลมสี่เหลี่ยมมาบรรจบรอยเดิมที่ประตูชัย แล้วก็นิราศอันตรธานไป ลำดับกาลนั้น พระยาผากองดำริที่จะสร้างนครขึ้นใหม่ ครั้นได้ประสบรอยโคอันหากกระทำไว้เป็นอัศจรรย์ พิเคราะห์ดูก็ทราบแล้วว่าสถานที่บริเวณรอบโคนั้นเป็นชัยภูมิดี สมควรที่จะตั้งนครได้ จึงได้ย้ายเมืองมาตั้งที่บ้านห้วยไค้นั้น และก่อกำแพงฝังรากลงตรงแนวทางที่โคเดินถ่ายมูลไว้มิได้ทิ้งรอยแนวกำแพงจึง มิสู้จะตรงนัก เพราะเป็นกำแพงโดยโคจร เรื่องนี้จะมีความจริงหรือไม่เพียงไรก็ตามเห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติของเมืองนี้ ซึ่งชาวเมืองก็ยังนิยมเชื่อถือว่าเป็นความจริง และนำเอาคติที่เชื่อว่าโคเป็น ผู้บันดาลเมืองมาทำรูปโคติดไว้ตามจั่วบ้านเรือนเพื่อเป็นศิริมงคลอยู่ทั่วไป จึงนำมากล่าวไว้ด้วย ประตูเมืองเป็นด่านสำคัญชั้นในของเมือง ในเวลาที่บ้านเมืองไม่ใคร่จะปกติราบคาบจึงต้องมีการรักษากันแข็งแรง ประตูเมืองทั้ง ๗ นี้ มีนายประตูเป็นผู้รักษา มีหน้าที่ในการปิดเปิดประตูตามกำหนดเวลา คือ ปิดเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. และเปิดในเวลาประมาณ ๐๕.๐๐ น. ถ้าเป็นเวลาที่ประตูปิดตามกำหนดเวลาแล้ว จะเปิดให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าออกไม่ได้ และทั้งมีอาชญาของเจ้าผู้ครองบังคับเอาโทษแก่ผู้ที่ปีนข้ามกำแพงไว้ด้วย นายประตูเป็นผู้ที่เจ้าผู้ครองได้แต่งตั้งไว้ได้รับศักดิ์เป็นแสนบ้าง ท้าวบ้าง มีบ้านเรือนประจำอยู่ใกล้ๆ ประตูนั่นเอง ให้มีผลประโยชน์คือในฤดูเดือนยี่หรือเดือนสาม ซึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวข้าว เจ้านายท้าวพญาและราษฎรภายในกำแพงเมืองทั้งปวง เมื่อขนข้าวจากนาเข้ามาในเมืองทางประตูใด ก็ให้นายประตูนั้นมีสิทธิเก็บกักข้าวจากผู้นำเข้ามาได้หาบละ ๑ แคลง (ประมาณ ๑ ทะนาน) นอกจากนี้ นายประตูยังได้สิ่งของโดยมากเป็นอาหารจากผู้ที่ผ่านเข้าออกประตูเป็นประจำวันโดยนำตะกร้าหรือกระบุงไปแขวนไว้ที่หน้าประตูอันสุดแล้วแต่ใครจะให้อีกด้วย อาชญาของเมืองที่ต้องมีนายประตูดังกล่าวแล้วนี้ ได้เลิกไปเมื่อสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริต-เดชเป็นเจ้าเมือง คุ้ม - หอคำ ตรงใจกลางเมืองเป็นที่อยู่ของเจ้าผู้ครองนคร เรียกว่าคุ้มหลวงและหอคำ คุ้ม ตรงกับภาษาไทยใต้เรียกว่า วัง คุ้มหลวง ก็คือวังใหญ่นั่นเอง และ หอคำ นั้นตรงกับภาษาไทยใต้เรียกว่า ตำหนักทอง อันสร้างขึ้นไว้ในบริเวณคุ้มหลวงเป็นเครื่องประดับเกียรติยศ บรรดาเมืองประเทศราชในลานนาไทยทั้งปวง ย่อมมีบริเวณที่คุ้มหลวงสำหรับเมือง ใครได้เป็นเจ้าเมืองจะเป็นโดยได้สืบทายาทหรือไม่ก็ตาม ย่อมย้ายจากบ้านเดิมไปอยู่ในคุ้มหลวงทุกคน แต่ส่วนเหย้าเรือนในคุ้มหลวงนั้นแต่ก่อนสร้างเป็นเครื่องไม้ ถ้าเจ้าเมืองคนใหม่ไม่พอใจจะอยู่ร่วมเรือนกับเจ้าเมืองคนเก่าก็ย่อมจะให้รื้อถอนเอาไปปลูกถวายวัด (ยังปรากฏเป็นกุฏิวิหารของวัดที่เมืองน่านบางแห่ง) แล้วสั่งกะเกณฑ์ให้สร้างเรือนขึ้นอยู่ตามชอบใจของตน ส่วนหอคำนั้น มิได้มีทุกเมืองประเทศราช เพราะหอคำเป็นเครื่องประดับเกียรติพิเศษสำหรับตัวเจ้าผู้ครอง ต่อเจ้าผู้ครองเมืองคนใดได้รับเกียรติเศษสูงกว่าเจ้าผู้ครองเมืองโดยสามัญ ก็สร้างหอคำขึ้งเป็นที่อยู่เฉลิมเกียรติยศ หอคำเมืองน่าน เพิ่งมีขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ มีเรื่องปรากฏในพงศาวดารเมืองน่านว่าเมื่อพระยาอนันตยศย้ายกลับมาตั้งอยู่ที่เมืองเก่าแล้ว ต่อมาอีกปีหนึ่ง พ.ศ. ๒๓๙๙ พระบาทสมเด็จพระ-จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระยาอนันตยศเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าอนันต- วรฤทธิเดช เจ้านครเมืองน่านมีเกียรติยศสูงกว่าเจ้าเมืองน่านคนก่อนๆ ซึ่งเคยมียศเป็นแต่พระยา ฉะนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๐๐ เจ้าอนันตวรฤทธิเดชจึงสร้างหอคำขึ้นและให้เปลี่ยนชื่อคุ้มหลวงว่า คุ้มแก้ว เพื่อให้วิเศษเป็นตามลักษณะของหอคำ หอคำที่สร้างขึ้นในครั้งนั้น ตัวเรือนเป็นเครื่องไม้ เป็นตัวเรือนรวมอยู่ในคุ้มแก้ว ๗ หลัง โดยเฉพาะตัวเรือนที่เป็นหอคำมีห้องโถงใหญ่ นับว่าเป็นทำนองท้องพระโรงสำหรับเป็นที่ว่าราชการ เมื่อเจ้าอนันวรฤทธิเดชถึงแก่พิราลัยแล้ว เจ้าสุริยพงศ์ผริตเดชได้เป็นเจ้าผู้ครองนครเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ก็เข้าไปอยู่ในคุ้มแก้ว แต่ให้กลับเรียกว่า คุ้มหลวง เป็นไปตามเดิม ครั้นล่วงเวลามาอีก ๑๐ ปี ถึง พ.ศ. ๒๔๔๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดช จึงรื้อหอคำเก่าไปถวายวัดและสร้างหอคำเป็นตึกขึ้นแทน ยังถาวรอยู่มาจนทุกวันนี้ ซึ่งขณะนี้ทางราชการได้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ภายในบริเวณคุ้มแก้ว มีโรงม้า โรงแต๊ก โรงแต๊กนั้นถือเป็นที่เก็บเครื่องอาวุธ หอดาบ ง้าวปืนและกระสุนดินดำ อันมีไว้สำหรับบ้านเมืองในอันที่จะใช้ในการทัพศึก ณ ลานหน้าคุ้มแก้วเป็นที่ตั้งโรงช้าง ซึ่งเป็นพาหนะที่สำคัญของบ้านเมืองในสมัยนั้น บ้านเมืองที่เป็นเมืองชั้นราชธานี ย่อมจะรวบรวมสะสมช้างไว้มากทุกเมือง ยิ่งเป็นท้องที่ในภาคพายัพนี้แล้วช้างเป็นสิ่งจำเป็นในการลำเลียงและการทัพศึก ในสมัยนั้นเป็นอันมาก สนาม ณ เบื้องขวาของคุ้ม ตรงข้าววัดพรหมมินทรและที่โรงเรียนจุมปีวนิดาตั้งอยู่เดี๋ยวนี้เป็นที่ตั้งศาลาว่าการบ้านเมือง เรียกว่า สนาม ถัดไปเป็นศาลาสุรอัยการ ๒ หลัง (สุรเพ็ชฌฆาต, อัยการ คนใช้, คนเวร) คือเป็นที่สำนักของพวกเพ็ชฌฆาต และเป็นที่เก็บสรรพเอกสารของบ้านเมือง ซึ่งมีคนเวรอยู่ประจำ ถัดไปเป็นคอก (เรือนจำ) จะได้กล่าวต่อไปในเรื่องการปกครอง ฉาง ณ ศาลากลางจังหวัด เดิมเป็นที่ตั้งฉางของบ้านเมือง มีอยู่ ๒ โรงด้วยกัน สำหรับเป็นที่เก็บเสบียงและพัสดุสิ่งของที่ใช้ในกิจการบ้านเมือง เป็นต้นว่าจำพวกเสบียงก็มี ข้าว เกลือ มะพร้าว พริก หอม กระเทียม ตลอดจนหมู เป็ด ไก่ ที่เป็นๆ สะสมไว้เป็นบางคราว และจำพวกเครื่องก็มี ขัน น้ำมันยาง ขี้ผึ้ง ดินประสิว กระดาษ เป็นต้น สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญของบ้านเมือง โดยเฉพาะเสบียงเป็นกำลังของรี้พลสำหรับป้องกันบ้านเมือง ซึ่งจะต้องมีให้พรักพร้อมอยู่เสมอ ทางบ้านเมืองได้กะเกณฑ์เอาสิ่งของเหล่านี้แก่พลเมือง เอามาขึ้นฉางไว้ทุกปี เรียกว่า หล่อฉาง บ้านเรือน ในยุคนั้นได้ความว่าเมืองน่านมีภูมิฐานบ้านเรือนเป็นปึกแผ่นคับคั่งแล้ว แต่ภายนอกกำแพงนั้นเป็นป่ารกอยู่โดยมาก มีบ้านเรือนเบาบางไม่อุ่นหนาฝาครั่งเหมือนภายในกำแพงเมืองแต่บ้านเรือนนั้นไม่ใคร่จะเป็นที่เจริญนัก เพราะเครื่องมือที่จะตัดฟันไม้ไม่มีมากเหมือนเดี๋ยวนี้ จะทำอะไรก็ไม่ใคร่สะดวก เป็นต้นว่ากระดานก็ต้องถากเอาด้วยมีดและขวานเป็นพื้น ไม่มีเลื่อยจะใช้ ราษฎรไม่มีกำลังพอที่จะทำบ้านเรือนด้วยเครื่องไม้จริงได้ จึงต้องทำด้วยไม้ไผ่ เว้นแต่เจ้านายท้าวพญาผู้ซึ่งมีอำนาจใช้กะเกณฑ์ผู้คนได้ จึงจะปลูกบ้านได้งามๆ นอกจากนี้ยังมีกฎเกณฑ์ห้ามไว้ว่าบ้านเรือนราษฎรที่อยู่ภายในกำแพงเมืองก็ดี ภายนอกก็ดี จะมุงหลังคาด้วยกระเบื้องไม้ไม่ได้ด้วยถือว่าเป็นการกระทำเทียบเคียงหรือตีเสมอกับเจ้านาย มีอาชญาไว้ว่าเป็นความผิด ฉะนั้นบ้านเรือนจึงมุงหลังคาด้วยใบพลวงหรือแฝกเป็นพื้น วัด วัดวาอารามภายในกำแพงเมืองครั้งนั้นคงมีจำนวนเท่ากับปัจจุบันนี้ แต่ส่วนมากเศร้าหมองไม่รุ่งเรือง มีวัดที่สำคัญอยู่ ๒ วัด คือ วัดช้างค้ำกับวัดภูมินทร์ แท้จริงกิจการฝ่ายพระศาสนานี้อาจกล่าวได้ว่า ได้ย่างขึ้นสู่ความเจริญนับแต่ พ.ศ. ๒๔๐๐ เป็นต้นมา ปรากฏตามพงศาวดารเมืองน่านว่า เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน เป็นผู้มากด้วยศรัทธาแก่กล้าด้วยการบริจาคในอันที่จะเชิดชูพระศาสนาให้รุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง ในชั้วชนมายุกาลของท่านจึงเต็มไปด้วยเรื่องการสร้างบูรณะปฏิสังขรณ์โบสถ์ วิหาร เจดียสถาน ตามวัดทั้งในเมืองและนอกเมือง และสร้างคัมภีร์พระสูตรพระธรรมขึ้นไว้เกือบตลอดสมัย ความเจริญในฝ่ายพระศาสนาที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ย่อมเป็นผลนับเนื่องในเนื้อนาบุญของท่านที่ได้ปลูกฝังไว้ด้วยดีแล้วส่วนหนึ่ง ตลาด การค้าขายแลกเปลี่ยนคงกระทำกันแต่ที่กาดมั่ว (ตลาด) แห่งเดียวแท้จริง ที่เรียกว่าตลาดนี้ ยังไม่ถูกต้องดี เพราะตลาดในครั้งนั้นยังไม่มีตัวเรือนโรง เพียงแต่มีข้าวของอะไรก็นำมาวางขายกันตามสองฟากข้างถนนเท่านั้น ตำบลที่นัดตลาดอยู่ในกำแพงเมืองที่ถนนผากองเดี๋ยวนี้ตรงหน้าคุ้มข้างวัดช้างค้ำ นัดซื้อขายกันแต่เวลาเช้าเวลาเดียว สิ่งของที่นำมาขายกันเป็นจำพวกกับข้าวโดยมาก ส่วนร้านขายสิ่งของนั้นปรากฏว่ายังไม่มีเลย ถนน ถนนหนทางในครั้งนั้น เท่าที่มีควรจะเรียกว่าเป็นตรอกทางเดินมากกวา เพราะมีส่วนกว้าง อย่างดีก็แต่เพียง ๔ - ๕ ศอก ถนนชนิดนี้แต่ภายในกำแพงเมืองซึ่งตัดจากประตูหนึ่งไปยังอีกประตูหนึ่ง นอกจากนี้ก็มีแต่ทางเดินธรรมดา การปกครอง การปกครองของแคว้นน่านสมัยโบราณจะดำเนินโดยวิธีใดหาทราบไม่ นอกจากจะเป็นไปในทางสันนิษฐานแต่พอเชื่อได้ว่า คงมีคติการปกครองเป็นแบบที่เรียกว่า บิดาปกครองบุตร (Paternal Government) ข้อนี้พึงเห็นได้ตามลักษณะการที่ปกครองว่าผู้เป็นประมุขวางตนเป็นดังหนึ่งบิดาของประชาชน เช่นหลักการปกครองอย่างหนึ่งที่ตกทอดสืบมาจนในชั้นหลัง ปรากฏในอาณาจักรหลักคำ (กฎหมายสำหรับเมือง) ว่าในครัวเรือน ถ้ามีบุตรหลานเป็นคนหยาบช้ากล้าคะนอง มักประพฤติความชั่วต่างๆ เป็นต้นว่า สูบฝิ่น เสพสุรา เล่นการพนันเป็นอาจิณ เมื่อหัวหน้าในครัวเรือนห้ามปรามสั่งสอนไม่เชื่อฟัง หัวหน้าในครัวเรือนนั้นตั้งนำผู้นั้นอายัดให้แก่เจ้าหน้าที่ปกครอง ให้กระทำการสั่งสอนขึ้นไปตามลำดับ จนถึงผู้เป็นประมุขของบ้านเมือง ดังนี้หลักการปกครองเช่นนี้ แม้ยุคสมัยจะได้ล่วงมาแล้วในการต่างๆ ก็มิได้ลบเลือนไปเสีย ยังยืนยงมาจนกระทั่งเมืองน่านได้เป็นเมืองประเทศราชของกรุงเทพมหานคร เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่สามารถจะค้นคว้าหาหลักฐานมาประกอบการบรรยายเรื่องการ ปกครองสมัยโบราณนี้ได้ การปกครองที่จะนำมากล่าว จึงจำต้องเริ่มแต่ในสมัยอันใกล้กับปัจจุบันนี้ การปกครองก่อนการจัดปันหัวเมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. ๒๓๒๕ - พ.ศ. ๒๔๓๕) การปกครองในสมัยที่นำมากล่าวนี้ เป็นเรื่องการปกครองในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์อันเริ่มแต่พระยามงคลวรยศเป็นเจ้าผู้ครองเป็นต้นมา รูปของการปกครองเป็นเมืองประเทศราชขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เจ้าผู้ครองนครมีอำนาจในการบริหารบ้านเมืองทุกอย่าง ตลอดจนการออกกฎหมายสำหรับบ้านเมือง การเก็บผลประโยชน์รายได้ในเขตของภูมิภาค เว้นแต่นโยบายการเมืองกับ ต่างประเทศเท่านั้น ที่จะต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สั่งมา มีหน้าที่ช่วยเหลือในงานพระราชสงครามและภายในกำหนด ๑ ปี ต้องนำต้นไม้ทองเงินและเครื่องราชบรรณาการไปน้อมเกล้าฯ ถวายแด่พระมหากษัตริย์ยังกรุงเทพมหานครครั้งหนึ่ง เพิ่งมาเลิกประเพณีนี้เสียเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ ใน รัชกาลที่ ๕ นี้เอง ส่วนการปกครองท้องที่ภายในเขตเมืองนั้น ได้แบ่งการปกครองออกเป็นหมู่บ้าน ซึ่งมี แก่บ้านเป็นหัวหน้า หลายๆหมู่บ้านเป็นเมือง มีพ่อเมืองเป็นหัวหน้า และรวมเมืองเล็กๆ เหล่านี้ขึ้นแก่สนาม ส่วนเมืองขึ้นที่อยู่ภายนอกเขตต่างปกครองตนเองเช่นเดียวกัน แต่เมื่อครบปีต้องนำส่วยมาส่งเมืองน่านเป็นคำนับ การจัดระเบียบการปกครอง ระเบียบการปกครองฝ่ายธุรการนั้น ได้จัดเป็น สนาม เป็นที่ว่าการบ้านเมืองอันมีพญาแสนท้าวคณะหนึ่งเป็นผู้บริหาร การงานบ้านเมืองทุกสิ่งทุกอย่าง กิจการได้ดำเนินสำเร็จไปด้วยการประชุมปรึกษาเป็นประมาณ การงานที่ปฏิบัติในสนามนี้อาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ การงานที่ต้องเสนอเจ้าผู้ครองนครเพื่อวินิจฉัยและบัญชาการอย่างหนึ่ง และการงานที่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนอันไม่มีสารสำคัญสามัญสามารถที่จะกระทำเสร็จไปได้ที่สนาม โดยไม่ต้องนำเสนอผู้ครองอีกอย่างหนึ่ง คณบดีของสนามเรียกว่า พญาปี๊น คือ พญาผู้เป็นใหญ่ในสนาม ๔ นาย กับยังมีพญาแสนหลวงอื่นๆ อีก ซึ่งเจ้าผู้ครองได้แต่งตั้งไว้ มีศักดิ์จัดไว้เป็นทำเนียบมาทราบรายนามและจำนวนแน่นอนเมื่อเจ้าอนันตวรฤทธิเดชเป็นผู้ครองนคร ว่ามีรวมด้วยกัน ๑๒ นาย มีรายนามดังต่อไปนี้ พญาปี๊น ๑.พญาหลวงจ่าแสนราชาไชยอภัยนันทวรปัญญาวิสุทธิมงคล ปฐมอรรคมหาเสนาบดี เป็นผู้สำเร็จราชการบ้านเมืองทั่วไป และเป็นประธานในขุนสนามทั้งปวง ๒. พญาหลวงอามาตย์ เป็นรองผู้สำเร็จราชการ ๓. พญาหลวงมนตรี เป็น นายทะเบียนพล (สุรัสวดี) ๔. พญาหลวงราชธรรมดุลย์ เป็นนายฝ่ายตุลาการ พญาชั้นรอง ๑. พญาหลวงนัตติยราชวงศา ช่วยว่าการทั่วไป ๒. พญาราชเสนา ช่วยว่าการทั่วไป ๓. พญาไชยสงคราม ช่วยว่าการทั่วไป ๔. พญาทิพเนตร ช่วยว่าการทั่วไป ๕. พญาไชยราช ช่วยว่าการทั่วไป ๖. พญาหลวงราชบัณฑิต เป็นโหรประจำเมือง ๗. พญาหลวงศุภอักษร ว่าการฝ่าย ๘. พญามีรินทอักษร ว่าการฝ่าย ๙. พญาสิทธิธนสมบัติ ว่าการคลัง (เงิน) ๑๐. พญาราชสาร ว่าการคลัง (เงิน) ๑๑. พญาหลวงคำลือ ว่าการคลัง (เงิน) ๑๒. พญาหลวงภักดี รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๓. พญาราชโกฏ รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๔. พญาราชรองเมือง รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๕. พญาราชสมบัติ รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๖. พญาอินต๊ะรักษา รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๗. พญานาหลัง รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๘. พญาสิทธิมงคล รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๙. พญาธนสมบัติ รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๒๐. พญาพรหมอักษร รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๒๑. พญาแขก รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๒๒. พญาสิทธิเดช ตุลาการ ๒๓. พญานราสาร ตุลาการ ๒๔. พญาไชยพิพิธ ตุลาการ ๒๕. พญาไชยปัญญา นายช่าง ๒๖. พญานันต๊ะปัญญา นายช่าง ๒๗. พญาธรรมราช ธรรมการ ธรรมการ ๒๘. แสนหลวงเมฆสาคร ว่าการเมืองฝาย ทางฝ่ายเจ้าผู้ครองนครในการบัญชาการกิจการบ้านเมืองก็มีคณะราชวงศ์ อันประกอบด้วยเจ้าหอหน้า (อุปราช) เจ้าราชวงศ์ เจ้าราชบุตร เจ้าบุรีรัตน์ ฯลฯ ซึ่งเป็นเจ้าสัญญาบัตรตั้งในกรุงเทพมหานคร เป็นที่ปรึกษาอีกคณะหนึ่ง มีที่ว่าการอยู่ภายในหอคำ เมื่อกิจกรรมบ้านเมืองเรื่องใดตกมาถึงคณะที่ปรึกษานี้และยุติโดยบริหารเห็นชอบของเจ้าผู้ครองแล้วก็เป็นอันเด็ดขาดบังคับไปตามกรณีนั้นๆ ได้ทีเดียว ลักษณะการจัดการบ้านเมืองในรอบกาลสมัยที่กล่าวนี้ ที่สมควรนำมากล่าวก็คือ ๑. การทัพ ๒. ผลประโยชน์ของบ้านเมือง ๓. ทาส หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:47:55 น่าน ๔
๔. ตุลาการ ๑. การทัพ หลักการปกครองของบ้านเมืองมีข้อสำคัญอยู่ ๒ ข้อ คือ อาชญาของเจ้าผู้ครองนครข้อหนึ่ง กับการที่บังคับให้บรรดาชายฉกรรจ์ให้มาช่วยกันป้องกันบ้านเมืองในเวลามีศึกสงครามข้อหนึ่ง อาชญานั้นมีความหมายตามที่คติปกครองแบบนี้ว่า เป็นคำสั่งคำบังคับบัญชาของผู้เป็นประมุขที่จะใช้ในการปกครองบ้านเมืองได้โดยใช้สิทธิขาด อย่างที่เรียกว่า อาชญาสิทธิ์ ผู้ใดฝ่าฝืนย่อมได้รับโทษถึง ๒ ประการ คือ โทษอันผิดต่อกฎหมายของบ้านเมืองประการหนึ่ง และโทษอันผิดต่ออาชญาของเจ้าผู้ครองนครอันมีลักษณะคล้ายพระบรมราชโองการของพระเจ้าแผ่นดิน อีกประการหนึ่ง เหตุที่เจ้าผู้ครองนครทรงไว้ซึ่งอาชญาและหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาบ้านเมืองเช่นนี้ หน้าที่ของพลเมืองจึงต้องเจริญรอยโดยบริหารของผู้เป็นประมุขทุกประการ ส่วนที่สำคัญยิ่งก็คือหน้าที่ในการป้องกันบ้านเมือง ซึ่งจะหลีกเลี่ยงเสียมิได้ ฝ่ายชายฉกรรจ์มีอายุได้ ๒๐ ปีบริบูรณ์ต้องขึ้นทะเบียนเป็น ลูกจุ๊ เข้าสังกัดอยู่ในเจ้านายท้าวพญาคนใดคนหนึ่งจะลอยตัวอยู่ไม่ได้ มีหน้าที่รับใช้สอยกิจการในสังกัดมูลนายของตนไปจนกว่าอายุได้ ๖๐ ปี จึงปลด หรือมิฉะนั้นก็ต่อเมื่อมีบุตรมารับใช้การงานได้ ๓ คนแล้ว เมื่อชายฉกรรจ์เข้าสังกัดเป็นลูกจุ๊ของผู้นั้นอยู่ตลอดไป จะย้ายมูลนายผู้ต้นสังกัดได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากสนาม บรรดาผู้ที่จะรับเป็นลูกจุ๊เอามาเข้าสังกัดในตนได้ โดยเฉพาะต้องเป็นเจ้านายหรือท้าวพญาในสนามเท่านั้น ในเวลาปกติลูกจุ๊ก็อยู่ตามถิ่นฐานบ้านช่องของตนไม่ต้องเข้ามาประจำทำงานในเมืองมีกำหนดเวลาเป็นแน่นอน นอกจากบางคราวจะถูกมูลนายเรียกมาใช้กิจการเป็นครั้งคราว การที่มูลนายจะใช้ลูกจุ๊ให้ทำกิจการนั้นไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นกิจการฝ่ายบ้านเมืองแต่อย่างเดียว ย่อมใช้ได้ตลอดถึงการส่วนตัวทุกสิ่งทุกอย่างด้วย เช่น ในการทำนา ปลูกสร้างบ้านเรือน เป็นต้น อีกประการหนึ่งควรกล่าวได้ว่า พวกลูกจุ๊ที่เป็นผลประโยชน์ของผู้เป็นมูลนายอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้อาศัยแรงงานของผู้ลูกจุ๊ก็ได้รับผลแต่เพียงได้รับความคุ้มครองของมูลนายในคราวเมื่อมีทุกข์ร้อน เช่น ถูกพวกอื่นรบกวนเบียดเบียนโดยไม่เป็นธรรม หรือในคราวที่มีคดีความเกิดขึ้น เป็นต้น ฉะนั้นผู้ที่เป็นมูลนายต้องตั้งบุคคลอีกพวกหนึ่งเรียกว่า หัวหมวด ไว้ตามละแวกถิ่นฐานที่ลูกจ๊ะตั้งบ้านเรือน สำหรับเรียกลูกจุ๊ในเมื่อต้องการตัวได้โดยสะดวกและพรักพร้อม ในเวลามีการทัพศึกเกิดขึ้น เมื่อต้องการกำลังกองทัพเป็นจำนวนคนเท่าใด เจ้าผู้ครองนครก็เกณฑ์คนเอาแก่มูลนายที่มีลูกจุ๊เฉลี่ยเอาตามส่วน ส่วนผู้ที่จะคุมกองทัพนั้น ถ้าเป็นการสำคัญเจ้าผู้ครองนครก็เป็นผู้ไปเอง หรือถ้าไม่สำคัญก็ให้เจ้านายในวงศ์สกุลหรือท้าวพญาผู้ใดผู้หนึ่งควบคุมไป ตามแต่จะเห็นสมควร เรื่องของลูกจุ๊นี้ สำหรับเจ้าผู้ครองนครไม่จำเป็นต้องมีไว้ เพราะมีอาชญาเกณฑ์เอาได้ เวลาปกติเจ้าผู้ครองนครจึงมีคนอีกจำพวกหนึ่งสำหรับใช้สอยและอยู่เวรยามรักษาคุ้มโดยเฉพาะเรียกว่าคน เจ้าใช้การใน ๒. ผลประโยชน์ของบ้านเมือง การทำมาหากินของราษฎรในเมืองน่านที่กระทำกันมากและเป็นอาชีพ ส่วนใหญ่ก็คือการทำนา แต่ทางบ้านเมืองมิได้เก็บอากรค่านา ฉะนั้นราษฎรในเขตเมืองชั้นใน เมื่อทำนาได้ข้าวจึงต้องแบ่งข้าวส่งมาขึ้นฉางหลวง เรียกว่า หล่อฉาง เพื่อเก็บไว้เป็นเบียงสำหรับบ้านเมืองสำรองไว้ในคราวเกิดทัพศึกและต้อนรับแขกเมือง หรือให้พลเมืองยืมในปีที่ทำนาไม่ได้ข้าว การเก็บข้าวเพื่อหล่อฉางนี้ เก็บแต่ผู้ที่มีครอบครัวแล้ว เป็นข้าวครอบครัวละ ๓ หมื่น (สัด) ส่วนราษฎรในเขตเมืองชั้นนอกอันอยู่ไกลจะส่งข้าวมาหล่อฉางเป็นความลำบากมาก แต่เพราะว่าเมืองเหล่านั้นเป็นที่เกิดหรือมีสิ่งของบางอย่างที่บ้านเมืองต้องการใช้ เช่น มูลค้างคาว ชัน น้ำมันยาง กระดาษ เกลือ ฯลฯ จึงเกณฑ์เอาสิ่งของเหล่านี้แก่ราษฎรในท้องที่นั้นๆ ตามสมควร ส่งมาแทนข้าว เรียกว่า ส่วยหล่อฉาง หรือ ส่วยบำรุงเมือง เมืองน่านมีส่วนเกลือมาจากเมืองบ่อปีละ ๗ ล้าน ๗ แสน ๗ หมื่น (น้ำหนัก ๓๑๐ ๒/๕ หาบ) ส่วนดินประสิวจากเหมืองยอดเมืองสะเกินปีละ ๒๐ หาบ เมืองมิน บ้านหัวเมือง (ท้องที่อำเภอนาน้อย) ปีละ ๓๐ หาบ ส่วนเหล็กจากเมืองอวน ปีละ ๓๐ หาบ บ้านวัวแดง (ท้องที่อำเภอสา) ปีละ ๒๐ บาท (การตีเหล็กเป็นอาวุธหอกและดาบและซ่อมแซมอาวุธเป็นหน้าที่ของราษฎรในบ้านก้นฝาย (ฝายมูล) ท้องที่อำเภอท่าวังผาและบ้านห้วยลับมืนท้องที่อำเภอสา นอกจากนี้ยังมีส่วยขี้ผึ้งจากเมืองขึ้นทางฟากแม่น้ำโขงอีกปีละ ๑๒ หาบ กับคน ๓๐๐ คน สำหรับทำฝายทุกเมือง ๓. ทาส ลักษณะการเป็นทาสมีคติสืบเนื่องมาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์อันโบราณราชกษัตริย์ได้ทรงบัญญัติไว้เรียกว่านำธงชัยไปรบศึก แล้วได้มาเป็นทาสเชลยหนึ่ง ทาสซึ่งไถ่มาด้วยทรัพย์หนึ่ง ลักษณะทาสที่มีอยู่ในพื้นเมืองน่านก็เป็นอยู่ดังกล่าวมาแล้ว ดังจะนำมากล่าวพอเป็นเค้า คือ ๓.๑) ทาสเชลย เป็นคนซึ่งแต่ก่อนมาเจ้านายและกรมการเมืองได้ไปรบตีเมืองสิบสอง ปันนาเมืองเวียงจันทร์ได้ แล้วกวาดต้อนครอบครัวมาแบ่งปันเป็นความชอบของแม่ทัพนายกองเรียกว่า ค่าปลายหอกงาช้าง มีบุตรหลานสืบต่อมาเรียกกันว่า ค่าหอคนโรง อันชื่อว่าทาสได้มาแต่ครั้งปู่และบิดาสืบมา ค่าหอคนโรงเหล่านี้มีอายุ ๑๐ ขวบขึ้นไปมีค่าตัวชาย ๖๒ รูเปีย หญิง ๖๒ รูเปีย ถ้าอายุต่ำกว่า ๑๐ ขวบ คิดคนหนึ่งขวบละ ๕ รูเปีย ตามจำนวนอายุผู้เป็นนายถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์เด็ดขาดมีอำนาจที่จะขายทาสเหล่านี้ได้ทั้งสิ้น บรรดาทาสเชลยจะมีบุตรหลานสืบทอดออกไปอีกเท่าใดก็ดีก็คงเป็นทาสเชลยทั้งสิ้น และผู้เป็นนายก็รับมรดกกันสืบมา ผู้ที่เป็นมูลนายจะยกทาสเชลยให้แก่ผู้ใดก็ได้เมื่อทาสเชลยได้นำเงินมาไถ่ค่าตัวตามราคาจึงจะพ้นความเป็นทาส ๓.๒) ทาสสินไถ่ คือทาสที่นายเงินได้ออกมาไถ่ ถ้าทาสไม่มีเงินมาให้แก่นายเงินครบค่าแล้ว ก็ไม่มีเวลาที่จะพ้นยากจากทุกข์เป็นไทยได้ ฝ่ายลูกทาสที่ซึ่งเกิดแต่ทาสสินไถ่นั้น ถ้าเกิดในเรือนเบี้ยพอเกิดมาในเรือนทาสมีค่าตัวอยู่เรื่อยไป ทาสทั้งสองจำพวกนี้ ได้มีวิธีการลดหย่อนผ่อนผันให้เสื่อมคลายลง นับแต่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชบัญญัติทาสในมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ร.ศ. ๑๑๙ ในรัชกาลที่ ๕ และต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตราพระราชบัญญัติทาส ร.ศ. ๑๒๔ ขึ้นอีกเป็นคำรบสอง และการที่เป็นทาสได้เลิกเด็ดขาดไปเมื่อหลังแต่ได้ประกาศพระราชบัญญัตินี้ในมณฑลพายัพในรัชกาลที่ ๖ ร.ศ. ๑๓๑ แล้วเป็นลำดับมา ทั้งนี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ประชาชนชาวไทยเป็นล้นเกล้าฯ ๔. การตุลาการ กฎหมายที่บัญญัติขึ้นไว้ใช้สำหรับภายในบ้านเมืองเรียกว่า อาณาจักรหลักคำ แต่เดิมมาได้ทราบว่าเคยใช้คัมภีร์พระธรรมศาสตร์และราชศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักกฎหมายในอินเดียเหมือนกัน อาณาจักรหลักคำเพิ่งจะมาตั้งขึ้นในชั้นหลังโดยถือหลักจากกฎหมายที่กล่าวแล้วบ้าง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามสภาพบ้านเมืองบ้าง แต่แปลกที่มีบทบัญญัติบทลงโทษและคำสั่งสอนรวมคละปะปนไปด้วยกัน แต่อย่างไรก็ดี กฎหมายนี้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะแม้แต่ความผิดเล็กน้อยอาจถูกประหารชีวิตได้ ปรากฏว่าเมืองน่านในยุคนั้นสงบเรียบร้อยเป็นอย่างดี อาจกล่าวได้ว่าได้เป็นนิสัยปัจจัยสืบต่อมาจนกระทั่งบัดนี้ วิธีพิจารณาในประเภทความอาชญาอุกฉกรรจ์คงดำเนินอย่างวิธีที่จะแคะไค้เอาความจริงด้วยการทรมานให้สารภาพตามลักษณะที่เรียกว่า จารีตนครบาล เหมือนอย่างเมืองทั้งปวงในสมัยเดียวกัน เมื่อคดีตกถึงสนาม ขุนสนาม ๓๒ นาย พิจารณาเป็นรูปเรื่องเห็นว่าใครผิดใครถูกแพ้ชนะกันอย่างไรแล้ว ก็พร้อมกันลงความเห็นในการที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามผลที่ได้พิจารณาตามบทบัญญัติในอาณาจักรหลักคำลงในพับดำ (สมุดดำ) หรือแผ่นกระดาษดำ แล้วนำขึ้นไปอ่านถวายเจ้าผู้ครองนครอันพร้อมด้วยคณะที่ปรึกษาหอคำ เมื่อเจ้าผู้ครองนครและคณะได้พิจารณาเห็นว่าจะควรชี้โดยสถานใดแล้ว เจ้าผู้ครองนครก็ชี้ขาดบัญชาให้บังคับเป็นไปตามด้วยสถานนั้นๆ ส่วนความแพ่งนั้น วิธีพิจารณาคงดำเนินไปในทางอันเดียวกัน เว้นแต่การไต่สวนไม่ใช่เคี่ยวเข็ญเอาตามจารีตนครบาล แต่ถ้าเป็นความที่กำกวมหรือคลุมเครือซึ่งคณะตุลาการไม่สามารถชี้ผิดชี้ถูกด้วยกฎหมายได้แล้ว ก็มีวิธีตัดสินด้วยการให้คู่ความทนต่อการสาบานหรือการพิสูจน์อย่างใดอย่างหนึ่งในการพิสูจน์นั้นอาจเป็นด้วยการให้เอานิ้วมือจิ้มตะกั่วที่ละลาย หรือเสี่ยงเทียน หรือวิธีที่จะยังความครั่นคร้ามให้แก่ผู้ทุจริตอื่นใดก็ได้ ซึ่งหวังในความศักดิ์สิทธิ์บันดาลของพระและเทพเจ้าเป็นใหญ่ สุดแล้วแต่ผู้พิพากษาจะเห็นสมควร เมื่อผู้ใดชนะการพิสูจน์ก็ตัดสินให้เป็นผู้ชนะคดี มีเกร็ดของเรื่องนี้อยู่เรื่องหนึ่งกล่าวกันว่า มีผู้พิพาทกันด้วยเรื่องตู่กรรมสิทธิ์กระบือกันขึ้นเรื่องหนึ่ง ผลของการพิจารณาตุลาการไม่สามารถที่จะชี้ให้ได้ว่ากระบือตัวนั้นเป็นของผู้ใดเพราะน้ำหนักคำให้การของคู่ความรับกันในเรื่องลักษณะของกระบือเท่าๆ กัน ผลที่สุด จึงให้โจทก์จำเลยกระทำพิธีสาบาน และพิสูจน์ด้วยการเสี่ยงเทียนกันต่อหน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ข้อตกลงมีว่า ถ้าเทียนของ ผู้ใดดับก่อนผู้นั้นก็แพ้แก่ความสัตย์จริง และจะตัดสินให้อีกฝ่ายเป็นผู้ชนะ เทียนนั้นได้ควั่นขึ้นจากขี้ผึ้งมีน้ำหนักเท่ากัน เส้นด้ายไส้เทียนก็นับมีจำนวนเท่ากัน การพิสูจน์ปรากฏว่าโจทก์ชนะเพราะเทียนจำเลยดับก่อน ตุลาการจึงจะพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น จำเลยไม่ยอมกลับพูดว่า พระองค์น้อยเกิดเมื่อวามาเมื่อซืนจะไปฮู้ฮีตบ้านกองเมืองหยัง เพื่อจะบังคับคดีให้เป็นไปโดยละม่อมและให้จำเลยจำนนแก่การพิสูน์จริงๆ ตุลาการก็ยอม จึงให้คู่ความไปทำการพิสูจน์กันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เลือกกระทำกันต่อหน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่งใหญ่ที่สุดที่มีอยู่ในเมืองทีเดียว ผลการพิสูจน์ครั้งนี้ปรากฏว่าจำเลยชนะ โจทก์กลับมีเสียงขึ้นบ้างว่า สี่สิบลืมหน้า ห้าสิบลืมหลังเฒ่าชะแร แก่ออกล้ำ เยียใดจักจำได้ ในที่สุดกระบือตัวนั้นเลยตัดสินให้ตกเป็นกระบือของหลวง ได้คัดส่วนหนึ่งของอาณาจักรหลักคำลงไว้ สำหรับท่านที่สนใจต่อคติธรรมโบราณของจังหวัดน่านด้วย อาณาจักรหลักคำ พระราชกถาสมเด็จพระเชษฐบรมราชาอนันตยศวรราชเจ้า องค์เป็นอิสสราธิบัตติองค์ เป็นเจ้าแก่รัฐประชาในไชยนันทเทพบุรีนครราชธานีนครเมืองน่าน มีพระราชกรุณาแก่มหาขัตติยราชวงษาและท้าวพญาราชเสวกาผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งมวล ว่าโบราณราชวรปิตตุจฉาองค์เป็นน้าได้เสวยราชสมบัติ เป็นเจ้าแก่รัฐประชามาช้านาน ก็เป็นเถิงแก่กรรมนำตนไปสู่โลกภายหน้า ละสถานบ้านช่องบ้านเมืองและเราท่านทั้งหลายเสียแล้ว ครั้นอยู่มาเถิงจุลศักราช ๑๒๑๔ ตัว เดือนเจ็ด ออกสามค่ำ ตัวเราจึงได้พาเอาขัตติยราชวงษาและขุนเสนาอำมาตย์ล่องลงไปเฝ้าพระมหากษัตริย์เจ้า ณ กรุงเทพมหานคร แล้วจึงมีพระมหากรุณาโปรดเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม หื้อตัวเราได้เป็นเจ้าได้เสวยราชสมบัติสืบราชตระกูลวงษาเป็นเจ้าแผ่นดินในเมืองนานรักษาราชตระกูลวงษารัฐประชานครสถานบ้านเมือง และวรพุทธ-ศาสนา ให้การกุ่งรุ่งเรืองให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบต่อไปภายหน้า ตามดังโบราณประเพณีอันมีมาแต่ก่อนนั้น โปรดประการนี้ บัดนี้เราเป็นเจ้ามารำพึงเล็งหันวรพุทธศาสนานครสถานบ้านเมืองแห่งเราทั้งหลาย ทุกวันมานี้ หนภายนอก มีเจ้านายท้าวขุนไพร่ไทยทั้งหลาย ผู้บ่ดีสมคบกับด้วยกันกระทำเป็นโจรกรรมอันบ่ดี ไปลักเอาวัวควายของท่าน ลักทางเหนือเอาไว้ทางใต้ ลักทางใต้เอาไปไว้ทางเหนือ ลักทางวันตกเอาไปไว้วันออก ลักทางวันออกเอาไปไว้วันตก แลเอาของท่านไปซุ่มซ่อนไว้ ปาดหูตัดเขาเหมียด๑หมาย เสียใหม่ เพื่อจักหื้อของท่านสาปสูญแล้วเอาเป็นของตัว อนึ่งไปซื้อเอามาฆ่ากิน อนึ่งสมคบกันเล่นแท่นเล่นเบี้ยเล่นหมากแกวเล่นพนันขันต่อกัน เอาสรรพสิ่งของเงินทองกัน ลวดเป็นหนี้เป็นสินกับด้วยกันหาสง๒ จะใช้แทนบ่ได้ ลวดสมคบกันเป็นโจรไปลักเอาสิ่งของแห่งท่าน อนึ่งด้วยผู้คนทั้งหลายก็ดี อันเป็นร้าง๓ เป็นบ่าว๔ ก็ดี แอ่ว๕ ค่ำมาคืน แอ่วร้างจา๖ สาว ถือศาสตราอาวุธกระทำตัวแปลกปลอม บ่หื้อรู้บ่ฮื้อหันหน้า บ่หื้อรู้จักว่าเป็นผู้ร้ายผู้ดี ในกรรมทั้งหลายฝูงนี้จักพาให้บ้านเมืองวินาศฉิบหายและร้อนรนแก่รัฐประชาบ้านเมืองต่อๆ ไปมีเป็นหลายประการต่างๆ เหตุนั้นเราเป็นเจ้าจึงปงพระราชอาญาไว้แก่เจ้าพระยามหาอุปราชาหอหน้า หื้อหาเจ้านายพี่น้องขัตติยราชวงษาแลลูกหลาน ท้าวพญาเสนาอามาตย์ผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งมวลมาพร้อมกัน ปรึกษาพิจารณาแลตั้งพระราชอาชญาเป็นราชอาณาจักรกดขี่สั่งสอนบาปบุคคลผู้บ่ดี อย่าหื้อเป็นเสี้ยนหนามแก่แผ่นดิน ร้อนรนแก่บ้านเมืองแห่งเราแลรัฐประชาต่อๆ ไป เพื่อให้วรพุทธศาสนาแลบ้านเมืองแห่งเรานี้หื้อได้อยู่เย็นเป็นสุขพึ่งด้วยเดชบุญคุณแห่งเราทั้งหลายสืบต่อไป ว่าฉะนี้ ครั้น อยู่มาเถิงจุลศักราชเดียวนี้ เดือนเจียงแรม ๑๐ ค่ำ เจ้ามหาอุปราชาหอหน้า จึงได้หาเอาเจ้านายพี่น้องขัตติยราชวงษาลูกหลาน แลท้าวพญาเสนาอามาตย์ขึ้นปรึกษาพร้อมกันยังโรงไชย เจ้าพระยาหอหน้าปรึกษากันพิจารณาด้วยอันจักตั้งพระราชอาณาจักรนั้นตกลงแล้ว ครั้นเถิงเดือนยี่ออก ๑ ค่ำ มีเจ้าพระยาอุปราชาหอหน้าเป็นประธาน และเจ้าพระยาราชบุตร เจ้าพระยาศรีสองเมือง เจ้าพระยาสุริยพงษ์ เจ้าพระยาวังซ้าย เจ้าพระยาวังขวา เจ้าพระยาอริยวงษา เจ้าพระยาเทิง เจ้าพระยาเมืองราชา เจ้าพระเมืองแก้ว เจ้าพระเมืองน้อย เจ้าพระวิไชยราชา เจ้าเมืองเชียงแขง เจ้าเมืองเชียงของ เจ้าเมืองเลน เจ้าราชวงษ์เมืองเลน เจ้าเมืองหลวง เจ้าเมืองเชียงลาบ เจ้าเมืองภูคา เจ้าเมืองล้ำ แลขัติยราชวงษา ท้าวพญาเสนาอามาตย์ราชเสวกผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งมวลพร้อมกันเอาเนื้อความปรึกษาตั้งราชอาชญานั้นขึ้นกราบหลอง๗ เถิงราชสำนักเราเป็นเจ้าแล้ว จึงได้พร้อมกันตั้งพระราชอาชญาไว้หื้อเป็นอาณาจักรหลักคำ ไว้สั่งสอนห้ามปรามเจ้านายท้าวขุนลูกหลานไพร่ไทยทั้งหลายอย่ากระทำกรรมอันบ่ดีสืบต่อไปภายหน้าว่าตั้งแต่ศักราช ๑๒๑๔ ตัวปีเต่าไจ้เดือนยี่ ออก ๑ ค่ำ วันพุธนี้ไป ภายหน้าห้ามอย่าหื้อเจ้านายท้าวขุนไพร่ไทยทั้งหลายได้สมคบกันกระทำกรรมบ่ดี เป็นโจรลักเอาทรัพย์สิ่งของเงินทองแลช้างวัวควายของท่านไปฆ่ากินก็ดี ลักเอาไปขายเสียก็ดี ลักเอาไป เหมียดหมายเสียใหม่ก็ดี อนึ่งซื้อเอามาฆ่ากินก็ดี ผู้จักขายก็รู้ว่าท่านจักเอามาฆ่ากินแล้วป้อย๘ ขายหื้อก็ดีในกรรมทั้งหลายมวลฝูงนี้อย่าหื้อได้กระทำเป็นอันขาด คันว่า๙ บุคคลผู้ใด ไปลักเอาควายท่านมาฆ่ากินจักเอาตัวใส่ราชวัตร๑๐ ไวแล้วหื้อใช้ค่าควายตามราคา แล้วจักเอาตัวไปฆ่าเสีย บ่หื้อเป็นเสี้ยนหนามแก่แผ่นดินต่อไป คันว่าลักเอาควายท่านขายเสียก็ดี ลักเอาไปตัดเขาปาดหูเหมียดหมายเสียใหม่ก็ดี โทษเสมอกัน จักเอาตัวเข้าใส่ราชวัตรไว้ คันว่าได้ของเก่าคืน หื้อไหม ๔ ตัวควาย คันว่าบ่ได้ของเก่าคืนฮื้อใช้ ๑ ไหม ๔ ตัวควาย ค่าควายพู่แม่ดำพอนใหญ่น้อยถือว่าค่า ๒๐๐ ดอก๑๑ คันเป็นว่าเจ้านายหื้อ คารวะอาชญา๑๒ ยากต่อกึ่ง๑๓ คันเป็นท้าวขุนหื้อใส่สินค่าคอ ๔๔๐ ดอก คันเป็นไพร่หื้อใส่สินค่าคอ ๓๓๐ ยากต่อกึ่ง อนึ่ง ตัวหากลักฆ่าควายตัวก็ดี ไปซื้อควายเปิ้นมาฆ่ากิน ผู้ขายก็รู่ว่าท่านจักเอาไปฆ่ากินแล้วป้อยขายหื้อก็ดี ถือโทษเสมอกัน คันว่ารู้แล้วจักเอาตัวใส่ราชวัตรไว้ คันเป็นเจ้านายหื้อใส่สินค่าคอ๑๔ ๔๔๐ ดอก ยากต่อกึ่ง คันเป็นไพร่หื้อใส่สินคอ ๓๓๐ ดอก ยากต่อกึ่ง อนึ่ง จักปริกรรมผีเทพดาอาลักษณ์นั้น คันว่าในราชสำนักในเวียงหื้อไหว้สา๑๕ คันเป็นหน้าบ้านหื้อปฏิบัติเถิงสนามก่อน คันว่าหัวเมืองนอก หื้อบอกเถิงพ่อเมือง หื้อได้รู้ก่อนคันบ่บอกหื้อรู้ ถือว่าเป็นโจรลักกินควาย คันได้รู้แล้วจักเอาตัวเข้าใส่ราชวัตรไว้ คันเป็นเจ้านายหื้อคารวะอาชญายากต่อกึ่ง คันเป็นขุนหื้อใส่สินค่าคอ ๔๔๐ ดอก คันเป็นไพร่ใส่สินค่าคอ ๓๓๐ ดอก ยากต่อกึ่ง อนึ่ง ห้ามอย่าหื้อเจ้านายท้าวขุนไพร่ไทยทั้งหลายบนผีหนังประกรรม๑๖ แลผีพระเจ้าหาดเชี่ยว๑๗ ว่าจะหื้อกินควาย อย่าหื้อกระทำเป็นอันขาด คันบุคคลผู้ใดยังกระทำ จะเอาตัวเข้าใส่ราชวัตรไว้ คันเป็นเจ้านายหื้อคารวะอาชญายากต่อกึ่ง คันเป็นขุนหื้อใส่สินค่าคอ ๔๔๐ ดอก คันเป็นไพร่หื้อใส่สินค่าคอ ๓๓๐ ดอก ยากต่อกึ่งฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ อนึ่ง พ่อเมืองนายบ้าน นายอ่ายนายเกิน๑๘ ทั้งหลายทุกตำบล อย่าได้ลาสา๑๙ ประมาท หื้อรักษาด่านทางเขตแขวงบ้านเมืองไผมันหื้อมั่นขันแข็งแรง แม้นว่าลูกค้าวานิชทั้งหลายคือว่าค่าช้างค่าม้าค่าวัว ค่าควายหาบแลสมณะชีพราหมณ์ทั้งหลาย ออกจากเมืองไปบ่มี ชะลางหนังสือ๒๐ ตีตราแต่ราชสำนักอย่าได้ปล่อยไปเป็นอันขาด ว่าคันเป็นคนหื้อจับตัวใส่คา หื้อมั่นขันส่งเข้ามาเถิงราชสำนักสนาม คันเป็นสมณะชีพราหมณ์หื้อเกาะเอาตัวเข้ามาเถิงราชสำนักสถาน คันว่าเป็นลูกค้าแลคนต่างประเทศเมืองอื่นเข้ามาเถิงนายอ่ายแล้ว บ่มีหนังสือชะลางตีตรา อย่าปล่อยเข้าด้วยง่ายหื้องดไว้ก่อน แล้วหื้อมาบอกเถิงพ่อเมืองนายบ้าน แล้วเกาะเอาตัวมาปฏิบัติเถิงราชสำนักสนามก่อน อนึ่ง ด้วยคนทั้งหลายหนีลุก์ ๒๑ ต่างประเทศบ้านเมืองที่อื่น เข้ามาแอบแฝงเพิ่งอาศัยอยู่กับเจ้านายท้าวพญาพ่อเมืองนายบ้านทั้งหลาย แลอาศัยอยู่กับวัดวาอารามที่ใดๆ ก็ดี แม้เป็นคนไทยใต้ก็ดี เป็นลาวก็ดี เป็นคนบ้านใดเมืองใดก็ดี หากหนีมาผู้ ๑ - ๒ - ๓ คนก็ดี แลหาชะลางหนังสือ บ่ได้แม้จักมาอาศัยอยู่กับบ้านใดเมืองใดก็ดี วัดวาก็ดี อย่าหื้อรับอะหยั้งด้วยง่ายหื้อเจ้านายท้าวขุนพ่อเมืองนายบ้านได้นำเอาฝูงคนนั้น เข้ามาปฏิบัติเถิงราชสำนักสนามก่อน จักได้ไล่เลียงไต่ถามหื้อรู้ก่อน คันว่าคนฝูงนี้หากมีการหนีเข้ามาเพิ่งพาอาศัยอยู่กับเจ้านายท้าวพญาพ่อเมืองนายบ้านทั้งหลาย ผู้ใดปิดบังเสียบ่ เอาตัวเข้ามาปฏิบัติเถิงสนามหื้อได้รู้ภายลุน๒๒ บังเกิดเป็นข้าลักกระโมยโจรเป็นประการใดก็ดี ตัวมันหากหนีหายไปหาตัวบ่ได้ จับเอาตัวเจ้าเรือนที่อาศัยแทนผู้นั้นตามโทษ อนึ่ง ลูกค้าทั้งหลายมาจากต่างบ้านต่างเมืองต่างประเทศอื่น เข้ามาหาซื้อช้างซื้อม้าซื้อวัวซื้อควายนั้น คันเข้ามาเถิงบ้านใดเมืองใดก็ดี อย่าหื้อเจ้านายท้าวขุนพ่อเมืองนายบ้านทั้งหลายอย่าได้นับซื้อขายต่อกันด้วยง่าย หื้อพาเอาตัวลูกค้าทั้งหลายเข้ามาปฏิบัติเถิงราชสำนักสนามก่อน อนึ่ง หาก ผู้ใดบ่ฟังลักซื้อลักขายกัน บ่มาปฏิบัติเถิงสนามนั้น จักเอาโทษตามอาชญา คันบ้านใดเมืองใด บ่กระทำตามพระราชอาชญาได้ ตั้งอาณาจักรหลักคำไว้นี้ สืบรู้จักเอาโทษจงหนัก ในพระราชอาชญาได้ปรึกษาพร้อมเพรียงกับด้วยมหาขัตยราชวงศ์อัครมหาเสนาอำมาตย์ชูตนชูคนได้ตั้งพระราชอาณาจักรตักเตือนสั่งสอนแก่เจ้านายท้าวพญาราษฎรทั้งหลาย แลพ่อเมืองนายบ้านทั้งหลายในขงจักขวัติเมืองน่านทุกตำบลชะและบุคคลผู้ใดกระทำล่วงเกินสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็จักเอาโทษตามพระราชอาชญา ซึ่งได้ตั้งอาณาจักรหลักคำไว้นี้ ทุกประการ หมายเหตุ อธิบายศัพท์โบราณ ๑. เหมียดหมาย หมายถึง ตำหนิ ๒. สัง อะไร ๓. ร้าง ม่าย ๔. บ่าว ชายหนุ่ม ๕. แอ่ว เที่ยว ๖. จา พูด ๗. กราบหลอง ทูล ๘. ป้อย พลอย ๙. คันว่า ครั้นว่า, ถ้าว่า ๑๐. ราชวัตร เครื่องจองจำ ๑๑. ดอก เงินดอก (เงินแท่ง) ๑๒. คารวะอาชญา เงินสินไหมปรับให้แก่เจ้าผู้ครองเป็นเงิน ๑๒๐ รูเปีย ๑๓. ยากต่อกึ่ง ปรับเป็นพินัยหลวง ครึ่งหนึ่งของราคาปรับไหม ๑๔. สินค่าคอ สินไหม ๑๕. ไหว้สา ทูล,บอก ๑๖. ผีหนังประกรรม ผีหนังสำหรับคล้องช้าง ๑๗. ผีพระเจ้าหาดเชี่ยว ผีที่สิงอยู่ในที่ทั่วไป คอยรับเครื่องบำบวงจากผู้สำเร็จ ปรารถนาในการบนบาน ๑๘. นายอ่ายนายเกิน นายด่าน ๑๙. ลาสา เพิกเฉย ๒๐. ชะลางหนังสือ หนังสือคู่มือเดินทาง ๒๑. ลุก์ มาจาก ๒๒. ภายลุน ภายหลัง สำนักเจ้าผู้ครองนคร โดยฐานะเจ้าผู้ครองนคร (เดิม) เป็นประมุขหรือเจ้าแผ่นดินน้อยๆ เป็นเอกเทศอยู่ส่วนหนึ่งที่สำคัญของเจ้าผู้ครองนครซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินน้อยๆ จึงไม่ผิดกับพระเจ้าแผ่นดินที่ครองราชย์ในอาณาจักรใหญ่ๆ แต่อย่างใด กล่าวคือ ด้วยความเป็นใหญ่เป็นประธานในเหล่าพสกนิกร ผู้เป็นประมุขจักต้องบริหารการปกครองให้เจริญมั่นคง ดำรงแว่นแคว้นให้เป็นที่ร่มเย็นเป็นสุขแก่ประชาชนทั่วไป เป็นผู้นำแบบความดีงามทั้งหลายทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนา นอกจากนี้ เพื่อจะยังให้เกียรติยศและความร่มเย็นเป็นสุขของราษฎรมีผลอันไพบูลย์ เจ้าผู้ครองนครเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ย่อมจะบำเพ็ญกรณีตามคติธรรมของผู้เป็นประมุขเนื่องในทางศาสนาสืบมาแต่โบราณอันเรียกว่า ทศพิธราชธรรม ประกอบอีกส่วนหนึ่งด้วย ส่วนอิสริยยศประจำตัวเจ้าผู้ครองนครนั้น ก็ย่อมเป็นไปตามฐานะของบ้านเมือง บ้านเมืองใหญ่ก็มีอิสริยยศประดับมาก บ้านเมืองน้อยก็ลดหลั่นกันลงมาตามกำลังวังชาแต่อย่างไรก็ดีทางสำนักผู้ครองนครน่านก็ได้มีคติประเพณีทางฝ่ายขัตติยสืบกันมาช้านาน กล่าวคือ เมื่อมีผู้ขึ้นครองเมืองก็มีพิธีอภิเษก แม้ในชั้นหลังการตั้งเจ้าเมืองจะได้เป็นโดยพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้ง ณ กรุงเทพฯ ก็ดี ก็มิได้ละประเพณีเสีย ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งยังบ้านเมืองอีกวาระหนึ่งเมื่อจะเข้าไปสถิต ณ สำนักเจ้าเมืองก็มีพิธีขึ้นสำนักซึ่งตรงกับคำว่า เฉลิมพระราชมณเฑียร มีการออกพญาแสนท้าว (ขุนนาง) ต้อนรับแขกเมืองด้วยพิธี มีการออกประพาสเมืองโดยอิสสริยศด้วยกระบวนข้าบริพารเป็นอาทิ นอกจากพญาแสนท้าวอันเป็นขุนนางที่เจ้าผู้ครองนครได้แต่งตั้งขึ้นไว้ เพื่อบริหารกิจการ บ้านเมืองยังสนาม ซึ่งเป็นการภายนอกส่วนหนึ่งแล้ว ยังอีกการภายใน อันเป็นกิจการของคุ้มของเจ้าผู้ครองนครโดยตรง ก็แต่งตั้ง ขุนใน ขึ้นไว้รับใช้การงานและประดั หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:48:13 น่าน ๕
เกียรติยศเจ้าผู้ครองนครอีกส่วนหนึ่งด้วย ทำนองข้าราชการฝ่ายราชสำนัก ซึ่งมีความมุ่งหมายเป็นส่วนใหญ่ที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ กิจการภายในสำนักเจ้าผู้ครองนครน่าน อาจแบ่งออกได้เป็น ๕ แผนก คือ แผนกวัง แผนกเสมียนตรา แผนกมณเฑียรและอาสนะ แผนกการกุศล แผนกรับใช้ แผนกวัง มีหน้าที่ควบคุมตรวจตรากิจการภายในคุ้มทุกอย่าง รักษาความสงบเรียบร้อยภายในคุ้ม พิทักษ์ตัวเจ้าผู้ครองนครด้วยกำลังคน เจ้าใช้การใน ที่มีประจำอยู่ จัดพิธีออกพญาแสนท้าวในคราวที่ประกอบเป็นเกียรติยศ พิธีออกแขกเมือง ต้อนรับแขกเมือง จัดกองเกียรติยศเมื่อเจ้าผู้ครองนครออกประพาส แผนกเสมียนตรา มีหน้าที่ทำหนังสือของเจ้าผู้ครองนครที่จะมีไปในที่ต่างๆ และรับคำสั่งอาชญาที่จะแจ้งไปให้สนามทราบกับมีหน้าที่เก็บสรรพหนังสือภายในหอคำ แผนกมณเฑียรและอาสนะ มีหน้าที่พิทักษ์ดูแลหอคำและเรือนโรงของเจ้าผู้ครองนครและบูรณะปฏิสังขรณ์เมื่อชำรุด กับมีหน้าที่แต่งตั้งอาสนะเมื่อเจ้าผู้ครองนครออกประพาสไปประทับ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แผนกการกุศล มีหน้าที่ประกอบการกุศลของเจ้าผู้ครองนครต่างๆ กระทำพิธีบูชาพระเคราะห์ตามคราวและมีหน้าที่บันทึกเรื่องรายงานการกุศล แผนกรับใช้ มีหน้าที่รับใช้เจ้าผู้ครองนครในกิจการต่างๆ ข้าราชการบริหารผู้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวแล้ว มีรายนามเป็นทำเนียบดังต่อไปนี้ แผนกวัง ๑. พญาสิทธิวังราช เป็นผู้สำเร็จการวัง ๒. พญาราชวัง เป็นผู้ช่วย ๓. ท้าวอาสา เป็นหัวหน้าคนเจ้าใช้การใน มีหน้าที่จับกุมบุคคลที่ขัดอาชญาตามบัญชาของเจ้าผู้ครองนครและมีหน้าที่ถือมัดหวายนำหน้ากระบวนออกประพาสของเจ้าผู้ครองนคร ๔. ท้าววังหน้า เป็นหัวหน้าคนเจ้าใช้การใน กับมีหน้าที่ออกหน้ากระบวนออกประพาสของเจ้าผู้ครองนคร ในอันที่จะประกาศมิให้ผู้คนจอแจข้างหน้าทางหรือตัดหน้าฉาน กับมีคนใช้การในสำหรับที่จะเรียกใช้กระทำกิจการภายในคุ้ม ๑,๐๐๐ คน ในเวลาปกติมีคนเจ้าใช้การในมาเข้าเวรยาม ๑๕ คน พวกเหล่านี้ผลัดเปลี่ยนกันมาเข้าเวรครั้งละ ๓ วัน ๓ คืน หมุนเวียนกันไป แผนกเสมียนตรา พญาสิทธิอักษร เป็นหัวหน้า แผนกมณเฑียร ๑. พญาราชมณเฑียร เป็นหัวหน้า ๒. แสนหลวงราชนิเวศน์ เป็นผู้ช่วย อาสนะ พญาอาสนมณเฑียร เป็นหัวหน้า แผนกการกุศล ๑. แสนหลวงสมภาร เป็นหัวหน้า ๒. แสนหลวงกุศล เป็นผู้ช่วย ๓. แสนหลวงขันคำ เป็นผู้ถือพานทองนำหน้าเจ้าผู้ครองนครไปในคราวบำเพ็ญ กุศลต่างๆ แผนกรับใช้ ๑. แสนหลวงใน ผู้รับใช้จับจ่ายอาหารเลี้ยงดูคนในคุ้ม ๒. แสนหลวงต่างใจ เป็นผู้รับใช้กิจการต่างๆ ภายนอก นอกจากนี้ ยังมีพนักงาน เสมียนและเจ้าหมวดนายหมู่อีกพอสมควร การปกครองเมื่อจัดหัวเมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาล เมื่อมหาประเทศทางตะวันตกมีอังกฤษและฝรั่งเศสได้ประเทศใกล้เคียงเป็นเมืองขึ้นและแผ่อำนาจใกล้เข้ามาโดยรอบพระราชอาณาจักรสยามอยู่เป็นลำดับ เกิดมีคนในบังคับต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องกับการปกครองของสยามขึ้นเป็นเงาตามตัว หัวเมืองประเทศราชของสยามทั้งปวงเป็นเมืองที่อยู่ในข่ายพระราชอาณาเขต มีการเกี่ยวข้องกับคนในบังคับบัญชามากกว่าหัวเมืองชั้นใน แต่วิธีการ ปกครองของเมืองประเทศราชเหล่านั้น ยังเป็นพลการและโบราณล้าสมัยอยู่มาก อาจมีการพลั้งพลาดถึงกับเป็นการกระทบกระเทือนในทางการเมืองและสัญญาทางพระราชไมตรีได้ อีกประการหนึ่ง ในสมัยเดียวกัน แม้ในพระราชอาณาเขตภายในเองก็ยังมีการปกครองโดยให้เมืองใหญ่ปกครองเมืองน้อย ตามลำดับเมืองที่เป็นเอก โท ตรี จัตวา อยู่ทั่วไป เมืองใหญ่เพียงแต่ต้องฟังบังคับบัญชาตรงจากเจ้ากระทรวง การที่เป็นเช่นนี้อยู่ในฐานะที่ต้องกระจายหัวเมืองอยู่มาก ในขณะนั้นการคมนาคมถึงกันก็ไม่ใคร่สะดวก คำสั่งจากกรุงเทพฯ จะถึงเมืองหนึ่งๆ ก็ช้าเหตุผลที่เป็น ข้อสำคัญยิ่งก็คือ เหตุที่มามอบหมายให้หัวเมืองบังคับบัญชากันเอง การตรวจตราของเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ในกรุงไปไม่ใคร่ถึง เมื่ออาณาประชาชนมีคดีทุกข์ร้อนหรือถูกเจ้าพนักงานกดขี่ข่มเหงหรือตัดสินความไม่เป็นยุติธรรม เจ้ากระทรวงก็ต้องเรียกตัวคู่ความและสำนวนไปชำระว่ากล่าวในกรุงกว่าจะได้รับความยุติธรรมก็เป็นความเดือดร้อนแก่ราษฎรเป็นอันมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทถึงเหตุ ดังกล่าวนั้น จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองประเทศราชขึ้นเป็นมณฑลเทศาภิบาลเป็นครั้งแรก และทรงตั้งข้าหลวงใหญ่ออกไปบัญชาต่างพระเนตรพระกรรณนับแต่ระหว่างปี ๒๔๓๕ - ๒๔๓๗ และในปีต่อๆ มา ก็ทรงตั้งมณฑลอื่นๆ ขึ้นอีกเป็นลำดับ จังหวัดน่านขึ้นอยู่ใน มณฑลลาวเฉียง ซึ่งมีจังหวัดอื่นๆ ขึ้นอยู่อีก คือ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ เชียงราย (ภายหลังแยกอาณาเขตจังหวัดเชียงใหม่ตั้งเป็นจังหวัดขึ้นอีกจังหวัดหนึ่ง คือจังหวัดแม่ฮ่องสอน) ตั้งศาลารัฐบาลที่จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น มณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น มณฑลพายัพ พ.ศ. ๒๔๕๘ ได้ประกาศตั้งมณฑลพายัพเป็นภาคพายัพ และตั้งสมุหเทศาภิบาลเป็นอุปราชประจำภาค ใน พ.ศ. ๒๔๕๘ นี้เอง ได้ประกาศแยกจังหวัดน่าน แพร่ ลำปาง ออกจากมณฑลพายัพ ตั้งมณฑลขึ้นอีกมณฑลหนึ่งเรียกว่า มณฑลมหาราษฎร์ ขึ้นอยู่ในภาคพายัพ ตั้งศาลารัฐบาลอยู่ที่จังหวัดแพร่ พ.ศ.๒๔๖๘ ได้ประกาศเลิกภาคพายัพและตำแหน่งอุปราชประจำภาคเป็น สมุหเทศาภิบาลกับยกเลิกมณฑลมหาราษฎร์รวมจังหวัดที่อยู่ในมณฑลมหาราษฎร์ไปขึ้นแก่มณฑลพายัพตามเดิม พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้ประกาศยุบมณฑลและให้จังหวัดต่างๆ ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย เมื่อก่อนตั้งมณฑลลาวเฉียงขึ้นนั้น กระทรวงมหาดไทยได้ตั้งข้าหลวงมาประจำจังหวัดน่านแล้ว เริ่มแต่ พ.ศ. ๒๔๓๓ เป็นต้นมา เพื่อกำกับตรวจตราจัดวางระเบียบราชการในพื้นเมืองให้เข้ารูปแบบในกรุงเทพฯ ต่างหูต่างตากระทรวงมหาดไทยและจัดการอันเกี่ยวกับต่างประเทศ มิให้เป็นการกระทบกระเทือนในทางการเมือง ในขั้นต้นที่มีข้าหลวงมาประจำ การปฏิบัติราชการมีการขลุกขลักกันอยู่บ้าง เพราะเป็นหัวต่อของการที่จะปรับปรุงระเบียบราชการขึ้นใหม่ ซึ่งการทั้งนี้ก็ย่อมจะกระเทือนใจ บรรดาเจ้านายอยู่บ้าง แต่ต่อมาเมื่อทั้งสองฝ่ายได้ทำความเข้าใจกันดีแล้วความกลมเกลียวประสานงานก็ค่อยดีขึ้นเป็นลำดับ ขณะนี้ทางบ้านเมืองยังคงมีสนามเป็นที่ว่าการอยู่ตามเดิม ครั้นต่อมาถึง พ.ศ. ๒๔๔๐ เมื่อได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ แล้ว กระทรวงมหาดไทยได้มีตราให้ยุบเลิกตำแหน่งขุนสนามและตั้งพนักงาน ๖ ตำแหน่งขึ้นว่าการ การมหาดไทย การยุติธรรม การทหาร การคลัง การนา การวังแทน ให้ขึ้นอยู่ในข้าหลวงประจำเมืองและเจ้าผู้ครองนคร เนื่องด้วยการแบ่งเขตแขวงสำหรับจัดการปกครองและตำแหน่งหน้าที่ราชการใน ปกครองและตำแหน่งหน้าที่ราชการในมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ยังเป็นการก้าวก่ายอยู่หลายประการ สมควรจะจัดการวางแบบแผนวิธีปกครองและวางตำแหน่งหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามควรแก่กาลสมัย ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ กระทรวงมหาดไทยจึงให้พระยามหาอำมาตยาธิบดี (เสง วิริยศิริ) เมื่อครั้งเป็นพระยาศรีสหเทพราชปลัดทูลฉลอง ขึ้นมาจัดวางระเบียบการปกครองในมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ อันเนื่องแต่ได้ใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ แล้วนั้น และเพื่อที่กระทรวงมหาดไทยจะได้ตราข้อบังคับสำหรับปกครองมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือขึ้นใช้ในปีต่อไป ปีนี้พระยามหาอำมาต- ยาธิบดีได้มาที่จังหวัดน่าน พร้อมด้วยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช (ครั้งนั้นยังเป็นเจ้าสุริยะพงษ์ผริตเดช) เจ้าผู้ครองนคร พระยาสุนทรนุรักษ์ (เลื่อง ภูมิรัตน์) ข้าหลวงประจำเมืองและเจ้านายท้าวพญาทั้งปวงประชุมปรึกษาตกลงวางระเบียบราชการขึ้นใหม่ ดังนี้ ๑. การปกครองท้องที่ ได้แบ่งเขตแขวงเมืองน่านออกเป็น ๘ แขวง คือ ๑. แขวงนครน่าน คือรวมตำบลใกล้เคียงมี เมืองน่าน เมืองสา เมืองพง เมืองไชยภูมิ เมืองบ่อว้า ให้มีที่ว่าการตั้งที่แขวงเมืองน่าน ๒. แขวงน้ำแหง คือรวมเมืองหิน เมืองศรีสะเกษ เมืองลี้ ให้มีที่ว่าการแขวงตั้งที่เมือง ศรีสะเกษ ๓. เขวงน่านใต้ คือรวมเมืองท่าแฝก บ้านท่าปลา บ้านผาเลือด บ้านหาดล้า เมือง จะริม ให้มีที่ว่าการแขวงตั้งที่บ้านท่าปลา ๔. แขวงน้ำปัว คือ เมืองปัว เมืองริม เมืองอวน เมืองยม เมืองย่าง เมืองแงง เมืองบ่อ ให้มีที่ว่าการแขวงตั้งที่เมืองปัว ๕. แขวงขุนน่าน คือรวมเมืองเชียงกลาง เมืองและ เมืองงอบ เมืองปอน เมืองเบือ เมืองเชียงคาน เมืองยอด เมืองสะเกิน เมืองยาว ให้มีที่ว่าการแขวงตั้งที่เมืองเชียงกลาง ๖. แขวงน้ำของ คือรวมเมืองงอบ เมืองเชียงลม เมืองเชียงฮ่อน เมืองเงิน ให้มีที่ว่าการตั้งที่เมืองเชียงลม ๗. แขวงน้ำอิง คือรวมเมืองเชียงคำ เมืองเชียงแลง เมืองเทิง เมืองงาว เมือง เชียงของ เมืองเชียงเคี่ยน เมืองลอ เมืองมิน ให้มีที่ว่าการแขวงตั้งที่เมืองเทิง ๘. แขวงขุนยม คือรวมเมืองเชียงม่วน เมืองสะเอียบ เมืองสระ เมืองสวด เมืองปง เมืองงิม เมืองออย เมืองควน ให้มีที่ว่าการแขวงตั้งที่เมืองปง แขวงหนึ่งแบ่งออกเป็น พ่ง มีประมาณ ๑๐ พ่งๆ หนึ่งแบ่งออกเป็นหมู่บ้านมีประมาณ ๑๐ หมู่บ้าน ๆ หนึ่งมีลูกบ้านประมาณ ๒๐ คน แขวงหนึ่งให้มี นายแขวง ๑ คน รองแขวง ๒ คน หรือหลายคนตามการมากและน้อยและมี สมุห์บัญชี ๑ คน เสมียนใช้ตามสมควร พ่งหนึ่งให้มี เจ้าพ่ง ๑ คน มีศักดิ์เป็นพญามี รองเจ้าพ่ง อีก ๑ หรือ ๒ คน ตามพ่งน้อยและใหญ่กับมีล่ามอีก ๒ คน (ต่อมาได้เปลี่ยนพ่งเป็นแคว้น) หมู่บ้านหนึ่งให้มี แก่บ้าน คนหนึ่ง ๒. เจ้าหน้าที่ปกครอง ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ปกครองให้เรียกนามตำแหน่งดังนี้ ๑. กองบัญชาการ ให้มีข้าราชการ ๓ นาย คือ เจ้าผู้ครองนคร ๑ ข้าหลวงประจำเมือง ๑ ข้าหลวงผู้ช่วย ๑ รวมเรียกว่า เค้าสนามหลวง ๒. กองขึ้นแก่เค้าสนามหลวง ให้มีข้าราชการขึ้นอยู่กับในเค้าสนามหลวง ๖ ตำแหน่ง คือ พนักงานมหาดไทย ๑ พนักงานยุติธรรม ๑ พนักงานทหาร ๑ พนักงานคลัง ๑ พนักงานนา ๑ พนักงานวัง ๑ พนักงาน ๖ ตำแหน่งนี้มีพนักงานเป็นหัวหน้า ๑ และพนักงานรองเสมียนคนใช้ตาม สมควร กับมีพนักงานกรมการแขวงตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ๓. หน้าที่และอำนาจของเจ้าหน้าที่ ได้วางระเบียบไว้ดังนี้ ๑. เจ้าผู้ครองนคร มีหน้าที่รักษาราชการบ้านเมืองให้เรียบร้อยต่างพระเนตรพระกรรณเป็นผู้รับผิดชอบเฉพาะการในพื้นเมือง เป็นผู้ออกอาชญาหมายคำสั่งพนักงาน ๖ ตำแหน่งตามข้อความซึ่งได้ปรึกษาหารือในที่ประชุมเค้าสนามหลวงและมีอำนาจบังคับบัญชาราชการในบานเมืองให้เป็นไปตามที่ได้ตกลงในที่ประชุมเค้าสนามหลวงกับบังคับบัญชาว่ากล่าวเจ้านายบุตรหลานเพี้ยท้าวแสนวงศ์ญาติตามที่ชอบด้วยหน้าที่ราชการและพระราชกำหนดกฎหมาย ๒.ข้าหลวงประจำเมือง มีหน้าที่ตรวจตรารักษาราชการต่างพระเนตรพระกรรณทุกอย่าง เป็นผู้โต้ตอบในการที่เกี่ยวกับต่างประเทศทั้งปวง เป็นผู้มีใบบอกและหนังสือราชการไปมากับกรุงเทพฯ ข้าหลวงใหญ่ ณ ที่ว่าการมณฑลและเมืองอื่นๆ นอกจากในพื้นเมืองน่าน ตามความที่ได้ตกลงในที่ประชุมเค้าสนามหลวง เป็นผู้แนะนำและสั่งพนักงานให้รับราชการตามหน้าที่ทุกอย่างและมีอำนาจสั่งให้หยุดยั้งหรือถอนอาชญาหมายคำสั่งของเจ้าผู้ครองนครหรือเจ้านายคนใดซึ่งข้าหลวงเห็นว่าไม่ชอบด้วยราชการหรือไม่ชอบด้วยพระราชกำหนดกฎหมาย ในระหว่างมีใบบอกไปหารือที่ว่าการมณฑลหรือบอกไปยังกรุงเทพฯ ได้ทุกอย่าง เป็นผู้ตรวจและเซ็นชื่อในคำพิพากษาของศาลในระหว่างที่กระทรวงยุติธรรมยังไม่ได้จัดตั้งศาล กับเป็นผู้อนุญาตตั้งและย้ายตำแหน่งข้าราชการ ขึ้นและลดเงินเดือนข้าราชการ ซึ่งมีตำแหน่งต่ำกว่าชั้นพนักงานรองลงไป ๓. ข้าหลวงผู้ช่วย มีหน้าที่แทนข้าหลวงประจำเมืองในเมื่อข้าหลวงประจำเมืองไม่อยู่หรือป่วย และช่วยงานในตำแหน่งข้าหลวงประจำเมืองทุกอย่าง ๔. พนักงาน ๖ ตำแหน่ง มีหน้าที่ทำการตามคำสั่งของเค้าสนามหลวงและรับผิดชอบโดยเฉพาะในหน้าที่ของตำแหน่ง คือ ๑) พนักงานมหาดไทย ว่าการปกครอง ๒) พนักงานยุติธรรม ว่าการพิจารราพิพากษาอรรถคดี และการจัดการศาลตามแบบศาลในพื้นเมือง ๓) พนักงานทหาร ว่าการปราบปรามโจรผู้ร้าย (การตำรวจ) ๔) พนักงานคลัง ว่าการคลัง ๕) พนักงานนา ว่าการเก็บเงินผลประโยชน์แผ่นดินทั้งปวง ๖) พนักงานวัง ว่าการโยธา การสุขาภิบาล การธรรมการ การไปรษณีย์ ๕. พนักงานกรมการแขวง คงมีหน้าที่ในการปกครองท้องที่แบบเดียวกับคณะกรม การอำเภอปัจจุบันนี้ทุกประการ ๔. การปฏิบัติราชการ เนื่องด้วยแต่เดิมมา ข้าหลวงและพนักงาน ๖ ตำแหน่งต่างทำการแยกย้ายกันอยู่ที่บ้านคนละแห่งจึงให้มารวมทำการ ณ ที่สนามแห่งเดียวกัน กำหนดให้ข้าราชการต้องรับราชการในสนามวันหนึ่งไม่ต่ำกว่า ๖ ชั่วโมง คือตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. ถึง ๑๖.๐๐ น. เว้นแต่วันพระและวันขัตตฤกษ์ ส่วนการปฏิบัติราชการเมื่อเปิดสนามแล้วกำหนดให้มีเวลาประชุมปรึกษาราชการ ในที่ประชุมนั้นให้มีเจ้าผู้ครองนคร ๑ ข้าหลวงประจำเมือง ๑ ข้าหลวงผู้ช่วย ๑ กับหัวหน้าตำแหน่งทั้ง ๖ รวม ๙ คน พร้อมกันประชุมปรึกษาสั่งราชการซึ่งจะมีมาในเวลาเฉพาะวันนั้นและราชการในหน้าที่ใดมา ให้เจ้าหน้าที่เสนอในคราวประชุม การประชุมนั้นถ้ามีข้าหลวงหรือข้าหลวงผู้ช่วยคนหนึ่ง กับหัวหน้าหรือรอง ๖ ตำแหน่งอีก ๓ นาย รวมเป็น ๔ นาย ให้เป็นองค์ประชุมสั่งราชการได้ การประชุมปรึกษาราชการนั้น ถ้าความเห็นสอดคล้องต้องกันทั้ง ๖ คน ก็ให้จัดสั่งราช-การไป ถ้าความเห็นแตกต่างกันประการใดไม่เป็นที่ตกลงกันได้ก็ให้ข้าหลวงประจำเมือง ๑ เจ้าผู้ครอง-นคร ๑ ข้าหลวงผู้ช่วย ๑ รวมเป็น ๓ นาย ซึ่งเป็นเค้าสนามหลวง พร้อมกันประชุมปรึกษาหารือสั่งเป็นเด็ดขาด ถ้าคนทั้ง ๓ มีความเห็นแตกต่างไม่ตกลงกัน ให้เอาความเห็นข้างมากเป็นคำตกลงกันเด็ดขาดและถ้าความเห็นแตกต่างกันเช่นนี้บังเกิดขึ้นเมื่อคนใดในเค้าสนามหลวงมาประชุมไม่ได้จะเป็นโดยเหตุประการใดก็ดี มีอยู่แต่เพียง ๒ นาย ก็ต้องถามความเห็นอีกคนหนึ่งก่อนจึงจะเป็นการตกลงกันได้ หรือถ้าเป็นการสำคัญมากก็ให้แจ้งความไปยังที่ว่าการมณฑลขอหารือและรับคำสั่งเป็นเด็ดขาด การสิ่งใดที่ได้ตกลงกันในที่ประชุมแล้ว จึงให้จัดทำไปตามหน้าที่ ห้ามมิให้ผู้ใดผู้หนึ่งออกอาชญาหรือมีหนังสืออ้างว่าเป็นราชการไปด้วยประการใดๆ นอกจากที่ได้ประชุมตกลงเห็นชอบแล้วนั้น เว้นแต่ถ้ามีราชการร้อนที่จำเป็นจะต้องจัดต้องสั่งโดยเร็วจึงให้ข้าหลวงปรึกษาพร้อมด้วยเจ้าผู้ครองนครจัดสั่งไปแล้วจึงแจ้งต่อที่จะต้องทำในทันที จึงให้ข้าหลวงจัดส่งไปได้ แล้วแจ้งให้ที่ประชุมทราบภายหลัง นอกจากการวางระเบียบราชการที่พระยามหาอำมาตยาธิบดีได้จัดขึ้นดังกล่าวแล้วยังได้ปรึกษาเป็นที่ตกลงกับเจ้าผู้ครองนครถึงการจัดราชการบ้านเมืองอย่างอื่นอีก ส่วนที่สำคัญคือ ๑. เรื่องการเก็บเงินค่าแรงแทนเกณฑ์ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องนำไปสู่พระราชบัญญัติการ - เก็บเงินค่าแรงแทนเกณฑ์มณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ร.ศ. ๑๑๙ ๒. เรื่องยกค่าตัวทาสและยกบุตรหลานค่าหอคนโรงในการที่จะผ่อนผันให้พ้นจากความเป็นทาสซึ่งเป็นเรื่องนำไปสู่พระราชบัญญัติทาสมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ณ.ศ. ๙ ๓. เรื่องสร้างสนามขึ้นใหม่ เจ้าผู้ครองนครยอมถวายที่ดินให้เป็นที่ปลูกสร้างและพร้อมด้วยเจ้านายบุตรหลานรับจะช่วยออกแรงช้างในการชักลากไม้จนสำเร็จการ ซึ่งเป็นผลให้ได้มีสนามถาวรขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ (คือศาลากลางจังหวัดปัจจุบัน) ๔. เรื่องเรือนจำ ในขณะนั้นที่คุมขังนักโทษยังแยกอยู่นอกเวียงแห่งหนึ่งในเมืองเวียงแห่งหนึ่ง ข้าหลวงจะเลิกตะรางนอกเวียงเสีย เพราะทำไว้เปล่าไม่มีนักโทษ ฝ่ายตะรางในเวียงก็รกชำรุด ข้าหลวงและเจ้าผู้ครองนครจะซ่อมและขยายตะรางในเวียงให้เป็นไปตามข้อบังคับเรือนจำ ร.ศ. ๑๑๘ ต่อมารุ่งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศใช้กฎข้อบังคับสำหรับ ปกครองมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือขึ้น ซึ่งเป็นข้อบังคับพิเศษใช้ต่อเนื่องกับพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ ในส่วนระเบียบราชการนั้นคงมีนัยดังที่ได้กล่าวมาแล้วทุกประการ การปฏิบัติราชการได้ดำเนินการตามรูปนี้เป็นลำดับมาจนทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบบประชาธิปไตย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว ได้มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ โดยจังหวัดดังกล่าวนี้มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหารและได้ยกเลิกมณฑลเสีย ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินขึ้นใหม่อีกฉบับหนึ่ง มีสาระสำคัญคือ ๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล ซึ่งตามพระราชบัญญัติฉบับเดิมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ จังหวัดไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ๒. อำนาจบริหารราชการของจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นอำนาจของคณะกรมการจังหวัดได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด ๓. ฐานะของกรมการจังหวัดได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราช การจังหวัด ต่อมาได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ สาระสำคัญมิได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก โดยให้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติและให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเป็นระเบียบบริหารราชการที่ใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดน่าน. อ่างทอง : วรศิลป์การพิมพ์, ๒๕๓๐. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:48:41 พะเยา
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา พระเยาเป็นเมืองประวัติศาสตร์ เดิมมีชื่อว่า เมืองภูกามยาว หรือพยาว เคยมีเอกราชสมบูรณ์ มีกษัตริย์ปกครองสืบราชสันตติวงศ์มาปรากฏตามตำนานเมืองพะเยา ดังนี้ จุลศักราช ๔๒๑ พุทธศักราช ๑๖๐๒ พ่อขุนเงินหรือลาวเงิน ราชโอรสของขุนแรงกวา-กษัตริย์ผู้ครองนครเงินยางเชียงแสนมีพระราชโอรส ๒ องค์คือ ขุนจอมธรรมโอรสองค์ที่ ๒ ให้ปกครองเมืองภูกามยาว ซึ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายใต้ แต่ขุนชินให้อยู่ในราชสำนักครองนครเงินยางเชียงแสน ขุนจอมธรรมพร้อมข้าราชการบริวารขนเอาพระราชทรัพย์บรรทุกม้า พร้อมพลช้าง พลม้า ตามเสด็จถึงเมืองภูกามยาว และตั้งรากฐานเมืองใหม่ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณเมืองหนึ่ง นามว่า "สีหราช" อยู่เชิงเขาชมภูหางดอยด้วน ลงไปจรดฝั่งแม่น้ำสายตา มีสัณฐานคล้ายลูกน้ำเต้า มีหนองน้ำใหญ่อยู่ทางตะวันตก อันหมายถึงกว๊านพะเยา และทางทิศอีสานคือหนองหวีและหนองแว่น ต่อมารวมไพร่พลหัวเมืองต่างๆ ได้ ๑๘๐,๐๐๐ คน จัดแบ่งได้ ๓๖ พันนาๆ ละ ๕๐๐ คน มีเขตแคว้นแดนเมืองในครั้งกระโน้น ดังนี้ ทิศบูรพา จรดขุนผากาดจำบอน ตาดม้าน บางสีถ้ำ ไทรสามต้น สบห้วยปู น้ำพุง สบปั๋ง ห้วยบ่อทอง ตาดซาววา กิ่วแก้ว กิ่วสามช่อง มีหลักหินสามก้อนฝังไว้ กิ่วฤาษี แม่น้ำสายตา กิ่วช้าง กิ่วง้ม กิ่วเปี้ย ดอยปางแม่นาด ทิศตะวันตก โป่งปูดห้วยแก้วดอยปุย แม่คาว ไปทางทิศใต้ กิ่วรุหลาว ดอยจิกจ้อง ขุนถ้ำ ดอยตั่ง ดอยหนอก ผาดอกวัว แซ่ม่าน ไปจรดเอาดอยผาหลักไก่ทางทิศหรดี มีเมืองในอำนาจปกครอง คือ เมืองงาว เมืองกวา สะเอียบ เชียงม่วน เมืองเทิง เมืองสระ เมืองออย สะสาว เมืองดอบ เชียงคำ เมืองลอ เมืองเชียงแลง เมืองหงาว แซ่เ..เซนเซอร์..ยง แซ่ลุล ปากบ่อง เมืองป่าเป้า เมืองวัง แซ่ซ้อง เมืองปราบ แซ่ห่ม ทิศใต้สุดจรดนครเขลางค์และนครหริภุญชัย ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือต่อแดนขรนคร (เชียงของ) ขุนจอมธรรมปกครองไพร่ฟ้าประชาชนโดยตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม และยึดมั่นในบวรพุทธศาสนา บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองด้วยโภคสมบัติ ฟ้าฝนตกตามฤดูกาลไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดี ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน ซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ไม่มีสงคราม เจ้าประเทศราชต่างๆ ก็มีสัมพันธ-ไมตรีอันดีต่อกัน ทรงสั่งสอนไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินด้วยหลักธรรม ๒ ประการ คือ - อปริหานิยธรรม ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม ๑ - ประเพณีธรรม ขนบธรรมเนียมอันเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงามของครอบครัว ๑ ขุนจอมธรรมครองเมืองพะเยาได้ ๒ ปี มีโอรส ๑ พระองค์ โหรถวายคำพยากรณ์ว่า ราชบุตรองค์นี้จะเป็นจักรพรรดิราชปราบชมพูทวีป มีบุญญาธิการมากเวลาประสูติ มีของทิพย์เกิดขึ้น ๓ อย่าง คือ แส้ทิพย์ พระแสงทิพย์ คณโฑทิพย์ จึงให้พระนามว่า "ขุนเจื๋อง" ต่อมาอีก ๓ ปี ได้ราชบุตรอีกพระนามว่า "ขุนจอง" หรือ "ชิง" เมื่อขุนเจื๋องเจริญวัยขึ้น ทรงศึกษาวิชายุทธศาสตร์ เช่น วิชาดาบ มวยปล้ำ เพลงชัย จับช้าง จับม้า และเพลงอาวุธต่างๆ พระชนมายุได้ ๑๖ ปี พาบริวารไปคล้องช้างที่เมืองน่านเจ้าผู้ครองเมืองน่านเห็นความสามารถแล้วพอพระทัย ยกธิดาชื่อ "จันทร์เทวี" ให้เป็นชายาขุนเจื๋องพระชนมายุได้ ๑๗ ปี พาบริวารไปคล้องช้างที่เมืองแพร่ เจ้าผู้ครองนครเมืองแพร่พอพระทัย จึงยกธิดาชื่อ "นางแก้ว-กษัตริย์" ให้เป็นชายา พระราชทานช้าง ๒๐๐ เชือก ขุนจอมธรรมปกครองเมืองพะเยาได้ ๒๔ ปี พระชนมายุได้ ๔๙ พรรษา ก็สิ้นพระชนม์ ขุนเจื๋องได้ครองราชสืบแทน ครองเมืองได้ ๖ ปี มีข้าศึกแกว (ญวน) ยกทัพมาประชิดนครเงินยาง เชียงแสน ขุนชินผู้เป็นลุงได้ส่งสาส์นขอให้ส่งไพร่พลไปช่วย ขุนเจื๋องได้รวบรวมรี้พลยกไปชุมนุมกันที่สนามดอนไชยหนอหลวง และเคลื่อนทัพเข้าตีข้าศึกแตกกระจัดกระจายไป เมื่อขุนชินทราบเรื่องก็เลื่อมใสโสมนัสยิ่งนัก ทรงยกธิดาชื่อ "พระนางอั๊วคำคอน" ให้และสละราชสมบัตินครเงินยางเชียงแสนให้ ขุนเจื๋องครองแทน เมื่อขุนเจื๋องได้ครองราชเมืองเงินยางแล้ว ทรงพระนามว่า "พระยาเจื๋องธรรมมิกราช" ได้มอบสมบัติให้โอรสชื่อ "ลาวเงินเรือง" ครองเมืองพะเยาแทนหัวเมืองใหญ่น้อยเหนือใต้ยอมอ่อนน้อม ได้ราชธิดาแกวมาเป็นชายานามว่า "นางอู่แก้ว" มีโอรส ๓ พระองค์คือ ท้าวผาเรือง ยี่คำห้าว ท้าวสามชุมแสง ต่อมายกราชสมบัติเมืองแกวให้ท้าวผาเรือง ให้ท้าวคำห้าวไปครองเมืองล้านช้าง ท้าวสามชุมแสงไปครองเมืองน่าน ต่อมาได้โยธาทัพเข้าตีเมืองต่างๆ ที่ยังไม่ยอมสวามิภักดิ์ ทรงชนช้างกับศัตรูเสียทีข้าศึกเพราะชราภาพ จึงถูกฟันคอขาดและสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง พวกทหารจึงนำพระเศียรไปบรรจุไว้ที่พระเจดีย์เมืองเหรัญนครเชียงแสน ขุนเจื๋อง ประสูติเมื่อปีพุทธศักราช ๑๖๔๑ ครองราชย์สมบัติเมื่อพระชนมายุ ๒๔ ปี ครองแคว้นลานนาไทยได้ ๒๔ ปี ครองเมืองแกวได้ ๑๗ ปี รวมพระชน-มายุได้ ๖๗ ปี ฝ่ายท้าวจอมผาเรืองราชบุตรขึ้นครองราชสมบัติเมืองพะเยาได้ ๑๔ ปี ก็ถึงแก่พิราลัย ขุนแพงโอรสครองราชแทนได้ ๗ ปี ขุนซองซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าแย่งราชสมบัติและได้ครองราชเมืองพะเยาต่อมาเป็นเวลา ๒๐ ปี และมีผู้ขึ้นครองราชสืบต่อมา จนถึงพระยางำเมืองซึ่งครองราชเป็นกษัตริย์เมืองพะเยาองค์ที่ ๙ นับจากพ่อขุนจอมธรรม พ่อขุนงำเมืองประสูติเมื่อพุทธศักราช ๑๗๘๑ เป็นราชบุตรของพ่อขุนมิ่งเมืองสืบเชื้อสายมาจากท้าวจอมผาเรือง พระชนมายุ ๑๔ ปี พระราชบิดาส่งไปศึกษาเล่าเรียนศิลปศาสตร์เพทในสำนักเทพอิสิตนอยู่ภูเขาดอยด้วน ๒ ปีจบการศึกษา พระชนมายุได้ ๑๖ ปี พระราชบิดาส่งไปศึกษาต่อ ขอถวายตัวอยู่ในสำนักสุกันตฤาษี ณ กรุงละโว้ (ลพบุรี) จึงได้รู้จักคุ้นเคยกับพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัยสนิทสนมผูกไมตรีต่อกันอย่างแน่นแฟ้น ศึกษาศิลปศาสตร์ร่วมครูอาจารย์เดียวกันเป็นสหายกันตั้งแต่นั้นมา เมื่อเรียนจบก็เสด็จกลับเมืองพะเยา ปีพุทธศักราช ๑๓๑๐ พระราชบิดาสิ้นพระชนม์ พ่อขุนงำเมืองขึ้นครองราชย์แทน พ่อขุนงำเมืองเป็นผู้ทรงอิทธิฤทธิ์เช่นเดียวกับพระร่วงเจ้าตำนานกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ไม่ชอบสงคราม ปกครองบ้านเมืองด้วยความเที่ยงธรรม ผูกไมตรีจิตต่อประเทศราชและเพื่อนบ้าน ขุนเมงรายเคยคิดยกทัพเข้าบดขยี้เมืองพะเยา พ่อขุนงำเมืองล่วงรู้เหตุการณ์ก่อนแทนที่จะยกทัพเข้าต่อต้าน ได้สั่งไพร่พลให้อยู่ในความสงบ สั่งให้เสนาอำมาตย์ออกต้อนรับโดยดี เชิญขุนเมงรายเสวยพระกระยาหารและเลี้ยงกองทัพให้อิ่ม ขุนเมงรายจึงเลิกการทำสงครามแต่นั้นมาพ่อขุนงำเมืองจึงยกเมืองปลายแดน ซึ่งมีเมืองพาน เมืองเชี่ยนเคี่ยน เมืองเทิง และเมืองเชียงของให้แก่พระเจ้าเมงราย และทำสัญญาปฏิญาณต่อกันจะเป็นมิตรต่อกันตลอดไป ฝ่ายพระยาร่วงซึ่งเป็นสหายคนสนิทก็ได้ถือโอกาสเยี่ยมพ่อขุนงำเมืองปีละ ๑ ครั้ง ส่วนใหญ่เสด็จในฤดูเทศกาลสงกรานต์ได้มีโอกาสรู้จักขุนเม็งรายทั้ง ๓ องค์ ได้ชอบพอเป็นสหายกัน เคยหันหลังเข้าพิงกันกระทำสัจจปฏิญาณแก่กัน ณ ริมฝั่งแม่น้ำขุนภูว่าจะไม่ผูกเวรแก่กันจะเป็นมิตรสหายกัน กรีดโลหิตออกรวมกันในขันผสมน้ำ ทรงดื่มพร้อมกัน (ภายหลังแม่น้ำนี้ได้ชื่อว่า แม่น้ำอิง) ระหว่างครองราชย์ในเมืองพะเยาพ่อขุนงำเมืองเป็นผู้ทรงอุปฐากพระธาตุจอมทองซึ่งตั้งอยู่บนดอยจอมทองซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองพะเยาที่ประชาชนสักการะบูชามาจนตราบเท่าทุกวันนี้ เมื่อพ่อขุนงำเมืองสิ้นพระชนม์ลง โอรสคือ ขุนดำแดงสืบราชสมบัติแทนเมื่อปีพุทธศักราช ๑๘๑๖ พ่อขุนดำแดงมีโอรสชื่อ ขุนคำลือซึ่งครองราชสมบัติแทนต่อมา ในสมัยนั้นพระยาคำฟูผู้ครองนครชัยบุรีศรีเชียงแสน ชวนพระยากาวเมืองน่านยกทัพตีเมืองพะเยา แต่พระยาคำฟูตีได้ก่อนเกิดขัดใจกันสู้รบกันขึ้น พระยาคำฟูเสียทีก็เลยยกทัพกลับเชียงแสน กองทัพพระยากาวเมืองน่านติดตามไปยกทัพเลยไปตีถึงเมืองฝาง ได้แต่ถูกทัพของ พระยาคำฟูตีถอยล่นกลับเมืองน่าน เมืองพะเยาในสมัยนั้นอ่อนแอมากจึงได้รวมอยู่กับอาณาจักรลานนา พุทธศักราช ๑๙๔๙ พระเจ้าไสลือไทยยกกองทัพหมายตีเมืองเชียงใหม่และผ่านเขตเมืองพะเยา หมายตีเอาเมืองพะเยาด้วย แต่ไม่สำเร็จ สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยพระเจ้าติโลกราชครองอาณาจักรลานนาไทย (พุทธศักราช ๑๙๘๕-๒๐๒๕) แผ่อำนาจลงไปทางใต้ปราบปรามเมืองสองแคว เมืองเชลียง เมืองสุโขทัยตลอดถึงเมืองกำแพงเพชรอยู่ในอำนาจ ต่อมาในปีพุทธศักราช ๑๙๙๔-๒๐๓๐ พระยายุทิศเจียงเจ้าเมืองสองแควซึ่งสวามิภักดิ์พระเจ้าติโลกราชได้มาครองเมืองพะเยา ทรงสร้างพระเจดีย์วัดพระยาร่วง (วัดบุญนาค) ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่า "หลวงพ่อนาค" ทรงก่อสร้างวิหารวัดป่าแดง หลวงพ่อดอนชัย และอัญเชิญพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์แดงจากวัดปทุมมาราม (หนองบัว) มาประดิษฐานไว้ด้วยต่อมาพระเจ้าติโลกราชสั่งให้นำไปประดิษฐานไว้ ณ วัดอโศการาม (วัดป่าแดงหลวง) เชียงใหม่ นอกนั้นพระยายุทิศเจียงยังเอาช่างปั้นถ้วยชามเครื่องสังคโลกอันเป็นศิลปของกรุงสุโขทัยไปเผยแพร่การปั้นถ้วยชามสังคโลกด้วย ตั้งแต่นั้นมาเมืองภูกาม-ยาวก็รวมอยู่กับอาณาจักรลานนาไทยมาโดยตลอด จากหลักฐานศิลาจารึกต่างๆ ปรากฏว่าเมื่อปีพุทธศักราช ๒๐๓๔ พระยาเมืองยี่ครองเมืองพะเยา พระยอดเชียงรายครองเมืองเชียงใหม่ กับตายายสองผัวเมียสร้างพระเจ้าตนหลวงเริ่มสร้างได้ ๕ วัน พระยาเมืองยี่ถึงแก่พิราลัยต่อมาพระยอดเชียงรายก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน พุทธศักราช ๒๐๓๙ พระเมืองแก้วราชโอรสพระยอดเชียงรายขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ พระยาหัวเคี่ยนครองเมืองพะเยา ได้ ๒๑ ปี ก็สิ้นพระชนม์ พุทธศักราช ๒๐๖๗ สร้างพระเจ้าตนหลวงเสร็จ รวมเวลาก่อสร้าง ๓๓ ปี พุทธศักราช ๒๑๑๑ พระเจ้าหงสาวดีเกณฑ์กองทัพพม่า ไทยใหญ่ ลื้อ มอญ ลานนาไทย ยกไปตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อตีได้แล้วให้พระมหาธรรมราชาเจ้าเมืองสองแควไปครองกรุงศรีอยุธยา พุทธศักราช ๒๑๑๕ พระเจ้ากรุงหงสาวดีได้ยกทัพตีเมืองหนองหาญ อาณาจักรลานช้างและลานนาไทยได้กวาดต้อนผู้คนไปด้วย ต่อมาพระเจ้ามังตรา (บุเรงนอง) สวรรคต และปีพุทธศักราช ๒๑๔๑ ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนไปกรุงหงสาวดีก็หนีกลับมาเชียงใหม่ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พุทธศักราช ๒๓๓๐ เจ้าเมืองอังวะสั่งให้หวุ่นยี่มหาไชยสุระยกทัพมาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ ผ่านฝาง เชียงราย เชียงแสน และพะเยาด้วย ผู้คนกลัวแตกตื่นอพยพไปอยู่ลำปาง ทำให้เมืองพะเยาร้างไปเป็นเวลาถึง ๕๖ ปี พุทธศักราช ๒๓๘๖ พระยานครลำปางน้อยอินทร์กับพระยาอุปราชมหาวงศ์เมืองเชียงใหม่ ลงไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทูลขอตั้งเมืองเชียงรายเป็นเมืองขึ้นของเชียงใหม่ และตั้งเมืองงาว เมืองพะเยาเป็นเมืองขึ้นของนครลำปาง ต่อมาพระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายพุทธวงศ์น้องคนที่ ๑ ของพระยานครอินทร์เป็นพระยาประเทศอุดรทิศผู้ครองเมืองพะเยา ตั้งนายน้อย มหายศ และตั้งนายแก้ว มานุตตม์ น้องคนที่ ๒ และ ๓ เป็นพระยาอุปราชเมืองพะเยาและพระยาราชวงศ์เมืองพะเยาตามลำดับ ตั้งนายขัติยะบุตรพระยาประเทศอุดรทิศเป็นพระยาเมืองแก้ว และตั้งนายน้อย ขัติยะบุตรราชวงศ์หมู่ส่าเป็นพระยาราชบุตรเมืองพะเยา ผู้ครองเมืองพะเยาทุกคนจึงได้รับพระราชทานนามว่า "พระยาประเทศอุดรทิศ" แต่ประชาชนมักจะเรียกตามนามเดิม เช่นเจ้าหลวงวงศ์ ปีพุทธศักราช ๒๓๙๑ พระยาอุปราช (น้อย มหายศ) รับสัญญาบัตรขึ้นครองเมืองพะเยา จนถึงจุลศักราช ๑๒๑๗ (พุทธศักราช ๒๓๙๘) ก็ถึงอนิจกรรม พุทธศักราช ๒๓๙๘ พระยาราชวงศ์เมืองพะเยา (เจ้าบุรีรัตนะหรือเจ้าแก้ว ขัติยะ) ได้รับสัญญาบัตรเป็นเจ้าเมืองพะเยา ครองเมืองได้ ๖ ปี ก็ถึงอนิจกรรม พุทธศักราช ๒๔๐๓ เจ้าหอหน้าอินทะชมภู รับสัญญาบัตรเป็นผู้ครองเมืองพะเยาได้ ๑๑ ปี ก็ถึงแก่พิราลัยเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๑๓ พุทธศักราช ๒๔๑๘ เจ้าหลวงอริยะเป็นเจ้าเมืองพะเยาถึงปีพุทธศักราช ๒๔๓๗ ก็ถึงแก่ อนิจกรรม เจ้าไชยวงศ์เป็นผู้ครองเมืองพะเยาต่อมาถึง ๙ ปี พุทธศักราช ๒๔๔๕ เกิดจราจลขึ้นทาง หัวเมืองฝ่ายเหนือ โจรผู้ลี้ภัยเงี้ยวเข้ายึดเมืองพะเยา ปล้นเอาทรัพย์สินทางราชการ ประชาชน วัดวาอารามไป คนแตกตื่นหนีไปลำปาง ได้ยกกำลังตำรวจทหารจากลำปางมาปราบรบกันอยู่ที่บริเวณบ้านแม่กา เงี้ยวล้มตายเป็นจำนวนมาก พุทธศักราช ๒๔๔๕ ตำรวจ เจ้านาย กรรมการบ้านเมืองได้เกณฑ์ผู้คนก่อสร้างเสริมกำแพงเมืองให้มั่นคงมากขึ้น เมืองพะเยาในสมันนั้นมีฐานะเป็นจังหวัด เจ้าหลวงอุดรประเทศทิศ (ไชยวงศ์) เป็นเจ้าผู้ครองเมืองพะเยา หลวงศรีสมรรตการเป็นข้าหลวงประจำจังหวัด เจ้าอุปราชมหาชัย ศีติสารตำแหน่งข้าหลวงผู้ช่วยหรือปลัดจังหวัด พุทธศักราช ๒๔๔๘ เจ้าหลวงอุดรประเทศทิศ (ไชยวงศ์) ถึงแก่พิราลัยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบบริเวณจังหวัดพะเยาให้เป็นแขวงพะเยา ให้ย้ายหลวงศรีสมรรตการข้าหลวงประจำจังหวัดพะเยาไปรับตำแหน่งจังหวัดอื่น และโปรดเกล้าฯ ให้อุปราชมหาชัย ศีติสารรักษาการในตำแหน่งเจ้าเมืองพะเยา พุทธศักราช ๒๔๔๙ เจ้าอุปราชมหาชัย ศีติสาร ได้รับสัญญาบัตรเป็นพระยาประเทศ-อุดรทิศ ดำรงตำแหน่งผู้ครองเมืองพะเยาองค์สุดท้าย การปกครองแผ่นดินสมัยนั้นมีการบริหารงานเป็นกระทรวง มณฑล จังหวัด อำเภอ ดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือเรียกว่า มณฑลพายัพ ผู้บริหารระดับกระทรวงเรียกว่า เสนาบดี ผู้บริหารระดับมณฑลเรียกว่า สมุหเทศาภิบาล ผู้บริหารระดับจังหวัดเรียกว่า ข้าหลวงประจำจังหวัด ผู้บริหารระดับอำเภอเรียกว่า เจ้าเมืองบ้างหรือนายอำเภอบ้าง พุทธศักราช ๒๔๕๗ ยุบเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองเมืองใช้ตำแหน่งนายอำเภอแทนเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยทรงแต่งตั้งนายกลาย บุษบรรณ เป็นนายอำเภอเมืองพะเยา และได้รับแต่งตั้งฐานันดรศักดิ์เป็นรองอำมาตย์โทขุนสิทธิประศาสน์ เป็นนายอำเภอคนแรกมุ่งบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่อาณาประชาราษฎร จัดการศึกษา การอาชีพ และบำรุงพุทธศาสนา จนพุทธศักราช ๒๔๖๕ ย้ายไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอแม่จัน พุทธศักราช ๒๔๖๖-๒๔๖๙ พระแสน สิทธิเขตดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา มีเหตุการณ์สำคัญคือ เกิดเพลิงไหม้ที่ว่าการอำเภอ และสร้างหลังใหม่คือหลังปัจจุบัน พุทธศักราช ๒๔๗๐-๒๔๗๑ หลวงประดิษฐอุดมการ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยา เหตุการณ์บ้านเมืองปกติ พุทธศักราช ๒๔๗๒-๒๔๗๖ พระบริภัณฑธุรราษฎรเป็นนายอำเภอ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ เกิดการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ เหตุการณ์ด้านภาคพายัพปกติ ประชาชนยังคงอยู่กันด้วยความสงบสุข พุทธศักราช ๒๔๗๗- ๒๔๗๘ นายผล แผลงศร เป็นนายอำเภอเมืองพะเยา สนใจทำนุ-บำรุงด้านการศาสนาเป็นพิเศษ ละเอียด สุขุม นิ่มนวลเข้ากับประชาชนได้ดีมีส่วนริเริ่มปรับปรุงกว๊านพะเยา เป็นแหล่งน้ำบำรุงพันธ์ปลา ร่วมกับกรมเกษตรการประมง พุทธศักราช ๒๔๗๘-๒๔๘๐ พระศุภการกำจร เป็นนายอำเภอเมืองพะเยาเริ่มสำรวจกว๊านพะเยารวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่จะใช้ประกอบการพัฒนากว๊านพะเยา ตามวัตถุประสงค์ของกรมเกษตรการประมง ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๐ นั่นเอง นายอุ่นเรือน ฟองศรี ศึกษาธิการอำเภอเมืองพะเยาสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาขึ้น โรงเรียนแรกคือ โรงเรียนพะเยาพิทยาคม ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๐ ขุนนาควรรณวิโจรน์ เป็นนายอำเภอเมืองพะเยาได้ขอตั้งเทศบาลเมืองพะเยาขึ้น เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๔๘๐ ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๑ นายสุจิตต์ สมบัติศิริ เป็นนายอำเภอพะเยา เริ่มลงมือก่อสร้างประตูระบายน้ำกว๊านพะเยา พุทธศักราช ๒๔๘๒-๒๔๘๓ นายผล แผลงศร กลับมาดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอเมืองพะเยาอีกครั้งหนึ่ง สร้างประตูระบายน้ำกว๊านพะเยาได้เสร็จเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๒ สร้างที่ทำการของสถานีประมง ริเริ่มจัดหาทุนสร้างโรงพยาบาลเมืองพะเยา พุทธศักราช ๒๔๘๔ นายสนิท จูทะรพ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยาเป็นช่วงอยู่ในภาวะสงครามมหาเอเซียบูรพา ประเทศไทยจำใจเข้าร่วมสัมพันธไมตรี กับประเทศญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา ได้มีการระดมกำลังทหารไปตรึงชายแดนภาคเหนือ ไว้เป็นจำนวนมาก จังหวัดพะเยาในเวลานั้นจึงเต็มไปด้วยทหาร พุทธศักราช ๒๔๘๕-๒๔๘๖ นายทองสุข ชมวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา สงครามเริ่มรุนแรงขึ้น ข้าศึกโจมตีทางอากาศ ทรัพย์สินของทางราชการและประชาชนเสียหายมาก ผู้คนล้มตายและเกิดโรคระบาดคือ มาเลเลีย ซึ่งเกิดจากทหารติดเชื้อมาจากเชียงตุง ผู้คนล้มตายกันมาก มีการลักขโมยปล้นฆ่ากันบ่อยครั้ง เหตุการณ์ไม่ค่อยสงบประชาชนไม่กล้าออกไปทำมาหากิน พุทธศักราช ๒๔๘๖-๒๔๙๐ นายฉลอง ระมิตานนท์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยาประสานงานกับฝ่ายทหาร ตำรวจปราบปรามโจรผู้ร้ายได้ดีสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้จนสงครามสงบจึงหันมาฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมและส่งเสริมอาชีพของราษฎร พุทธศักราช ๒๔๙๐-๒๔๙๖ นายผลิ ศรุตานนท์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา เหตุการณ์สู่ภาวะปกติเริ่มฟื้นฟูทั้งด้านวัตถุและจิตใจของประชาชน เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๔๙๔ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุในองศ์พระเจดีย์วัด ป่าแดงหลวงดอนไชย ระหว่างเดือนกันยายน ๒๔๙๕ ฝนตกหนักน้ำไหลบ่าท่วมบ้านเรือนราษฎรถนนขาดเป็นตอนๆ การคมนาคมทางบนถูกตัดขาด เป็นผู้ริเริ่มกันที่ดินเพื่อสงวนไว้เพื่อเป็นประโยชน์ของทางราชการ เช่น ที่ดิน โรงพยาบาล ศาลากลางจังหวัดและศูนย์ราชการมีพื้นที่ประมาณ ๑๗๐ ไร่ พุทธศักราช ๒๔๙๖-๒๔๙๗ ขุนจิตต์ ธุรารักษ์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา เร่งปราบปรามโจรผู้ร้าย การเล่นการพนันและส่งเสริมอาชีพ พุทธศักราช ๒๔๙๗-๒๕๐๐ นายวิฑิต โภคะกุล ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา มีนโยบายเร่งรัดพัฒนาอาชีพ ส่งเสริมศีลธรรมจริยธรรม ทำการบูรณะถนนหนทางขุดลำเหมืองส่งน้ำจากกว๊านพะเยา สร้างโรงพยาบาลพะเยา และได้ยกฐานะเป็นอำเภอชั้นเอก พุทธศักราช ๒๕๐๑-๒๕๐๒ นายวรจันทร์ อินทกฤษณ์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา เร่งรัดปรับปรุงถนนหนทาง ปราบปรามอันธพาล ร่วมริเริ่มก่อตั้งการปะปาพะเยาซึ่งสร้างเสร็จเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๐๑ อยู่ไม่นานก็ย้ายไปดำรงตำแหน่งปลัดจังหวัดสระบุรี ต่อมานายสวัสดิ์ อรรถศิริ มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาแทนไม่นานก็ย้ายไป พุทธศักราช ๒๕๐๒-๒๕๐๔ นายศิริ เพชรโรจน์ มาดำรงตำแหน่งแทนได้ปรับปรุงการทำงานของข้าราชการให้รัดกุม มุ่งการพัฒนาท้องถิ่นถนนหนทางสายต่างๆ แนะนำกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบลให้รู้จักการทำงานและมีความขยันหมั่นเพียร และมีการพิจารณาให้รางวัลความดีความชอบ พุทธศักราช ๒๕๐๔-๒๕๑๑ นายจรูญ ธนะสังข์ ย้ายมาดำรงตำแหน่ง นายอำเภอพะเยา ซึ่งในปีพุทธศักราช ๒๕๐๔ เกิดเพลิงไหม้ตลาดเมืองพะเยา ค่าเสียหายประมาณ ๒ ล้านบาทเศษ พุทธศักราช ๒๕๑๒-๒๕๑๓ นายทวี บำรุงพงษ์ มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาในระยะนี้ ได้มีการก่อตั้งแขวงการทางพะเยาขึ้น และเปิดสำนักงานเป็นทางการเมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๑๓ พุทธศักราช ๒๕๑๔-๒๕๑๗ นายชื่น บุณย์จันทรานนท์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๑๖ เกิดพายุฝน ฝนตกหนักน้ำไหลบ่าท่วมบ้านเรือนราษฎรเสียหายมาก พุทธศักราช ๒๕๑๗-๒๕๒๐ นายประมณฑ์ วสุวัต ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา พุทธศักราช ๒๕๒๐ นายจรัส ฤทธิ์อุดม ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา จากเมืองประวัติศาสตร์ที่มีเอกราชมาช้านาน และกลายเป็นแคว้นหนึ่งอยู่ในอาณาจักร ลานนาไทย และเปลี่ยนฐานะมาเป็นจังหวัดหนึ่งขึ้นอยู่กับมณฑลพายัพมีเจ้าผู้ครองนคร และถูกยุบมาเป็นอำเภอหนึ่ง ซึ่งนับตั้งแต่ช่วงที่เป็นอำเภอพะเยา (พุทธศักราช ๒๔๕๗-๒๕๒๐) ได้ ๖๓ ปี มี นายอำเภอดำรงตำแหน่งถึง ๒๕ นาย จนเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๒๐ ได้รับยกฐานะจากอำเภอพะเยาขึ้นเป็นจังหวัดพะเยามาตราบเท่าทุกวันนี้ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:49:09 เพชรบูรณ์
ในทางด้านประวัติศาสตร์ จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นเมืองโบราณ สร้างเมื่อใดและใครเป็นผู้สร้างนั้น ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสรุปได้ ในเรื่องนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงวิเคราะห์ว่า "เป็นเมืองที่สร้างมา ๒ ยุค แต่สร้างลงซ้ำในที่เดียวกัน สิ่งสำคัญคือ พระมหาธาตุและวัดโบราณซึ่งทำให้เราเข้าใจว่า ยุคแรกสร้างเมื่อเมืองเหนือ คือ กรุงสุโขทัยหรือพิษณุโลก เป็นเมืองหลวง ด้วยเอาลำน้ำไว้กลางเมือง เช่นเมืองพิษณุโลก กำแพงเมืองกว้างยาวด้านละ ๘๐๐ เมตร ยุคที่สองจะสร้างในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ด้วยมีป้อมและกำแพงก่อด้วยอิฐปนศิลา สันฐานคล้ายที่เมืองนครราชสีมาแต่เล็กและเตี้ยกว่า เอาแม่น้ำไว้กลางเมืองเหมือนกันแต่ร่นกำแพงเมืองให้เล็กลง กว่าเดิม ภูมิฐานที่สร้างส่อให้เห็นว่าสำหรับป้องกันศัตรูฝ่ายเหนือ เพราะสร้างประชิดทางโคกป่าข้างเหนือ เอาทำเลไร่นาไว้ทางใต้เมืองทั้งสิ้น และน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะทางพงศาวดารก็ปรากฏว่าทัพกรุงศรีสัตนาคนหุตยกลงมาคราวไร ก็ยกลงมาทางริมแม่น้ำป่าสักทุกครั้ง" นอกจากนั้นในท้องที่อำเภอศรีเทพ มีโบราณสถานเก่าแก่ชื่อ "เมืองศรีเทพ" จากการค้นพบซากโบราณสถานและจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบในเมืองศรีเทพ ทำให้น่าเชื่อว่าเมืองเพชรบูรณ์มีอายุไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ปี และเป็นเมืองที่ขอมสร้างขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกับเมืองพิมาย ลพบุรีและจันทบุรี เพื่อเป็นจุดเผยแพร่วัฒนธรรมของขอมไปสู่อาณาจักรทวาราวดี ปัจจุบันยังมีซากตัวเมืองกำแพงเมือง และพระปรางค์ปรากฏอยู่ บริเวณที่ตั้งเมืองเป็นที่ราบ มีกำแพงดินสูงรอบเมือง ด้านนอกกำแพงเมืองมีคูเมือง ภายในเมืองมีพระปรางค์ ซากเทวสถาน รูปเทพารักษ์ พระนารายณ์ รูปยักษ์สลักด้วยศิลาแลงเช่นเดียวกับที่เมืองพิมาย ลพบุรี และจันทบุรี จึงเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าเป็นฝีมือของขอมที่ได้รับอารยธรรมจากอินเดีย หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่กล่าวถึงเมืองเพชรบูรณ์เท่าที่ค้นพบมีปรากฏในสมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ มีดังนี้ สมัยกรุงสุโขทัย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงมีลายพระหัตถ์เกี่ยวกับเพชรบูรณ์ว่า เดิมทีเดียวคงจะตั้งชื่อเมืองเป็น "เพชรบูร" ให้ใกล้กับ "เพชรบุรี" ซึ่งแปลว่าเมืองแข็ง แต่เกรงว่าจะเหมือนกันมากเกินไปจึงตั้งชื่อเป็น "เพชรบูรณ์" ซึ่งคาดว่าชื่อเมืองคงจะตั้งรุ่นเดียวกับเมืองพิษณุโลก คำว่า "เพชรบูรณ์"อาจจะมาจากคำว่า "พืช" ซึ่งหมายถึงที่เกิดของพืชผลก็ได้ แม้ในอินเดียเองก็มีเมืองโบราณชื่อ BIJURE ซึ่งพอเทียบได้กับ "พืชปุระ" ส่วนชื่อเมืองเพชรบูรณ์ เขียนกันเป็น ๒ แบบ คือ "เพชรบูรณ์" และ "เพชรบูร" ส่วนชื่อใดจะผิดหรือถูกนั้นอาจจะพิจารณาจากศิลาจารึกสมัยสุโขทัย (หลักที่ ๙๓) จากวัด อโศการาม (พ.ศ. ๑๙๔๙) ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งพาดพิงถึงเมืองเพชรบูรณ์ ดังต่อไปนี้ "รัฐมณฑลกว้างขวาง ทั้งปราศจากอันตรายและนำมาซึ่งความรุ่งเรื่อง รัฐสีมาของพระราชาผู้ทรงบุญญสมภาคพระองค์นั้น เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ในด้านทิศตะวันออกทรงทำเมืองวัชชะปุระเป็นรัฐสีมาด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ทรงทำเมืองเชียงทองเป็นรัฐสีมา....." จากศิลาจารึกหลักนี้แสดงให้เห็น อาณาเขตของกรุงสุโขทัยในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท (พ.ศ. ๑๙๑๑) เป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองสุโขทัย ได้แก่ "วัชชะปุระ" ดังนั้นชื่อเมืองเพชรบูรณ์ จึงน่าจะมาจากคำว่า "บุระ" หรือ "ปุระ" ซึ่งแปลว่า เมือง ป้อม หอวัง (ป) ส่วนคำว่า "บูรณ์" มาจากคำว่า ปูรณ (ส) แปลว่าเต็ม นายตรี อมาตยกุล เขียนไว้ในเรื่อง "สำรวจเมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย" ตอนหนึ่งว่า "....เมืองเพชรบูรณ์นี้ ในสมัยสุโขทัยจะเรียกชื่อว่าเมืองอะไรยังไม่สามารถจะค้นหาหลักฐานได้ มีผู้สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเมืองราดก็ได้ แต่ผมเห็นว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอจะต้องตรวจสอบค้น ต่อไป......" หลักฐานทางโบราณคดีซึ่งเป็นสิ่งชี้ชัดว่า "เมืองเพชรบูรณ์" เป็นรัฐสีมาของสุโขทัย ได้แก่ พระเจดีย์ทรงดอกตูมหรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ซึ่งเป็นพระประธานของวัดมหาธาตุเมืองเพชรบูรณ์ เช่นเดียวกับวัดมหาธาตุของสุโขทัย เมืองอื่นๆ ซึ่งจัดว่าเป็นพุทธสถาปัตยกรรมแบบสุโขทัยแท้ และในการขุดค้นทางโบราณคดีที่พระเจดีย์ทรงดอกบัวตูม วัดมหาธาตุ เมืองเพชรบูรณ์ ของกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้พบศิลปวัตถุมากมาย เช่น เครื่องสังคโลกของไทย และเครื่องถ้วยกับตุ๊กตาจีน สมัยกรุงศรีอยุธยา เหตุผลที่เกี่ยวข้องถึงเรื่องราวของเมืองเพชรบูรณ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่พอจะยกเอา ข้อความมากล่าวได้ ดังนี้ กฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ว่าด้วยการเทียบศักดินาสำหรับ ข้าราชการที่มียศสูงสุด มีศักดินาหนึ่งหมื่น ได้แก่ ตำแหน่งต่อไปนี้ ก. ฝ่ายทหาร ๑. เจ้าพระยาอุปราช (ตำแหน่งพิเศษ) ๒. เจ้าพระยามหาเสนาบดี (สมุหกลาโหม) ๓. พระยาสีหราชเดโชชัย (ประจำกรุง) ๔. พระยาท้ายน้ำ (ประจำกรุง) ๕. พระยาสุรสีห์ (ประจำพิษณุโลก) ๖. พระยาศรีธรรมราช (ประจำนครศรีธรรมราช) ๗. พระยาเกษตรสงคราม (ประจำสวรรคโลก) ๘. พระยาศรีธรรมาโศกราช (ประจำสุโขทัย) ๙. พระยารามรณรงค์ (ประจำกำแพงเพชร) ๑๐. พระยาเพชรรัตน์สงคราม (ประจำเพชรบูรณ์) ๑๑. พระยากำแหงสงคราม (ประจำราชสีมา) ๑๒. พระยาไชยาธิบดี (ประจำตะนาวศรี) แต่เดิมในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา ได้เคยทำสัมพันธไมตรีกับพระไชยเชษฐาธิราชแห่งนครเวียงจันทน์ เพราะเกรงว่าพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองแห่งพม่าจะยกทัพมาตี ซึ่งต่อมาในปีจุลศักราช ๙๓๐ ตรงกับสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ก็เป็นจริงตามที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงคาดการณ์ไว้ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า "พระไชยเชษฐายังมีโอกาสปฏิบัติสัญญาตามพันธมิตรที่ได้ให้ไว้ต่อกัน ณ เจดีย์ศรีสองรักษ์ คืออีกห้าปีต่อมา ในจุลศักราช ๙๓๐ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ได้รบพุ่งกันเป็นเวลา ๘ เดือน จนถึงเดือนเก้า จุลศักราช ๙๓๐ มะเส็งศก จึงเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พระเจ้าบุเรงนอง ทัพพระไชยเชษฐาจึงได้ส่งกองทัพมาช่วยทางด่านเมืองนครไทย เข้ามาทางเมืองเพชรบูรณ์ จะลงมาทางเมืองสระบุรีเป็นทัพกระหนาบ......." นอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ที่กล่าวถึงเมืองเพชรบูรณ์ดัง ต่อไปนี้ "จุลศักราช ๙๑๙ เดือนยี่ ปีมะเส็ง นพศก (ราว พ.ศ. ๒๑๐๐) พระยาละแวกเจ้าแผ่นดิน เขมร ยกกำลังพลประมาณ ๓ หมื่น รุกรานเข้ามาทางเมืองนครนายก สมเด็จพระมหาธรรมราชาได้ตรัสปรึกษาในการศึกคราวนี้ เสนาบดีมุขมนตรีทั้งหลายถวายความเห็นว่า กำลังทหารและกำลังอาวุธมีน้อย เพราะถูกพระเจ้าหงสาวตีเอาไปเสียเมื่อคราวกรุงศรีอยุธยาแตก เกรงว่าจะรับทัพเขมรป้องกันพระนครไว้ไม่ได้ ขอเชิญเสด็จประทับที่เมืองพิษณุโลกให้พ้นราชศัตรูก่อน สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็ทรงมีบัญชาตามจึงมีพระบรมราชโองการตรัสสั่งให้ขุนเทพอรชุน ได้จัดเตรียมเรือพระที่นั่งและเรือประทับเทียบเพื่ออพยพไปเมืองพิษณุโลก ขณะนั้นพระเพชรรัตน์เจ้าเมืองเพชรบูรณ์มีความผิด ทรงพระกรุณาให้ออกจากที่เจ้าเมืองมีข่าวลือไปถึงกรุงว่า พระเพชรรัตน์โกรธคิดซ่องสุมผู้คน คอยดักทางจะปล้นทัพหลวง เมื่อเสด็จผ่านไปเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหาธรรมราชา ทรงได้รับคำแนะนำจากขุนเทพอรชุนให้ต่อสู้กับพระยาละแวกทรงเห็นชอบด้วย จึงกลับพระทัยไม่เสด็จไปเมืองพิษณุโลก และได้จัดทัพตีทัพพระยาละแวกแตกไป " ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ยังได้กล่าวถึงเมืองเพชรบูรณ์อีกตอนหนึ่งว่า "ครั้นรุ่งขึ้นก็ยกทัพหลวงเสด็จไปถึงเมืองกำแพงเพชร ตั้งประทับแรมอยู่ที่ตำบลหนองปิง ๓ วัน แล้วก็ยกทัพไปทางเชียงทองกุมตะเมาะ ขณะนั้นพระยากำแพงเพชรได้ส่งข่าวไปถวายว่า ไทยใหญ่เวียงสือต้นเกียกกาย ขุนปลัดมังทรางวิวายหลวง กับนายม้าทั้งปวงอันอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชร พาครอบครัวอพยพหนีพม่า มอญ ตามไปทันได้รบกันที่ตำบลหนองปิงเป็นสามารถ พม่า มอญ แตกแก่ไทยใหญ่ทั้งปวง ยกไปทางเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า ทรงดังนั้นก็ให้ม้าเร็วไปบอกกับหลวงโกษาและลูกขุนอันอยู่รักษาเมืองพิษณุโลกว่าซึ่งไทยใหญ่หนีมานั้น เกลือกจะเป็นเมืองอื่น ให้แต่อายัดด่านเพชรบูรณ์ เมืองนครไทย ชาติตระการ และซา ให้มั่นคง อย่าให้ไทยใหญ่ออกไปรอด หลวงโกษาและลูกขุนทั้งปวงทราบดังนั้นก็แต่งออกไปกำชับด่านทั้งปวงตามรับสั่ง" สมัยกรุงธนบุรี จุลศักราช ๑๐๐๗ เดือนสี่ (ตรงกับ พ.ศ. ๒๒๑๘) เจ้าพระยาจักรี (สมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลก) เจ้าพระยาสุรสีห์ (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาถ) ได้นำกองทัพตีแตกทัพอะแซหวุ่นกี้ (พม่า) ที่ล้อมเมืองพิษณุโลกออกมาได้ และมาชุมนุมพักทัพที่เมืองเพชรบูรณ์ หลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงเมืองเพชรบูรณ์จนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีข้อความหนังสือนิทานโบราณคดี พระนิพนธ์ของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึงเหตุการณ์ตอนสิ้นรัชกาลที่ ๒ อันเกี่ยวกับเมืองศรีเทพและเพชรบูรณ์ ว่า "ฉันไปมณฑลเพชรบูรณ์นั้น มีกิจอย่างหนึ่งซึ่งจะไปสืบเมืองโบราณด้วย ด้วยเมื่อแรกฉันเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ก็ไม่มีใครรู้ว่าเมืองศรีเทพอยู่ที่ไหน ต่อมาฉันพบสมุดดำอีกเล่มหนึ่งเป็นต้นร่างกะทางให้คนเชิญตราไปบอกข่าวสิ้นรัชกาลที่ ๒ ตามหัวเมืองเป็นทางๆ ให้คนหนึ่งเชิญตราไปเมืองสระบุรี เมืองชัยบาดาล เมืองศรีเทพ และเมืองเพชรบูรณ์" สำหรับพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เรื่องทรงตั้งและแปลงนามเจ้าเมืองกรมการ ซึ่งมีเจ้าเมืองเพชรบูรณ์ด้วย ดังนี้ "เมืองวิเชียรบุรี - พระยาประเสริฐสงครามประเทศราไชยอภัยพิรียทาห แปลงเป็นพระยาเลิศสงครามเขตประเทศราไชยอภัยพิรียทาห เมืองเพชรบูรณ์ - พระเพชรพิชัยปลัด แปลงเป็น พระเพชรพิชภูมิปลัด" หลักฐานอันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองเพชรบูรณ์ที่ชัดแจ้งมาก เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในสมัยรัชการที่ ๕ ดังจะเห็นได้จาก พระนิพนธ์นิทานโบราณคดีของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชา- นุภาพ เรื่อง ความไข้เมืองเพชรบูรณ์ ดังนี้ "หัวเมืองที่ขึ้นชื่อลือเลื่องว่ามีความไข้ MALARIA ร้ายกาจแต่ก่อนมามีหลายเมือง เช่น เมืองกำแพงเพชร และเมืองกำเนิดนพคุณ คือ บางตะพาน เป็นต้น แต่ที่ไหนๆคนไม่ครั่นคร้ามเท่าความไข้ที่เมืองเพชรบูรณ์ ดูเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า ถ้าใครไปเมืองเพชรบูรณ์ เหมือนกับไปแส่หาความตายจึงไม่มีชาวกรุงเทพฯ หรือชาวเมืองอื่นๆ พอใจจะไปเมืองเพชรบูรณ์มาช้านาน แม้ในการปกครองรัฐบาลก็ต้องเลือกหาคนในท้องถิ่นตั้งเป็นเจ้าเมือง กรมการ เพราะเหตุที่คนกลัวความไข้ เมื่อแรกฉันเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยก็ต้องปล่อยให้เมืองเพชรบูรณ์และเมืองอื่นๆ ในลุ่มแม่น้ำสักทางฝ่ายเหนือ คือ เมืองหล่มสักและเมืองวิเชียร เป็นอยู่อย่างเดิมมาหลายปี เพราะจะรวมเมืองเหล่านั้นเข้ากับมณฑลพิษณุโลกหรือมณฑลนครราชสีมา ที่เขตต่อกันก็มีเทือกเขากั้น สมุหเทศาภิบาลจะไปตรวจตราลำบาก ทั้ง ๒ ทาง อีกประการหนึ่งเมื่อแรกฉันจัดการปกครองหัวเมืองมณฑลต่างๆ ขอคนออกไปรับราชการ ฉันยังหาส่งไปให้ไม่ทัน เมืองทางลำน้ำสักมีเมืองเพชรบูรณ์ เป็นต้น ไม่มีใครสมัครไปด้วยกลัวความไข้ดังกล่าวมาแล้ว จึงต้องรอมา" สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงคิดอุบายที่จะระงับความกลัวไข้เมืองเพชรบูรณ์ได้ทรงกล่าวว่า "เห็นว่าตัวฉันจะต้องขึ้นไปเมืองเพชรบูรณ์เองให้ปรากฏเสียสักครั้งหนึ่งคนจะหายกลัวด้วยเห็นว่าความกลัวไข้คงไม่ร้ายแรงถึงอย่างเช่นกลัวกัน ฉันจึงกล้าไป ถึงจะยังมีคนกลัว ชักชวนก็ง่ายขึ้นด้วยอาจอ้างตัวอย่างว่า แม้ตัวฉันก็ได้ไปแล้ว พระยาเพชรรัตน์ฯ ชอบใจว่า ถ้าฉันไปคนก็เห็นจะหายกลัวได้จริง....... พอข่าวปรากฏว่าฉันเตรียมตัวจะไปเมืองเพชรบูรณ์ ก็มีพวกพ้องพากันมาให้พร คล้ายกับจะส่งไปทัพ บ้างมาห้ามปรามโดยเมตตาปรานีด้วยเห็นว่าไม่พอที่ฉันจะเสี่ยงภัย...... แต่ส่วนพระองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงนั้น ทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วย ตั้งแต่ฉันกราบทูลความคิดที่จะไปมณฑลเพชรบูรณ์ ตรัสว่า....ไปเถิดอย่ากลัว สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ของเราท่านก็เสด็จไปแล้ว......" "ฉันไปถึงเมืองเพชรบูรณ์เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ท้องที่มณฑลเพชรบูรณ์บอกแผนที่ได้ไม่ยากถือลำแม่น้ำสักเป็นแนวแต่เหนือลงมาใต้ มีภูเขาสูงเป็นเทือกลงมาตามลำน้ำทั้งสองฟาก เทือกข้างตะวันออกเป็นเขาปันน้ำต่อแดนมณฑลนครราชสีมา เทือกข้างตะวันตกเป็นเขาต่อแดนมณฑลพิษณุโลกเทือกเขาทั้งสองข้างนั้น บางแห่งก็ห่าง บางแห่งก็ใกล้แม่น้ำสัก เมืองหล่มสักที่อยู่สุดลำน้ำทางข้างเหนือ แต่ลงมาถึงเมืองเพชรบูรณ์ ตรงที่ตั้งเมืองเพชรบูรณ์เทือกเขาเข้ามาใกล้ลำน้ำดูเหมือนจะไม่ถึง ๔๐๐เส้น แลเห็นต้นไม้บนเขาถนัดทั้ง ๒ ฝ่าย ทำเลที่เมืองเพชรบูรณ์ตอนริมน้ำเป็น ที่ลุ่ม ฤดูน้ำน้ำท่วมแทบทุกแห่ง พ้นที่ลุ่มขึ้นไปเห็นที่ราบทำนาได้ผลดี เพราะอาจจะขุดเหมืองชักน้ำจากห้วยเข้านาได้ เช่น เมืองลับแล พ้นที่ราบขึ้นไปเป็นโคกสลับกับแอ่งเป็นหย่อมๆ ไปจนถึงเชิงเขาบรรทัด บนโคกเป็นป่าไม้เต็งรังเพาะปลูกอะไรอย่างอื่นไม่ได้ แต่ตามแอ่งน้ำเป็นที่น้ำซับ เพาะปลูกพันธุ์ไม้งอกงามดี เมืองเพชรบูรณ์จึงสมบูรณ์ด้วยกสิกรรม จนถึงชาวเมืองทำนาปีหนึ่งก็ได้ข้าวพอกันกิน สิ่งซึ่งเป็นสินค้าสำคัญของเมืองเพชรบูรณ์ก็คือ ยาสูบ เพราะรสดีกว่ายาสูบที่อื่นหมดทั้งเมืองไทย ชาวเมืองเพชรบูรณ์จึงหาผลประโยชน์ด้วยปลูกยาสูบขายเป็นพื้น.... พวกพ่อค้าไปรับซื้อตามบ้านราษฎรแล้วบรรทุกโคต่างไปขายทางมณฑลนครราชสีมาบ้าง มณฑลอุดรบ้าง แต่มณฑลพิษณุโลกปลูกยาสูบเหมือนกัน จึงไม่ซื้อยาเหมือนเพชรบูรณ์ แต่ตลาดใหญ่ของยาสูบเมืองเพชรบูรณ์นั้นอยู่ในกรุงเทพฯ" หลังจากที่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตรวจราชการมณฑลเพชรบูรณ์และเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ทรงอ้างหลักฐานยืนยันที่จะระงับความกลัวไข้ที่เมืองเพชรบูรณ์ไว้ในเรื่องความไข้ที่เมืองเพชรบูรณ์ว่า "พอรุ่งขึ้นฉันไปเข้าเฝ้าฯ วันนั้นมีการพระราชพิธีเสด็จออกพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัยเจ้านายและข้าราชการเฝ้าฯ อยู่พร้อมกัน เมื่อเสร็จการพิธี สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จทรงพระราชดำเนินมายังที่ฉันยืนเฝ้าอยู่ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระหัตถ์มาจับมือฉัน ดำรัสว่า ทรงยินดี ที่ฉันได้ไปถึงเมืองเพชรบูรณ์ แล้วตรัสถามว่ามีใครไปเจ็บไข้บ้างหรือไม่ ฉันกราบทูลว่า ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าฯ หามีใครเจ็บไข้ไม่ แล้วจึงเสด็จขึ้น ฉันรู้สึกว่าได้พระราชทานบำเหน็จพิเศษ ชื่นใจคุ้มค่าเหนื่อย ว่าถึงประโยชน์ของการที่ไปครั้งนี้ก็ได้สมประสงค์ เพราะแต่นั้นมาก็หาคนไปรับราชการในมณฑลเพชรบูรณ์ได้ไม่ยากเหมือนแต่ก่อน" ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นี้ ได้มีการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ได้จัดรวบรวมหัวเมืองต่างๆ เข้าเป็นมณฑล ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ และในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้ยกฐานะเมืองเพชรบูรณ์ขึ้นเป็นมณฑลเพชรบูรณ์ ให้ผู้ว่าราชการเมืองเพชรบูรณ์ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล ยกฐานะอำเภอหล่มสักขึ้นเป็นจังหวัดหล่มสัก ในปี ฑ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ไปขึ้นมณฑลพิษณุโลก เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย เพราะการติดต่อลำบาก ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ให้ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ไปขึ้นมณฑลพิษณุโลก จึงมีฐานะเป็นเมืองเพชรบูรณ์ตามเดิม และต่อมาได้มีการยกเลิกมณฑลต่างๆ เมื่อได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งพระราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นต้นมา ส่วนเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ที่เกี่ยวกับเมืองเพชรบูรณ์ก็คือ เมื่อปลายปี พ.ศ ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ภายหลังเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว มีพระราชพิธีราชาภิเษก ทรงรับน้ำจากสระมน (ปัจจุบันถมเต็มหมดแล้ว) ในวัดมหาธาตุไปร่วมในพระราชพิธี เรื่องนี้ นายทอง ไกรโชค และนายเย็น ไรเมือง อายุ ๙๕ ปี เป็นผู้เล่า โดยเฉพาะนายเย็น ไรเมือง เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมไปในขบวนส่งน้ำด้วย นครบาลเพชรบูรณ์ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ และสงครามมหาเอเซียบูรพา ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะคับขัน กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายตรงข้ามมุ่งโจมตีจนผู้คนต้องอพยพออกต่างจังหวัดเป็นส่วนมาก รัฐบาลสมัยนั้นมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จอมพลป. พิจารณาเห็นว่าสถานการณ์ทางการเมืองขณะนั้นทำให้กรุงเทพฯ ล่อแหลมต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นจากศัตรู ควรจะได้มีการโยกย้ายเมืองหลวงของไทยไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเพื่อเป็นการฟื้นฟูสถาบันศาสนาให้พัฒนา ปลุกคนไทยให้เกิดชาตินิยม มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จอมพลป. มองเห็นการณ์ไกลที่ต้องการแยกศูนย์ราชการกับศูนย์การค้าออกจากกันเหมือนสหรัฐอเมริกา ที่แยกเมืองหลวงออกจากกรุงนิวยอร์ค โดยไปตั้งเมืองหลวงใหม่ คือ วอชิงตัน ดี.ซี ขึ้นแทน ใช้กรุงนิวยอร์คเป็นเมืองท่าเพราะอยู่ติดทะเล และเห็นว่าจังหวัดเพชรบูรณ์ชัยภูมิเหมาะสมเพราะมีภูเขาล้อมรอบ มีทางออกทางเดียว ศัตรูรุกรานได้ยาก ดังนั้นคณะรัฐมนตรีอันมี จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้ยกร่างพระราชกำหนดสร้างนครบาลขึ้น แล้วย้ายสถานที่ราชการส่วนกลางมาตั้งที่จังหวัดเพชรบูรณ์ พระราชกำหนดนครบาลใหม่นี้ชื่อว่า "พระราชกำหนดระเบียบบริหารนครบาลเพชรบูรณ์และสร้างพุทธบุรี พ.ศ. ๒๔๘๗" ในการบริหารราชการนครบาลเพชรบูรณ์ครั้งนั้นจัดให้มีคณะกรมการนครบาลเพชรบูรณ์ประกอบด้วยข้าหลวงนครบาลเพชรบูรณ์ สังกัดกระทรวงมหาดไทย รองข้าหลวงนครบาลกับหัวหน้าส่วนราชการบริหารฝ่ายพลเรือนส่วนอื่นๆ ตามที่กระทรวงเจ้าสังกัดจะแต่งตั้ง ข้าหลวงนครบาลมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและมีอำนาจของอธิบดีตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบราชการพลเรือนด้วย เมื่อข่าวการตราพระราชกำหนดนครบาลเพชรบูรณ์แพร่ออกไป ยังความดีใจให้แก่ชาวเพชรบูรณ์เป็นอย่างมาก จนคนในสมัยนั้นพากันยกย่องชมเชยว่า จังหวัดเพชรบูรณ์คือสวิสเซอร์แลนด์ของประเทศไทย หน่วยราชการต่างๆ จากส่วนกลางก็ได้ขยับขยายมาจัดตั้งหน่วยทำการ เช่น กระทรวงการคลัง ตั้งอยู่ที่ถ้ำฤาษี ตำบลบุ้งคล้า อำเภอหล่มสัก (ชาวบ้านเรียกกันว่าถ้ำฤาษีสมบัติมาตราบเท่าทุกวันนี้) ได้นำพระคลังสมบัติจากกรุงเทพฯ มาเก็บไว้ที่ถ้ำนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองแส ตำบลบุ้งคล้า อำเภอหล่มสัก โรงเรียนนายร้อย จ.ป.ร. อยู่ที่บ้านป่าแดง ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ทำเนียบจอมพล ป. ตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงน้ำแข็งเพชรเจริญ) เนื่องจากการย้ายหน่วยราชการไปอยู่นครบาลเพชรบูรณ์ได้กระทำในเวลากระทันหัน จึงต้องปลูกสร้างอาคารชั่วคราว ซึ่งสร้างด้วยไม้ไผ่เป็นส่วนมาก สร้างด้วยไม้จริงเป็นส่วนน้อย จึงชำรุดหักพังไม่มีซากเหลือให้เห็นในปัจจุบัน ถนนหนทางต่างๆ ก็สร้างเป็นทางลำลองโดยเกณฑ์ประชาชนจากจังหวัดต่างๆ ทำให้คนเหล่านั้นพากันมาเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมากเนื่องจากไข้มาเลเรีย แต่พอพระราชกำหนดนี้นำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอความเห็นชอบ ปรากฏว่าฝ่าย รัฐบาลแพ้เสียงเพราะสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้นเห็นว่าเป็นการหมดเปลืองโดยเปล่าประโยชน์กับ ทั้งทำให้ประชาชนที่รัฐบาลเกณฑ์มาสร้างถนนสายตะพานหิน-เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นทางออกทางเดียว ต้องเสียชีวิตมากมายจึงลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ในที่สุด จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๘๗ นครบาลเพชรบูรณ์เป็นอันสิ้นสุดลง และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง หน่วยราชการต่างๆ ก็ย้ายกลับสู่กรุงเทพฯ เช่นเดิม การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑล น่าจะเนื่องจาก ๑. การคมนาคมสื่อสารสะดวกรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒. เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓. เห็นว่าหน่วยงานมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวงเป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:49:25 เพชรบูรณ์ ๒
๔. รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้นได้เปลี่ยนมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓. ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดได้กลายเป็นคณะที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๑๕ ได้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค เป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น คณะกรมการจังหวัดประกอบด้วยปลัดจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ส่งมาประจำ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะกรมการจังหวัดโดยตำแหน่ง และในกรณีที่มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด ให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมเป็นคณะกรรมการจังหวัดด้วย ในปัจจุบันนี้ จังหวัดเพชรบูรณ์ มีการบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นดังนี้ ๑. ราชการบริหารส่วนกลาง มีหน่วยงานซึ่ง กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ ตั้งหน่วยงานมาปฏิบัติงานในจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีสายการบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อส่วนกลาง คือ (๑) ศาลจังหวัดเพชรบูรณ์ (๒) ศาลจังหวัดหล่มสัก (๓) กองพลทหารม้าที่ ๑ (๔) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเพชรบูรณ์ (๕) กองอำนวยการกองกำลังเฉพาะกิจ พลเรือน ตำรวจ ทหารที่ ๓๓ (๖) หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ๒๖ กรป.กลาง (๗) สถานีวิทยุกระจายเสียง ๙๒๑ กรป.กลาง (๘) จังหวัดทหารบกเพชรบูรณ์ (๙) แขวงการทางเพชรบูรณ์ (๑๐) ศูนย์เครื่องมือกลหล่มสัก (๑๑) สำนักงานสถิติจังหวัดเพชรบูรณ์ (๑๒) สถานีตรวจอากาศเพชรบูรณ์ (๑๓) สำนักงานชลประทานเพชรบูรณ์ (๑๔) สถานีพัฒนาที่ดินเพชรบูรณ์ (๑๕) สถานีทดลองเกษตรพืชไร่เพชรบูรณ์ (๑๖) สถานีทดลองเกษตรที่สูงเขาค้อ (๑๗) ศูนย์เพาะชำกล้าไม้เขารัง (๑๘) สถานีวิจัยเพื่อรักษาต้นน้ำแม่น้ำป่าสัก (๑๙) อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว (๒๐) ด่านกักสัตว์เพชรบูรณ์ (๒๑) สถานีพืชอาหารสัตว์เพชรบูรณ์ (๒๒) สถานีผสมเทียมเพชรบูรณ์ (๒๓) สถานีตรวจรักษาโรคสัตว์เพชรบูรณ์ (๒๔) สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์เพชรบูรณ์ (๒๕) ที่ทำการเรือนจำหล่มสัก (๒๖) ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเพชรบูรณ์ (๒๗) สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดเพชรบูรณ์ (๒๘) วิทยาลัยครูเพชรบูรณ์ (๒๙) วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดเพชรบูรณ์ (๓๐) วิทยาลัยเกษตรกรรมเพชรบูรณ์ (๓๑) วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์ (๓๒) ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเพชรบูรณ์ (๓๓) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เพชรบูรณ์ (๓๔) โรงเรียนมัธยมศึกษา จำนวน ๒๔ แห่ง (๓๕) รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ - สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน ๓ แห่ง - สำนักงานการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๕ แห่ง - ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข จำนวน ๑๓ แห่ง - ชุมสายโทรศัพท์ จำนวน ๒ แห่ง - หน่วยสถานีวิทยุโทรคมนาคม จำนวน ๒ แห่ง - สถานีบริษัทขนส่ง จำกัด จำนวน ๒ แห่ง - ที่ทำการองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) จำนวน ๑ แห่ง - สำนักงานองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จำนวน ๑ แห่ง - สำนักงานบริษัทไม้อัดไทย จำกัด จำนวน ๑ แห่ง - สำนักงานไร่ยาสูบเพชรบูรณ์ - ธนาคารออมสิน จำนวน ๕ แห่ง - ธนาคารกรุงไทย จำกัด จำนวน ๔ แห่ง - ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำกัด จำนวน ๒ แห่ง ๒.ราชการบริหารส่วนภูมิภาค แบ่งการปกครองออกเป็น จังหวัด และอำเภอ คือ ๒.๑ จังหวัด มีหน่วยงานซึ่งอยู่ในการบังคับบัญชาของผู้ว่าราชการจังหวัด ดังนี้ (๑) สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเพชรบูรณ์ (๒) ที่ทำการสัสดีจังหวัดเพชรบูรณ์ (๓) สำนักงานราชพัสดุจังหวัดเพชรบูรณ์ (๔) สำนักงานคลังจังหวัดเพชรบูรณ์ (๕) สำนักงานสรรพากรจังหวัดเพชรบูรณ์ (๖) สำนักงานสรรพสามิตจังหวัดเพชรบูรณ์ (๗) สำนักงานประมงจังหวัดเพชรบูรณ์ (๘) สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเพชรบูรณ์ (๙) สำนักงานเกษตรจังหวัดเพชรบูรณ์ (๑๐) สำนักงานสหกรณ์จังหวัดเพชรบูรณ์ (๑๑) สำนักงานป่าไม้จังหวัดเพชรบูรณ์ (๑๒) สำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ (๑๓) สำนักงานขนส่งจังหวัดเพชรบูรณ์ (๑๔) สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเพชรบูรณ์ (๑๕) สำนักงานจังหวัดเพชรบูรณ์ (๑๖) ที่ทำการปกครองจังหวัดเพชรบูรณ์ (๑๗) ที่ทำการพัฒนาชุมชนจังหวัดเพชรบูรณ์ (๑๘) กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบูรณ์ (๑๙) สำนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ (๒๐) เรือนจำหวัดเพชรบูรณ์ (๒๑) สำนักงานแรงงานจังหวัดเพชรบูรณ์ (๒๒) ที่ทำการอัยการจังหวัดเพชรบูรณ์ (๒๓) ที่ทำการอัยการประจำศาลจังหวัดหล่มสัก (๒๔) สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทจังหวัดเพชรบูรณ์ (๒๕) ที่ทำการประชาสงเคราะห์จังหวัดเพชรบูรณ์ (๒๖) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ (๒๗) สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเพชรบูรณ์ (๒๘) สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ ๒.๒ อำเภอ จังหวัดเพชรบูรณ์ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๘ อำเภอ ๓ กิ่งอำเภอ ๙๖ ตำบล ๙๙๕ หมู่บ้าน ดังนี้ (๑) อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จำนวน ๑๖ ตำบล ๑๕๑ หมู่บ้าน (๒) อำเภอหล่มสัก จำนวน ๑๘ ตำบล ๑๙๔ หมู่บ้าน (๓) อำเภอหล่มเก่า จำนวน ๙ ตำบล ๘๖ หมู่บ้าน (๔) อำเภอชนแดน จำนวน ๖ ตำบล ๖๘ หมู่บ้าน (๕) อำเภอหนองไผ่ จำนวน ๙ ตำบล ๑๐๑ หมู่บ้าน (๖) อำเภอบึงสามพัน จำนวน ๖ ตำบล ๗๕ หมู่บ้าน (๗) อำเภอวิเชียรบุรี จำนวน ๑๒ ตำบล ๑๔๒ หมู่บ้าน (๘) อำเภอศรีเทพ จำนวน ๗ ตำบล ๘๐ หมู่บ้าน (๙) กิ่งอำเภอน้ำหนาว จำนวน ๓ ตำบล ๒๕ หมู่บ้าน (๑๐) กิ่งอำเภอวังโป่ง จำนวน ๔ ตำบล ๓๒ หมู่บ้าน (๑๑) กิ่งอำเภอเขาค้อ จำนวน ๖ ตำบล ๔๑ หมู่บ้าน ๓. ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น มีหน่วยการบริหารการส่วนท้องถิ่น ๓ รูป คือ ๓.๑. องค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน ๑ แห่ง คือ (๑) องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ ๓.๒. เทศบาล จำนวน ๒ แห่ง คือ (๑) เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ ในท้องที่อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ (๒) เทศบาลตำบลหล่มสัก ในท้องที่อำเภอหล่มสัก ๓.๓ สุขาภิบาล จำนวน ๑๑ แห่ง คือ (๑) สุขาภิบาลวังชมภู ในท้องที่ตำบลวังชมภู อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ (๒) สุขาภิบาลหล่มเก่า ในท้องที่ตำบลหล่มเก่า อำเภอหล่มเก่า (๓) สุขาภิบาลชนแดน ในท้องที่ตำบลชนแดน อำเภอชนแดน (๔) สุขาภิบาลท่าข้าม ในท้องที่ตำบลท่าข้าม อำเภอชนแดน (๕) สุขาภิบาลดงขุย ในท้องที่ตำบลดงขุย อำเภอชนแดน (๖) สุขาภิบาลหนองไผ่ ในท้องที่ตำบลกองทูล อำเภอหนองไผ่ (๗) สุขาภิบาลนาเฉลียง ในท้องที่ตำบลนาเฉลียง อำเภอหนองไผ่ (๘) สุขาภิบาลซับสมอทอด ในท้องที่ตำบลซับสมอทอด อำเภอบึงสามพัน (๙) สุขาภิบาลวิเชียรบุรี ในท้องที่ตำบลท่าโรง อำเภอวิเชียรบุรี (๑๐) สุขาภิบาลพุเตย ในท้องที่ตำบลพุเตย อำเภอวิเชียรบุรี (๑๑) สุขาภิบาลสว่างวัฒนา ในท้องที่ตำบลสระกรวด อำเภอศรีเทพ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:49:53 พิจิตร
ประวัติเมืองพิจิตร พิจิตร แปลว่า งาม ฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงเมืองพิจิตร จึงหมายถึงเมืองงาม เมืองที่มีเสน่ห์ประทับใจ นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่ให้กำเนิดนักปราชญ์ราชบัณฑิต ตามประวัติศาสตร์ได้จารึก ไว้ว่าพระโหราธิบดี ผู้เป็นบิดาของศรีปราชญ์ ยอดกวีเอกของเมืองไทย ถือกำเนิดเหนือแผ่นดินเมืองพิจิตร แม้แต่ในวรรณคดีไทย ยังกล่าวว่า จมื่นไวยวรนารถ ทายาทของขุนแผนยอดขุนพลแห่งเมืองอโยธยา ก็เคยมาหลงเสน่ห์สาวงามเมืองพิจิตร ดินแดนอันเป็นเขตจังหวัดพิจิตร อยู่ในที่ราบลุ่มตอนเหนือของภาคกลาง หรือตอนใต้ของภาคเหนือในดินแดนสุวรรณภูมิ บริเวณนี้เป็นบริเวณที่ลำน้ำยมและลำน้ำน่าน อันเป็นแควของลำน้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน และเมื่อประมาณห้าหกร้อยปีมาแล้ว ลำน้ำทั้งสองนี้ไหลมารวมกันที่จังหวัดพิจิตรนี้เอง ลักษณะพิเศษของดินแดนแถบนี้เต็มไปด้วยหนอง คลองบึง และทางน้ำซึ่งเปลี่ยนทางเดินอยู่เสมอ ถึงฤดูน้ำ ๆ จะหลากท่วมไปทั่ว สามารถใช้เรือสัญจรไปมาได้ทั่วถึง แต่พอฤดูแล้ง น้ำในคลองบึงต่าง ๆ จะแห้งงวดลงไป แม้แต่ในลำน้ำใหญ่บางตอน เรือก็เดินไม่ได้ พื้นดินบริเวณจังหวัดพิจิตรเป็นดินอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเกษตรเพราะเป็นดินตะกอนที่เกิดจากน้ำท่วมทับทุกปี มีปลาชุกชุม อาชีพหลักของพลเมืองคือการกสิกรรม และการประมง เข้าใจว่ามีคนเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำมาหากินบนสองฝั่งของลำน้ำน่านและลำน้ำยม ในเขตจังหวัดพิจิตรไม่น้อยกว่าหนึ่งพันปี ซึ่งในสมัยแรก ๆ คงอยู่กันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และรื้อย้ายหมู่บ้านมาบ่อย ๆ บ้านเรือนที่ปลูกอาศัยอยู่ก็เป็นวัสดุราคาถูก เวลาย้ายก็ทรุดโทรมหายสาบสูญไป จึงหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำหรับนักศึกษาในปัจจุบันได้น้อยมาก อีกประการหนึ่ง ดินแดนแถบนี้ เป็นเสมือนหนึ่งฉนวนระหว่างบ้านเมืองทางเหนือกับทางใต้ของสุวรรณภูมิ เป็นทางหนีของเจ้าบ้านผ่านเมืองในสมัยก่อนจากเหนือไปใต้ หรือจากใต้ไปเหนือ และทำนองเดียวกันก็เป็นทางเดินทัพของบ้านเมืองฝ่ายใต้ เมื่อยกไปปราบบ้านเมืองฝ่ายเหนือ หรือของบ้านเมืองฝ่ายเหนือ ยกมารุกรานบ้านเมืองฝ่ายใต้ ประวัติศาสตร์ของเมืองพิจิตรเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แบบนี้ตลอดมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๐๐ ในการกล่าวถึงประวัติเมืองพิจิตรต่อไปนี้จะได้กล่าวตามยุคของประวัติศาสตร์ไทย และดินแดนแหลมทองเป็นตอน ๆ คือสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี สมัยกรุง- รัตนโกสินทร์ สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา เดิมทีเมืองพิจิตร หาได้ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลดังที่ได้ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ ได้มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายที่ตั้งเมืองหลายครั้งหลายครา พิจิตรเป็นจังหวัดที่มีเรื่องราวในอดีตซึ่งยังหาข้อยุติไม่ได้แน่นอนนัก เชื่อกันว่าพิจิตรเคยเป็นเมืองชัยบวรมาก่อน ซึ่งเมืองชัยบวรนี้ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอโพทะเล ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองปัจจุบันประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตรเศษ ต่อมาได้อพยพโยกย้ายขึ้นมาตามลำน้ำน่านเก่าสู่ทางทิศเหนือ ตั้งรกรากสร้างบ้านเมืองขึ้นเป็นปึกแผ่นที่บ้าน สระหลวง อยู่ในเขตเมืองเก่า อำเภอเมืองพิจิตร ห่างจากตัวเมืองปัจจุบันไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๙ กิโลเมตรเศษ ต่อมาลำน้ำน่านเก่าเปลี่ยนทางเดิน เป็นเหตุให้ลำน้ำตื้นเขิน จึงจำเป็นต้องย้ายเมืองมาตั้งใหม่ ณ ที่ตั้งปัจจุบัน เชื่อกันว่าเมืองพิจิตรนี้มีชื่อเรียกแต่เดิมหลายชื่อ คือชื่อเมืองสระหลวง เมืองโอฆบุรี เมืองชัยบวร และเมืองปากยม นอกจากนั้นในท้องที่จังหวัดพิจิตร ยังมีเมืองเก่าอยู่ในท้องที่อำเภอตะพานหินอีกสองเมืองด้วยกัน สันนิษฐานว่า ชื่อเมืองนครพังคา และเมืองแสงเชรา และเชื่อกันว่าเมืองหนึ่งคือเมืองบ่าง ซึ่งอยู่ในท้องที่ตำบลทับคล้อ สำหรับเรื่องราวของเมืองพิจิตรนั้น จะขอกล่าวถึงที่มาจากสองแหล่งด้วยกัน คือ ๑. เรื่องราวของพิจิตรในพงศาวดารเหนือ ๒. เรื่องราวของเมืองพิจิตรที่ปรากฏในศิลาจารึกและพระราชพงศาวดาร เรื่องราวของพิจิตรในพงศาวดารเหนือ ในพงศาวดารเหนือได้กล่าวถึงเมืองพิจิตรไว้สองเรื่องด้วยกัน คือ ๑.เรื่องพระยาแกรก ที่กล่าวถึงการสร้างเมืองที่บ้านโกณฑัญญคาม เข้าใจว่าคือเมืองชัย บวร (อำเภอโพทะเลในปัจจุบัน) ๒.เรื่องสร้างเมืองพิษณุโลก กล่าวถึงการสร้างเมืองโอฆบุรี เข้าใจว่าคือเมืองพิจิตรเก่า นั่นเอง เรื่องพระยาแกรก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พอที่จะตรวจสอบได้ความว่า ราว พ.ศ. ๑๓๐๐ ชาวละว้าเป็นชาติที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีอำนาจมากที่สุดในดินแดนสุวรรณภูมิ ได้แบ่งการปกครองออกเป็น ๒ อาณาจักรใหญ่ ๆ คือ อาณาจักรทราวดี ได้แก่พื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ไปจนจดราชบุรี ทิศตะวันออกไปถึงจังหวัดปราจีนบุรีอาณาจักรยางหรือโยนก และอาณาจักรโคตรบูรณ์ สำหรับอาณาจักรทราวดีมีเมืองสำคัญ ๆ สามเมืองด้วยกัน คือ นครปฐม ละโว้หรือลพบุรี เมืองสยามหรือสุโขทัย โดยมีนครปฐมเป็นราชธานี ส่วนเมืองพิจิตร ในครั้งกระนั้นอยู่ในเขตเมืองละโว้ จะมีนามว่าอย่างไร ตั้งอยู่ที่ไหนยังไม่ปรากฏชัด ต่อมาราว พ.ศ. ๑๔๐๐ ขอมมีอำนาจมากพระยาแกรกได้ยกทัพเข้าตีเมืองละโว้ได้ พระยาโคตมเทวราชซึ่งเป็นเจ้าเมืองละโว้ ได้พาลี้พลอพยพขึ้นมาทางเหนือ จนถึงบ้านโกณฑัญญคามและได้สร้างเมืองขึ้นที่บ้านโกณฑัญญคามนี้ ต่อมาพระราชบุตรของพระยาโคตมเทวราชได้ไปสร้างเมืองพิจิตรขึ้นอีก ดังข้อความในพงศาวดารเหนือเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีดังนี้ และพระยาโคตมเทวราชเสด็จมาถึงบ้านโกณฑัญญคาม พราหมณ์ชื่อโกณฑัญญคามเป็นใหญ่กว่าพราหมณ์ทั้งหลายได้ ๕๐๐ ครั้น เห็นพระยาแต่ไกล โกณฑัญญพราหมณ์ทั้งหลายก็ไปต้อนรับพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์จึงมีพระบรมราชโองการตรัสถามว่า ดูราชีพ่อพราหมณ์ทั้งหลาย บ้านท่านนี้ชื่อใด ชีพ่อพราหมณ์ทูลว่า บ้านนี้ชื่อโกณฑัญญคาม แต่ตูข้าเป็นชีพ่อพราหมณ์ได้ ๕๐๐ คน จึงมีพระราชโองการว่า เราจะสร้างเมืองในสถานที่นี้ ท่านทั้งหลายจะยินดีหรือไม่ พราหมณ์ทั้งหลายก็ยินดีด้วยกันทั้งสิ้น พระยาได้ฟังดังนั้นยินดีให้เสนาอำมาตย์ตั้งพลับพลาทอง แล้วให้ชีพ่อพราหมณ์ ผู้เฒ่าผู้แก่กับเศรษฐีประชุมพร้อมกันจึงให้ชีพ่อพราหมณ์ตั้งพิธีกินบวชสิ้น และรำแขนงเจ็ดวันแล้วสระเกล้าขึ้นโล้อัมพวาย ถวายแก่พระอิศวร พระนารายณ์ แล้วเลียบไปที่จะตั้งพระราชวัง จากข้อความในพงศาวดารเหนือตอนนี้ก็จะพบว่าพระยาโคตมเทวราชได้สร้างเมืองที่บ้านโกณฑัญญคาม ซึ่งอ้างจากหนังสือพิจิตรของเราว่า ในหนังสือทะเบียนโบราณวัตถุสถานทั่วราชอาณา-จักรของกรมศิลปากรได้กล่าวว่าบ้านโกณฑัญญคาม ก็คือเมืองที่เรียกกันว่า นครชัยบวร และคุณพระ-วัฒโนได้เขียนไว้ในหนังสือเมืองพิจิตรว่า คือ เมืองชัยบวรปัจจุบันอยู่ในท้องที่ตำบลบ้านน้อย กับตำบลบางคลาน อำเภอโพทะเล ยังสังเกตคูเมืองและกำแพงเมืองด้วย สำหรับคูเมืองซึ่งมีขนาดใหญ่และลึกด้วยนั้นมักจะเรียกกันว่า บึงชัยบวร และยังเรียกในชื่ออื่นว่า บึงไชยบวรก็มี ส่วนนครชัยบวรหรือเมืองชัยบวรนั้นยังเรียกกันว่า เมืองชีบวรอีกด้วย ชาวบ้านแถบนั้นก็ยังเชื่อกันว่าชื่อเดิมของเมืองชัยบวรเรียกกันว่า บ้านโกณฑัญญคามมาก่อน จึงเป็นเรื่องที่น่าเชื่อได้พอสมควรว่า เมืองชัยบวรคือเมืองที่พระยาโคตมเทวราชสร้างขึ้นที่บ้านโกณฑัญญคาม ตามพงศาวดารเหนือ ส่วนการสร้างเมืองพิจิตร ที่เมืองพิจิตรเก่า ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองพิจิตรนั้น ในพงศาวดารเหนือ ได้กล่าวไว้ในเรื่องพระยาแกรกตอนต่อไปว่า และพระยาโคตมเทวราช ที่พระราชบุตรองค์หนึ่ง ชื่อเจ้ากาญจนกุมาร เป็นพระยาแทนพระบิดา นานมาจึงชื่อเจ้าไวยยักษา ครั้นใหญ่มาชื่อเจ้าโคตรตะบอง ไปสร้างเมืองพิจิตรจึงมีชื่อพระยาโคตรตะบอง เจ้าไวยยักษาไปสร้างเมืองพิชัย จึงได้ชื่อพระยามือเหล็ก พระยาโคตรตะบองได้ย้ายเมืองจากนครไชยบวร ไปตั้งที่หมู่บ้านสระหลวงและได้เริ่มฝังหลักเมือง เมื่อวันพุธขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีขาล พ.ศ. ๑๖๐๑ ทรงสั่งก่อสร้างกำแพงขึ้นด้านเหนือยาว ๑๐ เส้น ด้านใต้ยาว ๑๐ เส้น ด้านตะวันออกและด้านตะวันตกยาวด้านละ ๓๕ เส้น นอกกำแพงโปรดให้ขุดคูลึก ๖ ศอก เพื่อป้องกันนครด้านตะวันตกหน้าเมืองห่างจากลำน้ำน่านเก่าประมาณ ๑๕ วา ตามกำแพงได้เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่าเมือง สระหลวง และได้มีกษัตริย์ปกครองสืบราชสันติวงศ์ต่อมาด้วยความเกษมสำราญอีกประมาณ ๒๐๐ ปี เรื่องสร้างเมืองพิษณุโลก ได้กล่าวถึงการสร้างเมืองโอฆบุรี ซึ่งเชื่อกันว่าคือ เมืองพิจิตรเก่า อันเป็นเมืองที่พระเจ้า ศรีธรรมไตรปิฎกสร้างขึ้นพร้อมกับเมืองพิษณุโลก ดังข้อความในพงศาวดารเหนือ ดังนี้ " พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกยินดีนักหนาจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่เสนาอำมาตย์ให้ชุมนุมท้าวพระยาทั้งหลาย พระองค์จึงให้จ่าทั้งสองไปก่อนเป็นทัพหน้า ท้าวพระยาทั้งหลายเป็นปีกซ้ายขวา เจ้าไกรสรราช เจ้าชาติสาคร พระราชโอรสทั้งสอง เป็นกองรั้งหลังตามเสด็จพระราชบิดา พระราชมารดาออกจากพระนคร ณ วันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรมหกค่ำ เพลาเช้า ไปได้สองเดือนจึงถึง พระองค์ได้ตั้งพลับเพลาทองริมน้ำ ไกลเมืองประมาณ ๑๐๐ เส้น สมเด็จพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก จึงให้ท้าวพระยาทั้งหลายและเจ้าไกรสรราช เจ้าชาติสาคร ตามเสด็จเข้าไปในเมือง แล้วจึงให้ชื่อเมือง จึงมีพระราชโองการตรัสถามชีพ่อพราหมณ์ว่า เราจะให้ชื่อเมืองอันใดดี พราหมณาจารย์จึงกราบทูลตอบพระราชโองการว่า เจ้ามาถึงวันนี้ยามพิศนุ พระองค์ได้ชื่อตามคำพราหมณ์ว่า เมืองพิษณุโลก ถ้าจะว่าตามพระพุทธเจ้ามาบิณฑบาตก็ชื่อว่า โอฆบุรีตะวันออก ตะวันตกชื่อจันทบูร พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งท้าวพระยาทั้งหลายว่าเราชวนกันสร้างพระธาตุ และวิหารใหญ่ ตั้งวิหารทั้งสี่ทิศ ครั้นสร้างของพระยาแล้ว ต่างคนต่างก็สร้างคนละองค์" เรื่องราวของเมืองโอฆบุรีเป็นเมืองพิจิตรเก่าใช่หรือไม่นั้น จะขอคัดลอกข้อความจากหนังสือสาส์นสมเด็จ ตอนที่สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ได้กราบทูลถามสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพดังข้อความต่อไปนี้ " โอฆบุรีคือเมืองพิจิตรหรือไม่ใช่ คำว่า "โอฆ" เข้าใจว่าหมายเอาบึงสีไฟ "เมืองพิจิตร" เข้าใจว่าเป็นชื่อเมืองใหม่ ซึ่งย้ายมาตั้งอยู่ที่คลองเรียงถูกหรือไม่ ถ้าถูกอย่างนั้นเมืองพิจิตรเก่าก็ควรยืนเรียกอยู่ว่า "โอฆบุรี" ไม่ควรเรียกว่า เมืองพิจิตรเก่า" เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ทูลถามเช่นนั้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชา- นุภาพได้ทูลตอบ ดังข้อความต่อไปนี้ " เมืองโอฆบุรีคือเมืองพิจิตร เป็นเมืองโบราณมีป้อมปราการอยู่ริมแม่น้ำน่านเก่า ซึ่งตื้นเขินเสียแล้ว ชื่อเดิมเรียกว่า "เมืองสระหลวง" คงเป็นเพราะเป็นเมืองมีบึงบางมาก ทั้งในศิลาจารึกสุโขทัยและกฎหมายชั้นเก่าของกรุงศรีอยุธยาก็เรียกว่า "เมืองสระหลวง" ปรับเป็นคู่กับ "เมืองสองแคว" คือเมืองพิษณุโลก ซึ่งเดิมมีแม่น้ำน้อยอยู่ทางตะวันออก และมีแม่น้ำน่านอยู่ทางตะวันตก แต่แม่น้ำน้อยตื้นเขินเสียนานแล้ว ชื่อที่เรียกว่า "โอฆบุรี" ความตรงกับชื่อเมืองสระหลวง เป็นแต่เปลี่ยนเป็นภาษามคธเหมือนกับ "ทวิสาขะนคร" ตรงกับเมืองสองแคว หม่อมฉันสงสัยว่า จะเกิดแต่พระแต่งเรื่องพงศาวดารไทยเป็นภาษามคธ ตามอย่างหนังสือมหาวงศ์ พงศาวดารลังกา เช่น เรื่องชินกาลมาลินี เป็นต้น แปลงชื่อเมืองสระหลวงเป็น โอฆบุรี ในภาษามคธ และแปลงเมืองสองแควไว้อีกว่า เมืองทวิสาขะนคร ในหนังสือแต่ง "การที่เปลี่ยนเมืองสองแคว เป็นเมืองพิษณุโลก เปลี่ยนชื่อเมืองสระหลวง เป็นเมืองพิจิตร เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก แต่ว่าพอเปลี่ยนแล้ว ชื่อเมืองสองแควกับสระหลวงก็เลยสูญ ผู้รู้ชั้นหลังจึงเอาชื่อเมืองโอฆบุรีกับเมืองทวิสาขะนคร ซึ่งยังมีอยู่ในหนังสือที่พระแต่งไปชี้เป็นเมืองอื่น ดูเหมือนจะเอาเมืองแพรก (คือเมืองสรรค์) เป็นทวิสาขะนคร ส่วนเมืองโอฆบุรีนั้น คือเหตุที่เมืองพิษณุโลกสร้างปราการ ๒ ฟาก เอาแม่น้ำไว้กลางเมืองผิดกับเมืองอื่น อ้างว่าเมืองทางฟากตะวัน-ออกชื่อเมืองพิษณุโลก เมืองฟากตะวันตกชื่อเมืองโอฆบุรี อ้างกันมาอย่างนั้น จนถึงสมัยมีสโมสรโบราณคดี ค้นพบชื่อเมืองสระหลวงสองแควในศิลาจารึกและกฎหมายเก่า จึงรู้ความจริงว่าเป็นอย่างไร" ข้อความทั้งหมดนี้ คงเป็นเครื่องยืนยันได้พอสมควรว่า เมืองโอฆบุรีนั้น คือเมืองพิจิตรเก่า นอกจากนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพยังได้นิพนธ์เกี่ยวกับเมืองพิจิตรไว้ในหนังสือ "เที่ยวตามทางรถไฟ" มีข้อความที่เกี่ยวกับเมืองโอฆบุรี และเมืองสระหลวงอยู่ด้วย ซึ่งปรากฏข้อความเป็นบางตอน ดังนี้ "ในหนังสือพงศาวดารเหนือว่า พระยาโคตรตะบองราชบุตรของพระยาโคตมเทวราชเป็นผู้สร้างเมืองพิจิตร แต่หาปรากฏสมัยและเรื่องราวของการสร้างไม่ คงเป็นเค้าแต่ว่าพวกขอมชั้นหลังสร้างเมืองพิจิตร มาถึงสมัยเมื่อไทยตั้งราชธานีอยู่ ณ เมืองสุโขทัย เรียกนามเมืองนี้ในภาษาไทยว่า "เมืองสระหลวง" ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกของพระเจ้ารามคำแหงคงเป็นเพราะตั้งอยู่ชายทะเลสาบ หนังสือเก่าบางเรื่องเรียกนามในภาษาบาลีว่า "โอฆบุรี" ความก็ตรงกัน ที่อธิบายกันว่าเมืองโอฆบุรีอยู่ ๒ ฟากฝั่งแม่น้ำตรงกันนั้นไม่มีหลักฐาน " เรื่องราวของเมืองพิจิตรที่ปรากฏในศิลาจารึกและพระราชพงศาวดาร ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ ๑ ได้กล่าวถึงเมืองสระหลวง โดยกล่าวไว้ในเรื่องอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัย สมัยพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งข้อความในศิลาจารึกได้กล่าวถึงเมืองสระหลวง ดังนี้ " อาจปราบฝูงข้าศึก มีเหมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบื้องตะวันออก รอดสระหลวงสองแคว ลุมบา จายสคาเท้า ฝั่งของถึงเวียงจันทร์เวียงคำเป็นที่แล้ว เบื้องหัวนอนรอดคนที พระบางแพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลสมุทร เป็นที่แล้ว เบื้องตะวันตก รอดเมืองฉอด เมือง หงสาวดี สมุทรห้าเป็นแดนเบื้องตีนนอน รอดเมืองแพร่เมืองน่าน เมือง เมืองพลั่วพ้นฝั่งของเมืองชวาเป็นที่แล้ว ปลูกเลี้ยงฝูกลูกบ้านลูกเมืองนั้นชอบด้วยธรรมทุกคน" จากข้อความในศิลาจารึกนี้แสดงว่าอาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงนั้นกว้างขวางมาก ทิศตะวันออก ตลอดเมืองสระหลวง (รอดเมืองสระหลวงหมายถึงตลอดเมืองสระหลวง) เมืองสองแคว และเมืองอื่นอีกหลายเมืองด้วยกัน สำหรับเมืองสระหลวงนี้เชื่อกันว่าคือเมืองพิจิตรเก่านั่นเอง ดังบทนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพข้างต้น นอกจากนั้น สมเด็จฯ กรมพระยานริศรา-นุวัตติวงศ์ ได้นิพนธ์เกี่ยวกับเมืองสระหลวงไว้ในหนังสือสาส์นสมเด็จอีกด้วย ซึ่งปรากฏข้อความดังต่อไปนี้ " ที่จริงแม่น้ำและเมืองพิจิตรเก่า ก็ยังมีแต่นับวันจะสูญหายไป เมืองพิจิตรเดี๋ยวนี้เป็นเมืองตั้งใหม่ ยังจำได้ที่ตรัสอาจเลิกได้ในชั่วโมงเดียว คำว่า สระหลวง เข้าใจว่าที่เรียกกันว่า บึงสีไฟ อยู่ในทุกวันนี้ ." ชื่อเมืองสระหลวงที่น่าเชื่อว่า เป็นเมืองพิจิตรเก่า หรืออาณาเขตของเมืองพิจิตรเก่า มีสระหรือบึงอยู่มาก ถ้าดูตามพจนานุกรมฉบับทันสมัย ของอาจารย์เปลื้อง ณ นคร ก็จะพบว่า "สระ" หมายถึงอ่างน้ำที่อยู่ตามระหว่างผา ซึ่งก็คงเป็นบึงนั่นเอง สำหรับบึงที่อยู่ใกล้เมืองพิจิตรเก่า หรือในท้องที่จังหวัดพิจิตรปัจจุบัน บึงสีไฟ บึงตะโกน บึงฆะฆัง ที่ไกลออกไปก็มีบึงชัยบวร บึงสัพงายและบึงบัวเป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเมืองโอฆบุรี ก็เกี่ยวกับบึงอีก เพราะคำว่า "โอฆ" ในพจนานุกรมฉบับทันสมัยของอาจารย์เปลื้อง ณ นคร ก็หมายถึง ห้วงน้ำซึ่งก็คงเป็นบึงนั่นเอง ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเมืองสระหลวงเป็นเมืองพิจิตรเก่ายังมีอีก เช่น หม่อมเจ้าจันทรจิรายุรัชนี ทรงกล่าวว่า เมืองสระหลวงเป็นเมืองพิจิตรเก่าบนฝั่งแม่น้ำน่าน เรียกคู่กับเมืองพิษณุโลกเก่า เมืองสระหลวงสองแคว ทำนองเดียวกับเรียกเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัยซึ่งเป็นเมืองอยู่บนฝั่งแม่น้ำยมทั้งคู่ นอกจากนี้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงกล่าวถึงเมืองสระหลวงในหนังสือนิทานโบราณคดีเรื่องค้นเมืองโบราณอีกว่า เมืองสระหลวงเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองพิจิตร ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและพระองค์ยังกล่าวถึงเมืองสระหลวงคือเมืองพิจิตรไว้ในบทนิพนธ์เรื่องพระร่วงอีกด้วย สำหรับความเชื่อที่ว่า เมืองสระหลวงไม่ใช่เมืองพิจิตร แต่เป็นเมืองพิษณุโลก ก็มีเหมือนกัน เช่น ในราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวถึงอาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงว่า เมืองสระหลวง คือ เมืองพิษณุโลกฝั่งตะวันตก และเมืองคณฑีคือ เมืองพิจิตร ดังข้อความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑ กล่าวถึงเมืองสระหลวงและเมืองคณฑี ดังต่อไปนี้ "พระเจ้าขุนรามคำแหง เป็นพระเจ้าแผ่นดินไทยที่มีอานุภาพมาก ควรนับว่าเป็นมหาราชเจ้าพระองค์หนึ่ง ได้รบพุ่งปราบปรามเมืองที่ใกล้เคียงเอาไว้ในอำนาจ ขยายราชอาณาจักรสุโขทัยกว้างขวางออกไปถึงที่สุดในครั้งนั้น บอกอาณาเขตไว้ในศิลาจารึกชัดเจนว่า ทิศเหนือได้เมืองแพร่เมืองน่าน ตลอดจนเมืองชวา (คือเมืองหลวงพระบางทุกวันนี้) ไว้ในพระราชอาณาจักร ทิศตะวันออกได้เมืองสระหลวง (คือเมืองพิษณุโลกฝั่งตะวันตก ที่หนังสือแต่งในภาษามคธว่าโอฆบุรี) เมืองสองแคว (คือเมืองพิษณุโลกฝั่งตะวันออก) " และอีกตอนหนึ่งว่า "ทิศใต้ได้เมืองคณฑี (เข้าใจว่า เมืองพิจิตรทุกวันนี้) " ข้อความจากพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาจะเห็นว่า เมืองสระหลวงคือเมืองพิษณุโลกฝั่งตะวันตก และเมืองสองแควคือเมืองพิษณุโลกฝั่งตะวันออก ส่วนเมืองคณฑีต่างหากที่เป็นเมืองพิจิตร ซึ่งเป็นหลักฐานอีกแนวหนึ่งที่แตกต่างออกไป ยิ่งไปกว่านั้นศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ยังได้เขียนบทความเรื่อง "หลักการค้นเมืองสมัยสุโขทัย" ลงในแถลงงานประวัติศาสตร์ เอกสารโบราณคดีปีที่ ๑ เล่ม ๑ กล่าวถึงเมืองสระหลวงว่าเป็นเมืองพิษณุโลก ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยังหาข้อยุติไม่ได้แน่นอน คงต้องศึกษาค้นคว้าหาหลักฐานกันต่อไปอีก ความจริงชื่อเมืองสระหลวง ยังปรากฏในศิลาจารึกกรุงสุโขทัยอีกหลักหนึ่ง คือหลักที่ ๘ (จารึกเขาสุมนกูฏ) ซึ่งกล่าวถึงเรื่องราวในสมัยสุโขทัย รัชกาลพระยาลิไท ซึ่งเป็นตอนที่กล่าวถึงอาณา-เขตของอาณาจักรสุโขทัยปรากฏข้อความดังต่อไปนี้.- " อยู่ในสองแควได้เจ็ดข้าว จึงนำพลมา มีทั้งชาวสระหลวง สองแควปากยม พระบาง ชากังราวสุพรรณภาว นครพระชุม เบื้อง เมืองพาน เมือง เมืองราด เมืองสะค้า เมืองลุมบาจาย เป็นบริพาร " จะเห็นได้ว่าข้อความในศิลาจารึกตอนนี้นอกจากจะกล่าวถึงเมืองสระหลวง เมืองสองแควและเมืองอื่น ๆ อีกหลายเมืองแล้ว ยังมีเมืองหนึ่งที่น่าสนใจคือ เมืองปากยม ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปากน้ำยม หรือเมืองที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำยมกับแม่น้ำน่านไหลมาบรรจบกัน ซึ่งอาจจะเป็น เมืองชัย-บวรก็ได้ เพราะเมืองชัยบวรตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำยมกับแม่น้ำน่านเก่าไหลมาบรรจบกัน สำหรับเมืองนี้ขอคัดลอกบันทึกของ นายตรี อมาตยกุล ซึ่งเคยเดินทางไปสำรวจเมืองโบราณในจังหวัดพิจิตร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร และอาจารย์ ขจร สุขพานิช ซึ่งได้บันทึกเกี่ยวกับเมืองชัยบวรไว้ตอนหนึ่ง ดังนี้.- "ชั้นแรกได้เดินทางไปที่อำเภอบางมูลนากเพื่อไปตรวจเยี่ยมเมืองโบราณ ซึ่งในจารึกกรุงสุโขทัยเรียกว่าเมืองปากยมก่อนเพราะเมืองนี้สงสัยว่าจะอยู่ตรงแม่น้ำน่านมาสมกัน คือที่ตำบลบาง-คลาน อำเภอโพทะเล" " ผู้นำทางได้พาไปดูเมืองโบราณเมืองหนึ่งเรียกว่า เมืองชัยบวรหรือชีบวร เมืองนี้มีคูกว้างมาก คือกว้างประมาณ ๑๐๐ เมตร มีน้ำขังอยู่เต็ม ในฤดูแล้งก็ไม่แห้ง ได้สอบถามชาวบ้านและผู้นำทางแล้ว ไม่ปรากฏว่าเคยได้พบเมืองโบราณนอกเมืองชัยบวรหรือชีบวรดังได้เรียนมาแต่ตอนต้น จึงยังไม่ทราบแน่ว่าเมืองปากยมที่ปรากฏชื่อในศิลาจารึกกรุงสุโขทัยนั้น ในปัจจุบันจะตั้งอยู่ ณ ที่ใด บางทีอาจจะเป็นเมืองที่เรียกกันในปัจจุบันว่า เมืองชัยบวรก็ได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่นอนและยังไม่ได้สำรวจตรวจค้นโดยละเอียด จึงไม่สามารถจะยืนยันได้" ความจริงเมืองปากยมตามศิลาจารึก ก็น่าจะเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปากแม่น้ำยม หรือใกล้แม่น้ำยม จึงเป็นเรื่องที่น่าเชื่อได้พอสมควรว่าคงจะเป็นเมืองชัยบวร เพราะเมืองโบราณที่สำรวจพบแล้วในปัจจุบันที่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำยม และปากแม่น้ำยมที่มาบรรจบกับแม่น้ำน่านเก่า ก็มีอยู่เมืองชัยบวรนี้เมืองเดียวเท่านั้น และถ้าหากเป็นจริงตามความเชื่อนี้ก็แสดงว่าในสมัยกรุงสุโขทัย รัชกาลพระยาลิไท มีเมืองสระหลวงและเมืองปากยม ทั้งสองเมืองเป็นเมืองที่อยู่ในอาณาจักรสุโขทัย จาก พ.ศ. ๑๖๐๑ ซึ่งเป็นปีที่พระยาโคตรตะบอง สร้างเมืองสระหลวง (จากพงศาวดารเหนือ เรื่องพระยาแกรก) เป็นต้นมา จนถึง พ.ศ. ๒๘๐๐ ขอมเริ่มเสื่อมอำนาจลง ไทยเราได้เริ่มทยอยลงมาในดินแดนสุวรรณภูมิ และได้เริ่มมีบทบาทขึ้นในดินแดนส่วนนี้ โดยพ่อขุนบางกลางท่าว กับพ่อขุนผาเมือง ได้ยกกองทัพเข้าตีเมืองสยาม เมืองหน้าด่านของขอมได้พิจิตรจึงตกเป็นของไทยตั้งแต่นั้นมา ราว พ.ศ. ๑๘๒๐ กรุงสุโขทัยไม่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และมีเมืองสำคัญ ๆ ไม่กี่เมือง ซึ่งในบรรดาเมืองเหล่านั้นมีพิจิตรรวมอยู่ด้วย เวลานั้นสุโขทัยมีศัตรูมาก เช่น ขอม พวกไทยตอนใต้และภาระในการที่จะขยายอาณาเขต พิจิตรจึงกลายเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ จึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองหน้าด่านเพื่อป้องกันข้าศึกที่จะยกไปตีเมืองหลวง พิจิตรจึงอุปมาเสมือนทหารเอกของกรุงสุโขทัย พ.ศ. ๑๙๔๙ การศึกษาวิทยาการ โดยเฉพาะทางพระพุทธศาสนาในเมืองพิจิตรเจริญมาก ตามสุพรรณบัฏที่ขุดได้จากองค์พระปรางค์วัดมหาธาตุในบริเวณเมืองพิจิตรเก่าได้มีการตั้งพระเถรพุทธสาคร เป็นพระครูธรรมโมสีศีราชบุตร โดยที่เมืองพิจิตรเป็นเมืองรายรอบปริมณฑล กรุงสุโขทัยเป็น หัวเมืองชั้นใน พระเจ้าแผ่นดินกรุงสุโขทัยจึงปกครองเมืองนี้โดยตรงตลอดสมัยที่กรุงสุโขทัยรุ่งเรืองอยู่ สมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๓๑๐) เมื่อสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง และได้ตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา พิจิตรก็ตกไปอยู่กับกรุงศรีอยุธยา แต่ความสำคัญของเมืองพิจิตรมิได้ลดน้อยลง เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๐๐๖ รัชสมัย หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:50:14 พิจิตร ๒
พระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถทรงยกเลิกการปกครองแบบเก่า เปลี่ยนมาเป็นแบบจตุสดมภ์ เพื่อสร้างความสามัคคีกลมเกลียวในชาติ เป็นการรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคมีขุนนางเป็นผู้ ปกครอง และแบ่งหัวเมืองออกเป็นหัวเมือง เอก โท ตรี และจัตวา เมืองพิจิตรมีฐานะเป็นเมืองตรี นับว่าพิจิตรเป็นเมืองใหญ่และมีความสำคัญทางทหารและการปกครองไม่น้อย เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ได้เสด็จครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลก ทรงเห็นว่าพิจิตรเป็นเมืองลุ่มเต็มไปด้วยบึง คลอง ลำห้วย โดยเฉพาะบึงสีไฟที่มีน้ำขังตลอดปีไม่เคยแห้งมีเนื้อที่ประมาณ ๑๒,๐๐๐ ไร่ จึงขนานนามเมืองพิจิตรอีกนามหนึ่งว่า โอฆบุรี ซึ่งแปลว่า ห้วงน้ำ รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีเหตุการณ์ประวัติเกี่ยวข้องกับเมืองพิจิตร คือ เมืองพิจิตรเป็นที่ประสูติของพระเจ้าเสือ และเป็นถิ่นกำเนิดของพระโหราธิบดี กวีเอกของไทยดังที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จไปเมืองพิษณุโลกพระเพทราชาได้พานางสนมที่ได้รับพระราชทานซึ่งขณะนั้นตั้งภรรภ์แก่จวนคลอดติดตามไปด้วย เมื่อถึงบ้านโพธิ์ประทับช้าง แขวงเมืองพิจิตร นางได้คลอดบุตร ในเดือนอ้าย อัฐศกและฝังรกไว้ที่ต้นมะเดื่อ บุตรนั้นจึงได้ชื่อว่า นายเดื่อ หรือ ดอกเดื่อ ต่อมาได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า พระศรีสรรเพชญ์ที่ ๘ หรือพระพุทธเจ้าเสือหรือขุนหลวงสรศักดิ์ เมื่อครองราชย์แล้วได้เสด็จไปคล้องช้างเมืองพิจิตร เลยไปเยี่ยมมาตุภูมิเดิมที่หมู่บ้านโพธิ์ประทับช้าง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอารามประกอบด้วยพระอุโบสถวิหาร เจดีย์ ศาลาการเปรียญ และกุฏิสงฆ์ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๒๔๔ พระองค์เสด็จทางชลมารค ไปฉลองพระอาราม ตั้งพระครูธรรมรูจีราชมุนีเป็นเจ้าอาวาส และพระราชทานนามว่า วัดโพธิ์ประทับช้าง ปัจจุบันวัดโพธิ์ประทับช้างยังมีพระอุโบสถที่ชำรุดหักพัง พระเจดีย์เก่าคร่ำคร่า ซึ่งราษฎรมักนิยมไปเคารพสักการะอยู่เสมอ ส่วนจอมปราชญ์ในเชิงกวีในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้น พระมหาราชครูนับว่าเป็นเอก ท่านถือกำเนิดที่เมืองพิจิตร พระมหาราชครูมีความสามารถในการแต่ง โคลงฉันท์ กาพย์ กลอน จนเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และทรงยกย่องเป็นพระอาจารย์ นับเป็นลูกพิจิตรคนหนึ่งที่ได้สร้างผลงานทางด้านวรรณกรรมไว้เป็นมรดกของชาติ อันมีคุณค่าที่หาที่เปรียบมิได้ ศรีปราชญ์รัตนกวีของชาวไทยที่หายใจเป็นกาพย์ กลอน มีความสามารถเปรื่องปราดในทางอักษรศาสตร์ และวรรณคดีเป็นที่หนึ่งจนกิตติศัพท์เป็นที่กล่าวขานกันทุกมุมเมืองก็เป็นบุตรท่านราชครู จึงนับได้ว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อสานของชาวพิจิตรโดยสมบูรณ์ สมัยกรุงธนบุรี (พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕) รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสภาพบ้านเมืองยังไม่สงบราบคาบ มีเจ้าเมืองต่าง ๆ ตั้งตัวเป็นก๊กเป็นเหล่าถึง ๕ ก๊ก เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพไปปราบก๊กพระยาพิษณุโลกในปี พ.ศ. ๒๓๑๑ นั้น ถึงตำบลเกยชัยทรงถูกปืนที่พระชงฆ์ซ้าย จึงต้องยกทัพกลับพระนคร จากนั้นเจ้าพระฝางตีได้เมืองพิษณุโลก ชาวเมืองพิษณุโลกและเมืองพิจิตรต่างแตกหนีไปพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ณ กรุงธนบุรี จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๓๑๓ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงยกทัพไปปราบเจ้าพระฝาง ตีได้เมืองพิษณุโลกและเมืองสวางคบุรีในการนี้เมืองพิจิตรเป็นทางผ่านของกองทัพและชาวพิจิตรคงจะถูกเกณฑ์ไปในการรบด้วยและต่อมาทุกครั้งที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้ยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ มักจะโปรดให้เกณฑ์กำลังหัวเมืองเพื่อทำศึกสงครามด้วยทุกครั้งไป สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๒๓๒๕- ) สมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งศึก ๙ ทัพ ปี พ.ศ. ๒๓๒๘ พม่ายกกองทัพเข้าตีเมืองไทยถึง ๙ ทัพ ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้และทางภาคตะวันตก ทัพเหนือพม่ายกมาทางเมืองเชียงแสนตีได้เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย และเมืองพิษณุโลก นอกจากเมืองพิจิตร เพราะว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้จัดกองทัพสำหรับที่จะต่อสู้ถึง ๙ ทัพ ทางเหนือให้กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขเป็นแม่ทัพไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขได้ให้เจ้าพระยามหาเสนายกขึ้นไปตั้งรักษาเมืองพิจิตรไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้พม่าจึงตั้งค่ายอยู่ที่ปากพิงใต้เมืองพิษณุโลก เพื่อคอยกองทัพหนุนจึงจะยกมาตีกองทัพไทยที่เมืองพิจิตรและเมืองนครสวรรค์ ดังนั้น กองทัพหลวงของไทยจากกรุงเทพฯ จึงยกทัพตามขึ้นไปตั้งที่เมืองนครสวรรค์ก่อน แล้วยกหนุนกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขขึ้นไปที่บางข้าวตอก แขวงเมืองพิจิตร และยกเข้าตีค่ายพม่าที่ปากพิง จนกองทัพพม่าแตกพ่ายไป พม่าจึงไม่มีโอกาสตีเมืองพิจิตร (ในการสงครามครั้งนี้ เป็นสงครามครั้งที่ ๑ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) สมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงพระราชนิพนธ์คำกลอนเรื่อง "ไกรทอง" เนื่องจากเมืองพิจิตรเป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำมากมายและมีจระเข้ชุกชุมพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงอาศัยเค้าโครงเรื่องจากเรื่องราวชาวพิจิตรที่ได้เล่าสืบต่อกันมา พระราชนิพนธ์วรรณคดีเรื่องไกรทอง ความว่า มีจระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งมีนามว่า "ชาละวัน" เมื่อเข้าไปอยู่ในถ้ำจะกลับกลายร่างเป็นมนุษย์แต่พอออกมาจากถ้ำจะกลายร่างเป็นจระเข้ดังเดิม วันหนึ่งชาละวันได้คาบเอาลูกสาวของท่านเศรษฐีเมืองพิจิตรมีนามว่าตะเภาทอง เอาไปเป็นคู่ครองภายในถ้ำ จนท่านเศรษฐีได้ติดต่อกับไกรทองผู้เรืองเวทมนตร์จากจังหวัดนนทบุรี มาทำการปราบถึงตายปัจจุบันชื่อในเรื่องไกรทองได้กลายเป็นชื่อตำบลชื่อหมู่บ้านตามท้องเรื่องหลายแห่ง เช่น บ้านเศรษฐี เกาะศรีมาลา ดงชาละวัน และสระไข่ ฯลฯ เป็นต้น สมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปสมโภชพระพุทธชินราชที่เมืองพิษณุโลก ก็เสด็จผ่านเมืองพิจิตรไปตามแม่น้ำน่านเก่า ซึ่งปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๒๕) ตื้นเขินเพราะแม่น้ำเปลี่ยนทางเดินเสียแล้ว กระแสน้ำได้เริ่มเปลี่ยนทางเดินเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ ชาวจีนที่ทำไร่ฝ้ายบ้านดงเศรษฐี ตำบลไผ่ขวาง อำเภอเมืองพิจิตร ได้ทำการขุดคลองดงเศรษฐีเพื่อเอามูลดินมาทำปุ๋ยในไร่ฝ้ายตรงนั้นเป็นท้องคุ้ง ดินต่ำ พอถึงฤดูน้ำไหลแรงทำให้ดินข้างคลองพังลงมามาก กระแสน้ำจึงไหลทางคลองเรียงที่บ้านท่าฬ่อแล้วเลยไปบรรจบกับคลองท่าหลวงและคลองคันในเขตอำเภอเมืองพิจิตร เลยไปถึงคลองห้วยคต คลองบุษบงเหนือ, ใต้ ของอำเภอบางมูลนาก เกิดเป็นลำน้ำใหญ่ไหลไปบรรจบกับลำน้ำยมที่ตำบลเกยไชย อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ แล้วไหลไปรวมกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ปากน้ำโพ ส่วนลำน้ำน่านเก่า ตั้งแต่บ้านดงเศรษฐี ตำบลคลองคะเชนทร์โรงช้าง เมืองเก่า โพธิ์ประทับช้างของอำเภอเมืองพิจิตร ตำบลวังสำโรงของอำเภอตะพานหิน ตำบลวัดขวาง ทุ่งน้อย ท่าบัว บ้านน้อย จนถึงลำน้ำยมที่ตำบลบางคลาน ตำบลโพทะเลเล็กตื้นเขิน การสัญจรไปมาทางเรือไม่สะดวกหลวงธรเณนทร์ เจ้าเมืองพิจิตรในขณะนั้น จึงได้ย้ายเมืองพิจิตรเสียใหม่ สมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลวงธรเณนทร์ (แจ่ม) ได้ทำการย้ายเมืองพิจิตร ในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ โดยไปสร้างเมืองพิจิตรใหม่ที่บ้านปากทาง ตำบลปากทาง โดยตั้งศาลากลางจังหวัดเป็นการชั่วคราวขึ้นที่เหนือต้นโพธิ์ใหญ่ ใกล้ปากทางที่จะไปตำบลคลองคะเชนทร์ ซึ่งอยู่ตรงบริเวณเชิงสะพานพระพิจิตร (สะพานข้ามแม่น้ำน่านปัจจุบัน) ด้านใต้ ปัจจุบันนี้ต้นโพธิ์ และพื้นดินที่ตั้งศาลากลางจังหวัดชั่วคราวได้ถูกน้ำพัดพังลงแม่น้ำน่านไปหมดแล้ว อยู่เกือบจะตรงกลางสะพานพระพิจิตรในขณะนี้ทีเดียว ต่อมา พ.ศ. ๒๔๒๗ จึงได้ย้ายเมืองใหม่อีกเป็นครั้งที่สองโดยย้ายไปตั้งที่บ้านท่าหลวง ตำบลในเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองพิจิตรใหม่ในปัจจุบันนี้ (พ.ศ. ๒๕๒๕) ปี พ.ศ. ๒๔๔๑ พระศรีเทพบาล (พระยาราชฤทธานนท์) เจ้าเมืองพิจิตรได้สร้างโรงเรียนหลังแรกของพิจิตรขึ้นที่วัดท่าหลวง เปิดเรียนเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๑ มีขุนไพจิตร (เปลี่ยน) เป็นครูใหญ่คนแรก ต่อมาวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้สร้างโรงเรียนประจำเมืองพิจิตรชื่อโรงเรียนพิจิตรพิทยาคม เปิดเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ ปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้มีการปันแขวงปกครองหัวเมือง เมืองพิจิตรแบ่งการปกครองออกเป็น ๓ อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอบางคลาน และอำเภอภูมิ ปี พ.ศ. ๒๔๔๘ สมัยพระศรีสุริยราชวรภัย (จร) เป็นเจ้าเมืองพิจิตร ได้สร้างกรมทหารเมืองพิจิตรที่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน (ตรงบริเวณวิทยาลัยเทคนิคพิจิตรปัจจุบัน) ซึ่งกรมทหารราบที่ ๑๗ มีพันตรีหลวงราชานุรักษ์เป็นผู้บังคับการกรมทหารประจำการมี ๔ กองร้อย ปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้มีการเปิดทางรถไฟจากปากน้ำโพถึงเมืองพิษณุโลก ซึ่งทางรถไฟสายนี้ผ่านเมืองพิจิตรเดินทางรถไฟสายเหนือเปิดเดินถึงปากน้ำโพเท่านั้น ต่อมาพระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟต่อจากปากน้ำโพถึงเมืองพิษณุโลก เมืองพิจิตรจึงมีทางรถไฟผ่านด้วย สมัยรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ดังนั้น เมืองพิจิตรจึงเปลี่ยนเป็นจังหวัดพิจิตร และตำแหน่ง "ผู้ว่าราชการเมือง" เปลี่ยนเป็น " ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร" และในปีเดียวกันนี้ ได้มีการประกาศใช้ชื่ออำเภอที่เปลี่ยนใหม่ให้ตรงกับชื่อตำบลที่ตั้งที่ว่าการอำเภอ สำหรับจังหวัดพิจิตรได้เปลี่ยนอำเภอเมืองเป็นอำเภอท่าหลวง อำเภอภูมิ เป็นอำเภอบางมูลนาก ส่วนอำเภอบางคลาน คงเรียกชื่อเดิม ส่วนกรมทหารราบที่ ๑๗ ถูกยุบเลิกไปขึ้นกับกรมทหารราบมณฑลพิษณุโลก สมัยรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ปี พ.ศ. ๒๔๗๓ พระชาติตระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ได้สร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นใหม่แทนหลังเก่าที่ชำรุดทรุด- โทรมมาก โดยสร้างเป็นอาคารสูงชั้นเดียวทรงปั้นหยาออกมุขกลาง ฝากระดาน พื้นกระดาน มุงกระเบื้องซีเมนต์ สร้างบ้านพักหัวหน้าศาลหลังหนึ่งเป็นอาคารสองชั้นทรงสมัยใหม่ สร้างบ้านพักนายตำรวจและสร้างบ้านพักหัวหน้าส่วนราชการอีกหลายหลังและในสมัยรัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้มีการตั้งเทศบาลเมืองพิจิตรขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีอาณาเขตของเทศบาลเมืองพิจิตรเพียง ๑.๘๘ ตารางกิโลเมตรเท่านั้น นายกเทศมนตรีคนแรกคือ หลวงประเทืองคดี (ปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๒๙ อาณาเขตของเทศบาลเมืองพิจิตรมี ๑๒.๑๗ ตารางกิโลเมตร) ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้เปลี่ยนชื่ออำเภอท่าหลวงเป็นอำเภอเมืองพิจิตร และก่อนหน้านั้นมีการย้ายที่ว่าการอำเภอจากตำบลบางคลานไปตั้งใหม่ที่บ้านโพทะเล จึงเปลี่ยนชื่ออำเภอบางคลานเป็นอำเภอโพทะเล ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ นอกจากนี้ยังมีการตั้งกิ่งอำเภอตะพานหินขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ และยกฐานะเป็นอำเภอในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ตั้งอำเภอสามง่ามในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ รัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีการตั้งกิ่งอำเภอโพธิ์-ประทับช้าง ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งยกฐานะเป็นอำเภอในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ตั้งกิ่งอำเภอวังทรายพูน ยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ และในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ตั้งกิ่งอำเภอทับคล้อ การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล การจัดระเบียบการปกครองของไทย ซึ่งจัดหน่วยการปกครองออกเป็น หน่วยราชการบริหารส่วนกลาง และหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งการปกครองส่วนภูมิภาคสมัยก่อนนั้น ส่วนภูมิภาคจะจัดการปกครองกันเอง การปกครองโดยที่ส่วนภูมิภาคจัดการปกครองกันเองนี้ เรียกว่า "ระบบกินเมือง" ต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้นำรูปการปกครองแบบระบบเทศาภิบาลมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ในการปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งส่วนกลางปกครองออกเป็นมณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล หมูบ้าน ลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นสัดส่วน และส่วนกลางจะจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางไปบริหารราชการตามท้องที่ต่าง ๆ เหล่านั้นแทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดการปกครองกันเอง ซึ่งนับว่าเป็นการริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงจัดตั้งมณฑลพิษณุโลกเป็นมณฑลแรก ประกอบด้วยเมือง ๕ เมือง คือเมืองพิษณุโลก เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิจิตร เมื่อเริ่มต้นมณฑลเทศาภิบาลเมืองพิจิตรขึ้นอยู่กับมณฑลพิษณุโลก และเมืองพิจิตรมีเมืองหนึ่งเมืองคือ "เมืองภูมิ" (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอบางมูลนาก) เมืองภูมินี้ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ฉบับวันที่ ๑๘ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ดังนี้ :- เมืองพิจิตร ผู้ว่าราชการเมือง พระยาเทพาธิบดี ปลัด หลวงศรีสงคราม ยกกระบัตร หลวงเสนาราช ผู้ช่วย หลวงวิเศษภักดี เมืองขึ้นเมืองพิจิตร เมืองภูมิ ผู้ว่าราชการเมือง พระณรงค์เรืองเดช ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้มีการปกครองหัวเมืองสำหรับเมืองพิจิตรแบ่งออกเป็น ๓ อำเภอด้วยกันคือ อำเภอเมือง อำเภอบางคลาน และอำเภอเมืองภูมิ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราช-อาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ยกเลิกมณฑลเทศาภิบาล ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัด อำเภอ จังหวัดนั้นมีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ หรือเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติและให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ส่วนการตั้ง ยุบ หรือเปลี่ยนแปลงเขตอำเภอให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ปัจจุบันจังหวัดพิจิตร ได้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๗ อำเภอ ๑ กิ่งอำเภอ ๗๘ ตำบล ๖๕๑ หมู่บ้าน เทศบาล ๓ แห่ง และสุขาภิบาล ๑๔ แห่ง ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดพิจิตร . พิจิตร : จุลดิษฐ์การพิมพ์ , ๒๕๓๐. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:50:45 พิษณุโลก
พิษณุโลกเป็นเมืองที่มีประวัติอันยาวนานควบคู่มากับประวัติศาสตร์ของไทย โดยมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันในศิลาจารึก ตำนาน นิทาน และพงศาวดาร เช่น สองแคว สระหลวง สองแควทวิสาขะ ไทยวนที อกแตก การเปลี่ยนชื่อเป็น พิษณุโลก มาเปลี่ยนในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมัยก่อนกรุงสุโขทัย ก่อนที่ราชวงศ์พระร่วงซึ่งมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นต้นราชวงศ์ ขึ้นครองกรุงสุโขทัย เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นั้น ราชวงศ์ที่มีอำนาจครอบคลุมดินแดนแถบนี้ คือ ราชวงศ์ศรีนาวนำถม พ่อขุนศรีนาวนำถมเสวยราชเมืองเชลียงตั้งแต่ราว พ.ศ. ๑๗๖๒ พระองค์มีพระโอรส ๒ พระองค์ คือ พ่อขุนผาเมืองครองเมืองราด และพระยาคำแหงพระราม ครองเมืองพิษณุโลก ภายหลังจากที่พ่อขุน-ศรีนาวนำถมสิ้นพระชนม์ ขอมสมาดโขลณลำพง เข้ายึดเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยไว้ได้ พ่อขุนผาเมืองและพระสหาย คือพ่อขุนบางกลางหาว ร่วมกันปราบปรามจนได้ชัยชนะ พ่อขุนผาเมืองจึงยกเมืองสุโขทัยให้ขุนบางกลางหาว ตั้งราชวงศ์พระร่วงครองเมืองสุโขทัย และได้เฉลิมพระนามเป็นพ่อขุนศรี- อินทราทิตย์ สมัยกรุงสุโขทัย เมืองสองแคว (พิษณุโลก) อยู่ในอำนาจของราชวงศ์ผาเมืองจนกระทั่งในรัชกาลพ่อขุนราม-คำแหงมหาราช จึงได้ยึดเป็นสองแคว เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสุโขทัย ครั้นสมัยพระมหา-ธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ได้เสด็จมาประทับที่เมืองสองแคว พระองค์ท่านได้เอาพระทัยใส่ทำนุบำรุงความเจริญ เป็นอย่างยิ่ง เช่น การสร้างเหมืองฝายสนับสนุนให้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูก สร้างทางคมนาคมจากเมืองพิษณุโลก ไปสุโขทัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี พระศาสดา เพื่อประดิษฐานไว้ในพระวิหารพระศรีรัตนมหาธาตุ ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองพิษณุโลก ในช่วงที่พระเจ้าลิไทเสด็จมาประทับเท่าที่หลักฐานเหลืออยู่ น่าจะชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของพิษณุโลกในช่วงนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นศูนย์กลางการติดต่อที่สำคัญของลุ่มแม่น้ำน่าน พิษณุโลกในช่วงรัชกาลพระเจ้าศรีสุริยวงศ์บรมปาลไม่พบหลักฐานว่าได้มีบทบาทนอกเหนือไปจากเมืองหลวงของรัฐกันชนเล็ก ๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างไว้สำหรับเป็นอนุสาวรีย์ ซึ่งยังคงอยู่ทุกวันนี้ คือ การสร้างรอยพระพุทธบาทคู่พร้อมกับศิลาจารึก ไว้ที่เมืองพิษณุโลก เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๗๐ พระองค์สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. ๑๙๘๑ ที่เมืองพิษณุโลก พระยาอุธิษเฐียรโอรสของพระยารามได้ครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลก ต่อมาระหว่าง พ.ศ. ๑๙๘๑ - ๑๙๙๔ จึงเอาใจออกห่างเป็นกบฏ พาพลเมืองไปร่วมกับพระเจ้าเชียงใหม่ ทางอยุธยาจึงส่งเจ้านายขึ้นมาปกครองเมืองพิษณุโลก แล้วผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา สมัยกรุงศรีอยุธยา พิษณุโลกสมัยอยุธยามีความสำคัญยิ่งทางด้านการเมือง การปกครองยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจ ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม พิษณุโลกเป็นราชธานีในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๐๖๒๐๓๑ รวมเวลา ๒๕ ปี นับว่าระยะนี้เป็นยุคทองของพิษณุโลก ในรัชสมัยของสมเด็จ-พระนเรศวรมหาราช ครั้งดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช ณ เมืองพิษณุโลก ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๑๒๒๑๓๓ ได้ทรงปลุกสำนึกให้ชาวพิษณุโลกเป็นนักรบกอบกู้เอกราชเพื่อชาติไทย ทรงสถาปนาพิษณุโลกเป็นเมืองเอก เป็นการสานต่อความเจริญรุ่งเรืองจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ในด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากพิษณุโลกตั้งอยู่บนเส้นทางระหว่างรัฐทางเหนือคือ ล้านนาและกรุงศรีอยุธยาทางใต้ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐทั้งสองบางครั้งเป็นไมตรีกันบางครั้งขัดแย้งกันทำสงครามต่อกัน มีผลให้พิษณุโลกได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมประเพณีจากทั้ง ๒ รัฐ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ พิษณุโลกเป็นเส้นทางผ่านสินค้าของป่า และผลิตผลทางเกษตร รวมทั้งเครื่องถ้วย โดยอาศัยการคมนาคมผ่านลำน้ำน่านสู่กรุงศรีอยุธยา ซึ่งขณะนั้นเป็นศูนย์กลางของการค้านานาชาติแห่งหนึ่ง ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในปัจจุบันที่พิษณุโลกมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นแหล่งผลิตเครื่องถ้วยคุณภาพดี ซึ่งมีอยู่ทั่วไปตามบริเวณฝั่งแม่น้ำน่านและแม่น้ำแควน้อย โดยเฉพาะที่วัดตาปะขาวหาย พบเตาเผาเครื่องถ้วยเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งเครื่องถ้วยจำพวกโอ่ง อ่าง ไห ฯลฯ เครื่องถ้วยเหล่านี้ นอกจากจะใช้ในท้องถิ่นแล้วยังเป็นสินค้าส่งออกไปขายต่างประเทศด้วย วินิจฉัยว่าน่าจะเป็นแหล่ง อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ นับว่าพิษณุโลกมีความสำคัญยิ่งทางเศรษฐกิจ คือ เป็นแหล่งทรัพยากรของกรุงศรีอยุธยา ด้านการปกครอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่จัดระเบียบการปกครองที่เรียกว่า จตุสดมภ์ ได้แก่ เวียง วัง คลัง นา มีอัครเสนาบดีเป็นผู้ช่วยในการบริหารงาน คือ สมุหกลาโหม และสมุหนายก แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๓ ฝ่าย คือ หัวเมืองฝ่ายเหนือ อยู่ในความดูแลของสมุหนายก หัวเมืองฝ่ายใต้อยู่ในความดูแลของสมุหกลาโหม และหัวเมืองชายทะเลอยู่ในความดูแลของกรมท่า ด้านศาสนานั้น แม้ว่าเมืองพิษณุโลก จะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสงครามระหว่างอาณาจักรล้านนา-อยุธยา และพม่า-กรุงศรีอยุธยา มาโดยตลอดแต่การพระศาสนาก็มิได้ถูกละเลย ดังปรากฏหลักฐานทางโบราณวัตถุสถาน ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าพระพุทธรูป และวัดที่ปรากฏในปัจจุบัน เช่น พระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี พระศรีศาสดา วัดพระรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) วัดจุฬามณี วัดอรัญญิก วัดนางพญา และวัดเจดีย์ยอดทอง เป็นต้น ล้วนแต่เป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยา หรือมิฉะนั้นก็ได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ของเดิมที่มีมาครั้งกรุงสุโขทัย แสดงว่าด้านพระศาสนาได้มีการทำนุบำรุงมาโดยตลอด ในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคารวัดจุฬามณีขึ้นใน พ.ศ. ๒๐๐๗ และพระองค์ได้ทรงสละราชสมบัติออกผนวช ณ วัดจุฬามณี อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๐๘ เป็นเวลา ๘ เดือน ๑๕ วัน มีข้าราชบริพารตามเสด็จออกบวชถึง ๒,๓๔๘ รูป และในปี พ.ศ. ๒๐๒๕ ทรงมีพระบรมราชโองการให้บูรณะพระศรีรัตนมหาธาตุ ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหา-วิหาร และให้มีการสมโภชน์ถึง ๑๕ วัน พร้อมกันนั้นก็โปรดฯ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งมหาชาติคำหลวง จบ ๑๓ กัณฑ์บริบูรณ์ด้วย ต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ทรงสร้าง รอยพระพุทธบาทจำลอง เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๒ และโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานไว้ ณ วัดจุฬามณี พร้อมทั้งจารึกเหตุกาณ์สำคัญทางศาสนาในสมัยพระบรมไตรโลกนาถไว้บนแผ่นศิลาด้วย ด้านวรรณกรรม หนังสือมหาชาติคำหลวง ได้รับการยกย่องจากวงวรรณกรรมว่าเป็น วรรณคดีโบราณชั้นเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีวรรณคดีสำคัญที่นักปราชญ์เชื่อว่านิพนธ์ขึ้นใน รัชสมัยสมเด็จ-พระบรมไตรโลกนาถ เช่น ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตพระลอ โคลงทวาทศมาศและกำศรวลศรีปราชญ์ เป็นต้น เมืองพิษณุโลกในสมัยอยุธยาเคยเป็นทั้งเมืองราชธานี เมืองลูกหลวงและเมืองเอก ฉะนั้นจึงได้รับความอุปถัมภ์ทนุบำรุงในทุก ๆ ด้านสืบต่อกันมา นอกจากบางระยะเวลาที่พิษณุโลกอยู่ในภาวะสงคราม โดยเฉพาะสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาทั้ง ๒ ครั้ง ความรุ่งเรืองที่เคยปรากฏก็ถดถอยลงบ้าง แต่ในที่สุดก็หล่อหลอมเป็นวัฒนธรรมของชาวไทยมาจนถึงปัจจุบันนี้ สมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงเห็นว่าพิษณุโลกเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญควรมีผู้ที่เข้ม-แข็งที่มีความสามารถเป็นเจ้าเมืองจึงทรงแต่งตั้งพระยายมราช (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท) เป็น เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก โดยขึ้นต่อกรุงธนบุรี เมื่อได้ทรงแต่งตั้งผู้ปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือจนครบถ้วนแล้ว จึงเสด็จกลับไปยังกรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๑๘ อะแซหวุ่นกี้แม่ทัพพม่าผู้ชำนาญการรบ ได้วางแผนยกทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยตีได้เมืองตาก เมืองสวรรคโลก บ้านกงธานี และมาพักกองทัพอยู่ที่กรุงสุโขทัย ขณะนั้นเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ฯ กำลังยกกองทัพขึ้นไปตีเชียงแสน เมื่อทราบข่าวศึกจึงรีบยกทัพกลับมารับทัพพม่าที่เมืองพิษณุโลก ก่อนที่อะแซหวุ่นกี้ยกทัพมาตั้งค่ายรายล้อมเมืองพิษณุโลก กองทัพพม่าพยายามเข้าตีค่ายไทยหลายครั้ง แต่เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ ได้ช่วยป้องกันเมืองเป็นสามารถ ทั้ง ๆ ที่มีทหารน้อยกว่า แต่ไม่สามารถจะชนะกันได้ อะแซหวุ่นกี้ถึงกับยกย่องแม่ทัพฝ่ายไทยและขอให้ทั้งสองฝ่ายหยุดรบกัน ๑ วัน ทหารทั้งสองฝ่ายรับประทานอาหารร่วมกันด้วย เมื่อแม่ทัพไทยและแม่ทัพพม่ายืนม้าเจรจากันในสนามรบ อะแซหวุ่นกี้เห็นรูปร่างลักษณะของเจ้าพระยาจักรี แล้วจึงได้กล่าวสรรเสริญว่า ท่านนี้รูปงาม ฝีมือก็เข้มแข็ง อาจสู้รบกับเราผู้เป็นผู้เฒ่าได้ จงอุตส่าห์รักษาตัวไว้ภายหน้าจะได้เป็นกษัตริย์ และบอกเจ้าพระยาจักรีว่า จงรักษาเมืองไว้ให้มั่นคงเถิดเราจะตีเอาเมืองพิษณุโลกให้จงได้ในครั้งนี้ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อทราบข่าวอะแซหวุ่นกี้ยกกองทัพใหญ่มาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทย พระองค์จึงยกทัพใหญ่ขึ้นไปช่วยหัวเมืองฝ่ายเหนือทันที ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้ ทราบว่ากองทัพไทยมาตั้งค่ายเพื่อช่วยเหลือเมืองพิษณุโลก จึงแบ่งกำลังพลไปตั้งมั่นที่วัดจุฬามณีทางฝั่งตะวันตก อะแซหวุ่นกี้เห็นว่าถ้าชักช้าไม่ทันการณ์ จึงสั่งให้ทัพพม่าที่กรุงสุโขทัยไปตีเมืองกำแพงเพชร กองทัพเมืองกำแพงเพชรยกไปตีเมืองนครสวรรค์ และสั่งให้กองทัพพม่าอีกกองหนึ่งยกไปตีกรุงธนบุรี การวางแผนของอะแซหวุ่นกี้เช่นนี้เป็นการตัดกำลังฝ่ายไทย ไม่ให้ช่วยเมืองพิษณุโลก และต้องการให้กองทัพไทยระส่ำระสาย ในที่สุดสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีพระราชดำริ เห็นว่าไทยเสียเปรียบเพราะมีกำลังทหารน้อยกว่า จึงควรถอยทัพกลับไปตั้งมั่นรับทัพพม่าที่กรุงธนบุรี เจ้าพระยาจักรีเห็นว่าไทยขาดเสบียงอาหารและใกล้จะหมดทางสู้ จึงตัดสินใจพาไพร่พลและประชาชนชายหญิงทั้งหมด ตีหักค่ายพม่าออกจากเมืองพิษณุโลกไปทางทิศตะวันออกได้สำเร็จพาทัพผ่านบ้านมุง บ้านดงชมพู ข้ามเขาบรรทัด ไปตั้งรวมรี้พลอยู่ที่เมืองเพชรบูรณ์ พม่าล้อมเมืองพิษณุโลกอยู่นานถึง ๔ เดือน เมื่อเข้าเมืองได้ก็พบแต่เมืองร้าง อะแซหวุ่นกี้จึงสั่งเผาผลาญทำลายบ้านเมืองพิษณุโลกพินาศจนหมดสิ้น คงเหลือเฉพาะวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเท่านั้น สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น ตั้งแต่ช่วงของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจนถึงก่อนการปฏิรูปการปกครองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังคงจัดระเบียบการปกครองออกเป็นจตุสดมภ์ แต่ในส่วนภูมิภาค มีการแบ่งเขตการปกครองเป็นหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และเมืองประเทศราช เมืองพิษณุโลกมีฐานะเป็นเมืองเอก ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในหัวเมืองฝ่ายเหนือของประเทศไทย มีประชากรทั้งสิ้นประมาณ ๑๕,๐๐๐ คน ซึ่งเป็นชาวจีนประมาณ ๑,๑๑๒ คน และมีเมืองต่าง ๆ อยู่ในอำนาจการปกครองดูแลหลายหัวเมืองด้วยกันคือ เมืองนครไทย ไทยบุรี ศรีภิรมย์ พรหมพิราม ชุมสอนสำแดง ชุมแสงสงครามพิบูล พิพัฒน์ นครชุม ทศการ นครพามาก เมืองการ เมืองคำ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพสำคัญ คือ ทำนา ทำไร่ หาของป่า ทำไม้ และการเกณฑ์แรงงานไพร่ พ.ศ. ๒๔๐๙ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระอุตสาหะเสด็จประพาสเมืองเหนืออีกครั้งหนึ่ง โดยเสด็จทางเรือพระทั่นั่งอรรคราชวรเดชและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้นกำลังทรงผนวชเป็นสามเณรก็ได้ตามเสด็จมาด้วย เมื่อเสด็จถึงเมืองพิษณุโลกได้ทรงประทับและทรงสมโภชพระพุทธชินราชอยู่ ๒ วัน จึงเสด็จกลับ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ รัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ (เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช) ได้เสด็จประพาสเมืองพิษณุโลก ทุกพระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องราวต่าง ๆ ที่พระองค์ได้เสด็จไปทอดพระเนตรในระหว่างเสด็จ-ประพาส เช่น เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วง พระราชปรารภเรื่องพระพุทธชินราช และเรื่องลิลิตพายัพ เป็นต้น เอกสารดังกล่าวนี้ ปัจจุบันมีคุณค่าอย่างยิ่งทางด้านประวัติศาสตร์ ส่วนรัชกาลที่ ๕ นั้นพระองค์ทรงประทับใจในความศักดิ์สิทธิ์และความสวยงามขององค์พระพุทธชินราช ถึงกับโปรดให้จำลองพระพุทธรูปพระพุทธชินราชไปเป็นประธานในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นในสมัยนั้น ที่มา : ประวัติการบริหารการปกครองจังหวัดพิษณุโลก . พิษณุโลก : สำนักงานจังหวัดพิษณุโลก, ๒๕๓๗ . หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:51:07 แพร่
เมืองแพร่เป็นเมืองโบราณสร้างมาช้านานแล้วตั้งแต่อดีตกาล แต่ยังไม่ปรากฏหลักฐาน แน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใดและใครเป็นผู้สร้าง เมืองแพร่เป็นเมืองที่ไม่มีประวัติของตนเองจารึกไว้ในที่ใดๆ โดยเฉพาะ นอกจากปรากฏในตำนาน พงศาวดาร และจารึกของเมืองอื่นๆ บ้างเพียงเล็กน้อย ดังจะกล่าวรายละเอียดในตอนต่อไป จากการศึกษาค้นคว้าและตรวจสอบหลักฐานจากตำนานเมืองเหนือ พงศาวดารโยนก และศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง เมืองแพร่น่าจะสร้างยุคเดียวกันกับกรุงสุโขทัย เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา น่าน ซึ่งบ้านเมืองของเมืองแพร่ในยุคนั้นคงไม่กว้างขวางและมีผู้คนมากมายเหมือนปัจจุบัน เมืองแพร่มีชื่อเรียกกันหลายอย่าง ตำนานเมืองเหนือเรียกว่า พลนคร หรือ เมืองพล ดังปรากฏในตำนานสร้างพระธาตุลำปางหลวงว่า เบื้องหน้าแต่นั้นนานมา ยังมีพระยาสามนตราชองค์หนึ่ง เสวยราชสมบัติในพลรัฐนคร อันมีในที่ใกล้กันกับลัมภกัปปะนคร (ลำปาง) นี่ ทราบว่าสรีรพระธาตุพระพุทธเจ้ามีในลัมภกัปปะนคร ก็ปรารถนาจะใคร่ได้ ในสมัยขอมเรืองอำนาจ ราว พ.ศ. ๑๔๗๐ - ๑๕๔๐ นั้น พระนางจามเทวีได้แผ่อำนาจเข้าครอบครองดินแดนในเขตลานนา ได้เปลี่ยนชื่อเมืองในเขตลานนาเป็นภาษาเขมร เช่น ลำพูนเป็น หริภุญไชย น่านเป็นนันทบุรี เมืองแพร่เป็นโกศัยนคร หรือนครโกศัย ชื่อที่ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง เรียกว่า เมืองพล และได้กลายเสียงตามหลักภาษาศาสตร์เป็น แพร่ ชาวเมืองนิยมออกเสียงว่า แป้ เมืองแพร่สมัยก่อนกรุงสุโขทัย จุลศักราช ๔๒๑-๔๘๐ (พ.ศ. ๑๖๕๔-พ.ศ. ๑๗๗๓) พงศาวดารโยนก กล่าวถึงเมืองแพร่ว่า จุลศักราช ๔๖๑ (พ.ศ. ๑๖๕๔) ขุนจอมธรรมผู้ครองเมืองพะเยา เมื่อครองเมืองพะเยาได้ ๓ ปี ก็เกิดโอรสองค์หนึ่ง ขนานนามว่า เจื๋อง ต่อมาได้เป็น ขุนเจื๋อง พอขุนเจื๋องอายุได้ ๑๖ ปี ไปคล้องช้าง ณ เมืองน่าน พระยาน่านตนชื่อว่า พละเทวะ ยกราชธิดาผู้ชื่อว่า นางจันทร์เทวีให้เป็นภรรยาขุนเจื๋อง แล้วขุนเจื๋องก็ไปคล้องช้าง ณ เมืองแพร่ พระยาแพร่คนชื่อ พรหมวงศ์ ยกราชธิดาผู้ชื่อว่า นางแก้วกษัตรีย์ให้ขุนเจื๋อง พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสนกล่าวถึงความตอนนี้ว่า เมื่อตติยศักราช ๔๒๑ ขุนเจียงประสูติ ครั้นอายุได้ ๑๗ ปี ไปคล้องช้างที่เมืองแพร่ พญาแพร่ชื่อ พรหมวังโส ยกลูกสาวชื่อ นางแก้วอิสัตรีให้ขุนเจียงพร้อมกับช้างอีก ๕๐ เชือก แทรกกล่าว จากพงศาวดารทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว จะเห็นได้ว่าเมืองแพร่เป็นเมืองที่สร้างขึ้นแล้วในระหว่างจุลศักราช ๔๒๑ - ๔๖๑ (พ.ศ. ๑๖๑๔ - ๑๖๕๔) แต่คงเป็นเมืองขนาดเล็กและจะต้องเล็กกว่าเมืองพะเยาด้วย อนึ่ง ในระหว่างจุลศักราช ๔๖๒ - ๔๘๐ (พ.ศ. ๑๖๕๕ - พ.ศ. ๑๗๗๓) เมืองแพร่อยู่ในอำนาจการปกครองของขอมเพราะในระยะเวลาดังกล่าว ขอมเรืองอำนาจอยู่ในอาณาจักรลานนาไทย มีข้อน่าสังเกตว่าในระยะที่ขอมเรืองอำนาจได้เปลี่ยนชื่อเมืองแพร่เป็นโกศัยนคร (โกศัยหมายถึงผ้าแพรเนื้อดี) แต่ไม่มีเหตุการณ์สำคัญอะไรปรากฏให้เห็น เมืองแพร่สมัยกรุงสุโขทัย (จุลศักราช ๔๘๐ - ๖๒๙ พ.ศ. ๑๗๗๓ - พ.ศ. ๑๙๒๒) จุลศักราช ๔๘๐ พ.ศ. ๑๗๗๓ เมื่อขอมเสื่อมอำนาจลง พ่อขุนบางกลางท่าวและขุนผาเมืองได้รวมกันลงเข้าด้วยกันยกเข้าตีกรุงสุโขทัย ซึ่งตอนนั้นเป็นเมืองหน้าด่านของขอม จุลศักราช ๕๐๗ พ.ศ. ๑๘๐๐ ฝ่ายไทย คือ พ่อขุนบางกลางท่าวมีชัยชนะแก่พวกขอม พ่อขุนบางกลางท่าวประกาศตนเป็นอิสระ ยกเมืองสุโขทัยเป็นราชธานีของเมืองไทย หัวเมืองต่างๆ ในเขตลานนา ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา ลำปาง แพร่ น่าน จึงต่างเป็นอิสระไม่ยอมขึ้นแก่ใคร จุลศักราช ๕๒๗ พ.ศ. ๑๘๒๐ พ่อขุนรามคำแหงได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่าง กว้างขวางดังปรากฏในศิลาจารึก กล่าวว่า ๐ . เบ๋อง ( ตนนวนรอด เมองแพล เมองม่าน เมองน . เมองพลาว .) หอสมุดแห่งชาติถอดความได้ว่า เบื้องตีนนอนรอดเมืองแพล เมืองม่าน เมืองน่าน เมืองพลัว แทรกกล่าว เมื่อพิจารณาตามสภาพภูมิศาสตร์ เมืองแพล ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของกรุงสุโขทัย และเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองแพร่ คือ เมืองน่าน ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า เมืองแพล ที่ปรากฏในศิลาจารึกก็คือ เมืองแพร่ นั่นเอง จุลศักราช ๖๒๙ พ.ศ. ๑๙๒๒ แผ่นดินสมัยพระเจ้าไสยลือไท สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พะงั่ว) กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาได้ยกทัพขึ้นมาตีกรุงสุโขทัยและได้ชัยชนะ กรุงสุโขทัยจึงตกอยู่ใต้อำนาจของกรุงศรีอยุธยา เมืองแพร่จึงตั้งตนเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง พงศาวดารเมืองน่าน กล่าวถึงเมืองแพร่ว่า จุลศักราช ๖๕๒ พ.ศ. ๑๙๕๔ สมัยเจ้าศรีจันต๊ะครองเมืองน่านได้ ๑ ปี ก็มีพระยาแพร่สองคนพี่น้อง คนพี่ชื่อพระยาเถร คนน้องชื่อพระยาอุ่นเมือง ยกกองทัพไปตีเมืองน่าน จับตัวเจ้าศรีจันต๊ะฆ่าเสียแล้วพระยาเถรก็ขึ้นครองเมืองน่านแทน ฝ่ายอนุชาของเจ้าศรีจันต๊ะ ชื่อเจ้าหุง หนีไปพึ่งพระยาชะเลียงที่เมืองชะเลียง (ซึ่งขณะนั้นเมืองชะเลียงขึ้นต่อพระเจ้าไสยฤาไท แห่งกรุงสุโขทัย) พระยาเถร ครองเมืองน่านได้ ๖ เดือนกับ ๙ วัน ก็ล้มป่วยเป็นไข้โลหิตออกจากรูขุมขนถึงแก่กรรม พระยาอุ่นเมืองผู้น้องจึงครองเมืองน่านแทน พระยาอุ่นเมือง ครองเมืองน่านได้เพียง ๑ ปี เจ้าหุงอนุชาของเจ้าศรีจันต๊ะก็คุมพลชาว ชะเลียงยกมารบพุ่งชิงเอาเมืองคืน เจ้าหุงจับตัวพระยาอุ่นเมืองได้นำไปถวายพระยาใต้และถูกกักตัวไว้ที่เมืองชะเลียงเป็นเวลาถึง ๑๐ ปี และถึงแก่กรรมที่นั่นด้วย ตำนานเมืองเหนือ กล่าวว่า ในสมัยพระเจ้าติโลกราช จุลศักราช ๘๐๕ พ.ศ. ๑๙๘๖ กษัตริย์เมืองเชียงใหม่ยก กองทัพไปตีเมืองน่านและได้ชัยชนะ พญาอินต๊ะแก่น เจ้าเมืองน่านหนีไปเมืองชะเลียง ขณะที่พระองค์กำลังตีเมืองน่านอยู่นั้น ได้แต่งกองทัพให้พระมหาเทวีผู้มารดายกไปตีเมืองแพร่ พระมหาเทวียกกองทัพไปถึงเมืองแพร่ก็ให้ทหารล้อมไว้ ฝ่ายท้าวแม่คุณ เจ้าเมืองแพร่ เห็นกำลังทหารของกองทัพเชียงใหม่เข้มแข็งกว่าจึงออกไปอ่อนน้อมต่อพระมหาเทวี และพระมหาเทวีก็ให้ท้าวแม่คุณครองเมืองแพร่ดังเดิม พงศาวดารโยนก กล่าวถึงความตอนนี้และแตกต่างไปจากตำนานเมืองเหนือว่า จุลศักราช ๘๐๕ พ.ศ. ๑๙๘๖ พระเจ้าติโลกราชแห่งนครเชียงใหม่ได้ทรงทราบว่าเจ้ามืองน่านได้กระทำเหตุหลอกลวงพระองค์ ดังนั้นก็ทรงพระพิโรธ จึงเสด็จยกทัพหลวงไปตีเมืองน่าน กองทัพยกออกจากเมืองเชียงใหม่ในวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน เบญจศก แล้วแบ่งกองทัพให้พระมหาเทวีผู้เป็นชนนียกไปตีเมืองแพร่อีกทัพหนึ่ง กองทัพพระมหาเทวียกมาถึงเมืองแพร่ ก็แต่งทหารเข้าล้อมเมืองแพร่ไว้ มีหนังสือแจ้งเข้าไปให้เจ้าเมืองแพร่ออกมาถวายบังคม ฝ่ายท้าวแม่คุณ ผู้ครองเมืองแพร่ก็แต่งพลรักษาเมืองมั่นไว้ไม่ออกไปถวายบังคมและไม่ออกต่อรบกองทัพเชียงใหม่จะหักเอาเมืองแพร่ก็มิได้ นายทัพนายกองทั้งหลายจึงคิดทำปืนปู่เจ้ายิงเข้าไปในเมืองแพร่ นัดแรกกระสุนต้องต้นตาลใหญ่ในเมืองแพร่หักเพียงคอ นัดที่สองถูกกลางต้นตาลหักโค่นลง ท้าวแม่คุณเห็นดังนั้นก็ตกใจกลัว จึงออกไปถวายบังคมต่อพระมหาเทวี พระมหาเทวีจึงให้ท้าวแม่คุณครองเมืองแพร่ดังเก่า แล้วเลิกทัพกลับเชียงใหม่ เมืองแพร่สมัยกรุงศรีอยุธยา (จุลศักราช ๘๒๒ พ.ศ. ๒๐๐๓) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ยกทัพหลวงจากกรุงศรีอยุธยาขึ้นมาตีเมืองแพร่ทางเขาพึง หมื่นด้งนคร รักษาเมืองเชียงใหม่แทนพระเจ้าติโลกราช ซึ่งเสด็จไปตีเมืองพง ยกกองทัพไปตั้งรับไว้ พอพระเจ้าติโลกราชทรงทราบข่าว จึงเสด็จยกทัพหลวงลงไปช่วยหมื่นด้งนคร สมเด็จ พระเจ้าบรมไตรโลกนาถ จึงล่าถอยทัพกลับกรุงศรีอยุธยา หนังสือสังคมศึกษา เขตการศึกษา ๘ กล่าวถึงความตอนนี้ว่า ปี พ.ศ. ๒๐๐๓ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถให้ราชโอรสพระนามว่าพระอินทราชาเป็น แม่ทัพหน้ายกไปตีเมืองเชียงใหม่ ตีเมืองรายทางถึงลำปาง พระอินทราชาเข้าชนช้างกับแม่ทัพข้าศึกต้องปืนสิ้นพระชนม์ในที่รบ กองทัพพระอินทราชาและกองทัพสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจำต้องยกกลับ ขณะนั้นเมืองแพร่อยู่ในอาณาเขตของเชียงใหม่ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับสมเด็จพระนพรัตนวัดพระเชตุพนกล่าวถึงตอนนี้ว่า ศักราช ๘๐๙ ปีเถาะ นพศก พระยาเชลียงนำมหาราชมาเอาเมืองพระพิษณุโลกเข้าปล้นเมืองเป็นสามารถเอามิได้ จึงยกทัพไปเอาเมืองกำแพงเพชร เข้าปล้นเมืองถึงเจ็ดวันมิได้ สมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถเจ้า และสมเด็จพระอินทราชาเสด็จขึ้นไปช่วยเมืองกำแพงเพชรทันและสมเด็จพระอินท-ราชาตีทัพพระยาเกียรติแตก ทัพท่านมาปะทะทัพหมื่นนครได้ชนช้างด้วยหมื่นนคร และข้าศึกลาวทั้งสี่เข้ารุมเอาช้างพระที่นั่งข้างเดียว ครั้งนั้นพระอินทราชาเจ้าต้องปืน ณ พระพักตร์ ทัพมหาราชนั้นเลิกทัพคืนไป จุลศักราช ๘๖๘ พ.ศ. ๒๐๔๙ แผ่นดินสมัยพระเมืองแก้วครองเมืองเชียงใหม่ ท้าวเมืองคำข่าย นำบริวารหมู่จุมมาเป็นข้า พระเมืองแก้วจึงให้ไปกินเมืองแพร่ (กิน = ครอง) จุลศักราช ๘๗๐ พ.ศ. ๒๐๕๑ แม่ทัพกรุงใต้ (กรุงศรีอยุธยา) ชื่อพระยากลาโหมยกเอา รี้พลมารบเมืองแพร่ หมื่นจิตรเจ้าเมืองน่านยกทัพมาช่วยต่อสู้ด้วยจนได้ชัยชนะ จุลศักราช ๘๗๒ พ.ศ. ๒๐๕๓ แม่ทัพกรุงใต้ชื่อ ขราโห (เพี้ยนมาจากคำว่า กลาโหม) ยกทัพมารบเมืองแพร่อีก หมื่นคำคาย เจ้าเมืองละกอน (ลำปาง) ยกทัพไปช่วยเมืองแพร่ รบกันจนทัพเมืองใต้แตกพ่ายหนีกลับไป ในปีเดียวกัน คือ จุลศักราช ๘๗๒ พ.ศ. ๒๐๕๓ พระเมืองแก้วให้เจ้าเมืองแพร่สร้อยไปกินเมืองน่าน แทนท้าวเมืองคำข่าย (หมื่นสามล้าน) ครั้นจุลศักราช ๘๗๘ พ.ศ. ๒๐๕๙ พระเมืองแก้วให้เจ้าเมืองแพร่คำยอดฟ้าไปครองเมืองน่าน และทรงย้ายเจ้าเมืองน่านไปครองเมืองพะเยา พระยาแพร่ยอดคำฟ้าครองเมืองน่าน (พ.ศ. ๒๐๕๙, พ.ศ. ๒๐๖๒, พ.ศ. ๒๐๖๙) ต่อมายกทัพไปรบศึกที่เชียงใหม่ป่วยเป็นฝีเนื้อร้ายจนถึงแก่กรรม จุลศักราช ๙๘๕ พ.ศ. ๒๐๖๖ ขณะที่พม่าเข้าครอบครองลานนาไทย เจ้าอุ่นเฮือนผู้ครองเมืองน่านได้รบกับพม่า สู้พม่า ไม่ได้หนีไปพึ่งเมืองชะเลียง พอถึงจุลศักราช ๙๘๖ พ.ศ. ๒๐๖๗ เจ้าอุ่นเฮือนก็คุมพวกเข้าหักเอาเมืองน่าน ไล่ข้าศึกหนีจากเมืองน่านไปอยู่เมืองแพร่ จุลศักราช ๙๐๗ พ.ศ. ๒๐๘๘ เมืองเชียงใหม่เกิดจลาจล ทางกรุงศรีอยุธยาแผ่นดินสมเด็จพระไชยราชาได้ยกกองทัพขึ้นมาตีเมืองเชียงใหม่ พระนางจิระประภา ราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้นำเอาเครื่องราชบรรณาการไปถวาย พระไชยราชาจึงยกกองทัพกลับ เมืองแพร่จึงตกอยู่ใต้อำนาจของกรุงศรีอยุธยาไปด้วย จุลศักราช ๙๑๒ พ.ศ. ๒๐๙๓ พระยาแพร่ เป็นที่พระยาสามล้านเชียงใหม่ได้ร่วมกันคบคิดจะเป็นใหญ่ในนครพิงค์กับ พระยาล้านช้าง พระยาหัวเวียงล้านช้างรวบรวมไพร่พลยกกำลังเข้าไปถึงนครพิงค์จักกระทำร้ายแก่เมือง ครั้นกระทำมิได้ก็ออกหนีไป ฝ่ายเจ้าขุนทั้งหลายในนครพิงค์ต่างก็แต่งทหารออกรบ พระยาสามล้าน (พระยาแพร่) และพวกก็แตกพ่ายหนีไปเมืองแพร่ จุลศักราช ๙๒๐ พ.ศ. ๒๑๐๑ พระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์พม่ายกกองทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ ทหารเมืองเชียงใหม่มีน้อยกว่าพม่า อีกทั้งกองทัพพระเจ้าบุเรงนองเข้มแข็งชาญศึกสงครามกว่าพม่าจึงได้ชัยชนะ เชียงใหม่ตกเป็นประเทศราชของพม่า เมืองแพร่จึงตกอยู่ใต้อำนาจของพม่าด้วย พม่าปกครองประเทศราชในอาณาจักรลานนาไทย อันได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน พะเยา แพร่ น่าน ด้วยการให้ขุนนางของพม่าพร้อมด้วยทหารจำนวนหนึ่งอยู่เป็นข้าหลวงอยู่กำกับเมือง จุลศักราช ๙๓๑ พ.ศ. ๒๑๑๑ อาณาจักรลานนาไทยถูกพม่าเกณฑ์ให้ยกกองทัพไปช่วยรบกรุงศรีอยุธยา เมืองแพร่ก็ยกกองทัพร่วมไปกับพม่าครั้งนี้ด้วย และในที่สุด จุลศักราช ๙๓๒ พ.ศ. ๒๑๑๒ กรุงศรีอยุธยาก็แตก ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า อาณาจักรลานนาไทยจึงตกอยู่ใต้อำนาจของพม่าดังเดิม จุลศักราช ๙๘๓ พ.ศ. ๒๑๖๓ แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม กรุงศรีอยุธยามีกองทัพไม่ค่อยเข้มแข็งเกรียงไกร อาณาจักรลานนาจึงตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา จุลศักราช ๙๙๗ พ.ศ. ๒๑๗๗ พระเจ้าสุทโธธรรมราชา กษัตริย์พม่าได้ยกกองทัพมาตีเมืองเชียงใหม่และจับกุมเอาตัว พระเจ้าเชียงใหม่ไปคุมขังไว้ที่เมืองหงสาวดี เมื่อจัดการปกครองในเมืองเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าสุทโธธรรมราชายกทัพไปปราบเมืองต่างๆ ในเขตลานนาไทยยึดเมืองทุกเมืองไว้ในอำนาจ เมืองแพร่จึงตกอยู่ในอำนาจของพม่าอีกครั้ง จุลศักราช ๑๐๒๔ พ.ศ. ๒๒๐๕ แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้ยกกองทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ พระองค์ทรงเป็นจอมทัพตีหัวเมืองรายทางตั้งแต่ลำปาง แพร่ ลำพูน จนถึงเมืองเชียงใหม่ โปรดให้เจ้าพระยาโกษาเหล็กถมดินทำเป็นเชิงเทินตั้งปืนใหญ่ ยิงกราดเข้าไปในเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่ก็แตก ฝ่ายกองทัพพม่ายกมาแต่เมืองอังวะเพื่อช่วยเหลือเมืองเชียงใหม่ (เพราะพม่าปกครองเมืองเชียงใหม่) ก็ถูกทัพไทยซุ่มโจมตีกระหนาบแตกพ่ายยับเยินไป ดังนั้น อาณาจักรลานนาจึงตกอยู่ใต้อำนาจของกรุงศรีอยุธยา แทรกกล่าว มีข้อน่าสังเกตว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเมืองแพร่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขณะใดที่กองทัพเมืองเชียงใหม่เข้มแข็ง เมืองแพร่ก็จะขึ้นอยู่กับเชียงใหม่ หากขณะใดที่ กองทัพกรุงศรีอยุธยาเข้มแข็ง เมืองแพร่ก็จะขึ้นอยู่กับกรุงศรีอยุธยา ระยะเวลาใดที่ทั้งสองฝ่ายอ่อนแอหรือเกิดจลาจล เมืองแพร่ก็จะตั้งตนเป็นอิสระทันที จุลศักราช ๑๑๐๓ พ.ศ. ๒๒๘๓ พระเจ้าอังวะ กษัตริย์พม่าให้โปทัพพะการมังดีเป็นแม่ทัพยกกำลังหนึ่งหมื่นคนมาตีเมืองเทิน เมืองแพร่ เมืองน่าน กวาดต้อนผู้คนในเมืองดังกล่าวไปไว้ที่เมืองเชียงแสน ในปีต่อมา จุลศักราช ๑๑๐๔ พ.ศ. ๒๒๘๔ พระยาแพร่พร้อมกับเจ้าเมืองฝ่ายเหนือ มีพระยายองเป็นต้น ต่างรวบรวมไพร่พล ยกเข้ารบพุ่งฆ่าฟันพม่าที่ปกครองเมืองเชียงแสน พม่าทราบข่าวจึงส่งกองทัพใหญ่ลงมาช่วย พระนครลำปางจึงกวาดต้อนผู้คนของตนไปไว้ที่เมืองเทิง ส่วนพระยายองและพระยาแพร่ ได้นำผู้คนของตนไปไว้ที่เมืองภูคา (อำเภอปัว จ.น่าน) แต่ก็ถูกพม่าตามตีแตกพ่ายจนต้องหนีเข้าไปในเมืองน่าน จุลศักราช ๑๑๐๕ พ.ศ. ๒๒๘๕ เจ้าเมืองแพร่ และเจ้าเมืองน่านพร้อมด้วยเจ้าเมืองฝ่ายลานนา มีพระยายองเป็นหัวหน้า ต่างรวมกำลังไพร่พลยกไปรบพม่าที่ปกครองเมืองเชียงแสนแล้วตั้งตนเป็นอิสระนครอีกครั้งหนึ่ง จุลศักราช ๑๑๒๑ พ.ศ. ๒๓๐๒ เจ้าชายแก้ว โอรสพระยาสุละวะฤาไชยสงคราม (ทิพช้าง) เจ้าเมืองละกอน (ลำปาง) พาครอบครัวญาติพี่น้องและบริวารหนีท้าวลิ้นก่านไปซ่องสุมผู้คนอยู่เมืองแพร่ แล้วยกกองทัพไปรบกับท้าวลิ้นก่านที่เมืองลำปางแต่สู้ไม่ได้จึงหนีไปพึ่งพม่า จุลศักราช ๑๑๒๓ พ.ศ. ๒๓๐๔ กองทัพพม่ายกมาตีเมืองเชียงใหม่ ครั้นแล้วก็ยกกองทัพเข้าตีเมืองลำปาง (เจ้าชายแก้วซึ่งหนีไปพีงพม่าเมื่อคราวก่อนร่วมมากับกองทัพพม่าด้วย) พม่ายึดเมืองลำปางได้ เจ้าชายแก้วจึงจับท้าวลิ้นก่านประหารชีวิตเสีย กองทัพพม่ายกมายึดครองเมืองแพร่ เมืองน่าน และลานนาไทยเกือบทั้งหมด ครั้นปีต่อมาพม่าจำต้องยกกองทัพกลับเพราะเกิดจลาจลในเมืองอังวะ จุลศักราช ๑๑๒๙ พ.ศ. ๒๓๑๐ พวกชาวลานนาไทย ถูกพม่าข่มเหงรังแกเบียดเบียน บ่อยครั้งจึงคิดจะกอบกู้อิสรภาพ พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่าทราบข่าวได้นำกองทัพใหญ่ลงมาปราบ อาณาจักรลานนาไว้ได้ทั้งหมด หลังจากปราบปรามหัวเมืองฝ่ายเหนือแล้ว พระเจ้ามังระก็กรีฑาทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยา และในที่สุดกรุงศรีอยุธยาก็เสียอิสรภาพแก่พม่า เมืองแพร่จึงตกอยู่ใต้อำนาจของพม่าอีกครั้งหนึ่ง จนถึงจุลศักราช พ.ศ. ๑๑๓๑ พ.ศ. ๒๓๑๒ เมืองแพร่สมัยกรุงธนบุรี จุลศักราช ๑๑๓๑ พ.ศ. ๒๓๑๒ พงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับหอสมุดแห่งชาติกล่าวว่า หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกเพียงปีเดียว สมเด็จพระเจ้าตากสินก็ได้รวบรวมกำลังไพร่พล ต่อสู้กับพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น กรุงศรีอยุธยา พิษณุโลก พิชัย สวรรคโลกจนข้าศึกแตกพ่ายหนีไป จุลศักราช ๑๑๓๒ พ.ศ. ๒๓๑๓ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเห็นว่าอาณาจักรลานนายังมีพม่ายึดครองอยู่มาก จึงโปรดให้ยกกองทัพขึ้นไปตีพม่าที่ครองเมืองเชียงใหม่ ขณะเดินทางเรือมาถึงเมืองพิชัยก็มีเจ้ามังชัย ผู้ปกครองเมืองแพร่พาขุนนางกรมการเมือง และไพร่พลเข้าเฝ้าถวายบังคมขอเป็นเมืองในขอบขัณฑสีมา สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงโปรดแต่งตั้งให้เป็น พระยาศรีสุริยวงศ์ แล้วให้เข้าร่วมขบวนทัพ ยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ พระราชพงศาวดารฉบับหอสมุดแห่งชาติกล่าวถึงความตอนนี้ว่า พระยาแพร่ ผู้ชื่อว่า มังไชย พม่าจับตัวไปครั้งทัพอะแซหวุ่นกี้มาตีเมืองพิษณุโลกมากับกองทัพครั้งนี้ด้วย พระยาแพร่มีจิตคิดสวามิภักดิ์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงเทพฯ จึงคิดอ่านชักชวนพระยายองยกกองทัพไปตีเมืองเชียงแสน เจ้าเมืองเชียงแสนสู้ไม่ได้จึงหนีไปหาพระยาเชียงราย พระยาแพร่ และพระยายอง ก็ยกทัพติดตามไปที่เชียงราย พระยาเชียงรายเห็นว่า พระยาแพร่และพระยายองเป็นชนชาติเชื้อลาวด้วยกัน จึงจับตัว เจ้าเมืองเชียงแสนชื่อ อาปรกามณี เป็นชาวพม่าส่งให้พระยาแพร่และพระยายอง พระราชพงศาวดารเมืองเหนือ กล่าวถึงความตอนนี้ว่า จุลศักราช ๑๑๓๓ พ.ศ. ๒๓๑๔ เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปตีเชียงใหม่, มังไชยะ เจ้าเมืองแพร่มาสวามิภักดิ์จึงโปรดตั้งให้เป็นพระยาศรีสุริยวงศ์แล้วเกณฑ์ไปตีเมืองเชียงใหม่ด้วย ปีกุน เอกศก จุลศักราช ๑๑๔๑ เจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ได้แต่งกองทัพหลวง ๓๐๐ คน ให้มาตรวจราชการทางเมืองแพร่ เมืองน่าน ตลอดไปจนถึงเมืองนครลำปาง หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:51:24 แพร่ ๒
กองข้าหลวงดังกล่าวได้ทำโจรกรรมแย่งชิงทรัพย์สินของราษฎร ฉุดคร่าบุตรภรรยาของ ชาวบ้านไปทำอนาจารต่างๆ ราษฎรได้นำความเข้าร้องทุกข์ต่อพระยากาวิละ เจ้าเมืองนครลำปาง พระยากาวิละขัดใจก็ยกพวกไพร่พลออกไปขับไล่ฆ่าฟันข้าหลวงที่อยู่บ้านวังเกิง ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบข่าวจึงให้มีตราหาตัวพระยากาวิละลงไปกรุงเทพฯ แต่พระยากาวิละก็ขัดตราเสียหาไปไม่ พระยากาวิละคิดจะทำความชอบแก้โทษที่ทำผิดจึงยกกองทัพไปตีเมืองลอ เมืองเทิง กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยจำนวนมากแล้วจึงลงไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ กรุงธนบุรี แต่พระยากาวิละยังถูกลงโทษอีกนั่นเองคือทรงให้เฆี่ยน ๑๐๐ ที แล้วให้จำคุกไว้ พระยากาวิละได้ร้องขออาสาไปตีเมืองเชียงแสนแก้โทษ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรง พระกรุณาโปรดพระราชทานให้ถอดออกจากคุกและให้ไปทำราชการตามเดิม พระยากาวิละไปถึงเมืองป่าช้าง จึงแต่งให้พระยาอุปราชคุมพลร้อยเศษไปเกลี้ยกล่อม นาขวา เมืองเชียงแสน เพราะเวลานั้นกองทัพพม่าเลิกไปหมดแล้ว ให้นาขวารักษาเมืองไว้พร้อมด้วยทหารพม่าจำนวนหนึ่ง นาขวาปลงใจด้วยกับพระยาอุปราช พระยากาวิละจึงได้ตัวพระยาแพร่ พระยาเถินคืนจากพม่า จุลศักราช ๑๑๔๒ พ.ศ. ๒๓๒๓ เดือน ๖ ขึ้น ๖ ค่ำ พงศาวดารเมืองน่านฉบับหอสมุดแห่งชาติกล่าวว่า พญาจ่าบ้าน พญาละกอน พญาแพร่ และชาวเมืองหลวงพระบางได้ร่วมกันคบคิดยกทัพไปพร้อมกันที่สมกก เพื่อไปตีเมืองเชียงแสน และในที่สุดก็ตีเมืองเชียงแสนได้เมื่อเดือน ๗ ขึ้น ๙ ค่ำ วันจันทร์ยามเช้า จุลศักราช ๑๑๔๔ พ.ศ. ๒๓๒๕ พงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับหอสมุดแห่งชาติกล่าวว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้รับความร่วมมือร่วมใจจากบุคคลสำคัญของอาณาจักรลานนาไทย เช่น พระยา จ่าบ้าน เจ้ากาวิละทำการขับไล่ฆ่าฟันพม่าที่ยึดครองเมืองเชียงใหม่จนพวกพม่าแตกพ่ายหนีไป หลังจากนั้นได้เข้าตีหัวเมืองอื่นๆ เช่น ลำปาง ลำพูน เชียงราย แพร่ น่าน ขับไล่พม่าไปจนหมดสิ้น เมืองแพร่และเมืองอื่นๆ ดังกล่าวจึงอยู่ใต้อำนาจของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั้งหนึ่ง เมืองแพร่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ระหว่างจุลศักราช ๑๑๔๗ - จุลศักราช ๑๒๒๙ (พ.ศ. ๒๓๒๘ - พ.ศ. ๒๔๑๐) จุลศักราช ๑๑๔๗ พ.ศ. ๒๓๒๘ พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสนกล่าวว่ากษัตริย์พม่าแต่งให้กาละมังดีเป็นแม่ทัพมีกำลังหมื่นหนึ่ง ยกมาตีอาณาจักรลานนาแวะถึงเมืองเชียงแสนในเดือน ๔ ขึ้น ๑๑ ค่ำวันเสาร์ เข้ายึดเมืองเชียงแสนได้แล้วยกทัพเข้าตีเมืองเทิง ฝ่ายเมืองเชียงใหม่และละกอนลำปาง ต่างพร้อมใจกันรวบรวมไพร่พลต่อสู้กับพม่าและ ป้องกันเมืองเอาไว้ได้ ฝ่ายพญาแพร่ พญาน่าน เห็นว่ากองทัพพม่าใหญ่หลวงนักเกรงจะสู้ไม่ได้ จึงบ่สู้บ่รบ ยอมอ่อนน้อมเป็นข้าของพม่าแต่โดยดี แม่ทัพพม่าคือ กาละมังดี จึงให้พญาแพร่ พญาน่าน ยกกองทัพไปแวดล้อมเมืองละกอนไว้ เมื่อพม่าไม่สามารถตีเอาเมืองใดได้ จึงล่าถอยทัพกลับไป จุลศักราช ๑๑๔๘ พ.ศ. ๒๓๒๙ เดือน ๕ เพ็ญ พญาแพร่พร้อมกับเจ้าเมืองฝ่ายเหนือ คิดกอบกู้เอกราชคืนจากพม่า จึงยกทัพไปตีเมืองเชียงแสน มวยหวาน ซึ่งปกครองเมืองเชียงแสนหนีพ่ายไปเชียงราย พญาเชียงรายจับตัวได้ส่งไปยังเมืองละกอนลำปาง พญาละกอนส่งตัวมวยหวานไปยังกรุงเทพฯ ฝ่ายพญาละกอน เมื่อส่งมวยหวานไปกรุงเทพฯ แล้ว ก็ยกกองทัพไปเมืองเชียงแสนจับตัว พญาแพร่ใส่คา จองจำส่งตัวลงกรุงเทพฯ จุลศักราช ๑๑๖๘ พ.ศ. ๒๓๒๘ พม่าส่งกองทัพมาตีหัวเมืองอาณาจักรลานนา แต่เวลานั้นทางเมืองเชียงใหม่ยังร้างอยู่ไม่มีใครปกครอง จึงเลยลงไปตีเมืองลำปาง เจ้าเมืองลำปางคือพระยา กาวิละได้ต่อสู้ต้านทานทัพพม่า สามารถรักษาเมืองไว้ได้ พม่าจึงแต่งกองทัพให้ล้อมเมืองไว้ก่อน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงทราบข่าวศึก จึงโปรดให้กรมหลวงเจษฎายกกองทัพขึ้นมาช่วย ฝ่ายพระยากาวิละ รู้ว่ากองทัพในกรุงขึ้นมาช่วยก็มีกำลังห้าวหาญยกกองทัพตีฝ่าวงล้อมของพม่าออกจากเมือง ได้สู้รบกันตั้งแต่เช้าจนเที่ยง กองทัพพม่าจึงแตกพ่ายไป เมื่อกองทัพพม่าถูกไล่ออกจากอาณาจักรลานนาแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ได้โปรดพระราชทานบำเหน็จให้แก่เจ้านายฝ่ายเหนือโดยให้พระยากาวิละเจ้าเมืองลำปางขึ้นไปครองเมืองเชียงใหม่ ส่วนพระยามังชัย เจ้าเมืองแพร่ พระองค์ทรงเห็นว่าถ้าจะให้ไปครองเมืองแพร่ก็ยังไม่ไว้วางพระราชหฤทัย เพราะพระยามังชัยเคยอยู่กับพม่ามานาน จึงโปรดให้ไปช่วยราชการอยู่ที่เมืองลำปางก่อน จุลศักราช ๑๑๗๑ พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงโปรดให้ เจ้าเมืองฝ่ายเหนือยกกองทัพไปตีเมืองเชียงตุง พระยามังชัย เจ้าเมืองแพร่ ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่เมืองลำปางได้ร่วมไปกับกองทัพด้วย พระยามังชัยได้แสดงความห้าวหาญชาญศึกอาสาเป็นนายกองหน้าเข้าตีเมืองเชียงตุง และสามารถตีเมืองเชียงตุงจนได้ชัยชนะ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงเห็นความดีและความสามารถจึงโปรดให้กลับไปครองเมืองแพร่ดังเดิม หลังจากรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแล้ว ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเมืองแพร่ไม่มีกล่าวถึงจนกระทั่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมืองแพร่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนกลาง ระหว่างจุลศักราช ๑๒๕๓ - จุลศักราช ๑๒๙๖ (พ.ศ. ๒๔๓๔ - พ.ศ. ๒๔๗๗) จุลศักราช ๑๒๕๓ พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนระบอบการปกครองประเทศ เป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล มีข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลลดอำนาจเจ้าผู้ครองเมืองให้น้อยลงกว่าเดิม เมืองแพร่ พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาไชยบูรณ์ (ทองอยู่ สุวรรณบาตร) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งปลัดมณฑลพิษณุโลก มาเป็นข้าหลวงกำกับการปกครองเมืองแพร่เป็นคนแรกในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ หนังสือการปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพ พ.ศ. ๒๔๓๖ - พ.ศ. ๒๔๗๖ กล่าวถึงตอนนี้ว่า เมืองแพร่จัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลหลังจากพระยาทรงสุรเดช ได้ไปตรวจ ราชการในเมืองแพร่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ กล่าวคือ เมื่อพระยาทรงสุรเดชไปถึงเมืองแพร่ พระยาพิริยวิไชย เจ้าเมืองแพร่ได้ให้การต้อนรับพระยาทรงสุรเดชเป็นอย่างดี พร้อมกับแสดงความจำนงให้พระยาทรงสุรเดชทราบว่าต้องการให้จัด ราชการ ๖ ตำแหน่งขึ้นในเมืองแพร่ให้เหมือนกับแบบแผนราชการเมืองเชียงใหม่ เหตุที่พระพิริยวิไชยเสนอเช่นนั้นก็ประสงค์จะขอพระราชทานเลื่อนยศขึ้นเป็น เจ้า พระยาทรงสุรเดชเห็นว่างานราชการทั้งหมดของเมืองแพร่ตกอยู่ในอำนาจของพระยา พิริยวิไชยทั้งสิ้น ดังนั้น เพื่อให้การปกครองของเมืองแพร่เรียบร้อย จึงให้ทำการทดลองจัดราชการ ๖ ตำแหน่งขึ้นในเมืองแพร่ พระยาทรงสุรเดชได้มอบหมายให้ นายราชาภักดิ์ ข้าหลวงเมืองแพร่ ทำหน้าที่เป็น ที่ปรึกษาของพระยาพิริยวิไชย จัดการราชการงานในเมืองแพร่ร่วมกัน แทรกกล่าว มีข้อน่าสังเกตว่า ประวัติศาสตร์เมืองเหนือของ ตรี อมาตยกุล กล่าวว่า โปรดเกล้าฯ ให้พระยาไชยบูรณ์ไปเป็นข้าหลวงกำกับการปกครองเมืองแพร่เป็นคนแรกปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ส่วนปริญญานิพนธ์ของสรัสวดี ประยูรเสถียร ข้างต้นนี้กล่าวว่า พระยาทรงสุรเดชได้ มอบหมายให้ นายราชาภักดิ์ ข้าหลวงเมืองแพร่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของพระยาพิริยวิไชย จัดการ ราชการงานในเมืองแพร่ร่วมกัน จึงทำให้เป็นที่น่าสงสัยว่า นายราชาภักดิ์ หรือพระยาไชยบูรณ์เป็นข้าหลวงเมืองแพร่ คนแรกกันแน่ กบฏเงี้ยวเมืองแพร่ จุลศักราช ๑๒๖๔ พ.ศ. ๒๔๔๕ ในขณะที่พระยาไชยบูรณ์เป็นข้าหลวงกำกับการปกครองเมืองแพร่อยู่นั้น ปรากฏว่ามีพวกเงี้ยวหรือไทยใหญ่ได้คบคิดกันก่อการจลาจลขึ้นในเมืองแพร่ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ วันศุกร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ เวลาประมาณ ๗ นาฬิกา พวกไทยใหญ่นำโดย พะกาหม่องและสะลาโปไชย หัวหน้าพวกโจรเงี้ยวนำกองโจรประมาณ ๔๐ - ๕๐ คน บุกเข้าเมืองแพร่ทางด้านประตูชัย จู่โจมสถานีตำรวจเป็นจุดแรก ขณะนั้นสถานีตำรวจเมืองแพร่มีประมาณ ๑๒ คน จึงไม่สามารถต้านทานได้ กองโจรเงี้ยวเข้ายึดอาวุธตำรวจแล้วพากันเข้าโจมตีที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข โจรเงี้ยวได้ตัดสายโทรเลขและทำลายอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ เพื่อตัดปัญหาการสื่อสาร ครั้นแล้วก็มุ่งหน้าสู่บ้านพักข้าหลวงประจำเมืองแพร่ แต่ก่อนที่กองโจรเงี้ยวจะไปถึงบ้านพักข้าหลวงนั้น พระยาไชยบูรณ์ (ทองอยู่ สุวรรณบาตร) ได้พา ครอบครัวพร้อมด้วยคุณหญิงเยื้อน ภริยาหลบหนีออกจากบ้านพักไปก่อนแล้ว พวกโจรเงี้ยวไปถึงบ้านพักไม่พบพระยาไชยบูรณ์จึงบุกเข้าปล้นทรัพย์สินภายในบ้านพักข้าหลวง และสังหารคนใช้ที่หลงเหลืออยู่จนหมดสิ้น จากนั้นจึงยกกำลังเข้ายึดที่ทำการเค้าสนามหลวง ทำลายคลังหลวงและกวาดเงินสดไปทั้งหมด ๔๖,๙๑๐ บาท ๓๗ อัฐ หลังจากนั้นพวกโจรเงี้ยวก็มุ่งตรงไปยังเรือนจำเพื่อปล่อยนักโทษให้เป็นอิสระพร้อมกับ แจกจ่ายอาวุธให้แก่นักโทษเหล่านั้น ทำให้พวกกองโจรเงี้ยวได้กำลังสนับสนุนเพิ่มขึ้นอีกจนภายหลังมีกำลังถึง ๓๐๐ คน ในระหว่างที่กองโจรเงี้ยวเข้าโจมตีสถานที่ราชการต่างๆ อยู่นั้น ราษฎรเมืองแพร่ตื่นตกใจกันมาก บางส่วนได้อพยพหลบออกไปอยู่นอกเมืองทันที กองโจรเงี้ยวจึงประกาศให้ราษฎรอยู่ในความสงบ เพราะพวกตนจะไม่ทำร้ายชาวเมืองจะฆ่าเฉพาะคนไทยภาคกลางที่มาปกครองเมืองแพร่เท่านั้น ราษฎรจึงค่อยคลายความตกใจลง และบางส่วนได้เข้าร่วมกับพวกกองโจรเงี้ยวก็มี ทำให้กองโจรเงี้ยวทำงานคล่องตัวและมีกำลังเข้มแข็งขึ้น ขณะเดียวกันพระยาไชยบูรณ์ซึ่งพาภริยา คือ คุณหญิงเยื้อนหลบหนีออกจากบ้านพักตรงไปยังคุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ หวังขอพึ่งกำลังเจ้าเมืองแพร่หรือเจ้าหลวงเมืองแพร่ คือ พระยาพิริยวิไชย เมื่อไปถึงคุ้มเจ้าหลวง เจ้าหลวงเมืองแพร่กล่าวว่า จะช่วยอย่างไรกัน ปืนก็ไม่มี ฉันก็จะหนีเหมือนกัน พระยาไชยบูรณ์ตัดสินใจพาภริยาและหญิงรับใช้หนีออกจากเมืองแพร่ไปทางบ้านมหาโพธิ์เพื่อหวังไปขอกำลังจากเมืองอื่นมาปราบ ส่วนเจ้าเมืองแพร่นั้นหาได้หลบหนีไปตามคำอ้างไม่ ยังคงอยู่ในคุ้มตามเดิม ตอนสายของวันที่ ๒๕ กรกฎาคม เมื่อกองโจรเงี้ยวสามารถยึดเมืองแพร่ได้แล้ว พะกาหม่องและสะลาโปไชยก็ไปที่คุ้มเจ้าหลวง เพื่อเชิญให้เจ้าเมืองแพร่ปกครองบ้านเมืองตามเดิม ก่อนจะปกครองเมือง พะกาหม่องได้ให้เจ้าเมืองแพร่และเจ้านายบุตรหลานทำพิธีถือ น้ำสาบานก่อน โดยมีพระยาพิริยวิไชยเป็นประธานร่วมด้วยเจ้าราชบุตร เจ้าไชยสงครามและเจ้านายบุตรหลานอื่นๆ รวม ๙ คน ในพิธีนี้มีการตกลงร่วมกันว่าจะร่วมกันต่อต้านกองทัพของรัฐบาลโดยพวกกองโจรเงี้ยวเป็นกองหน้าออกสู้รบเอง ส่วนเจ้าเมืองและคนอื่นๆ เป็นกองหลังคอยส่งอาหารและอาวุธตลอดทั้งกำลังคน วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พวกกองโจรเงี้ยวเริ่มลงมือตามล่าฆ่าข้าราชการไทยและคนไทย ภาคกลางทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือสตรีที่หลบหนีไปโดยประกาศให้รางวัลนำจับ เฉพาะค่าหัวพระยาไชยบูรณ์และพระเสนามาตย์ยกบัตรเมืองแพร่ คนละ ๕ ชั่ง หรือ ๔๐๐ บาท นอกนั้นลดหลั่นลงตามลำดับความสำคัญ แต่อย่างต่ำจะได้ค่าหัวคนละ ๔๐ บาท วันที่ ๒๗ กรกฎาคม พระยาไชยบูรณ์ซึ่งอดอาหารมาเป็นเวลา ๓ วัน กับ ๒ คืน โดยหลบซ่อนอยู่บนต้นข่อยกลางทุ่งนาใกล้ๆ กับหมู่บ้านร่องกาด ได้ออกจากที่ซ่อนเพื่อขออาหารจากชาวบ้านร่องกาด ราษฎรคนหนึ่งในบ้านร่องกาดชื่อหนานวงศ์ จึงนำความไปแจ้งต่อพะกาหม่องเพื่อจะเอาเงินรางวัล พะกาหม่องนำกำลังไปล้อมจับพระยาไชยบูรณ์ทันที จับตัวได้ก็ควบคุมตัวกลับเข้าเมืองแพร่ และได้บังคับขู่เข็ญพระยาไชยบูรณ์ตลอดทาง พระยาไชยบูรณ์จึงท้าทายให้พวกโจรเงี้ยวฆ่าตนเสียดีกว่า ดังนั้นพอมาถึงทางระหว่างร่องกวางเคา (ปัจจุบันเรียกว่าร่องคาว) โจรเงี้ยวคนหนึ่งชื่อ จองเซิน จึงคิดฆ่าพระยาไชยบูรณ์ทันที นอกจากพระยาไชยบูรณ์แล้ว พวกโจรเงี้ยวยังได้จับข้าราชการไทยอีกหลายคนฆ่า ที่สำคัญได้แก่ พระเสนามาตย์ ยกกระบัตรศาล หลวงวิมล ข้าหลวงผู้ช่วย ขุนพิพิธ ข้าหลวงคลัง นายเฟื่อง ผู้พิพากษา นายแม้น อัยการ นายอำเภอ ปลัดอำเภอ และสมุห์บัญชีอำเภอต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก นับเป็นการเข่นฆ่าข้าราชการไทยครั้งยิ่งใหญ่จริงๆ ในภาคเหนือ ทางรัฐบาลไทยได้ส่งกองทัพจากเมืองใกล้เคียง เช่น พิชัย สวรรคโลก สุโขทัย ตาก น่าน และเชียงใหม่ เข้ามาปราบปรามพวกกองโจรเงี้ยวอย่างรีบด่วน โดยกำหนดให้ทุกเมืองระดมกำลังเข้าปราบปราม พวกกองโจรเงี้ยวในเมืองแพร่พร้อมกันทุกด้าน และยังได้มอบหมายให้เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) นำกองทัพหลวงขึ้นมาปราบปรามพร้อมทั้งให้ดำเนินการสอบสวนสาเหตุการปล้นครั้งนี้ด้วยและให้ถือว่าเป็น กบฏ ด้วย ดังนั้นจึงเรียกว่า กบฏเงี้ยวเมืองแพร่ ส่วนพวกกองโจรเงี้ยวเมื่อสามารถก่อการกบฏได้สำเร็จก็ไม่ได้ตระเตรียมกำลังป้องกันแต่อย่างใด จนกระทั่งวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ เมื่อทราบข่าวว่ากองทัพรัฐบาลจะมาปราบปรามจึงได้แบ่งกำลังออกเป็น ๒ กอง กองหนึ่งนำโดยสะลาโปไชย ยกกำลังไปทางด้านใต้เพื่อขัดตาทัพ รัฐบาลที่ส่งมา อีกกองหนึ่งนำโดยพะกาหม่อง ยกกำลังไปทางด้านตะวันตกเพื่อโจมตีนครลำปางหวังยึดเมืองเป็นฐานกำลังอีกแห่งหนึ่ง การโจมตีนครลำปางนั้น พวกกองโจรเงี้ยวต้องประสบกับความผิดหวัง เพราะนครลำปางรู้เหตุการณ์และเตรียมกำลังไว้ต่อสู้อย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเงี้ยวไปถึงนครลำปางในวันที่ ๓ สิงหาคม จึงถูกฝายนครลำปางตีโต้กลับทำให้ กองโจรเงี้ยวแตกพ่ายหนีกระจัดกระจายไป ตัวผู้นำคือ พะกาหม่องต้องสูญเสียชีวิตเพราะถูกยิงในระหว่างการต่อสู้ ส่วนพวกกองโจรเงี้ยวที่นำโดยสะลาโปไชยนั้น ในระยะแรกสามารถสกัดทัพเมืองพิชัยไว้ได้ชั่วคราว แต่ก็ไม่สามารถต้านทานทัพเมืองสวรรคโลกและสุโขทัยได้ จึงถอยกลับไปตั้งหลักที่เมืองแพร่ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม แต่ในที่สุดพวกโจรเงี้ยวก็หนีกระจัดกระจายไปเพราะต่อสู้ไม่ไหว ดังนั้น ในวันที่ ๑๔ สิงหาคม พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพ เนติโพธิ์) ผู้ว่าราชการเมืองพิชัย จึงนำกองกำลังตำรวจภูธรและทหารจำนวนหนึ่งบุกเข้าเมืองแพร่ได้สำเร็จ วันที่ ๒๐ สิงหาคม เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ก็นำทัพหลวงถึงเมืองแพร่ หลังจากเหตุการณ์สงบลงหลายวันแล้ว เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีจึงทำการสอบสวนความผิดผู้ เกี่ยวข้องทันที ขั้นแรก ได้สั่งจับชาวเมืองแพร่ ราษฎรบ้านร่องกาด คือ หนานวงค์ ที่หวังเงินรางวัลนำจับพระยาไชยบูรณ์มาประหารชีวิตเป็นเยี่ยงอย่างก่อน ขั้นที่สอง สั่งให้จับตัว พญายอด ผู้นำจับหลวงวิมลมาประหารชีวิตอีกคนหนึ่ง จากนั้นเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีได้สอบสวนพยานหลายคน โดยยึดถือตามแนวนโยบายที่กรมหลวงดำรงราชานุภาพทรงกำชับไว้ คือ ไม่ให้ตั้งข้อสงสัย หรือกล่าวหาเจ้าเมืองแพร่และเจ้านายบุตรหลานล่วงหน้า เมื่อสอบสวนพยานเสร็จไปหลายคน ก็พบหลักฐานต่างๆ ผูกมัดเจ้าเมืองแพร่และ เจ้านายบุตรหลานบางคน เช่น เจ้าราชบุตร เจ้าไชยสงครามอย่างแน่นหนาว่ามีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับกบฎครั้งนี้ ดังคำให้การของพระยาเขื่อนขัณฑ์อดีตนายแคว้น (กำนัน) เมืองสอง เป็นคนที่เจ้าเมืองแพร่ไว้วางใจ ได้กล่าวให้การไว้ตอนหนึ่งว่า เจ้าแพร่พูดว่า เมืองแพร่ต่อไปจะเป็นของไทยนานเท่าใด จะต้องเป็นเมืองของเงี้ยว เจ้าแพร่จะคิดให้พะกาหม่อง สะลาโปไชย ซึ่งเป็นหัวหน้าเงี้ยวบ่อแก้วเข้ามาตีปล้นเมืองแพร่ พวกเงี้ยวจะจับคนไทยฆ่าเสียให้หมด แต่พะกาหม่องและสะลาโปไชยจะยกเข้าตีเมืองแพร่เมื่อใดยังไม่มีกำหนด ถ้าจะให้พะกาหม่องและสะลาโปไชยยกเข้าตีเมืองแพร่วันใด จะได้มีหนังสือไปนัดพะกาหม่องและสะลาโปไชยทราบ เจ้าแพร่ได้สั่งข้าพเจ้าว่า เมื่อออกนอกราชการแล้ว อย่ามาเที่ยวเกะกะ วุ่นวายทำราชการกับไทย เมื่อเงี้ยวมันเข้าตีบางทีจะถูกปืนตายเสียเปล่า ผู้ที่ร่วมคิดให้เงี้ยวเข้าปล้นเมืองแพร่คราวนี้ เจ้าหลวงบอกข้าพเจ้าว่า พระยาราชบุตร พระไชยสงคราม เป็นผู้ร่วมคิดด้วย นอกจากนั้น ก่อนที่พวกโจรเงี้ยวเข้าปล้นเมืองแพร่ก็ได้ส่งข่าวมาบอกเจ้าเมืองแพร่ไว้แล้ว ดังคำให้การของหลวงจิตรจำนงค์ เจ้าของสัมปทานป่าไม้มีความว่า พระไชยสงครามไปที่บ้านข้าพเจ้าว่า วันที่ ๒๔ กรกฎาคม เวลากลางคืนประมาณ ๓ ทุ่มเศษ พวกเงี้ยวมีหนังสือมาบอกเจ้าแพร่ว่าถ้าในกลางคืนนี้ไม่ทัน ก็จะยกเข้าปล้นเวลาเช้ามืด เจ้าเมืองแพร่รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจึงได้ป้องกันภัยแก่ญาติและคนสนิท ดังนายส่างกราบ ผู้ ดูแลคุ้มหลวงได้ให้การไว้ตอนหนึ่งว่า ครั้นข้าพเจ้าเข้านอนเฝ้าคุ้มหลวงได้ ๖ คืน เจ้าหลวงก็บอกข้าพเจ้าว่า พวกเงี้ยวจะพากันเข้ามาปล้นเมืองแพร่วันพรุ่งนี้รู้หรือเปล่า ข้าพเจ้าก็บอกว่าไม่รู้ เจ้าหลวงจึงบอกข้าพเจ้าไปเอาปืน ๑๒ นัดที่บ้านพระไชยสงครามมาป้องกันตัวไว้ ๑ กระบอก ในวันที่ ๒๔ กรกฎาคมนั้น เจ้าเมืองแพร่ก็ได้เรียกตัว เจ้าพลอยแก้ว หลานสาวซึ่งไป คลุกคลีอยู่ในบ้านพักข้าหลวงกับคุณหญิงเยื้อน ภริยาของพระยาไชยบูรณ์ให้กลับคุ้มด่วน เพราะเกรงอันตรายจากพวกเงี้ยวจะเกิดแก่เจ้าพลอยแก้ว เมื่อพวกกองโจรเงี้ยวปล้นเมืองแพร่สำเร็จแล้ว เจ้าเมืองแพร่ได้แสดงตัวเป็นผู้สนับสนุนพวกโจรเงี้ยวอย่างเด่นชัด โดยเกณฑ์ข้าวสารชาวบ้านหลังคาละ ๒ ทะนาน อาวุธปืน กระสุนดินดำ เงิน และกองกำลัง จำนวน ๕๐ คน ส่งไปช่วย พะกาหม่องต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล จากหลักฐานต่างๆ ที่กล่าวมาทำให้เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีเข้าใจว่า เจ้าเมืองแพร่ เจ้า ราชบุตร เจ้าไชยสงคราม มีส่วนสนับสนุนให้กองโจรเงี้ยวก่อการกบฏขึ้นอย่างแน่นอน และเชื่อว่าต้องมีการตระเตรียมการล่วงหน้ามาช้านานพอสมควร ก่อนที่เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีจะได้ชำระความผิดผู้ใด เจ้าราชวงษ์และภริยาก็ตกใจกลัวความผิดดื่มยาพิษฆ่าตัวตายเสียก่อน เพราะได้ข่าวลือว่ารัฐบาลจะประหารชีวิตผู้เกี่ยวข้องกับกบฏเงี้ยว ทุกคน เมื่อเกิดอัตวินิบาตกรรมขึ้นเช่นนี้ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีเกรงว่าจะเป็นการสร้างความ เข้าใจผิดกันว่ารัฐบาลกระทำการรุนแรงต่อเจ้านายเมืองแพร่ ครั้นจะสืบหาพยานต่อไปอีกหลักฐานก็จะผูกมัดเจ้าเมืองแพร่ และเจ้านายบุตรหลานที่เกี่ยวข้องยิ่งขึ้น จนในที่สุดจะต้องถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหากบฏอย่างแน่นอน หากคดีจบในรูปนั้นย่อมกระทบกระเทือนใจเจ้านายฝ่ายเมืองเหนือทุกเมือง เพราะต่างเกี่ยวพันฉันท์ญาติผู้สืบสายราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนด้วยกัน ทั้งยังสร้างความสะเทือนใจแก่ราษฎรทั้งหลายในลานนาไทย ดังนั้นเจ้าพระยาสุรศักศ์มนตรี จึงพยายามคิดหาวิธีที่ละมุนละม่อมตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งต้องการใช้วิธีผ่อนปรนต่อเจ้านายเมืองแพร่ ขณะเดียวกันก็พยายามไม่ให้เจ้านายเมืองแพร่ตื่นตกใจหนีเข้าพึ่งอิทธิพลอังกฤษ อันอาจจะก่อให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศได้ ในที่สุด เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีก็ใช้วิธีปล่อยข่าวว่าจะมีการจับกุมตัวเจ้าเมืองแพร่และ เจ้าราชบุตร ข่าวลือนี้ได้ผล เพราะตอนดึกคืนนั้น เจ้าเมืองแพร่พร้อมด้วยคนสนิทอีกสองคนก็หลบหนีออกจากเมืองแพร่ทันที อย่างไรก็ดี การหลบหนีของเจ้าเมืองแพร่ในคืนนั้นได้รับการสนับสนุนจากเจ้าพระยา สุรศักดิ์มนตรี โดยมีคำสั่งลับมิให้กองทหารที่ตั้งสกัดอยู่รอบเมืองแพร่ขัดขวาง ทำให้การหลบหนีของ เจ้าเมืองแพร่เป็นไปอย่างสะดวกจนถึงหลวงพระบางอย่างปลอดภัย เมื่อเจ้าเมืองแพร่หนีไปได้ ๑๕ วัน ถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ราชการ จึงเป็นโอกาสให้เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีสามารถออกคำสั่งถอดเจ้าพิริยเทพวงศ์ออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองแพร่ทันที พร้อมกับสั่งอายัดทรัพย์เพื่อชดใช้หนี้หลวงที่เจ้าเมืองแพร่ค้างกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ สำหรับคดีความผิดฐานร่วมก่อการกบฏก็เป็นอันต้องระงับโดยปริยาย ไม่มีการรื้อฟื้นขึ้นอีก เจ้าพิริยเทพวงศ์ เจ้าเมืองแพร่คนสุดท้ายได้ใช้ชีวิตในบั้นปลายที่เมืองหลวงพระบางจนถึงแก่พิราลัย สำหรับเจ้าราชบุตร ผู้เป็นบุตรเขยเจ้าเมืองแพร่นั้น มีพยานหลักฐานและพฤติการณ์บ่งชัดว่าได้รู้เห็นเป็นใจกับพวกเงี้ยวเพราะโดยหน้าที่ เจ้าราชบุตรเป็นร้อยตำรวจเอกจะต้องนำกำลังออกต่อสู้ต้านทานพวกโจรเงี้ยว แต่ปรากฏว่าเจ้าราชบุตรไม่ได้ทำหน้าที่อันควรกระทำ กลับไปทำสิ่งตรงกันข้ามคือ เป็นผู้เกณฑ์กำลังออกไปสนับสนุนพวกโจรเงี้ยว ทั้งยังส่งกระสุนดินดำพร้อมเสบียงอาหารให้พวกเงี้ยว พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นความผิดขั้นรุนแรงมีโทษถึงประหารชีวิต แต่เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายหลีกเลี่ยงการประหารชีวิต เพราะไม่ประสงค์จะให้กระทบกระเทือนใจเจ้านายเมืองเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าราชบุตรเป็นบุตรชายของเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าเมืองน่าน หากกระทำตามกฎเกณฑ์ก็จะกระทบกระเทือนใจเจ้าเมืองน่าน ดังนั้น เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีจึงสั่งให้ร้อยตำรวจเอกเจ้าราชบุตรนำกองกำลังตามขึ้นไปตีพวกโจรเงี้ยวที่แตกไปอยู่ตำบลสะเอียบ อันเป็นวิธีสร้างความดีลบล้างความผิด ซึ่งร้อยตำรวจเอกเจ้าราชบุตรก็สามารถกระทำงานที่มอบหมายสำเร็จคือตีพวกกองโจรเงี้ยวจนแตกพ่ายไป ได้ริบทรัพย์จับเชลยกลับมาเป็นจำนวนมาก ในปีต่อมา พ.ศ. ๒๔๔๖ เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าเมืองน่าน ได้ขอย้ายเจ้าราชบุตรไปรับราชการที่เมืองน่าน และขอรับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นเจ้าราชดนัย อันเป็นตำแหน่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเห็นชอบด้วย เมื่อพิจารณา สาเหตุกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ อาจแบ่งได้เป็น ๒ ประการ คือ ประการแรก เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในเมืองแพร่นับตั้งแต่ช่วงจัดการ ปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งเป็นตอนที่รัฐบาลยุบเลิกฐานะเมืองประเทศราชและรวมอำนาจเข้าสู่ ส่วนกลาง ดังจะเห็นได้ว่าฐานะทางการเมืองนั้น เจ้าเมืองมีแต่เกียรติยศ ไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง เพราะอำนาจสิทธิขาดตกเป็นของข้าหลวง ซึ่งเป็นข้าราชการที่ส่งมาจากส่วนกลาง ในทางด้านเศรษฐกิจก็ถูกตัดทอนผลประโยชน์ลงสร้างความไม่พอใจแก่เจ้าเมือง และ เจ้านายบุตรหลานทั้งหลายในแต่ละเมือง จึงปรากฏปฏิกิริยาออกมาในลักษณะต่างๆ กัน เช่นที่เชียงใหม่เจ้านายบุตรหลานไม่พอใจเรื่องลดผลประโยชน์เป็นอันมาก เมืองแพร่ตกอยู่ในสภาพลำบาก เนื่องจากในช่วงที่พระยาศรีสหเทพ (เส็ง วิรยศิริ) ปฏิรูปการปกครอง พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้จัดการอย่าง รุนแรงและบีบบังคับยิ่งกว่าเมืองอื่นๆ โดยไม่คำนึงถึงว่าเมืองแพร่เพิ่งจะจัดการปกครองเป็นครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๓๗ ในครั้งนั้น ด้านการคลังพระยาทรงสุรเดชยังผ่อนปรน ไม่ได้แบ่งเงินผลประโยชน์ของ เจ้าเมืองออกจากเงินแผ่นดิน ดังนั้น เจ้าพิริยเทพวงศ์จึงเก็บรักษาเงินปนกันหมด และนำเงินหลวงมาจ่ายในกิจการป่าไม้ของตนก่อน โดยเข้าใจว่าเป็นเงินของตน เมื่อพระยาศรีสหเทพตรวจสอบการเงินก็พบว่าเงินหลวงขาดไป จึงสั่งกักขังเจ้าเมืองแพร่ไว้จนกว่าจะหาเงินมาชดใช้ให้ครบภายใน ๒๔ ชั่วโมง เจ้านายบุตรหลานต้องหาเงินมาชดใช้จนครบ เจ้าเมืองแพร่จึงได้รับการปล่อยตัว นับเป็นการกระทำที่บีบคั้นจิตใจและไม่ให้เกียรติกัน นอกจากนั้นยังกำหนดอัตราการใช้จ่ายเงินของเจ้าเมืองแพร่ไม่ให้จ่ายฟุ่มเฟือย เพราะฐานะทางเศรษฐกิจตกต่ำ จนกระทั่งกำหนดให้ใช้เงินเพียงเดือนละ ๒,๐๐๐.- บาท และจะต้องขอยืมจากท้องพระคลังก่อน ประการที่สอง เนื่องจากเงี้ยวชาวเมืองและราษฎรพื้นเมืองให้การสนับสนุนกองโจรเงี้ยว การโจมตีเมืองแพร่ มิใช่มีแต่บรรดาเจ้านายเมืองแพร่เท่านั้นที่สนับสนุนพวกโจรเงี้ยว ชาวเมืองก็จับอาวุธขึ้นช่วยพวกกองโจรเงี้ยวด้วย ทั้งนี้ มีสาเหตุสืบเนื่องมาจากชาวเงี้ยวซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยจาก รัฐฉานเข้ามาอาศัยกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในมณฑลพายัพเป็นเวลานานแล้ว พวกเงี้ยวส่วนใหญ่มักเป็นผู้ทำมาหากินตามปกติและปะปนอยู่กับชาวบ้านเมืองแพร่ ทำให้มีความสนิทสนมกันเป็นอันดี เมื่อเกิดความทุกข์ยากลำบากใจจึงร่วมมือสนับสนุนทันที หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:51:54 สุโขทัย
จากการศึกษาร่องรอยทางโบราณคดีและโบราณวัตถุ ศิลาจารึก และตำนานพงศาวดารท้องถิ่นหลายฉบับ ทำให้เข้าใจว่า ระยะก่อนปี พ.ศ. ๑๖๗๑ นั้น ปรากฏว่าอำนาจของอาณาจักรเขมร รุ่งเรืองมากในดินแดนสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๑๖๐๐ เป็นต้นมา จนถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ อาณาจักรเขมรมีศูนย์กลางอำนาจทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ที่เมืองละโว้ (ลพบุรี) อาณาจักรเขมรมีการปกครองแบบราชาธิปไตย กษัตริย์จะส่งขุนนางมาปกครองเมืองบริวาร โดยเมืองบริวารจะต้องส่งส่วยเป็นเครื่องราชบรรณาการให้แก่นครหลวง ขณะเดียวกับบางท้องถิ่นอาจเป็นอิสระมีอำนาจปกครองตนเอง กลุ่มชนมีขนาดไม่ใหญ่โต ผู้ปกครองเป็นผู้ที่ได้รับรับการยกย่องจากกลุ่มชนให้เป็นผู้ ปกครอง ไม่มีความซับซ้อนในการปกครองเพราะประชาชนยังมีน้อย บริเวณที่มีความสำคัญในบริเวณภาคเหนือตอนล่าง คือ ๑. บริเวณเมืองศรีเทพ ลุ่มแม่น้ำป่าสัก ซึ่งมีซากโบราณสถานเป็นปรางค์ที่สร้างด้วยศิลาแลงและอิฐ รวมทั้งเทวรูปศิลาหลายองค์ ที่เห็นได้ชัดว่าเป็นศิลปกรรมแบบเขมร ๒. บริเวณเมืองสองแคว (พิษณุโลก) ซึ่งปรากฏมีโบราณสถานเป็นศิลปกรรมแบบเขมร ได้แก่ พระปรางค์วัดจุฬามณี ซึ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลง ๓. บริเวณเมืองสุโขทัย และเมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งเป็นโบราณสถานที่เป็นศิลปกรรมแบบเขมร คือ พระปรางค์วัดเจ้าจันทร์ พระปรางค์ ๓ องค์วัดพระพายหลวง ศาลตาผาแดงและฐาน พระปรางค์วัดศรีสวาย เมืองเก่าสุโขทัย เป็นต้น สุโขทัยในฐานะที่เป็นแคว้นทางการปกครองอย่างเป็นเอกเทศ ได้ปรากฏรูปร่างขึ้นมาเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เมื่อวีรบุรุษไทย ๒ คน คือ พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด และพ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง สหายทั้ง ๒ ท่าน ได้ร่วมมือกันยึดเมืองสุโขทัยและศรีสัชนาลัยคืนมาจากข้าศึกที่ชื่อว่า ขอมสบาดโขลญลำพง เมืองสุโขทัยเดิม พญาศรีนาวนำถม1 เป็นเจ้าเมืองครองอยู่ แต่ครั้นเมื่อพญาศรีนาวนำถมถึงแก่กรรมลง ได้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น โดยต้องตกอยู่ในอำนาจปกครองของขอมสบาดโขลญลำพง ดังนั้นพ่อขุนผาเมืองผู้เป็นโอรส จึงได้ร่วมกับพ่อขุนบางกลางหาวยึดอำนาจคืน สำหรับพ่อขุนผาเมืองนั้นนอกจากเป็นโอรสของเจ้าเมืองสุโขทัยเก่า และเป็นเจ้าเมืองราดแล้ว ยังดำรงฐานะเป็นราชบุตรเขยของกษัตริย์เขมรและได้รับมอบนามเกียรติยศ คือ ศรีอินทราบดินทราทิตย์ กับพระขรรค์ชัยศรีจากกษัตริย์เขมรด้วย เมื่อทั้งสองยึดเมืองศรีสัชนาลัยกับสุโขทัยได้แล้ว พ่อขุนผาเมืองจึงได้มอบเมืองสุโขทัยให้สหายตนครอบครอง พร้อมทั้งนามเกียรติยศตนให้แก่สหาย ส่วนตัวเองกลับไปครองเมืองราดเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้ พ่อขุนบางกลางหาวจึงได้เป็นที่รู้จักกันภายหลังในนามว่า ศรีอินทราบดินทราทิตย์ หรือ ศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ครอบครองสุโขทัยเป็นศูนย์กลางมีอำนาจอยู่แถบบริเวณลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำปิงตอนล่าง ทรงมีโอรสที่ปรากฏนามอยู่สองพระองค์ คือ พ่อขุนบานเมืองผู้พี่และพ่อขุน รามราชผู้น้อง ในขณะนั้นบ้านเมืองยังอยู่ในความไม่สงบ ยังมีผู้นำของกลุ่มชนอิสระอยู่อีกหลายกลุ่มที่คิดจะตั้งตัวเป็นใหญ่ ดังนั้น ในการรวบรวมกลุ่มชนต่างๆ เหล่านั้นเข้าด้วยกันจึงต้องมีการทำสงครามต่อสู้กัน ดังเช่นครั้งหนึ่งเมื่อพ่อขุนรามราช อายุได้ ๑๙ ปี ประมาณปี พ.ศ. ๑๘๐๐ ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาตีเมืองตาก ซึ่งเป็นเมืองอยู่ในอาณาเขตปกครองของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ครั้งนั้นพ่อขุนรามราชได้ช่วยพระราชบิดาออกสู้รบด้วย และสามารถชนช้างชนะขุนสามชนได้ พ่อขุนศรอินทราทิตย์จึงให้นาม พ่อขุนรามราชว่า พระรามคำแหง เมื่อขุนศรีอินทราทิตย์สิ้นพระชนม์ พ่อขุนบานเมือง ได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา แต่อยู่ในช่วงระยะสั้นๆ ไม่ปรากฏเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เมื่อพ่อขุนบานเมืองสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. ๑๘๒๒ พ่อขุนรามคำแหง จึงได้ครองราชย์ต่อมาและได้ทรงเป็นมหาราชย์พระองค์แรกของชาติไทย ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชถือได้ว่าเป็นยุคทองของสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองกว่าในรัชกาลใดๆ ในราชวงศ์พระร่วง ราชอาณาจักรแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวาง ทิศเหนือ อาณาเขตถึงเมืองหลวงพระบาง โดยมีเมืองต่างๆ คือ เมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองปัว ทิศใต้ อาณาเขตถึงฝั่งทะเลสุดเขตมาลายู โดยมีเมืองต่างๆ คือ เมืองคนที เมืองพระบาง เมืองแพรก เมืองสุพรรณภูมิ เมืองเพชรบุรี และเมืองนครศรีธรรมราช ทิศตะวันออก อาณาเขตถึงเมืองเวียงจันทน์ และเมืองเวียงคำ โดยมีเมืองสระหลวง เมืองสองแคว เมืองลุมบาจาย และเมืองสคา ทิศตะวันตก อาณาเขตถึงเมืองฉอดและเมืองหงสาวดี ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช บ้านเมืองอยู่อย่างสงบ มีความร่มเย็นเป็นสุขดังที่ปรากฏในศิลาจารึกว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว การพาณิชย์เจริญก้าวหน้า พระองค์ได้ทรงวางระเบียบปกครองบ้านเมือง ทั้งยังประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๑๘๒๖ กับทั้งทรงดูแลการเพิ่มผลผลิตของประชากรเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของอาณาจักร พระราชโอรสพระองค์หนึ่งของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือ พญาเลอไท ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพระมหาอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัย ในขณะที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชครองราชสมบัติอยู่ เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชสวรรคตในราว พ.ศ. ๑๘๔๒ เมืองต่างๆ ที่เคยอยู่ในอำนาจของอาณาจักรสุโขทัย ได้แตกแยกกันออกเป็นอิสระ ทำให้เสถียรภาพของอาณาจักรสุโขทัยอยู่ในฐานะที่คับขัน กษัตริย์ที่ครองราชสมบัติสืบต่อจากพ่อขุนรามคำแหง คือ พญาไสสงคราม การที่เมืองต่างๆ พยายามแยกตัวออกเป็นอิสระ รวมทั้งเมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงพยายามแยกตัวออกไป แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่เกิดความยุ่งยากในราชวงศ์ก็ขึ้นอยู่กับการปกครองเป็นสำคัญ เพราะการปกครองในสมัยนั้นเป็นแบบนครรัฐ คือแต่ละเมืองก็มีผู้ปกครองนครเป็นอิสระ เข้ามารวมกันได้ก็เพราะศรัทธากษัตริย์องค์เดียวกันเท่านั้น หลังจากรัชกาลของพญาไสสงครามแล้ว พญาเลอไทได้ครองราชสมบัติต่อมาราว พ.ศ. ๑๘๖๖ ซึ่งน่าจะต้องดำเนินนโยบายในการพยายามรวบรวมอาณาจักรเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ตลอดระยะเวลา ๑๘ ปี ที่พระองค์ครองราชสมบัติอยู่นั้นไม่มีรายละเอียดปรากฏอยู่มากนัก พระองค์สวรรคตราวปี พ.ศ. ๑๘๘๔ ต่อมารัชกาลพญาเลอไท มีกษัทตริย์ที่ออกพระนามในศิลาจารึกพระองค์หนึ่งคือ พญางัว-นำถม2 ในฐานะพระอนุชาแต่เป็นโอรสของพ่อขุนบานเมือง ได้ขึ้นครองเมืองสุโขทัยและได้โปรดให้พญา ลิไท ผู้เป็นโอรสของพญาเลอไทไปครองเมืองศรีสัชนาลัย ในฐานะอุปราชครองเมืองลูกหลวง เมื่อ พญางัวนำถมสวรรคตในราว พ.ศ. ๑๘๙๐ เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในราชสำนักกรุงสุโขทัยที่ไม่ชอบตามขนบธรรมเนียม บรรดาหัวเมืองต่างๆ แสดงตัวอย่างเปิดเผยถึงการดำรงอยู่อย่างอิสระ ไม่ยอมขึ้นกับส่วนกลาง พญาลิไทจึงลอบเสด็จยกทัพจากเมืองศรีสัชนาลัยใช้กำลังเข้ายึดเมืองไว้ได้ แล้วปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์กรุงสุโขทัย ทรงพระนามว่า ศรีสุริพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช เมื่อครอง กรุงสุโขทัยแล้วทรงปราบปรามเจ้าเมืองต่างๆ ภายในแคว้น แล้วแต่งตั้งพระบรมวงศานุวงศ์ที่ไว้วาง พระราชหฤทัย ไปปกครองรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง คือ กรุงสุโขทัย บ้านเมืองจึงอยู่ด้วยความสงบเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง ความพยายามของพระมหาธรรมราชชาลิไท ภายหลังขึ้นครองราชสมบัติแล้ว คือ ความ มุ่งหวังที่จะรวบรวมเมืองต่างๆ ที่แตกแยกกันออกไปให้กลับเข้ามารวมในอาณาจักรเดียวกันอีกและมีความหวังว่าจะให้มีอาณาเขตใหญ่โตเท่ากับสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชจนถึงกับเสด็จไปยังเมืองต่างๆ เพื่อเผยแพร่และกระทำกิจทางศาสนา ซึ่งขณะเดียวกันก็แสดงให้เมืองต่างๆ ที่พระองค์เสด็จไปเห็นว่า พระองค์มีแสนยานุภาพและมีพระราชอำนาจเต็มในกิจการต่างๆ ทั่วราชอาณาจักรของพระองค์ เช่นในปี พ.ศ. ๑๙๐๒ พระองค์เสด็จยกทัพไปตีเมืองแพร่ กวาดต้อนครัวเรือนมาเป็นข้าพระที่วัดป่าแดง ศรีสัชนาลัย และในปีนั้นก็ได้ประดิษฐ์รอยพระพุทธบาทจำลองที่เขาสุมนกูฎ เมืองสุโขทัย ในฐานะผู้ครอบครองแคว้นสุโขทัย พระมหาธรรมราชาลิไท ทรงพยายามดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท พ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือ เป็นทั้งนักปราชญ์ผู้สนพระทัยในทางศาสนาโดยให้ความอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ส่งสมณทูตไปเผยแพร่พระพุทธศาสนายังที่ต่างๆ ที่พระองค์ต้องการเป็นพันธมิตรด้วย เช่น เมืองน่าน หลวงพระบาง และกรุงศรีอยุธยา แต่ขณะเดียวกันก็ได้แสดงบทบาทของการเป็นนักรบที่พยายามขยายอำนาจของแคว้นสุโขทัยให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ในสมัยของพระองค์ นอกจากจะได้ยกทัพไปตีเมืองแพร่ทางทิศเหนือแล้ว ทางทิศตะวันออก ได้พยายามขยายขอบเขตออกไปถึงเมืองลุ่มแม่น้ำป่าสัก จากบทบาทการเป็นนักรบของพระองค์ที่ขยายพระราชอำนาจไปยังเมือง ลุ่มน้ำป่าสักนี้เอง ทำให้กระทบกระทั่งกับกรุงศรีอยุธยา ที่มีความเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองแถบนั้น สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) จึงเสด็จลอบยกทัพมายึดเมืองสองแควไว้ได้ และได้โปรดให้ขุนหลวงพ่องั่ว พระเชษฐาของพระมเหสี ซึ่งขณะนั้นครองเมืองสุพรรณบุรี มาปกครองเมืองสองแคว ทำให้พระมหาธรรมราชาลิไท ต้องถวายบรรณาการเป็นอันมาก ในที่สุดสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ จึงทรงมอบเมืองสองแควคืน และโปรดให้ขุนหลวงพ่องั่วไปครองเมืองสุพรรณบุรีดังเดิม ในการคืนเมืองสองแควนั้น สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงตั้งเงื่อนไขว่าพระมหาธรรมราชา ลิไท ต้องเสด็จไปประทับที่เมืองสองแคว จึงเป็นเหตุให้แคว้นสุโขทัยที่เริ่มจะรวมตัวกันได้ต้องสั่นคลอน เมื่อพระมหาธรรมราชาลิไทเสด็จไปประทับอยู่เมืองสองแควได้โปรดให้พระอนุชาปกครองเมืองสุโขทัยแทน ในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สวรรตค สมเด็จพระราเมศวรขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อพระมหาธรรมราชาลิไททรงทราบ จึงคาดสถานการณ์ว่า ทางกรุงศรีอยุธยาคงต้องมีเหตุไม่เรียบร้อยขึ้นแน่ พระองค์จึงรวบรวมพลจากเมืองต่างๆ ในแคว้นสุโขทัยที่เจ้าเมืองยังคงจงรักภักดีต่อพระองค์ เสด็จยกพลมายังกรุงสุโขทัย การเสด็จกลับคืนสุโขทัยในครั้งนี้ หลังจากที่ต้องทรงประทับอยู่ที่สองแควถึง ๗ ปี จึงเป็นการเตรียมการที่จะใช้ตำแหน่งของเจ้าเมืองสุโขทัยอันเป็นบัลลังก์ที่บรรพบุรุษของพระองค์ได้สั่งสมอำนาจไว้นั้น เพื่อเป็นศูนย์กลางในการระดมกำลังก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยให้มีฐานะมั่นคงสืบไป พระองค์ทรงเริ่มบทบาทโดยการเป็นพันธมิตรกับแคว้นล้านนาซึ่งขณะนั้นมีเจ้ากือนา เป็นกษัตริย์ปกครอง โดยพระองค์ได้ส่งตระสุมนะเถระเป็นสมณะทูตขึ้นไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. ๑๙๑๓ ขุนหลวงพ่องั่วซึ่งขึ้นครองเมืองสุพรรณบุรี ได้เห็นความเคลื่อนไหวของพระมหาธรรมราชาลิไทที่กรุงสุโขทัย พระองค์จึงเข้ายึดอำนาจกรุงศรีอยุธยาด้วยความยินยอมของสมเด็จพระราเมศวร ซึ่งได้ทรงกลับไปครองเมืองลพบุรีตามเดิม ขุนหลวงพ่องั่วเสด็จขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑" พระมหาธรรมราชาลิไท เสด็จสวรรคตเมื่อปีใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอยู่ในระหว่าง พ.ศ. ๑๙๑๓-๑๙๑๖ หลังจากนั้นอาณาจักรสุโขทัยเกิดความแตกแยก เนื่องจากขาดผู้นำอาณาจักรที่เป็นที่ยอมรับของญาติพี่น้องครองเมืองต่างๆ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ จึงเสด็จขึ้นมายึดอาณาจักรสุโขทัยได้ทั้งหมด หากแต่ยังโปรดให้เชื้อพระวงศ์ทางสุโขทัยปกครองตนเอง โดยขึ้นตรงกับอาณาจักรอยุธยา คือ พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ซึ่งในสมัยของพระองค์ อาณาจักรสุโขทัยอยู่ในฐานะเป็นรัฐกันชนระหว่างอาณาจักรเชียงใหม่กับอาณาจักรอยุธยา ซึ่งต่างก็แสดงความเคลื่อนไหวในการที่จะผนวกเอาดินแดนของอาณาจักรสุโขทัยตลอดเวลา ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพ่องั่ว) พระองค์ทรงเกรงว่าอาณาจักรสุโขทัยจะมีไมตรีกับอาณาจักรเชียงใหม่ เพราะหากทั้งสองอาณาจักรร่วมมือกันแล้วจะทำให้อาณาจักรอยุธยาอยู่ในฐานะลำบาก จึงทรงยกทัพมาปราบปรามหัวเมืองชายแดนที่ติดต่อกับอาณาเขตของสุโขทัย และหาเหตุเข้าโจมตีเมือง ในอาณาจักรสุโขทัยด้วย ตามพงศาวดารอยุธยากล่าวว่า พ.ศ. ๑๙๑๔ สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพ่องั่ว) มีชัยชนะต่อหัวเมืองเหนือทั้งปวง พ.ศ. ๑๙๑๕ อยุธยายกทัพไปตีเมืองนครพังคา และเมืองแสงเชรา พ.ศ. ๑๙๑๖ อยุธยายกทัพไปตีเมืองชากังราว พญาไสแก้ว กับ พญาคำแหง สู้รบป้องกันเมืองจนพญาไสแก้วเสียชีวิตในที่รบ พญาคำแหงถอยทัพกลับเข้าเมืองได้ พ.ศ. ๑๙๑๘ อยุธยายกทัพไปตีเมืองพิษณุโลก ขุนสามแก้ว เจ้าเมืองพิษณุโลกถูกจับได้ ทัพอยุธยาได้เมืองและกวาดต้อนผู้คนจากเมืองพิษณุโลกกลับมามาก พ.ศ. ๑๙๑๙ อยุธยายกกองทัพไปตีเมืองชากังราว ครั้งที่สอง คราวนี้กองทัพพญาผากองเจ้าเมืองน่านมาช่วยรบร่วมกับพญาคำแหงด้วย แต่ก็ไม่สามารถสู้กองทัพอยุธยาได้ พญาผากองยกกองทัพหนีไป กองทัพอยุธยาตามจับตัวแม่ทัพนายกองได้มาก พ.ศ. ๑๙๒๑ อยุธยายกกองทัพไปตีเมืองชากังราว เป็นครั้งที่ ๓ พระมหาธรรมราชา ยกกองทัพออกมาป้องกันเมืองด้วยพระองค์เอง แต่ก็ต้องยอมพ่ายแพ้แก่กองทัพอยุธยาจนถึงกับต้องยอมถวายบังคมอ่อนน้อมต่ออาณาจักรอยุธยา เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ ๒ ยอมถวายบังคมต่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชแห่งอยุธยาแล้ว เสถียรภาพทางการเมืองของสุโขทัยยิ่งลดน้อยลงตามลำดับ ทั้งนี้เพราะถูกอาณาจักรอยุธยาจำกัดอำนาจลง กับรวมทั้งการที่กษัตริย์สุโขทัยย้ายที่ประทับอยู่ที่เมืองสองแควด้วย พระมหาธรรมราชาที่ ๒ สวรรคตราว พ.ศ. ๑๙๔๒ และพญาไสลือไทขึ้นครองราชสมบัติ ต่อมาทรงพระนามว่า "พระมหาธรรมราชาที่ ๓" อาจกล่าวได้ว่าภายหลังที่ทางอาณาจักรอยุธยาตัดกำลังหัวเมืองต่างๆ ของสุโขทัยลงแล้ว เสถียรภาพทางการเมืองของอาณาจักรสุโขทัยก็ทรุดลงและยากที่จะแก้ไขให้มั่นคงขึ้นได้ เนื่องจากอาณาจักรอยุธยาสามารถขยายตัวออกไปได้อย่างกว้างขวาง แต่ถึงกระนั้น พระมหาธรรมราชาที่ ๓ ก็ได้ทรงกู้เสถียรภาพทางการเมืองของสุโขทัย โดยได้ยกกองทัพออกไปปราบปรามหัวเมืองต่างๆ ให้อยู่ในอำนาจแม้จะไม่ได้มากเท่ากับครั้งพญาลิไทก็ตาม แต่พระองค์ก็ได้ทำสงครามหลายครั้งรวมทั้งเคยยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๑๙๔๕ ด้วย ซึ่งแม้จะไม่ได้ผลทางชัยชนะเลยก็ตาม แต่เป็นการแสดงถึงความพยายามในการสร้างอาณาจักรให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นกว่าการเป็นรัฐกันชนขนาดเล็กที่อาจถูกผนวกเข้าไปอยู่กับดินแดนของอาณาจักรหนึ่งได้ พญาไสลือไท ทรงมีพระราชโอรสสองพระองค์ คือ พญาบาล และพญาราม หลังจากที่พญาไสลือไทเสด็จสวรรคต ในปี พ.ศ. ๑๙๖๒ ก็เกิดจลาจลแย่งชิงราชสมบัติ สมเด็จพระนครินทราชาธิราช (พระอินทราชาธิราช) กษัตริย์อยุธยาต้องยกทัพมาปราบจลาจลโดยยกทัพไปถึงพระบาง (นครสวรรค์) พญาบาล และพญาราม ต้องออกมากราบบังคมต่อสมเด็จพระนครินทราชาธิราช สมเด็จพระนครินทราชาธิราชจึงโปรดให้สถาปนาพญาบาลครองเมืองพิษณุโลก ทรงพระนามว่าพระเจ้าศรีสุริยวงศ์บรม-ปาลมหาธรรมราชาธิราช และพญาราม โปรดเกล้าให้ครองเมืองสุโขทัย พระเจ้าศรีสุริยวงศ์บรมปาลครองราชสมบัติอยู่ ๑๙ ปี จึงเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๑๙๘๑ การสวรรคตของพระเจ้าศรีสุริยวงศ์บรมปาล (พระมหาธรรมราชาที่ ๔) นักประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นการสิ้นสุดยุคอาณาจักรสุโขทัยด้วย เมื่อพระเจ้าศรีสุริยวงศ์บรมปาล สวรรคต สมเด็จพระบรมราชาที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) จึงโปรดให้สถาปนาพระราเมศวรราชโอรส ซึ่งประสูตรจากเจ้าหญิงสุโขทัยพระองค์หนึ่ง ซึ่งขณะนั้นมี พระชนมายุเพียง ๗ พรรษา เป็นพระมหาอุปราชครองเมืองสองแคว ทั้งนี้เพราะทรงเห็นว่าเป็นพระราชโอรสที่มีเชื้อสายทางเจ้านายฝ่ายสุโขทัย คงจะเข้ากับทางราชวงศ์สุโขทัยได้ดีและเท่ากับเป็นการผนวกดินแดนของอาณาจักรสุโขทัยในตัวไปด้วย สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) เสด็จสวรรคตเมื่อปี ๑๙๙๑ พระราเมศวร-อุปราช จึงเสด็จจากเมืองสองแควไปครองกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ส่วนที่เมืองสองแควโปรดให้พระยุษธิฐิระ โอรสของพญารามเป็นเจ้าเมือง แต่ก็ทรงรวมอำนาจจากการบริหารราชการแผ่นดินเข้าสู่ส่วนกลางที่กรุงศรีอยุธยา ฝ่ายพระยุษธิฐิระ ไม่พอใจอย่างมากที่เป็นเพียงเจ้าเมืองสองแคว จึงหันไปผูกมิตรกับพระเจ้าติโลกราช เมืองเชียงใหม่ ทำให้เกิดการสู้รบยืดเยื้อระหว่างอาณาจักรอยุธยาและอาณาจักรเชียงใหม่ ตลอดรัชกาลของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับกลุ่มหัวเมืองเหนือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงเสด็จขึ้นครองเมืองสองแคว และโปรดให้พระอินทราชาครองกรุงศรีอยุธยาแทนพระองค์ ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงเปลี่ยนแปลงฐานะของเมืองต่างๆ ที่อยู่ในอาณาจักรสุโขทัยเดิมเสียใหม่ คือ ๑. เมืองที่อยู่ในฐานะหัวเมืองชั้นเอก คือ เมืองสองแคว ๒. เมืองที่อยู่ในฐานะหัวเมืองชั้นโท คือ เมืองศรีสัชนาลัย เมืองสุโขทัย เมืองชากังราว และเมืองเพชรบูรณ์ ๓. เมืองที่อยู่ในฐานะหัวเมืองชั้นตรี ได้แก่ เมืองพิชัย เมืองสระหลวง และเมืองพระบาง จะเห็นได้ว่าในบรรดาหัวเมืองในอาณาจักรสุโขทัยเดิม เมืองสองแควนับว่าเป็นเมืองสำคัญที่สุด ขณะเดียวกันเมืองสุโขทัย เมืองศรีสัชนาลัย อยู่ในฐานะหัวเมืองชั้นโทได้ลดความสำคัญลง เมืองสุโขทัยคงมีประชาชนอาศัยอยู่สืบมา จนกระทั่งในสมัยรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรม-ราชา แต่อยู่ในฐานะที่ต้องส่งส่วยอากรและผลผลิตให้แก่อยุธยาบ้าง เก็บผลประโยชน์ให้พม่าบ้าง ตามเหตุการณ์ของสงคราม จวบจนกระทั่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าที่เมืองแครง ในปี พ.ศ. ๒๑๒๗ พระองค์ได้โปรดให้กวาดต้อนคนจากหัวเมืองเหนือลงไปไว้เมืองอยุธยาทั้งหมด เนื่องจากกรุงศรีอยุธยามีกำลังน้อย และเพื่อเป็นการป้องกันมิให้พม่าใช้กำลังจากหัวเมืองเหนือเป็นฐานในการสนับสนุนส่งกำลังบำรุง ทำให้สุโขทัยต้องกลายเป็นเมืองอ่อนกำลังลง การที่สุโขทัยอ่อนกำลังลงเช่นนี้ เป็นผลให้บรรดาสิ่งก่อสร้าง ปราสาทราชวัง วัดวาอาราม คูเมือง กำแพงเมือง และระบบชลประทานต่างๆ ถูกภัยธรรมชาติทำลายให้เสียหาย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเห็นว่าศิลปโบราณวัตถุทางศาสนา เช่น เทวรูป และพุทธรูปที่งดงามถูกทอดทิ้ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายประติมากรรมล้ำค่าเหล่านั้น ไปประดิษฐานตามวัดวาอารามต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร ศิลปกรรมของเมืองสุโขทัยส่วนหนึ่ง จึงเก็บรักษาอยู่ในกรุงเทพมหานครสืบมาจนกระทั่งบัดนี้ สิ่งที่เหลือเป็นอนุสรณ์ของความยิ่งใหญ่ของเมืองในอดีตมีเพียงแต่ซากของสถาปัตยกรรมที่ปรักหักพังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การปกครองตั้งแต่อดีต-ปัจจุบัน สภาพการปกครองของสุโขทัยแบ่งออกเป็นระยะที่สำคัญ ดังนี้.- ระยะที่ ๑ ยุคก่อนอาณาจักรสุโขทัย (ก่อนปี พ.ศ. ๑๗๖๑) ในระยะก่อนปี พ.ศ. ๑๗๖๑ อำนาจของอาณาจักรเขมรรุ่งเรืองมากในดินแดนสุวรรณภูมิ โดยมีศูนย์กลางอำนาจทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ที่เมืองละโว้ (ลพบุรี) เขมรมีการปกครองแบบราชา -ธิปไตย กษัตริย์จะส่งขุนนางมาปกครองเมืองบริวาร โดยเมืองบริวารจะส่งส่วยเป็นบรรณาการให้แก่พระนครหลวง ขณะเดียวกันบางท้องถิ่นอาจเป็นอิสระมีอำนาจปกครองตัวเองแบบนครรัฐ กลุ่มชนคงไม่ใหญ่โต ผู้ปกครองเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากกลุ่มชนให้เป็นผู้ปกครอง บริเวณที่มีความสำคัญได้แก่ เมืองศรีเทพ บริเวณวัดจุฬามณี และบริเวณเมืองสุโขทัย และเมืองศรีสัชนาลัย ระยะที่ ๒ ยุคอาณาจักรสุโขทัยตอนต้น (พ.ศ. ๑๗๖๑๑๙๒๑) การปกครองในยุคนี้วางรากฐานลงแบบการปกครองครัวเรือน จุดเริ่มต้นเริ่มที่ พ่อครัว ทำหน้าที่ปกครอง ครอบครัวหลายๆ ครอบครัวรวมกันเป็น เรือน หัวหน้าก็คือ พ่อเรือน หลายๆ เรือนรวมกันเป็นหมู่บ้าน มีหัวหน้าเรียกว่า พ่อบ้าน หลายๆ หมู่บ้านรวมกันเรียกว่า เมือง หัวหน้าคือ พ่อเมือง และพ่อขุน คือ ผู้ปกครองประเทศ หรือผู้ปกครองทุกเมืองนั่นเอง แม้ว่าอำนาจสูงสุดและเด็ดขาดจะรวมอยู่ที่พ่อขุนเพียงคนเดียว แต่ด้วยการจำลองลักษณะครอบครัวมาใช้ในการปกครอง พ่อขุนจึงปกครองประชาชนในลักษณะบิดาปกครองบุตร คือ ถือตนเป็นพ่อของราษฎร พ่อขุนเกือบทุกพระองค์ใช้อำนาจในลักษณะให้ความเมตตาและเสรีภาพแก่ราษฎรตามสมควร อาณาเขตของสุโขทัย ในแผ่นดินสุโขทัยกว้างขวางใหญ่โตมาก ศิลาจารึกหลักที่ ๑ กล่าวไว้ว่า " มีเมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบื้องตะวันออกรอด สระหลวง สองแคว ลุมบาจาย สคาเท้าฝั่งของเถิงเวียงจันทน์ เวียงคำ เป็นที่แล้ว เบื้องหัวนอนรอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลเป็นที่แล้ว เบื้องตะวันตกรอด เมืองฉอด เมืองหงสาวดี สมุทรหาเป็นแดน เบื้องตีนนอนรอดเมืองแพร่ เมืองมาน เมืองพลัว พ้นฝั่งของ เมืองชวา " นักประวัติศาสตร์ทั่วไปเชื่อว่า สุโขทัย เป็นราชธานีแห่งแรกของชาวไทยในแหลมอินโดจีนตอนกลาง และลักษณะการปกครองหัวเมืองในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ ๑. หัวเมืองชั้นใน ได้แก่ เมืองหน้าด่านหรือเมืองลูกหลวง ล้อมรอบธานี ทั้ง ๔ ด้าน คือ ศรีสัชนาลัย (ด้านหน้า) สองแคว (ด้านตะวันออก) สระหลวง (ด้านใต้) และชากังลาว (ด้านตะวันตก) การปกครองหัวเมืองชั้นในนั้นขึ้นอยู่กับสุโขทัยโดยตรง ๒. หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่ เมืองท้าวพระยามหานคร ที่มีผู้ดูแลโดยตรงแต่ขึ้นอยู่กับสุโขทัยในรูปลักษณะของการสวามิภักดิ์ในฐานะเป็นเมืองขึ้นหรือเมืองออก หัวเมืองชั้นนอกมี แพรก อู่ทอง ราชบุรี ตะนาวศรี แพร่ หล่มสัก เพชรบูรณ์ และศรีเทพ ๓. เมืองประเทศราช ได้แก่เมืองที่เป็นชาวต่างภาษา มีกษัตริย์ปกครองขึ้นกับสุโขทัย ในฐานะประเทศราช มี นครศรีธรรมราช มะละกา ยะโฮร์ ทะวาย เมาะตะมะ หงสาวดี น่าน เซ่า เวียงจันทน์และเวียงคำ ระยะที่ ๓ ยุคอาณาจักรสุโขทัยตอนปลาย (พ.ศ. ๑๙๒๑๑๙๘๑) ในปี พ.ศ. ๑๙๒๑ ซึ่งตรงกับสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ ๒ ของอาณาจักรสุโขทัย ได้ยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครองของอยุธยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรบที่เมืองชากังราวที่พระมหาธรรมราชาออกถวายบังคมต่อพระบรมราชาธิราชที่ ๑ แห่งอาณาจักรอยุธยา การเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่นครั้งนี้ที่สำคัญคือ การที่อยุธยาพยายามทำลายศูนย์กลางของอาณาจักรสุโขทัย คือ แบ่งแยกอาณาจักรสุโขทัยเป็น ๒ ส่วนคือ.- ๑. บริเวณลุ่มแม่น้ำยม แม่น้ำน่าน ให้มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองสองแคว ให้กษัตริย์ของสุโขทัยปกครองต่อไป และอยู่ในอำนาจของอยุธยาในฐานะประเทศราช ๒. บริเวณลุ่มแม่น้ำปิง ให้มีศูนย์กลางที่เมืองชากังราว และขึ้นตรงต่ออยุธยา หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:52:10 สุโขทัย ๒
ขณะเดียวกันอยุธยาก็พยายามผนวกอาณาจักรสุโขทัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาและประสบความสำเร็จในสมัยพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) สำหรับลักษณะการปกครองที่ปรากฏในระยะนี้ เป็นแบบผสมระหว่างสุโขทัย และรับอิทธิพลการปกครองแบบราชาธิปไตยของอยุธยาเข้าไปใช้ด้วย ในระยะนี้นับว่าเมืองสองแควมีความสำคัญที่สุดขณะเดียวกันเมืองสุโขทัยเก่าก็ค่อยๆ ลดความสำคัญลง ระยะที่ ๔ ยุคกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๑๙๘๑๒๔๓๗) ในยุคนี้ แนวความคิดเกี่ยวกับกษัตริย์เปลี่ยนแปลงไปตามคติพราหมณ์ ซึ่งพวกเขมรเป็น ผู้นำมาโดยถือว่ากษัตริย์เป็นผู้ได้รับอำนาจจากสวรรค์ หรือเป็นพระเจ้าบนมนุษย์โลก ลักษณะการ ปกครองจึงเป็นแบบนายปกครองบ่าว หรือเจ้าปกครองข้า ในสมัยพระบรมรามาธิบดีที่ ๑ ทรงวางระบบการปกครองส่วนกลางแบบ จตุสดมภ์ ตามแบบของขอม มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครองสูงสุด และมีเสนาบดี ๔ คน คือ ขุนเมือง ขุนวัง ขุนคลังและขุนนา เป็นผู้ช่วยดำเนินการมีหน้าที่ดังนี้.- ๑. เมือง รับผิดชอบด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย และปราบปรามโจรผู้ร้าย ๒. วัง มีหน้าที่เกี่ยวกับราชสำนัก และตัดสินคดีความต่างๆ ๓. คลัง มีหน้าที่เกี่ยวกับด้านคลัง การค้าและภาษีอากรประเภทต่างๆ ๔. นา มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับด้านการเกษตร สำหรับการปกครองส่วนภูมิภาคหรือหัวเมืองต่างๆ ในระยะแรกพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงเลียนแบบการปกครองของสุโขทัย คือ มีหัวเมืองชั้นใน ชั้นนอก และหัวเมืองประเทศราช แต่ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทำการปฏิรูปการปกครองหัวเมือง ให้มีลักษณะการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง คือ เมืองหลวงมากขึ้น โดยขยายอาณาเขตให้หัวเมืองชั้นในกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม หัวเมืองชั้นนอกกำหนดเป็นหัวเมืองชั้นเอก โท ตรี ตามลำดับ ตามขนาดและความสำคัญของเมือง โดยทางส่วนกลางจะส่งขุนนาง หรือพระราชวงศ์ไปทำการปกครองแต่สำหรับเมืองประเทศราชยังปล่อยให้มีอิสระในการปกครองเช่นเดิม นอกจากนี้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงปรับปรุงระบบบริหารขึ้นใหม่ โดยแยกการบริหารออกเป็นฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร มีสมุหนายกเป็นผู้รับผิดชอบด้านพลเรือน บริหาร กิจการเกี่ยวกับ เมือง วัง คลัง และนา และมีสมุหกลาโหมรับผิดชอบด้านการทหารและการป้องกันประเทศ แต่ภายหลังในสมัยสมเด็จพระเพทราชา ราว พ.ศ. ๒๒๓๔ ทั้งสมุหนายกและสมุหกลาโหม ต้องทำงานทั้งด้านทหารและพลเรือนพร้อมกัน โดยสมุหกลาโหมปกครองทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารในหัวเมืองด้านใต้ และสมุหนายก ปกครองทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารในหัวเมืองด้านเหนือ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นต้นมา ถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๑๙๘๑๒๔๓๗) ฐานะของเมืองต่างๆ ในอาณาจักรสุโขทัย เดิมต้องเปลี่ยนแปลงไปตามขนาดและความสำคัญของเมือง คือ.- ๑. หัวเมืองชั้นเอก ได้แก่ เมืองสองแคว ๒. หัวเมืองชั้นโท ได้แก่ เมืองสวรรคโลก (ในสมัยสุโขทัยเรียกว่า เมืองศรีสัชนาลัย) เมืองสุโขทัย เมืองชากังราว และเมืองเพชรบูรณ์ ๓. หัวเมืองชั้นตรี ได้แก่ เมืองพิชัย เมืองสระหลวง (พิจิตร) เมืองพระบาง (นครสวรรค์) ระยะที่ ๕ ยุคการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. ๒๔๓๗๒๔๗๖) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน โดยได้ทรงยกเลิกตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี ๒ ตำแหน่ง คือ สมุหนายก และสมุหกลาโหม รวมทั้งจตุสดมภ์ด้วย ได้จัดระเบียบบริหารราชการออกเป็นกระทรวง ตามแบบอารยประเทศ และให้มีเสนาบดี เป็นผู้ว่าการแต่ละกระทรวง กระทรวงที่ตั้งขึ้นมีทั้งหมด ๑๒ กระทรวง หลังจากจัดหน่วยบริหารส่วนกลางโดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศ และคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็จัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำ ท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่การจัดการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นการ ปกครองอันสำคัญยิ่ง ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้นการปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่ง ที่ส่วนกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางออกไป บริหารราชการในท้องที่ต่างๆ โดยได้แบ่งการปกครองประเทศ เป็นขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับไป คือ เป็นมณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครอง ถัดจากมณฑล คือ เมือง (สมัยรัชกาลที่ ๖ เรียกว่าจังหวัด) มีเจ้าเมือง (ผู้ว่าราชการจังหวัด) เป็นผู้ปกครอง เมืองแบ่งออกเป็นอำเภอ มีนายอำเภอ เป็นผู้ปกครอง ทั้งสามส่วนนี้ปกครองโดยข้าราชการที่ได้รับแต่งตั้งจากกระทรวงมหาดไทย อำเภอนั้นแบ่งออกเป็นตำบล มีกำนัน ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้ใหญ่บ้านเลือกเป็นผู้ปกครอง ตำบลแบ่งออกเป็นหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนในหมู่บ้านเป็นผู้ปกครอง ใน ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา มณฑลพิษณุโลก (เมืองที่อยู่ในมณฑลนี้ได้แก่ เมืองพิจิตร เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก) และทรง โปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งเคยขึ้นกับกระทรวงกลาโหมและกระทรวงต่างประเทศมาขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้รวมหัวเมือง มณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมาลายูตะวันออก เป็นมณฑลไทรบุรี และในปีเดียวกันนั้นเอง ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าๆ ที่เหลืออยู่ ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่าสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานี และมณฑลจันทบุรี (มีเมืองจันทบุรี ระยอง และตราด) พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ ระยะที่ ๖ ยุคปัจจุบัน (หลัง พ.ศ. ๒๔๗๕) การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกเนื่องจาก ๑. การคมนาคม สื่อสาร สะดวกรวดเร็วกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒. เพื่อประหยัดค่าใช่จ่ายในการปกครองประเทศ ๓. เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑล รายงานต่อกระทรวงเป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔. รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน อีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัด มีหลักการเปลี่ยนไปจากเดิมดังนี้.- ๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓. ในฐานะของกรมการจังหวัด ซึ่งเดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายมาเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น จังหวัด และอำเภอ กล่าวโดยสรุป การปกครองส่วนภูมิภาคในปัจจุบันอาศัยกฎหมาย ๒ ฉบับเป็นแม่บทคือ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ และประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ซึ่งกำหนดรูปแบบของหน่วยบริหารขอบเขตอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของ ผู้บริหารในระดับต่างๆ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:52:31 ตาก
สมัยก่อนกรุงสุโขทัย ตากเป็นเมืองที่สร้างขึ้นก่อนสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เมืองเดิมตั้งอยู่บนดอยเล็ก ๆ ลูกหนึ่ง อยู่เหนือที่ว่าการอำเภอบ้านตากในปัจจุบันนี้ไปประมาณ ๔ กิโลเมตร และอยู่ห่างจากแม่น้ำปิงไปทางทิศตะวันตก ๔๐๐ เมตร ที่หมู่บ้านท่าพระธาตุ ตำบลเกาะตะเภาอำเภอบ้านตาก สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า๑ เดิมเป็นเมืองที่พวกมอญมาสร้างขึ้นไว้ เพราะอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิงและอยู่ตรงปากน้ำวังทางไปเมืองนครลำปางออกลำน้ำปิง เป็นเส้นทางสำคัญในทางคมนาคมในสมัยนั้น แต่เนื่องจากยังไม่มีผู้ใดเคยทำการสำรวจโดยละเอียด และกรมศิลปากรก็ยังไม่เคยทำการขุดค้น จึงไม่ปรากฏร่องรอยในทางโบราณคดีอันจะแสดงให้เห็นว่าเป็นเมืองของมอญแต่อย่างใด๒ แต่มีข้อที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งว่า ถ้าเมืองตากเป็นเมืองที่พวกมอญมาสร้างไว้จริง ก็เป็นเรื่องก่อนสมัยกรุงสุโขทัย เพราะปรากฏว่าในปี พ.ศ. ๑๘๐๐ มอญก็มิได้ครอบครองเมืองนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าเมื่อพ่อขุนบางกลางท่าวและพ่อขุนผาเมืองยึดอำนาจจากขอมและประกาศตั้งกรุงสุโขทัยขึ้นเป็นอิสระ เมืองต่าง ๆ ที่มีคนไทยเป็นเจ้าเมืองก็ยอมรวมกับอาณาจักรสุโขทัยทั้งหมด และโดยเฉพาะเมืองตากนี้ปรากฏว่า ได้รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสุโขทัยแต่โดยดีตั้งแต่ต้น ถ้าเป็นเมืองที่มีชนชาติอื่นที่ไม่ใช่ไทยปกครองอยู่ เห็นจะไม่ยินยอมร่วมมือกันโดยง่ายดายเช่นนั้น๓ นอกจากนี้ในหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย ของพระบริหารเทพธานี ได้กล่าวถึงความสำคัญของเมืองตากว่า เดิมเคยเป็นเมืองราชธานีของแคว้นเหนือมาก่อน ต่อมาในสมัยพระยากาฬ- วรรณดิส ได้ย้ายจากเมืองตากไปครองเมืองละโว้แทน เมืองตากจำถูกทิ้งให้เป็นเมืองร้าง ต่อมาเมื่อพระนางจามเทวี เสด็จขึ้นไปครองเมืองหริภุญไชย ในราว พ.ศ. ๑๒๐๐ พระนางได้บูรณะเมืองตาก ขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงน่าที่จะช่วยยืนยันว่าเมืองตากเป็นเมืองที่มีมาก่อนสมัยกรุงสุโขทัยได้อีกทางหนึ่ง สมัยกรุงสุโขทัย หลังจากที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ประกาศตั้งกรุงสุโขทัยขึ้นเป็นอิสระ เมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๐ จากนั้น ในราว พ.ศ. ๑๘๐๕ ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับเมืองตากขึ้น ครั้งหนึ่งคือ ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด (อยู่ในอำเภอแม่สอดปัจจุบัน) ยกทัพมาตีเมืองตาก ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของกรุงสุโขทัย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึงยกกองทัพมาช่วยป้องกันเมืองตากและได้ปะทะกันที่เชิงดอย นอกเมืองตากออกไปประมาณสักกิโลเมตรเศษ แต่เนื่องจากภูมิประเทศของเมืองตากเป็นป่าเขาโดยมาก การซุ่มซ่อนพลจึงกระทำได้อย่างสะดวกสบาย ดังปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงว่า เมื่อพ่อขุนศรีอินทรา-ทิตย์ต้อนพลเข้าไปทางซ้ายเพื่อหวังจะโอบล้อมกองทัพของขุนสามชน แต่ขุนสามชนคงรู้ทีจึงขับพลเลี่ยงเข้ามาทางขวาเข้าโอบล้อมกองทัพของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เสียก่อน ไพร่พลในกองทัพของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ไม่นึกว่าเหตุการณ์จะกลับตรงกันข้ามเช่นนั้น ก็เสียกำลังใจถอยร่นลงมา ขณะนั้นราช-โอรสองค์เล็กของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๑๙ พรรษา ได้ติดตามมาด้วยเห็นว่าถ้าขืนปล่อยให้ไพร่พลในกองทัพถอยร่นลงมาเรื่อยเช่นนั้น ผลสุดท้ายต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน จึงทรงขับช้างต้อนพลให้เข้าต่อตีกองทัพของขุนสามชนอีกครั้งหนึ่ง แล้วทรงไสช้างบุกเข้าไปจนถึงตัวขุนสามชน ซึ่งกำลังต้อนพลรุกไล่กองทัพของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เข้ามาพ่อขุนรามคำแหงทรงปะทะช้างกับขุนสามชนจนได้กระทำยุทธหัตถีกัน ขุนสามชนสู้ไม่ได้ก็พ่ายหนีไป เมืองตากจึงรอดพ้นจากการรุกรานของ ขุนสามชน และตลอดสมัยของกรุงสุโขทัยไม่ปรากฏในศิลาจารึกหรือจดหมายใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของเมืองตากนี้อีกเลย๔ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในการชนช้างคราวนี้ จึงได้มีการสร้างพระเจดีย์แบบสุโขทัย ซึ่งเรียกว่า พระปรางค์ขึ้น สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าก่อสร้างในสมัยกรุงสุโขทัย ขนาดพระปรางค์สูงตลอดยอดประมาณ ๑๐ วา แต่ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกี่ยวกับเมืองตาก จนกระทั่งแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ปรากฏว่า ทางประเทศพม่ามีกษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้า-ตะเบ็งชเวตี้ กษัตริย์องค์นี้ทรงมีอุปนิสัยกล้าหาญ พอพระราชหฤทัยในการทำศึกสงคราม และได้คู่คิดการสงครามพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ทรงพระนามว่าบุเรงนอง ทั้งสองพระองค์นี้ทรงคิดตระเตรียมกำลังที่จะทำสงครามแผ่อาณาจักรให้กว้างขวาง ทรงยกกองทัพไปปราบปรามได้รามัญประเทศและไทยใหญ่ไว้ในอำนาจทั้งสิ้น ครั้นทรงทราบข่าวว่าเกิดจราจลในกรุงศรีอยุธยาเนื่องจากการผลัดแผ่นดินใหม่ พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ ทรงเห็นเป็นทีว่าจะตีเอากรุงศรีอยุธยามาไว้เป็นเมืองขึ้นอีกประเทศหนึ่งได้โดยง่าย จึงโปรดให้กะเกณฑ์กองทัพมาตั้งประชุมพลที่เมืองเมาะตะมะ แล้วเสด็จเป็นจอมทัพยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ หมายจะตีเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้น แต่เมื่อยกกองทัพมาถึงชานพระนครแล้ว ก็ไม่สามารถจะตีหักเข้าไปได้ ครั้นได้ข่าวว่ามีกองทัพไทยยกลงมาจากหัวเมือง ฝ่ายเหนือจะมาตีกระหนาบก็ตกพระทัยจะเลิกทัพกลับไปทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นทางที่ยกเข้ามาแต่เดิมนั้น ก็ทรงเห็นว่าหัวเมืองรายทางที่ผ่านมานั้นยับเยินหมด จะหาเสบียงอาหารเลี้ยงกองทัพได้ยากจึงโปรดให้ยกทัพขึ้นไปทางข้างเหนือ เดินทัพไปออกทางด่านแม่ละเมา แขวงเมืองตาก เพราะทรงเห็นว่ากองทัพของพระองค์มีกำลังมากกว่ากองทัพไทยหลายเท่า คงจะตีหักออกไปได้โดยไม่ยากลำบากเท่าใดนัก แต่กองทัพพม่าก็ถูกกองทัพของพระราเมศวรราชโอรสของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิกับพระมหาธรรมราชาราชบุตรเขยติดตามตีไปทั้งสองทางและฆ่าฟันรี้พลพม่าล้มตายเป็นอันมาก แต่ผลสุดท้ายพม่าวางกลอุบายล้อมจับได้ทั้งพระมหาธรรมราชาและพระราเมศวร สมเด็จพระมหา-จักรพรรดิต้องยอมหย่าทัพ เอาช้างพลายศรีมงคลและพลายมงคลทวีปอันเป็นช้างชนะงา ถวายตอบแทนพระเจ้าหงสาวดีแลกเอาพระมหาธรรมราชากับพระราเมศวรกลับมา และปล่อยให้กองทัพของ พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ยกกลับไปได้โดยสะดวก ก่อนที่จะกล่าวถึงเหตุการณ์ต่อไป จะขอกล่าวถึงทางคมนาคมที่ติดต่อกันในระหว่างประเทศพม่ากับประเทศไทย ซึ่งมีมาแต่ในสมัยโบราณเสียก่อน เพื่อจะได้เข้าใจภูมิประเทศของจังหวัดตากดีขึ้น คือแต่เดิมมีทางคมนาคมสำหรับไปมา ในระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่าอยู่ ๒ ทาง โดยมีทางมาร่วมกันที่เมืองเมาะตะมะ ผู้ที่สัญจรไปมาหรือแม้แต่กองทัพก็ต้องเดินตามทางคมนาคมทั้งสองนี้ มิฉะนั้นจะเดินทางไม่สะดวกเพราะต้องข้ามเทือกเขาบรรทัด ซึ่งเป็นเขาเขื่อนกั้นขวางหน้าอยู่ทางคมนาคมทั้งสองทางนี้ คือสายเหนือออกจากเมืองเมาะตะมะขึ้นไปทางแม่น้ำจนถึงบ้านตะพู (เมือง แกรง) แล้ว เดินบกมาข้ามแม่น้ำกลีบ แม่น้ำเม้ย๕ แม่น้ำแม่สอด ผ่านเข้ามาทางด่านแม่ละเมา มาลงท่า แม่น้ำปิง ตรงบ้านระแหง (ที่ตั้งเมืองตากปัจจุบัน) ทางสายนี้เป็นทางคมนาคมกับหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยตลอดขึ้นไปจนถึงเมืองเชียงใหม่ ส่วนทางสายใต้นั้นออกจากเมืองเมาะตะมะไปตามแม่น้ำอัตรัน (เมืองเชียงกราน) จนถึงเมืองสมิแล้วเดินบกมาข้ามแม่น้ำสะกลิกและแม่น้ำแม่กษัตริย์ ข้ามภูเขาเข้าแดนไทยทางด่านพระเจดีย์สามองค์ มาลงลำน้ำแควน้อยที่สามสบ แล้วใช้เรือล่องลงมาทางไทรโยคจนออกแม่น้ำแควใหญ่ที่ลิ้นช้างได้ทางหนึ่ง ถ้าจะเดินบกก็เดินแต่สามสบมาทางเมืองไทรโยคเก่า แล้วตัดข้ามมาลงลำน้ำแควใหญ่ที่เมืองศรีสวัสดิ์ หรือที่ท่ากระดานด่านกรามช้างแล้วเดินเลียบลำน้ำแควใหญ่ลงมาจนถึงเมืองกาญจนบุรีเก่า ซึ่งตั้งอยู่ในทุ่งหญ้าใกล้เขาชนไก่จากเมืองกาญจนบุรีเก่าลงมาเป็นที่ราบจะได้เกวียนเดินทางบกหรือใช้เรือล่องตามลำน้ำลงมาก็สะดวกทั้งสองทาง กองทัพพม่าที่ยกเข้ามาตีกรุงศรี-อยุธยาหรือกรุงรัตนโกสินทร์ก็ยกผ่านเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์นี้แทบทุกคราว การสงครามได้ว่างเว้นมาเป็นระยะเวลา ๑๕ ปี ประเทศพม่าได้เปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินใหม่ พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ซึ่งยกกองทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๑ นั้นพอกลับไปถึงเมือง หงสาวดีได้ไม่นานเท่าใด ก็เกิดสติฟั่นเฟือนไม่สามารถจะว่าราชการบ้านเมืองได้ บุเรงนองซึ่งเป็น พระมหาอุปราชต้องสำเร็จราชการแทน ในที่สุดพระเจ้าหงสาวดีตะเบ็งชเวตี้ ถูกขุนนางเชื้อชาติมอญคนหนึ่งชื่อ สมิงสอดวุต ทูลลวงให้ไปจับช้างเผือกในป่าใกล้พระนคร แล้วช่วยกันจับพระเจ้าหงสาวดีตะเบ็งชเวตี้ปลงพระชนม์เสีย บุเรงนองซึ่งเป็นพระมหาอุปราชอยู่จึงทำพิธีราชาภิเษกเป็นพระเจ้าหงสาวดี เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๖ และเมื่อเสวยราชสมบัติแล้วไม่นาน พระเจ้ากรุงบุเรงนองก็เริ่มทำสงครามแผ่อาณาจักรเรื่อยมาเป็นเวลา ๑๐ ปี จนได้ประเทศน้อยใหญ่ที่มีอาณาเขตติดกับประเทศพม่าไว้ในอำนาจทั้งสิ้นแล้วพระเจ้าบุเรงนองก็ทรงดำริที่จะยาตรากองทัพอันเกรียงไกรของพระองค์เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา ก่อนที่จะยกกองทัพเข้ามา พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองก็หาเหตุอันจะเป็นการจุดชนวนสงครามขึ้นก่อน ด้วยการส่งพระราชสาส์นมาขอช้างเผือกจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ๒ เชือก การที่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมีพระราโชบายเช่นนี้ก็เพื่อจะหยั่งพระทัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิดูว่าจะยอมเป็นเมืองขึ้นแก่กรุงหงสาวดีโดยตรงโดยไม่ต้องรบ หรือว่าจะรบลองดูกำลังกันดูก่อนเพราะถ้าสมเด็จพระจักรพรรดิทรงพระราชทานช้างเผือกไปให้ ก็หมายความว่าทรงยอมอ่อนน้อมต่อพระองค์โดยดี ถ้าไม่พระราชทานก็หมายถึงว่าจะต้องเตรียมรบมีทางเลือกแต่เพียงสองทางเท่านั้น ซึ่งผลที่สุดสมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็ทรงเลือกเอาข้างการรบเพื่อรักษาพระเกียรติของพระองค์และของประเทศชาติไว้ แล้วสงครามก็เกิดขึ้นจริง ๆ ในปี พ.ศ. ๒๑๐๖ นั้น การสงครามคราวนี้ถึงแม้ว่าเมืองตากจะไม่เป็นสนามรบโดยตรงก็ตาม แต่ก็ได้รับความเดือดร้อนด้วยเนื่องจากเมืองตากอยู่ในเส้นทางที่จะผ่านมาจากเมืองเชียงใหม่ เพราะฉะนั้นกองทัพของพระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งในเวลานั้นเป็นฝ่ายพม่าได้คุมกองเรือลำเลียงเสบียงอาหารลงมาบรรจบกับทัพหลวงที่เมืองตาก แล้วก็ลาดตระเวนหาเสบียงอาหารในเขตเมืองตากเพื่อสะสมไว้สำหรับเลี้ยงไพร่พลในกองทัพหลวงต่อไป พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงยกกองทัพเข้ามาทางด่านแม่ละเมา แล้วเข้าตีหัวเมืองทางต่าง ๆ เหนือเรื่อยลงมา และได้รบกับเมืองใหญ่ ๆ หลายเมือง เช่น เมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร และเมืองสุโขทัย แต่ไม่ปรากฏว่าเมืองตากได้สู้รบกับกองทัพของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ทั้งนี้คงจะเนื่องจากเมืองตากเก่าตั้งอยู่เหนือด่านแม่ละเมาขึ้นไปมาก กองทัพพม่ายกเข้ามาทางด่านแม่ละเมาจึงไม่จำเป็นที่จะอ้อมขึ้นไปตีเมืองตากซึ่งอยู่ห่างออกไปตั้ง ๓๐ กิโลเมตรอีก คงเดินทัพตัดตรงเข้ามายังบ้านป่ามะม่วง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านระแหง๖ แล้วเดินทัพไปทางทิศตะวันออกเข้าตีเมืองสุโขทัยและเมืองพิษณุโลกทางหนึ่ง อีกทัพหนึ่งแยกลงไปทางใต้เข้าเมืองกำแพงเพชร และเมืองนครสวรรค์ เมื่อตีได้หัวเมืองใหญ่ ๆ เหล่านี้แล้วก็รวบรวมกำลังกันยกเข้าตีกรุงศรีอยุธยาต่อไป เนื่องจากศึกพม่าในคราวนี้เป็นเหตุให้ไทยคิดเห็นว่า ตัวเมืองตากเก่าตั้งอยู่ลึกเข้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือมาก กองทัพพม่าซึ่งยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมาก็เดินทัพเข้ามาได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องเสียกำลังลี้พลเพื่อเข้าตีเมืองตากแต่สักคนเดียว จึงได้ย้ายตัวเมืองลงมาตั้งในที่ซึ่งพม่าเดินทัพผ่าน คือที่บ้านป่ามะม่วง๗ การย้ายเมืองตากมาตั้งที่บ้านป่ามะม่วงนี้ เข้าใจว่ายังไม่ทันย้ายในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เพราะในแผ่นดินนี้ปรากฏในหนังสือพงศาวดารว่ามัวเตรียมการแต่เรื่องป้องกันข้าศึกที่ยกเข้ามาทางใต้เท่านั้น เช่น รื้อกำแพงเมืองเขื่อนขันธ์กันพระนครทั้ง ๔ ทิศออกหมด เพื่อไม่ให้ข้าศึกเข้าอาศัยในเมื่อตีเมืองเหล่านั้นได้ และตั้งเมืองบางเมืองขึ้นใหม่ เช่นเมืองนครไชยศรีกับ เมืองนนทบุรี ซึ่งเป็นเมืองใกล้พระนครเพื่อจะได้เป็นที่ระดมกำลังสำหรับเรียกคนเข้ารักษาพระนครและจัดหาเสบียงอาหารได้ง่าย การย้ายเมืองตากมาอยู่ที่บ้านป่ามะม่วงนี้ คงจะย้ายมาในแผ่นดินพระมหาธรรมราชา๘ภายหลังที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพแล้วเป็นแน่ เพราะปรากฏว่าหลังจากนั้น ไทยเราเตรียมรับศึกพม่าอย่างเต็มที่ เนื่องจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงตระหนักพระราชหฤทัยดีแล้วว่า ถึงอย่างไรก็ดีก็จะต้องรบรับขับเคี่ยวกับกองทัพพม่าเป็นการใหญ่และก็เป็นจริงสมดั่งพระราชดำริเพราะในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชา และในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้น ปรากฏว่าไทยกับพม่าได้รบกันเป็นมหาสงครามถึง ๗ ครั้ง เมืองตากที่ย้ายมาตั้งใหม่ที่บ้านป่ามะม่วง มิใช่จะเป็นเมืองหน้าด่านสำหรับป้องกันกองทัพพม่า ที่จะยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมาเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองที่กองทัพใช้เป็นที่ชุมนุมพล ในเวลาที่จะยกไปตีเมืองเชียงใหม่อีกด้วย เมื่อพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงอานุภาพมาก เช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งทรงได้เมืองเชียงใหม่มารวมอยู่ในพระราชอาณาจักรทั้ง ๓ พระองค์นี้ ก็มีปรากฏอยู่ที่เมืองตากนี้ด้วย๙ หลังจากแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประเทศไทยก็เว้นว่างจากการทำสงครามขับเคี่ยวพม่ามาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งประมาณว่าไม่ต่ำกว่า ๑๕๐ ปี ในระยะเวลานี้ชาวเมืองตากก็อยู่กันอย่างสงบสุข จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๓๐๘ เงาแห่งการสงครามจึงได้เริ่มฉายแสงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง การสงครามคราวนี้ทำให้ชาวเมืองตากต้องพลอยเดือนร้อนกันไปแทบทุกครัวเรือน เพราะกองทัพพม่าซึ่งยกมาทางเมืองเชียงใหม่ได้เข้าตีเมืองตากด้วยสงครามคราวนี้น่าจะยกย่องเทิดทูนชาวเมืองตากที่ได้รวมแรงร่วมใจกันต่อสู้กองทัพพม่าแต่เมืองเดียว หัวเมืองเหนืออื่น ๆ แม้จะเป็นเมืองที่ใหญ่กว่า และมีพลเมืองมากกว่าเมืองตากมาก เช่น เมืองสุโขทัย เมืองสวรรคโลก เมืองพิชัย เมืองกำแพงเพชร และเมืองนครสวรรค์ก็หามีเมืองใดต่อสู้กองทัพพม่าแต่อย่างใดไม่ คงปล่อยให้กองทัพพม่าเดินเข้ายึดตัวเมืองได้อย่างสบาย สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวเรื่องราวที่กองทัพพม่าเข้าตีประเทศไทยครั้งนั้นไว้ ในเรื่องไทยรบกับพม่าดังนี้ "ในพงศาวดารพม่าว่า กองทัพที่ยกมาครั้งนี้มีข้ออาณัติอย่าง ๑ คือถ้าที่ไหนต่อสู้พม่าตีได้ก็เก็บริบทรัพย์สมบัติและจับผู้คนทั้งเด็กผู้ใหญ่ชายหญิงเอาไปเป็นเชลยสงครามไปเมืองพม่า บ้านเรือนทรัพย์สมบัติพม่าไม่ต้องการก็ให้เผาผลาญทำลายเสียสิ้น ถ้าที่ไหนผู้คนอ่อนน้อมยอมเข้าเป็นพวก พม่าๆ ให้ทำสัตย์แล้วไม่ทำร้าย เป็นแต่กะเกณฑ์เอาสิ่งของที่พม่าต้องการ เช่น เสบียงอาหารและพาหนะเป็นต้นและเรียกเอาคนมาใช้การงานต่าง ๆ เหมือนอย่างเป็นบ่าวของพม่า" ดังได้กล่าวมาในตอนต้นแล้ว การสงครามคราวนี้ ปรากฏว่าหัวเมืองรายทาง ๆ เหนือของประเทศไทยไม่มีเมืองใดต่อสู้กองทัพพม่าเลย คงมีแต่เมืองตากแต่เพียงเมืองเดียวเท่านั้น ที่ได้สู้รบกับกองทัพพม่า และเนื่องจากพม่าได้ตั้งกฎเกณฑ์ไว้เช่นนี้แล้วจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าชะตากรรมของเมืองตากจะเป็นอย่างไรต่อไป ทำให้นึกวาดภาพได้ว่า ในขณะที่พม่าเข้าเมืองได้ บ้านเรือนและทรัพย์สมบัติของชาวเมืองตากตลอดจนผู้คนพลเมืองจะเป็นประการใดบ้าง ย่อมเป็นการแน่นอนเหลือเกินที่จะกล่าวได้ว่า ชาวเมืองตากจะต้องถูกฆ่าฟันล้มตายไปไม่น้อยและบ้านเรือนตลอดจนทรัพย์สินต่าง ๆ ของชาวเมืองก็จะต้องถูกทำลายหรือเผาผลาญไปอย่างไม่มีชิ้นดียิ่งกว่านี้พวกที่รอดตายถ้าหนีเข้าป่าเข้าดงไปไม่ทัน ก็จะถูกพม่าจับไปเป็นเชลย ส่งไปเป็นข้าเป็นทาสยังประเทศพม่าต่อไปด้วยเหตุนี้ เมืองตากจึงกลายเป็นเมืองร้างอย่างสิ้นเชิง และคงอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อมาจนถึงสมัยกรุงธนบุรี๑๐ สมัยกรุงธนบุรี ดังได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยามาแล้วว่า กองทัพพม่าได้ยกทัพมาทางด่านแม่ละเมา โจมตีและทำลายเมืองตากจนกลายเป็นเมืองร้างไปประมาณ ๕ ปี จนกระทั่งถึงสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พระเจ้ากรุงธนบุรี) กษัตริย์องค์แรกและองค์เดียวในสมัยนี้ได้ทรงจัดการปกครองหัวเมืองเหนือทั้งปวง ภายหลังจากได้ตีเมืองพิษณุโลกและเมืองฝางได้ใน พ.ศ. ๒๓๑๓ แล้ว ได้ทรงแต่งตั้งเจ้าเมืองไปครองเมืองเหนือใหม่หมดทุกเมืองรวมทั้งเมืองตากด้วย๑๑ เมื่อเจ้าเมืองใหม่มาครองเมืองตากแล้ว คงจะพยายามเสริมแต่งค่ายคูและหอรบของเมืองตากให้มั่นคงยิ่งขึ้น แล้วพยายามเกลี้ยกล่อมราษฎรให้เข้ามาตั้งทำมาหากินตามถิ่นที่อยู่ของตนเหมือนอย่างเดิม ในขณะนั้นเข้าใจว่าพลเมืองของเมืองตากคงจะเหลืออยู่ไม่มากนักประมาณว่าคงจะไม่ถึง ๑,๐๐๐ คน เพราะเมืองกำแพงเพชรเองซึ่งเป็นเมืองชั้นโทและเป็นที่มิได้สู้รบกับกองทัพพม่าไม่ได้รับความเสียหายเท่าใดนัก ก็ยังเหลือพลเมืองเพียง ๓,๐๐๐ คน เท่านั้น เมืองตากมีเวลาว่างจากการทำศึกสงครามเพียง ๔ ปีเท่านั้น พอถึง พ.ศ. ๒๓๑๗ ก็ต้องเป็นที่ชุมนุมพลของกองทัพไทย เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจะทรงยกไปตีเมืองเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง และในเวลาติด ๆ กันนี้ก็เกิดรบกับกองทัพทหารพม่า ซึ่งติดตามครัวมอญเข้ามาทางด่านแม่ละเมาอีก แต่การรบคราวนี้เป็นการรบย่อยกับทหารพม่าที่ติดตามครัวมอญเข้ามานั้นเมืองตากจึงไม่ได้รับความเสียหายอย่างใด เรื่องราวที่เกี่ยวกับการสงครามในคราวนี้ สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชา-นุภาพทรงกล่าวไว้โดยละเอียดในเรื่องไทย รบพม่าดังนี้.- "สงครามคราวนี้เกิดติดต่อจอแจกับที่ไทยไปตีเมืองเชียงใหม่ซึ่งกล่าวมาในตอนก่อนมูลเหตุเกิดแต่เรื่องมอญเป็นกบฏขึ้นในเมืองพม่าดังได้บรรยายมาแล้ว พระเจ้ามังระให้อะแซหวุ่นกี้ ยกกองทัพลงมาจากเมืองอังวะ ๓๕,๐๐๐ พวกมอญกบฏซึ่งขึ้นไปล้อมเมืองร่างกุ้งสู้พม่าไม่ได้ก็ถอยหนี อะแซ-หวุ่นกี้ยกกองทัพพม่าติดตามลงมา พวกมอญกบฏ จึงอพยพครอบครัวพากันออกจากเมืองมอญจะหนีมาอยู่ในเมืองไทย อะแซหวุ่นกี้ให้กองทัพยกตามมาจับครอบครัวมอญที่หนีนั้น พม่าจึงมาเกิดรบขึ้นกับไทย ครัวมอญที่หนีพม่าเข้าเมืองไทยครั้งนี้ มีหลายพวกและมาหลายทางด้วยกันครัวพวกสมิงสุหร่ายกลั่นเข้ามาทางด่านเมืองตากก่อน สมิงสุหร่ายกลั่นตัวนายได้เฝ้าพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่เมืองตากก่อนเสด็จขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ ทูลให้ทรงทราบ ว่าพวกมอญจะพากันเข้ามาอยู่ในเมืองไทยมาก พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงคาดการว่าพม่าเห็นจะยกกองทัพตามครัวมอญเข้ามา จึงตรัสสั่งให้พระยากำแหงวิชิตคุมพล ๒,๐๐๐ ตั้งคอยรับครัวมอญอยู่ที่บ้านระแหง แขวงเมืองต่างทาง ๑ และให้พระยายมราช (แขก) คุมกำลังไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่ท่าดินแดงในลำน้ำไทรโยคคอยรับครัวมอญที่จะเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์อีกทาง ๑ แล้วจึงเสด็จยกกองทัพหลวงขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ด้วยประมาณการว่า คงจะตีเมืองเชียงใหม่ได้ทันกลับลงมาต่อสู้พม่าที่ยกเข้ามาทางข้างใต้ ด้วยเหตุนี้พอตีเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว ๗ วัน พระเจ้ากรุงธนบุรีก็เสด็จยกกองทัพหลวงกลับลงมา มาถึงนครลำปางก็ได้ทราบว่ามีกองทัพพม่ายกล่วงด่านแม่ละเมาเข้ามาในแดนเมืองตาก จึงรีบเสด็จกลับลงมา พอถึงท่ามืองตากเมื่อ ณ วันพฤหัสบดีเดือน ๓ ขึ้น ๒ ค่ำก็พอกองทัพพม่าที่ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมานั้น มาใกล้จวนจะถึงเมืองตาก ทำนองในเวลานั้น รีบเสด็จลงมาโดยลำลองมีแต่กองทัพสำหรับรักษาพระองค์ กองอื่นยังตามมาไม่ถึงจึงตรัสสั่งให้หลวงมหาเทพ กับจมื่นไวยวรนาถคุมทหาร ๒,๐๐๐ คน ยกไปตีกองทัพพม่ายกไปก็ได้รบในวันนั้นเอง แต่พอค่ำพม่าก็ถอยหนีกลับไป ขณะนั้นกระบวนเรือพระที่นั่งคอยรับเสด็จอยู่ที่ค่ายหลวงบ้านระแหง ใต้เมืองตากลงมาระยะทางที่เดินวัน ๑ ด้วยเดิมกำหนดว่าจะเสด็จกลับทางบกจนถึงบ้านระแหง หาได้คาดว่าจะต้องมารบพุ่งกับข้าศึกที่เมืองตากไม่ครั้นทรงทราบว่าหลวงมหาเทพกับ จมื่นไวยวรนาถ ตีพม่าถอยหนีกลับไปทำนองพระเจ้ากรุง ธนบุรี จะทรงดำริว่าพม่าที่ถอยหนีไปเป็นแต่กองหน้ากองหลังยังจะตามมาอีกจะวางใจไม่ได้ ถ้าไม่รีบตีให้แตกไปให้หมด ช้าไปพม่าจะรวมกำลังกันยกกลับเข้ามาเป็นกองใหญ่จึงมีรับสั่งให้กองทัพบกสวนทางพม่าลงมาแล้วเสด็จทรงเรือของจมื่นจงกรมวัง รีบล่องลงมาบ้านระแหงในเวลา ๒ ยามค่ำวันนั้น เรือที่ทรงมาโดนตอล่มลง ต้องว่ายน้ำขึ้นหากทรงพระดำเนินมาจนถึงค่ายหลวงที่บ้านระแหง มีรับสั่งให้ พระยากำแหงวิชิต รีบยกกองทัพออกไปก้าวสกัดตัดหลัง กองทัพพม่าที่ยกตามเข้ามาทางด่านแม่ละเมา ให้ถอยหนีไปให้สิ้นเชิงพระเจ้ากรุงธนบุรีประทับรอฟังอยู่ที่บ้านระแหง ๗ วัน และในระหว่างนั้นที่กรุง- ธนบุรีมีใบบอกขึ้นไปว่า มีครัวมอญเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์เป็นอันมาก ก็เข้าพระทัยว่าคงมีกองทัพพม่ายกติดตามครัวมอญเข้ามาทางนั้นอีก พอได้ทรงทราบว่ากองทัพพระยากำแหงวิชิตตีพม่าที่เข้ามาทางด่านแม่ละเมาถอยหนีกลับไปหมดแล้ว ก็เสด็จยกกองทัพหลวงโดยทางชลมารค ลงมาจากบ้านระแหงเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๓ ขึ้น ๙ ค่ำ รีบมาทั้งกลางวันและกลางคืน ๕ วันก็ถึงกรุงธนบุรี" รุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง คือใน พ.ศ. ๒๓๑๘ เมืองตากก็ถูกศึกใหญ่อีกครั้งหนึ่ง คือเมื่อคราวอะแซ-หวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ ได้ยกกองทัพเข้ามาทางด่านแม่ละเมา แต่เจ้าเมืองตากเห็นว่ากำลังไพร่พลของเมืองตากน้อยไม่สามารถจะต่อสู้กับกองทัพของอะแซหวุ่นกี้ได้ ก็พาครัวราษฎรอพยพหลบหนีออกจากเมืองไป กองทัพพม่าจึงยกจากเมืองตากไปทางบ้านด่านลานหอย ตรงไปยังเมืองสุโขทัย และเมื่อคราวที่อะแซหวุ่นกี้ถอยทัพ ก็ถอยผ่านเมืองตากตามไปตามทางเดิม คือทางด่านแม่ละเมาอีกเหมือนกัน ในการสงครามคราวนี้เมืองตากคงจะไม่เสียหายมากมายเท่าใดนัก เพราะไม่ได้สู้รบกับกองทัพพม่า แต่หัวเมืองใหญ่ ๆ ของไทย เช่นเมืองพิษณุโลกและเมืองสุโขทัยนั้นเสียหายมาก๑๒ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ สมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กองทัพของพม่าจึงเข้าตีประเทศไทยเป็นการใหญ่โดยพระเจ้าปะดุงกษัตริย์พม่า ทรงโปรดให้จัดกองทัพแบ่งออก ๙ ทัพด้วยกัน และให้กองทัพเหล่านี้ยกเข้าตีเมืองไทยทุกทิศทุกทาง ทั้งทางเหนือทางตะวันตกและทางใต้ กองทัพที่ ๙ ของพระเจ้าปะดุงอันมีจอข่องนรทาเป็นแม่ทัพ ได้ยกเข้ามาทางด้านแม่ละเมา เมื่อเข้าตีเมืองตากได้แล้ว ก็ยกข้ามฟากมาตั้งอยู่ที่บ้านระแหง เพื่อรอฟังผลการรบของกองทัพอื่น ๆ ต่อไป แต่เนื่องจากจอข่องนรทาได้ทราบข่าวว่ากองทัพพม่าอีกกองหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่ปากพิงถูกกองทัพไทยตีแตกกลับไปแล้ว และบางทีได้ทราบว่ากองทัพหลวงซึ่งพระเจ้าปะดุง ทรงเป็นจอมพลยกเข้ามาทางด่าน พระเจดีย์สามองค์ถอยกลับไปแล้วด้วย เฉพาะฉะนั้นเมื่อได้ทราบข่าวว่ากองทัพไทยยกตามขึ้นไปถึงเมืองกำแพงเพชร จึงไม่รอต่อสู้รีบถอยหนีกลับไปด่านแม่ละเมา หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:52:46 ตาก ๒
หลังจากสงครามคราวนี้ ก็ไม่มีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นกับเมืองตากอีก ชาวเมืองตากที่อพยพหลบหนีข้าศึกเข้าป่าเข้าดงไปก็ค่อย ๆ กลับเข้ามาหากินอยู่ในเมืองตากต่อไปตามเดิมอีก๑๒ จนกระทั่งถึง รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชดำริเห็นว่าตัวเมืองเดิมเอาแม่น้ำไว้ข้างหลัง ในเวลาถอยทัพย่อมได้รับความลำบากเนื่องจาก แม่น้ำน้ำกว้างใหญ่ขวางกั้นอยู่ สู้ย้ายเมืองข้ามฟากมาตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งไม่ได้ เพราะการที่ย้ายมาตั้งฟากนี้จะทำให้มีแม่น้ำขวางหน้าเป็นเสมือนคูเมืองขนาดใหญ่ ทำให้ข้าศึกเข้าตีลำบาก ทั้งการที่จะส่งกองทัพไปช่วย หรือถอยทัพหนีข้าศึกก็จะทำได้สะดวก เพราะฉะนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดให้ย้ายตัวเมืองตากจากที่เดิม มาตั้งใหม่ที่บ้านระแหง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับเมืองตาก ที่บ้านป่ามะม่วง๑๓ ตัวเมืองที่ย้ายมาใหม่นี้ตั้งอยู่ตำบลนี้เรื่อยมา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ จากประวัติความเป็นมาของจังหวัดตากและเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในสมัยต่าง ๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว พอที่จะมองได้ว่าจังหวัดตากในสมัยโบราณนับว่าเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าขาย การคมนาคมทางเรือ ระหว่างคนไทยกับมอญ และต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ยังใช้เป็นเส้นทางคมนาคม ระหว่างเชียงใหม่ นครสวรรค์ และกรุงเทพฯ เพราะในครั้งนั้นยังไม่มีทางรถไฟ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ลักษณะการทั้งบ้านเรือนของราษฎรในจังหวัดตากเป็นไปตามความยาวของแม่น้ำ ห่างจากฝั่งออกไปไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่ แต่อย่างไรก็ตามจังหวัดตากในสมัยก่อนก็ยังนับว่าเป็นเมืองที่ บริบูรณ์และครึกครื้นเมืองหนึ่ง สินค้าต่างเมืองมารวมกันหลายทาง คือ มาจากเมืองเชียงใหม่บ้าง เมืองมะละแหม่งบ้าง ขึ้นไปจากกรุงเทพฯ บ้าง ชาวพื้นเมืองในจังหวัดส่วนมากมีเชื้อสายลาวมากกว่าไทย๑๔ ความสำคัญของจังหวัดตากอีกประการหนึ่งคือ เป็นเมืองหน้าด่านที่พม่าจะใช้เป็นเส้นทางเดินทัพ ตัวอย่างเช่น พระเจ้าบุเรงนองของพม่าได้ยกทัพเข้ามาทางด่านแม่ละเมาแขวงเมืองตาก ทำสงครามกับไทยในสมัยแผ่นดินของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เป็นต้น ยิ่งกว่านั้น จังหวัดตากยังเป็นเมืองที่ชุมนุมทัพเมื่อคราวที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จไปตีเมืองเชียงใหม่ดังได้ทรงสร้างพระเจดีย์ปรากฎไว้เป็นอนุสรณ์ตราบจนทุกวันนี้ การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบการปกครองและบริหารราชการขึ้นใหม่ อันเป็นการปูพื้นฐานในรูปการจัดระเบียบการปกครองสมัยใหม่ โดยมีนโยบายรวมหัวเมืองต่างๆ ให้เข้าเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่ง อันเดียวอย่างเป็นปึกแผ่นมั่นคง คือเปลี่ยนจากแบบราชาธิราช มาเป็นแบบราชอาณาจักร ดังนั้น เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๔๓๕ พระองค์จึงได้ประกาศจัดตั้งกระทรวงขึ้น ๑๒ กระทรวง มีการแบ่งการงานในหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้แน่นอนลงไป และแต่ละกระทรวงให้มีเสนาบดีเป็น หัวหน้ารับผิดชอบกระทรวงทั้ง ๑๒ กระทรวงที่จัดตั้งขึ้น คือ ๑. กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่เกี่ยวกับการปกครองและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในหัวเมือง ๒. กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ฝ่ายทหารและการป้องกันประเทศ ๓. กระทรวงนครบาลมีหน้าที่เกี่ยวกับการตำรวจ และรักษาความสงบเรียบร้อยใน พระนคร ๔. กระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการต่างประเทศ ๕. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ มีหน้าที่เกี่ยวกับการเก็บภาษีอากร รับจ่าย เก็บ รักษาเงินของแผ่นดินโนวโรรส ๖. กระทรวงเกษตรพาณิชย์การ มีหน้าที่เกี่ยวกับการเกษตร และการค้าขาย ป่าไม้ แร่ ๗. กระทรวงวัง มีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการในพระราชวัง และกรมซึ่งใกล้เคียงกับราชการในพระองค์ ๘. กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่เกี่ยวกับชำระความ อรรถคดี ทั้งแพ่งและอาญา ๙. กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง ทำถนน ขุดคลอง การไปรษณีย์ โทรเลข รถไฟ และการช่างทั้งหลาย ๑๐. กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษา โรงเรียนและการบังคับบัญชา พระสงฆ์ ๑๑. กระทรวงมุรธาธร มีหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาพระราชลัญจกร รักษาพระราชกำหนด กฎหมายและหนังสือราชการทั้งปวง ๑๒. กระทรวงยุทธนาธิการ มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดทหารบก ทหารเรือ แต่ละกระทรวงมีเสนาบดีเป็นหัวหน้าบังคับบัญชา และในการประชุมเสนาบดีของแต่ละกระทรวงเพื่อหารือข้อราชการนั้น พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประธานในที่ประชุมกระทรวงต่างๆ ที่กล่าวข้างต้นนี้ แต่ละกระทรวงมีกรมกอง ในสังกัดของตนมากน้อยตามความเหมาะสม และได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขต่อมาทุกรัชกาล ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมตามเหตุการณ์ของบ้านเมืองและตามกาลสมัย สำหรับการปกครองหัวเมืองในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นได้เป็นไปในทำนองเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่เปลี่ยนเรียก ชื่อเสียใหม่ คือ มีการแบ่งการปกครองออกเป็น จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน และในรัชสมัยของพระองค์นี้ การปกครองหัวเมืองในรูปการแบ่งอำนาจในการปกครองหัวเมืองได้ปรากฏเป็นรูปร่างเด่นชัดขึ้น เมื่อได้มีการตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ ซึ่งต่อมาได้ยกเลิกและประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๓ แทน ซึ่งได้ถือเป็นหลักมาจนกระทั่งทุกวันนี้ จะมีการแก้ไขบ้างก็เพียงบางมาตราเพื่อความเหมาะสมในการปกครองเท่านั้นและได้เปลี่ยนการปกครองหัวเมืองเรียกเป็น การปกครองท้องที่ตามชื่อพระราชบัญญัติ อนึ่ง ตั้งแต่รัชสมัยของรัชกาลที่ ๕ เรื่อยมาจนถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ได้ทรงดำริจัดตั้งมณฑลและภาคขึ้นโดยรวมหลาย ๆ จังหวัดขึ้นเป็นมณฑล มีข้าหลวงใหญ่หรือข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ และต่อมาได้โอนมาขึ้นอยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ และในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้มีการจัดตั้งภาคขึ้นหลาย ๆ มณฑลรวมกันเป็นภาคและมีอยู่ ๔ ภาค คือ ภาคพายัพ ภาคปักษ์ใต้ ภาค อีสาน และภาคตะวันตก มีอุปราชซึ่งเป็นพระราชวงศ์หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ปกครองขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ แต่การจัดรูปการปกครองโดยมีภาคนี้ ได้นำมาใช้เพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และได้ยกเลิกไปเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๔๖๘ คงเหลือแต่มณฑล และให้มณฑลต่าง ๆ นี้มาขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยในปี ๒๔๖๙ ดังที่กล่าวมาแล้ว สำหรับจำนวนมณฑลนี้มิได้มีจำนวนแน่นอน คงเพิ่มลดกันตลอดมาเพื่อความสะดวกเหมาะสมในการปกครอง จนในที่สุดใน พ.ศ. ๒๔๗๔ ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองคงเหลือเพียง ๑๐ มณฑล และได้ยกเลิกไปหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว๑๕ อนึ่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้มีการรวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า จังหวัดตากในสมัยนั้นจัดเป็นหัวเมืองที่ขึ้นกับมณฑลนครสวรรค์เรื่อยมา จนกระทั่งได้มีการยกเลิกไป การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน๑๖ หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ระบอบการ ปกครองได้เปลี่ยนมาเป็นระบอบประชาธิปไตย หรือปรมัตตาญาสิทธิราชย์ซึ่งหมายความว่า การ ปกครองโดยมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของชาติ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจทั้ง ๓ ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ โดยทางสภาผู้แทนราษฎร ทางคณะรัฐมนตรีและทางศาลตามลำดับ ปัจจุบันนี้การจัดระเบียบการบริหารงานทางการปกครองของประเทศ ได้แบ่งลักษณะการปกครองออกเป็น ๓ ส่วน คือ ๑. ส่วนกลาง คือ กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ และส่วนราชการอื่นที่เทียบเท่า ๒. ส่วนภูมิภาค ได้แก่ จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการปกครองในการแบ่งอำนาจในการปกครอง ๓. ส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล และสภาตำบล และการปกครองท้องถิ่นรูปพิเศษ คือ กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา ซึ่งเป็นการปกครองท้องถิ่นในรูปการกระจายอำนาจในทางปกครอง องค์การปกครองท้องถิ่นทุกรูปได้ถูกจัดตั้งโดยอาศัยอำนาจกฎหมาย และมีอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องได้กำหนดไว้ และมีสภาพเป็นนิติบุคคล เว้นแต่ในรูปสภาตำบล ได้จัดตั้งขึ้นโดยคำสั่งของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๖ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ ๑๖ เจริญศุข ศิลาพันธุ์, เพิ่งอ้าง. หน้า ๑๘-๑๙ ที่มา : ประวัติศาสตร์ส่วนภูมิภาคจังหวัดตาก. กรุงเทพฯ : ศักดิ์ดาการพิมพ์, ๒๕๒๗. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:53:10 อุตรดิตถ์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หวน พินพันธุ์ ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของจังหวัดอุตรดิตถ์ และเรียบเรียงไว้ดังนี้๑ ในท้องที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้มีคนอาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว ต่อมาในสมัยสุโขทัยก็มีการตั้งเมืองขึ้นหลายเมือง เช่น เมืองทุ่งยั้ง และเวียงเจ้าเงาะในท้องที่อำเภอลับแลปัจจุบัน เมืองตาชูชกในท้องที่อำเภอตรอนปัจจุบัน เมืองสวางคบุรีในท้องที่อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ปัจจุบัน ในสมัยอยุธยาก็มีการตั้งเมืองพิชัยในท้องที่อำเภอพิชัยปัจจุบัน เป็นต้น ในสมัยรัตนโกสินทร์ก็มีการย้ายเมืองจากเมืองพิชัยมาตั้งใหม่ที่ตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ปัจจุบัน นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงรายละเอียดของอุตรดิตถ์ในอดีต ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ดังต่อไปนี้ อุตรดิตถ์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นสมัยโบราณก่อน พ.ศ. ๑๐๐๐ ยังไม่มีตัวอักษรใช้กัน อุตรดิตถ์ก็คงมีคนอาศัยอยู่แล้ว เพราะหลักฐานการค้นพบโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือพบลองมโหระทึกสมัยก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งขุดพบที่ตำบลท่าเสา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ และนายแจ้ง เลิศวิลัย ได้ส่งไปให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐๒ (ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร) นอกจากนี้ยังเคยขุดพบกลองมโหระทึก และพร้าสัมฤทธิ์ในบริเวณเวียงเจ้าเงาะ อำเภอลับแล๓ อีกด้วย แสดงว่าในบริเวณทั้ง ๒ แห่งนี้มีคนเคยอาศัยอยู่มาก่อนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และจากโบราณวัตถุที่ทำด้วยสัมฤทธิ์นี้เอง แสดงว่าเป็นยุคสัมฤทธิ์ หรือยุคโลหะตอนต้น อุตรดิตถ์สมัยสุโขทัย ในสมัยสุโขทัยท้องที่ของจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้มีการตั้งเมืองขึ้นหลายเมืองด้วยกัน เช่น เมืองฝางหรือเมืองสวางคบุรี ซึ่งปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ เมืองทุ่งยั้งและเวียงเจ้าเงาะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอลับแลและเมืองตาชูชก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอตรอน เมืองเหล่านี้มีหลักฐานทางศิลาจารึกบ้าง หลักฐานทางโบราณสถานบ้างที่แสดงว่าเป็นเมืองที่ตั้งขึ้นในสมัยสุโขทัย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป เมืองแรกคือ เมืองฝาง หรือเมืองสวางคบุรี ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อปรากฏในศิลาจารึกของกรุงสุโขทัยเป็นครั้งแรก เมื่อคราวที่พระมหาธรรมราชาลิไทย แห่งกรุงสุโขทัยได้ทรงสร้างพระมหาธาตุที่เมืองนครชุม เมืองมหาศักราช ๑๒๗๙ (พ.ศ. ๑๙๐๐) และตอนท้ายของศิลาจารึกหลักที่ ๓ นั้น ได้กล่าวถึงเมืองฝางด้วย ดังข้อความตอนหนึ่งดังนี้ "...ขุนผู้ใดกระทำชอบด้วยธรรมดังอันขุนผู้นั้น ...กินเมืองเหินนานแก่กม ผู้ใดกระทำบ่ชอบด้วยธรรมดังอันขุนผู้นั้น บมิยืนเยิงเหิงนานเลย คำนี้กล่าวคันสเล็กสน้อยและคำอันพิสดารไซร้ กล่าวไว้ในจารึกอันมีในเมืองสุโขทัย...นักพระมหาธาตุพู้น และจารึกอันหนึ่งมีในเมือง .....อันหนึ่งมีในเมืองฝาง อันหนึ่งมีในเมืองสระหลวง......หมทลประดิษฐานไว้ด้วยพระบาทลักษณะหั้น...."๔ จากข้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๓ นี้ จึงกล่าวได้ว่าเมืองฝางเป็นเมืองหนึ่งของอาณาจักรสุโขทัย ในสมัยสุโขทัย และยังเป็นเมืองต่อมาจนถึงสมัยอยุธยา อีกเมืองหนึ่งคือ เมืองทุ่งยั้ง และเวียงเจ้าเงาะ ถึงแม้จะไม่ปรากฏชื่อเมืองนี้ในศิลาจารึกกรุงสุโขทัย แต่จากการพบตัวเมืองมีลักษณะเป็นกำแพงเมือง ๓ ชั้น และคูน้ำ ๒ ชั้น ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับเมืองโบราณสมัยสุโขทัยโดยทั่วไป และยังพบพระสถูปเจดีย์ที่มีมาแต่สมัยสุโขทัยหลายแห่ง เช่นในเขตวัดพระยืน กุฏิฤาษี และวัดทองเหลือ เป็นต้น นอกจากนี้ในกฎหมายลักษณะลักพาครั้งรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ แห่งกรุงศรีอยุธยามีชื่อเมืองทุ่งยั้งอยู่ในทำเนียบด้วยย่อมเป็นสิ่งยืนยันให้เห็นว่า เมืองทุ่งยั้งเป็นเมืองอยู่ในสมัยสุโขทัยอย่างแน่นอน๕ เมืองโบราณอีกเมืองหนึ่ง คือ เมืองตาชูชก ซึ่งอยู่ในท้องที่ตำบลหาดสองแคว อำเภอตรอน และอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่านฟากตะวันออก ลักษณะของตัวเมืองมีกำแพงเมือง ๓ ชั้น และคูน้ำ ๒ ชั้น และใช้แม่น้ำน่านเป็นคูเมืองธรรมชาติ ลักษณะของกำแพงเมือง ๓ ชั้นนี้เหมือนกับเมืองทุ่งยั้ง และเหมือนกับเมืองโบราณสมัยสุโขทัยอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองสุโขทัยเก่า ได้ปรากฏข้อความที่บรรยายถึง ลักษณะตัวเมือง ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของกรุงสุโขทัยว่า "รอบเมืองสุโขทัยนี้ ตรีบูร ได้สามพันสี่ร้อยวา"๖คำว่า "ตรีบูร" หมายถึงกำแพง ๓ ชั้นนั่นเอง ดังนั้นเมืองตาชูชกและเมืองทุ่งยั้ง ซึ่งมีกำแพง ๓ ชั้นเช่นกัน จึงเชื่อว่าเป็นเมืองโบราณสมัยสุโขทัยอย่างไม่มีปัญหา จึงกล่าวได้ว่าอุตรดิตถ์ในสมัยสุโขทัย มีเมืองอยู่ถึง ๓ เมืองด้วยกัน อุตรดิตถ์ในสมัยอยุธยา ในสมัยอยุธยาเริ่มตั้งแต่พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ ปรากฏว่ามีเมืองขึ้นถึง ๑๖ เมืองด้วยกัน ในจำนวน ๑๖ เมืองนี้ มีเมืองพิชัย ซึ่งอยู่ในท้องที่ของอุตรดิตถ์ในปัจจุบันอยู่ด้วย ดังปรากฏข้อความตอนหนึ่งในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ดังนี้ "ศุภมัศดุศักราช ๗๑๒ ปีขาล โทศก (พ.ศ. ๑๘๙๓) วันศุกร์ เดือนห้า ขึ้นหกค่ำ เพลาสามนาฬิกาเก้าบาทสถาปนากรุงพระมหานครศรีอยุธยา ชีพ่อพราหมณ์ให้ฤกษ์ตั้งพิธีกลปบาต ได้สังข-ทักษิณวัตรใต้ต้นหมันขอนหนึ่งแลสร้างพระที่นั่งไพฑูรย์มหาปราสาทองค์หนึ่งสร้างพระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาทองค์หนึ่ง สร้างพระที่นั่งไอศวรรย์มหาปราสาทองค์หนึ่งแล้วพระเจ้าอู่ทองเสด็จเข้ามาครอง ราชสมบัติ ชีพ่อพราหมณ์ถวายพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว กรุงเทพทวาราวดี ศรีอยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์,จึงให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระ ราเมศวรขึ้นไปครองราชสมบัติในเมืองลพบุรี ครั้งนั้นพระยาประเทศราชขึ้น ๑๖ เมือง คือ เมืองมลากา, เมืองชวา, เมืองตะนาวศรี, เมืองนครศรีธรรมราช, เมืองทวาย, เมืองเมาะตะมะ, เมืองเมาะลำเลิง, เมืองสงขลา, เมืองจันทบุรี, เมืองพิษณุโลก, เมืองพิชัย, เมืองสวรรคโลก, เมืองพิจิตร, เมืองกำแพงเพชร, เมืองนครสวรรค์ "๗ จะเห็นได้ว่าเมืองพิชัย เป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาเมืองหนึ่ง ส่วนเมืองทุ่งยั้ง เมืองฝาง และเมืองตาชูชกคงเป็นเมืองที่หมดความสำคัญลงไปก็ได้ จึงไม่ได้กล่าวไว้ในพระราชพงศาวดาร ส่วนเมืองพิชัยคงเป็นเมืองที่มีความสำคัญขึ้นนั่นเอง ต่อมา พ.ศ. ๒๐๓๓ ได้มีการก่อกำแพงเมืองพิชัยขึ้น๘ (ซึ่งตรงกับรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ แสดงว่าก่อนหน้านี้ เมืองพิชัยยังไม่มีกำแพงเมือง เพิ่งทำการก่อกำแพงเมืองในปีนี้ ลักษณะของกำแพงเมือง เป็นกำแพงดินชั้นเดียว ตัวเมืองอยู่ริมแม่น้ำน่านฟากตะวันออก ในปี พ.ศ. ๒๑๐๖ ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระเจ้าหงสาวดี บุเรงนองยกกองทัพมาตีเมืองเหนือซึ่งในพระราชพงศาวดารเรืองไทยรบพม่ากล่าวว่า เป็นสงครามครั้งที่ ๓ คราวนั้นรบกันด้วยเรื่องช้างเผือกในครั้งนี้ปรากฏว่ากองทัพพระมหาอุปราชากับพระเจ้าแปรยกไปถึงเมืองสุโขทัย พระยาสุโขทัยต่อสู้ได้รบพุ่งกันเป็นสามารถกำลังไทยน้อยกว่าพม่ามากนักก็เสียเมืองสุโขทัย ตัวพระยาสุโขทัยพม่าก็จับได้ ฝ่ายพระยาสวรรคโลก พระยาพิชัยเมื่อรู้ว่าเสียเมืองสุโขทัยแล้วก็ไม่ต่อสู้ พากันไปยอมอ่อนน้อมต่อพระมหาอุปราชาทั้ง ๒ เมือง๙ จะเห็นได้ว่า เมืองพิชัยเป็นเมืองหน้าด่านเมืองหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาในสมัยนี้ด้วย และในการที่พม่ายกกองทัพมาตีเมืองเหนือครั้งนี้ พม่าให้รวบรวมเรือในหัวเมืองฝ่ายเหนือจัดเป็นกองทัพเรือ ยกลงมาตีกรุงศรีอยุธยา และพระยาพิชัยได้ตามเสด็จมาในกองทัพหลวงด้วย๑๐ ต่อมา พ.ศ. ๒๑๒๗ ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชา ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชประกาศอิสรภาพ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จขึ้นไปขับไล่กองทัพพม่าทางหัวเมืองเหนือ ปรากฏว่าพระยาสวรรคโลกและพระยาพิชัยแข็งเมืองไม่ยอมเกณฑ์กำลังไปช่วยขับไล่กองทัพพม่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงยกกองทัพเข้าตีเมืองสวรรคโลก และเมืองพิชัย และสามารถเข้าเมืองได้ จับได้ตัวพระยาสวรรคโลก พระยาพิชัย มีรับสั่งให้ประหารชีวิตเสียทั้งสองคน แล้วให้กวาดต้อนผู้คนพลเมืองทั้งเมืองสวรรคโลก และเมืองพิชัย ลงมายังเมืองพิษณุโลกจนสิ้นเชิง๑๑ เหตุการณ์ในสมัยอยุธยาที่เกี่ยวข้องกับเมืองพิชัยก็มีเพียงเท่านี้ แต่จะปรากฏเรื่องของเมืองพิชัยอีกในสมัยธนบุรี สำหรับเมืองสวางคบุรี หรือเมืองฝาง และเมืองทุ่งยั้งได้มีเหตุการณ์ในสมัยอยุธยาอีก ซึ่งจะกล่าวต่อไป ในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตามพระราชพงศาวดารได้กล่าวถึงเมืองฝาง คือในปี พ.ศ. ๒๑๓๕ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชให้เตรียมทัพหลวงที่จะไปปราบเมืองอังวะ แล้วได้เสด็จยกทัพหลวงไปทางเชียงใหม่ แล้วเสด็จต่อไปทางเมืองหางหลวง ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถก็ยกทัพหลวงเสด็จไปทางเมืองฝาง เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จถึงเมืองหลวงนั้น ได้ทรงพระประชวรหนักก็ตรัสให้ข้าหลวงไปกราบทูลพระกรุณาถึงเมืองฝางสมเด็จพระเอกาทศรถก็เสด็จจากเมืองฝางมายังเมืองหางหลวง รุ่งขึ้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็เสด็จสวรรคต๑๒ แสดงว่าในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมืองฝางคงเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ได้เสด็จเมืองทุ่งยั้ง และเมืองสวางคบุรี ในปี พ.ศ. ๒๒๘๓ เพื่อนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ณ เมืองทุ่งยั้ง และนมัสการพระมหาธาตุ ณ เมืองสวางคบุรี แต่ในพระราชพงศาวดารกล่าวถึงเมืองทุ่งยั้งว่าเป็นเมืองศรีพนมมาศ ทุ่งยั้ง๑๓ ความจริงก็คือเมืองทุ่งยั้งนั่นเอง ส่วนเมืองสวางคบุรีก็เป็นเมืองเดียวกับเมืองฝาง อาจจะเปลี่ยนชื่อจากเมืองฝางมาเป็นเมืองสวางคบุรีในภายหลัง สำหรับในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนี้ ยังมีเรื่องราวที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารอีกว่า มีพระภิกษุชาวเมืองเหนือรูปหนึ่งชื่อเรือนลงมาเล่าเรียนอยู่ในกรุงศรีอยุธยาจนได้เป็นที่พระพากุลเถร ตำแหน่งพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระอยู่ ณ วัดศรีอโยธยา อยู่มาสมเด็จพระบรมโกศทรงตั้งให้เป็นตำแหน่งสังฆราชา ขึ้นไปเป็นเจ้าคณะสงฆ์ เมืองสวางคบุรี อยู่ ณ วัดพระฝาง๑๔ ต่อมา พ.ศ. ๒๓๑๐ ในรัชกาลพระที่นั่งสุริยามรินทร์ กรุงศรีอยุธยาได้เสียแก่พม่า หัวเมืองทั้งปวงไม่มีพระราชาธิบดีปกครอง ก็พากันตั้งตัวเป็นเจ้าขึ้นหลายก๊กหลายเหล่า๑๕ พระสังฆราชาเรือน ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าอีกตำบลหนึ่ง แต่หาสึกเป็นคฤหัสไม่ คงอยู่ในเพศสมณะแต่นุ่งห่มผ้าแดง คนทั้งปวงเรียกว่า เจ้าพระฝาง บรรดาเจ้าเมืองกรมการหัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่เหนือเมืองพระพิษณุโลกขึ้นไป ก็กลัวเกรงนับถืออยู่ในอำนาจทั้งสิ้น และเมืองเหนือครั้งนั้นมีเจ้าขึ้นสองแห่ง แบ่งแผ่นดินออกเป็นสองส่วน ตั้งแต่เมืองพระพิษณุโลกลงมาจนถึงเมืองนครสวรรค์กับแควปากน้ำโพนั้น เป็นอาณาเขตของเจ้าพระพิษณุโลก ตั้งแต่เหนือเมืองพระพิษณุโลกขึ้นไปจนถึงเมืองน้ำปาด กระทั่งแดนลาว กับแควแม่น้ำปากพิงนั้น เป็นอาณาเขตข้างเจ้าพระฝาง๑๖ อุตรดิตถ์สมัยธนบุรี ต่อมาเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติเป็นบรมกษัตริย์ ณ กรุงธนบุรีแล้ว ในรัชกาลของพระองค์นี้ปรากฏว่า เจ้าพระพิษณุโลกถึงพิราลัย เจ้าพระฝางจึงยกกองทัพลงมาตีเมืองพิษณุโลกอีก หลังจากเคยยกทัพลงมาตีครั้งหนึ่งแล้ว แต่เอาเมืองมิได้ แต่ครั้งนี้เจ้าพระฝางสามารถตีเอาเมืองพิษณุโลกได้๑๗ ต่อมา พ.ศ. ๒๓๑๓ พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ยกกองทัพขึ้นไปปราบหัวเมืองซึ่งเป็นอาณาเขตของเจ้าพระฝางทั้งหมด ส่วนตัวเจ้าพระฝางนั้นหนีแล้วเลยหายสูญไป๑๘ เป็นอันว่าเมืองสวางคบุรี และอาณาเขตทั้งหมดขึ้นกับกรุงธนบุรีแต่นั้นมา ต่อมา พ.ศ. ๒๓๑๔ พระเจ้ากรุงธนบุรีจะเสด็จไปตีเมืองเชียงใหม่ครั้งแรก ได้ไปตั้งที่ประชุมทัพหลวงที่เมืองพิชัย ต่อมา พ.ศ. ๒๓๑๕ โปสุพลาแม่ทัพพม่าที่ไปตีได้เมืองหลวงพระบาง ให้ชิกชิงโบ นายทัพพม่ายกมาตีได้เมืองลับแล แล้วเลยมาตีเมืองพิชัย พม่าตั้งค่ายอยู่ที่วัดเอกา ขณะนั้นเมืองพิชัยรี้พลมีน้อย พระยาพิชัยได้แต่ตั้งมั่นรักษาเมือง แล้วบอกขอกองทัพเมืองพิษณุโลกขึ้นไปช่วย กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เมื่อยังเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ เสด็จยกกองทัพขึ้นไปตีค่ายพม่า พระยาพิชัยยกออกตีกระหนาบอีกด้านหนึ่ง พม่าก็แตกหนีกลับไป๑๙ ต่อมา พ.ศ. ๒๓๑๖ โปสุพลายยกกองทัพมาตีเมืองพิชัยอีก พระยาพิชัยก็ยกพลทหารออกไปต่อรบแต่กลางทางยังไม่มาถึงเมือง เจ้าพระยาสุรรีห์ก็ยกกองทัพเมืองพระพิษณุโลกขึ้นไปช่วย ได้รบกับพม่าเป็นสามารถ และพระยาพิชัยถือดาบสองมือคุมพลทหารออกไล่ฟันพม่าจนดาบหัก จึงลือชื่อปรากฏเรียกว่า พระยาพิชัยดาบหักแต่นั้นมา ครั้งถึง ณ วันอังคารเดือนยี่ แรม ๗ ค่ำ กองทัพพม่าแตกพ่ายหนีไป จึงบอกหนังสือลงมากราบทูลพระกรุณา ณ กรุงธนบุรี๒๐ จะเห็นได้ว่าอุตรดิตถ์ในสมัยอยุธยา และสมัยธนบุรี เมืองพิชัยเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง และเมืองสวางคบุรีก็คงเป็นเมืองที่มีความสำคัญที่รองลงมา หรืออาจเท่าเทียมกันก็ได้ สังเกตได้จากเมืองพิชัยเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาในสมัยอยุธยาตอนต้น และคงเป็นเมืองหน้าด่านของกรุงศรีอยุธยาด้วย ส่วนเมืองสวางคบุรีก็คงเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ สังเกตได้จากเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าแล้ว เจ้าพระฝางได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้ามีอำนาจในหัวเมืองเหนือตั้งแต่เหนือเมืองพิษณุโลกขึ้นไปจนถึงแดนลาวทีเดียว ส่วนเมืองทุ่งยั้ง คงขาดความสำคัญลงไปมาก แต่ในพระราชพงศาวดาร กรุงศรีอยุธยาก็ยังกล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เสด็จนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ณ เมืองทุ่งยั้งคราวเดียวกับเสด็จนมัสการพระมหาธาตุ ณ เมืองสวางคบุรีด้วย ส่วนเมืองตาชูชกคงขาดความสำคัญลงไปมากจนอาจเป็นเมืองร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาก็ได้ เพราะไม่ปรากฏว่า พระราชพงศาวดารได้กล่าวถึงเมืองนี้เลย อุตรดิตถ์สมัยรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมืองต่าง ๆ ในท้องที่จังหวัดอุตรดิตถ์ปัจจุบันที่ยังมีความสำคัญอยู่คือ เมืองพิชัยส่วนเมืองทุ่งยั้งก็ดี เมืองสวางคบุรีก็ดี คงจะลดความสำคัญลงไปมากทีเดียว สำหรับเมืองพิชัยมาเป็นเมืองสำคัญขึ้นในรัชกาลที่ ๓ เพราะเมื่อเจ้าอนุเวียงจันทน์เป็นขบถ กองทัพกรุงเทพฯ ขึ้นไปปราบปรามราบคาบ แล้วโปรดให้เลิกอาณาเขตกรุงศรีสัตนาคนหุตมิให้มีดังแต่ก่อน เมืองพิชัยได้หัวเมืองขึ้นของเมืองเวียงจันทน์ ที่อยู่ต่อแดนมาเป็นเมืองขึ้นหลายเมือง ขยายเขตแดนออกไปถึงแม้น้ำโขง ต้องตรวจตรารักษาการทางเมืองแพร่ เมืองน่าน ตลอดจนเมืองหลวงพระบางเป็นเมืองหน้าด่านแต่นั้นมา๒๑ แสดงว่าในสมัยรัชกาลที่ ๓ นี้ เมืองพิชัยเป็นเมืองที่มีความสำคัญอย่างมากทีเดียว ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนี้เอง ปรากฏว่าที่ตำบลบางโพท่าอิฐซึ่งเป็นที่ตั้งตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ปัจจุบันและอยู่ริมแม่น้ำน่าน มีเรือเดินจากกรุงเทพฯได้สะดวกถึงตำบลบางโพท่าอิฐนี้เท่านั้น เพราะเหนือขึ้นไปแม่น้ำตื้นเขินและเป็นเกาะแก่งเรือเดินไม่สะดวก เพราะฉะนั้นตำบลบางโพท่าอิฐจึงเป็นย่านสำคัญ เพราะเป็นที่รวมสินค้า ซึ่งพ่อค้าได้นำสินค้าทางเมืองใต้ขึ้นไปสุดทางเพียงแค่นั้น และพ่อค้าทางเมืองเหนือ เช่น เมืองหลวงพระบาง เมืองแพร่ เมืองน่าน ตลอดจนแคว้นสิบสองปันนา ก็นำสินค้าพื้นเมืองเดินบกลงมาจำหน่ายแล้วคอยรับซื้อสินค้าที่ส่งไปจากกรุงเทพฯ ที่ตำบลบางโพท่าอิฐนี้ เมื่อตำบลบางโพท่าอิฐเป็นทำเลการค้าดีเช่นนี้ ราษฎรจึงพากันอพยพจากเมืองพิชัยมาอยู่ที่ตำบลบางโพท่าอิฐมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ผู้คนในเมืองพิชัยร่วงโรยลง แต่ตำบลบางโพท่าอิฐกลับมีราษฎรมาตั้งถิ่นฐานกันหนาแน่นเพิ่มขึ้นทุกปี จนกลายเป็นชุมชนใหญ่กว่าเมืองพิชัยเสียอีก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเห็นว่า ที่ตำบลนี้คงเจริญต่อไปในภายหน้า จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเป็นเมืองขึ้น เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๓๐ เรียกว่า "เมืองอุตรดิตถ์" (อุตร = เหนือ,ดิตถ์ = ท่า เมืองอุตรดิตถ์ จึงน่าจะหมายถึง เมืองท่าเหนือ) และโปรดให้เป็นเมืองขึ้นของเมืองพิชัย๒๒ ดังนั้นในตอนนี้ เมืองพิชัยจึงแบ่งการปกครองออกเป็น ๕ เมืองด้วยกันคือ เมืองอุตรดิตถ์ เมืองตรอน เมืองลับแล และเมืองน้ำปาด๒๓ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๔๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ย้ายศาลากลางเมืองไปตั้งบังคับบัญชาที่เมืองอุตรดิตถ์ และให้คงไว้แต่อำเภอพิชัยเก่า และนามเมืองพิชัยก็เลยนำไปใช้ที่เมืองอุตรดิตถ์ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาใช้เมืองอุตรดิตถ์๒๔ เหตุที่ย้ายศาลากลางเมืองไปตั้งใหม่ที่เมืองอุตรดิตถ์ ก็เพราะเมืองพิชัยร่วงโรยลงไป แต่เมืองอุตรดิตถ์มีผู้คนไปประกอบการค้ามากขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ปรากฏว่าพวกเงี้ยวได้ก่อการจลาจลขึ้นที่เมืองแพร่ ทางเมืองเหนือรวมทั้งเมืองอุตรดิตถ์ด้วย ต้องจัดกำลังขึ้นไปช่วยก่อนที่กองทัพจากกรุงเทพฯ จะเดินทางขึ้นไป และในเดือนนั้นเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์ มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เมื่อยังเป็นพลโท ยกกองทัพขึ้นไปปราบเงี้ยวที่ก่อการจลาจลในเมืองแพร่ ก็ได้ไปพักกองทัพเพื่อยกขึ้นเดินทางบกที่เมืองนี้๒๕ และตั้งประชุมไพร่พลอยู่ที่เมืองนี้หลายวัน แล้วจึงเดินบกต่อไปยังเมืองแพร่๒๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมณฑลฝ่ายเหนือในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ และได้เสด็จเมืองพิชัยเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ เสด็จเมืองตรอนตรีสินธุ์ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๔๔ และเสด็จเมืองอุตรดิตถ์เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๔๔ และการเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือนี้พระองค์ได้มีพระราชหัตถเลขาถึงกรมหลวงเทวะษาโรประการด้วย สำหรับการเสด็จเมืองอุตรดิตถ์นี้ มีพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งกล่าวถึงตลาดของเมืองอุตรดิตถ์ " ..ในตลาดนั้นมีเรือนแถวฝากระดาน ๒ ชั้น แต่ใหญ่ ๆ กว่าที่กรุงเทพฯ ที่แล้วก็มาก ที่ยังทำอยู่ก็มี เป็นร้านขายของอย่างครึกครื้น ที่เป็นบ้านเรือนแลห้างก็มีบ้าง เขาว่าตลาดบกที่นี่ดีกว่าที่ปากน้ำโพซึ่งฉันไม่ได้เห็น แต่ตลาดเรือนั้น ที่นี่สู้ปากน้ำโพไม่ได้ ." และในการเสด็จเมืองอุตรดิตถ์ครั้งนั้น พระองค์ได้เสด็จต่อไปยังเมืองลับแลในวันที่ ๒๔ ตุลาคม และเสด็จเมืองฝางเก่าในวันที่ ๒๕ ตุลาคม อีกด้วย ยังมีพระราชหัตถเลขาอีกตอนหนึ่ง ที่กล่าวถึงการย้ายที่ว่าเมือง ดังข้อความดังนี้ "อนึ่งเมืองพิไชยนั้น โดยภูมิฐานที่ตั้งไม่ดีมีแต่ร่วงโรยลง ที่เมืองอุตรดิตถ์นี้ความเจริญขึ้นรวดเร็ว มีการค้าขายแลผู้คนมาก จนเป็นอำเภอก็จะไม่ใคร่พอที่จะปกครองรักษา ฉันจึงได้สั่งให้ย้ายที่ว่าการเมืองขึ้นมาตั้งที่พลับพลานี้แต่อำเภออุตรดิตถ์ก็คงเป็นอำเภออุตรดิตถ์อยู่ อำเภอเมืองพิไชยก็คงเป็นอำเภอเมืองพิไชย ย้ายแต่ที่ว่าการเมืองแลศาลเมืองขึ้นมาตั้งที่นี่ แลพลับพลาที่สร้างขึ้นนี้จะใช้ได้ต่อไปอีกหลายปี กว่าการปลูกสร้างใหม่จะแล้วสำเร็จ"๒๗ และใน พ.ศ. ๒๔๔๔ นี้เอง สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ได้เสด็จเมืองอุตรดิตถ์ด้วยและได้ทรงนิพนธ์ไว้ตอนหนึ่งว่า "เวลาบ่าย ๓ โมง ขี่ม้าขึ้นไปตามถนนริมน้ำ ดูตลาดท่าอิฐ ซึ่งอยู่เหนืออุตรดิตถ์หน่อยหนึ่ง ที่แท้จริงอุตรดิตถ์ไม่มีคนมากเท่าท่าอิฐ แลท่าอิฐนั้นควรจะเป็นเมือง เมืองทั้งปวงในมณฑลพิษณุโลก เมืองไหนจะดีเท่าอุตรดิตถ์ไม่มี เป็นเมืองที่โคราช เป็นที่รวมทางที่มาแต่ที่ดอน คือ แพร่ น่าน เป็นต้น มาสู่อุตรดิตถ์เป็นท่าเป็นบ้านร้านตลาดหาได้จับบางแต่ตามลำน้ำเช่นเมืองอื่นไม่ คับคั่งแน่นหนาประดุจตลาดน้อยกรุงเทพฯ เวลานี้ที่ตลาดกำลังทำโรงร้านใหม่เพราะขยายถนน โรงร้านนั้นทำด้วยไม้เป็นสองชั้น เมืองอุตรดิตถ์เป็นที่งอก แผ่นดินเป็นกพักสองชั้นอย่างเมือง พิไชยเกือบทุกแห่ง "๒๘ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๔๘ - ๒๔๔๙ ทางการได้เตรียมการที่จะสร้างทางรถไฟสายเหนือ ไปเชียงใหม่โดยผ่านอุตรดิตถ์ด้วย ได้เตรียมถางทาง โค่นต้นไม้ถมดิน ทางรถไฟตรงมาทางหลังวัด หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:53:39 อุตรดิตถ์ ๒
ท่าถนน ผ่านป่าช้าของวัดท่าถนน (คือสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ปัจจุบัน) สร้างมุ่งตรงไปถึงป่าไผ่หนาทึบ (คือที่ตั้งสถานีรถไฟท่าเสาในปัจจุบัน) ตัดผ่านหน้าวัดใหญ่ท่าเสาไปถึงหน้าวัดดอยท่าเสา และในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ก็ได้วางรถไฟไปตามเส้นทางดังกล่าว ขณะที่ทางการวางรางรถไฟก็มีรถจักรทำงานจูงรถพ่วงที่บรรทุกดิน หินกรวดไปด้วย ประชาชนชาวอุตรดิตถ์ จึงได้เห็นรถไฟที่มาถึงอุตรดิตถ์ในปีนี้ และในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ - ๒๔๕๓ ทางการจึงได้จัดการสร้างสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ขึ้นในบริเวณที่เป็นป่าช้าหลังวัดท่าถนนซึ่งเป็นสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ในปัจจุบันนั่นเอง๒๙ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ นี้ เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชได้เสด็จขึ้นไปประพาสเมืองกำแพงเพชร เมืองสุโขทัย เมือง สวรรคโลก เมืองอุตรดิตถ์ และเมืองพิษณุโลก ขณะที่เสด็จประพาสอุตรดิตถ์ พระองค์ได้ทอดพระเนตรทางรถไฟด้วย และพระองค์ได้ทรงพระนิพนธ์เกี่ยวกับเมืองอุตรดิตถ์ไว้ตอนหนึ่ง ดังนี้ "เมืองอุตรดิตถ์ หรือเรียกตามที่ตั้งใหม่ว่าเมืองพิชัยนี้ เป็นเมืองใหม่แท้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องป่วยการเที่ยวหาของโบราณอะไร ดูแต่ของใหม่ๆ มีดูหลายอย่าง ที่นี่เป็นเมืองสำคัญในมณฑลนี้แห่งหนึ่ง เพราะเป็นเมืองด่านที่พักสินค้าขึ้นล่องมาก เพราะฉะนั้นผู้คนพ่อค้าพาณิชย์อยู่ข้างจะมีมาก ตลาดท่าอิฐมีร้านรวงอยู่มากครึกครื้น มีข้อเสียใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง คือท่าอิฐนี้ต้องน้ำท่วมทุกปี จึงไม่น่าจะเป็นที่ถาวรอยู่ได้ น่าจะขยับขยายย้ายตลาดเข้าไปเสียให้ห่างจากฝั่งแม่น้ำอีกสักหน่อย"๓๐ และอีกตอนหนึ่งทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า "เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวที่ลับแล ออกจากที่พักที่อุตรดิตถ์ ขี่ม้าไปทางบ้านท่าอิฐ เดินตามถนนอินทใจมีไปเมืองลับแล พระศรีพนมมาศได้จัดแต่งที่พักไว้ที่ตำบลม่อนชิงช้า ที่ริมที่พักนี้พระศรีพนมมาศกับข้าราชการและราษฎรได้เรี่ยไรกันสร้างโรงเรียนขึ้นโรงหนึ่ง ซึ่งขอให้ข้าพเจ้าเปิด ข้าพเจ้าได้เปิดให้ในเวลาบ่ายวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ นั้น และให้นามว่า "โรงเรียนพนมมาศพิทยากร" แล้วได้เลยไปออกที่เขาม่อนจำศีล บนยอดเขานี้แลดูเห็นที่แผ่นดินโดยรอบได้ไกล มีทุ่งนาไปจนสุดสายตา และเห็นเขาเป็นทิวเทือกซ้อนสลับกันเป็นชั้น ๆ รวมกับกำแพงน่าดูหนักหนา"๓๑ ต่อมาวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๗ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เสด็จเมืองพิชัยเก่า และเมืองพิชัยใหม่คือเมืองอุตรดิตถ์ และพระองค์ได้ทรงบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า "....เสด็จพระดำเนินมาตามถนนผ่านตลาดบางโพ ชาวตลาดอยู่เป็นปรกติตามเคย ไม่ได้แสดงอาการรับเสด็จ นอกจากจุดเทียนธูปไม่กี่ร้าน บ่าย ๕ โมง ๔๘ นาที ถึงจวน ซึ่งผู้ว่าราชการเมืองจัดถวายให้เป็นที่ประทับแรม..."๓๒ สำหรับนามเมืองพิชัยยังใช้ที่เมืองอุตรดิตถ์ ตั้งแต่ย้ายศาลากลางเมืองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรอให้เปลี่ยนนามเมืองพิชัยเป็นเมืองอุตรดิตถ์ให้ตรงกับนามท้องที่ ๆ ตั้งเมือง ส่วนอำเภอพิชัยเก่า โปรดเกล้าให้เรียกว่าอำเภอพิชัยคงไปตามเดิม๓๓ แสดงว่าชื่อเมืองอุตรดิตถ์จึงเป็นชื่อเมืองที่เรียกกันตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๘ เป็นต้นมา ต่อมา พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดแล้วให้เปลี่ยนคำว่าเมืองเป็นจังวหวัด ดังนั้นเมืองอุตรดิตถ์จึงเปลี่ยนเป็นจังหวัดอุตรดิตถ์๓๔ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ นี้เอง ได้มีประกาศใช้ชื่ออำเภอที่เปลี่ยนใหม่ให้ตรงกับชื่อตำบลที่ว่าการอำเภอลงวันที่ ๘ - ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ คืออำเภอเมืองเปลี่ยนเป็นอำเภอบางโพ อำเภอลับแลเปลี่ยนเป็นยางกระใด อำเภอเมืองพิไชย คงเรียกอำเภอเมืองพิไชย อำเภอตรอนเปลี่ยนเป็นอำเภอบ้านแก่ง อำเภอน้ำปาด เปลี่ยนเป็นอำเภอแสนตอ๓๕ (แต่ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนไปใช้อย่างเดิมอีก) ต่อมา พ.ศ. ๒๔๖๕ ได้มีพระบรมราชานุญาตโอนอำเภอท่าปลา จากจังหวัดน่านมาขึ้นจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อสะดวกแก่การปกครองท้องที่ เนื่องจากอำเภอท่าปลา จังหวัดน่านตั้งอยู่ไกลศาลากลางจังหวัดมาก ทางเดินไปมา ๑๔ วัน ทางเรือ ๑๕ วัน เป็นทางกันดาร ถ้าถึงฤดูฝนก็ยิ่งลำบากทั้งทางน้ำและทางบก แต่ทางไปมาระหว่างอำเภอนี้กับจังหวัดอุตรดิตถ์ทางเดิน ๓ วัน ก็ถึง ทางน้ำก็สะดวก เห็นควรโอนไปขึ้นจังหวัดอุตรดิตถ์๓๖ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ได้ตั้งเป็นสุขาภิบาลขึ้น และได้ยกฐานะเป็นเมืองเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘๓๗ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นปีที่อุตรดิตถ์เกี่ยวข้องกับกรณีพิพาทอินโดจีน คือไทยได้เรียกร้องขอเอาดินแดนของไทยคืนจากฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสขู่บังคับเอาจากไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นจังหวัดที่ตั้งติดกับพรมแดนอินโดจีน ด้านปากลายริมแม่น้ำโขง กองพันทหาร ร.พัน ๒๘นครสวรรค์ มีหลวงหาญสงครามไชยเป็นแม่ทัพ ได้ยกกองทหารมาตั้งที่อุตรดิตถ์ และได้ทำการยึดปาก-ลายไว้ได้ มีนักเรียนฝึกหัดครูอุตรดิตถ์ และชาวอุตรดิตถ์ได้ช่วยกองทหารอย่างมากด้วย๓๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้มีการย้ายศาลากลางจังหวัดจากที่เดิม ซึ่งอาศัยพลับพลาที่ปลูกรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ศาลากลางหลังใหม่นี้ ตั้งอยู่เหนือวัดวังเตาหม้อ (วัดท่าถนน)๓๙ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ซึ่งเป็นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เดินทัพผ่านประเทศไทย เพื่อมุ่งเข้าไปยึดพม่า และได้ยึดสถานีรถไฟอุตรดิตถ์เป็นที่พักรถไฟ เพื่อจะมุ่งต่อไปยังเชียงใหม่ ผ่าน แม่ฮ่องสอนเข้าพม่า ทำให้สหรัฐอเมริกาและอังกฤษคิดจะปราบญี่ปุ่น และตัดการลำเลียงทางรถไฟของญี่ปุ่น ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้โจมตีอุตรดิตถ์ด้วยการทิ้งระเบิด และยิงปืนกล เช่น ทิ้งระเบิดที่สะพานดารา สะพานแม่ต้า ยิงปืนกลกราดบ้านวังกะพี้ บ้านท่าทองโรงงานน้ำตาลอุตรดิตถ์ สถานีรถไฟท่าเสา และสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ (สถานีรถไฟอุตรดิตถ์ได้ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักด้วย) ทำให้อุตรดิตถ์เสียหายมาก๔๐ พ.ศ. ๒๕๐๑ ได้มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะกิ่งอำเภอฟากท่า เป็นอำเภอฟากท่า เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ สำหรับอำเภอฟากท่านี้เดิมตั้งเป็นกิ่งอำเภอตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๐ ขึ้นกับอำเภอน้ำปาด และเพิ่งยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ นี้เอง๔๑ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นต้นมา รัฐบาลได้จัดการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำน่านขึ้นที่แก่งผาซ่อม อำเภอท่าปลาเขื่อนนี้มีชื่อว่า "เขื่อนสิริกิติ์" และสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕๔๒ วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ ทางจังหวัดได้กระทำพิธีวางศิลาฤกษ์แท่นฐานอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหักโดย นายถวิล สุนทรศารทูล ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในขณะนั้นมาเป็นประธานในพิธี ต่อมาวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้กระทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก โดยนายพ่วง สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี๔๓ วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ได้มีประกาศจัดตั้งกิ่งอำเภอในปกครองอีก ๑ กิ่งคือ กิ่งอำเภอบ้านโคกขึ้นกับอำเภอฟากท่า๔๔ วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ มีประกาศตั้งกิ่งอำเภอทองแสนขึ้น โดยแยกมาจากอำเภอตรอน๔๕ ดังนั้น การแบ่งการปกครองของจังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงแบ่งออกเป็น ๗ อำเภอ ๒ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ อำเภอพิชัย อำเภอตรอน อำเภอลับแล อำเภอท่าปลา อำเภอน้ำปาด อำเภอฟากท่า กิ่งอำเภอบ้านโคก และกิ่งอำเภอทองแสนขัน ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดอุตรดิตถ์. อุตรดิตถ์, ๒๕๒๙. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 15:54:26 อำนาจเจริญ
มองอดีต เมืองอำนาจเจริญ ตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๓ โดยท้าวอุปราชเจ้าเมืองจำพรแขวงสุวรรณเขต ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบัน ได้อพยพครอบครัวมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่ที่บ้านค้อใหญ่ ซึ่งก็คือบ้านอำนาจ ตำบลอำนาจ กิ่งอำเภอลืออำนาจปัจจุบัน ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองลืออำนาจ มีฐานะเป็นเมืองในความปกครองของนครเขมราฐ พ.ศ. ๒๔๑๐ พระอมรอำนาจ (เสือ อมรสิน) ผู้ครองเมืองอำนาจเห็นว่า ถ้าย้ายเมืองอำนาจมาขึ้นต่อเมืองอุบลราชธานี จะสะดวกในการติดต่อราชการมากจึงได้มีใบบอกกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ได้โปรดเกล้าตามที่ขอ ให้เมืองอำนาจขึ้นต่อเจ้าผู้ปกครองเมืองอุบลราชธานีตั้งแต่นั้นมา สมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการปฏิรูปบริหารราชการแผ่นดิน ให้เป็นไปตามแบบอย่างยุโรป เมืองอำนาจได้เปลี่ยนฐานะเป็นเมืองอำนาจเจริญ อยู่ในความปกครองของมณฑลเทศาภิบาลปกครองท้องที่อุบลราชธานี ทางราชการได้แต่งตั้งท้าวพระยาในราชวงศ์มาปกครองเมืองอำนาจเจริญติดต่อกันมาโดยตลอด จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้มีการแต่งตั้งนายอำเภอขึ้นปกครองอำเภออำนาจเจริญ นายอำเภอคนแรกคือ รองอำมาตย์โทหลวงเอนกอำนาจ (เป้ย สุวรรณกูฎ) ต่อมานายอำเภอท่านนี้ได้ย้ายอำเภออำนาจเจริญตามคำแนะนำของพระยาสุนทรพิพิธ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขามณฑลอีสาน ซึ่งพิจารณาเห็นว่าที่ตั้งใหม่เป็นชุมทางสี่แยก ระหว่างเมืองเขมราฐ เมืองอุบล เมืองมุก และเมืองยศ (ยโสธร) ทำให้การคมนาคมสะดวกและคาดว่าจะมีความเจริญยิ่งๆ ขึ้น โดยย้ายจากบ้านอำนาจ ตำบลอำนาจ ไปตั้งที่บ้านบุ่ง ตำบลบุ่ง อำเภออำนาจเจริญ จนถึงปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๑๐ ทางราชการได้แยกการปกครองของอำเภออำนาจเจริญออก ๔ ตำบล ตั้งขึ้นเป็นกิ่งอำเภอหัวตะพาน และยกฐานะเป็นอำเภอหัวตะพานในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้แยกการปกครองของอำเภออำนาจเจริญ ๕ ตำบล ตั้งขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ เสนางคนิคม และยกฐานะเป็นอำเภอเสนางคนิคม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๓๔ ได้แยกการปกครองของอำเภออำนาจเจริญอีก ๖ ตำบล ตั้งขึ้นเป็นกิ่งอำเภอลืออำนาจ และเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๖ ได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดอำนาจเจริญ ประกาศ ในราชกิจานุเบกษา ฉบับพิเศษ หน้า ๔,๕,๖, เล่มที่ ๑๑๐ ตอนที่ ๑๒๕ ลงวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๖ โดย พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวให้มีผลใช้บังคับหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ๙๐ วัน คือมีผล บังคับใช้ในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๖ เป็นต้นไป ที่มา : สำนักงานจังหวัดอำนาจเจริญ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ou ae110 ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 16:24:06 ชุดใหญ่เลย
หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 16:48:04 กาฬสินธุ์
เมืองกาฬสินธุ์ หรือจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ยกฐานะขึ้นเป็น "เมือง" ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงศรีอยุธยา ในช่วงนี้มีความกล่าวว่าเคยเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวละว้า และได้เคยตกอยู่ในอำนาจของพม่า สมัยกรุงธนบุรี ในช่วงนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญต่อการตั้งเมืองกาฬสินธุ์เป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ พระเจ้าองค์เวียนดาแห่งนครเวียงจันทน์ ได้สิ้นพระชนม์ลง โอรสท้าวเพี้ยเมืองแสน ได้ยกกองทัพเข้ายึดเมืองเวียงจันทน์ประสบความสำเร็จ และได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบแทนพระนามว่า "พระเจ้าศิริบุญสาร" เมื่อพระเจ้าศิริบุญสารขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ได้กดขี่ข่มเหงเบียดเบียนประชาราษฎร์ให้ได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส ดังนั้น ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๒๐ ท้าวโสมพะมิตร และอุปฮาดเมืองแสนฆ้อนโปง เมืองแสนหน้าง้ำ ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เกิดขัดใจกับพระเจ้าศิริบุญสาร เจ้าผู้ครองนคร เวียงจันทน์จึงได้รวบรวมผู้คนที่เป็นสมัครพรรคพวกอพยพจากดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ข้ามมาตั้งบ้านเรือนอยู่แถวบริเวณลุ่มน้ำก่ำแถบบ้านพรรณา หนองหาร ธาตุเชียงชุม เมืองพรรณานิคม ซึ่งเป็น หมู่บ้าน และอำเภอของจังหวัดสกลนครในปัจจุบัน ครั้นต่อมาท้าวศิริบุญสารได้ยกกองทัพติดตามมา เพื่อกวาดต้อนผู้คนที่หลบหนีมา ให้กลับคืนสู่นครเวียงจันทน์ ทำให้ท้าวโสมพะมิตรและพรรคพวกต้องอพยพต่อไปและได้แบ่งแยกเป็น ๒ สาย สายที่ ๑ โดยมีเมืองแสนหน้าง้ำเป็นหัวหน้า นำสมัครพรรคพวกบ่าวไพร่ บุตรหลาน มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก สมทบกับพระวอ พระตา ซึ่งแตกทัพมาจากเมืองนครเขื่อนขันท์กาบแก้วบัวบาน (เมืองหนองบัวลำภู) พระตาถูกปืนข้าศึกตายในสนามรบ พระวอกับเมืองแสนหน้าง้ำ รวบรวมไพร่พลที่เหลือหลบหนีไปจนกระทั่งถึงนครจำปาศักดิ์ และได้นำเครื่องบรรณาการเข้าถวายพอพึ่งบารมีของพระเจ้าหลวงแห่งนครจำปาศักดิ์ พระเจ้าองค์หลวงรับสั่งไปตั้งอยู่ ณ ดอนค้อนกอง พระวอจึงสร้างค่ายขุดคูขึ้นเพื่อป้องกันข้าศึก เรียกค่ายนั้นในเวลาต่อมาว่า "ค่ายบ้านดู่บ้านแก" ใน พ.ศ. ๒๕๒๑ พระเจ้าศิริบุญสารยังมีความโกรธแค้นไม่หาย จึงแต่งตั้งให้เพี้ยสรรคสุโภย ยกกองทัพกำลังหมื่นเศษติดตามลงมา เพื่อจับ พระวอและพรรคพวก พระวอได้ยกกำลังออกต่อสู้ด้วยความห้าวหาญยิ่ง แต่สู้กำลังที่เหนือกว่าไม่ได้จนวาระสุดท้ายได้ถึงแก่ความตาย ณ ค่ายบ้านดู่บ้านแกนั่นเอง ท้าวคำผง ท้าวทิดพรหม และท้าวก่ำผู้เป็นบุตรหลาน ได้พาผู้คนที่เหลือหลบหนีเข้าไปอยู่ในเกาะกลางลำแม่น้ำมูลมี ชื่อว่า "ดอนมดแดง" อยู่ในท้องที่จังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน สายที่ ๒ ท้าวโสมพะมิตรเป็นหัวหน้า ได้พาสมัครพรรคพวกยกพลข้ามสันเขาภูพานลงมาทางใต้ และได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านกลางหมื่น ขณะที่ให้ผู้คนจัดสร้างที่พักอยู่นั้น ท้าวโสมพะมิตรได้สำรวจผู้คนของตน ปรากฏว่ามีอยู่ประมาณ ๕,๐๐๐ คน (ครึ่งหรือกลางหมื่นเหมือนชื่อหมู่บ้านปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอเมืองกาฬสินธุ์) และท้าวโสมพะมิตรได้ส่งท้าวตรัยและผู้รู้หลายท่านออกเสาะหาชัยภูมิ เลือกทำเลที่จะสร้างเมืองใหม่ ท้าวตรัยและคณะใช้เวลาสำรวจอยู่ประมาณปีเศษ จึงได้พบทำเลอันเหมาะสม คือได้พบลำน้ำปาว และเห็นว่าแก่งสำโรงชายสงเปลือย มีดินมีน้ำอุดมสมบูรณ์ ควรแก่ตั้งเป็นบ้านเป็นเมือง จึงได้อพยพผู้คนมาตั้งบ้านเรือนบริเวณนี้ และได้จัดสร้างหลักเมืองขึ้น ณ ที่ตั้งศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในปัจจุบัน โดยตั้งตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อใคร อยู่มาได้ประมาณ ๑๐ ปีเศษ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ครั้นต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้สถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นเมืองหลวงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ และเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ามาก ท้าวโสมพะมิตรเห็นเป็นโอกาสดีจึงได้นำเครื่องบรรณาการเข้าถวายสวามิภักดิ์ และกราบทูลขอตั้งบ้านแก่งสำโรงขึ้นเป็นเมือง ปี พ.ศ. ๒๓๓๔ โดยถือเอานิมิตเมืองพรรณานิคมและเมืองหนองหาญธาตุเชิงชุม อันเป็นเมืองเดิมใช้ลุ่มน้ำก่ำ เป็นแหล่งประกอบอาชีพ ซึ่งชาวพื้นเมืองเรียกว่าแม่น้ำ "ก่ำ" แปลว่า "ดำ" นั่นเอง ประกอบกับครั้งนั้นท้าวโสมพะมิตรได้นำกาน้ำสัมฤทธิ์ทูลเกล้าถวาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้ากระหม่อมให้ยกฐานะบ้านแก่งสำโรงขึ้นเป็นเมือง พระราชทานนามว่า "กาฬสินธุ์" เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๖ พร้อมทั้งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ท้าวโสมพะมิตรเป็นพระยาชัยสุนทรครองเมืองกาฬสินธุ์เป็นคนแรก และผู้คนในถิ่นนี้จึงได้นามว่า "ชาวกาฬสินธุ์" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ซึ่งมีคำกลอนเป็นภาษาถิ่นกล่าวอ้างไว้ว่า "กาฬสินธุ์นี้ดำดินน้ำสุ่ม ปลากุ่มบ้อนคือแข่แก่งหาง ปลานางบ้อนคือขางฟ้าลั่น จั๊กจั่นฮ้องคือฟ้าล่วงบน แตกจ่น ๆ คนปีบโฮแซว เมืองนี้มีสู่แนวแอ่นระบำฟ้อน" หมายถึงกาฬสินธุ์ เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์มาก มีดินดี น้ำดี ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ประชาชนมีความสุข สดชื่นรื่นเริงทั่วไป ในครั้งนั้น ท้าวโสมพะมิตร (พระยาชัยสุนทร) ได้ปกครองอาณาประชาราษฎร์ ในเขตดินแดนด้วยความร่มเย็นเป็นสุขด้วยดีเสมอมา จนกระทั่งท้าวโสมพะมิตร (พระยาชัยสมุทร) ได้ถึงแก่ นิจกรรม เมื่ออายุ ๗๐ ปี ท้าวหมาแพงบุตรอุปฮาดเมืองแสนฆ้อนโปง ได้รับพระราชทานเป็นพระยาชัย -สุนทรครองเมืองกาฬสินธุ์แทน ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๓๔๘ และยังได้โปรดเกล้าให้ท้าวหมาสุ่ยเป็นอุปฮาด ให้ท้าวหมาฟองเป็นราชวงศ์ ครั้นต่อมาเจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์เป็นกบฏ ได้มาเกลี้ยกล่อมท้าวหมาแพงให้ร่วมด้วย แต่ท้าวหมาแพงและชาวเมืองกาฬสินธุ์ ทั้งมวลยังมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีไม่เปลี่ยนแปลง เป็นเหตุให้ท้าวหมาแพงถูกทารุณเฆี่ยนตีและตัดหัวเสียบประจาน ณ ทุ่งหนองหอย ตรงกับปี พ.ศ. ๒๓๖๙ เมื่อความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทางกรุงเทพมหานคร จึงได้มอบให้พระยาราชสุภาวดี (พระยาบดินทร์เดชา) ยกกองทัพขึ้นไปปราบเมืองเวียงจันทน์จนมีชัยชนะแล้วกวาดต้อน ผู้คนเมืองลาวมารวมกันอยู่ที่เมืองกาฬสินธุ์เป็นจำนวนมาก และได้โปรดเกล้าแต่งตั้ง ท้าวบุตรเจียม บ้านขามเปีย ซึ่งมีความชอบต่อเจ้าพระยาบดินทร์เดชา คือจัดส่งเสบียง ครั้งตีเมืองเวียงจันทน์ขึ้นเป็นพระยาชัยสุนทรเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ และแต่งตั้งท้าวหล้าขึ้นเป็นอุปฮาด และท้าวอินทิสารผู้เป็นมิตรสหายของท้าวหล้าขึ้นเป็นที่ราชวงศ์ แล้วแต่งตั้ง ท้าวเชียงพิมพ์ขึ้นเป็นราชบุตร ครั้นโปรดเกล้าฯ จัดแจงแต่งตั้ง เจ้าเมืองกรมการเมืองกาฬสินธุ์ ทั้งปวงเสร็จแล้ว เจ้าพระยาบดินทร์เดชาแม่ทัพจึงยกทัพกลับไป การปกครองบ้านเมืองในระบอบมณฑลเทศาภิบาล พระยาชัยสุนทร (ท้าวบุตรเจียม) ได้ปกครองบ้านเมืองโดยเรียบร้อยต่อมาจนถึงสมัย พระยาชัยสุนทร (ท้าวเก) ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้เปลี่ยนรูปแบบการปกครองแบบให้เจ้าเมืองปกครองขึ้นตรงต่อกรุงเทพ มาเป็นรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล มีมณฑล, จังหวัด, อำเภอ, ตำบล และมีพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เมืองร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดร้อยเอ็ด บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ให้ยุบเป็นอำเภอ คือ เมืองกาฬสินธุ์ เป็นอำเภออุทัยกาฬสินธุ์ จนกระทั่งถึงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๕๖ ได้ทรงพระกรุณายกฐานะจังหวัดร้อยเอ็ด ขึ้นเป็นมณฑล ยกฐานะอำเภออุทัยกาฬสินธุ์เป็นจังหวัดกาฬสินธุ์ ให้จังหวัดมีอำนาจปกครองอำเภอ คือให้อำเภออุทัยกาฬสินธุ์ อำเภอสหัสขันธ์ อำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอกมลาไสย อำเภอยางตลาด ขึ้นกับจังหวัดกาฬสินธุ์ และให้จังหวัดกาฬสินธุ์ขึ้นต่อมณฑลร้อยเอ็ด ให้พระภิรมย์บุรีรักษ์ เป็นปลัดมณฑลประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อมามีเหตุการณ์สำคัญ คือเกิดข้าวยากหมากแพงเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ การเงินฝืดเคือง จำเป็นต้องยุบจังหวัดต่าง ๆ ลงเพื่อให้สมดุลกับรายได้ของประเทศ จังหวัดกาฬสินธุ์ ก็ถูกยุบเป็นอำเภอ ขึ้นกับจังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๔ และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอรรถ- เปศลสรวดี เป็นข้าหลวงประจำจังหวัดมหาสารคาม (แทนพระยามหาสารคามคณาภิบาลซึ่งออกรับบำนาญ) เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับ ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมดังนี้ จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล เดิมไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล อำนาจการบริหารจังหวัดเดิมเป็นของคณะกรมการจังหวัด ได้เปลี่ยนมาเป็นมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะกรมการจังหวัด เดิมมีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดได้กลายเป็นคณะที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ในที่สุดได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคลการตั้ง ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของ ผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดกาฬสินธุ์. กาฬสินธุ์ : โรงพิมพ์จินตภัณฑ์, ๒๕๒๖. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 16:48:32 มหาสารคาม
สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ประกาศตั้งกรุงสุโขทัยเป็นอิสระในปี พ.ศ. ๑๘๐๐ ชนชาวไทยส่วนหนึ่งที่อพยพมาตั้งแต่อาณาจักรน่านเจ้าแตกได้อพยพลงมาทางใต้ และตะวันออกเฉียงใต้ แถบลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำมูล แม่น้ำชี เรียกตัวเองว่า ลานช้าง หรือ ล้านช้าง ในระยะแรกที่อพยพเข้าสู่ดินแดนบริเวณนี้ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของขอมเช่นเดียวกันจนถึงรัชสมัยของพระเจ้ารามคำแหง ได้ทรงขยายอาณาเขตเข้าครอบคลุมลานช้างด้วยจนถึงปี พ.ศ. ๑๘๙๓ พระเจ้าอู่ทองได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทย ขณะเดียวกันทางกรุงสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลง หัวเมืองประเทศราชพากันกระด้างกระเดื่องในปี พ.ศ. ๑๙๒๑ พระบรมราชา (ขุนหลวงพะงั่ว) แห่งกรุงศรีอยุธยาได้ยกทัพไปตีสุโขทัยไว้ในอำนาจได้ ชนชาติไทยในลานช้าง ในระยะก่อนตั้งกรุงสุโขทัยมาจนถึงต้นสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ขุนบรมแห่งอาณาจักรน่านเจ้าได้ให้โอรสองค์ใหญ่ชื่อ ขุนลอ มาครองเมืองเซ่า (หลวงพระบาง) และได้มีกษัตริย์สืบทอดมาอีก ๒๒ พระองค์ จนถึงปี ๑๘๖๙ เจ้าฟ้างุ้มได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ ได้เปลี่ยนชื่อเมืองเซ่าเป็นเมืองลานช้าง แต่เนื่องจากระยะนั้นขอมยังมีอิทธิอยู่ในบริเวณนี้ ชาวไทยจึงได้รวมตัวกัน โดยสร้างสัมพันธ์ทางสายเลือด เพื่อต่อต้านอำนาจขอม ในปี พ.ศ. ๒๐๘๙ พระเจ้าโพธิสาร กษัตริย์ลานช้าง ได้รับราชสมบัติลานนา (เชียงใหม่) ให้แก่โอรส คือ พระไชยเชษฐา เพราะมีสิทธิทางฝ่ายมารดาซึ่งเป็นเจ้าหญิงเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๑๐๒ พระเจ้าโพธิสารสิ้นพระชนม์ พระโอรสของพระองค์แย่งราชสมบัติกัน พระไชยเชษฐาจึงทิ้งเมืองเชียงใหม่และได้อันเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย และได้ยกกองทัพมาลานช้างบังคับให้น้องสละราชสมบัติลานช้างแล้วครอบครองราชสมบัติใช้พระนามว่า ท้าวไชยเชษฐาธิราช ส่วนทางเมืองเชียงใหม่เกิดความไม่สงบเพราะพระเจ้าบุเรงนองแผ่อำนาจขึ้นไปทางเมืองไทยใหญ่ แล้วมุ่งมาตีเมืองเชียงใหม่ ขณะนั้นเชียงใหม่มีพระเจ้าเมกุติเจ้าไทยใหญ่ เชื้อสายเจ้าเชียงใหม่ครองอยู่ พระเจ้าเมกุติยอมแพ้พม่าโดยไม่สู้รบเลยและสัญญาว่าจะส่งบรรณาการต่อบุเรงนองทุกปี พอทัพพม่าออกจากเชียงใหม่ พระไชยเชษฐาธิราชก็ยกทัพเข้าเชียงใหม่ขับไล่พระเจ้าเมกุติออกจากราชบัลลังก์ บุเรงนองได้ยกทัพย้อนกลับมาอีก ขับไล่ทหารของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชออกจากเชียงใหม่ และประกาศถอดพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชออกจากบัลลังก์ลานช้าง พระไชยเชษฐาได้รวบรวมผู้คนและชักชวนเจ้าผู้ครองนครแถบนั้นเข้าเป็นพันธมิตร แล้วยกทัพไปตีเชียงแสน บุเรงนองก็ตามไปโจมตีเมืองต่างๆ ที่เป็นพันธมิตรพระไชยเชษฐาได้จนหมดสิ้น พระไชยเชษฐาจึงหนีกลับไปลานช้าง พ.ศ. ๒๑๐๓ พระไชยเชษฐาได้ทำไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ในปี ๒๑๐๖ ได้ย้ายราชธานีไปเวียงจันทน์ สร้างค่ายคูประตูหอรบสร้างวัดพระธาตุหลวงและวัดพระแก้วเปลี่ยนชื่อเมืองเซ่าหรือลานช้าง เป็นหลวงพระบางพระไชยเชษฐามีนโยบายเป็นมิตรกับคนไทยด้วยกัน และได้รักษาสัมพันธไมตรีอันดีเมื่อคราวที่พม่ามารบไทย พระไชยเชษฐาได้ยกทัพมาช่วย ทำให้พม่าเคียดแค้นจึงได้ยกทัพตีเมืองเวียงจันทน์ได้และพระไชยเชษฐาได้หายสาบสูญไป เหตุการณ์ระยะปี พ.ศ. ๒๑๑๒ ถึง ๒๑๓๓ พม่าได้ปกครองดินแดนลานช้างและพม่ากำลังเสื่อมอำนาจลงเพราะสิ้นบุเรงนอง ประกอบกับได้ทำสงครามติดพันกับกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (๒๑๓๓๒๑๔๘) จึงทำให้ลานช้างปลอดจากอิทธิพลพม่า ในปี พ.ศ. ๒๑๓๔ พระสงฆ์ของเวียงจันทน์ได้ขอให้พม่าส่งพระหน่อแก้วเชื้อพระวงศ์พระไชยเชษฐาธิราชคืนกลับมาเป็นกษัตริย์ เมื่อกลับถึงเวียงจันทน์พระหน่อแก้วได้ประกาศเอกราชจากพม่า แล้วจึงยกทัพไปตีเมืองหลวงพระบางได้ไว้ในอำนาจ และมีความสงบอยู่เกือบร้อยปี อพยพจากลานช้างสู่อีสาน เหตุที่ทำให้คนไทยลานช้างต้องอพยพลงใต้นั้น เนื่องจากพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชเจ้ากรุงศรีสัตนาคณหุต (เวียงจันทน์) ถึงแก่พิราลัยเมื่อพุทธศักราช ๒๒๓๑ ซึ่งตรงกับรัช-สมัยของพระเพทราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์มีพระราชโอรส ๑ องค์นามว่า เจ้าองค์หล่อ ซึ่งมีชนมายุ ๓ พรรษา และมีพระนางสุมังคละมเหสี กำลังทรงครรภ์อยู่ด้วย ขณะนั้นมีเสนาบดี ผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อว่า พระยาเมืองแสน มีอำนาจมากกว่าคนอื่นๆ ได้ราชาภิเษกให้แก่เจ้าองค์หล่อราชโอรสครองราชสมบัติ ต่อมาก็ยกตัวเองเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทน โดยอ้างว่าเจ้าองค์หล่อยังเยาว์นัก ประกาศว่าเมื่อเจ้าองค์หล่อเจริญวัยขึ้นจะถวายราชสมบัติ โดยสิทธิ์ขาดในภายหลัง ด้วยเลห์เหลี่ยมอันฉลาดแกมโกงของพระยาเมืองแสนๆ ก็ได้ครองบัลลังก์ โดยไม่มีการราชาภิเษกแต่อย่างใด ขับเจ้าองค์หล่อจากราชบัลลังก์อย่างเงียบๆ และคิดการจะรับเอามารดาของเจ้าองค์หล่อที่ทรงครรภ์มาเป็นภรรยาของตน แต่มารดาของเจ้าองค์หล่อทราบระแคะระคายจึงพาเจ้าองค์หล่อกับคนสนิทลอบหนีไปขออาศัยอยู่กับเจ้าครูโพนเสม็ด (สมเด็จเจ้าหัวครูโพนเสม็ดอยู่ในตำแหน่งเจ้าหัวครูยอดแก้ว "พระสังฆราช") ซึ่งเป็นที่เคารพและมีลูกศิษย์มาก เจ้าหัวครูโพนเสม็ดเห็นว่าถ้าให้นางอาศัยอยู่ด้วยก็เกรงความครหานินทาทั้งไม่เป็นการปลอดภัยจึงส่งไปไว้ที่ตำบลภูชะง้อหอคำและได้ประสูติพระโอรสอีกองค์หนึ่งนามว่า เจ้าหน่อกษัตริย์ ที่นั้น ฝ่ายพระยาเมืองแสนเห็นว่า เจ้าหัวครูโพนเสม็ดมีผู้รักใคร่นับถือมาก เกรงว่าจะคิดการแย่งชิงเอาบ้านเมือง จึงคิดการกำจัด แต่เจ้าหัวครูโพนเสม็ดรู้เสียก่อนจึงรวบรวมพวกพ้องเหล่าสานุศิษย์ประมาณ ๓,๐๐๐ คน เดินทางหลบไป เมื่อผ่านไปทางใดก็มีราษฎรอพยพตามไปด้วยจนเดินทางถึงแขวงเมืองบันทายเพชร์ ดินแดนเขมร ฝ่ายพระเจ้ากรุงกัมพูชาได้สั่งให้มีการสำรวจสำมะโนครัวและให้เรียกเก็บเงินจากชาวเวียงจันทน์ ครัวละ ๒ ตำลึง เจ้าหัวครูโพนเสม็ดเห็นว่า เป็นการเดือนร้อนแก่เหล่าศิษยานุศิษย์ จึงอพยพออกจากดินแดนเขมรจนบรรลุถึงเมืองนครกาละจำบากนาคบุรีศรี การเดินทางออกจากเมืองเวียนจันทน์จนถึงนครกาละจำบากนาคบุรีศรีนี้ เจ้าหัวครูโพนเสม็ดต้องอาศัยเจ้าแก้วมงคล (บรรพบุรุษชาวมหาสารคาม) เป็นแม่กองใหญ่ และจารย์หวด รองแม่กอง ในการควบคุมดูแลบริวารของท่านมาตลอดทาง ฝ่ายนางเภา นางแพง ซึ่งเป็นธิดาของผู้ครองเมืองนครกาละจำบากนาคบุรีศรีเมื่อบิดาของนางถึงแก่พิราลัยแล้ว นางก็เป็นผู้บัญชาราชการบ้านเมืองต่อมา จนกระทั่งถึงปีที่เจ้าหัวครูโพนเสม็ดมาถึงเมือง นางทั้งสองทราบข่าวก็มีความเลื่อมใจ จึงพาแสนท้าวพญาเสนามาตย์ออกไปอาราธนาเจ้าหัวครูโพนเสด็ดเข้ามาในเมืองครั้งเวลาต่อมานางและประชาชนมีความเคารพนับถือเจ้าหัวครูโพนเสม็ดมากขึ้น และนางทั้งสองก็ชราลงมากจึงอาราธนาให้เจ้าหัวครูโพนเสม็ดเป็นผู้ช่วยทำนุบำรุงฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักรให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป เมื่อเจ้าองค์หล่อได้เจริญวัยขึ้นหน่อยก็สามารถไปอยู่ที่ประเทศญวน ต่อมาได้เกลี้ยกล่อมสมัครพรรคพวกได้มากจึงยกกำลังมาล้อมเมืองเวียงจันทน์ เมื่อราว พ.ศ. ๒๒๔๕ จับ พระยาเมืองแสนประหารชีวิต เจ้าองค์หล่อได้ครองราชสมบัติต่อมา ครั้น พ.ศ. ๒๒๕๒ ปรากฏว่าชาวเมืองนครกาละจำบากนาคบุรีศรี บางพวกได้ซ่องสุมพรรคพวกก่อการกำเริบเป็นโจรผู้ร้ายเที่ยวปล้นสะดมในตำบลต่างๆ ทำให้ราษฎรผู้มีความสุจริตธรรมต้องเดือนร้อนทั่วไป เจ้าหัวครูโพนเสม็ดได้พยายามปราบปรามโดยการเที่ยวอบรมสั่งสอนในทางดีก็หาได้ผลไม่ ครั้นจะทำการบำราบปราบปรามโดยอำนาจอาชญาจักร์ก็เป็นการเสื่อมเสียทางพรหมจรรย์ ทั้งจะเป็นที่ครหานินทาของประชาชนทั้งหลาย จึงดำริหาวิธีที่จะระงับเหตุร้ายโดยละม่อมที่สุดก็เห็นว่า เจ้าหน่อกษัตริย์ซึ่งอยู่ที่ตำบลงิ้วพันลำน้ำโสมสนุก เวลานี้ก็ทรงเจริญวัยขึ้นแล้ว และเป็นผู้ประกอบด้วยเกียรติยศเกียรติคุณอันดีงาน สมควรจะปกครองไพร่บ้านพลเมืองให้ได้รับความร่มเย็นได้ จึงจัดให้ท้าวพระยาเสนาบดีแลบ่าวไพร่ออกไปอัญเชิญเจ้าหน่อกษัตริย์กับพระมารดาเข้ามายังเมืองนครกาละจำบากนาคบุรีศรี แล้วเจ้าหัวครูโพนเสม็ดก็กระทำพิธียกเจ้าหน่อกษัตริย์ขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินของนครกาละจำบากนาบุรีศรี และได้ถวายพระนามว่า พระเจ้าสร้อยศรีสมุทพุทธางกูร และได้เปลี่ยนนามเมืองนครกาละจำบากนาคบุรีศรีเป็นเมือง นครจำปาศักดิ์นัคบุรีศรี ตั้งแต่นั้นมา เจ้าสร้อยศรีสมุทฯ ได้จัดการปกครองแลปราบปรามยุคเข็ญสงบราบคาบลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยมีจารย์แก้วหรือเจ้าแก้วเป็นกำลังสำคัญในการปราบปรามยุคเข็ญนั้น เมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อยแล้ว เจ้าสร้อยศรีสมุทฯ ก็เริ่มดำริหาเมืองขึ้น โดยให้มีการสร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่หลายเมือง แล้วจัดให้บรรดาบุคคลที่มีปรีชาสามารถแลมีผู้รักใคร่นับถือออกไปเป็นเจ้าเมือง (เจ้าเมืองสมัยนั้นก็เสมือนกษัตริย์เมืองขึ้น เพราะการแต่งตั้งตำแหน่งหน้าที่ ตลอดจนคำพูดที่ใช้ในสำนักของเจ้าเมืองนั้นๆ ก็ใช้เป็นราชาศัพท์) ให้จารย์หวดไปสร้างเมืองขึ้นชื่อเมืองโขงตั้งจารย์หวดเป็นเจ้าเมือง ให้ท้าวจันทร์ (นับว่าเป็นน้องจารย์แก้ว) ไป รักษาเมืองตะโปน เมืองพิน เมืองนอง สร้างเมืองบรรพบุรุษของชาวอีสาน ส่วนจารย์แก้วหรือเจ้าแก้วมงคลให้ไปสร้างเมืองทง (สุวรรณภูมิ) ให้จารย์แก้วเป็นเจ้าเมือง (ชื่อของจารย์แก้วในภายหลังก็ได้นำมาใช้เป็นชื่อเจ้าเมืองและนายอำเภอเมืองนี้ ต่อมาจนถึงรัชกาลที่ ๖ เช่น พระยารัตนวงศา พระรัตนวงศาฯ หลวงรัตนาวงศา (เมืองนี้ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่าเมืองสุวรรณภูมิแล้วยุบลงเป็นอำเภอสุวรรณภูมิจังหวัดร้อยเอ็ด ราว พ.ศ. ๒๔๕๔) ครั้น พ.ศ. ๒๒๖๘ อาจารย์แก้วเจ้าเมืองทงก็ถึงแก่อนิจกรรม มีบุตรรวม ๓ คน คือ (๑) เจ้าองค์หล่อหน่อคำ (หลานเจ้านครน่าน) (๒) ท้าวมือดำดล หรือท้าวมืด (๓) ท้าวสุทนต์มณี หรือท้าวทนต์ (ปรากฏในพงศาวดารว่าเหตุที่ชื่อท้าวมืดเพราะเวลาคลอดนั้นเป็นเวลาสุริยุปราคามืดมิดไปทั่วเมือง ที่ชื่อท้าวสุทนต์มณี เพราะเวลาตั้งครรภ์บิดาฝันว่าฟันของตนได้เกิดเป็นแก้วมณีขึ้น) เมื่อจารย์แก้วถึงแก่อนิจกรรมแล้ว เจ้าสร้อยศรีสมุทฯ ก็ตั้งให้ท้าวมืดเป็นเจ้าเมือง ท้าวทนต์เป็นอุปฮาช รักษาบ้านเมือง ต่อไปในภายหลัง ท้าวมืดดำดลเจ้าเมืองถึงแก่กรรมลง ท้าวสุทนต์มณีน้องชายได้เป็นเจ้าเมืองแทน ท้าวสุทนต์ผู้นี้นับว่ายังเป็นผู้ยังไม่สิ้นเคราะห์พอขึ้นเป็นเจ้าเมืองไม่ทันไรก็ถูกอิจฉา โดยท้าวเชียง ท้าวสูนบุตรของท้าวมืดซึ่งเป็นหลานชาย อยากเป็นเจ้าเมืองเสียเอง จึงพากันลงไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (เจ้าฟ้าเอกทัศน์ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) ณ พระนครศรีอยุธยา ขอกำลังมาทำการขับไล่ท้าวสุทนต์ผู้อา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพรหม พระยากรมท่าออกไปจัดการกับท้าวเชียง ท้าวสูน โดยมีพระประสงค์จะให้ประนีประนอมกันแต่โดยทางดี ฝ่ายท้าวสุทนต์เจ้าเมืองเมื่อทราบข่าวว่ากองทัพกรุงยกมาก็ดำริเห็นว่า เราเป็นเมืองน้อยมีกำลังน้อยไม่สามารถต้านทานกำลังของกองทัพกรุงได้ ถ้าหากมีการต่อสู้กันขึ้นมา คงเป็นฝ่ายย่อยยับจึงอพยพครอบครัวออกไปอยู่ที่ทุ่งตะมุม (หรือขมุม หรือกระหมุม ที่นั่นได้เรียกว่าคงเมืองจอกมาจนทุกวันนี้) ในครั้งนั้นมีประชาชนที่จงรักภักดีติดตามท้าวทนต์ไปอยู่ที่ทุ่งตะมุมด้วยเป็นจำนวนมาก ครั้นพระยาพรหม พระยากรมท่ามาถึงเมืองทงเมื่อทราบว่าท้าวทนต์ฯ ได้หนีไปแล้ว จึงมีใบบอกขอตั้งท้าวเชียงเป็นเจ้าเมืองท้าวสูนเป็นอุปฮาช ได้โปรดพระราชทานตามที่ขอ แต่นั้นมาเมืองทง (ทุ่ง) ก็เป็นอันขาดจากความปกครองของเมืองนครจำปาศักดิ์ฯ ครั้นเรียบร้อยแล้วพระยาพรหม พระยากรมท่าก็ออกไปตั้งสำนักอยู่ที่ทุ่งสนามโนนกระเบา (ในท้องที่อำเภอสุวรรณภูมิ) สร้างบ้านร้อยเอ็ด เมืองร้อยเอ็ดได้ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๘ (ก่อนเมืองมหาสารคาม ๙๐ ปีบริบูรณ์) ปรากฏในพงศาวดารภาคอีสานของหอสมุดว่า สมัครพรรคพวกที่ไปขอขึ้นด้วยมากขึ้นทุกที ในที่สุดพระยาพรหม พระยากรมท่าเห็นว่าท้าวทนต์เป็นตระกูลสูงเก่าแก่ และมีความเฉลียวฉลาดประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมเป็นอันดีทั้งมีคนเคารพเลื่อมใสยอมตนเข้าเป็นพรรคพวกเป็นอันมาก สมควรจะเป็นเจ้าเมืองต่อไปอีกได้ จึงพร้อมด้วยเจ้าราชวงศ์เวียงจันทน์ เจ้าหมื่นน้อย เจ้าธรรมสุนทรซึ่งเป็นญาติของท้าวสุทนต์ กับท้าวเชียง ท้าวสูน มาว่ากล่าวประนีประนอมให้คืนดีกันจนเป็นผลสำเร็จแล้วพระยาพรหม พระยากรมท่าก็มีใบบอกขอยกเอาดงกุ่มขึ้นเป็นเมือง ขอท้าว สุทนต์เป็นเจ้าเมือง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวสุทนต์เป็นพระขัติยะวงศาให้ยกดงกุ่มเป็นเมืองร้อยเอ็ดในปี พ.ศ. ๒๓๑๘ นั้นเอง (เหตุที่ให้นามว่า ขัติยะวงศา เพราะท้าวแก้วต้นตระกูลเป็นผู้สืบสายจากกษัตริย์เวียงจันทน์) ต่อจากนั้นพระขัติยะวงศา (สุทนต์) ได้เริ่มอำนวยการให้ราษฎรแผ้วป่าดงกุ่มสร้างเมืองใหม่ตามมีพระบรมราชโองการ ต่อจากนั้นก็มีการสร้างวัดวาอาราม ปรับปรุงบ้านเมืองในด้านการปกครองการศาสนาตลอดจนส่งเสริมการทำมาหากินของราษฎรให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ครั้น พ.ศ. ๒๓๒๖ พระขัติยะวงศา (สุทนต์) ชราภาพลงมาก จึงกราบถวายบังคมลาออกจากราชการ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระนิคมจางวาง พระนิคมจางวาง (สุทนต์) ได้โปรดเกล้าฯ ให้ท้าวศีลัง เป็นพระขันติยะวงศา เจ้าเมืองแทนบิดา ให้ท้าวภูเป็นอุปฮาช ท้าวอ่อนเป็นราชวงศ์ ต่อมาพระขัติยะวงศา (ศีลัง) มีความชอบในราชการสงครามจึงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นเป็น พระยาขัติยะวงศาพิสุทธาธิบดี และปี พ.ศ. ๒๓๘๐ หลังจากปราบปรามกบฏเจ้าอนุวงษ์เวียงจันทน์สงบราบคาบแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเห็นว่า สามพี่น้องมีความชอบในราชการเป็นอันมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยาขัติยะวงศา (ศีลัง) ขึ้นเป็นพระยาชั้นพานทองและพระราชทานพานทองคำขนาดใหญ่ ๑ ใบ โปรดเกล้าฯ ให้ท้าวภูเป็นพระรัตนวงศาเจ้าเมืองสุวรรณภูมิ ให้ท้าวอ่อนเข้าไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กหลวงอยู่ในพระบรมหาราชวัง เมื่องพระรัตนวงศา (ภู) ผู้นี้ถึงอนิจ-กรรมแล้ว ก็โปรดเกล้าฯ ให้ท้าวอ่อนมหาดเล็กออกมาเป็นเจ้าเมืองสุวรรณภูมิต่อไป ตั้งเมืองมหาสารคามแยกออกจากร้อยเอ็ด เมื่อพระยาขัติยะวงศาถึงแก่อนิจกรรมลง อุปฮาชสิงห์พร้อมด้วยท้าวจันทร์และราชวงศ์อินได้นำใบบอกไปขอศิลาหน้าเพลิง ณ กรุงเทพฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระพิชัยสุริวงศ์เป็นผู้รักษาราชการเมืองร้อยเอ็ดแทนบิดาหลังจากจัดการพระราชทานเพลิงศพบิดาเสร็จแล้ว อุปฮาชสิงห์ได้จัดให้มีการเล่นโปขึ้นที่หอนั่งในจวนของพระยาขัติยะวงศา และชักชวนให้พระพิชัยพี่ชายเล่นด้วย พอยามดึกสงัดพระพิชัยได้ถูกคนร้ายลอบแทงถูกสีข้างข้างซ้ายถึงแก่กรรม ขณะนั้นพระรัตนวงศา (ภู) น้อยชายพระยาขัติยะวงศาได้มาทำการปลงศพพี่ชายที่เมืองร้อยเอ็ดด้วย ได้พร้อมกับกรมการเมืองทำการสืบหาตัวผู้ร้าย จับตัวเจ๊กจั๊นผู้ชึ่งเป็นผู้ร้ายได้ พระรัตนวงศา (ภู) สงสัยอุปฮาชสิงห์หลายชาย จึงจับตัวส่งไปกรุงเทพฯ พร้อมเจ๊กจั๊น ครั้นเดินทางใกล้ถึงเมืองนครราชสีมาอุปฮาชสิงห์ได้กินยาพิษถึงถึงแก่กรรมเสียก่อนยังมิได้มีการไต่สวนพิพากษาแต่อย่างใด คดีจึงเป็นอันระงับไป ฝ่ายท้าวศรีวงศ์บุตรของอุปฮาชสิงห์ ซึ่งมีอายุ ๑๑ ปี เมื่อบิดาถูกส่งไปกรุงเทพฯ ญาติหวาดหวั่นว่าจะได้รับภัยด้วย จึงส่งตัวท้าวศรีวงศ์ไปไว้ที่เมืองสุวรรณภูมิ และได้ถูกส่งตัวไปจนถึงเขตแขวงเมืองยโสธรนัยว่าไม่ได้ฝากฝังไว้กับใคร ชีวิตจึงต้องระเหเร่ร่อนได้รับความทรมานลำบากยากแค้น ถึงกับต้องอาศัยนอนตามถนนหนทางและศาลาวัดและเที่ยวขอทานประทังชีวิตไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น ท้าวศรีวงศ์ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้ ๖ เดือนเศษ จึงได้พบกับสมภารทองสุก ซึ่งมีวัดใกล้เมืองยโสธร โดยพบขณะนอนหลับอยู่ใต้ธรรมาสน์บนศาลา จึงปลุกขึ้นมาสอบถามความเป็นมา เมื่อได้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนต้องหลบหนีมาสมภารทองสุกเกิดความสงสารจึงชักชวนให้อยู่ด้วยและได้เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า ท้าวกวด และทำการบรรพชาให้เป็นสามเณร ให้เล่าเรียนภาษาบาลี พระธรรมวินัย ภาษาไทย จนแตกฉาน ต่อมาได้อุปสมบทได้สองพรรษาก็ลาสิกขาบทออกไปทำราชการที่เมืองอุบลฯ ทำราชการมีความชอบจนได้รับแต่งตั้งเป็นที่ท้าวมหาชัย ครั้น พ.ศ. ๒๓๙๙ ท้าวมหาชัยได้รับจดหมายของพระขัติยะวงศา (จันทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดเรียกให้กลับไปรับราชการที่เมืองร้อยเอ็ด จึงได้กลับไปรับราชการอยู่กับญาติของตน พ.ศ. ๒๔๐๒ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยากำแหงสงคราม (แก้ว สิงหเสนี) เจ้าเมืองนครราชสีมา (ภายหลังเป็นเจ้าพระยายมราช) เป็นข้าหลวงแม่กองสักออกไปสักเลขทางหัวเมืองตะวันออกตั้งอยู่ที่เมืองยโสธรคราวนี้กรมการเมืองร้อยเอ็ดได้นำตัวเลขไปสักที่เมืองยโสธรเป็นจำนวน ๑๓,๐๐๐ คนเศษ พระขัติยะวงศา (จันทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดเห็นว่า พลเมืองของร้อยเอ็ดมีมากขึ้นประกอบกับท้าวมหาชัยเป็นผู้มีความชอบในราชการหลายอย่าง ทั้งชื่อสัตย์มั่นคง มีสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลม สมควรเป็นเจ้าเมืองได้ ถ้าแยกออกไปตั้งเมืองหนึ่งก็จะเป็นการสมควร จึงปรึกษาหารือกับกรมการเมืองแล้วเห็นชอบให้ตั้งเมืองใหม่ พระขัติยะวงศาจึงให้ท้าวมหาชัย (กวด) กับอุปฮาชภูไปสำรวจที่ตั้งเมือง และได้เลือกที่ดินระหว่างห้วยคะคางและกุดนางใย เพราะเป็นโคกเนินสูงน้ำไม่ท่วมถึง หน้าแล้งก็ได้อาศัยน้ำห้วยคะคางและกุดนางใย หนองกระทุ่มเป็นที่ใช้สอย บริโภคของประชาชน เมืองได้ถูกสร้างขึ้นในปี ๒๔๐๘ เมื่อสร้างเมืองเสร็จแล้วพระขัติยะวงศา ขอท้าวมหาชัย (กวด) เป็นเจ้าเมือง ขอท้าวบัวทอง (พานทอง) เป็นอรรคฮาช (ทั้งสองคนเป็นหลานพระยาขัติยะวงศา) ขอท้าวไชยวงศา (ฮึง) บุตรพระยาขัติยะวงศา (ศีลัง) เป็นอรรควงศ์ ขอท้าวเถื่อนบุตรพระขัติยะวงศา (จันทร์) เป็นอรรคบุตร และให้ท้าวมหาชัย (กวด) กับพวกทั้งสามคนทำใบบอกลงไปทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ ๔ ที่กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๑๒ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเมืองมหาสารคาม ซึ่งเกิดใหม่และเป็นเมืองขึ้นของเมืองร้อยเอ็ดให้ยกไปขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร ฐานะของอรรคฮาช อรรควงศ์ อรรคบุตร ก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นอุปฮาชราชวงศ์ ราชบุตร พร้อมกันทันที และในปีนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เสด็จสวรรคต พ.ศ. ๒๔๑๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โปรดเกล้าฯ ให้มีตราถึงเมืองมหาสารคาม และหัวเมืองตะวันออกว่า ให้ยกเลิกธรรมเนียมตั้งข้าหลวงกองสักที่มาสักเลขตามหัวเมือง และขอให้ไพร่บ้านพลเมืองไปอยู่ในความปกครองของเมืองใดก็ได้ตามใจสมัคร และโปรดเกล้าฯ ให้ทำสำมะโนครัวตัวเลขส่งไปยังกรุงเทพฯ ในปีนี้พลเมืองของร้อยเอ็ดได้พากันอพยพมาขอขึ้นอยู่กับเมืองมหาสารคามอย่างมากมาย ไทยรบกับฮ่อ พ.ศ. ๒๔๑๘ พวกฮ่อได้ยกทัพมาตีหัวเมืองต่างๆ ของหลวงพระบางซึ่งเวลานั้นเป็นเมืองขึ้นของไทย และตระเตรียมกองทัพจะยกมาตีเมืองเวียงจันทน์ และหนองคายจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น กัลยาณมิตร) เป็นแม่ทัพใหญ่ให้เกณฑ์กำลังทางหัวเมืองตะวันออกไปปราบฮ่อทางเมืองหนองคาย พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น) ได้ส่งให้พระเจริญราชเดช (ท้าวมหาชัย กวด ภวภูตานนท์) เกณฑ์กำลังเมืองมหาสารคาม เมืองร้อยเอ็ด เป็นแม่ทัพหน้ายกไปสมทบทัพของพระพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์เจ้าเมืองอุบลราชธานี และพระยาชัยสุนทร (ทน) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ โดยให้ราชบุตร (เสือ) เมืองร้อยเอ็ดเป็นนายกองผู้ช่วยพระเจริญราชเดช (มหาชัยกวด) ทัพไทยได้ยกข้ามโขงไปโจมตีและเกิดตลุมบอนกันจนฮ่อแตกกระจาย ผลปรากฏว่าราชบุตรเสือถูกฮ่อยิงถูกมือขวาโลหิตไหล พวกพลจึงเข้าพยุงกลับมา ส่วนพระเจริญราชเดชได้ถูกกระสุนปืนของฮ่อที่ต้นขาซ้าย และแขนซ้าย ตกจากหลังม้าอาการสาหัสไพร่พลจึงเข้าพยุงขึ้นใส่บ่าจะพากลับที่พัก แต่พระเจริญราชเดชไม่ยอมกลับ โดยอ้างว่า กลับไปก็อายเขา เมื่อถึงที่ตายก็ขอให้ตายในที่รบ ฯลฯ จึงสั่งให้ไพร่พลพยุงขึ้นบนหลังม้าแล้วพยายามขับขี่ต่อไปอีก ในวันต่อมากองทัพไทยได้ยกเข้าตีค่ายโพธานาเลา ได้ชัยชนะอีก พวกฮ่อได้แตกหนีไป ไทยจับได้พวกฮ่อและ สาตราวุธมากมาย เมื่อเสร็จการปราบฮ่อแล้ว พระยามหาอำมาตย์ ข้าหลวงใหญ่ภาคอีสานได้กลับ ไปจัดราชการอยู่ที่เมืองร้อยเอ็ด กองทัพอื่นๆ ก็กลับไปยังบ้านเมืองตามเดิม ส่วนพระเจริญ- ราชเดช ที่ถูกยิงและตกจากหลังม้านั้น มีอาการป่วยได้เข้าพักรักษาตัวอยู่ที่คุ้มเจ้าราชวงศ์ เวียงจันทน์ และต่อมาได้กลับมารักษาตัวที่เมืองมหาสารคามและได้ถึงแก่อนิจกรรมลงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๑ อุปฮาช (ฮึง) ผู้เป็นอาพร้อมด้วยกรมการเมืองปรึกษากันเห็นว่า ท้าวสุพรรณ บุตรพระเจริญราชเดชสมควรจะเป็นเจ้าเมืองต่อไปได้ จึงเขียนใบบอกให้ท้าวสุพรรณนำลงไปยังกรุงเทพฯ ขณะที่ท้าวสุพรรณเดินทางไปยังไม่ถึงกรุงเทพฯ ก็ได้ถึงแก่กรรมเสียก่อนที่กลางทาง ตำแหน่งเจ้าเมืองมหาสารคามจึงได้ว่าง ต่อมาถึง ๒ ปี โดยมีอุปฮาช (ฮึง) รักษาการแทนอยู่ พ.ศ. ๒๔๒๒ ขุนหลวงสุวรรณพันธนากร (คำภา) ขุนสุนทรภักดีสมมุติตนเองขึ้นเป็นข้าหลวงเชิญท้องตราพระราชสีห์ขึ้นไปเที่ยวตามหัวเมืองตะวันออก อ้างว่าโปรดเกล้าฯ ให้มาชำระถ้อยความของราษฎรที่เกิดขึ้น แต่หนังสือที่ว่าเป็นท้องตรานั้นประทับเป็นรูปราชสีห์ถือเศวตฉัตรสองตัวเป็ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 16:48:56 มหาสารคาม ๒
เส้นลายทอง และถือหนังสือของขุนบรรเทาพินราชกรมมหาดไทยว่า ตนเป็นนายเวรของกรมพระบำราบปรปักษ์มาถึงอุปฮาช ราชวงศ์ราชบุตรเมืองมหาสารคามว่า ตนมาชำระคดีเรื่องขุนสุนทรและท้าวจันทร์ชมภู อุปฮาชฮึงและกรมการเมืองมหาสารคามมีความสงสัย เพราะเห็นว่ามีพิรุธแต่ครั้นจะกักตัวไว้ก็ไม่ปรากฏว่าทุจริต จึงได้มีใบบอกไปยังกรุงเทพฯ จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีตราถึงหัวเมืองตะวันออกให้ทำการตรวจจับขุนแสวงฯ และขุนสุนทรภักดีส่งไปกรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๒๒ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้อุปฮาชฮึงเป็นพระเจริญราชเดชเจ้าเมืองมหาสารคาม และในปีนี้ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองพยัคฆภูมิพิสัย ขึ้นในปกครองของเมืองสุวรรณภูมิแต่มาตั้งเมืองในเขตของเมืองมหาสารคาม พ.ศ. ๒๔๒๕ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านนาเลาเป็นเมือง วาปีปทุม แต่บ้านนาเลาไม่เหมาะสมกับการตั้งเมือง จึงได้มาตั้งที่บ้านหนองแสง และโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านวังทาหอขวางเป็นเมือง โกสุมพิสัย พ.ศ. ๒๔๓๒ อุปฮาชผู้รักษาเมืองสุวรรณภูมิ มีใบบอกกล่าวโทษเมืองมหาสารคามสุรินทร์ ศรีสะเกษ ว่าแย่งเอาเขตของตนไปตั้งเป็นเมือง เฉพาะเมืองมหาสารคาม ถูกหาว่าขอเอาบ้านนาเลาตั้งเป็นเมืองวาปีปทุม ได้โปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงนครจำปาศักดิ์ ข้าหลวงอุบลฯ ทำการไต่ส่วนว่ากล่าวในเรื่องนี้ แต่เมืองเหล่านี้ได้ตั้งมานานแล้วรื้อถอนไม่ได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เมืองวาปีปทุมเป็นเมืองขึ้นของเมืองมหาสารคามไปตามเดิม โดยมิได้โยกย้ายประการใด การจัดแบ่งเขตปกครอง พ.ศ. ๒๔๓๓ โปรดเกล้าฯ แบ่งเขตปกครองหัวเมืองตะวันออกเป็น ๔ ส่วน หรือ สี่กอง กองหนึ่งๆ มีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้กำกับราชการ ๑. หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือมีเมืองใหญ่ ๑๖ เมือง เมืองเล็กขึ้น ๓๖ เมือง อยู่ในความปกครองของข้าหลวงเมืองหนองคาย ๒. หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก มีเมืองใหญ่ ๑๑ เมือง เมืองขึ้น ๒๖ เมือง อยู่ในความปกครองของข้าหลวงเมืองนครจำปาศักดิ์ ๓. หัวเมืองลาวฝ่ายกลางมีเมืองใหญ่ ๓ เมือง เมืองขึ้น ๑๖ เมือง อยู่ในความ ปกครองของข้าหลวงเมืองนครราชสีมา ๔. หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมืองใหญ่ ๑๒ เมือง เมืองขึ้น ๒๙ เมือง ขึ้นอยู่ในความปกครองของข้าหลวงเมืองอุบลราชธานี (ภายหลังเรียกมณฑลอีสาน) เมืองมหาสารคาม ร้อยเอ็ด และเมืองกาฬสินธุ์ ขึ้นอยู่ในความปกครองของข้าหลวงเมืองอุบลฯ พ.ศ. ๒๔๓๕ โปรดเกล้าฯ ให้นายรองชิต (เลื่อง ณ นคร ) จมื่นศรีบริรักษ์ มาเป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองมหาสารคาม และเมืองร้อยเอ็ดเป็นครั้งแรก ตั้งอยู่ที่เมืองมหาสารคาม พ.ศ. ๒๔๓๗ ทางการได้โอนเมืองชุมพลบุรีจากเมืองสุรินทร์มาขึ้นเมืองมหาสาร- คาม (พ.ศ. ๒๔๔๓ ยุบเป็นอำเภอแล้วโอนกลับไปขึ้นเมืองสุรินทร์) พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ขึ้นเพื่อวางระเบียบแบบแผนการปกครองท้องที่ให้เรียบร้อยดียิ่งขึ้น แต่เวลานั้นมณฑลอีสานยังมิได้จัดการปกครองให้เป็นไปอย่างมณฑลอื่น พ.ศ. ๒๔๔๓ โปรดเกล้าฯ ให้แบ่งหัวเมืองมณฑลอีสานออกเป็นบริเวณ ๕ บริเวณ คือ ๑) บริเวณอุบล ๒) บริเวณจำปาศักดิ์ ๓) บริเวณขุขันธ์ ๔) บริเวณสุรินทร์ ๕) บริเวณร้อยเอ็ด บริเวณร้อยเอ็ดแบ่งเป็น ๕ หัวเมือง คือ ๑) เมืองร้อยเอ็ด ๒) เมืองมหาสารคาม ๓) เมืองกาฬสินธุ์ (ยุบลงเป็นอำเภอขึ้นจังหวัดมหาสารคาม ปี ๒๔๗๔ แล้ว กลับตั้งเป็นจังหวัดกาฬสินธุ์อีก เมื่อปี ๒๔๙๐) ๔) เมืองกมลาไสย (ยุบลงเป็นอำเภอจนทุกวันนี้) ๕) เมืองสุวรรณภูมิ (ยุบลงเป็นอำเภอจนทุกวันนี้) ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่า เจ้าเมือง เป็น ผู้ว่าราชการเมือง อุปฮาช เป็น ปลัดเมือง ราชวงศ์ เป็น ยกกระบัตร ราชบุตร เป็น ผู้ช่วยราชการเมือง ชาเนตร เป็น เสมียนตราเมือง ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ เมืองมหาสารคาม ได้จัดการแบ่งเขตเมืองตั้งขึ้นเป็นอำเภอคือ (๑) อำเภออุทัยสารคาม (๒) อำเภอประจิมสารคาม ส่วนเมืองวาปีปทุม โกสุมพิสัย ก็คงให้เป็นเมืองขึ้นของเมืองมหาสารคามไปตามเดิม และได้ให้เปลี่ยนเป็นอำเภอในปีนี้ เช่นเดียวกัน พ.ศ. ๒๔๔๔ เมืองมหาสารคาม มีอำเภอขึ้นอยู่ในความปกครอง ๔ อำเภอ คือ อุทัยสารคาม ประจิมสารคาม วาปีปทุมและโกสุมพิสัย ยุบเมืองพยัคฆภูมิพิสัย ลงเป็นอำเภอ พยัคฆภูมิพิสัย และย้ายที่ว่าการอำเภอจากบ้านนาข่าไปตั้งที่ตำบลปะหลานแต่นั้นมา แล้วโอนอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยจากเมืองสุวรรณภูมิมาให้ขึ้นอยู่ในความปกครองของร้อยเอ็ดในปีนั้น พ.ศ. ๒๔๔๖ ยุบตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการเมืองโดยทั่วไป พ.ศ. ๒๔๕๑ ทางราชการได้สั่งให้เปลี่ยนคำที่เรียกว่า บริเวณ เป็น เมือง ตามเดิม และปี พ.ศ. ๒๔๕๖ เปลี่ยนคำที่เรียกว่า ที่ว่าการเมือง เป็น ศาลากลางจังหวัด และเปลี่ยนคำว่าคุ้มหรือบ้านของเจ้าเมืองเรียกว่า จวนผู้ว่าราชการเมือง พ.ศ. ๒๔๕๔ ย้ายอำเภอประจิมสารคาม จากเมืองมหาสารคามไปตั้งทางทิศตะวันตก เมืองมหาสารคาม ไปติดตั้งกับหนองบรบือ เรียกใหม่ว่าอำเภอท่าขอนยาง และเปลี่ยนนามอำเภออุทัยสารคาม เรียกว่า อำเภอเมืองมหาสารคาม พ.ศ. ๒๔๕๙ เปลี่ยนค่ำว่า ผู้ว่าราชการเมือง เป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด และยกเลิกตำแหน่งปลัดมณฑลประจำจังหวัดปีนี้ พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งมณฑลร้อยเอ็ดขึ้น ตั้งศาลารัฐบาลที่เมืองร้อยเอ็ด (ที่ทำการมณฑลเรียกว่า ศาลากลางรัฐบาลมณฑล) โอนเมืองกาฬสินธุ์ เมืองมหาสารคามจากมณฑลอีสาน (ซึ่งเปลี่ยนเป็นมณฑลอุบลราชธานี) มาขึ้นมณฑลร้อยเอ็ดซึ่งตั้งใหม่ และในปีนี้ได้จัดตั้งศาลยุติธรรมขึ้นในจังหวัดมหาสารคามเป็นครั้งแรก โอนอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยจากจังหวัดร้อยเอ็ดมาขึ้นในความปกครองของจังหวัดมหาสารคาม โอนอำเภอกันทรวิชัย (แล้วเปลี่ยนเป็นอำเภอโคกพระ) จากจังหวัดกาฬสินธุ์มาขึ้นกับจังหวัดมหาสารคาม ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ จังหวัดมหาสารคามจึงมี ๖ อำเภอ คือ ๑) อำเภอเมืองมหาสารคาม (เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอตลาด) ๒) อำเภอเมืองวาปีปทุม ๓) อำเภอโกสุมพิสัย ๔) พยัคฆภูมิพิสัย ๕) อำเภอโคกพระ ๖) อำเภอท่าขอนยาง (ถึง พ.ศ. ๒๔๖๐ เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบรบือ) พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้ก่อสร้างศาลากลางจังหวัด (ต่อมาได้ใช้เป็นที่ว่าการอำเภอเมืองมหาสารคาม เพราะได้มีการสร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นใหม่ เสร็จในปี ๒๔๖๗) พ.ศ. ๒๔๖๘ โปรดเกล้าฯ ให้ยุบมณฑลร้อยเอ็ดเป็นจังหวัด โอนจังหวัดทั้งสาม คือ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ ไปขึ้นอยู่มณฑลนครราชสีมา พ.ศ. ๒๔๗๔ ทางราชการได้ยุบจังหวัดกาฬสินธุ์มารวมขึ้นในความปกครองของจังหวัดมหาสารคามอีก ๕ อำเภอรวมเป็น ๑๑ อำเภอ เปลี่ยนแปลงการปกครอง วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ คณะราษฎร์ซึ่งมีพระยาพหลพลพยุหเสนา พระยา ทรงสุรเดช และพระยาฤทธิอาคเณ เป็นหัวหน้า ได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตย มาเป็นประชาธิปไตย วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ชาวสยาม และในเดือนนี้รัฐบาลได้สั่งให้จัดตั้ง สาขาสมาคมคณะราษฎร์ ขึ้นในจังหวัดต่างๆ จังหวัดมหาสารคามได้จัดตั้งขึ้นโดยใช้ชื่อว่า สาขาสมาคมคณะราษฎร์ ประจำจังหวัดมหาสารคาม กันยายน ๒๔๗๖ จังหวัดมหาสารคามได้จัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนตำบลขึ้นเป็นครั้งแรก พฤศจิกายน ๒๔๗๖ จังหวัดมหาสารคามได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรขึ้นเป็นครั้งแรก โดยวิธีให้ผู้แทนตำบลทั่งทั้งจังหวัดเป็นผู้ลงคะแนนเลือกตั้ง (มีผู้แทนตำบล ๑๑ อำเภอ รวมกัน ๖๑ คน และได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในเมืองไทย เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๖ พ.ศ. ๒๔๗๖ รัฐบาลได้เปลี่ยนคำที่เรียกว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็น ข้าหลวงประจำจังหวัด ภายหลังได้เปลี่ยนกลับไปใช้คำว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด อีกครั้งหนึ่งจนกระทั่งบัดนี้ พ.ศ. ๒๔๙๖ ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม ได้สร้างเสร็จและเปิดใช้มาจนถึงปัจจุบัน โดยแบ่งเขตการปกครอง ออกเป็น ๙ อำเภอ ๑ กิ่งอำเภอ ดังนี้ ๑. อำเภอเมืองมหาสารคาม ๒. อำเภอบรบือ ๓. อำเภอกันทรวิชัย ๔. อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย ๕. อำเภอนาดูน ๖. อำเภอวาปีปทุม ๗. อำเภอนาเชือก ๘. อำเภอเชียงยืน ๙. อำเภอโกสุมพิสัย และ ๑๐. กิ่งอำเภอแกดำ ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดมหาสารคาม. มหาสารคาม : โรงพิมพ์ปรีดาการพิมพ์ มหาสารคาม, ๒๕๔๒ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 16:49:21 หนองคาย
สมัยกรุงธนบุรี ปี พ.ศ. ๒๓๑๔ ในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี พระวอ (พระวรราชภักดี) อุปราชแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต และพระตา เสนาบดี เกิดขัดใจกันกับพระเจ้าศิริบุญสาร กษัตริย์แห่งเวียงจันทน์ ในครั้งนั้น พระวอพระตาเป็นนายกองอยู่บ้านหินโงม จึงรวบรวมไพร่พลไปสร้างเมืองใหม่ที่บริเวณหนองบัวลำภู(จังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน) ใช้ชื่อเมืองใหม่ว่า "เมืองนครเขื่อนขันธ์ กาบแก้วบัวบาน" (ในพระราชวิจารณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี เรียกว่า เมืองจำปา นครขวางกาบแก้วบัวบาน) พระเจ้าศิริบุญสารได้ยกกองทัพมาปราบแต่ไม่สำเร็จ ต่อมาพระวอพระตาเกรงจะถูกรุกรานอีก จึงไปขออ่อนน้อมต่อพม่าเพื่อขอกำลังมาโจมตีเวียงจันทน์ เมื่อทางเวียงจันทน์ทราบเรื่องก็ส่งทูตไปขออ่อนน้อมต่อพม่าบ้าง แล้วยกกองทัพเข้าตีเมืองหนองบัวลำภูแตก พระตาตายในที่รบ พระวอจึงอพยพหนีไปตั้งมั่นอยู่ที่ตำบลหนองมดแดง (อยู่ในเขตอุบลราชธานีในปัจจุบัน) แล้วแต่งเครื่องบรรณาการไปขอเป็นเมืองขึ้นต่อกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินยอมรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย ปี พ.ศ. ๒๓๑๘ (ค.ศ. ๑๗๗๖) พระเจ้าศิริบุญสารได้ยกกองทัพมาโจมตีพระวอที่ดอนมดแดง กองทัพเวียงจันทน์ได้จับตัวพระวอฆ่าตาย พรรคพวกของพระวอจึงถือสาส์นไปยังเมืองนครราชสีมาเพื่อขอกำลังพระเจ้าตากสินไปช่วย พระเจ้าตากสินโปรดให้สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกและพระยาสุรสีห์เป็นแม่ทัพยกไปตีเวียงจันทน์ กองทัพไทยยกไปทางนครจำปาศักดิ์ แต่กองทัพเวียงจันทน์ถอยกลับไปแล้วเจ้าไชยกุมาร ผู้ครองนครจำปาศักดิ์ได้ยอมอ่อนข้อแต่โดยดี จากนั้นกองทัพไทยได้ยกไปตีเวียงจันทน์ล้อมอยู่นานถึงสี่เดือนจึงตีเมืองเวียงจันทน์ได้ และการตีเมืองเวียงจันทน์ครั้งนั้น ทางหลวงพระบางได้ยกทัพมาช่วยไทยตีเมืองเวียงจันทน์ด้วย เมื่อไทยยึดได้เวียงจันทน์ หลวงพระบางก็ยอมอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้นต่อไทยกองทัพไทยได้กวาดต้อนผู้คนชาวลาวและทรัพย์สิน พร้อมทั้งได้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากเวียงจันทน์ และพระบางจากหลวงพระบางลงมากรุงเทพฯ (ภายหลังได้คืนพระบางให้หลวงพระบางตามเดิม เพราะเชื่อมั่นว่าถ้าพระบางและพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในเมืองเดียวกัน เมืองนั้นจะเกิดวิบัติขึ้น) สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปี พ.ศ. ๒๓๓๘ (ค.ศ. ๑๘๙๕) ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระเจ้าศิริบุญสาร ได้กลับมาที่เวียงจันทน์ ได้จับพระยาสุโภซึ่งรั้งเมืองเวียงจันทน์ฆ่าเสีย แล้วตั้งมั่นอยู่ในเวียงจันทน์ต่อมาเจ้านันทเสนได้ครองเวียงจันทน์ แต่อ่อนแอจึงถูกถอดออกจากราชสมบัติ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอินทวงศ์ เป็นกษัตริย์แทน เมื่อสิ้นเจ้าอินทวงศ์แล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอนุวงศ์อุปราชเป็นกษัตริย์ครองเวียงจันทน์แทน เจ้าอนุวงศ์เป็นกบฏ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ เจ้าอนุวงศ์ยังคงแสดงความจงรักภักดีดังเดิม เช่นเมื่อคราวเกิดกบฏโดยพวกข่าก่อความวุ่นวายขึ้นที่เมืองจำปาศักดิ์ ใน พ.ศ. ๒๓๖๒ เรียกว่า "กบฏไอ้สาเขียดโง้ง" เจ้าอนุวงศ์รับอาสาไปปราบจนได้ชัยชนะ แล้วขอให้เจ้าราชบุตร (โย้) ไปเป็นเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ รัชกาลที่ ๒ ก็ทรงอนุญาต ครั้นรัชกาลที่ ๒ เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗ ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพฯ กับ เวียงจันทน์ก็ค่อยห่างเหินไปในรัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๖๘ เจ้าอนุวงศ์มาถวายบังคมพระบรมศพรัชกาลที่ ๒ แล้วกราบทูลขอละคร ผู้หญิงในวังไปแสดงที่เวียงจันทน์ สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ไม่ทรงอนุญาตตามที่ขอ เจ้าอนุวงศ์ก็ไม่พอใจ นอกจากนี้เจ้าอนุวงศ์ได้กราบทูลขอพระบรมราชานุญาต พาชาวเวียงจันทน์ที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีกลับบ้านเมืองเดิม ก็ไม่ทรงโปรดอนุญาต เป็นเหตุให้เจ้าอนุวงศ์รู้สึกอัปยศอดสูและขัดเคืองเป็นอย่างยิ่ง ขณะนั้น เป็นเวลาที่ญวนกำลังแย่งอำนาจเข้าครอบครองเขมร และคิดจะยึดเอาหัวเมืองลาวไว้ในอำนาจของตนด้วย จึงส่งคนมาเกลี้ยกล่อมเจ้าอนุวงศ์ เจ้าอนุวงศ์จึงได้โอกาสหันไปฝักใฝ่กับญวน โดยหวังให้ญวนหนุนหลังตน และเป็นระยะเวลาที่ไทยขัดใจกับอังกฤษเรื่องเมืองไทรบุรี ครั้นเจ้าอนุวงศ์สืบทราบว่าไทยมีผู้ชำนาญศึกเหลือน้อยลง เหลือแต่เจ้านายรุ่นหนุ่ม ๆอ่อนอาวุโส เจ้าอนุวงศ์จึงตั้งแข็งเมืองและเป็นกบฏขึ้น พ.ศ. ๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์เป็นกบฏ ยกกองทัพผ่านหัวเมืองรายทางมาจนถึงนครราชสีมาทางกรุงเทพฯ ได้โปรดให้พระยาราชสุภาวดี (ภายหลังได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยาบดินทร์เดชา "สิ่งห์สิงหเสนี") เป็นแม่ทัพมาปราบ โดยมีท้าวสุวอธรรมา (บุญมา) ยกทัพมาจากเมืองยโสธร และพระยาเอียงสา มาช่วยเป็นกำลังสำคัญ ในที่สุดสามารถจับตัวเจ้าอนุวงศ์ลงไปกรุงเทพฯ สำเร็จ และได้พระราชทานบำเหน็จทุกถ้วนหน้า แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวสุวอธรรมาเลือกทำเลที่จะสร้างเมือง ๔ เมือง คือ ๑. เมืองพานพร้าว อยู่ตรงข้ามกับเวียงจันทน์ (ปัจจุบันคืออำเภอศรีเชียงใหม่) ๒. เมืองเวียงคุก ๓. เมืองปะโค ๔. บ้านไผ่ (บ้านบึงค่าย) พ.ศ. ๒๓๗๐ ท้าวสุวอธรรมา (บุญมา) ได้เลือกเอาบ้านไผ่สร้างขึ้นเป็นเมืองหนองคายโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวสุวอธรรมา (บุญมา) เป็นพระปทุมเทวาภิบาล (บุญมา) ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองหนองคายคนแรก และให้เมืองเวียงจันทน์ขึ้นตรงต่อเมืองหนองคาย พ.ศ. ๒๔๓๔ ภายหลังกบฏฮ่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นสมุหเทศาภิบาลประจำมณฑลลาวพวนตั้งที่ทำการมณฑลอยู่ที่เมืองหนองคาย (ต่อมาเป็นมณฑลฝ่ายเหนือและมณฑลอุดร) พ.ศ. ๒๔๓๖ (เหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒) ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้แกฝรั่งเศสและระบุในสัญญาว่า "ห้ามมิให้ไทยตั้งหรือนำกองทัพทหารอยู่ในเขต ๒๕ กิโลเมตร จากชายแดน" กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมจึงได้ย้ายที่ทำการมณฑลไปอยู่บริเวณบ้านเดื่อหมากแข้ง และตั้งเป็นมณฑลอุดรมาจนถึงรัชกาลที่ ๖ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้มีการแก้ไขการปกครองมณฑลที่มีอยู่ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๖ ให้เป็นลักษณะเทศาภิบาลขึ้น รวมหัวเมืองเข้าเป็นบริเวณมีฐานะเท่าจังหวัดเดี๋ยวนี้ มณฑลอุดรได้รวมหัวเมืองเป็นบริเวณ ๕ บริเวณ คือ ๑. บริเวณหมากแข้ง ตั้งที่ทำการที่บ้านหมากแข้ง คือ จังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน ๒. บริเวณธาตุพนม ตั้งที่ทำการที่เมืองนครพนม ๓. บริเวณน้ำเหือง ตั้งที่ทำการที่เมืองเลย ๔. บริเวณพาชี ตั้งที่ทำการที่เมืองขอนแก่น ๕. บริเวณสกลนคร ตั้งที่ทำการที่เมืองสกลนคร ส่วนเมืองหนองคายซึ่งเคยเป็นที่ตั้งบัญชาการมณฑลอุดรมาแต่ก่อนนั้นไม่มีรายชื่อ บริเวณซึ่งได้จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ แต่การปฏิบัติราชการของเมืองนั้นก็ยังคงดำเนินมาในฐานะเสมือนเมืองหรือบริเวณหนึ่ง ดังนั้นในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงโปรดให้ประกาศตั้งเมืองหนองคายขึ้นเป็นเมือง โดยมีข้าหลวงคนแรกชื่อว่าพระยาสมุทรศักดารักษ์ (เจิม วิเศษรัตน์) พ.ศ. ๒๔๕๗ ในรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ขึ้น โดยให้ยกเลิกระบอบเจ้าปกครองนคร (เจ้าเมือง) ทั่วประเทศ พ.ศ. ๒๔๕๙ เปลี่ยนคำเรียกชื่อ "เมือง" มาเป็น "จังหวัด" มีข้าหลวงปกครอง (ต่อมาเรียก "ผู้ว่าราชการจังหวัด") การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงหมาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบอบการปกครองอันสำคัญยิ่ง ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นระบอบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีดั้งเดิมของไทย คือระบบกินเมืองให้หมดไป การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบากหัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมือง อื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมือง และมีอำนาจอย่างกว้างขวาง ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกันโดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ "การเทศาภิบาล" ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า "การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาค อันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถัดลงไปเป็นเมือง คือจังหวัดรองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็วแก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลดังนี้ การเทศาภิบาล นั้น หมายความว่า เป็น "ระบบ" การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า "การปกครองส่วนภูมิภาค" ส่วน "มณฑลเทศาภิบาล" นั้น คือส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางและริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตกบัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาลการจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับ ดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรก ที่ได้วางแผนงาน จัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จกระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรีมณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้ เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมลายูตะวันตกเป็นมณฑลไทรบุรี และในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี ระยองและตราด พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรังปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้นและการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒) อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่คณะกรมการจังหวัดนั้นได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓) ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑) จังหวัด ๒) อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การจัดตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 16:49:54 ศรีษะเกษ
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา จากการพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายครั้งหลายหนในระยะหลังๆ นี้ อาทิ เครื่องปั้นดินเผา พระพุทธรูป อัญมณีเครื่องประดับ ของใช้ประจำบ้านและเงินพดด้วง ซึ่งขุดพบใต้ฐานเจดีย์เก่าที่บ้านโนนแกด ตำบลทุ่ม อำเภอเมืองศรีสะเกษ เมื่อต้นเดือนมีนาคม ๒๕๒๖ และที่หลายแห่งในพื้นที่ของกิ่งอำเภอห้วยทับทัน และอำเภออื่นๆ นักโบราณคดีได้วิเคราะห์เปรียบเทียบหลักฐานศิลปวัตถุ เช่น เจดีย์บ้านโนนแกด ซึ่งเป็นเจดีย์รูปดอกบัว ตัวเจดีย์ย่อมุมมีบัวคว่ำบัวหงาย อายุประมาณ ๑,๒๐๐-๑,๓๐๐ ปี และได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหญ่มาแล้ว ๒ ครั้งหลังจากที่ได้สร้างเสร็จ ครั้งแรกเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๗๐๐-๑๘๐๐ และครั้งที่ ๒ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๐๐๐-๒๑๐๐ นอกจากนั้นวัตถุโบราณอื่นๆ ที่ขุดพบ อาทิ เป็นถ้วยชาม หม้อ ไห สันนิษฐานว่า เป็นเครื่องปั้นดินเผาของชนชาติสยาม และบางส่วนเป็นศิลปะของชนชาติขอมแต่ไม่มากนัก ซึ่งอาจจะเกิดจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันระหว่างชนชาติสยามกับชนชาติขอม ประกอบกับมีปราสาทหินที่เก่าแก่หลายแห่งในจังหวัดศรีสะเกษ เช่น ปราสาทหินสระกำแพงใหญ่ ปราสาทหินสระกำแพงน้อย อำเภออุทุมพรพิสัย ธาตุหรือปรางค์บ้านปราสาท ธาตุบ้านเมืองจันทร์ อำเภอห้วยทับทันปราสาทปรางค์กู่บ้านกู่ ปราสาทบ้านสมอ อำเภอปรางค์กู่ ปราสาทเยอ ธาตุจังเกา อำเภอไพรบึงและประสาทหรือธาตุที่เก่าแก่ซึ่งยังพอมีซากปรากฏอยู่ในท้องที่อำเภอต่างๆ ของจังหวัดศรีสะะเกษและจากหลักฐานที่พบในหนังสือที่เขียนไว้เป็นภาษาขอมโบราณเป็นเรื่องราวที่กล่าวถึงการสร้างปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทบ้านกู่ อำเภอปรางค์กู่ ซึ่งสร้างในสมัยที่ขอมเรืองอำนาจเวลาไล่เลี่ยกันคือราวในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ในสมัยพระเจ้าวรมันที่ ๑ ปกครองเขมร อาศัยหลักฐานต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวแล้วพอจะอนุมานได้ว่า พื้นที่จังหวัด ศรีสะเกษในปัจจุบัน เป็นที่อยู่อาศัยของชนชาติสยามและขอมมาเป็นเวลาช้านานประมาณไม่ต่ำกว่า ๑,๓๐๐ ปี แต่ก็ได้มีการอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นฐานเป็นครั้งคราว ซึ่งอาจจะเป็นการอพยพหลบหนีภัยน้ำ ท่วมใหญ่หรือเกิดจากการกันดารน้ำและโรคภัยไข้เจ็บ สมัยกรุงศรีอยุธยา ชนชาติลาวซึ่งอยู่ทางเหนือ ได้แก่ เมืองศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ได้อพยพเคลื่อนย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐานแย่งที่ทำกินของพวกข่า ส่วย กวย ซึ่งตั้งหลักแหล่งอาศัยทำมาหากินอยู่ตามป่าดง แขวงเมืองอัตบือแสนแป ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ประเทศลาวปัจจุบัน๑ ชาวลาวมีสติปัญญาดีกว่าเพราะเป็นชาวเมือง มีภาษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมดีกว่าจึงมีความเจริญก้าวหน้า ลาวได้สร้างบ้าน แปงเมืองและยกหัวหน้าขึ้นเป็นผู้ปกครองเมืองเป็นปึกแผ่นแน่นหนาจนรุ่งเรือง และสถาปนาขึ้นเป็นนครจำปาศักดิ์ เมื่อพวกส่วยถูกชาวลาวเข้ามารุกรานแย่งที่ทำกิน จึงได้รวบรวมสมัครพรรคพวกไปหาที่ทำกินแห่งใหม่ ในราว พ.ศ.๒๒๒๐ ได้มีพวกส่วยหลายกลุ่มอพยพลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ข้ามแม่น้ำโขงเข้ามายังประเทศไทย๒ สู่ดินแดนอีสานตอนใต้ซึ่งยังรกร้างว่างเปล่าอยู่มาก ชาวไทยเจ้าของถิ่นในขณะนั้นเสื่อมอำนาจ๓ เนื่องจากขอมซึ่งตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองพิมาย (อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา) ได้ยกทัพมารบกวน ทำให้คนไทยต้องถอยร่นไปอยู่ที่อื่น พวกส่วยเหล่านี้จึงตั้งเป็นชุมนุมต่างๆ อาศัยดินแดนแถบนี้ทำไร่นาหาของป่าเลี้ยงชีพสืบกันต่อมาด้วยความเป็นสุข บรรดาชาวส่วยที่อพยพเข้ามาเหล่านี้ได้แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน เท่าที่ทราบมีดังนี้๔ กลุ่มที่ ๑ หัวหน้าชื่อเชียงปุ่ม ตั้งหลักแหล่งที่บ้านเมืองทรี (ปัจจุบันคือเมืองที จังหวัดสุรินทร์) กลุ่มที่ ๒ หัวหน้าชื่อเชียงสี ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านหนองกุดหวาย (ท้องที่อำเภอรัตนบุรีจังหวัดสุรินทร์) กลุ่มที่ ๓ หัวหน้าชื่อเชียงสง ตั้งหลักแหล่งที่อยู่ที่บ้านเมืองลิง (ปัจจุบันคืออำเภอจอมพระจังหวัดสุรินทร์) กลุ่มที่ ๔ หัวหน้าชื่อเชียงขัน ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านปราสาทสี่เหลื่ยมดงลำดวน (ปัจจุบัน คือ บ้านดวนใหญ่ ตำลบดวนใหญ่ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ) กลุ่มที่ ๕ หัวหน้าชื่อเชียงฆะ ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านอัจจะปะนึ่ง (ปัจจุบันคือบ้านสังขะ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ กลุ่มที่ ๖ หัวหน้าชื่อเชียงชัย ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านจารพัด (ปัจจุบันคืออำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์) การติดตามช้างเผือกและกำเนิดเมืองขุขันธ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๒๕ในแผ่นดินของสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ หรือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งสุริยามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) ช้างเผือกของพระองค์ได้แตกออกจากโรงช้างต้นในกรุงศรีอยุธยา แล้วเดินทางมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสให้ทหารเอกคู่พระทัยสองพี่น้อง คือ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พระนามเดิมทองด้วง กับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระนามเดิมบุญมา ให้คุมไพร่พลและทหารกรมช้างต้น ๓๐ นายออกติดตาม ได้ติดตามพญาช้างเผือกมาทางแขวงเมืองพิมาย ผ่านมาจนถึงบริเวณป่าดงดิบทางฝั่งทิศใต้ลำน้ำมูลจึงได้ข่าวจากพวกชาวป่าว่า พญาช้างเผือกผ่านมาทางบ้านหนองกุดหวาย (อำเภอรัตนบุรี) นายทหารเอกสองพี่น้องจึงได้เข้าไปหาเชียงสีหัวหน้าบ้านหนองกุดหวายเพื่อให้เชียงสีช่วยพาไปหาหัวหน้าบ้านต่อ ๆ ไป เชียงสีได้พาไปหาเชียงปุ่มที่บ้านเมืองทรี (เมืองที) เชียงชัยที่บ้านจารพัด (ศีขรภูมิ) ไปหาตากะจะและเชียงขันที่บ้านปราสาทที่เหลี่ยมดงลำดวน (บ้านดวนใหญ่) แล้วยกต่อไปหาเชียงฆะที่บ้านอัจจะปะนึง (สังขะ) เชียงฆะแจ้งให้ทราบว่า เห็นช้างเผือกกับโขลงช้างป่ามาเล่นน้ำที่หนองโชก ครั้นวันรุ่งขึ้นนายทหารสองพี่น้องกับพวกหัวหน้าส่วยจึงขึ้นไปแอบอยู่บนต้นไม้ริมหนองโชกพอตะวันบ่ายประมาณ ๒ โมง โขลงช้างก็ออกจากป่ามาเล่นน้ำ พญาช้างเผือกเดินอยู่กลางโขลงมีช้างป่าล้อมหน้าล้อมหลัง นายทหารสองพี่น้องจึงนำเอาก้อนอิฐ ๘ ก้อนที่นำมาจากเมืองทรีขึ้นเสกเวทย์มนต์คาถาอธิษฐานแล้วขว้างไปยังโขลงช้างป่าทั้งแปดทิศ ช้างป่าแตกหนีเข้าป่าหมดเหลือแต่พญาช้างเผือก นายทหารสองพี่น้องจึงนำพญาช้างเผือกกลับกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับพวกทหารและหัวหน้าชาวส่วย ที่ช่วยติดตามช้าง เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยาแล้วนายทหารทั้งสองได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบถึงความดีความชอบของพวกหัวหน้าส่วยที่ช่วยติดตามช้างหลวงจนสำเร็จ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ๑. ตากะจะ เป็นหลวงแก้วสุวรรณ อยู่บ้านปราสาทที่เหลี่ยมดงลำดวน ๒. เชียงขัน เป็นหลวงปราบ อยู่บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน ๓. เชียงฆะ เป็นหลวงเพชร อยู่บ้านสังขะ ๔. เชียงปุ่ม เป็นหลวงสุรินทร์ภักดี อยู่บ้านคูปะทายสมัย (จังหวัดสุรินทร์) ๕. เชียงสี เป็นหลวงศรีนครเตา อยู่บ้านหนองกุดหวาย ให้เป็นหัวหน้าควบคุมพวกเขมรส่วยป่าดงในตำบลบ้านที่ตนอยู่ ทำราชการขึ้นอยู่กับเมืองพิมาย พวกนายกองทั้งห้าคนได้เดินทางกลับบ้านของตนและปฏิบัติราชการตามรับสั่ง ต่อมาพวกนายกองเหล่านี้ได้นำสัตว์และของป่าต่างๆ ไปส่งส่วยยังกรุงศรีอยุธยา ของส่วย๖ เหล่านี้ได้แก่ ช้าง ม้า แก่นสน ยางสน ปีกนก นอแรด งาช้าง ขี้ผึ้ง เป็นต้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ หลวงแก้วสุวรรณ (ตากะจะ) เป็นพระไกรภักดีศรีนครลำดวน ยกบ้านปราสาท สี่เหลี่ยมดงลำดวน (บ้านดวนใหญ่) ขึ้นเป็นเมืองขุขันธ์ ให้พระไกรภักดีศรีนครลำดวนเป็นเจ้าเมือง หลวงเพชร (เชียงฆะ) เป็นพระสังขะบุรีศรีนครอัจจะ ยกบ้านโคกอัจจะขึ้นเป็นเมืองสังขะ หลวงสุรินทร์ภักดี (เชียงปุ่ม) เป็นพระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวางเจ้าเมืองสุรินทร์ยกบ้านคูปะทายสมันขึ้นเป็นเมืองสุรินทร์ หลวงศรีนครเตา (เชียงสี) เป็นพระศรีนครเตาเจ้าเมืองรัตนะ ยกบ้านหนองกุดหวาย (หรือบ้านเมืองเตา) ขึ้นเป็นเมืองรัตนบุรี๗ ให้เมืองเหล่านี้ขึ้นกับเมืองพิมาย ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยามีเรื่องราวตามพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสานว่า กรุงศรีอยุธยาศรีสัตนาคนหุต ล้านช้าง หลวงพระบาง และนครจำปาศักดิ์ ต่างเป็นแคว้นเอกราชและเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน ปรากฏว่าอำนาจปกครองของนครจำปาศักดิ์ครั้งนั้นได้แผ่เข้ามาถึงดินแดนบางส่วนของเมืองทางภาคอีสานหลายเมือง รวมทั้งเมืองขุขันธ์ด้วย เมืองนครจำปาศักดิ์แต่เดิมนั้นเป็นแคว้นเอกราช มีเขตแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือมาจนจดเขตแขวงเมืองพิมาย ซึ่งเป็นชายแดนทางตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา มีอาณาเขตแบ่งปันกันที่ ลำห้วยขะยูงและเมืองท่ง ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ดและเมืองรัตนบุรี (อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์) ก็เคยเป็นเมืองที่อยู่ในเขตแขวงของแคว้นนครจำปาศักดิ์มาก่อน เมืองนครจำปาศักดิ์ได้เป็นประเทศราชของไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๑ สมัยกรุงธนบุรี จนถึง พ.ศ. ๒๔๔๖ ไทยจึงได้เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตรงกันข้ามปากเซ อันมีเมืองนครจำปาศักดิ์และมะโนไพร ซึ่งเป็นเมืองขึ้นกับขุขันธ์ให้แก่ฝรั่งเศส สมัยกรุงธนบุรี แผ่นดินอยุธยาต้องพินาศสิ้นเพราะน้ำมือพม่าใน ปี พ.ศ. ๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าตากสินครองกรุงธนบุรีปกครองแผ่นดินสยามสืบมา เมืองขุขันธ์ก็ยังขึ้นอยู่กับกรุงธนบุรีเป็นปกติ ชาวขุขันธ์เข้าร่วมราชการสงครามในศึกลานช้าง สาเหตุเกิดจากพระวอ พระตา ซึ่งเดิมเป็นเสนาบดีของกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) แต่มีเหตุบาดหมางกันขึ้นกับเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต จึงได้พาครอบครัวบ่าวไพร่หนีมาอยู่ที่เมืองลุ่มภู แล้วตกแต่งบ้านเมืองจัดสร้างค่ายคูประตูหอรบให้มั่งคงแข็งแรง ขนานนามเมืองใหม่ว่า "เมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน" เจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้ข่าวและถือว่า พระวอ พระตา เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน จึงได้แต่งกองทัพยกมาตีอยู่ ๓ แต่กำลังของพระวอ พระตา มีน้อยจึงสู้ไม่ได้ พระตาได้สิ้นชีพในที่รบ พระวอกับพวกได้ตีฝ่าวงล้อมไปได้ แล้วไปขอพึ่งพระเจ้าองค์หลวงแห่งเมืองนครจำปาศักดิ์ (เจ้าไชยกุมาร) โดยไปตั้งมั่นอยู่ที่เวียงดอนกอง เจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้แต่งกองทัพติดตามไป แต่เจ้าไชยกุมารได้ไกล่เกลี่ยไว้จึงทำให้การศึกยุติลงชั่วระยะเวลาหนึ่ง อยู่ต่อมาประมาณ ๓ ปี เจ้าเมืองจำปาศักดิ์กับพระวอเกิดขัดใจและเป็นอริกันขึ้นพระวอจึงแต่งให้ท้าวเพี้ยถือศุภอักษรคุมเครื่องราชบรรณาการไปยังนครราชสีมา และขอขึ้นกับกรุงธนบุรีสืบไป ฝ่ายพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตทราบข่าวว่า พระวอเป็นอริกับเจ้านครจำปาศักดิ์ เห็นเป็นโอกาสที่จะกำจัดพระวอได้ จึงแต่งให้พระยาสุโพเป็นแม่ทัพยกมาตีพระวอเมื่อจุลศักราช ๑๑๓๙ (พ.ศ. ๒๓๒๐) กองทัพพระวอสู้ไม่ได้จึงแตกทัพหนีไป กองทัพเวียงจันทน์ตามไปล้อมจับพระวอได้ที่บ้านสักเมืองสมอเลียบ ริมฝั่งแม่น้ำโขงเหนือเมืองเก่า (ตรงกันข้ามปากเซ) ขึ้นมาเล็กน้อยและได้ฆ่าเสีย ฝ่ายท้าวก่ำบุตรพระวอ ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวคำผง ท้าวทิดพรหมบุตรพระตาหนีไปได้ จึงแต่งให้คนถือหนังสือบอกไปยังเมืองนครราชสีมา ให้นำความกราบบังคมทูลพระเจ้ากรุงธนบุรีเพื่อทรงทราบ มรณกรรมของพระวอนับเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญของประวัติหัวเมืองมณฑลอีสานและประวัติศาสตร์ไทยมาก โดยทางกรุงธนบุรีถือว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นกรุงศรีสัตนาคนหุตกระทำการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบังอาจยกทัพมารังแกไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินในขอบขันธสีมา ครั้นจุลศักราช ๑๑๔๐ (พ.ศ. ๒๓๒๑) สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพยกไปทางบกสมทบกับกำลังเกณฑ์ไพร่พลจากเมืองสุรินทร์ เมือง ขุขันธ์ เมืองสังขะ และโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาสุรสิงหนาทแต่ครั้งดำรง พระยศเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ เป็นแม่ทัพยกไปทางกัมพูชาเกณฑ์พลเมืองเขมรต่อเรือรบยกขึ้นไปตามลำน้ำโขง กองทัพพระยาสุโพรู้ข่าวก็ถอยกลับไปยังกรุงศรีสัตนาคนหุต กองทัพไทยยกขึ้นไปตีได้เมืองนคร-จำปาศักดิ์ พระเจ้าองค์หลวง (ไชยกุมาร) พาครอบครัวไปตั้งอยู่ที่เกาะไชยกองทัพไทยตามไปจับตัวได้ ต่อจากนั้นกองทัพไทยก็เลยยกไปตีเมืองนครพนมแล้วยกไปล้อมเมืองเวียงจันทร์ไว้ พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้หนีไปอยู่ที่เมืองคำเกิด กองทัพไทยตีได้เมืองเวียงจันทน์แล้วตั้งให้พระยาสุโพเป็นผู้รั้งเมืองเวียงจันทน์ การศึกครั้งนี้เป็นผลทำให้กรุงศรีสัตนาคนหุตและนครจำปาศักดิ์ ตกมาเป็นประเทศราชของไทยตั้งแต่นั้นมา และกองทัพไทยได้อัญเชิญพระแก้วมรกตลงมายังกรุงธนบุรีด้วย ซึ่งปัจจุบันได้ประดิษฐานอยู่ที่อยู่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทยอยู่จนบัดนี้ ในการไปราชการทัพครั้งนี้ หลวงปราบ (เชียงขัน) ได้เป็นทหารเอกร่วมไปในกองทัพด้วย ทำศึกจนได้ชัยชนะ ขากลับเมืองขุขันธ์หลวงปราบ (เชียงขัน) ได้หญิงม่ายชาวลาวคนหนึ่งกลับมาเป็นภรรยามีลูกชายติดมาด้วยชื่อท้าวบุญจันทร์ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นความดีความชอบของเจ้าเมืองทั้งสามที่ช่วยราชการทัพในการตีเมืองนครจำปาศักดิ์ และเมืองเวียงจันทน์ได้สำเร็จ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าเมืองขุขันธ์ เจ้าเมืองสุรินทร์ และเจ้าเมืองสังขะ เลื่อนขึ้นเป็นตำแหน่งพระยาในบรรดาศักดิ์เดิมทั้งสามเมือง ในปีเดียวกันนี้ (พ.ศ. ๒๓๒๑) พระยาขุขันธ์ (ตากะจะ) ถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงปราบ (เชียงขัน) เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองคนที่ ๒ และในปีนั้นเองเจ้าเมืองขุขันธ์คนใหม่ ได้อพยพพลเมืองย้ายเมืองมาอยู่ที่บ้านแตระ (อำเภอขุขันธ์ ในปัจจุบัน) เพราะเมืองขุขันธ์เดิม (บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน) กันดารน้ำ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ลุ พ.ศ. ๒๓๒๕ (ปีขาล จุลศักราช ๑๑๔๔) สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ราชสมบัติปราบดาภิเษกขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (เชียงขัน) ได้เปลี่ยนนามเป็น พระยาขุขันธ์ภักดี ได้มีใบบอกกราบทูลขอตั้งท้าวบุญจันทร์ (บุตรเลี้ยงชาวลาวที่ติดภรรยาม่ายมาจากเวียงจันทน์) ขึ้นเป็นพระไกร ตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าเมืองอยู่มาวันหนึ่งพระยาขุขันธ์ภักดี (เชียงขัน) เผลอเรียกพระไกร (ท้าวบุญจันทร์) ว่าลูกเชลย พระไกรโกรธมากคิดจะแก้แค้นให้ได้ ภายหลังมีพวกญวนประมาณ ๓๐ คน เป็นพ่อค้ามาชื้อโคกระบือถึงเมืองขุขันธ์ พระยาขุขันธ์ภักดีได้จัดให้พวกญวนพักที่ศาลากลาง แล้วเกณฑ์คนนำทางไปส่งที่ช่องโพย ให้พวกญวนนำโคกระบือไปเมืองพนมเปญ พระไกรจึงบอกกล่าวโทษมากรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงให้เรียกพระยาขุขันธ์ภักดีไปไต่สวน ได้ความตามข้อกล่าวหาจึงให้นำพระยาขุขันธ์ภักดี (เชียงขัน) กักขังไว้ที่กรุงเทพฯ และโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระไกรเป็นพระยาขุขันธ์ภักดี เจ้าเมืองคนที่ ๓ ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ นั้น พระภักดีภูธรสงคราม (อุ่น) ปลัดเมืองขุขันธ์ ไม่พอใจพระยาขุขันธ์ภักดี (บุญจันทร์) จึงลงมากราบบังคมทูลที่กรุงเทพฯ ขอเป็นเจ้าเมืองอีกเมืองหนึ่งแยกจากขุขันธ์โดยไปตั้งที่บ้านโนนสามขา สระกำแพงใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านโนนสามขา สระกำแพงใหญ่ขึ้นเป็นเมืองศรีสระเกศ (มิได้เขียน ศรีสระเกษ ดังเช่นทุกวันนี้) ให้พระภักดีภูธรสงคราม (อุ่น) ขึ้นเป็นพระยารัตนวงษา เจ้าเมืองศรีสระเกศให้ท้าวมะนะ เป็นพระภักดีภูธรสงคราม ปลัดเมืองขุขันธ์แทน และให้ท้าวเทศ เป็นพระแก้วมนตรียกกระบัตรเมืองขุขันธ์ พ.ศ. ๒๓๒๘ พระยารัตนวงษา (อุ่น) เจ้าเมืองศรีสระเกษถึงแก่อนิจกรรม จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งท้าวชม บุตรพระยารัตนวงษา ขึ้นเป็นพระยาวิเศษภักดี เจ้าเมืองแทนบิดา พ.ศ. ๒๓๒๙ เจ้าเมืองศรีสะเกศกับเมืองขุขันธ์เกิดวิวาทชิงเขตแดนกัน จึงโปรดเกล้าฯ แบ่งปันเขตแดนให้เรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ขึ้นครองราชย์พระยาวิเศษภักดี เจ้าเมืองศรีสะเกศถึงแก่กรรมใน พ.ศ. ๒๓๓๐ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระภักดีภูธรสงคราม ปลัดเมือง เป็นพระยาวิเศษภักดี เจ้าเมือง ให้หลวงยกระบัตรเป็นที่พระปลัดให้ราชบุตรเป็นหลวงยกกระบัตร ให้ทิดอูด เป็นหลวงมหาดไทย ให้ขุนไชยณรงค์เป็นหลวงธิเบศร์ กบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ ลุจุลศักราช ๑๑๘๕ ปีมะเส็ง (พ.ศ. ๒๓๖๔) พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าราชบุตร (โย่) เมืองเวียงจันทน์เป็นเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ได้เปลี่ยนธรรมเนียมเก็บส่วยแก่ชายฉกรรจ์ที่มีภรรยาแล้ว เป็นไหม หรือ ป่าน หรือ ผลเร่ว คนหนึ่งหนักชั่งห้าตำลึง ส่วนข้าวเปลือกให้เก็บตามเดิม ลำดับนั้น ตั้งแต่เขตแขวงเมืองนครจำปาศักดิ์ไปจนถึงเมืองเวียงจันทน์ อยู่ในอำนาจของเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์กับเจ้าราชบุตร (โย่) ผู้ครองเมืองนครจำปาศักดิ์ พ่อลูกทั้งสองเห็นว่ามีเขตแขวงและกำลังไพร่พลมากขึ้นก็กำเริบใจคิดกบฏต่อกรุงเทพฯ ครั้งปีจอ จุลศักราช ๑๑๘๘ (พ.ศ. ๒๓๖๙) เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ได้แต่งตั้งให้เจ้าอุปราช (สีถาน) กับเจ้าราชวงศ์เมืองเวียงจันทน์ ยกกองทัพมาตีเมืองรายทางจนถึงกาฬสินธุ์ จับเจ้าเมืองอุปฮาดกับกรมการเมืองฆ่าเสียแล้วกวาดต้อนเอาครอบครัวไพร่พลเมืองการฬสินธุ์ส่งไปเมืองเวียงจันทน์ แล้วยกไปตีเมืองเขมราฐจับเจ้าเมือง (ท้าวก่ำ บุตรพระวอ) ฆ่าเสีย แล้วยกกองทัพไปถึงเมืองร้อยเอ็ด เจ้าเมืองร้อยเอ็ดเห็นว่าจะสู้ไม่ได้จึงคบคิดกับกรมการเมืองพาเอานางหมานุย นางตุ่ม นางแก้ว บุตรสาวยกให้เจ้าอุปราช เจ้าอุปราชจึงไม่ทำอันตราย แล้วยกกองทัพต่อไปถึงเมืองสุวรรณภูมิ จับข้าหลวงกองสักได้ให้ฆ่าเสีย แต่พระรัตนวงษา เจ้าเมืองสุวรรณภูมิมิได้ยกนางออมบุตรสาวเจ้าเมืองสุวรรณภูมิคนเก่าและม้าผ่าน ๑ ให้เจ้าอุปราช เจ้าอุปราชจึงงดไม่ทำอันตราย แล้วยกกองทัพของเจ้าอุปราชและเจ้าราชวงศ์ได้ยกเลยไปตีหัวเมืองรายทางจนถึงเมืองนครราชสีมา ฝ่ายเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ (โย่) ได้เกณฑ์ไพร่พลยกกองทัดมาตีเมืองขุขันธ์ เมืองสังขะและเมืองสุรินทร์ จับพระยาขุขันธ์ภักดี (บุญจันทร์) เจ้าเมืองขุขันธ์ พระภักดีภูธรสงคราม (มะนะ) ปลัดเมือง พระแก้วมนตรี (ท้าวเทศ) ยกกระบัตร กับกรมการเมืองได้และให้ฆ่าเสียเพราะไม่ยอมเข้ากับพวกกบฏ ส่วนเจ้าเมืองสังขะและเจ้าเมืองสุรินทร์หนีเอาตัวรอดไปได้ ครั้งนั้นกองทัพเจ้าโย่ได้กวาดต้อนเอาครอบครัวไทย เขมร ส่วย ไปไว้ที่เมืองนครจำปาศักดิ์เป็นจำนวนมาก แล้วได้ยกไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี พระพรหมราชวงศา เจ้าเมืองอุบลราชธานีจำต้องยอมเข้าด้วยกับพวกกบฏ เจ้านครจำปาศักดิ์จึงมิได้ทำอันตราย ครั้งนั้นเจ้าโย่และเจ้าอนุวงศ์ ได้มาตั้งค่ายอยู่ที่มูลเค็ง แขวงเมืองพิมายแห่ง ๑ ที่บ้านส้มป่อย แขวงเมืองขุขันธ์ แห่ง ๑ ที่ทุ่งมนแห่ง ๑ ที่บ้านบกหวาน แขวงเมืองหนองคายอีกแห่ง ๑ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพเป็นทัพหลวง ให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชาเมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นทัพหน้า ยกกองทัพมาปราบกบฏ ถึงแขวงเมืองนคราชสีมาได้พบเป็นกองทัพเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์และได้สู้รบกันเป็นสามารถ กองทัพเวียงจันทน์ต้านทานมิได้ก็แตกถอยร่นไปอยู่ที่ค่ายมูลเค็งกองทัพไทยได้ตามไปตีค่ายมูลเค็งแตกแล้วยกตามไปตีค่ายส้มป่อย ค่ายทุ่งมน ค่ายน้ำคำ แตกทุกค่ายจนถึงกองทัพเจ้านครจำปาศักดิ์ ขณะนั้นฝ่ายครัวไทย เขมร ส่วย ที่เจ้านครจำปาศักดิ์ได้กวาดต้อนไปไว้ที่เมืองนครจำปาศักดิ์รู้ข่าวกองทัพไทยยกขึ้นมาช่วยก็พากันเอาไฟเผาเมืองนครจำปาศักดิ์ ราษฎรพลเมืองพากันแตกตื่นเป็นอลหม่านเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๖ ปีกุน จุลศักราช ๑๑๘๙ (พ.ศ. ๒๓๗๐) เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เห็นว่าจะสู้กองทัพไทยไม่ได้ จึงถอยกลับไปตั้งรับอยู่ที่เมืองหนอง-บัวลำภูกองทัพไทยตามขึ้นไปตีจนถอยร่นหนีไปแล้ว กองทัพไทยได้ยกขึ้นไปตีได้เมืองเวียงจันทน์ เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ทิ้งเมืองหนีไปอยู่ที่เมืองญวน ต่อจากนั้นได้ยกไปตีเมืองนครจำปาศักดิ์ จับตัว เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ได้จึงยกทัพกลับกรุงเทพฯ โดยแบ่งทหารบางส่วนให้อยู่รักษาเมืองเวียงจันทน์ต่อมาทหารที่จัดให้อยู่รักษาเมืองเวียงจันทน์หลงเชื่อคำหลอกลวงของญวนว่า จะพาเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เข้ามาอ่อนน้อมแต่โดยดี แต่แล้วเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์กลับรวบรวมไพร่พลยกเข้ามาปล้นฆ่าคนไทยที่รักษาเมืองตายเกือบหมด ที หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 16:50:12 ศรีษะเกษ ๒
เหลือได้หนีรอดมาได้และได้รายงานให้เจ้าพระยาบดินทร์ทราบ ซึ่งขณะนั้นเจ้าพระยาบดินทร์เดชาได้รับพระบรมราชโองการให้ยกทัพไปรักษาเมืองเวียงจันทน์แต่เดิมทัพไปยังไม่ถึงเมืองเวียงจันทน์ก็ได้ทราบข่าวเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในเวียงจันทน์และเห็นว่ากำลังทัพมีไม่พอที่จะยกไปตีเมืองเวียงจันทน์ได้ จึงสั่งให้ถอยทัพไปรวบรวมไพร่พลที่เมืองยโสธรให้พร้อมเสียก่อนจึงจะยกไป แต่กองทัพเวียงจันทน์ได้ยกตามมาทันกันที่ค่ายบกหวานแขวงเมืองหนองคาย กองทัพเจ้าพระยาบดินทร์เดชาจึงได้รบกับกองทัพเวียงจันทน์ กองทัพเวียงจันทน์สู้ไม่ได้แตกพ่ายไป กองทัพเจ้าพระยาบดินทร์ เดชาจึงยกไปตีเมืองเวียงจันทน์ได้เมืองเวียงจันทน์เป็นครั้งที่สอง และคราวนี้จับเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ได้ การกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ครั้งนี้ นับเป็นการกบฏที่ยิ่งใหญ่ หัวเมืองสำคัญๆ ทางภาคอีสานหลายเมืองตกอยู่ในอำนาจของพวกกบฏเกือบทั้งสิน ในระหว่างปราบกบฏทางเมืองนครราชสีมาได้เกิดวีรสตรีขึ้นท่านหนึ่ง จากการต่อสู้กับทหารของเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ที่ทุ่งสำริดแขวงเมืองพิมาย ท่านผู้นั้นคือ คุณหญิง "โม" ซึ่งเป็นภริยาของพระยาสุรเดชวิเศษฤทธิ์ทศธิศวิชัยปลัดเมืองนครราชสีมา ได้รับพระราชทานนามว่า "ท้าวสุรนารี" เมื่อปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เรียบร้อยแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระยาสังขะบุรีไปเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ คนที่ ๔ ให้พระไชย (ใน) เป็นพระภักดีภูธรสงคราม ปลัดเมือง ให้พระสะเพื้อน (นวน) เป็นพระแก้วมนตรี ยกกระบัตรเมือง ให้ท้าวหล้าบุตรพระยาขุขันธ์ (เชียงขัน) เป็นพระมหาดไทย ช่วยกันรักษาเมืองขุขันธ์สืบไป ตามพงศาวดารกล่าวว่า พวกกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ได้มาตั้งค่ายไว้แห่งหนึ่งที่แขวงเมืองขุขันธ์ เรียกว่าค่ายส้มป่อย (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอราษีไศล ทางตะวันตกบ้านส้มป่อย) ที่แห่งนี้ ปรากฏว่ามีโพน (จอมปลวก) ตั้งเรียงรายกันอยู่เป็นแนวติดต่อกันไป เริ่มตั้งแต่ทางตะวันตกบ้านส้มป่อยจนเกือบถึงบ้านบึงหมอก ชาวบ้านเรียกกันว่า "ค่ายส้มป่อยโพนเลียน" (โพงเรียง) เข้าใจว่าที่แห่งนี้จะเป็นค่ายส้มป่อยของกองทัพลาว เพระลักษณะโพนที่ตั้งเรียงรายกันอยู่อย่างมีระเบียบเป็นแถวเดียวกัน และมีระยะห่างเท่ากันไปโดยตลอด คงจะไม่ใช่โพนหรือจอมปลวกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และที่ริมฝั่งแม่น้ำมูลใกล้ๆ กับโพนเรียงไปทางทิศใต้มีหมู่บ้านหนึ่งชื่อว่าบ้านโก คนในหมู่บ้านนี้พูดภาษาไทยสำเนียงโคราช ชาวบ้านมีอาชีพปั้นหม้อขาย สองถามชาวบ้านได้ความว่า พวกที่มาตั้งบ้านโกครั้งแรกนั้นเป็นชาวโคราชที่ถูกกองทัพลาวกวาดต้อนมา ลุ พ.ศ. ๒๓๘๘ หลวงธิเบศร์ หลวงมหาดไทย และหลวงอภัย กรมการเมืองศรีสะเกศไม่สมัครที่จะทำราชการกับพระยาวิเศษภักดีเจ้าเมืองศรีสระเกศ ได้อพยพครอบครัวไปตั้งอยู่ที่บ้านน้ำโดมใหญ่ พรมแดนเมืองจำปาศักดิ์ต่อกับอุบลฯ และขุขันธ์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านน้ำโดมใหญ่ขึ้นเป็นเมืองเดชอุดม ตั้งให้หลวงธิเบศร์เป็นพระศรีสุระ เป็นเจ้าเมือง ให้หลวงมหาดไทยเป็นหลวงปลัด หลวงอภัยเป็นหลวงยกกระบัตร รักษาราชการเมืองเดชอุดมต่อไป และในปีเดียวกันนี้โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านไพรตระหมัก (บ้านดาสี) ขึ้นเป็นเมืองมะโนไพรให้หลวงภักดีจำนง (พรหม) เสมียนตรากรมการเมืองขุขันธ์ซึ่งเป็นบุตรเขยพระยาเดโช (เม้ง-เขมร) เป็นพระมะโนจำนง เจ้าเมืองมะโนไพร ขึ้นต่อเมืองขุขันธ์ และครั้งนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้หลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ เป็นข้าหลวงขึ้นไปจัดราชการบ้านเมืองตะวันออก และจัดปันเขตแดนเมืองนครจำปาศักดิ์กับเมืองขุขันธ์ ให้เป็นเขตแดนของเมืองมะโนไพรต่อไป (ปัจจุบันเมืองนะโนไพรอยู่ในเขตประเทศเขมร เขมรเรียกว่าเมืองมูลไปร ไทยได้เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงกันข้ามปากเซซึ่งมีนครจำปาศักดิ์ และเมืองมะโนไพร ให้แก่ฝรั่งเศสไปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖) จุลศักราช ๑๒๑๒ (พ.ศ. ๒๓๙๓) พระยาขุขันธ์ภักดีเจ้าเมืองคนที่ ๔ ซึ่งมาจากเมืองสังขะถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระภักดีภูธรสงคราม (ใน) ปลัดเมือง เป็นพระยาขุขันธ์ภักดีเจ้าเมืองขุขันธ์ คนที่ ๕ เลื่อนพระมหาดไทย (หล้า) เป็นพระภักดีภูธรสงคราม ปลัดเมือง เมื่อพระภักดีภูธรสงคราม (หล้า) ถึงแก่กรรม ได้ตั้งให้ท้าวกิ่ง บุตรพระยาขุขันธ์ (เชียงขัน) เป็นปลัดเมืองและให้ท้าวศรีเมืองเป็นพระมหาดไทย ต่อมาพระยาขุขันธ์ภักดี (ใน) ถึงแก่กรรม ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งยกระบัตร (นวน) เป็นพระยาขุขันธ์ภักดี เจ้าเมืองคนที่ ๖ เลื่อนพระมหาดไทย (ศรีเมือง) เป็นพระยกกระบัตร ในศกเดียวกันนี้ พระยาขุขันธ์ภักดี (นวน) ถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระภักดีภูธรสงคราม (กิ่ง) เป็นพระยาขุขันธ์ภักดี เจ้าเมืองคนที่ ๗ เลื่อนยกกระบัตร (ศรีเมือง) เป็นพระปลัดเมือง ให้พระวิเศษ (พิมพ์) เป็นพระแก้วมนตรี พ.ศ.๒๓๙๕ พระยาขุขันธ์ภักดี (กิ่ง) ถึงแก่กรรม โปรดเกล้าฯ ตั้งให้ พระวิไชย (วัง) ผู้เป็นน้องพระยาขุขันธ์ภักดี เป็นเจ้าเมืองแทน เป็นเจ้าเมืองคนที่ ๘ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๑๐ ปลายรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระยาขุขันธ์ภักดี (วัง) ได้จับพระพล (รส) ผู้น้อง บอกส่งมายังกรุงเทพฯ และถูกจองจำอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงถึงแก่กรรมและยังได้บอกกล่าวโทษพระปลัดเมือง (ศรีเมือง) ว่าเบียดบังเงินหลวง ได้มีพระบรมราชโองการให้ส่งตัวพระปลัดเมืองมาพิจารณาที่กรุงเทพฯ พิจารณาได้ความตามที่กล่าวโทษ ตุลาการตัดสินให้พระปลัดเมืองชดใช้เงินหลวง เสร็จแล้วให้กลับไปรับราชการตามเดิม ขณะเดินทางกลับเดินทางมาถึงเมืองปราจีนบุรีก็ล้มป่วยและถึงแก่กรรมกลางทาง ฝ่ายท้าวอ้น บุตรพระปลัดเมือง (ศรีเมือง) เห็นว่า ถ้าจะรับราชการอยู่ในเมืองขุขันธ์ดังแต่ก่อนมา เกรงว่าจะได้รับความเดือนร้อนจึงลงไปกรุงเทพฯ กราบทูลขอออกไปทำราช-การเป็นกองนอกก็ได้รับกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวอ้นเป็นพระบริรักษ์ภักดี กองนอกทำราชการขึ้นกับเมืองขุขันธ์ และโปรดเก้ลาฯ ให้ตั้งท้าวบุญนาคบุตรพระยาขุขันธ์ภักดี (วัง) เป็นพระอนันต์ภักดี ผู้ช่วยราชการเมืองขุขันธ์ตามที่พระยาขุขันธ์ภักดี (วัง) มีใบบอกขอมา พ.ศ. ๒๔๒๖ ในแผ่นดินสมเด็จพระปิยมหาราช พระยาขุขันธ์ภักดี (ปัญญา) เจัาเมืองขุขันธ์กับพระปลัดเมือง (จันลี) ได้นำช้างพังสีประหลาย ๑ เชือก กับช้างพังตาดำ ๑ เชือก ลงมาน้อมเกล้าฯ ถวายที่กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๓๓ มีตราสารโปรดเกล้าฯ ให้เมืองศรีสะเกษไปอยู่ในบังคับบัญชาของข้าหลวงเมืองอุบลราชธานี เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๔ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิดปรีชากร ข้าหลวงใหญ่ได้โปรดให้หลวงจำนงยุทธกิจ (อิ่ม) กับขุนไผท ไทยพิทักษ์ (เกลี่ยน) เป็นข้าหลวงเมืองศรีสะเกษ พ.ศ. ๒๔๓๕ ให้พระศรีพิทักษ์ (หว่าง) เป็นข้าหลวงเมืองขุขันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้อยู่จัดรูปการปกครองเป็นแบบมณฑล มีสมุหเทศาภิบาลเป็นผู้สำเร็จราชการมณฑล จังหวัดศรีสะเกษขึ้นอยู่ในมณฑลอีสาน กองบัญชาการมณฑลอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. ๒๔๔๗ ย้ายที่ตั้งเมืองขุขันธ์ (ซึ่งอยู่ที่ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ในปัจจุบัน) มาอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า (ปัจจุบัน คือ ตำบลเมืองเหนือ ในเขตเทศบาลเมืองศรีสะเกษ) และยังคงใช้ชื่อเมือง ขุขันธ์อยู่เหมือนเดิม และยุบเมืองขุขันธ์เดิมลงเป็นอำเภอ เรียกว่าอำเภอห้วยเหนือ พ.ศ. ๒๔๕๕ เปลี่ยนชื่อมณฑลอีสาน เป็นมณฑลอุบล มีเมืองที่ขึ้นต่อมณฑลนี้เพียง ๓ เมือง คือ เมืองอุบลราชธานี เมืองขุขันธ์ และเมืองสุรินทร์ (เข้าใจว่าเมืองศรีสระเกศคงถูกยุบลงเป็นอำเภอ ขึ้นอยู่กับเมืองขุขันธ์) พ.ศ. ๒๔๕๕ กระทรวงมหาดไทยประกาศให้เปลี่ยนชื่อเมืองทุกเมือง เป็นจังหวัด เมือง ขุขันธ์จึงเปลี่ยนเป็นจังหวัดขุขันธ์ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๙ พ.ศ. ๒๔๘๑ มีพระราชกฤษฎีกา ให้เปลี่ยนชื่อจังหวัดขุขันธ์ เป็นจังหวัดศรีสะเกษ ศรีสะเกษ กับ ศรีสระเกศ คำว่าศรีสะเกษ นี้ เดิมเขียนว่า ศรีสระเกศ ดังที่ปรากฏในเรื่องกำเนินเมืองศรีสระเกศแล้ว โดยเขียนตามหนังสือพงศาวดารที่เขียนไว้ ซึ่งเป็นการถูกต้องตามหลักภาษาที่ระบุไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ตรงกับความหมายของตำบลที่ตั้งเมืองศรีสระเกศแต่เดิมดังนิยามปรับปรากล่าวถึงที่มาของคำว่า ศรีสระเกศ ดังนี้ นิยามที่ ๑ พระยาแกรกเจ้าเมืองเขมร ได้เดินทางท่องเที่ยวไปจนถึงประเทศลาว ไปพบเนื้อคู่เป็นธิดาเจ้าเมืองลาวชื่อนางศรี ได้สู่ขอแต่งงานอยู่กินดัวยกันเรียบร้อยที่ประเทศลาวต่อมาพระยาแกรกเดินทางกลับประเทศเขมรก่อนทิ้งนางศรีไว้ที่เมืองลาว นางศรีมีครรภ์แก่และคิดถึงสามีจึงออกเดินทางติดตามสามีไปเมืองเขมร เดินทางไปถึงทำเลหนึ่งมีสระน้ำใสเย็นนางศรีได้คลอดทารกทิ่ริมสระแห่งนั้น และนางได้ลงชำระสระสรงอาบน้ำล้างตัว พร้อมทั้งชำระล้างทารกบุตรของนางที่สระน้ำ แล้วนางจึงเดินทางต่อไปยังเมืองเขมร สระนี้จึงได้ชื่อว่าศรีสระเกศ แต่นั้นมา นิยามที่ ๒ กล่าวถึงพระยาศรีโคตรตะบองเพชรครองกรุงกัมพูชา (เขมร) มีตะบองเพชรเป็นอาวุธวิเศษ พระยาศรีโคตรตะบองเพชรกับพระมเหสีเดินทางไปเมืองลานช้าง ขากลับแวะลงสระสรงน้ำที่สระกำแพงทั้งสององค์ จึงได้ชื่อว่า ศรีสระเกศ นิยามที่ ๓ เล่าว่าพระนางศรีนางพญาขอม (เขมรโบราณ) เดินทางจากเมืองพิมายผ่านมาและลงสระผมที่สระนี้ จึงได้ชื่อว่า ศรีสระเกศ จึงสรุปได้ว่า มีคนชื่อศรี มาสระผมที่สระนี้ เกศ แปลว่า ผม (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ หน้า ๑๖๒) ส่วนคำว่า สระ แปลว่า ชำระ ฟอก ล้าง (หน้า ๘๗๗) ดังนั้น ที่เขียนตามพงศาวดารว่า ศรีสระเกศ นั้นถูกต้องตรงกับความหมายทางภาษาทุกประการ แต่ที่เขียนเป็น ศรีสะเกษ ยังหาที่มาไม่พบ การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศ และควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่า เป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลในสมัยนั้น การปกคอรงแบบเทศาภิบาลเป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อยและเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือระบบกินเมืองให้หมดไป การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใดก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากการคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวาง ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพดำรงตำแหน่งเสนาบดี พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกันโดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชา หัวเมืองทั้งปวง ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ซ. ๒๔๓๙ จนถึง พ.ซ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จ และเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของการเทศาภิบาล ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า "การเทศาภิบาล คือการปกครองโดยลักษณะที่จัดให้หน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วย ตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้น ออกไปดำเนินงานในส่วน ภูมิภาคอันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่วมเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นลำดับ ดังนี้ คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑลรองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัด รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานีและจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทางตามตำแหน่งหน้าที่ มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็วแก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย" จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนั้น การเทศาภิบาลนั้น หมายความรวมว่า เป็น "ระบบ" การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า " การปกครองส่วนภูมิภาค" ส่วน "มณฑลเทศาภิบาล นั้น คือส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราช-การส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียนการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อต่อไปนี้ เมื่องพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่งคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้างและกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล มีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนี้มีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียง หรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวน หรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาว หรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมร หรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองฝั่งทะเลตะวันตก บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมาและก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับ ดังต่อไปนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จกระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล ขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเดียวกัน จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนคร ชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรี- ธรรมราช และมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันออก เป็นมณฑลไทรบุรี และในปีเดียวกันนั้นเอง ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าฯ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี ระยอง และตราด พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษเพื่อแลกเปลี่ยนกันการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อกู้ยืมเงินจากอังกฤษมาสร้างทางรถไฟ พ.ศ. ๒๔๕๕ ให้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบลมีเมืองที่ขึ้นอยู่ในการปกครอง ๓ เมือง คือ เมืองอุบลราชธานี เมืองขุข้นธ์ และเมือง สุรินทร์ (เข้าใจว่าเมืองศรีสะเกศ คงจะถูกยุบลงเป็นอำเภอขึ้นอยู่กับเมืองขุขันธ์จึงไม่ปรากฏชื่อเมืองศรีสะเกศ) พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมากรจังหวัดเป็นผู้บริหารเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลแล้วยังแบ่งออกเป็นจังหวัดและอำเภออีกด้วย เมื่อมีประกาศใช้พระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องมาจาก (๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง (๒) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง (๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น (๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัด มีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ (๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ (๒) อำนาจบริหารในจังหวัดซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคลได้แก่ คณะกรรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือผู้ว่าราชการจังหวัด (๓) ในฐานะของคณะกรรมการจังหวัดซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการ แผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการ ส่วนภูมิภาคเป็น (๑) จังหวัด (๒) อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดศรีสะเกษ, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เทพนิมิต การพิมพ์,๒๕๓๙. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 พฤศจิกายน 2553 16:51:16 :emotk พรุ้งนี้มาต่อครับ ตาลาย :emoty
หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:40:20 อุบลราชธานี
๑. สมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ ดินแดนอันเป็นที่ตั้งของเมืองหรือจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียงในปัจจุบัน ได้มีกลุ่มชนตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่ประปรายบ้างแล้ว ส่วนใหญ่เป็นพวกที่สืบเชื้อสายมาจากขอมหรือที่เรียกกันในสมัยต่อมาว่าพวกข่า ส่วย กวย ฯลฯ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ได้เกิดการแย่งชิงราชสมบัติขึ้นในกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ไพร่บ้านพลเมืองต่างอพยพหลบภัยสงครามข้ามลำน้ำโขงมาทางฝั่งตะวันตก และได้ตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่ตามบริเวณพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และบริเวณใกล้เคียง (ในปัจจุบัน) เรื่อยลงไปโดยตลอดจนถึงเมืองนครจำปาศักดิ์ โดยแยกย้ายกันตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ในท้องที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ บุคคลผู้เป็นที่เคารพนับถือของแต่ละกลุ่มชน ก็จะได้รับการยกย่องนับถือและยอมรับให้เป็นหัวหน้าปกครองดูแลพลเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข และพ้นจากการรุกรานของกรุงศรีสัตนาคนหุต ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ ขณะที่กรุงศรีอยุธยากำลังจะเสียแก่พม่านั้นได้เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อแย่งชิงราชสมบัติในกรุงศรีสัตนาคนหุตอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพราะพระเจ้าองค์หล่อผู้ครองกรุงศรี-สัตนาคนหุตถึงแก่กรรม โดยไม่มีโอรสสืบราชสมบัติ แสนท้าวพระยานายวอ และนายตา จึงพร้อมใจกันอัญเชิญกุมารองค์หนึ่ง (ในจำนวน ๒ องค์ ที่สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตองค์ก่อนและได้หลบหนีภัยการเมืองมาอยู่กับนายวอ นายตา เมื่อคราวพระเจ้าองค์หล่อยกกำลังกองทัพมาจับพระ-ยาแสนเมืองฆ่าเสีย เมื่อ พ.ศ. ๒๒๗๕) ขึ้นครองกรุงศรีสัตนาคนหุตทรงพระนามว่า พระเจ้าสิริบุญสาร เมื่อพระเจ้าสิริบุญสาร ครองกรุงศรีสัตนาคนหุต พระองค์ทรงแต่งตั้งราชกุมารผู้อนุชาเป็นพระมหาอุปราช พร้อมทั้งทรงแต่งตั้งนายวอ นายตา เป็นเสนาบดี ให้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระ เป็นผลให้พระวอพระตาเกิดความโทมนัสเป็นอย่างยิ่ง ด้วยมิได้เป็นพระมหาอุปราชดังประสงค์ ดังนั้น พระวอพระตาจึงอพยพครอบครัวไพร่พลจากกรุงศรีสัตนาคนหุตข้ามลำน้ำโขงมาทางฟากตะวันตก ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เมืองหนองบัวลำภู ดำเนินการปรับปรุงสภาพเมืองใหม่ สร้างค่ายประตูหอรบให้แข็งแรง เปลี่ยนนามเมืองใหม่ว่า เมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน หรือที่ปรากฏในเอกสารบางแห่งว่า เมืองจำปานครขวางกาบแก้วบัวบาน พระเจ้าสิริบุญสารทรงทราบข่าวการสร้างเมืองใหม่ของพระวอ พระตา พระองค์เข้าพระทัยว่าการที่พระวอ พระตา ปรับปรุงสร้างบ้านเมืองก็เพราะจะคิดการศึกต่อพระองค์ จึงทรงให้แสนท้าว-พระยาไปห้ามปรามพระวอ พระตาไว้แต่ทั้งสองกับไม่ยอมรับฟัง พระเจ้าสิริบุญสารทรงมีรับสั่งให้ยกกองทัพไปปราบปราม ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอยู่เป็นเวลานานถึงสามปีก็ไม่สามารถจะเอาชนะกันได้ พระ-วอ พระตา เห็นว่ากำลังของฝ่ายตนมีน้อยกว่าคงจะต้านทานไว้ไม่ได้ ในที่สุดจึงได้แต่งเครื่องราชบรรณาการไปอ่อนน้อมต่อพม่า พร้อมทั้งขอกำลังกองทัพมาช่วยการศึกที่เกิดขึ้น แต่เมื่อทัพพม่ายกมา ถึง มองละแงะ แม่ทัพพม่ากลับนำทัพเข้าช่วยพระเจ้าสิริบุญสารทำสงครามกับพระวอ พระตา แม้ว่าพระวอ พระตา และไพร่พลจะพยายามต้านทานกองทัพฝ่ายพระเจ้าสิริบุญสารและทัพมองละแงะอย่างสุดความสามารถก็ตาม แต่ด้วยจำนวนไพร่พลน้อยกว่าจึงพ่ายแพ้ไปในที่สุด พระตาเสียชีวิตในสงคราม ดังนั้น พระวอ ท้าวคำผง ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวทิดพรหม บุตรพระตา และท้าวก่ำบุตรพระวอ จึงพากันอพยพครอบครัวไพร่พลหนีภัยลงมาทางใต้ จนถึงเมืองนครจำปาศักดิ์ได้รับความอนุเคราะห์จากพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ ให้ตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ในบริเวณตำบลเวียงดอน-กอง หรือที่เรียกว่าบ้านดู่บ้านแก แขวงเมืองนครจำปาศักดิ์ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๑๔ (จ.ศ. ๑๑๓๓ ปีเถาะ ตรีศก) รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระเจ้าสิริบุญสารทราบว่า พระวออพยพครอบครัวไพร่พลมาตั้งอยู่ที่เวียงดอนกอง แขวงเมืองนคร-จำปาศักดิ์ จึงให้อัครฮาดคุมกำลังกองทัพลงมาปราบปรามพระวออีกเมื่อพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร ทราบเหตุ จึงให้พระยาพลเชียงสายกทัพจากเมืองนครจำปาศักดิ์ มาช่วยพระวอต้านทานทัพของพระ-เจ้าสิริบุญสาร พร้อมทั้งทรงมีศุภอักษรไปถึงพระเจ้าสิริบุญสาร เพื่อขอยกโทษให้พระวอ พระเจ้าสิริบุญ-สารมีพระราชสาส์นตอบมาว่า พระวอเป็นคนอกตัญญู จะเลี้ยงไว้ก็คงไม่มีความเจริญแต่เมื่อเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ให้มาขอโทษไว้ดังนี้แล้ว ก็จะยกให้มิให้เสียไมตรี จากนั้นพระองค์จึงโปรดให้อัครฮาดยกกำลังกองทัพกลับกรุงศรีสัตนาคนหุต ในปลายปี พ.ศ. ๒๓๑๔ พระวอเกิดขัดใจกับพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารเกี่ยวกับกรณีการสร้างเมืองใหม่ที่ตำบลศรีสุมังของพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร จึงอพยพครอบครัวไพร่พลมาอยู่ที่บริเวณดอนมดแดง (ริมฝั่งซ้ายแม่น้ำมูล ห่างจากที่ตั้งศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ไปทางทิศตะวันออกระยะทางประมาณ ๑๖ กิโลเมตร) และได้แต่งตั้งให้ท้าวเพี้ยคุมเครื่องราชบรรณาการไปถึงเจ้าเมืองนครราชสีมา ขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของราชอาณาจักรสยามเพื่อหามิตรประเทศเพราะมีศัตรูอยู่รอบด้าน ทางเหนือก็พระเจ้าสิริบุญสารแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต ทางใต้ก็พระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารแห่งเมืองนครจำปาศักดิ์ ประกอบกับยังไม่มีกองกำลังที่เข้มแข็งพอที่จะต่อสู้กับข้าศึกศัตรูได้ในยามที่ถูกศัตรูรุกราน แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็มิได้ทรงดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้แต่ประการใด คงเนื่องด้วยเพราะกำลังติดพันกับศึกพม่าและอีกประการหนึ่งในช่วงระยะเวลานั้น ดินแดนที่ราบสูงเลยเมืองนครราชสีมาขึ้นไปนั้น เป็นอาณาเขตของกรุงศรีสัตนาคนหุต ซึ่งพระเจ้าสิริบุญสาร และพระเจ้าตากสินมหาราชได้เคยทำสัญญาทางพระราชไมตรีกันไว้ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๙ (จ.ศ. ๑๑๓๘ ปีวอก อัฐศก) พระเจ้าสิริบุญสารทราบข่าวการทะเลาะวิวาทระหว่างพระวอกับพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร พระวออพยพครอบครัวไพร่พล มาอยู่ที่ดอนมดแดง พระองค์จึงแต่งตั้งให้พระยาสุโพคุมกำลังกองทัพไปรุกรานพระวออีกครั้งหนึ่ง พระวอเห็นว่ากำลังของตนมีน้อยคงไม่สามารถจะต้านทานไว้ได้ จึงอพยพครอบครัวไพร่พลกลับไปอยู่ที่เวียงดอน-กองตามเดิม พร้อมกับขอกำลังกองทัพจากพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เมืองจำปาศักดิ์มาช่วยเหลือ แต่เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ไม่ยอมให้เพราะความบาดหมางใจกันเมื่อหลายปีก่อนผลที่สุดกองกำลังของ พระวอจึงพ่ายแพ้ พระวอถูกจับได้และถูกประหารชีวิตที่เวียงดอนกองนั้นเอง ส่วนท้าวคำผง ท้าวฝ่าย-หน้า ท้าวทิดพรหม บุตรพระตา และท้าวก่ำ บุตรพระวอจึงได้พาครอบครัวไพร่พลหนีออกจากวงล้อมของกองทัพกรุงศรีสัตนาคนหุต และได้นำใบบอกแจ้งความไปยังเมืองนครราชสีมา เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชขอกำลังกองทัพมาช่วย แต่ทางกรุงธนบุรีก็มิได้ดำเนินการเป็นประการใด ต่อมา พ.ศ. ๒๓๒๑ (จ.ศ. ๑๑๔๐ สัมฤทธิศก) สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงโปรด-เกล้าฯ ให้สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยา-มหากษัตริย์ศึก) และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์) นำทัพขึ้นไปปราบพระยาสุโพที่เวียงดอนกองแขวงเมืองนครจำปาศักดิ์ เมื่อพระยาสุโพทราบข่าวจึงรีบยกทัพกลับกรุงศรีสัตนาคนหุต ขณะเดียวกันพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เกรงว่าจะไม่สามารถที่จะต้านทานกองทัพไทยไว้ได้ จึงอพยพครอบครัวไพร่พลหนีไปอยู่ที่เกาะไชยในที่สุดกองทัพไทยตีได้นคร-จำปาศักดิ์ และตามจับพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารไว้ได้ หลังจากนั้นกองทัพไทยก็ตีได้เมืองนครพนม หนองคาย และเข้าล้อมเมืองเวียงจันทน์ไว้ พระเจ้าสิริบุญสารหนีไปอาศัยอยู่ที่เมืองคำเกิด กองทัพไทยก็ยึดเมืองเวียงจันทน์ไว้ได้และให้พระยา-สุโพเป็นผู้รั้งเมือง แล้วนำตัวพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารพร้อมทั้งอัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางที่อยู่เมืองเวียงจันทน์มายังกรุงธนบุรี ต่อมาอีกไม่นานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารกลับไปครองเมืองนครจำปาศักดิ์ตามเดิม ดังนั้นเมืองนคร-จำปาศักดิ์จึงกลายเป็นเมืองประเทศราชของไทยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ท้าวคำผง บุตรพระตา ได้สมรสกับนางตุ่ย บุตรีของเจ้าอุปราชธรรมเทโว (อนุชาของพระ-เจ้าองค์หลวงไชยกุมาร) พระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารกับท้าวคำผง จึงมีความเกี่ยวดองในฐานะเป็นเขย และเป็นผู้ที่มีครอบครัวไพร่พลมาก จึงให้เป็นพระประทุมสุรราชนายกองใหญ่ ควบคุมครอบครัวตัวเองขึ้นตรงต่อเมืองนครจำปาศักดิ์ โดยให้ตั้งมั่นอยู่เวียงดอนกองนั้นเอง ตั้งแต่ในราวปี พ.ศ. ๒๓๒๒-๒๓๒๓ และอยู่ที่เดิมต่อมาจนสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองอุบลราชธานียังคงเป็นเพียงชุมชนที่กลุ่มชนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เวียงดอนกองเท่านั้น ยังมิได้มีการสถาปนาขึ้นเป็นเมืองอุบลราชธานีอย่างเป็นทางการจนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แต่ก็จะมีผู้คนอาศัยอยู่ประปรายบ้างแล้ว ๒. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๔๑๑) การตั้งเมืองอุบลราชธานีและเมืองใกล้เคียง ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระ-พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานีนั้น พระประทุมวรราชสุริยวงศ์เจ้าเมืองอุบลราชธานีคนแรก พร้อมด้วยครอบครัวไพร่พลยังคงตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เวียงดอนกอง แขวงเมืองนครจำปาศักดิ์ แต่ด้วยเหตุว่าตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๑๐ ที่กรุงศรีอยุธยาต้องพ่ายแพ้แก่พม่าเป็นต้นมาตลอดสมัยกรุงธนบุรี บ้านเมืองต้องตกอยู่ในภาวะสงครามโดยตลอด ทำให้ไพร่บ้านพลเมืองต้องได้รับความเดือดร้อนและหลบหนีภัยสงครามไปอาศัยอยู่ตามป่าเขากระจัดกระจายอยู่ทั่ว ๆ ไปนั้น พระ-บาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงมีพระราชประสงค์ที่จะรวบรวมพลเมืองเพื่อเป็นกำลังของประเทศ จึงมีพระบรมราโชบายให้เจ้าเมืองหรือบุคคลสำคัญในกลุ่มชนต่าง ๆ ออกไปเกลี้ยกล่อมผู้คนที่หลบหนีภัยสงคราม ที่ได้กระจัดกระจายอยู่ตามป่าเขา ให้มารวมกันอยู่เป็นกลุ่มก้อนโดยที่ทรงมีพระราชกำหนดว่าหากเจ้าเมืองใดหรือบุคคลใดสามารถรวบรวมไพร่พลได้มาก จนเมืองที่ตนปกครองมีความมั่นคงขึ้นหรือสามารถนำครอบครัวไพร่พลไปตั้งเมืองเป็นปึกแผ่นมั่นคงใหม่ได้ ก็จะได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง ซึ่งเจ้าเมืองก็จะสามารถเรียกเก็บทรัพย์เศษส่วนและได้ผู้คนไพร่พลไว้ใช้สอยมากขึ้น ดังนั้นจึงมีผู้รวบรวมไพร่พลตั้งหลักแหล่งมั่นคง จนได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งขึ้นเป็นเมือง และผู้รวบรวมได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นจำนวนมาก ดังที่ปรากฏว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งเมืองขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้ว ใน พ.ศ. ๒๓๒๙ พระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) จึงได้พาครอบครัวไพร่พลจากเวียงดอนกองมาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่ ณ บริเวณห้วยแจระแม (ปัจจุบันคือบริเวณบ้านท่าบ่อ) อันเป็นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำมูล ได้อาศัยอยู่ ณ บริเวณห้วยแจระแมด้วยความปกติสุขมาเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๓๓๔ อ้ายเชียงแก้วผู้อาศัยอยู่ ณ ตำบลเขาโอง แขวงเมืองโขง (ปัจจุบันอยู่ในดินแดนของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ มีผู้คนนับถือเป็นจำนวนมาก ประกอบกับในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์กำลังป่วยหนักอยู่ อ้ายเชียงแก้วเห็นเป็นโอกาสดีจึงคิดกบฏ ยกกองกำลังเข้าล้อมเมืองนครจำปาศักดิ์ พระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารไม่คิดต่อสู้อาการป่วยก็ยิ่งทรุดลงและถึงแก่พิราลัยในที่สุด อ้ายเชียงแก้วจึงเข้ายึดเมืองนครจำปาศักดิ์ได้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงทราบข่าวกบฏอ้ายเชียงแก้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) เมื่อครั้งเป็นพระยาพรหมภักดียกกระบัตรเมืองนครราชสีมายกกองทัพไปปราบอ้ายเชียงแก้ว ขณะที่กองทัพเมืองนครราชสีมาไปยังไม่ถึงนั้น พระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) และท้าวฝ่ายหน้าผู้น้อง ซึ่งตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่ที่บริเวณบ้านสิงทา (บริเวณอำเภอเมืองยโสธรในปัจจุบัน) ได้นำกองกำลังไปปราบอ้ายเชียงแก้วอยู่ก่อนแล้ว มีการต่อสู้กันหลายครั้ง มีการรบครั้งใหญ่ที่บริเวณแก่งตะนะ (อยู่ในท้องที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน) กองกำลังของฝ่ายอ้ายเชียงแก้วแตกพ่ายไป อ้ายเชียงแก้วถูกจับได้ และถูกประหารชีวิต เมื่อกองทัพเมืองนครราชสีมาไปถึงเมืองนครจำปาศักดิ์ เหตุการณ์สงบเรียบร้อยแล้ว จึงยกกองทัพไปปราบปรามพวกข่า ชาติกระเสง สวาง จะรวย ระแดร์) ที่ตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ฝั่งตะวันออกของลำน้ำโขง และสามารถจับพวกข่าเป็นเชลยได้เป็นจำนวนมาก ด้วยความสามารถในการนำทัพของพระปทุมฯ (ท้าวคำผง) และท้าวฝ่ายหน้าผู้น้อง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท้าวฝ่ายหน้าเป็นเจ้าพระ-วิไชยราชขัตติยวงศาครองเมืองนครจำปาศักดิ์ พระปทุมสุรราชเป็นพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ครองเมืองอุบลราชธานี พร้อมกันนั้นก็โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านแจระแมขึ้นเป็นเมืองอุบลราชธานี ตามนามพระประทุมฯ ขึ้นต่อกรุงเทพฯ (คงเป็นทำนองเดียวกับบ้านคูปะทายสมัน ที่เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองสุรินทร์ ตามนามของหลวงสุรินทร์ภักดีเจ้าเมืองนั่นเอง) เมื่อวันจันทร์แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๘ จุลศักราช ๑๑๕๔ (พ.ศ. ๒๓๓๕) ดังปรากฏในจดหมายเหตุทรงตั้งเจ้าประเทศราช สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นความว่า ด้วยพระบาทสมเดจ์พระพุทเจ้าอยู่หัวผู้พานพิภพกรุงเทพพระมหาณครศรีอยุทธยา มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ตั้งให้พระประทุมเปนพระประทุมววรราชสุริยวงษ ครองเมืองอุบล-ราชธานีศรีวะนาไล ประเทษราชเศกให้ ณ วัน ๒ฯ๘ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๕๔ ปีชวด จัตวาศก (๑) ๑๓ อย่างไรก็ดี แม้ว่าในจดหมายเหตุกำหนดให้เมืองอุบลราชธานี มีฐานะเป็นเมืองประเทศ-ราชก็ตาม แต่ในกฏมณเฑียรบาลที่กล่าวถึงรายชื่อเมืองประเทศราชในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธ-ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ไม่ปรากฏชื่อเมืองอุบลราชธานีเป็นเมืองประเทศราชไว้ด้วยและในทางปฏิบ้ติแล้ว ไม่ปรากฏว่าเจ้าเมืองอุบลราชธานีต้องส่งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองถวาย เพื่อแสดงความจงรักภักดีปีละครั้ง หรือสามปีต่อครั้งเฉกเช่นเจ้าประเทศราชทั่วไปแต่อย่างใด คงเพียงแต่ให้ส่งส่วยปีละครั้ง ตามที่กำหนดไว้ คือ ส่วยผึ้ง ๒ เลขต่อเบี้ย น้ำรัก ๒ ขวดต่อเบี้ยป่าน ๒ เลขต่อขวด (๒) หลังจากที่พระประทุมวรราชสุริวงศ์ได้รับแต่งตั้งครองเมืองอุบลราชธานี แล้วไม่นานและเนื่องด้วยความเหมาะสมตามสภาพภูมิศาสตร์ จึงย้ายครอบครัวไพร่พลไปตั้งเมืองใหม่ในบริเวณริมฝั่งแม่น้ำมูลที่เรียกกันว่า ดงอู่ผึ้ง อันเป็นที่ตั้งเมืองอุบลราชธานี ในปัจจุบันพร้อมทั้งสร้าง วัดหลวง ขึ้นเป็นวัดคู่เมืองดังที่ปรากฏจนถึงปัจจุบัน อาณาเขตของเมืองอุบลราชธานี เมื่อแรกตั้งปรากฏในพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสานว่า ทิศเหนือถึงน้ำยังตกลำน้ำพาชีไปยอดบังอี่ ตามลำบังอี่ไปถึงแก่งตนะ ไปภูจอกอ ไปช่องนาง ไปยอด ห้วยอะลีอะลองตัดไปดงเปื่อยไปสระดอกเกศ ไปตามลำกะยุงตกลำน้ำมูลปันให้เมืองสุวรรณภูมิ ฝ่ายเหนือหินสิลาเลข หนองกองแก้วตีนภูเขียว ทางใต้ปากเสียวตกลำน้ำมูล ยอดห้วยกากวากเกี่ยวชีปันให้เมืองขุขันธ์ แต่ปกห้วยทัพทันตกมูลภูเขาวงก์ (๓) จากอาณาเขตเมืองอุบลราชธานีที่ปรากฏ ก็พอจะเห็นได้ว่า การแบ่งอาณาเขตเมืองในสมัยก่อนนั้นใช้เส้นเขตแดนธรรมชาติเช่นภูเขา แม่น้ำ ลำห้วย เป็นเกณฑ์ และอาณาเขตของเมืองอุบลราชธานีในระยะแรกตั้งนั้นก็ไม่แตกต่างไปจากอาณาเขตของจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบันมากนัก จากนั้นเป็นต้นมาถึง พ.ศ. ๒๔๒๘ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว-พระบรมราโชบายในการตั้งเมืองเป็นไปในทำนองเดียวกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา-โลกมหาราช ดังที่ปรากฏว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าว มีการจัดตั้งเมืองขึ้นเป็นจำนวนมาก และขั้นตอนในการจัดตั้งเมืองนั้นก็ไม่สลับซับซ้อนนัก เพียงแต่ให้ผู้ที่มีความประสงค์จะตั้งเมืองขึ้นใหม่ รวบรวมผู้คนให้ได้จำนวนพอควรพร้อมทั้งเลือกหาทำเลที่ตั้งเมืองให้เหมาะสม แล้วให้เจ้าเมืองใหญ่ที่ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ทำหนังสือแจ้งความจำนงไปยังสมุหมหาดไทย ผู้ปกครองดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวง เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต ซึ่งส่วนมากก็จะได้รับพระบรมราชานุญาตดัง-ประสงค์ ในช่วงนี้ ในอาณาบริเวณเมืองอุบลราชธานี (อาณาเขตจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน) มีการตั้งเมืองขึ้นใหม่เป็นจำนวน ๑๖ เมือง เรียงตามลำดับดังนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านสิงทาเป็นเมืองยโสธร ตั้งบ้านโคกคงพะเบียงเป็นเมืองเขมราษฎร์ธานี (อำเภอเขมราฐในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๗ และตั้งบ้านนาค้อเป็นเมืองโขงเจียม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๔ โดยกำหนดให้เมืองยโสธร และเมืองเขมราฐ ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ส่วนเมืองโขงเจียมขึ้นตรงต่อเมืองนครจำปาศักดิ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านช่องนางเป็นเมืองเสนางค-นิคม ตั้งบ้านน้ำโดมใหญ่เป็นเมืองเดชอุดม ตั้งบ้านคำเมืองแก้วเป็นเมืองคำเขื่อนแก้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๘ และตั้งบ้านดงกระชุเป็นเมืองบัว (บุณฑริก) ใน พ.ศ. ๒๓๙๐ โดยกำหนดให้เมืองเสนางนิคมขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี เมืองเดชอุดมขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เมืองคำเขื่อนแก้ว ให้ขึ้นตรงต่อเมืองเขมราฐ ส่วนเมืองบัวให้ขึ้นต่อเมืองนครจำปาศักดิ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านค้อใหญ่เป็นเมืองอำนาจเจริญ ใน พ.ศ. ๒๔๐๑ และตั้งบ้านกว้างลำชะโดเป็นเมืองพิบูลมังสาหาร ตั้งบ้านสะพือเป็นเมืองตระการพืชผล ตั้งบ้านเวินไชยเป็นเมืองมหาชนะไชย ใน พ.ศ. ๒๔๐๖ โดยกำหนดให้เมืองอำนาจเจริญ ขึ้นตรงต่อเมืองเขมราฐ ส่วนเมืองพิบูลมังสาหาร เมืองตระการพืชผล เมืองมหาชนะไชย ให้ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านท่ายักขุเป็นเมืองชาณุมารมณฑล ตั้งบ้านเผลาเป็นเมืองพนานิคม ใน พ.ศ. ๒๔๒๒ โดยกำหนดให้ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานีทั้งสองเมือง ตั้งบ้านนากอนจอเป็นเมืองวารินชำราบ ใน พ.ศ. ๒๔๒๓ ตั้งบ้านจันลา-นาโดมเป็นเมืองโดมประดิษฐ์ ใน พ.ศ. ๒๔๒๔ และตั้งบ้านทีเป็นเมืองเกษมสีมา ใน พ.ศ. ๒๔๒๕ โดยกำหนดให้เมืองวารินชำราบและเมืองโดมประดิษฐ์ขึ้นตรงต่อเมืองนครจำปาศักดิ์ ส่วนเมืองเกษมสีมาให้ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี กล่าวโดยสรุปในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน (และบางส่วนของจังหวัดยโสธรที่เคยขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานี ก่อน พ.ศ. ๒๕๑๕) ได้มีการตั้งเมืองขึ้นทั้งหมด ๑๗ เมือง เป็นเมืองใหญ่ที่ขึ้นต่อกรุงเทพฯ ๔ เมือง คือ เมืองอุบลราชธานี เมืองยโสธร เมืองเขมราฐ และเมืองเดชอุดม นอกนั้นก็เป็นเมืองเล็ก ๆ เทียบได้กับเมืองจัตวาที่ขึ้นกับเมืองใหญ่ ๆ เหล่านี้อีก ๑๓ เมือง กล่าวคือ เมืองคำเขื่อนแก้ว เมืองอำนาจเจริญขึ้นตรงต่อเมืองเขมราฐ เมืองเสนางคนิคม เมืองพิบูลมังสาหาร เมืองตระการพืชผล เมืองมหาชนะไชย เมืองชาณุมารมณทล เมืองพนานิคม เมืองเกษมสีมา ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี และเมืองโขงเจียม เมืองบัว (บุณฑริก) เมืองวารินชำราบ เมืองโดมประดิษฐ์ ขึ้นตรงต่อเมืองนครจำปาศักดิ์ เกี่ยวกับการตั้งเมืองดังที่กล่าวมาแล้วมีข้อสังเกตได้หลายประการ กล่าวคือ ประการแรกอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะได้รับการยกฐานะให้เป็นเมืองมาแล้วตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประการที่สอง การจัดการปกครองดูแลเมืองใดขึ้นกับเมืองใดนั้นไม่เป็นระบบที่แน่นอนหรือตายตัวเท่าใดนัก และไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมตามสภาพภูมิศาสตร์ เช่น กำหนดให้เมืองเสนางคนิคมขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี เมืองอำนาจเจริญขึ้นตรงต่อเมืองเขมราฐ หรือที่กำหนดให้พิบูลมังสาหารขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี ส่วนเมืองวารินชำราบขึ้นตรงต่อเมืองนครจำปาศักดิ์ เป็นต้น ทั้งนี้คงเป็นเพราะการคมนาคมไม่สะดวกยากลำบาก จึงไม่สามารถนำเอาเรื่องการคมนาคมมาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดว่าเมืองใดควรจะขึ้นกับเมืองใดได้ จึงเพียงแต่คำนึงถึงว่าเจ้าเมืองที่จะตั้งขึ้นใหม่เคยสังกัดอยู่กับเมืองใด เมื่ออพยพครอบครัวไพล่พลไปตั้งเมืองขึ้นใหม่ ก็จะขอขึ้นกับเมืองเดิม ทั้งนี้คงเพื่อความสะดวกในการส่งส่วยสาอากร หรือไม่ก็คำนึงถึงลำดับเครือญาติของแต่ละเมืองเป็นสำคัญ การจัดระบบการปกครองภายใน การจัดการปกครองในส่วนภูมิภาคหรือการปกครองดูแลหัวเมืองต่าง ๆ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้แบ่งความรับผิดชอบไว้ ดังนี้ คือ สมุหพระกลาโหม ดูแลบ้านเมืองปักษ์ใต้และตะวันตก สมุหนายก ดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ กรมท่า ปกครองดูแลหัวเมืองชายทะเล ส่วนใหญ่เป็นหัวเมืองชายทะเลด้านตะวันออกที่มีเรือไปมาค้าขาย มาก ๆ สำหรับเมืองอุบลราชธานี เมืองขึ้น และเมืองใกล้เคียงอยู่ในความปกครองดูแลของสมุหนายก เมืองต่าง ๆ ตามเมืองหรือส่วนภูมิภาคโดยทั่วไป มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองสูงสุด ทำหน้าที่ปกครองดูแลให้ไพร่บ้านพลเมืองมีความร่มเย็นเป็นสุขต่างพระเนตรพระกรรณ อีกทั้งคอยกราบบังคมทูลรายงานสภาพและเหตุการณ์ในหัวเมืองที่ตนปกครอง เจ้าเมืองทำหน้าที่ทั้งผู้ปกครอง หัวหน้าผู้พิพากษา เป็นแม่ทัพในเวลาที่มีสงคราม ฯลฯ นอกจากตำแหน่งเจ้าเมืองแล้วก็ยังมีตำแหน่งผู้ปกครองหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเมืองต่าง ๆ โดยทั่วไป คือมีปลัดเมืองมหาดไทย ยกกระบัตรเมือง ฯลฯ อย่างไรก็ดี ตำแหน่งผู้ปกครองเมืองในส่วนภูมิภาคตามหลักการดังกล่าว มิได้หมายรวมถึงเมืองอุบลราชธานี เมืองขึ้นหรือเมืองใกล้เคียงในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้เพราะตำแหน่งผู้ปกครองเมืองอุบลราชธานี เมืองใกล้เคียง ในดินแดนภาคอีสานจะมีลักษณะที่แปลกและแตกต่างไปจากตำแหน่งผู้ปกครองเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคอื่น ๆ กล่าวคือ มิได้มีตำแหน่งเจ้าเมือง ปลัดเมืองยกกระบัตรเมืองเหมือนเช่นเมืองโดยทั่วไป แต่มีการจัดโครงสร้างระบบการปกครองภายในที่ถือธรรมเนียมการปกครองภายในมาจากประเทศลาวในสมัยนั้น โดยจัดแบ่งระดับตำแหน่งการปกครองภายในออกเป็น ๕ ระดับ แต่ละระดับก็มีหลายตำแหน่งด้วยกัน คือ ก. ตำแหน่งอาญาสี่หรืออาชญาสี่ เป็นคณะผู้ปกครองสูงสุดของแต่ละเมือง มีอยู่ ๔ ตำแหน่ง คือ ๑. เจ้าเมือง เป็นผู้ปกครองสูงสุดทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของพลเมือง มีอำนาจสิทธิขาด ในการบังคับบัญชาสั่งการโดยทั่วไปยกเว้นอำนาจสิทธิขาดในการบางอย่าง เช่น การตัดสินประหารชีวิตโจรผู้ร้ายในคดีอุกฉกรรจ์ (นอกจากเวลาที่มีศึกสงคราม) เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนเมือง เรื่องการสงครามหรือการแต่งตั้งกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ เช่น อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร แต่มีอำนาจแต่งตั้งกรมการระดับรองลงมา ตั้งแต่เมืองแสน เมืองจันทร์ลงไปจนถึงจ่าบ้าน หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:41:03 อุบลราชธานี ๒
๒. อุปฮาด มีอำนาจหน้าที่แทนเจ้าเมืองได้ทุกอย่าง ขณะที่เจ้าเมืองไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ส่วนหน้าที่โดยตรงก็คือ รวบรวมสำมะโนครัว ตัวเลข จัดทำรวบรวมบัญชีส่วย อากร เร่งรัด การจัดเก็บส่วยในแต่ละปี พร้อมทั้งจัดส่งส่วยสาอากรให้เมืองราชธานีให้ทันตามกำหนด ตลอดจนการเกณฑ์ไพร่ พลเมืองไปทำสงคราม ๓. ราชวงศ์ ยามที่บ้านเมืองเป็นปกติสุข ราชวงศ์ จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเจ้าเมืองและอุปฮาด และผลัดเปลี่ยนกับราชบุตรในการนำเงินส่วยและสิ่งของส่วยส่งเมืองราชธานี ตลอดจนรวบรวมบัญชีไพร่บ้านพลเมืองที่เป็นชายฉกรรจ์ที่ควรจะจัดเข้าเป็นพลทหารสำหรับเมืองนั้น ๆ ในยามสงครามราชวงศ์ทำหน้าที่เป็นแม่ทัพที่สำคัญควบคุมไพร่พลออกทำการศึกหรืออาจทำหน้าที่เกณฑ์ไพร่พล จัดหาเสบียงอาหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มเติม ๔. ราชบุตร มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับราชวงศ์ กล่าวคือ ทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกับราชวงศ์ ทั้งในการส่งส่วยของหลวง การสงครามอื่น ๆ เป็นต้นว่า ถ้าราชวงศ์เป็นผู้ควบคุมกำลังไพร่พลออกไปทำสงคราม ราชบุตรก็จะทำหน้าที่เกณฑ์ไพร่พลจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ และเสบียงอาหารเพิ่มเติม ในคณะอาชญาสี่หรืออาญาสี่ของแต่ละเมือง จะจัดตำแหน่งการปกครองและการควบคุมออกเป็น ๔ กอง คือ กองเจ้าเมือง กองอุปฮาด กองราชวงศ์ กองราชบุตร โดยให้ราษฎรเลือกขึ้นทะเบียนไพร่พลในกองใดกองหนึ่งตามความสมัครใจ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในการปกครองควบคุมดูแลเป็นอย่างมากเพราะแต่ละกองต่างก็มุ่งหาไพร่พลมาขึ้นสังกัดกองของตนให้มากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงภูมิลำเนาที่ไพร่บ้านพลเมืองอาศัยอยู่ เมื่อถึงเวลาเก็บส่วยสาอากรจึงเกิดความสับสน เพราะไม่ทราบชัดเจนว่าไพร่ที่อาศัยอยู่เขตพื้นที่ใด ขึ้นสังกัดกับกองใด เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มดำเนินการปฏิรูปการปกครองในระยะแรก จึงได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาแก้ไขก่อนปัญหาอื่น ๆ ตำแหน่งอาชญาสี่หรืออาญาสี่นี้นับเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญมาก เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองขึ้นใหม่ก็โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอาญาสี่พร้อมกันไป หรือเมื่อตำแหน่งใดว่างลง ก็จะโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เหมาะสม เช่น กรณี ตั้งเมืองยโสธร ใน พ.ศ. ๒๓๕๗ ก็โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ราชวงศ์ (สิง) เมืองโขงเป็นที่พระสุนทรราชวงษา เจ้าเมือง ให้ท้าวสีชา (หรือสีกา) เป็นอุปฮาด ให้ท้าวบุตร เป็นราชวงศ์ให้ท้าวสนเป็นราชบุตร และในกรณีเจ้าเมืองอุบลราชธานีว่างลง เมื่อมีการแต่งตั้งเจ้าเมืองอุบลราชธานี คนที่ ๓ ใน พ.ศ. ๒๓๘๘ นอกจากโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้อุปฮาด (กุทอง) เป็นพระพรหม-ราชวงศาเจ้าเมืองแล้ว ก็โปรดเกล้าฯ ให้ราชวงศ์ เป็นอุปฮาดให้ท้าวโพธิสาร หลานพระพรหมราชวงศา-(กุทอง) เป็นราชวงศ์ และให้ท้าวสุริย บุตรพระพรหมราชวงศา (กุทอง) เป็นราชบุตร พร้อม ๆ กันไปด้วย ส่วนการแต่งตั้งเจ้าเมืองเล็ก ๆ ที่ขึ้นกับเมืองใหญ่นั้นเจ้าเมืองใหญ่ที่ทำหน้าที่ปกครองดูแลเมืองเหล่านั้นจะเป็นผู้ทำหนังสือขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอตั้งเจ้าเมือง และแต่งตั้งอุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร พร้อมกันด้วย ดังจะเห็นได้จากเมื่อเจ้าเมืองโขงเจียมถึงแก่กรรมใน พ.ศ. ๒๔๐๒ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตรเมืองเขมราฐ ได้ประชุมปรึกษาหารือกับท้าวเพียกรมการเมืองโขงเจียม หาผู้ที่มีความเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าเมืองคนต่อไปแล้วรายงานต่อสมุหนายก เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูล และทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ตำแหน่งอาญาสี่สำหรับเมืองเล็ก ๆ เทียบได้กับเมืองจัตวา ที่มิได้ขึ้นกับกรุงเทพฯ โดยตรง หากขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี เมืองเขมราฐ อันเป็นเมืองที่ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ แล้วตำแหน่งอาญาสี่ก็จะเรียกเป็นเจ้าเมือง อัครฮาด อัครวงศ์ อัครบุตร ดังเช่น อาญาสี่เมืองเสนางคนิคมเป็นต้น ข. ตำแหน่งผู้ช่วยอาชญาสี่หรือผู้ช่วยอาญาสี่ มีหน้าที่เกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีต่าง ๆ ตลอดจนควบคุมดูแล การปฏิบัติงานในแผนกการต่าง ๆ แทนอาญาสี่ตามความเหมาะสม มีอยู่ ๔ ตำแหน่งด้วยกันคือ ๑. ท้าวสุริย หรือท้าวขัตติยะ ๒. ท้าวสุริโย ๓. ท้าวโพธิสาร ๔ ..ท้าวสุทธิสาร ค. ตำแหน่งขื่อบ้านขางเมือง เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญ รองลงมาจากคณะผู้ช่วยอาญาสี่ มี ๑๗ ตำแหน่ง คือ ๑. เมืองแสน ทำหน้าที่กำกับการฝ่ายทหาร ๒. เมืองจันทร์ ทำหน้าที่กำกับการฝ่ายพลเรือน นอกจากหน้าที่ดังกล่าวนี้แล้ว เมืองแสน เมืองจันทร์ ยังมีหน้าที่ ต้องรับผิดชอบร่วมกัน คือ ออกหนังสือเดินทางแก่ราษฎรที่จะเดินทางไปมาค้าขายยังเขตแขวงต่าง ๆ จัดทำรายงานและใบบอกเกี่ยวกับราชการทั่ว ๆ ไปที่จะต้องส่งไปยังเมืองหลวง เป็นตุลาการในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของราษฎรโดยทั่ว ๆ ไป ดูแลจัดแจง ว่ากล่าว ท้าวฝ่าย ตาแสง และจ่าบ้าน ให้ดูแลทุกข์สุขของราษฎรให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่กดขี่ข่มเหง รังแกซึ่งกันและกัน ตลอดจนการติดตามจับกุมโจรผู้ร้ายที่เกิดขึ้นในเมืองนั้น ๆ ด้วย ๓. เมืองขวา เมืองซ้าย เมืองกลาง ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาการเกี่ยวกับนักโทษในเมือง เป็นต้นว่า รักษาบัญชีนักโทษ ดูแลนักโทษ ปล่อยหรือขังนักโทษ จัดทำที่ขังหรือซ่อมแซมที่กักขังนักโทษ ตลอดจนดูแลวัดวาอาราม ที่ควรจะปฏิสังขรณ์ หรือก่อสร้างขึ้นใหม่ เป็นผู้กำกับการสัก-เลก และรักษาบัญชีเลกเขยสู่จากต่างเมืองด้วย ๔. เมืองคุก เมืองฮาม เมืองแพน ทำหน้าที่ควบคุมระวังนักโทษโดยเฉพาะไม่ให้นักโทษหนีไปได้ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับ พะทำมะรง หรือเรียกว่า พัสดี ในปัจจุบัน ๕. นาเหนือ นาใต้ ทำหน้าที่จัดหาเก็บเสบียงอาหารไว้ในยุ้งฉางของเมือง เพื่อใช้ในยามเกิดศึกสงคราม เป็นผู้ออกเดินเก็บส่วยในเขตเมืองของตนหรือ ออกไปเก็บเงินส่วยจากไพร่พลที่อพยพไปมีบุตรภรรยาอยู่ที่เมืองอื่น โดยมีภูมิลำเนาเดิมอยู่แล้วหรืออาจจะยังไม่มีภูมิลำเนาก็ตาม ต้องถือว่าเป็นเลกเขยสู่ ซึ่งเรียกกันว่า การเดินทุ่ง มารวมส่งที่เมืองที่ตนสังกัดอยู่เดิม นอกจากนี้ยังทำหน้าที่สำรวจสำมะโนครัวในเมืองของตน โดยกำหนดประมาณ ๓ ปีต่อครั้ง เป็นผู้ควบคุมดูแลรักษาสัตว์พาหนะ เป็นผู้ลงบัญชีจำหน่าย เลก ในกรณีสูญหาย ตาย พิการหรืออุปสมบทเป็นต้น ๖. ซาเนตร ซานนท์ สองตำแหน่งนี้เป็นเสมียนของเมือง ถ้าจะเปรียบเทียบกับปัจจุบันคล้ายกับ เสมียนตราจังหวัด ๗. ซาบัณฑิต ทำหน้าที่เกี่ยวกับการอ่านท้องตราที่ส่งมาจากเมืองใหญ่อ่านประกาศของเจ้าเมืองหรือกรมการเมืองผู้ใหญ่ในเวลาที่มีการประชุม ณ ศาลากลางเมือง เช่น อ่านประกาศ แช่งน้ำในพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ประกาศตั้งชื่อกรมการเมืองชั้นผู้น้อยที่เจ้าเมืองอุปฮาด ราชวงศ์ได้แต่งตั้งขึ้น เป็นผู้รวบรวมรายงานกิจต่าง ๆ ของเมือง และคำนวณศักราช วันเดือน ปีในแต่ละปี เช่น การประกาศสงกรานต์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่รักษาห้องสมุดแต่งตำราต่าง ๆ ของเมืองอีกด้วย ๘. มหาเสนา มหามนตรี เป็นหัวหน้าซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการออกคำสั่งนัดประชุมหารือข้อราชการ หรือการกำหนดการทำพิธีต่าง ๆ ของเมือง ๙. กรมเมือง ทำหน้าที่รักษาประเพณีของเมือง ๑๐. สุโพ (บางทีเขียนเป็นสุโภ-ผู้เขียน) เป็นแม่ทัพของเมือง อันเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายทหาร ถ้าเป็นเมืองใหญ่จะมียศพระยานำหน้า เช่น พญาสุโพหรือพระยาสุโพ ตำแหน่ง ขื่อบ้าน ขางเมือง ตั้งแต่เมืองแสน เมืองจันทร์ ลงไปจนถึงสุโพ ถ้าหากเป็นเมืองเอกราชหรือเมืองที่มีพระมหากษัตริย์ปกครอง ก็เรียกว่า พญาหรือพระยา ทั้งสิ้น เช่น พระยาเมืองแสน พระยาเมืองจันทร์ หรือพระยาสุโพ เป็นต้น หากเป็นหัวเมือง เอก โท ตรี จัตวา ตำแหน่งเหล่านี้ก็ใช้คำว่า เพียหรือเพี้ยนำหน้าเสมอเช่น เพียเมืองแสน เพียเมืองจันทร์ เพียเมืองขวา เป็นต้น ง. ตำแหน่งพิเศษ นอกจากตำแหน่งต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว ยังมีตำแหน่งพิเศษอีกหลายตำแหน่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นตามความจำเป็น เช่น ๑. เพียซาโนชิต ซาภูธร ราชต่างใจ คำมงคุณ เป็นผู้มีหน้าที่ใกล้ชิดกับเจ้าเมืองซึ่งอาจจะเปรียบได้กับองครักษ์หรือคนสนิท ๒. เพียซาบรรทม เป็นผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดที่นอนของเจ้าเมือง ๓. เพียซาตีนแท่นแล่นตีนเมือง เป็นพนักงานติดตามเจ้าเมือง ๔. เพียซาหลาบคำ มีหน้าที่เชิญพระแสง หรือดาบของเจ้าเมือง (น่าจะเป็นซาดาบคำ-ผู้เขียน) ๕. เพียซามณเฑียร มีหน้าที่รักษาพระราชฐาน วัง หรือปราสาทของเจ้าเมือง ๖. เพียซาบุฮม มีหน้าที่เกี่ยวกับกั้นกลดหรือพัดจามรให้แก่เจ้าเมือง ๗. เพียซามาตย์อาชาไนย มีหน้าที่เกี่ยวกับการช่างการก่อสร้างหรือวิศวกรรม ๘. เพียแขกขวาเพียแขกซ้าย มีหน้าที่เกี่ยวกับการรับแขกเมือง ๙. เพียศรีสุนนท์ เพียศรีสุธรรม เพียศรีบุญเฮือง เพียศรีอัครฮาด และเพียศรี-อัครวงศ์ มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาและการพระศาสนาของเมือง จ. ตำแหน่งผู้ปกครองระดับหมู่บ้าน มีอยู่ ๔ ตำแหน่ง ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับตำแหน่งการปกครองในปัจจุบัน ก็คือ ๑. ท้าวฝ่าย เทียบเท่ากับตำแหน่งนายอำเภอในปัจจุบัน ๒. ตาแสง เทียบได้กับตำแหน่งกำนันในปัจจุบัน ๓. พ่อบ้านหรือนายบ้าน เทียบเท่ากับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านในปัจจุบัน ๔. จ่าบ้าน เทียบเท่ากับสารวัตรหมู่บ้านหรือสารวัตรประจำตำบลในปัจจุบัน การแบ่งแยกตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าว เห็นได้ว่าการจัดระบบการปกครองภายในเมืองอุบลราชธานีในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนพอสมควร การจำแนกหน้าที่อาจมีการซ้ำซ้อนกันบ้าง หากเป็นการร่วมกันรับผิดชอบในหน้าที่นั้น ๆ มากกว่าจะเป็นการแบ่งแยกหน้าที่กันอย่างเด็ดขาด ๓. การปฏิรูปการปกครองในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากที่ได้กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่า เมืองอุบลราชธานีมีบทบาทและมีความสำคัญต่อเมืองอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงเป็นอย่างมาก เพราะต้องควบคุมดูแลเมืองขึ้นโดยตรงถึง ๗ เมือง และรับผิด-ชอบ จัดรวมส่วยสาอากรที่เก็บได้จากเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ทั้งหมดแล้วจัดส่งไปยังกรุงเทพมหานครเป็นประจำทุกปี ส่วนระบบการปกครองนั้นจะมีคณะอาญาสี่ เป็นคณะผู้ปกครองสูงสุด และมีตำแหน่งผู้ปกครองระดับต่ำลงมาอีกหลายตำแหน่ง หลายระดับตามความเหมาะสม รูปแบบ ลักษณะหรือวิธีการจัดการปกครองดังกล่าว จะมีการดำเนินการสืบเนื่องต่อมาจนถึงสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอม-เกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓) เรียกได้ว่าเป็นยุคของการปฏิรูป (AGE OF REFORM) หรือยุคของการทำประเทศให้ทันสมัย (AGE OF MODERNIZATION) อย่างแท้จริง เพราะตลอดระยะเวลาอันยาวนานในรัชกาลของพระองค์ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจการหลายอย่าง จนปรากฏผลชัดเจนสมบูรณ์ เหมาะสมแก่กาลสมัยเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านการปกครอง การทหาร การศึกษา การคมนาคม ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิรูปการปกครองส่วนกลางจากแบบจตุสดมภ์ ที่เคยใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มาเป็นการจัดตั้งกระทรวงขึ้น ๑๒ กระทรวง มีเสนาบดีแต่ละกระทรวงเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกันนั้น นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงดังที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่-หัวทรงมีพระราชวิจารณ์ไว้ว่า ..การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากแบบเดิม เป็นตั้งกระทรวง ๑๒ กระทรวงนี้ต้องนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ซึ่งเรียกได้อย่างพูดกันตามธรรมดาว่า พลิกแผ่นดิน ถ้าจะใช้คำภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า REVOLUTION ไม่ใช่ EVOLUTION . ในส่วนภูมิภาค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นการปฏิรูปเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการปกครอง การทหาร การศึกษา การเก็บภาษีอากร ฯลฯ โดยเฉพาะบริเวณเมืองอุบลราชธานีและเมืองใกล้เคียงที่มีลักษณะการปกครองภายในที่แปลกและแตกต่างไปจากเมืองในภูมิภาคอื่น ๆ จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๒๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชอำนาจในการปกครองบ้านเมืองอย่างเต็ม ที่ ประกอบกับทรงเล็งเห็นปัญหา อุปสรรคในการจัดการปกครองภายในของเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะในบริเวณเมืองอุบลราชธานี เมืองใกล้เคียงที่อยู่ติดกับดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านที่ตกอยู่ใต้การปกครองของคนต่างชาติ อันอาจเกิดภัยอันตรายต่อชาติบ้านเมืองได้ ด้วยเหตุทั้งสองประการคือ ความบกพร่องของการจัดการปกครองภายใน และภัยที่จะถูกคุกคามจากต่างชาติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงดำเนินการปรับปรุงแก้ไขการจัดการปกครองหัวเมืองในภูมิภาคแถบนี้เป็นการเร่งด่วน กล่าวคือ ใน พ.ศ. ๒๔๒๕ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น ศรีเพ็ญ) เจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายเหนือเป็นข้าหลวง พร้อมด้วยข้าราชการหลายนายออกไปตั้งรักษาการหัวเมืองลาวตะวันออกอยู่ ณ เมืองนครจำปาศักดิ์และพร้อมกันนั้นก็โปรดเกล้าฯ ให้หลวงภักดีณรงค์ (ทัด ไกรฤกษ์) ปลัดบัญชีกระทรวงมหาดไทยไปดำรงตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการอยู่ ณ เมืองอุบลราชธานีอีกด้วย การดำเนินการเช่นนี้ นับว่าเป็นการขยายอำนาจการปกครองจากเมืองราชธานีคือกรุงเทพฯ ไปสู่หัวเมืองลาวภาคตะวันออกอย่างแท้จริง และรัดกุมยิ่งขึ้นและนับเป็นครั้งแรกที่เมืองราชธานีได้จัดส่งข้าหลวงจากส่วนกลางออกไปควบคุมดูแล กำกับราชการ ณ เมืองอุบลราชธานีทั้ง ๆ ที่เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร ซึ่งเป็นคณะผู้ปกครองสูงสุดของเมืองก็ยังคงทำหน้าที่ปกครองบ้านเมืองอยู่ตามปกติ ถึงแม้จะโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าหลวงออกไปกำกับราชการอยู่ ณ เมืองอุบลราชธานีและนครจำปาศักดิ์แล้วก็ตาม แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ยังไม่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในเหตุการณ์ชายพระราชอาณาเขตแถบนี้มากนัก ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำนุบำรุงเมืองต่าง ๆ ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพื่อความสงบสุขของชาติบ้านเมือง และเพื่อให้รอดพ้นจากภัยรุกรานของชนต่างชาติที่ขยายอำนาจใกล้เข้ามาทุกขณะ ดังจะเห็นได้จากการที่ฝรั่งเศส สามารถครอบครองเขมรได้ทั้งหมดใน พ.ศ. ๒๔๑๐ และสามารถยึดครองญวนได้ทั้งหมดใน พ.ศ. ๒๔๒๖ ด้วยเหตุดังกล่าว ใน พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดรูปแบบการปกครองหัวเมืองในภูมิภาคแถบนี้เสียใหม่ คือ แทนที่จะให้เมืองใหญ่และสำคัญบางเมืองขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ แล้วให้เมืองเล็ก ๆ เทียบได้กับเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อเมืองใหญ่ ดังที่ได้เคยดำเนินการมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มาเป็นการแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ออกเป็นกอง แล้วรวมเอาหัวเมืองเอก โท ตรี และจัตวา เข้าไว้ในกองเดียวกันตามความเหมาะสม ในแต่ละกองก็จะมีข้าหลวงกำกับราชการ ทำหน้าที่ปกครองดูแลชำระคดีความ เร่งรัดจัดเก็บเงินส่วย สิ่งของส่วยกองละ ๑ คน โดยมีข้าหลวงใหญ่กำกับราชการอยู่ที่เมืองนครจำปาศักดิ์อีก ๑ คน ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะได้ทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า มีความสงบเรียบร้อย และมีความใกล้ชิดกับเมืองราชธานีมากยิ่งขึ้น ในการรวบรวมเมืองต่าง ๆ เป็นกองหัวเมือง และให้มีข้าหลวงกำกับราชการกองละ ๑ คนนั้น มีผลให้เมืองต่าง ๆ ในภาคอีสานถูกจัดแบ่งออกเป็น ๔ กองหัวเมือง คือ หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก ตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการอยู่ที่นครจำปาศักดิ์ หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการอยู่ที่เมืองหนองคายและหัวเมืองลาวฝ่ายกลาง ตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการอยู่ที่เมืองนครราชสีมา สำหรับหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการอยู่ที่เมืองอุบลราชธานีนั้น มีพระยาราชเสนา (ทัด ไกรฤกษ์) และพระภักดีณรงค์ (สิน ไกรฤกษ์) เป็นข้าหลวง นอกจากเมืองอุบลราชธานีที่เป็นศูนย์กลาง และเป็นที่ตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการแล้วยังประกอบด้วยหัวเมืองเอกที่เคยขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ อีก ๑๑ เมือง คือ กาฬสินธุ์ สุวรรณภูมิ มหาสารคราม ร้อยเอ็ด ภูแล่นช้าง กมลาสัย เขมราฐ ยโสธร สองคอนดอนดง ศรีสะเกษ และเมืองนอง ส่วนหัวเมืองโท ตรี และจัตวา ที่ขึ้นกับหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ ก็มีอีก ๒๙ เมือง คือ เมืองเสนางคนิคม พิบูลมังสาหาร ตระการพืชผล มหาชนะไชย ชาณุมารมณฑล พนานิคม เกษมสีมา แซงมาดาล กุฉิ-นารายณ์ ท่าขอนยาง กันทรวิชัย สหัสขันธุ์ เกษตรวิสัย พนมไพรแดนมฤค จตุรพักตร์พิมาน พยัคฆ-ภูมิพิสัย วาปีปทุม โกสุมพิสัย ธวัชบุรี โขงเจียม เสมียะ คำเขื่อนแกล้ว อำนาจเจริญ ลำเนาหนองปรือ เมืองพอง เมืองพิน เมืองพาน และเมืองราษีไศล รวมเป็นเมืองเอก โท ตรี จัตวา ที่รวมอยู่ในกองหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งสิ้น ๔๑ เมือง การแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ออกเป็นกองแล้วมีข้าหลวงกำกับราชการดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าเมืองอุบลราชธานี เป็นศูนย์กลางการปกครองที่มีบทบาท มีความสำคัญต่อหัวเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคแถบนี้เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามการจัดแบ่งหัวเมืองโดยวิธีการดังกล่าว ซึ่งรัฐบาลหวังว่า ข้าหลวงกำกับราชการจะคอยสอดส่องดูแลสุขทุกข์ของราษฎร ให้มีความสงบเรียบร้อยและทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า ตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นให้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดระหว่างไทยกับฝรั่งเศสได้บ้าง แต่ปรากฏว่าบรรดาข้าหลวงกำกับข้าราชการประจำหัวเมืองต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นที่พอใจของรัฐบาล โดยเฉพาะคราวเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส เป็นผลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และที่ประชุมเสนาบดี จำต้องหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในที่สุดที่ประชุมเสนาบดีมีความเห็นพ้องต้องกันว่า ควรแต่งตั้งเจ้านายเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เสด็จไปปกครองดูแลหัวเมืองต่าง ๆ ในบริเวณเหล่านี้อย่างใกล้ชิด โดยให้ทรงดำรงตำแหน่ง ข้าหลวงต่างพระองค์ พร้อมกับจัดแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ด้วยเหตุดังกล่าว ประกอบกับความจำเป็นอีกหลายประการ ฉะนั้นใน พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงออกไปทรงจัดราชการในหัวเมืองลาวภาคตะวันออก โดยโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวง-พิชิตปรีชากร เป็นข้าหลวงใหญ่ พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนออกไปตั้งรักษาราชการอยู่ ณ เมืองนครจำปาศักดิ์ เรียกว่า ข้าหลวงหัวเมืองลาวกาว ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวง-ประจักษ์ศิลปาคม เป็นข้าหลวงใหญ่ พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนออกไปตั้งรักษาราช-การอยู่ที่เมืองหนองคาย เรียกว่า ข้าหลวงเมืองลาวพวน และให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพ-สิทธิประสงค์ เป็นข้าหลวงใหญ่ไปตั้งรักษาราชการอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง โดยเรียกว่า ข้าหลวง- หัวเมืองลาวพุงขาว หัวเมืองลาวกาว ที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงเป็นข้าหลวงใหญ่ หรือที่เรียกว่า ข้าหลวงต่างพระองค์ มีเมืองต่าง ๆ ที่ขึ้นกองสังกัด ๒๑ เมือง คือ นครจำปาศักดิ์ เชียงแตง แสนปาง สีทันดอน ลาละวัน อัตปือ คำทองใหญ่ สุรินทร์ สังขะ ขุขันธ์ เดชอุดม ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ยโสธร เขมราฐ กมลาไสย กาฬสินธุ์ ภูแล่นช้าง สุวรรณภูมิ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม การรวมหัวเมืองต่าง ๆ เข้าเป็นหัวเมืองลาวกาวดังกล่าว จะเห็นว่ามีส่วนที่แปลกและแตกต่างไปจากการจัดตั้งกองข้าหลวง ใน พ.ศ. ๒๔๓๓ อยู่บ้าง เพราะเป็นการรวมเอาเมืองต่าง ๆ ในหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกและหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือเข้าด้วยกัน ส่วนเมืองอุบลราชธานี ที่เคยเป็นศูนย์กลางปกครอง การเก็บส่วยสาอากรมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และเป็นที่ตั้งกองข้าหลวงกำกับราชการหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือใน พ.ศ. ๒๔๓๓ ก็ดูเหมือนจะถูกลดบทบาทและความสำคัญบ้าง เพราะไม่ได้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการข้าหลวงเหมือนเช่นคราวก่อน หากเป็นเพียงเมืองหนึ่งที่ขึ้นกับหัวเมืองลาวกาว ที่ตั้งกองบัญชาการอยู่ที่เมืองนครจำปาศักดิ์เท่านั้น อย่างไรก็ดี เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงพิชิตปรีชากร เสด็จมายังหัวเมืองลาวกาวแล้ว แทนที่จะเสด็จประทับที่เมืองนครจำปาศักดิ์ตามที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง กลับตัดสินพระทัยตั้งกองบัญชาการที่เมืองอุบลราชธานี และทรงประทับที่เมืองอุบลราชธานีนั่นเอง ดังนั้นเมืองอุบลราชธานี จึงเป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลมาโดยตลอด ในช่วงระยะเวลาปีเศษ (๔ ก.พ. ๒๔๓๔-๑๑ พ.ย. ๒๔๓๖ รวมเวลา ๑ ปี ๙ เดือน ๗ วัน) ที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงพิชิตปรีชากร เสด็จประทับที่เมืองอุบลราชธานี และทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์สำเร็จราชการหัวเมืองลาวกาวนั้น ได้ทรงปรับปรุงบ้านเมืองในหลาย ๆ ด้านแต่ก็ไม่บรรลุผลเต็มที่นัก เพราะเป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงปีเศษ ประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่ชาติบ้านเมืองอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติสุขเท่าใดนัก โดยเฉพาะการกระทบกระทั่งกับฝรั่งเศส เกี่ยวกับดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงที่ถึงจุดระเบิดใน พ.ศ. ๒๔๓๖ ซึ่งเรียกกันในปัจจุบันว่า วิกฤตการณ์สยาม ร.ศ. ๑๑๒ หลังจากนั้นแล้ว พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงพิชิตปรีชากร ได้เสด็จกลับกรุงเทพมหานคร เพื่อทรงรับตำแหน่งใหม่ต่อไป พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เมื่อครั้งเป็นกรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ ได้เสด็จมาประทับที่เมืองอุบลราชธานี เพื่อทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการ หัวเมืองลาวกาวสืบต่อจากกรมหลวงพิชิตปรีชากร ประทับอยู่นานเกือบ ๑๗ ปี ระยะที่ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการหัวเมืองลาวกาวนั้น ได้ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองโดยเฉพาะในบริเวณเมืองอุบลราชธานี ให้เจริญก้าวหน้าในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในด้านการปกครอง การศึกษา การทหาร การคมนาคม ฯลฯ ประกอบกับในช่วงเวลาดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงดำเนินการปรับปรุงบ้านเมืองเป็นการใหญ่จนเรียกได้ว่า เป็นการปฏิวัติ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับปรุงการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานีนั้น เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์เสด็จประทับที่เมืองอุบลราชธานีแล้วไม่นาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็โปรดเกล้าฯ ให้รวมหัวเมืองชั้นในบางส่วนเข้าเป็นมณฑลเทศาภิบาล แต่การดำเนินการดังกล่าวในระยะแรก ก็ไม่มีผลกระทบถึงเมืองอุบลราชธานีมากนักจนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๔๐ เพื่อที่จะให้การปกครองในส่วนภูมิภาคเป็นไปในลักษณะเดียวกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติบ้านเมือง และเพื่อประโยชน์สุขแก่ไพร่บ้านพลเมืองอย่างเต็มที่ พระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระราชโองการ ให้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติ ลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ ซึ่งนับเป็นพระราชบัญญัติที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเกี่ยวกับการจัดการปกครอง และการบริหารราชการในส่วนภูมิภาค นับเป็นการสร้างลักษณะความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของรูปแบบการปกครอง ทั้งพระราชอาณาจักร เพราะถึงแม้ว่าใน พ.ศ. ๒๔๓๕ จะได้มีการแบ่งแยกการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น ๑๒ กระทรวง และให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบในการจัดการปกครองส่วนภูมิภาคทั้งหมด หรือใน พ.ศ. ๒๔๓๗ จะได้กำหนดให้รวมหัวเมืองชั้นในบางส่วนเป็นมณฑลเทศาภิบาลก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติก็หาได้มีผลกระทบต่อหัวเมืองในส่วนภูมิภาคทุกเมือง หรือแม้แต่เมืองอุบลราชธานี หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:41:31 อุบลราชธานี ๓
อย่างเต็มที่ไม่ แต่การประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วพระราชอาณาจักร เพราะในพระราชบัญญัติได้กำหนดให้ชุมชนที่รวมกันอยู่เกิน ๑๐ หลังคาเรือน หรือมีราษฎรไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ คน รวมกันเข้าเป็นหมู่บ้าน และให้เลือกบุคคลที่เหมาะสมขึ้นเป็นผู้ใหญ่บ้านปกครองดูแลลูกบ้านของตน หลาย ๆ หมู่บ้านหรือราว ๑๐ หมู่บ้านขึ้นไป รวมกันเป็นตำบล มีกำนันเป็นผู้ปกครองดูแลรับผิดชอบ หลายตำบลหรือท้องที่ที่มีพลเมืองมากเกิน ๑๐,๐๐๐ คน ขึ้นไป รวมกันเป็นอำเภอ มีนายอำเภอเป็นผู้ปกครองดูแลรับผิดชอบ หลาย ๆ อำเภอรวมกันเข้าเป็นเมืองมีผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้ปกครองดูแลรับผิดชอบ หลายเมืองรวมกันเป็นมณฑลมีข้าหลวงเทศาภิบาล (ในมณฑลอีสานและอุดรเป็นตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์) เป็นผู้บังคับบัญชาดูแลรับผิดชอบ จากบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ เป็นผลให้ตำแหน่งผู้ปกครองเมืองต่าง ๆ ทั้งในเมืองอุบลราชธานีและเมืองใกล้เคียงที่มีอยู่เดิมต้องเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องและเป็นไปตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ ตำแหน่งอาญาสี่อันเป็นคณะผู้-ปกครองสูงสุดในแต่ละเมืองตลอดจนตำแหน่งผู้ปกครองในระดับท้องถิ่น เช่น ตำแหน่งท้าวฝ่าย ตาแสง จ่าบ้านหรือนายบ้าน ที่มีอยู่เดิมก็จำเป็นต้องยกเลิกไปหมด การปรับปรุงตำแหน่งผู้ปกครองที่สำคัญ ๆ ในบริเวณเมืองอุบลราชธานีเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ ดูเหมือนว่าไม่ค่อยจะมีปัญหาและอุปสรรคมากนัก เพราะตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์และราชบุตรที่มีอยู่เดิมนั้น สามารถปรับเข้ากับตำแหน่งใหม่อันได้แก่ ผู้ว่าราชการเมือง ปลัดเมือง ยกกระบัตรเมือง และผู้ช่วยผู้ว่าราชการเมืองได้พอดี แต่ถ้าหากพิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว ก็จะเห็นได้ว่า การดำเนินการดังกล่าวประสบปัญหาและอุปสรรคมากพอสมควร เพราะในบริเวณเมืองอุบลราชธานี มีเมืองเล็กที่ขึ้นกับเมืองใหญ่หลายเมือง เป็นต้นว่า เมืองเสนางคนิคม เมืองพิบูลมังสาหาร เมืองตระการพืชผล เมืองมหาชนะไชย เมืองชาณุมารมณฑล เมืองพนานิคม เมืองเกษมสีมา ขึ้นกับเมืองอุบลราชธานี เมืองโขงเจียม เมืองคำ-เขื่อนแก้ว เมืองอำนาจเจริญขึ้นกับเมืองเขมราฐ ส่วนเมืองบุณฑริก เมืองวารินชำราบ เมืองโดมประดิษฐ์ขึ้นกับเมืองนครจำปาศักดิ์ ฯลฯ การปรับปรุงตำแหน่งทางการปกครองในเมืองใหญ่ ๆ ที่เคยขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เช่น เมืองอุบลราชธานี เมืองเขมราฐ เมืองยโสธร และเมืองเดชอุดมนั้น ไม่ค่อยประสบปัญหานักเพราะตำแหน่งผู้ปกครองเมืองทั้ง ๔ คือ คณะอาญาสี่นั้น สามารถปรับเข้ากับตำแหน่งที่กำหนดขึ้นใหม่ได้ แต่ปัญหาการปรับปรุงตำแหน่งให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ จะเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ ที่เคยขึ้นกับเมืองใหญ่ดังกล่าวเพราะเมืองเล็ก ๆ เหล่านั้นก็มีคณะอาญาสี่ อันได้แก่ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร ทำหน้าที่ปกครองเช่นกัน เมื่อลดฐานะเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ ลงเป็นอำเภอและลดฐานะเจ้าเมืองลงเป็นเพียงนายอำเภอ จึงก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในเชิงปฏิบัติอยู่มาก ในระหว่างที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงดำเนินการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานี และหัวเมืองลาวกาวอยู่โดยทั่วไปนี้เอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกมณฑลใหม่ จากมณฑลลาวกาวเป็นมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือใน พ.ศ. ๒๔๔๒ และเปลี่ยนชื่ออีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. ๒๔๔๓ เป็นมณฑลอีสาน ใน พ.ศ. ๒๔๔๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่าเมืองที่ได้จัดแบ่งไว้ในท้องที่มณฑลต่าง ๆ มีมากเกินความจำเป็น และไม่สะดวกต่อการจัดการปกครอง จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองในท้องที่มณฑลต่าง ๆ เข้าเป็นบริเวณตามความจำเป็นและเหมาะสม ดังนั้นมณฑลอีสานจึงแบ่งออกเป็น ๕ บริเวณคือ บริเวณอุบลราชธานี บริเวณขุขันธ์ บริเวณสุรินทร์ บริเวณ-นครจำปาศักดิ์ และบริเวณร้อยเอ็ด การดำเนินการปรับปรุงการปกครอง ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายนักเพราะการรวมเมืองสำคัญ ๆ ที่เคยขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ให้เข้าเป็นบริเวณเดียวกัน แม้จะไม่ประสบปัญหามากนัก แต่การยุบเมืองเล็ก ๆ ลงเป็นอำเภอ แล้วลดฐานะเจ้าเมืองให้เป็นนายอำเภอคงไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้โดยง่าย อย่างไรก็ดี ปรากฏว่าใน พ.ศ. ๒๔๔๕ การดำเนินการรวมเมืองเข้าเป็นบริเวณและการยุบเมืองเล็ก ๆ ลงเป็นอำเภอมีนายอำเภอเป็นผู้ปกครองก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และบริเวณอุบลราชธานี ก็มีอยู่ ๓ เมือง ๑๙ อำเภอ คือ เมืองอุบลราชธานี ๑๑ อำเภอ เมืองเขมราฐ ๖ อำเภอ และเมืองยโสธร ๒ อำเภอ จากทำเนียบหัวเมือง ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ได้แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับรายชื่อเมือง อำเภอ ตลอดจนชื่อนายอำเภอ ดังนี้ มณฑลอีสานตั้งกองบัญชาการที่เมืองอุบลราชธานี ข้าหลวงต่างพระองค์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ ปลัดมณฑล - ยกกระบัตรมณฑล - ข้าหลวงมหาดไทยมณฑล หม่อมอมรวงศ์วิจิตร (ม.ร.ว. ปฐม คเนจร) เมืองอุบลราชธานีบริเวณอุบลราชธานี ผู้ว่าราชการเมือง - ปลัดเมือง พระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ) แทน ยกกระบัตรเมือง พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ) แทน ผู้ช่วยราชการสรรพากร - ข้าหลวงคลัง ขุนบริบาลนิคมเขตร (ลำใย) ผู้บังคับการตำรวจภูธร - ผู้พิพากษา ขุนราญอริพล (สอน) นายอำเภอบุพุปลนิคม พระวัณโกเมศ (เจียง) แทน นายอำเภอทักษิณูปลนิคม พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู) แทน นายอำเภอปจิมูปลนิคม พระนิโลศบลพยุรักษ์ (ทุย) แทน นายอำเภออุตรูปลนิคม ท้าวอักษรสุวรรณ (หนู) แทน นายอำเภอพิบูลมังษาหาร ราชบุตร (ผู) แทน นายอำเภอตระการพืชผล ท้าวสุริยะ (มั่น) แทน นายอำเภอมหาชนะไชย ท้าวสุริยวงษ์ (บุญเรือง) แทน นายอำเภอเกษมสีมา อุปฮาด (ค้ำ) แทน นายอำเภอพนานิคม ท้าวกรมช้าง (ทองจัน) แทน นายอำเภอเสนางคนิคม ขุนสากลยุทธกิจ (อ่ำ) นายอำเภอชานุมารมณฑล พระประจญจตุรงค์ (คำเคน) เมืองเขมราฐบริเวณอุบลราชธานี ผู้ว่าราชการเมือง พระเขมรัฐเดชชนารักษ์ (คำบุ) ปลัดเมือง พระเขมรัฐศักดิชนาบาล (หล้า) ยกกระบัตรเมือง พระเขมรัฐกิจบริหาร (ห้อ) นายอำเภออุไทยเขมราฐ ท้าวสิทธิกุมาร แทน นายอำเภอประจิมเขมราฐ ท้าวมหามนตรี แทน นายอำเภออำนาจเจริญ หลวงธรรมโลภาศพัฒนเดช (ทอง) แทน นายอำเภอคำเขื่อนแก้ว ท้าวจานจำปา (แทน) นายอำเภอโขงเจียม ท้าวสน แทน นายอำเภอวารินชำราบ ราชวงศ์ (บุญ) เมืองยโสธรบริเวณอุบลราชธานี ผู้ว่าราชการเมือง อุปฮาด (แก) ปลัดเมือง หลวงศรีวรราช (แข้) ยกกระบัตรเมือง หลวงยศไกรเกรียงเดช (ทองดี) นายอำเภออุไทยยโสธร หลวงยศเยศรรามฤทธ (ตา) นายอำเภอประจิมยโสธร หลวงยศเขตรวิมลคุณ (ฉิม) ส่วนเมืองเดชอุดมในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ มีฐานะเป็นเมืองอยู่ในบริเวณขุขันธ์ มีผู้ว่าราชการเมืองและนายอำเภอ ดังนี้ เมืองเดชอุดมบริเวณขุขันธ์ ผู้ว่าราชการเมือง หลวงภักดีภูเบศร์ (ภู) ปลัดเมือง หลวงวิเศษสงคราม (ทองปัญญา) นายอำเภอกลาง ท้าวสิง (แทน) นายอำเภอตะวันออก สัสดี (จานซิน) นายอำเภอตะวันตก ท้าวไชยกุมาร (แทน) นอกจากนี้แล้ว ในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ เมืองบัวและเมืองโดมประดิษฐ์ก็มีฐานะเป็นอำเภอที่ขึ้นกับเมืองนครจำปาศักดิ์ และมีที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งว่า เมืองใหญ่ที่เคยขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เช่น อุบลราชธานี เขมราฐ ยโสธรและเดชอุดมก็จะมีการแบ่งเขตการปกครองภายในเป็นหลายอำเภอด้วย ทั้งนี้คงเพราะเป็นเมืองใหญ่มีอาณาเขตกว้างขวางและมีประชากรหนาแน่นนั่นเอง แม้ว่าจะทรงดำเนินการปรับปรุงการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานีใน พ.ศ. ๒๔๔๕ แล้ว พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ก็ยังทรงมีพระประสงค์ที่จะปรับปรุงการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานีให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นอยู่ตลอดเวลา และหลังจากที่ได้ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงการปกครองในมณฑลอีสานให้เป็นลักษณะเทศาภิบาลอย่างแท้จริงได้ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ แล้ว พระองค์ก็ได้ดำเนินการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในบริเวณเมืองอุบลราชธานีให้เป็นที่เรียบร้อยและเหมาะสมอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ (คงราว ตุลาคม-มีนาคม อันเป็นครึ่งหลังของปีในช่วงเวลานั้น) โดยมีการยุบและรวมบางอำเภอให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ดังนี้ ๑) รวมอำเภออุตรูปลนิคมและอำเภอเกษมสีมาเข้าด้วยกันเรียกชื่อใหม่ว่า อำเภออุดรอุบล ๒) ยุบอำเภอตระการพืชผลไปรวมกับอำเภอพนานิคมเรียกชื่อว่า อำเภอพนานิคม ๓) รวมอำเภออุไทยยโสธรกับอำเภอปจิมยโสธรเข้าด้วยกันเรียกชื่อว่า อำเภอปจิมยโสธร ๔) ยุบเมืองเขมราฐลงเป็นอำเภอเขมราฐแล้วให้ขึ้นกับเมืองยโสธร และพร้อมกันนั้นก็ให้ยุบอำเภอประจิมเขมราฐไปรวมกับอำเภออุไทยเขมราฐ เรียกชื่อว่า อำเภออุไทยเขมราฐ ๕) เปลี่ยนนามอำเภอคำเขื่อนแก้วที่ขึ้นกับเมืองเขมราฐมาเป็นอำเภออุไทยยโสธรแล้วให้ขึ้นกับเมืองยโสธร การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในบริเวณเมืองอุบลราชธานีครั้งนี้ เป็นผลให้จำนวนอำเภอที่เคยมีอยู่ในบริเวณอุบลราชธานีในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ จำนวน ๑๙ อำเภอ (ใน ๓ เมือง คือ อุบลราชธานี เขมราฐและยโสธร) เหลือเพียง ๑๕ อำเภอ (ในสองเมืองคืออุบลราชธานีและยโสธร) ดังปรากฏรายชื่อ เมืองและอำเภอ ตลอดจนผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองและนายอำเภอต่าง ๆ ในบริเวณเมืองอุบลราชธานี (ในช่วงนี้เอกสารบางแห่งเรียกว่าจังหวัดอุบลราชธานีแล้ว) ในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๔๕๒ (ตุลาคม-มีนาคม) ดังนี้ มณฑลอิสาณ ตั้งศาลารัฐบาลที่เมืองอุบลราชธานี ข้าหลวงต่างพระองค์ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงมหาดไทย หลวงอภัยพิพิธ จังหวัดอุบลราชธานี ปลัดมณฑลประจำจังหวัด พระภิรมย์ราชา (พร้อม) ปลัดเมือง (คงเป็นปลัดจังหวัด-ผู้เขียน) หม่อมเจ้าถูกถวิล เมืองอุบลราชธานีจังหวัดอุบลราชธานี ปลัดเมือง พระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ) ยกกระบัตรเมือง พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ) นายอำเภอบูรพาอุบล เพียซามาตย์ (แท่ง) นายอำเภอปจิมอุบล หลวงพิพัฒน์พงษ์พิณฑุปลัดภ์ (โหง่นคำ) นายอำเภอทักษิณอุบล ท้าวธรรมกิติกา (เบีย) นายอำเภออุดรอุบล ท้าวอักษรสุวรรณ (หนู) นายอำเภอพิบูลมังษาหาร ท้าวสิทธิกุมาร (เทศ) นายอำเภอเสนางคนิคม พระเขมรัฐกิจบริหาร (บ่อ) นายอำเภอพนานิคม ท้าวอุปชิด (กิ่ง) นายอำเภอชาณุมารมณฑล ราชวงศ์ (บุศย์) นายอำเภอมหาชนะไชย หลวงวัฒนวงษ์ โทนุบล (โทน) เมืองยโสธรจังหวัดอุบลราชธานี ผู้ว่าราชการเมือง พระสุนทรราชเดช (แข่) นายอำเภออุไทยยโสธร ท้าวสุทธิสาร (ทุม) นายอำเภอปจิมยโสธร ท้าวอุเทนวงษา (เขียน) นายอำเภออุไทยเขมราฐ หลวงเขมรัฐการอุตส่าห์ (แสง) นายอำเภออำนาจเจริญ ราชวงศ์ (ซาว) นายอำเภอโขงเจียม ท้าวบุญธิสาร (คำบ่อ) นายอำเภอวารินชำราบ อุปฮาด (บุญ) กล่าวโดยสรุปแล้ว ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างช่วงระยะเวลาที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ประทับที่เมืองอุบลราชธานี ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว (หรือมณฑลอีสาน) ได้ทรงปรับปรุงกิจการบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการปกครอง การทหาร การศาล การศึกษา ฯลฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองนั้นพอจะเรียกได้ว่าเป็นการปฏิรูปเลยทีเดียว เพราะการเปลี่ยนระบบการปกครองจากการที่มีคณะอาญาสี่ อันได้แก่ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตรซึ่งเป็นคณะผู้ปกครองสูงสุดของเมือง มาเป็นระบบการปกครองแบบใหม่ ตามพระ-ราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ โดยมี มณฑล เมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ซึ่งก็ไม่แตกต่างไปจากปัจจุบันนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดฐานะเมืองเล็กที่เคยขึ้นกับเมืองใหญ่ ลงเป็นอำเภอและลดฐานะเจ้าเมืองลงเป็นเมืองนายอำเภอนั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยในเชิงปฏิบัติ แต่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ก็ทรงดำเนินการได้จนเป็นที่เรียบร้อย แม้จะมีปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้างก็นับว่าเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ด้วยเหตุที่กล่าวมาแล้วทั้งมวล จึงพอสรุปได้ว่า การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานี ในระยะ ที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรม-หลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑล ที่เมืองอุบลราชธานี เป็น การปฏิรูปการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานี ๔. การจัดรูปแบบการปกครองในระหว่างที่เป็นมณฑลอุบลราชธานี ใน พ.ศ. ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่าพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้ทรงตรากตรำทำงานในถิ่นที่ทุรกันดารมาเป็นเวลานานพอสมควรและพระชันษาก็มาก ควรที่จะได้ทรงพักผ่อนในบั้นปลายชีวิตบ้าง ประกอบกับตำแหน่งเสนาบดีว่างลง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จกลับกรุงเทพมหานครเพื่อทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวัง ในเดือน พฤษภาคม ๒๔๕๓ และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการปรับปรุงแก้ไขการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานี ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นหลายครั้ง คือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล คือ มณฑลอุบลกับมณฑลร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕ ทั้งนี้เพราะมณฑลอีสานเดิมมีพื้นที่กว้างขวางมากเกินไป และจำนวนประชากรก็มากจึงเป็นการยากลำบากในการปกครองควบคุม ดูแล ให้สงบเรียบร้อยและเจริญก้าวหน้า ดังนั้นเมื่อแยกมณฑลอีสาน ๒ มณฑล แล้ว มณฑลอุบล ประกอบด้วยจังหวัดอุบลราชธานี ขุขันธ์ และจังหวัดสุรินทร์ ส่วนมณฑลร้อยเอ็ดประกอบด้วยจังหวัดร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และจังหวัดมหาสารคาม หลังจากที่โปรดเกล้าฯ ให้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑลแล้วเพียงไม่กี่เดือนกระทรวงมหาดไทยก็ได้ดำเนินการปรับปรุงการปกครองในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้น คือ ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้ประกาศยุบบางอำเภอที่มีจำนวนประชากรน้อยเกินไปหรือไม่ค่อยมีความเหมาะสม และประกาศลดฐานะบางอำเภอเป็นกิ่งอำเภอ ผลจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลให้จังหวัดอุบลราชธานี มี ๑๒ อำเภอ กับ ๒ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอบูรพาอุบล อำเภอทักษิณอุบล อำเภอปจิมอุบล อำเภออุดรอุบล อำเภอพิบูลมัง-สาหาร อำเภอพนานิคม อำเภอมหาชนะไชย อำเภออุไทยยโสธร อำเภอปจิมยโสธร อำเภอเขมราฐ อำเภออำนาจเจริญ และอำเภอวารินชำราบ ส่วนอำเภอชานุมานมณฑลและอำเภอเสนางคนิคมถูกลดฐานะลงเป็นกิ่งอำเภอขึ้นกับอำเภอเขมราฐ และอำเภออำนาจเจริญตามลำดับ นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทย ก็ได้สั่งยุบอำเภอโดมประดิษฐ์เสีย ส่วนอำเภอบุณฑริกถูกลดฐานะลงเป็นกิ่งอำเภอและให้ขึ้นกับอำเภอเดชอุดม ใน พ.ศ. ๒๔๕๖ ก็ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงชื่อเรียกอำเภอต่าง ๆ ในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยเปลี่ยนชื่ออำเภอใหม่ ๖ อำเภอ เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๖ ดังนี้ ๑. อำเภอบูรพาอุบล เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอเมือง ๒. อำเภอทักษิณอุบล อำเภอวารินชำราบ ๓. อำเภออุดรอุบล อำเภอเกษมสีมา ๔ ..อำเภอปจิมอุบล อำเภอตระการพืชผล ๕. อำเภออุไทยยโสธร อำเภอคำเขื่อนแก้ว ๖. อำเภอปจิมยโสธร อำเภอยโสธร ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ได้มีการเปลี่ยนแปลงในด้านการปกครองส่วนภูมิภาคที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกเมืองที่เป็นศูนย์กลางที่มีอำเภอมารวมขึ้นอยู่ด้วยนั้น เป็น จังหวัด ทั้งหมด เช่น เมืองอุบลราชธานีก็เปลี่ยนเป็นจังหวัดอุบลราชธานี เมืองสุรินทร์ก็เปลี่ยนเป็นจังหวัดสุรินทร์ ฯลฯ ในทำนองเดียวกันผู้ปกครองเมืองที่เคยเรียกว่า ผู้ว่าราชการเมืองนั้นก็ให้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนับตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๙ เป็นต้นไป เพื่อให้เป็นการสอดคล้องกับการประกาศเรียกนามเมืองเป็นจังหวัด ดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีประกาศเปลี่ยนแปลง และกำหนดชื่อของจังหวัดและอำเภอเสียใหม่ทั่วพระราชอาณา-จักร เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ ดังนั้นจึงปรากฏว่า บริเวณจังหวัดอุบลราชธานีมีอยู่ ๑๒ อำเภอกับ ๒ กิ่ง บางอำเภอได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่ส่วนบางอำเภอยังคงชื่อเดิม ไว้ดังนี้ ๑. อำเภอเมือง เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอเมืองอุบล ๒. อำเภอตระการพืชผล อำเภอเขื่องใน ๓. อำเภอเกษมสีมา อำเภอม่วงสามสิบ ๔. อำเภอโขงเจียม อำเภอสุวรรณวารี ๕. อำเภอพนานิคม อำเภอขุหลุ ๖. อำเภอมหาชนะไชย อำเภอฟ้าหยาด ๗. อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอลุมพุก ๘. อำเภออำนาจเจริญ อำเภอบุ่ง ๙. อำเภอเสนางคนิคม กิ่งอำเภอหนองทับม้า (ขึ้นกับอำเภอบุ่ง) ๑๐. อำเภอวารินชำราบ คงเรียกว่า อำเภอวารินชำราบ ๑๑. อำเภอพิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร ๑๒. อำเภอยโสธร คงเรียกว่า อำเภอยโสธร ๑๓. อำเภอเขมราฐ อำเภอเขมราฐ ๑๔. กิ่งอำเภอชานุมาน กิ่งอำเภอชานุมาน (ขึ้นกับเขมราฐ) ส่วนในบริเวณจังหวัดขุขันธ์ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่ออำเภอเช่นกัน ในจำนวนนี้อำเภอเดชอุดมยังคงชื่ออำเภอเดชอุดม แต่กิ่งอำเภอบัวบุณฑริกที่เคยขึ้นกับอำเภอเดชอุดมมาก่อนนั้นก็ให้ขึ้นกับอำเภอเดชอุดมไปตามเดิม แต่เปลี่ยนนามเสียใหม่ว่า กิ่งอำเภอโพนงาม หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:41:48 อุบลราชธานี ๔
การจัดรูปแบบการปกครองในบริเวณมณฑลอุบลราชธานี ที่มีอยู่ ๓ จังหวัด และจังหวัดอุบลราชธานีแบ่งออกเป็น ๑๒ อำเภอกับ ๒ กิ่งนี้คงเป็นอยู่เช่นนี้ต่อไปจนถึงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๖๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้รวมมณฑลอุบลราชธานี มณฑลร้อยเอ็ด และมณฑลอุดรเข้าเป็นภาคเรียกว่า ภาคอีสาน ดังที่ปรากฏในพระราชโองการตอนหนึ่งว่า เวลานี้ การคมนาคมเจริญขึ้น ถึงเวลาสมควรที่จะจัดทนุบำรุงมณฑลฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ คือ มณฑลอุดร มณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบลให้ยิ่งขึ้นเพราะฉะนั้น จึงทรง โปรดเกล้าฯ ให้ยกมณฑลทั้ง ๓ ขึ้นเป็นภาค มีอุปราชกำกับราชการดังเช่นภาคพายัพ พระราชทานนามว่า ภาคอีสาน พร้อมกันนั้นก็โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระยาราชนิกุลสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลอุดรดำรงตำแหน่งอุปราชภาคอีสานอีกตำแหน่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เอง กองบัญชาการภาคอีสานจึงตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ส่วนจังหวัดอุบลราชธานียังคงเป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลอยู่เช่นเดิมจนสิ้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ-เกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยสาเหตุที่ประเทศตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างร้ายแรง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองในส่วนภูมิภาคหลายประการ สำหรับจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครอง การเก็บส่วยสา-อากร ฯลฯ มานับตั้งแต่แรกตั้งเมือง พ.ศ. ๒๓๓๕ และเป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลมาโดยตลอด ก็ถูก ลดฐานะลงเป็นเพียงจังหวัดหนึ่งของมณฑลราชสีมา ตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นต้นมา และก็คงอยู่ในสภาพเช่นนี้มาตลอดมา จนกระทั่งมีการยุบเลิกมณฑลทั้งหมดใน พ.ศ. ๒๔๗๖ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ได้มีทั้งจัดตั้งอำเภอ การยุบหรือลดฐานะอำเภอลงเป็นกิ่งอำเภอตามความเหมาะสมและที่สำคัญที่สุด คือ ใน พ.ศ. ๒๕๑๕ รัฐบาลได้มีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๗๐ ลงวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ ยกฐานะอำเภอยโสธรขึ้นเป็นจังหวัดยโสธร โดยแยกอำเภอต่าง ๆ ที่เคยขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานี ๕ อำเภอ คือ อำเภอยโสธร คำเขื่อนแก้ว มหาชนะชัย ป่าติ้วและอำเภอเลิงนกทา รวมเป็นจังหวัดยโสธรอันเป็นผลให้จำนวนพื้นที่ และ จำนวนพลเมืองของจังหวัดอุบลราชธานีต้องลดไปบ้าง หลังจากนั้นแล้วก็ได้มีการจัดตั้งอำเภอใหม่ในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีอีกหลายอำเภอจนถึง พ.ศ. ๒๕๒๗ จังหวัดอุบลราชธานีจึงแบ่งการ ปกครองออกเป็น ๑๙ อำเภอ ๒ กิ่งอำเภอ สรุปความเป็นมาเกี่ยวกับการจัดการปกครองของจังหวัดอุบลราชธานี ถึงในสมัยรัตน-โกสินทร์ตอนต้น จังหวัดอุบลราชธานีมีฐานะเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งที่ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ และมีเมืองในปกครองหลายเมืองเป็นเมืองที่มีบทบาทและมีความสำคัญต่อเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้เป็นอย่างมาก เป็นศูนย์กลางการปกครองและการเก็บส่วยสาอากรและอื่น ๆ การจัดการปกครองภายในก็จะมีคณะผู้ปกครองสูงสุดของเมืองเรียกว่า คณะอาญาสี่ หรืออาชญาสี่ ซึ่งประกอบด้วยตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร ทำหน้าที่ปกครองตามแบบอย่างที่สืบทอดมาจากกลุ่มชนที่เคยอาศัยอยู่ในประเทศลาวที่อพยพมาอยู่ในภูมิภาคนี้ ในช่วงแห่งการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า-อยู่หัวนั้น จังหวัดอุบลราชธานีได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองภายใน จากระบบที่คณะอาญาสี่เป็นคณะผู้ปกครองสูงสุดเป็นระบบที่มีเจ้าเมือง นายอำเภอ กำนันผู้ใหญ่บ้าน และเป็นระบบที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีเพียงตำแหน่งเจ้าเมืองเท่านั้นที่ได้เปลี่ยนแปลง เป็นผู้ว่า-ราชการจังหวัด สำหรับเมืองอุบลราชธานีก็เป็นศูนย์กลางการปกครองเช่นเดียวกับสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เพราะได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลมาโดยตลอด นับตั้งแต่มีการปรับปรุงการปกครองครั้งใหญ่เป็นต้นมา จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจวบจนกระทั่งได้มีการยุบเลิกมณฑลอุบลราชธานี ใน พ.ศ. ๒๔๖๘ นับได้ว่าจังหวัดอุบลราชธานี เป็นจังหวัดที่ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในระบบและสิ่งต่าง ๆ จนกลายเป็นจังหวัดที่มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมจังหวัดต่าง ๆ ของเมืองไทยในปัจจุบันหลายจังหวัด ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดอุบลราชธานี, หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:42:19 ขอนแก่น
อาณาบริเวณซึ่งมีพื้นที่ ๑๓,๔๐๓.๙๖๕ ตารางกิโลเมตร แบ่งออกเป็น ๑๖ อำเภอ ๔ กิ่งอำเภอ ๑๖๐ ตำบล ๑,๗๔๙ หมู่บ้าน ประชากร ๑,๕๒๐,๖๑๐ คน ในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ จังหวัดขอนแก่น มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจไม่แพ้ท้องถิ่นใด ดังหัวข้อต่อไปนี้ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หลักฐานการสำรวจบริเวณโนนนกทา บ้านนาดี ตำบลบ้านโคก อำเภอภูเวียง แม้ว่าตัวที่ตั้งจังหวัดพึ่งเป็นเมืองขึ้นมาในเวลาใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ ไม่เก่าแก่เท่าสุโขทัย นครวัด โรม เอเธนส์ แต่เรื่องที่น่าสนใจยิ่งทางด้านประวัติศาสตร์ และมานุษย์วิทยานั้นปรากฏว่าอาณาบริเวณจังหวัดขอนแก่นเคยเป็นดินแดนที่มีผู้คนอาศัยตั้งบ้านเรือนเจริญรุ่งเรืองมีอารยธรรมสูงส่งมาหลายพันปีแล้ว ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์คือยุคหินใหม่ ยุคโลหะตอนต้นได้แก่ ยุคสำริด จากรายงานของ วิลเฮล์ม จี โซลโฮม์ เรื่อง Early-Bronze in Northeastern Thailand (นิตยสารศิลปากร ปีที่ ๑๑ เล่มที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๑๐) มีข้อความสำคัญว่าในการสำรวจหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณวัตถุ ซึ่งน้ำอาจท่วมถึงในอาณาเขตเขื่อนพองหนีบได้รับความสำเร็จที่น่าภาคภูมิยิ่งคือ บริเวณโนนนกทา บ้านนาดี ตำบลบ้านโคก อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ได้ทำการขุดค้นป่าช้าโบราณดึกดำบรรพ์ พบชั้นดิน ๘ ชั้น เรียงกันอยู่ใต้ดินอีก ๑๒ ชั้น ในชั้นดิน ๘ ชั้น มีหลักฐานที่แน่นอนบ่งถึงการทำเครื่องสำริด ส่วนในชั้นดินอีก ๑๒ ชั้น พบทั้งเครื่องสำริดและเหล็ก เครื่องสำริดพบเป็นครั้งแรกในชั้นดินที่ ๒๐ การกำหนดอายุโดยพิสูจน์คาร์บอน ๑๔ จากชั้นดินที่ ๑๙ ปรากฏว่ามีอายุ ๔,๒๗๕ ± ๒๐๐ ปี มาแล้ว (คืออาจคลาดเคลื่อนได้ไม่มากนักไม่น้อยเกิน ๒๐๐ ปี) หมายความว่าได้มีการทำเครื่องสำริดที่นั่นมากกว่า ๑,๐๐๐ ปี ก่อนที่จะเริ่มทำเครื่องสำริดที่ประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ชาง และก่อนที่เจ้าของวัฒนธรรมฮาร์ปปาในลุ่มแม่น้ำสินธุ ประเทศอินเดีย จะเริ่มทำเครื่องสำริดเกือบหรือกว่า ๑๐๐ ปี เครื่องสำริดต่าง ๆ ที่ขุดค้นได้ในบริเวณหลุมฝังศพดึกดำบรรพ์แห่งนี้ได้นำออกแสดงไว้แล้วที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ มีทั้งเครื่องมือเครื่องใช้เป็นขวาน รวมตลอดทั้งแบบพิมพ์ที่ใช้หล่อ มีกำไลแขนสำริดคล้องอยู่กระดูกท่อนแขนซ้อนกันหลายวง มีปลายหอก มีภาชนะลักษณะคล้ายตะเกียงหรือกาน้ำ นอกจากสำริดยังมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินขัดหลายชิ้น ในการขุดค้นสองครั้ง ครั้งหลังสุด มีผู้เชี่ยวชาญและนักศึกษาที่จะทำวิทยานิพนธ์ชั้นปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาวายกำลังทำการสำรวจอยู่ ในการสำรวจปีที่ ๒ ได้ขุดตรวจบริเวณส่วนระดับดินตอนบนมีการเผาศพ (คงเป็นระยะที่นับถือพุทธศาสนาแล้ว) ระดับต่ำลงไปเป็นการฝังศพในลักษณะยาวเหยียดตรง เครื่องประดับที่โครงกระดูกบางชิ้นเป็นหินประเภทรัตนชาติมีหม้อดินวางอยู่บนอกบนหัว บางศพก็วางอยู่ระหว่างขา หม้อดินเหล่านี้เป็นเครื่องปั้นดินเผา มีลายเชือก ทาบและลายเส้นทแยง บางใบก็มีปุ่มที่คอคล้ายเขาสัตว์ จัดว่าเป็นลวดลายเก่าแก่ที่สุด เพราะว่าส่วนมากเป็นวัฒนธรรมสมัยหินใหม่ พบขวานสำริดมีบ้องและเครื่องมือสำริดรูปคล้ายตัว (T) เครื่องประดับกายมีลูกปัดทำด้วยเปลือกหอย กำไลทำด้วยเปลือกหอย รวมทั้งได้พบแวเหล็กไน แสดงว่ามีการปั่นด้าย ทอผ้าใช้ในยุคนั้นแล้ว หัวขวานทองแดง อายุประมาณ ๔,๖๐๐ ปี ถึง ๔,๘๐๐ ปี เป็นหัวขวานหัวเดียวที่พบในประเทศไทย และเป็นหัวขวานที่ทำจากทองแดงที่ไม่ได้ถลุง นำมาทุบให้เป็นหัวขวานมีอายุเก่าแก่ที่สุดในเอเซียอาคเนย์ ห่างจากที่ขุดค้นในป่าช้าบริเวณโนนนกทาไปประมาณไม่เกินสองกิโลเมตร มีบริเวณแห่งหนึ่งเรียกชื่อว่า "โนนข่า" มีลักษณะเป็นเนินอาณาเขตกว้างขวางสันนิษฐานว่าเป็นจุดที่ตั้งบ้านเมืองเพราะซากเศษของเครื่องปั้นดินเผาลายเชือกทาบเกลื่อนไปหมด ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่ถ้ำฝ่ามือแดง บ้านหินหล่อง ตำบลเมืองเก่า อำเภอภูเวียง ที่ผนังถ้ำมีภาพฝ่ามือหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ๙ มือ เป็นมือขนาดใหญ่ ๗ มือ มือขนาดเด็ก ๒ มือ รูปมือเหล่านี้เป็นแบบพ่นสีแดงรอบมือซึ่งต่างกับบางแห่งที่ใช้สีแดงทามือแล้วทาบ หรือประทับลงไปในหิน เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่างานศิลปกรรมที่ปรากฏอยู่บนผนังถ้ำในลักษณะแบบนี้เป็นวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ จากหลักฐานข้างต้นนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าอาณาบริเวณจังหวัดขอนแก่นเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมอันสูงส่งมาแต่ดึกดำบรรพ์ มีอายุนานกว่าจีน และอินเดีย มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนสมัยพุทธกาลหลายพันปี (เพราะเครื่องมือบางชิ้นผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ว่ามีอายุกว่า ๖,๐๐๐ ปี) ชุดสำรวจรุ่นแรกมีความเห็นว่าเป็นบริเวณที่น่าศึกษามากที่สุด แม้จะตั้งสถาบันค้นคว้ากันจริง ๆ ใช้เวลาถึง ๒๐ ปี ก็อาจจะยังไม่เสร็จ สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา สมัยทวาราวดี บริเวณบ้านโนนเมือง และวัดป่าพระนอน ตำบลชุมแพ อำเภอชุมแพ เป็นที่ดอนสูงกว้างใหญ่ซึ่งแวดล้อมด้วยที่ลุ่ม หนอง บึง ลักษณะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ กว้าง และยาวมากอยู่ทางทิศเหนือ ลักษณะเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณ มีโคกเนินที่เป็นโบราณสถาน มีเศษอิฐและกระเบื้องอยู่บนผิวดินทั่วไป และรูปสี่เหลี่ยมแบน ที่ฐานมีลวดลายในลักษณะต่าง ๆ แต่ที่น่าสนใจก็คือ เป็นจำนวนมากมีรอยสลักเป็นรูปกลีบบัวกลีบเดียวหรือสองกลีบ แท่งหินสำคัญที่สุดชาวบ้านเรียกว่าเสาหลักเมือง เป็นรูปทรงกลม มีรอยจารึกซึ่งเข้าใจว่าเป็นตัวอักษรมอญโบราณ ยังไม่มีการถอดเป็นภาษาปัจจุบัน มีผู้เคลื่อนย้ายแท่งหินในเมืองโบราณแห่งนี้ไปไว้หลายแห่ง เช่น นำเอาไปทำเป็นหลักเมืองขอนแก่น หลักหินแท่งนี้มีขนาดกว้างด้านละ ๔๒ ซม. สูง ๑.๓๔ ม. มีรูปกลีบบัวสี่กลีบที่ฐาน มีผู้นำใบเสมาแท่งหินไปไว้ยังวัดต่าง ๆ หลายแห่ง เช่น วัดโพธิธาติ ตำบลชุมแพ เป็นแบบแผ่นหินขนาดหนา ๒๒ ซม. กว้าง ๔๘ ซม. สูง ๗๘ ซม. แกะสลักเป็นรูปกลีบบัวที่ฐานนำไปอยู่วัดศรีนวล อำเภอเมืองขอนแก่น ๒ หลัก หลักหนึ่ง เป็นแบบแท่งหินมีขนาดหนา ๕๐ ซม. กว้าง ๖๐ ซม. สูง ๑.๗๕ ม. มีจารึกอยู่ด้วย ฐานเสมาแกะเป็นรูปกลีบบัว ส่วนอีกหลักหนึ่งเป็นแบบแผ่นหินไม่มีจารึก มีขนาดหนา ๒๕ ซม. กว้าง ๗๕ ซม. สูง ๑.๗๐ ม. ส่วนหลักอื่น ๆ ได้ถูกนำไปไว้ที่อำเภอภูเวียง อำเภอน้ำพอง อำเภอบ้านไผ่ ในเขตวัดป่าพระนอน อาณาบริเวณเดียวกัน อยู่ทางตะวันตกของเมืองราวครึ่งกิโลเมตร บริเวณวัดเป็นที่ดอนสูง มีพระนอนหินสีน้ำตาลขนาดยาว ๕.๒๖ ม. องค์หนึ่ง หันพระเศียรไปทางใต้ (สังเกตดูคงจะเป็นพระยืนอุ้มบาตร ภายหลังล้มลง) ลักษณะเป็นศิลปะแบบทวาราวดี ฝีมือช่างพื้นเมือง การวางพระหัตถ์แนบพระวรกาย มีลักษณะเช่นเดียวกับพระนอนที่พบในเมืองเสมา ในเขตอำเภอสูง-เนิน นครราชสีมา นอกนั้นพบชิ้นส่วนของพระแบบลพบุรี หรือแบบขอม สร้างด้วยหินทรายสีแดงในบริเวณวัดด้วย เมืองโบราณแห่งนี้ กรมศิลปากรกำลังทำการขุดค้น ได้พบโครงกระดูกมนุษย์โบราณฝังอยู่อย่างเป็นระเบียบ มีโบราณวัตถุหลายอย่างฝังรวมอยู่ด้วย สันนิษฐานว่าเป็นเมืองที่มีคนอยู่อาศัยมาหลายยุคหลายสมัย ทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยทวาราวดี ตลอดจนสมัยขอมด้วย กรมศิลปากรกำลังดำเนินการเพื่อจัดตั้งให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งชาติขึ้นแล้ว บริเวณยอดเขาภูเวียง ระหว่างเขตอำเภอชุมแพ และอำเภอภูเวียง บนเทือกเขาภูเวียง ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปวงกลม โอบล้อมหมู่บ้านถึง ๓ ตำบล ไว้ภายในนั้น มีพระพุทธรูปแบบทวาราวดี และที่สำคัญคือพระนอนสลักอยู่บนหน้าผาบนยอดเขาลูกนี้ มีขนาดยาว ๓.๗๕ ม. หันพระเศียรไปทางตะวันตกและหันพระพักตร์ไปทางใต้ ช่วงตอนพระเศียรถึงหน้าอกสลักในลักษณะนูนสูง ส่วนบริเวณต่ำจากบั้นเอวลงมาสลักนูนต่ำ ลักษณะพระพักตร์เป็นศิลปะแบบทวาราวดีในท้องถิ่น คล้าย ๆ กันกับพระพุทธรูปแบบทวาราวดีที่พบในเขตชัยภูมิหลายองค์ ลักษณะการนอนนั้นละม้ายทางพระนอนเชิงภู ที่ภูปอ จังหวัดกาฬสินธุ์มาก มีรอยจารึกบนแผ่นผา ถัดจากพระเศียรไปเล็กน้อย ใต้แผ่นผาที่สลักพระนอนมีถ้ำเพิงผา ๒ แห่ง อยู่เยื้องมาทางตะวันออกแห่งหนึ่งพอเป็นที่พักพิงได้ เข้าใจว่าแต่ก่อนคงมีพระภิกษุขึ้นไปจำศีล การพบพระนอนแบบทวาราวดีที่ภูเวียงนี้ทำให้ได้เห็นคติการสร้างสลักพระนอนบนแผ่นผาในภาคอีสานอย่างชัดเจนว่าเป็นคติที่พบในบริเวณลุ่มน้ำชี ซึ่งมีการนับถือพระพุทธศาสนาติดต่อกันมาแต่เดิม โดยปราศจากการเจือปนของวัฒนธรรมขอม เสมาหินที่เมืองชัยวาน เขตอำเภอมัญจาคีรี พบกลุ่มเสมาหินบริเวณเมืองร้างสมัยทวาราวดีที่มีชื่อว่าเมืองชัยวาน เสมาเหล่านี้ปักกระจายกันอยู่ในบริเวณเมืองเป็นจุด ๆ เอาตำแหน่งทิศทางแน่นอนไม่ได้ ลักษณะเสมาเป็นแบบแผ่นหิน บางแห่งปักเป็นคู่ ๆ ในเขตเมืองนี้ยังมีแผ่นหินขนาดใหญ่แผ่นหนึ่ง มีการสลักเป็นรูปได้มีขอบเป็นหลัก ๆ ลวดลายบนแผ่นหินเป็นแบบทวาราวดี และอีกแผ่นหนึ่งได้ถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ในศาลามีลวดลายกนก และก้านขดอยู่เหนือฐาน เสมาหิน๑ ในภาคอีสานจัดได้ว่าเป็นวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่มีอายุตั้งแต่สมัยลพบุรีหรือสมัยขอมขึ้นไปเสมาหินเป็นโบราณวัตถุสำคัญอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าดินแดนภาคอีสานเคยมีวัฒน-ธรรมเก่าแก่เป็นของตนเองมาก่อน ความเป็นมาของแท่งหินหรือเสาหินแต่เดิมคงเป็นเรื่องของหินตั้ง ซึ่งเป็นประเพณีและลัทธิเนื่องในการนับถือบรรพบุรุษ อันเป็นระบบความเชื่อที่มีอยู่ทั่วไปของประชาชนในภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ ต่อมาเสมาหินกลายเป็นของเนื่องในพุทธศาสนา ในสมัยแรกชาวอีสานไม่ใคร่นิยมสร้างพระสถูปเจดีย์ขึ้นบูชา ส่วนมากจะปักลงเสมาหินรอบ ๆ เนินดิน หรือปักเสมาหินให้ทำหน้าที่เป็นหลักเขตของบริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ใบเสมาของโบสถ์ เป็นต้น เมืองโบราณขนาดใหญ่ที่สุดรองจากนครปฐมโบราณ จากภาพถ่ายทางอากาศพบเมืองโบราณหลายเมือง อยู่ใกล้กับลำน้ำพอง ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาหนึ่งของลำน้ำชี เมืองที่ควรกล่าวถึงคือเมืองโบราณที่วัดศรีเมืองแอม ในเขตอำเภอน้ำพอง ตัวเมืองตั้งอยู่เหนือลำน้ำพองขึ้นมา ๙ กม. ตำแหน่งในทางภูมิศาสตร์ อยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๖ํ ๔๙´ตะวันออก ลักษณะเมืองเป็นรูปเหลี่ยมมน ที่น่าสนใจอย่างมากก็คือ เมืองนี้มีขนาด ๒,๙๐๐ x ๓,๐๐๐ ม. ซึ่งเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่สุดในภาคอีสานที่ได้พบเห็นมาในประเทศไทยเท่าที่เห็นเป็นรองอยู่ก็เฉพาะเมืองนครชัยศรี (นครปฐมโบราณ) เท่านั้น ภายในหมู่บ้านตั้งอยู่คือบ้านดงเมืองแอม และบ้านโนนขี้ผึ้งทางตะวันตก บ้านดงเฮียงทางด้านตะวันออกและมีวัดศรีเมืองแอมอยู่บริเวณกลางเมือง เมืองแอมนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มตอนเหนือตัวเมืองขึ้นไปเป็นที่ดอนสูงเป็นที่ลุ่มเล็กน้อย มีลำน้ำอีกสายหนึ่งซึ่งแยกจากลำน้ำห้วยเสือเต้นในบริเวณตัวเมืองทางเหนือ ผ่านคูเมืองด้านตะวันออกไปเรียกว่าลำน้ำห้วยคำม่วง ภายในเมืองทางด้านตะวันตกมีร่องรอยของคันดินที่วกจากคูเมืองด้านตะวันตกออกมาบรรจบกันเป็นรูปกลมรี ทำให้เมืองแอมกลายเป็นเมืองมี ๒ เมืองซ้อนกันอยู่ ลักษณะเช่นนี้เป็นธรรมดาของเมืองโบราณในอีสาน คันดินรูปกลมรีภายในตัวเมืองอาจจะเป็นเมืองเดิม ส่วนตัวเมืองใหญ่อาจจะมาขยายในตอนหลังหรือไม่ก็เป็นเมืองรุ่นเดียวกัน แต่จัดให้มีคูน้ำและคันดินรูปกลมรีภายในเพื่อการ ชลประทานชักน้ำเข้าใช้ในเมือง จากภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นว่าเมืองแอม อาศัยน้ำจากลำห้วยเสือเต้นที่ไหลจากที่สูงทางเหนือของตัวเมือง เข้ามาใช้ในคูเมืองและมีคันดินตัดเป็นช่อง ๆ ระหว่าง คูเมืองกับคันดินที่แล่นขนาน แสดงให้เห็นว่าเป็นอ่างเก็บน้ำ เมืองแอมนี้ยังไม่ได้มีการสำรวจกัน แต่ลักษณะของเมืองควรมีอายุในสมัยทวาราวดีลงมา ห่างจากเมืองแอมลงไปทางใต้เพียง ๔๐๐ เมตร มีเมืองโบราณรูปหัวเหลี่ยมยาวรีตั้งขนานไปกับลำห้วยเสือเต้นที่ไหลผ่านตัวเมืองแอมลงมา มีขนาด ๒,๓๐๐ x ๖๐๐ เมตร ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๖ํ ๔๘´ เหนือเส้นแวงที่ ๑๐๒ํ ๔๗´ ตะวันออก ตอนส่วนยอดของเมืองนี้มีหมู่บ้านคำท่าโพตั้งอยู่ ห่างจากเมืองนี้ไปทางตะวันตกราว ๘๐๐ เมตร มีวัดโนนดงมัน และหมู่บ้านโนนดงมัน จากลักษณะผังเมืองที่เป็นรูปเหลี่ยมมีระเบียบแสดงให้เห็นว่า ควรเป็นเมืองในสมัยหลังลงมาอย่างน้อยก็คงมีอายุอยู่ในราวสมัยลพบุรี ที่น่าสนใจสำหรับเมืองนี้ก็คือเมืองที่หมู่บ้านค้อท่าโพมีผังเมืองเป็นแบบเดียวกันกับเมืองกำแพงเพชร คือเป็นรูปสี่เหลี่ยมรีมีโงนไปตามลำน้ำเช่นกัน ความคล้ายคลึงกันของลักษณะผังเมืองทั้งสองควรได้มีการศึกษาเปรียบเทียบให้ทราบถึงความสัมพันธ์ ระหว่างเมืองในภาคกลางกับเมืองในอีสานสมัยโบราณเป็นอย่างยิ่ง ต่ำจากเมืองแอมลงไปตามลำน้ำพอง ซึ่งหักวกลงใต้ที่บ้านโคกสูง ทางด้านตะวันออกของลำน้ำใกล้กับบ้านท่าเกษมและบ้านจำปา ตรวจพบเมืองโบราณรูปกลมจากภาพถ่ายทางอากาศเมืองหนึ่ง มีขนาด ๗๐๐ x ๘๐๐ เมตร ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๖ํ ๓๗´ ๓๐´´ เหนือและเส้นแวงที่ ๑๐๒ํ ๕๓´ ตะวันออก ลักษณะเป็นเมืองสองชั้น เช่นเมืองโบราณส่วนมากในอีสาน คือมีวงกลมอยู่ภายในวงกลมชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง มีคูน้ำกว้างมาก ตัวเมืองตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มต่ำ อันเป็นบริเวณที่ลำน้ำพองคดเคี้ยวเปลี่ยนทางเดิน มีลำน้ำด้านที่เรียกว่า Ox bow Lake มากมาย คูเมืองด้านตะวันออกกว้าง และอยู่ติดกับที่ลุ่มชาวบ้านเรียกว่า หนองงู และห่างจากตัวเมืองลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว ๑,๕๐๐ เมตร มีบึงน้ำกว้างใหญ่ ชื่อหนองแม่ชัด หนองนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของลำน้ำพองอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งที่น่าสนใจก็คือ จากตัวเมืองหนองงู มีร่องรอยคันดินออกไปติดต่อกับบริเวณที่เป็นชุมชนทั้งโบราณและปัจจุบัน เช่นมีคันดินออกจากตัวเมืองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือไปยังหมู่บ้านทรายมูล และมีคันดินอีกสายหนึ่งแยกออกจากคันดินดังกล่าว วกลงไปยังหมู่บ้านหนองบัวน้อยและหนองแม่ชัด ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากตัวเมืองไปในรัศมี ๓ กม. มีร่องรอยของชุมชนโบราณและสระน้ำตลอดจนคันดินหลายแห่ง เมืองโบราณที่หนองงูดังกล่าวนี้ ยังไม่ได้มีการสำรวจหาโบราณวัตถุเพื่อกำหนดอายุ แต่จากรูปลักษณะก็คงจะเป็นเมืองแต่สมัยทวาราวดีลงมา พระธาตุบ้านขาม๒ อยู่บ้านขาม ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง ประวัติการสร้างเจดีย์องค์นี้มีว่า เดิมมีตอมะขามใหญ่อยู่ตอหนึ่งซึ่งได้ตายไปนานแล้ว กลับงอกงามขึ้นอีก คนเจ็บไข้ได้ป่วยเมื่อกินใบซึ่งงอกขึ้นใหม่นี้จะหายจากโรคร้ายทั้งปวง จึงมีประชาชนจากทุกสารทิศมาตั้งบ้านเรือนเป็นชุมชนหนาแน่น หากผู้ใดไปทำมิดีมิร้ายเชิงดูถูกไม่เคารพสักการะตอมะขาม จะมีอันเป็นไปโดยปัจจุบันทันด่วน ชาวเมืองจึงพร้อมใจกันก่อพระธาตุหรือเจดีย์ครอบตอมะขามนี้ไว้ โดยสลักบรรจุคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ๙ บทเข้าไว้บนตอมะขามนั้นเรียกว่า พระเจ้า ๙ พระองค์ เหตุนี้จึงเรียกชื่อว่า พระธาตุบ้านขามมาแต่โบราณ ได้มีผู้บูรณะพระธาตุองค์นี้หลายครั้ง ทำให้รูปทรงเดิมเปลี่ยนไป ห่างจากเจดีย์นี้ไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๑๕ เส้น มีซากโบราณสถานซึ่งเข้าใจว่าเป็นวังหรือตำหนัก ประชาชนมาชุมนุมนมัสการพระธาตุองค์นี้ในวันเพ็ญเดือน ๖ ทุกปี ภายในโบถส์ใกล้พระธาตุองค์นี้มีพระประธานก่อด้วยอิฐโบกปูนขาวเป็นศิลปะแบบล้าน-ช้างโบราณมีพุทธลักษณะงดงาม สันนิษฐานว่าคงจะสร้างขึ้นภายหลังในยุคล้านช้างเวียงจันทร์ ที่บ้านกระนวนซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านขามนัก มีพระพุทธรูปโบราณศิลปะแบบล้านช้างเป็นพระประธานในโบสถ์เก่าแก่ ประชาชนในอาณาบริเวณใกล้เคียงให้ความเคารพบูชามาก สมัยลพบุรีหรือสมัยขอม ซากโบราณสถานและโบราณวัตถุซึ่งมีแท่งหินหรือเสาหินตลอดจนเสมาหิน และซากเมืองโบราณที่มีรูปร่างไม่สม่ำเสมอมีรูปกลม หรือสี่เหลี่ยมกลมมีคูน้ำล้อมรอบหลายชั้น นักโบราณคดีเชื่อว่ามีอายุก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ซึ่งอยู่ในยุคทวาราวดี ในอาณาบริเวณจังหวัดขอนแก่นยังมีซากโบราณวัตถุ และโบราณสถานซึ่งมีลักษณะแตกต่างออกไป เช่น ซากเมืองโบราณที่มีรูปร่างสม่ำเสมอ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าบ้าง รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบ้าง มีคูน้ำชั้นเดียว มีศาสนสถานและสระน้ำศักดิ์สิทธิ์กรุด้วยศิลาแลงเป็นชั้น ๆ คติการสร้างศาสนสถานมีความผูกพันกับคติเทวราชาและการปกครองที่มีระเบียบแบบแผน คือถือว่ากษัตริย์หรือเจ้านายเป็นส่วนหนึ่ง หรือภาคหนึ่งของเทพเจ้า จึงมีการสร้างเทวาลัยถวายเป็นที่สถิต ดังนั้นเทวาลัยจึงมีลักษณะที่เป็นทั้งตัวแทนของเทพเจ้า และกษัตริย์หรือเจ้านายที่ปกครองชุมชนเขตนั้น โดยเฉพาะปราสาทศิลาแลง ซึ่งมีผังประกอบด้วยองค์ปราสาทหรือปรางค์เพียงองค์เดียวอยู่ตรงกลางมีวิหารเล็ก ๆ ตั้งอยู่ข้าง ๆ ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ มีกำแพงล้อมรอบที่กำแพงมีซุ้มประตูเข้าทางด้านตะวันออก ร่องรอยของศาสนสถานและโบราณสถานแบบดังกล่าวนี้เป็นศิลปกรในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ มีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ขอมมีอำนาจปกครองถึงดินแดนจังหวัดขอนแก่นดังปรากฏโบราณสถาน และโบราณวัตถุต่อไปนี้ บริเวณเมืองแอม๓ หรือเมืองเพ็งโบราณดังกล่าวแล้วข้างต้นนั้น สันนิษฐานว่าพวกขอมมาสร้างทับเมืองเก่าเพราะปรากฏว่ามีคันดิน (คล้ายกำแพงดินที่ละลายลงมา) มีความสูงพอสมควรและยาวเป็นเส้นตรงเป็นระเบียบแบบแผน แต่ละด้านยาว ๒-๓ กม. เมื่อประมาณปี ๒๕๐๐ มีผู้นำเอาพระพุทธรูปหินแบบนาคปรกหลายองค์จากดงเมืองแอมมาไว้ที่วัดท่าน้ำพอง อำเภอน้ำพอง ทั้งองค์ใหญ่องค์เล็ก มีพุทธลักษณะเป็นศิลปะสวยงามมาก พระพุทธรูปหินนาคปรกนี้เป็นศิลปะขอมสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ นอกจากนี้ยังได้พบพระพุทธรูปหินแบบนาคปรกอีกหลายแห่งในจังหวัดขอนแก่นโดยเฉพาะที่กรุในหมู่บ้านใกล้ที่ตั้งอำเภอภูเวียง พบหลายองค์มีความประณีตสวยงามมากจนกระทั่งเคยนำเอาไปแสดงที่มาเลเซีย แต่ภายหลังถูกขโมย และบางองค์ถูกบั่นพระเศียรอย่างน่าอนาถมาก กู่ทอง ตั้งอยู่บ้านหัวขัว กิ่งอำเภอเปือยน้อย ห่างจากอำเภอบ้านไผ่ประมาณ ๓๒ กม. เป็นกู่ใหญ่และสวยงามที่สุดในจังหวัดขอนแก่น ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงศิลาแลงล้อมรอบมีรูปหัวสิงห์แกะสลักด้วยหิน รูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ สลักนูนลวดลายประณีตมาก เป็นแท่งหินทับหลังประตู ขนาดใหญ่ กว้าง ๑ ม. ยาว ๒ ม. เคยถูกขโมยแต่ในที่สุดผู้ร้ายเอาไปไม่ได้ต้องทิ้งกลางทาง กู่นี้ถูกรื้อทำลายโดยพวกแสวงหาทรัพย์ตามลายแทง เที่ยวขุดค้นของมีค่าเมื่อเกือบร้อยปีมานี้ แต่ก็ยังมีสภาพที่สมบูรณ์กว่าทุกแห่งในจังหวัดขอนแก่น กู่บ้านเหล่า ตำบลบ้านโต้น กิ่งอำเภอพระยืน มีลักษณะเหมือนกู่ทองแต่ย่อมกว่า มีกำแพงหิน กว้าง ๑๕ วา ยาว ๑๕ วา กู่บ้านนาคำน้อย ตำบลบัวใหญ่ อำเภอน้ำพอง เป็นแบบกู่ทั่วไปซึ่งก่อด้วยศิลาแลง ยังมีความสมบูรณ์อยู่มาก แต่ขนาดย่อมกว่ากู่ทอง ทุก ๆ กู่จะมีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์กรุด้วยศิลาแลงเป็นชั้น ๆ โดยเฉพาะกู่บ้านนาคำน้อยบริเวณใกล้เคียงมีบ่อน้ำซับระดับน้ำอยู่ตื้นมากมีน้ำใสจืดสนิท นอกจากนี้ก็มีกู่เล็กกู่น้อยอีกหลายแห่ง เช่น กู่ที่บ้านโนนกู่ ตำบลสาวะถี อำเภอบ้านฝาง กู่ตำบลกุดเค้า กู่ภูวดี อยู่ในบริเวณภูวัด ตำบลโพนเพ็ก อำเภอมัญจาคีรี สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การตั้งเมืองชลบถ (ชื่อเดิมมิใช่ชนบท) และเมืองขอนแก่น พงศาวดารภาคอีสานฉบับของพระยาขัตติยวงษา (เหลา ณ ร้อยเอ็ด) มีความสำคัญตอนหนึ่งว่า ถึงระหว่างจุลศักราช ๑๑๔๔ ปีกุน จัตวาศก (พ.ศ. ๒๓๒๕) ทราบข่าวว่ากวนเมืองแสน เมืองสุวรรณภูมิจ้างทิดโกดบังฟันท้าวสูนเมืองสุวรรณภูมิตาย เมืองแสนกลัวความผิดหลบตัวหนีลงไปพึ่งพระยาโคราช ๆ บอกให้เมืองแสนลงไปเป็นเจ้าเมือง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระจันทประเทศขึ้นมาตั้งบ้านกองแก้วเป็นเมืองชลบถ มีไพร่พลสมัครไปด้วย ๓๔๐ คน ครั้นถึงจุลศักราช ๑๑๕๐ (พ.ศ. ๒๓๓๑) ได้ทราบว่าเมืองแพนบ้านชีโหล่น แขวงเมืองสุวรรณภูมิ (ปัจจุบันนี้อยู่ในท้องที่อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด เวลานั้นเป็นแขวงเมืองสุวรรณภูมิ ซึ่งมีอาณาเขตมาถึงสันเขาภูเม็ง ฝายพระยานาคจดพองหนีบ) พาราษฎรไพร่พลประมาณ ๓๓๐ คน แยกจากเมืองสุวรรณภูมิไปขอตั้งฝั่งบึงบอนเป็นเมือง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เมืองแพนเป็นพระนครศรีบริรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองขอนแก่น พงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสาน ฉบับหม่อมอมรวงษ์วิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจรรณกรุงเทพ) ปลัดมณฑลอีสานแต่ง มีข้อความสำคัญว่า ลุจุลศักราช ๑๑๕๙๔ ปีมเสงนพศก (พ.ศ. ๒๓๔๐) ฝ่ายเพี้ย๕ เมืองแพน บ้านชีโหล่น เมืองสุวรรณภูมิเห็นว่าเมืองแสนได้เป็นเจ้าเมืองชลบถก็อยากจะได้เป็นบ้าง จึ่งเกลี้ยกล่อมผู้คนได้อยู่ในบังคับสามร้อยเศษ จึ่งสมัครขึ้นอยู่ในเจ้าพระยานครราชสีมา แล้วขอตั้งบ้านบึงบอนเป็นเมือง เจ้าพระยานครราชสีมาได้มีบอกมายังกรุงเทพฯ จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เมืองแพนเป็นที่พระนครศรีบริรักษ์เจ้าเมืองยกบ้านบึงบอนขึ้นเป็นเมืองขอนแก่น หนังสือโบราณวัตถุสถาน ชิน อยู่ดี เรียบเรียง กรมศิลปากรจัดพิมพ์ในงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ มีประวัติจังหวัดขอนแก่น ดังนี้ :- ในรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๒๖ (ภายหลังตั้งกรุงเทพฯ ได้ปีเดียว) กวนเมืองแสนจากเมืองทง (เดี๋ยวนี้อยู่ในอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด) มาตั้งเมืองขึ้นที่บ้านบึงแก้ว (หนองแก้ว อำเภอชลบท) ชื่อเมืองชลบถ ต่อมาเพี้ยเมืองแพน ต้นสกุลเสมอพระ บ้านชีโหล่น หลานเจ้าแก้วบูฮม พาผู้คนเข้ามาตั้งอยู่ที่บ้านบึงบอน (บ้านเมืองเก่า) สมัครขึ้นอยู่กับพระยานครราชสีมา ๆ มีใบบอกมายังกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๐ โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านบึงบอนขึ้นเป็นเมืองขอนแก่น และตั้งให้เพี้ยเมืองแพนเป็นพระยานครบริรักษ์เจ้าเมือง พ.ศ. ๒๓๕๒ ท่านราชานนท์ย้ายเมืองไปตั้งที่ริมบึงหนองเหล็กดอนพันชาด หรือดงพันชาด (หมู่บ้านในเมือง ตำบลแพง อำเภอโกสุมพิสัย) พ.ศ. ๒๓๖๙ ตั้งบ้านภูเวียง ซึ่งเดิมเคยเป็นเมืองโบราณ เป็นเมืองภูเวียงขึ้นกับเมืองขอนแก่น หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:42:36 ขอนแก่น ๒
พ.ศ. ๒๓๘๐ ย้ายเมืองขอนแก่นกลับมาตั้งอยู่ริมฝั่งบึงบอน (ตะวันตกเฉียงใต้ของบ้านโนนทัน) พ.ศ. ๒๓๙๘ ย้ายมาทางฝั่งตะวันออก คือบ้านโนนทันเดี๋ยวนี้ พ.ศ. ๒๔๑๐ ย้ายไปตั้งที่บ้านดอนบม ริมลำน้ำชี พ.ศ. ๒๔๓๔ โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมเป็นข้าหลวงต่างพระ-องค์ และโปรดให้ย้ายเมืองขอนแก่นมาตั้งที่บ้านทุ่ม พ.ศ. ๒๔๔๒ โปรดให้ย้ายกลับไปตั้งที่บ้านบึงตามเดิม (เมืองเก่า) พ.ศ.๒๔๔๗ โปรดให้เรียกตำแหน่งข้าหลวงประจำเมืองขอนแก่นว่าข้าหลวงประจำ บริเวณพาชี พ.ศ. ๒๔๕๑ ย้ายศาลากลางเมืองขอนแก่นมาตั้งที่บ้านพระลับ และให้เปลี่ยนตำแหน่งข้าหลวงประจำบริเวณเป็นผู้ว่าราชการเมือง พ.ศ. ๒๔๕๙ โปรดให้เปลี่ยนคำว่าเมืองเป็นจังหวัด สมัยรัชกาลที่ ๓ เหตุการณ์ครั้งศึกเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ มีข้อความสำคัญเกี่ยวกับจังหวัดขอนแก่นดังต่อไปนี้ พระยาราชสุภาวดียกขึ้นไปทางเมืองสุวรรณภูมิ พบกองทัพเจ้าโถงหลานอนุซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองพิมายก็ยกเข้าตีกองทัพเจ้าโถงแตกกระจัดกระจายไปสิ้น แล้วพระยาราชสุภาวดีก็ยกจากเมืองพิมายไปตั้งอยู่เมืองขอนแก่น แล้วก็มีหนังสือไปถึงเจ้าอุปราชว่าเมื่ออุปราชลงไปกรุงเทพมหานคร พูดไว้แต่ก่อนว่าอนุจะเป็นกบฏนั้นก็สมจริง ครั้งนี้เรายกขึ้นมาสมคะเนแล้ว ให้อุปราชยกไปตีเมืองเวียงจันทน์เสียให้ได้ ทัพหลวงจะได้ขึ้นมาโดยสะดวกเราจะได้ยกหนุนอุปราชไป ครั้นอุปราชได้หนังสืออ่านดูแจ้งความแล้วจึงส่งต้นหนังสือไปให้อนุที่ตำบลช่องเขาสาร อนุแจ้งความแล้วก็ให้หวาดหวั่นสงสัยนายทัพนายกองผู้คนของตัวว่าจะมีไส้ศึกอยู่ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ แสดงให้เห็นว่าแม่ทัพใหญ่ฝ่ายไทยได้เห็นความสำคัญของจังหวัดขอนแก่น จึงใช้เป็นฐานทัพมาครั้งหนึ่งเพราะเป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสาน จนประสบชัยชนะ เมื่อทางราชการจัดตั้งหน่วยทหารม้าขึ้นครั้งแรกในจังหวัดนี้จึงให้ชื่อว่า ค่ายบดินทรเดชา และมีสนามมวยในชื่อนี้ด้วย หนังสือประชุมจดหมายเหตุเรื่องปราบกบฏเวียงจันทน์ มีข้อความเกี่ยวกับจังหวัดขอนแก่นบางตอนดังนี้ คำให้การอ้ายพระยานรินทร์ แล้วอ้ายอนุกับอ้ายสุทธิสารข้าพเจ้าก็พากันขึ้นมาถึงบ้านหนองบัวลำภู อ้ายอนุตั้งให้เป็นเจ้าเมืองหนองบัวลำภู แล้วอ้ายอนุจัดแจงให้ตั้งค่ายไม้จริงยาว ๓๐ เส้น กว้าง ๑๖ เส้น อ้ายอนุจัดให้ข้าพเจ้ากับอ้ายปลัดหนองบัวลำภูคนเก่า อ้ายวรจักรบ้านบัว อ้ายหามองค์บ้านเทวี อ้ายอุปราชบ้าน ภูเวียง อ้ายวรวงศ์บ้านมะโดด อ้ายตะนามบ้านลำภูคุมไพร่ ๑,๘๐๐ คนปืนคาบศิลา ๓๐๐ บอก อยู่รักษาค่ายแล้วอ้ายอนุจัดครัวเมืองโคราชที่ไว้ใจได้ให้ข้าพเจ้า ๓๐ ครัว ชายหญิงประมาณ ๗๐ คน กับครัวข้าพเจ้า ๑,๐๐๐ คนเศษอยู่กับข้าพเจ้า แต่ครัวอ้ายมีชื่อทั้งนี้บ้านใคร ๆ อยู่ ครั้นอ้ายอนุกลับไปถึงบ้านส้มป่อยให้อ้ายราชวงศ์เจ้าเมืองชลบถกับไพร่ครัวฉกรรจ์ ๖๐๐ คน กับปืนคาบศิลา ๗๐ บอก กลับลงมาอยู่รักษาค่ายกับข้าพเจ้าด้วยกัน ไพร่ฉกรรจ์ ๒,๓๐๐ ครัว ๘๐๐ คน ปืนคาบศิลา ๑๙๐ บอก แต่เจ้าเมืองขอนแก่นไล่ครัวมาอยู่บ้านสระแจ้ง ไพร่ฉกรรจ์ ๒,๕๐๐ แต่ตัวเจ้าเมืองขอนแก่นกับไพร่ฉกรรจ์นั้นรักษากับอ้ายสุทธิสาร แต่ครัวเจ้าเมืองชลบถมาอยู่บ้านคาง ไพร่ฉกรรจ์ ๒,๗๐๐ เจ้าเมืองชลบถอยู่รักษาครัว ให้แต่บุตรกับไพร่ ๙๐๐ คน มาอยู่กับข้าพเจ้า ณ ค่ายหนองบัวลำภูเมืองนอกนั้นตามระยะทางมีมากอยู่ ข้อความที่ว่าอ้ายอุปราชภูเวียง แสดงว่าภูเวียงมีฐานะเป็นเมืองมาก่อนจึงมีตำแหน่งอุปราช มิใช่หมู่บ้านธรรมดา คำให้การอ้ายจันโคช วันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีกุนนพศก ได้ถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอ้ายจันโคชให้การว่าข้าพเจ้าตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ บ้านสามพันแขวงเมืองชลบถ อายุข้าพเจ้าได้ ๕๐ เศษ ภรรยาข้าพเจ้าชื่อ อีสั้น มีบุตรชาย ๔ คน หญิง ๓ คน เป็น ๗ คน ข้าพเจ้าเป็นบ่าวพระยาพรหมภักดียกกระบัตรเมืองโคราช ครั้นอยู่มา ณ เดือน ๓ กี่ค่ำข้าพเจ้าจำมิได้ ปีวอกอัฐศก ข้าพเจ้าได้ยินผู้มีชื่อพูดกันว่าอ้ายเวียงจันท์ ยกกองทัพมาตั้งอยู่ ณ เมืองครสวรรค์ ประมาณ ๒,๐๐๐ คน ๓,๐๐๐ คน ว่าจะลงไปช่วยทำการพระบรมศพ ณ กรุงเทพฯ แล้วอ้ายเวียงจันท์ได้ให้ตำรวจลงมาบอกพระยาจันตประเทศกับเพียสิง-หนาทราชบุตร เมือชลบถ ให้ขึ้นไปหาอ้ายเวียงจันท์ พระยาประจันตประเทศ กับเพียสิงหนาทราชบุตร ก็พากันไปหาอ้ายเวียงจันท์ ณ เมืองครสวรรค์ ไปได้ ๒ คืนแล้ว พระยาจันตประเทศ กับเพียสิงหนาท-ราชบุตร ก็พากันกลับมาบ้านได้คืน ๑ อ้ายเจ้าเวียงจันท์ ก็ยกกองทัพมา ณ เมืองโคราช แล้วพระยา-จันตประเทศจึงมาป่าวร้องแก่ราษฎรชาวบ้านว่า ใครจะสมัครไปกับเจ้าเวียงจันท์บ้าง ถ้าสมัครไปกับอ้ายเวียงจันท์จะให้ไปอยู่บ้านคูเวียง ถ้าใครมิสมัครไปจะฆ่าเสีย เพียแสนกับอุปฮาตจึงว่ากับพระยา-จันตประเทศว่า ท่านจะไปก่อนก็ไปเถิดข้ายังไม่ไปจะฟังดูก่อน ครั้น ณ วันเดือนข้างขึ้นจะเป็นกี่ค่ำข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ พระยาจันตประเทศกับเพียสิงหนาท เพียกวาน ก็พาบุตรภรรยาผู้คนบ่าวไพร่ยกไปจากเมืองชลบถไปอยู่บ้านผขุ ได้เดือน ๑ ครั้น ณ วันเดือน ๕ ข้างขึ้น แต่จะเป็นกี่ค่ำข้าพเจ้าจำมิได้ อ้ายเจ้าเวียงจันท์ใช้ตำรวจลาวลงมาไล่ครัวที่เมืองชลบถให้ไปอยู่บ้านคูเวียงให้สิ้นเชิง ถ้าผู้ใดมิไปจะตัดศีรษะเสีย ราษฎรชาวบ้านกลัวก็พากันยกครอบครัวไปอยู่ ณ บ้านคูเวียง ครั้น ณ วันเดือน ๕ ข้างขึ้น อ้ายเจ้าเวียงจันท์ยกจากโคราชไปพักอยู่บ้านคูเวียงคืน ๑ แล้วยกไปอยู่บ้านหนองบัว แล้วอ้ายเจ้า- เวียงจันท์จึงใช้ให้ตำรวจลาวมาไล่ครัวที่บ้านคูเวียงไปอยู่ที่บ้านหนองบัว ครั้นพากันไปอยู่บ้านหนองบัว พระยาจันตประเทศ จึงไปหาอ้ายเจ้าเวียงจันท์ ๆ จึงสั่งให้พระยาจันตประเทศไล่ครัวให้ไปอยู่บ้านนาแตง อ้ายเจ้าเวียงจันท์ก็จะยกไปทางด้านป่าเข้าสาร พระยาจันตประเทศไล่ครัวไปทางบ้านนาแตง ไปถึงบ้านนาแตงได้ ๕ วัน อ้ายพระยานรินทร์ ที่เป็นแม่ทัพอยู่ที่ค่ายบ้านหนองบัว จึงให้ตำรวจลาวมาจัดเอาคนผู้ชายที่ครัวบ้านนาแตง ๒๐๐ คน ทั้งข้าพเจ้าให้เข้าค่ายบ้านหนองบัว ข้าพเจ้ามายืมเอาหอกของทิดโสภาหลานข้าพเจ้าได้เล่ม ๑ มาเข้าค่าย ค่ายหนองบัวกว้างยาวประมาณ ๑๐ เส้น คนรักษาค่ายอยู่ประมาณ ๑,๒๐๐ คน มีปืนคาบศิลาอยู่ในค่ายประมาณ ๑๐๐ เศษ อ้ายพวกเวียงจันท์ให้ข้าพเจ้ารักษาค่ายข้างตะวันออก ครั้น ณ วันขึ้นค่ำ ๑ เดือน ๖ เพลาเย็น ทัพไทยเข้าไปตีค่ายได้รบกันอยู่จนเพลาสว่าง ทัพลาวจึงแตกหนีไป ทัพไทยไล่จับเอาข้าพเจ้าได้มาจำข้าพเจ้าไว้ได้ ๒ คืน จึงส่งตัวข้าพเจ้าลงมาที่ทัพหลวงแม่น้ำปชีได้ ๒ คืน แล้วส่งข้าพเจ้าลงมา ณ กรุงเทพฯ สิ้นคำให้การข้าพเจ้าแต่เท่านี้ หนังสืออานามสยามยุทธ มีข้อความสำคัญตอนหนึ่งว่า ครั้น ณ วันเดือนอ้ายแรมสิบสามค่ำ เจ้าพระยาราชสุภาวดีมีบัญชาสั่งให้พระอนุรักษ์โยธา ๑ พระโยธาสงคราม ๑ หลวงเทเพนทร ๑ หลวงพิไชยเสนา ๑ พระนครศรีบริรักษ์เจ้าเมืองขอนแก่น ๑ ราชวงศ์ เมืองชลบถ ๑ พระมหาดไทยเมืองนครราชสีมา ๑ รวมเป็นนายทัพนายกองแปดนายคุมไพร่พลแปดร้อยคุมตัวเจ้าอนุและครอบครัวลงมาส่งให้ถึงเมืองสระบุรีซึ่งพระยาพิไชยวารี (โต) ขึ้นไปตั้งรับครอบครัวส่งเสบียงอาหารอยู่ที่เมืองสระบุรีนั้นแล้ว พระยาพิไชยวารีจึงสั่งให้ทำการขังเจ้าอนุตั้งประจานไว้กลางเรือ แสดงหลักฐานให้เห็นว่าเมืองขอนแก่นและเมืองชลบถมีความชอบในราชการสงครามครั้งนี้และได้รับความไว้วางใจอย่างยิ่ง จึงได้รับหน้าที่ให้ควบคุมเชลยคนสำคัญลงไปกรุงเทพฯ เหตุการณ์หลังจากศึกเจ้าอนุวงศ์เวียงจันท์ ภูเวียง เคยมีฐานะเป็นเมืองขึ้นต่อนครเวียงจันทน์มาแล้วเมื่อเสร็จศึกเวียงจันท์ปี พ.ศ. ๒๓๖๙ จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นเมือง ขึ้นต่อเมืองขอนแก่น และเมืองขอนแก่นขึ้นโดยตรงต่อกรุงเทพฯ ปรากฏในหนังสือบอกสมัยรัชกาลที่ ๓ มีเจ้าเมืองชื่อหลวงไกรสงครามเมืองนี้มีหน้าที่ส่งส่วยทองคำผงจำนวนน้ำหนักปีละ ๒๕๓๐ ตำลึง แสดงให้เห็นว่าในท้องที่นี้จะต้องมีแหล่งแร่ทองคำ ข้าพเจ้าอ่านพบในหนังสือก้อมว่าเมืองนี้มีหน้าที่ส่งส่วยทองแดงมาแต่โบราณ (หัวขวานทองแดงซึ่งทำจากทองแดงที่ไม่ได้ถลุง และทองสำริดที่ค้นพบบริเวณโนนนกทาคงจะได้ทองแดงจากแหล่งนี้) ครั้งสุดท้ายเคยไปส่งส่วยทองแดงที่ค่ายหมากแข้ง (อุดรธานี) ข้าพเจ้าจึงสำรวจหาแหล่งแร่ทองแดงบริเวณที่เคยขุดไปส่งส่วยซึ่งมีชื่อว่า ฮ่อมอัดผักตูตึหมา ในที่สุดจึงได้พบแร่ยูเรเนียม คำกราบบังคมทูลของกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ลงวันที่ ๒ มกราคม ร.ศ. ๑๑๓ มีข้อความเกี่ยวกับการเลือกภูมิประเทศเป็นที่ตั้งเมืองศูนย์กลางการปกครองของข้าหลวงต่างพระองค์เมื่อมีความจำเป็นต้องถอยห่างจากชายแดน ๒๕ กม. ตามข้อตกลงกับฝรั่งเศส ร.ศ. ๑๑๒ ดังนี้ ประการหนึ่งท่านผู้มาเป็นข้าหลวงต่อไปนั้น ถ้าครบ ๆ ชนิดเดียวกัน คงจะชอบที่นี้เป็นแน่ ถ้าสติท่านดี เมืองสกลนครนั้นก็ได้สร้างไว้แล้ว แต่ก็เท่ากัน ทางที่จะเข้ามาจากสกลถึงนคร ตั้งแต่หนองคายถึงหมากแข้งก็เท่าเพราะเราเสียช่องทางที่คับขันเสียหมดแล้ว อีกแห่งหนึ่งเป็นที่ดีอย่างที่สุดคือเมืองภูเวียงเขาว่ามีเขาสูงล้อมรอบมีทางจำเภาะเข้า จนผู้ร้ายลักสัตว์พาหนะไม่ได้ น้ำก็บริบูรณ์ที่นาก็มากอยู่นั้นทั้งสิ้น ตามที่เสียงว่าฆ่าศึกจะล้อมไว้สิบปีก็ไม่อด แต่ใช้เป็นอย่างอุกริษเป็นการขัดอยู่เช่นนี้ จึงเห็นด้วยเกล้าว่าที่ใดสู้ที่บ้านหมากแข้งไม่ได้ ด้วยเหตุผลดังที่ได้รับพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณามานี้ ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดขอนแก่น . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จินดาสาส์น , ๒๕๒๙ . หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:43:00 มุกดาหาร
เดิมดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง เต็มไปด้วยป่าดงพงไพร ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพวกคนป่าอันสืบเชื้อสายมาจากขอม เช่น พวกข่า ส่วย กระโซ่ เมืองสำคัญส่วนมากตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เช่น กรุงศรีสัตนาคนหุต เมืองพวน (เชียงขวาง) ตลอดทั้งดินแดนสิบสองจุไทยและหัวพันทั้งห้าทั้งหก ซึ่งเป็นเผ่าไทยที่อพยพลงมาทางใต้ แต่แยกออกเป็นอาณาจักรต่าง ๆ เช่น อาณาจักรโยนก อาณาจักรเชียงแสน อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรล้านช้าง เป็นต้น จนถึง พ.ศ. ๒๒๓๑ เมื่อพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) สวรรคต พระยาเมืองแสนได้ชิงเอาราชสมบัติขึ้นครองเวียงจันทน์ พระมเหสีของพระเจ้ากรุงเวียงจันทน์องค์เดิมได้พาโอรส ๒ พระองค์ คือ เจ้าองค์หล่อ และเจ้าองค์หน่อ (เจ้าหน่อกุมาร) อพยพหลบหนีตามลำน้ำโขงมาอาศัยอยู่กับ พระครูโพนเสม็ด เมื่อเจ้าองค์หล่อเจริญวัยขึ้น มีความโกรธแค้นพระยาเมืองแสนซึ่งชิงเอาราชสมบัติ จึงพาบ่าวไพรไปอยู่เมือง ญวน ซ่องสุมผู้คนคอยหาโอกาสแก้แค้นพระยาเมืองแสน ฝ่ายพระยาเมืองแสนผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุตเห็นว่าพระครูโพนเสม็ดมีผู้คนรักใคร่เกรงกลัวนับถือมาก หากปล่อยไว้อาจจะคิดแย่งชิงเอาบ้านเมือง จึงคิดจะกำจัดพระครูโพนเสม็ดเสีย เมื่อพระครูโพนเสม็ดรู้ระแคะระคายว่าพระยาเมืองแสนจะคิดทำร้ายจึงรวบรวม ผู้คนได้ ๓ พันเศษ พาเจ้าหน่อกุมารพร้อมด้วยมารดา (พระมเหสีของพระเจ้ากรุงเวียงจันทน์) อพยพลงมาตามลำน้ำโขง เมื่อเห็นว่าที่ใดทำเลดีอุดมสมบูรณ์ก็ให้ผู้คนที่ติดตามแยกย้ายกันตั้งบ้านตั้งเมืองขึ้นตามความสมัครใจในแถบถิ่นสองฝั่งแม่น้ำโขง จึงเกิดเป็นเมืองต่าง ๆ ขึ้นและแผ่ขยายต่อมาออกไปทั่วภาคอีสานในปัจจุบัน ท่านพระครูโพนเสม็ด อพอพผู้คนลงมาตามลำน้ำโขง เมื่อถึงที่ใดก็มีคนเลื่อมใสศรัทธามากขึ้นตามลำดับ ท่านพระครูโพนเสม็ดได้บูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๓ และได้แบ่งคนจำนวนหนึ่งให้อยู่อุปฐากพระธาตุพนม แล้วได้อพยพต่อไปถึงนครจำบากนาคบุรีศรี (นครจำปาศักดิ์) จึงได้ยกเจ้าหน่อกุมารขึ้นเป็นกษัตริย์ ถวายพระนามว่า เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทชางกรูเปลี่ยนนามนครจำบากนาคบุรีศรี เป็นนครจำปาศักดิ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๕๖ เมืองมุกดาหารได้ก่อกำเนิดขึ้นในยุคนี้ โดยได้อพยพลงมาทางใต้ตามลำดับ จากเมืองไร่เมืองปุงบ้านน้ำน้อยอ้อยหนู ลงมาตามลำน้ำโขงและตั้งบ้านตั้งเมืองอยู่ ณ บ้านหลวงโพนสิม (บริเวณธาตุอิงฮ้งแขวงสุวรรณเขตในปัจจุบัน) เมื่อเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทชางกรู สถาปนานครจำปาศักดิ์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๒๕๖ จึงได้ตั้งเจ้าเมืองขึ้นคือ ๑) ตั้งเจ้าจันทร์สุริยวงษ์ เป็นเจ้าเมืองหลวงโพนสิม (ต่อมาได้อพยพมาตั้งเมืองมุกดาหาร) ๒) ตั้งให้ท้าวสุด เป็นพระชัยเชษฐฯ เจ้าเมืองหางโค (เมืองเชียงแตง) ๓) ตั้งให้เจ้าแก้วมงคล (จารย์แก้ว) เป็นเจ้าเมืองเมืองทง (ภายหลังเปลี่ยนนามเป็นเมืองสุวรรณภูมิ และต่อมาได้แยกเป็นเมืองร้อยเอ็ด สารคาม กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ฯลฯ ๔) ตั้งให้ท้าวมั่น เป็นหลวงเอกอาษาเจ้าเมืองสาลวัน (ต่อมาแยกเป็นเมืองสาลวัน เมืองคำทองใหญ่ เมืองคำทองน้อย ซึ่งอยู่ในแขวงสาลวันและแขวงวาปีคำทองในประเทศลาวปัจจุบัน) ๕) ตั้งให้อาจารย์โสม เป็นเจ้าเมืองอิ๊ดตะบือ (เมืองอัตบือ) เมืองต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีบุตรหลานสืบสกุลเป็นเจ้าเมืองต่อ ๆ กันมา และได้แตกแยกออกเป็นเมืองต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย ฝ่ายเมืองหลวงโพนสิม เมื่อเจ้าจันทร์สุริยวงษ์ถึงแก่กรรมแล้ว เจ้ากินรีได้เป็นเจ้าเมืองสืบต่อมาอีกจนถึง พ.ศ. ๒๓๑๐ จึงได้อพยพข้ามโขงมาตั้งเมืองใหม่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงปากห้วยมุก มูลเหตุที่เจ้ากินรีจะย้ายเมืองมาตั้งใหม่มีอยู่ว่า วันหนึ่งนายพรานจากบ้านหลวงโพนสิมได้ข้ามโขงมาล่าสัตว์ตรงปากห้วยบังมุก ได้พบต้นตาลต้นหนึ่งมี ๗ ยอด และเห็นกองอิฐปรักพังอยู่บริเวณใต้ต้นตาล ๗ ยอดนั้น จึงสันนิษฐานว่าคงเป็นบ้านเมืองในสมัยโบราณมาก่อนนายพรานจึงนำไปเล่าให้เจ้ากินรีฟัง เมื่อเจ้ากินรีมาตรวจดูเห็นว่าเป็นทำเลดีเหมาะสมที่จะตั้งบ้านตั้งเมือง จึงได้ชักชวนพรรคพวกมาตั้งเมืองขึ้นใหม่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงปากห้วยมุก วันหนึ่งขณะที่เจ้ากินรีควบคุมบ่าวไพร่ในกลางป่าอยู่ใกล้ต้นตาล ๗ ยอด เจ้ากินรีได้พบพระพุทธรูป ๒ องค์ องค์ใหญ่เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน องค์เล็กเป็นพระพุทธรูปเหล็กอยู่ใต้ต้นโพธิ์ เจ้ากินรีจึงให้สร้างวัดขึ้น ในบริเวณนั้นและตั้งชื่อว่า วัดศรีมุงคุณ (วัดศรีมงคล) เพื่อเป็นมงคลนามแก่ชาวเมืองและเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสององค์ เมื่ออัญเชิญพระพุทธรูปสององค์ไปไว้ในโบสถ์แล้ว วันรุ่งขึ้นอีกวันเมื่อพระภิกษุประจำวัดจะเข้าไปสักการะ ก็ปรากฏว่าไม่พบพระพุทธรูปเหล็ก (องค์เหล็ก) เมื่อค้นดูรอบ ๆ บริเวณวัด ปรากฏว่าพระพุทธรูปเหล็กกลับไปประดิษฐานอยู่ใต้ต้นโพธิ์ที่เดิมแต่จมลงไปในดิน และวันต่อ ๆ มาก็ค่อย ๆ จมลงในดิน เหลือแต่ยอดพระโมฬี เจ้ากินรีจึงให้สร้างแท่นสักการะบูชาไว้ ณ ที่นั้นและถวายพระนามว่า พระหลุมเหล็กส่วนพระพุทธรูปองค์ใหญ่คงประดิษฐานอยู่ในโบสถ์วัดศรีมงคล เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเจ้ากินรีตั้งเมืองขึ้นใหม่ ตอนกลางคืนจะเห็นแก้วดวงหนึ่งสีสดใสลอยออกจากต้นตาล ๗ ยอด แล้วลอยกลับมาที่ต้นตาลตอนเช้ามืดแทบทุกคืน เจ้ากินรีจึงเรียกนามแก้วศุภนิมิตรนั้นว่า แก้วมุกดาหาร เพราะอยู่ใกล้ห้วยบังมุก (บัง แปลว่า ลำห้วย) และตั้งนามเมืองว่า เมืองมุกดาหาร เมื่อเดือน ๔ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๓ (มุกดาหาร หมายถึง แก้วไข่มุก) เป็นต้นมา และมีเจ้าปกครองสืลบต่อกันมาตามลำดับ รวม ๘ คน คือ เจ้ากินรี เจ้ากินรี ได้เป็นเจ้าเมืองมุกดาหารคนแรก ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๑ พระวอ พระตา เจ้าเมืองหนองบัวลำภู (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุดรธานี) เกิดวิวาทกับเจ้าผู้ครองนครเวียง-จันทน์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงได้ให้เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพมาตามลำน้ำโขงเพื่อปราบปรามเมืองนครจำปาศักดิ์และนครเวียงจันทน์ให้ขึ้นอยู่ในอาณาจักรธนบุรีบรรดาหัวเมืองน้อยใหญ่ตามลำน้ำโขงและเมืองมุกดาหารจึงรวมอยู่ในข้าขอบขัณฑสีมาของกรุงธนบุรีตั้งแต่นั้นมา เจ้ากินรีได้รับสถาปนาขึ้นเป็น พระยาจันทร์ศรีสุราชอุปราชาพัณฑาตุราช มีบุตรธิดา รวม ๗ คน คือ ท้าวกิ่ง ท้าวอุ่น ท้าวชู และธิดาอีก ๔ คน เจ้ากินรีได้แต่งตั้งกรมการเมืองขึ้น คือ ๑. ท้าวกิ่ง เป็นอุปฮาด ๒. ท้าวอุ่น เป็นราชวงษ์ ๓. ท้าวชู เป็นราชบุตร เจ้ากินรีได้ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๗ พระยาจันทร์สุริยวงษ์ (กิ่ง) ท้าวกิ่งผู้เป็นบุตรเจ้ากินรีและเป็นอุปฮาดเมืองมุกดาหาร ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองในอันดับ ๒ ต่อมาได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นที่ พระยาจันทร์สุริยวงษ์ (ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุง-รัตนโกสินทร์) พระยาจันทร์สุริยวงษ์ได้ขอพระราชทานแต่งตั้งกรมการเมืองมุกดาหารตามตำแหน่งคือ ๑. ท้าวอุ่น เลื่อนขึ้นเป็นอุปฮาด ๒. ท้าวชู เลื่อนขึ้นเป็นราชวงษ์ ๓. ท้าวแผ่น เป็นราชบุตร พร้อมกับได้แต่งตั้งกรมการเมืองและท้าวเพี้ยชั้นผู้น้อยครบตามตำแหน่ง คือ เมืองแสน เมืองจันทร์ (ตำแหน่งฝ่ายทหาร) เมืองซ้าย เมืองขวา เมืองกลาง (ตำแหน่งฝ่ายมหาดไทย) ชาเนตร ชานนท์ ชาบัณฑิต (ตำแหน่งหน้าที่ในการร่างและอ่านหนังสือราชการ) เมืองมุก เมืองฮาม (ตำแหน่งควบคุมเรือนจำ) นาเหนือ นาใต้ (ตำแหน่งรวบรวมเสบียงอาหารใส่ยุ้งฉางไว้รับศึกสงคราม พระยาจันทร์สุริยวงษ์ มีบุตรธิดา หลายคน คือ ภรรยาคนที่ ๑ ชื่อ เจ้านางยอดแก้ว มีบุตรธิดารวม ๖ คน คือ ท้าวพรม ท้าวทัง ท้าวคำ นางคิม นางเฮ้า นางรุน ภรรยาคนที่ ๒ ชื่อ เจ้านางประทุม (เจ้านครจำปาศักดิ์) มีบุตรธิดารวม ๒ คน คือ นางอ่อน ท้าวจีน ภรรยาคนที่ ๓ ซึ่งเป็นชาวบ้านคำป่าหลาย มีบุตรธิดารวม ๖ คน คือ ท้าวตู้ ท้าวไข่ ท้าวปาน ท้าวเม้า ท้าวปุ่น นางไอ่ ภรรยาคนที่ ๔ ซึ่งเป็นชาวบ้านหนองหล่ม มีธิดาคนเดียว คือ นางอั้ว ครั้นอยู่ต่อมาอุปฮาด (อุ่น) และราชวงษ์ (ชู) ได้ถึงแก่กรรม พระยาจันทร์สุริยวงษ์ จึงได้ขอพระราชทานสัญญาบัตรให้บุตร ๓ คน ขึ้นเป็นกรมการเมือง คือ ๑. ท้าวพรหม เป็นอุปฮาด ๒. ท้าวทัง เป็นราชวงษ์ ๓. ท้าวคำ เป็นราชบุตร พ.ศ. ๒๓๔๙ เจ้าอนุวงษ์ (เจ้าอนุรุทธกุมาร) แห่งนครเวียงจันทน์ เจ้าเมืองนครพนมและเจ้าเมืองมุกดาหาร ได้ร่วมกันบูรณะพระอุโบสถในวัดพระธาตุพนม พ.ศ. ๒๓๕๐ เจ้าอนุวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์ ให้ท้าวขัตติยะวงษาร่วมมือกับเจ้าเมืองมุกดาหารสร้างวัดท่งเว้าขึ้นในเขต เมืองมุกดาหาร (วัดท่งเว้า ปัจจุบันเป็นวัดร้างตลิ่งพังจนพระพุทธรูปจมลงไปในแม่น้ำโขง ชาวบ้านเรียกว่า เวินพระฯ อยู่ในแขวงสุวรรณเขตตอนใต้ตรงข้ามกับบ้านท่าใค้ อ.เมืองมุกดาหาร) พ.ศ. ๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์ เป็นขบถต่อกรุงเทพพระมหานคร (สมัยรัช-กาลที่ ๓) โดยให้อุปราชติสสะแห่งนครเวียงจันทน์กรีธาทัพตีเมืองกาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุวรรณภูมิ ให้เจ้านครจำปาศักดิ์ตีเมืองอุบล สุรินทร์ และสังขะ ให้ชานนท์ตีเมืองตามลำแม่น้ำโขง เช่น เมืองมุกดาหารและเขมราฐกวาดต้อนผู้คนไปเป็นจำนวนมาก แต่ถูกกองทัพไทยซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพปราบปรามจนสงบราบคาบ พ.ศ. ๒๓๘๓ พระยาจันทร์สุริยวงษ์ ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อเดือนเจียง (เดือนอ้าย) แรม ๕ ค่ำ พระจันทร์สุริยวงษ์ (พรหม) ท้าวพรหม อุปฮาดเมืองมุกดาหาร ซึ่งเป็นบุตรเจ้าเมืองได้เป็นเจ้าเมืองมุกดาหารในลำดับที่ ๓ ต่อมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๘๓ ได้ขอพระราชทานสัญญาบัตรแต่งตั้งกรมการเมืองขึ้นใหม่ คือ ๑. ท้าวคำ เลื่อนขึ้นเป็นอุปฮาด ๒. ท้าวสุราช เป็นราชวงษ์ ๓. ท้าวจีน เป็นราชบุตร (บุตรพระยาจันทร์ฯ เจ้าเมืองลำดับที่ ๒ มารดาเป็นเจ้านครจำปาศักดิ์ พ.ศ. ๒๓๘๘เนื่องจากกองทัพญวนได้เข้ารุกรานดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงอยู่เนือง ๆ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) จึงได้เกณฑ์ทัพเมืองอุบล ๔,๓๐๐ คน ทัพเมือง เขมราฐ ๑,๗๐๐ คน ทัพเมืองมุกดาหาร ๑,๑๐๐ คน ทัพเมืองนครพนม ๕๐๐ คน ทัพเมืองสกลนคร ๑,๓๐๐ คน ฯลฯ ยกไปตีเมืองพิน เมืองนอง เมืองวัง เมืองตะโปน (เซโปน) เมืองผาบัง เมืองเชียงฮ่ม กวาดต้อนผู้คนมาอยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง ซึ่งต่อมาได้ตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้น เช่น เมืองเรณูนคร เมืองหนองสูง เมืองกุฉินารายณ์ เมืองวาริชภูมิ ฯลฯ เจ้าเมืองมุกดาหารได้ขอให้ท้าวสิงห์ เป็นพระไกรสรราชเจ้าเมืองหนองสูงขึ้นเมืองมุกดาหารส่วนท้าวสายเมืองนครพนมขอให้เป็น พระแก้วโกมล เจ้าเมืองเรณูนคร พระจันทร์สุริยวงษ์ (พรหม) มีบุตรธิดา คือ นายสะ ท้าวแท่ง ท้าวขว้าง นางคิม นางหล้า พระยาจันทร์สุริยวงษ์ (พรหม) ได้ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๕ เจ้าจันทรเทพสุริยวงษ์ดำรงรัฐสีมามุกดาธิบดี (เจ้าหนู) เมื่อเจ้าเมืองมุกดาหารถึงแก่อนิจกรรม ตำแหน่งเจ้าเมืองได้ว่างมา ๓ ปี จนถึง พ.ศ. ๒๔๐๗ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหนูซึ่งเป็นเจ้านคร เวียงจันทน์ เป็นราชนัดดา (หลานของเจ้าอนุวงศ์) เป็นพระโอรสของเจ้านันทเสน ซึ่งไปรับราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองมุกดาหารและพระราชทานสัญญาบัตรให้เจ้าหนู เป็นเจ้าจันทรเทพสุริยวงษ์ดำรงรัฐสีมามุกดาธิบดี (เนื่องจากไม่ไว้ในลูกหลานเจ้าอนุ จึงไม่ยอมให้กลับไป ปกครองเวียงจันทน์เลยตั้งมาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองมุกดาหาร) ปรากฏว่ากรมการเมืองไม่พอใจ ที่ เจ้าหนูเป็นเจ้าเวียงจันทน์มาปกครองเมืองมุกดาหาร จึงเกิดมีการทะเลาะเบาะแว้งบาดหมางกันอยู่เสมอ เจ้าจันทรเทพฯ (เจ้าหนู) จึงขอพระราชทานสัญญาบัตรให้ ๑. ท้าวจีน เลื่อนขึ้น เป็นอุปฮาด (ท้าวจีนเป็นบุตรเจ้าเมืองมุกดาหารลำดับที่ ๒) ๒. เจ้าวีรบุตร (บุตรเจ้าหนู) เป็นราชวงษ์ ๓. ท้าวแท่ง เป็นราชบุตร (ท้าวแท่งเป็นบุตรเจ้าเมืองมุกดาหาร ลำดับที่ ๓) ส่วนท้าวคำฮุปฮาดคนเดิม ซึ่งชาวบ้านชาวเมืองคิดว่าจะได้เป็นเจ้าเมือง เจ้าหนูได้ขอ พระราชทานสัญญาบัตรให้เป็น พระพฤติมนตรี ตำแหน่งที่ปรึกษาราชการเมืองมุกดาหาร พ.ศ. ๒๔๐๙ เจ้าจันทร์เทพฯ (เจ้าหนู) ได้ขอยกบ้านแขวงบางทรายขึ้นเป็นเมืองพาลุกา-กรภูมิ (ปัจจุบันคือหมู่บ้านพาลุกา ต. บ้านหว้าน) ขึ้นเมืองมุกดาหาร (พาลุกา เป็นภาษาบาลีมาจาก คำว่า พาลุกะ แปลว่า ราย) และขอพระราชทานให้ท้าวทัด (บุตรท้าวทังราชวงษ์เมืองมุกดาหาร) ฉะนั้นเมืองมุกดาหารจึงมีเมืองขึ้นในยุคนั้น คือ ๑. เมืองหนองสูง พระไกรสรราช (สิงห์) เป็นเจ้าเมือง ๒. เมืองพาลุกากรภูมิ พระอมรฤทธิธาดา (ทัด) เป็นเจ้าเมือง ดินแดนของเมืองมุกดาหารในยุคนั้นกว้างขวาง อาณาเขตจดแดนญวนรวมถึงเมืองพิน เมืองนอง เมืองพ้อง เมืองพลาน เมืองเซโปน (ตะโปน) และเมืองวังมล พ.ศ. ๒๔๐๙ เนื่องจากฝรั่งเศสได้ดินแดนญวนและเขมรกำลังจะรุกล้ำเข้ามาในพระราชอาณาเขตของกรุงสยามทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ประเทศลาว) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงเดชดัษกร หลวงอินทนอนันต์ ขุนวิสูตรและมิสเตอร์ โดยชักชวนชาวอังกฤษมาสำรวจทำแผนที่ตามลำน้ำโขงตั้งแต่เมืองหลวงพระบางถึงเมืองมุกดาหาร เนื่องจากเจ้าจันทร์เทพฯ เป็นเจ้าเชื้อสายเวียงจันทน์และมีนิสัยชอบมากชู้หลายเมีย จึงเกิดความแตกแยกในเมืองมุกดาหาร ครั้งหนึ่งเจ้าจันทร์เทพนั่งคานหาม (เสลี่ยง) เข้าไปนมัสการพระธาตุพนม เกิดวิวาทกับเจ้าอาวาส (พระครูพรหมา) วัดพระธาตุพนมอย่างรุนแรง พ.ศ. ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) สวรรคตเมื่อมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ (รัชกาลที่ ๕) ขึ้นครองราชย์เจ้าจันทร์เทพจึงถูกกล่าวโทษ โดยพระพฤติมนตรี ที่ปรึกษาราชการเมืองมุกดาหารอุปฮาดราชบุตรถวายฎีกาไปที่กรุงเทพฯ ให้ท้าวสีหาบุตร ท้าวสุริโยมหาราช เพี้ยเมืองแสน เพี้ยเมืองกลาง และท้าวอุทธา ถือใบบอก (คำกราบบังคมทูล) ลงไปกรุงเทพฯ เมื่อวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๙ เจ้าจันทร์เทพฯ ถูกถอดออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองและถึงแก่พิราลัยขณะเดินทางกลับพระนคร เจ้าจันทร์เทพฯ มีบุตรและธิดาคือ เจ้านางบุญมี เจ้านางจำเริญ เจ้าวีรบุตร พระพฤติมนตรี (คำ) พระพฤติมนตรี เป็นบุตรพระยาจันทร์สุริยวงษ์ (กิ่ง) เจ้าเมืองมุกดาหาร เคยเป็นราชบุตร ราชวงษ์ และอุปฮาดเมืองมุกดาหารตามลำดับ เมื่อดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองมุกดาหารแล้วพระพฤติมนตรี ก็ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นที่ พระจันทร์สุริยวงษ์ ตามทำเนียบนามและได้ขอพระราชทานสัญญาบัตรให้- ๑. ท้างแท่ง เลื่อนขึ้นเป็นอุปฮาด (บุตรเจ้าเมืองในลำดับที่ ๓) ๒. ท้าวบุญเฮ้า เป็นราชวงษ์ ๓. ท้าวเล เป็นราชบุตร (บุตรท้าวสุวอ) พ.ศ. ๒๔๑๗ โปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น กัลยาณมิตร) เป็นข้าหลวงใหญ่มาจัดราชการอยู่ที่เมืองอุบล อาณาเขตและอำนาจของข้าหลวงใหญ่ควบคุมถึงนครจำปาศักดิ์และเมืองมุกดาหาร พ.ศ. ๒๔๑๘ เกิดศึกฮ่อทางเมืองหนองคายและเวียงจันทน์จึงให้เกณฑ์กองทัพเมืองมุกดาหารไปในการปราบปรามศึกฮ่อซึ่งมีเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงเป็นแม่ทัพ พ.ศ. ๒๔๒๒ พระธิเบศวงศา (ดวง) เจ้าเมืองกุฉินารายณ์ ขึ้นเมืองกาฬสินธุ์เกิดวิวาทบาดหมางกับพระไชยสุนทร (หนู) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ เมืองกุฉินารายณ์ถวายฎีกาขอร้องไม่ยอมขึ้นเมืองกาฬสินธุ์ต่อไป จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งเหนือเกล้าฯ มาจากกรุงเทพฯ ให้เมืองกุฉินารายณ์ขึ้นเมืองมุกดาหาร อีกเมืองหนึ่ง พระพฤติมนตรี (คำ) เจ้าเมืองมีบุตรธิดาคือ ท้าวสุริยวงษ์ (เสือ) นางโถน นางถ่วนคำ ท้าวโอด ท้าวจันทร์ นางขาว พระพฤติมนตรีเจ้าเมืองได้ถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ. ๒๔๒๒ พระจันทร์สุริยวงษ์ (บุญเฮ้า) เมื่อพระพฤติมนตรี เจ้าเมืองถึงแก่อนิจกรรมนั้น ท้าวแท่ง อุปฮาดก็ถึงแก่กรรมเสียก่อน ท้าวบุญเฮ้า ราชวงษ์ จึงได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น พระจันทร์สุริยวงษ์ เจ้าเมืองสืบแทนต่อมา ท่านเป็นบุตรของพระราชกิจภักดี (บัว) ผู้ช่วยราชการเมืองมุกดาหารและเป็นบุตรเขยของท้าวแท่ง (อุปฮาด) ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร เป็นเจ้าเมืองเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีเถาะ ร.ศ. ๙๘ (พ.ศ. ๒๔๒๒) ได้ขอพระราชทานสัญญาบัตรตั้งกรมการเมือง คือ ๑. ท้าวเล (ราชบุตร) เลื่อนขึ้นเป็นอุปฮาด ๒. ท้าวสุริยวงษ์ (เสือ) บุตรเจ้าเมือง (คำ) เป็นราชวงษ์ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:43:20 มุกดาหาร ๒
๓. ท้าวสุวรรณสาร (เมฆ) บุตรอุปฮาด (แท่ง) เป็นราชบุตร พ.ศ. ๒๔๒๒ พระไกรสรราช (สิงห์) เจ้าเมืองหนองสูงขึ้นเมืองมุกดาหารถึงแก่กรรมจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปฮาด (ลุน) เป็นพระไกรสรราช เจ้าเมืองหนองสูงสืบแทนต่อมา พ.ศ. ๒๔๒๕ ทัพญวนได้รุกรานดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ได้มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งเหนือเกล้า ให้เมืองมุกดาหารแต่งกองราชตระเวณรักษาด่านทางเหนือตั้งแต่เซบั้งไฟ ทางใต้ถึงท่าซะคุคะ ทางตะวันออกจดด้านตึงยะเหลา เขาหลวงแดนญวน และให้เมืองท่าอุเทนรักษาด่านตั้งแต่เซบั้งไฟถึงแม่น้ำปากซัน ฯลฯ พ.ศ. ๒๔๒๖ พระธิเบศวงศา (ดวง) เจ้าเมืองกุฉินารายณ์ ขึ้นเมืองมุกดาหารถึงแก่กรรม เจ้าเมืองกาฬสินธุ์คนใหม่ขอยกเมืองกุฉินารายณ์กลับไปขึ้นเมืองกาฬสินธุ์อย่างเดิม (เมืองกุฉินารายณ์ขึ้นเมืองมุกดาหาร ๔ ปี) พ.ศ. ๒๔๒๙ พระอมรฤทธิ์ธาดา (ทัด) เจ้าเมืองพาลุกากรภูมิถึงแก่กรรม จึงขอพระราช-ทานสัญญาบัตรให้ราชวงษ์ (กุ) เป็น พระอมรฤทธิ์ธาดา เจ้าเมืองพาลุกาภูมิ ขึ้นเมืองมุกดาหาร พ.ศ. ๒๔๓๐ ฮ่อมารุกรานเมืองหลวงพระบางและเมืองหนองคายอีกครั้งหนึ่ง ท้าวสุวรรณสาร (เมฆ) ราชบุตรเมืองมุกดาหาร (ภายหลังเป็นพระยาศศิวงศ์ประวัติ) เป็นนายกองคุมพลเมืองมุกดาหาร พร้อมด้วยท้าวไชยกุมาร (แป้น) กรมการเมืองมุกดาหาร และเพี้ยอินทฤาไชย (ต้นตระกูล สวัสดิวงศชัย) กรมวังเมืองมุกดาหารได้นำกำลังไพร่พลไปสมทบกับกองทัพของพระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น ศรีเพ็ญ) และกองทัพใหญ่ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมแม่ทัพใหญ่ พระจันทร์สุริยวงษ์ (บุญเฮ้า) มีบุตรธิดาคือ พระวรบุตร นางโง่น นางเป็น ท้าวเทพ นางไข่คำ นางหล้า ท้าวที นางพิม นางอุดทา นางพา ท้าวหนูขาว พระจันทร์ (บุญเฮ้า) เจ้าเมืองได้ถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ. ๒๔๓๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ส่ง..เซนเซอร์..บศิลาหน้าเพลิงจากกรุงเทพฯ มาพระราชทานเพลิงศพ พระยาศศิวงศ์ประวัติ (เมฆ) เมื่อเจ้าเมืองมุกดาหารถึงแก่กรรม บรรดาอุปฮาด ราชวงษ์ถึงแก่กรรมเสียก่อนแล้ว คงเหลือแต่ท้าวสุวรรณสาร (เมฆ) ราชบุตรรักษาราชการแทนอยู่ ๒ ปี ท้าวสุวรรณสาร (เมฆ) เป็นบุตรอุปฮาด (แท่ง) ท่านจึงได้นำต้นไม้เงินสองต้นสูงต้นละสองศอก ต้นไม้ทองสองต้นสูงต้นละสองศอกและเครื่องราชบรรณาการลงไปทูลเกล้าฯ ถวายที่กรุงเทพมหานครพร้อมด้วยท้าวเผือก ท้าวแสง ท้าวมาต- สุริยวงษ์ และท้าวสุริโย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวสุวรรณสาร (เมฆ) ราชบุตรเมืองมุกดาหารเป็น พระจันทร์เทพสุริวงษ์ เจ้าเมืองมุกดาหาร พระราชทานคณโฑทองคำ พานหมากถมเครื่องในทองคำ เสื้อเข็มทบดอกก้านแย่ง ผ้าม่วงจีนและเครื่องยศบรรดาศักดิ์ตามประเพณีท่านได้อัญเชิญสัญญาบัตรตราตั้งถึงเมืองมุกดาหารเมื่อวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๔ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรมการเมือง คือ ๑. ท้าวสุริยวงศ์ (เสริม) เป็นอุปฮาด (บุตรอุปฮาดแท่ง) ๒. ท้าวแสง (บุตรเจ้าเมือง) เป็นราชวงษ์ ๓. ท้าวไชยกุมาร (แป้น) เป็นราชบุตร ๔. พระราชากิจภักดี (คำ) เป็นผู้ช่วยราชการ พ.ศ. ๒๔๓๔ ได้มีการจัดตั้งการปกครองแบบมณฑลขึ้นในภาคอีสาน เมืองมุกดาหารขึ้นอยู่กับมณฑลลาวพวน ซึ่งมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ สำเร็จราชการมณฑลลาวพวน (มีอำนาจเป็นที่สองของพระเจ้าแผ่นดินในภาคนี้) ประทับอยู่ ณ เมืองหนองคาย มณฑลพวนบังคับบัญชาหัวเมืองต่อไปนี้คือ เมืองหนองคาย เมืองหล่มศักดิ์ เมืองท่าอุเทน เมืองไชยบุรี เมืองหนองหาร เมืองสกลนคร เมืองนครพนม เมืองมุกดาหาร เมืองกมุทาไสย เมืองโพนพิสัย เมืองเชียงขวาง เมืองคำเกิด เมืองคำม่วน เมืองบริคัณฑนิคม (เมืองคำเกิดคำม่วน เมืองเชียงขวาง เมืองบริคัณฑนิคม ต่อมาอยู่ในอาณานิคมฝรั่งเศส) ส่วนมณฑลอื่น ๆ ก็มี มณฑลลาวตะวันออกเฉียงเหนือ (อุบล) มณฑลลาวฝ่ายตะวันออก (นครจำปาศักดิ์) มณฑลลาวกลาง (นครราชสีมา) เป็นต้น อนึ่ง เนื่องจากในสมัยพระจันทร์เทพฯ (เจ้าหนู) เป็นเจ้าเมืองมุกดาหาร ได้ตกลงกับ เจ้าเมืองอุบลคือเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ ขอยกเมืองสองคอนดอนดงซึ่งเคยขึ้นเมืองอุบลมาขึ้นเมืองมุกดาหาร (เมือง สองคอนดอนดงปัจจุบันอยู่ในแขวงสุวรรณเขต ประเทศลาว) เมื่อมีการจัดการปกครองแบบมณฑลขึ้น ทางเมืองอุบลจึงขอให้เมืองสองคอนดอนดงกลับไปขึ้นเมืองอุบลอีกในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ พ.ศ. ๒๔๓๖ (ร.ศ. ๑๑๒) ไทยเสียดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส อาณาเขตเมืองมุกดาหารจึงเหลืออยู่เฉพาะทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง เนื่องจากทางราชการไม่ไว้ใจในราชการชายแดน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยากำแหงสงคราม (จัน อินทรกำแหง) มาเป็นข้าหลวงกำกับ ราชการชายแดนด้านเมืองมุกดาหาร พระยากำแหงสงครามปฏิบัติราชการอยู่ที่ชายแดนเมืองมุกดาหารรวม ๓ ปี จึงเดินทางกลับ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๘ ขณะนั่งเรือกลับไปเมืองหนองคาย ตามลำน้ำโขงถูกฝรั่งเศสที่บ้านท่าแห่ (สุวรรณเขต) จับกุมในข้อหาว่านำทหารไทยรุกล้ำชายแดน พระยากำแหงฯ ถูกควบคุมตัวอยู่ที่บ้านท่าแห่หลายเดือนพร้อมด้วยลูกน้องที่ติดตามคือ หลวงชำนาญ (นายเคลือบ ทิพานนท์) ขุน ปัจจานึกพินาศ (นุ้ย เทียมสุริยา) นายตุนและนายเหมาะ พระยาศศิวงษ์ประวัติเจ้าเมืองมุกดาหาร ได้คุมกำลังเมืองมุกดาหารไปรับราชการชายแดน เมื่อฝรั่งเศสได้รุกล้ำดินแดนของพระราชอาณาจักรสยาม ได้มีการปะทะกันที่แก่งเจ๊กและอีกหลายแห่ง กองทหารไทยจากกรุงเทพฯ ซึ่งมี พ.ต.แย้ม ภมรมนตรี (บิดา พล.ท.ประยูร ภมรมนตรี) เป็น ผู้บังคับบัญชา ไม่ยอมจำนนและไม่ยอมถอนทหารกลับ แม้ทางกรุงเทพฯ จะยอมเซ็นสัญญายกดินแดนลาวทั้งหมดให้ฝรั่งเศสก็ตาม ทหารฝรั่งเศสปลดอาวุธและจับ พ.ต.แย้ม ภมรมนตรี ส่งข้ามฟากมาขึ้นที่เมืองมุกดาหาร พ.ศ. ๒๔๔๒ ให้เปลี่ยนชื่อมณฑลลาวพวนเป็นมณฑลฝ่ายเหนือ และย้ายกองบัญชาการ มณฑลฝ่ายเหนือ จากเมืองหนองคายมาตั้งที่บ้านหมากแข้ง ในปีเดียวกัน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ข้าหลวงต่างพระองค์เสด็จกลับพระนคร พระวงศ์เธอพระองค์เจ้าวัฒนา (ม.จ.ชายวัฒนา รองทรง พระองค์เจ้าหลานเธอในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์) ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่มณฑลฝ่ายเหนือแทน (ยกเลิกตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการ) จึงทรงปรับปรุงการปกครองมณฑลฝ่ายเหนือ โดยให้เมืองต่าง ๆ รวมกันเป็นบริเวณ คือ เมืองมุกดาหาร เมืองท่าอุเทน เมืองนครพนม เมืองเรณูนคร รวมกันเรียกว่าบริเวณธาตุพนม ให้แต่ละเมืองมี ผู้ว่าราชการเมืองปกครองยุบตำแหน่งเจ้าเมืองส่วนข้าหลวงมาประจำเมือง และให้ข้าหลวงประจำเมือง ผู้ว่าราชการเมือง ขึ้นกับข้าหลวงประจำบริเวณตั้งที่ทำการบริเวณที่เมืองนครพนม ตำแหน่งข้าหลวงจึงเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาราชการของผู้ว่าราชการเมือง การลงนามในหนังสือราชการจึงต้องลงนามทั้งสองคน คือทั้งข้าหลวงประจำเมืองและผู้ว่าราชการเมือง บริเวณอื่น ๆ ในมณฑลฝ่ายเหนือมีบริเวณสกลนคร บริเวณน้ำเพือง เมืองเลย บริเวณภาชีขอนแก่น บริเวณหมากแข้ง (อุดรธานี) ผู้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงประจำเมืองมุกดาหารคนแรก คือขุนพิทักษ์ธุรกิจ (จ๋วน) และ ผู้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงประจำบริเวณธาตุพนม คือพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ (เลื่อง ภูมิรัตน์) เมื่อมีการปรับปรุงการปกครองใหม่ เจ้าเมืองมุกดาหาร คือ พระจันทรเทพสุริยวงษา (เมฆ) จึงกราบถวายบังคมลาออกจากราชการเนื่องจากมีอายุมาก จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระจันทรเทพฯ เจ้าเมืองเป็น พระยาศศิวงษ์ประวัติ จางวางที่ปรึกษาราชการเมืองมุกดาหาร และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชวงษ์ (แสง) บุตรพระยาศศิวงษ์ฯ เป็นพระจันทรเทพสุริยวงษา ผู้ว่าราชการเมืองมุกดาหาร พระยาศศิวงษ์ประวัติ (เมฆ) เกิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๑๒ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๘๘ ท่านได้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ ๗๒ ปี (พ.ศ. ๒๔๖๐) พระจันทรเทพสุริยวงษา (แสง) ราชวงษ์ (แสง) บุตรพระยาศศิวงษ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองมุกดาหาร ขึ้นกับบริเวณธาตุพนม ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๒ พ.ศ. ๒๔๔๓ ให้เปลี่ยนนามมณฑลฝ่ายเหนือเป็นมณฑลอุดร เลิกบริเวณต่าง ๆ ให้แต่ละเมืองขึ้นกับมณฑลอุดร เมืองมุกดาหารจึงขึ้นกับมณฑลอุดร (จัดการปกครองแบบบริเวณปีเดียว) อนึ่ง ยังได้มีการยกเลิกตำแหน่งอุปฮาด ราชวงษ์ ราชบุตรในมณฑลอุดรด้วย โดยให้มี ตำแหน่งปลัดเมือง มหาดไทยเมือง ยกบัตรเมือง แทนเช่นมณฑลอื่นของกรุงสยามจึงแต่งตั้งให้ ๑. อุปฮาด (เสริม) เป็นพระดำรงมุกดาหาร ตำแหน่งปลัดเมือง ๒. ราชบุตร (แป้น) เป็นพระวิจารณ์อธิกรณ์ ตำแหน่งศาลเมือง ๓. ท้าวสุก เป็นหลวงวิจารณ์อักขรา ตำแหน่งมหาดไทยเมือง ๔. ท้าวเคน เป็นหลวงบุรินทร์มุกดารักษ์ ตำแหน่งนครบาลเมือง ๕.ท้าวแสง เป็นหลวงธนาการณกิจ ตำแหน่งคลังเมือง ๖. ท้าวหนู เป็นหลวงสมัครนครมุก ตำแหน่งโยธาเมือง ส่วนเมืองขึ้นเมืองมุกดาหาร คือเมืองหนองสูง และเมืองพาลุกากรภูมิ ก็ได้แต่งตั้งกรมการเมือง คือ เมืองหนองสูง หลวงอำนาจณรงค์ (บุศร์) เป็นผู้รักษาเมือง หลวงทรงฤทธิรอน (เสือ) เป็นปลัดเมือง ขุนอมรศักดาเดช (พรหม) เป็นคลังเมือง เมืองพาลุกากรภูมิ หลวงเทวาสำแดงเดช (หล้า) เป็นผู้รักษาเมือง หลวงอมรเรศรักษา (พัด) เป็นปลัดเมือง หลวงอมรานุรักษ์ (หอม) เป็นคลังเมือง พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้มีการพระราชทานเหรียญปราบฮ่อแก่ผู้ที่ไปในราชการสงครามครั้งปราบฮ่อเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๐ ข้าราชการเมืองมุกดาหารซึ่งได้รับเหรียญปราบฮ่อ คือ ๑. พระยาศศิวงษ์ประวัติ (เมฆ) จางวางเมืองมุกดาหาร ๒. พระดำรงมุกดาหาร (เสริม) ปลัดเมือง ๓. พระวิจารณ์อธิกรณ์ (แป้น) ยกบัตรเมือง ๔. หลวงพิทักษ์เทพสถาน กรมวังเมืองมุกดาหาร (ตำแหน่งกรมวัง คือ ตำแหน่งในจวนเจ้าเมือง) ๕. เพี้ยอินทฤาไชย กรมการเมืองมุกดาหาร (ต้นสกุลสวัสดิวงศ์ชัย) พ.ศ. ๒๔๔๔ พระอนุชาติวุฒาธิคุณ (แพ ณ หนองคาย) มาดำรงตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการเมืองมุกดาหาร แทนขุนพิทักษ์ธุรกิจ ในปีนี้ฝรั่งเศสซึ่งได้เมืองลาวเป้นเมืองขึ้น ได้มาตั้งเมืองที่บ้านท่าแห่ขึ้น ตั้งนามเมืองว่า "เมืองสุวรรณเขต" (เมืองสุวรรณเขต) ผู้ที่เป็นเจ้าเมืองสุวรรณเขต คนแรกที่ฝรั่งเศสแต่งตั้งขึ้นคือ "ท้าวฮ่อม" (ญาหลวงฮ่อม) ซึ่งเป็นบุตรหลานสืบสกุลไปจากเจ้าเมืองมุกดาหารและเมืองพาลุกากรภูมิ (ดูลำดับเครือญาติมุกดาหาร) พ.ศ. ๒๔๔๕ พระดำรงมุกดาหาร (เสริม) ปลัดเมือง และพระวิจารณ์อธิกรณ์ (แป้น) ยกบัตรเมืองมุกดาหาร ถึงแก่กรรม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ส่ง..เซนเซอร์..บศิลาหน้าเพลิงจากกรุงเทพฯ มาพระราชทานเพลิงศพ พ.ศ. ๒๔๔๙ พระจันทรเทพสุริยวงษา (แสง) ผู้ว่าราชการเมืองมุกดาหาร ถึงแก่กรรมเมื่อเดือนพฤษภาคม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสด็จตรวจราชการถึงเมืองมุกดาหาร ในเดือนมกราคม เดือนมีนาคม เป็นเดือนสิ้นปี สมัยเป็นอำเภอมุกดาหาร ได้มีการปรับปรุงการปกครองในมณฑลอุดรเป็นจังหวัดและอำเภอใน พ.ศ. ๒๔๕๐ เมืองมุกดาหารถูกยุบลงเป็นอำเภอมุกดาหาร เมืองหนองสูงย้ายไปตั้งอยู่ที่บ้านนาแก เมืองพาลุกากรภูมิยุบลงเป็นตำบลบ้านหว้าน เมืองเรณูนครยุบลงเป็นตำบลเรณูนคร ตั้งอำเภอธาตุพนมขึ้นแทน ขึ้นจังหวัดนครพนม เปิดที่ทำการอำเภอมุกดาหาร เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ผู้มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอมุกดาหารคนแรก คือ หลวงทรงสราวุธ (เจิม วิเศษรัตน์) ภายหลังเลื่อนขึ้นเป็นพระบริหาราชอาณาเขต (เมื่อย้ายไปเป็นปลัดหนองคาย) ต่อมาภายหลังเลื่อนขึ้นเป็นพระยาสมุทรศักดารักษ์ (เมื่อย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสงคราม) ท่านได้กลับมาดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม อีกครั้งสุดท้าย เมื่อมีการตั้งจังหวัดและอำเภอขึ้นแล้ว ได้มีการตั้งกรมการพิเศษจังหวัดนครพนมขึ้นผู้ที่เป็นกรมการพิเศษส่วนมากเป็นเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการเมืองเก่า ๆ คือ ๑. พระยาศศิวงษ์ (เมฆ ประวัติ) เมืองมุกดาหาร ๒. พระพินิจพนมการ (ทองคำ) เมืองนครพนม ๓. พระพิทักษ์พนมนคร (โก๊ะ) เมืองนครพนม ๔. พระศรีวรราช (แก้ว) เมืองท่าอุเทน ๕. พระอารัญอาษา (ปาน) เมืองกุสุมาลย์ ๖. พระพินิจพจนกรณ์ (ทอนแก้ว) ๗. หลวงพิทักษ์ประชาชน (ตูม) ๘. หลวงสรรพกิจบริหาร (คำวัง) ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดมุกดาหาร พ.ศ. ๒๕๒๕ ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษเล่ม ๙๙ ตอนที่ ๑๒๑ ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๒๕ ยกฐานอำเภอมุกดาหารขึ้นเป็นจังหวัด ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๒๕ เป็นต้นไป โดยให้แยกอำเภอมุกดาหาร อำเภอคำชะอี อำเภอดอนตาล อำเภอนิคมคำสร้อย กิ่งอำเภอดงหลวง และกิ่งอำเภอหว้านใหญ่ ออกจากการปกครองของจังหวัดนครพนม รวมตั้งขึ้นเป็นจังหวัดมุกดาหาร ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดมุกดาหาร. ขอนแก่น : โรงพิมพ์ศิริภัณฑ์ออฟเซ็ท, ๒๕๒๙. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:44:02 อุดรธานี
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา อุดรธานีแหล่งอารยธรรมโบราณ ดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันนี้ร่องรอยแสดงว่า ได้เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่เป็นเวลานานไม่แพ้แหล่งอื่น ๆ ของโลก อาจจะเป็นเวลานานนับถึงห้าแสนปี ตามหลักฐานการขุดค้นของนักโบราณคดีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ได้พบแล้ว โดยเฉพาะดินแดนที่เป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยนับเป็นแหล่งที่สามารถยืนยันได้ เพราะเป็นแหล่งที่มีการขุดค้นทางโบราณคดีที่สำคัญอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์ความเป็นมาของมนุษยชาติ แหล่งขุดค้นที่สำคัญที่นักโบราณคดีและกองโบราณคดีกรมศิลปากร ได้ทำการขุดค้นพบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของนักโบราณคดีระหว่างประเทศว่าเป็นแหล่งที่มีความเจริญทางวัฒนธรรมสูง มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้แก่ การขุดค้นที่บ้านโนนนกทา ตำบลนาดี อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น และที่บ้านเชียง ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขุดค้นที่บ้านเชียง นับเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทางโบราณคดีไปทั่วโลก วัฒนธรรมบ้านเชียงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ บ้านเชียงเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งค้นพบว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยและที่ฝั่งศพของคนก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะ เมื่อราว ๕,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว มีความเจริญก้าวหน้าทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีสูงมาแต่โบราณ ชาวบ้านเชียงโบราณเป็นชุมชนยุคโลหะที่รู้จักทำการเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ นิยมทำเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับจากสำริด ในระยะแรกและรู้จักใช้เหล็กในระยะต่อมา แต่ก็ยังคงใช้สำริดควบคู่กันไป ชาวบ้านเชียงโบราณรู้จักทำเครื่องปั้นดินเผาภาชนะสีเทา ทำเป็นลายขูดขีด ลายเชือกทาบและขัดมัน รู้จักทำภาชนะดินเผาลายเขียนสี รูปทรงและลวดลายต่าง ๆ มากมาย กรมศิลปากรได้ส่งเครื่องปั้นดินเผาที่ขุดพบที่บ้านเชียงนี้ ไปตรวจสอบคำนวณหาอายุโดยใช้วิธีเทอร์โมลูมิเนสเซนส์ (THERMOLUMINES CENSE) ที่ห้องปฏิบัติการของพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่ามีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ - ๗,๐๐๐ ปี ซึ่งเครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสีที่พบที่บ้านเชียงนี้นับว่ามีอายุเก่าแก่กว่าที่ค้นพบที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จากความเห็นและการสันนิษฐานของนายชิน อยู่ดี ภัณฑารักษ์พิเศษของกรมศิลปากร ได้ให้ความเห็นว่า " เป็นเครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสีที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปเอเชียอาคเนย์ " และอาจจะเก่าแก่ที่สุดในโลกก็เป็นได้ นอกจากนั้นชาวบ้านเชียงโบราณยังรู้จักทำเครื่องจักสาน ทอผ้า มีประเพณีการฝังศพ ฝังสิ่งของ เครื่องใช้ อาหารรวมกับศพเป็นการอุทิศให้กับผู้ตาย สิ่งของที่เป็นโบราณวัตถุซึ่งได้จากการสำรวจรวบรวมและขุดค้นที่บ้านเชียงรวมแหล่งใกล้เคียง เช่น ขวาน ใบหอก มีด ภาชนะดินเผาทั้งที่เขียนสีและไม่เขียนสี และดินเผาลูกกลิ้งดินเผา แม่พิมพ์หินใช้หล่อเครื่องมือสำริด ทำจากหินทรายเบ้าดินเผา รูปสัตว์ดินเผา ลูกปัดทำจากหินสีและแก้วกำไล และแหวนสำริด ลูกกระสุนดินเผา ขวานหินขัดและได้พบเศษผ้าที่ติดอยู่กับเครื่องมือสำริด แกลบข้าวที่ติดอยู่กับเครื่องมือเหล็ก เป็นต้น จากการสำรวจและขุดค้นที่ผ่านมา และการขุดค้นของกรมศิลปากรร่วมกับมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๗-๒๕๑๘ ได้สรุปผลการวิจัยเรื่องสภาพแวดล้อมชีวิตความเป็นอยู่ เทคโนโลยีของวัฒนธรรมบ้านเชียงโบราณและกำหนดอายุสมัยโดยประมาณพอสรุปได้ว่า ชุมชนบ้านเชียงในสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นชุมชนเกษตรกรรมยุคโลหะ มีความเจริญก้าวหน้ามานานแล้ว สามารถแบ่งลำดับขั้นวัฒนธรรมสังคมเกษตรกรรมที่บ้านเชียงออกเป็น ๖ สมัย โดยกำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์วิธีคาร์บอน ๑๔ ว่า วัฒนธรรมสมัยที่ ๑ หรือชั้นดินล่างสุดของบ้านเชียงมีอายุประมาณ ๕,๖๐๐ ปีมาแล้ว จากการศึกษาวิเคราะห์กระดูกสัตว์และเปลือกหอยทำให้มีความคิดว่าคนก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงในระยะแรกได้เลือกตั้งถิ่นฐานในบริเวณป่าที่ถูกถากถาง มีการเลี้ยงสัตว์และล่าสัตว์ด้วย พอถึงสมัยที่ ๔ เมื่อราว ๓,๖๐๐ ปีมาแล้วรู้จักใช้เครื่องมือ เหล็ก เลี้ยงควาย เพื่อช่วยในการทำนา ในสมัยที่ ๕ เมื่อราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว มีการทำภาชนะดินเผาลายเขียนสีลงลายและรูปทรงหลายแบบ พอถึงสมัยที่ ๖ จึงทำแต่ภาชนะดินเผาเคลือบสีแดงหรือเขียนสีบนพื้นสีแดง ทำเครื่องประดับที่มีส่วนผสมของโลหะที่มีความวาวมากขึ้น กำหนดอายุได้ราว ๑,๗๐๐ ปีมาแล้ว จากการค้นพบแกลบข้าวที่ติดอยู่กับเครื่องมือเหล็ก การค้นพบเครื่องมือสำริด แม่พิมพ์เครื่องมือสำริด เบ้าดินเผา ทำให้สามารถกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมบ้านเชียงมีความเจริญก้าวหน้าสูง รู้จักการใช้โลหะกรรมหล่อหลอมสำริด และปลูกข้าวที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ไม่น้อยกว่า ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว และมีความเจริญทางวัฒนธรรมสูงกว่าบริเวณอื่น ๆ ของประเทศไทย จากการสันนิษฐานโดยอาศัยหลักฐานการขุดค้นทางโบราณคดีของศาสตรจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียรที่ว่า "มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน ในสมัยเมื่อ ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว มีความเจริญทางวัฒนธรรม ไม่เท่าเทียมกันทั้งประเทศ กล่าวคือ ขณะที่พวกที่อาศัยอยู่ทางแควน้อยและแควใหญ่ของจังหวัดกาญจนบุรีเมื่อ ๓,๗๐๐ ปี ใช้หินเป็นเครื่องมือและใช้หินกระดูกสัตว์และเปลือกหอยเป็นเครื่องประดับนั้น พวกที่อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศมีความเจริญรุดหน้ากว่า รู้จักใช้สำริดมาทำเป็นเครื่องประดับและรู้จักใช้เหล็กทำเป็นเครื่องมือ ." ซึ่งข้อสันนิษฐานดังกล่าวข้างตันตรงกับสันนิษฐานของศาสตราจารย์ ดร.โซเฮล์ม (DR.W.G.SOLHEIM) แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้ให้ความเห็นว่า " ความเจริญทางวัฒนธรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยจากการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่า ได้มีการใช้สำริดทำกันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยก่อนแหล่งอื่น ในโลกภาคตะวันออก คือประมาณ ๒,๕๐๐ ปี ก่อนคริสตศักราช คือประมาณ ๔,๔๗๒ ปีมาแล้วใกล้เคียงกับเวลาที่ใกล้ที่สุดที่อาจเป็นได้ ที่บ้านเชียง " ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่อำเภอบ้านผือ นอกจากนี้กรมศิลปากรยังได้พบขวานหินขัดของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่เรียกกันว่าขวานฟ้า ที่อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานีอีกด้วย และที่บริเวณเทือกเขาภูพานใกล้วัดพระพุทธบาทบัวบก ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี นี้เอง ได้พบร่องรอยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ว่าเคยได้อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ กล่าวคือได้มีการค้นพบ ภาพเขียนสีบนผนังถ้ำ หรือเพิงถ้ำของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่บริเวณถ้ำลาย บนเทือกเขาภูพาน บ้านโปร่งฮี ตำบลกลางใหญ่ อำเภอบ้านผือ เป็นลายเขียนเส้นสีเหลือง เป็นรูปเรขาคณิต คือเป็นรูปสี่เหลี่ยมและรูปเส้นวกไปวกมาติดต่อกัน และที่บริเวณถ้ำโนนเสาเอ้ บ้านติ้ว ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ พบว่า เป็นรูปทรงเรขาคณิตคล้ายที่ถ้ำลาย บางรูปเขียนเป็นเส้นใหญ่ ๆ ขนานกันหลายเส้น และในบริเวณใกล้เคียงกันนี้ยังได้พบภาพฝ่ามือทาบบนผนังถ้ำ ภาพเขียนสีบนผนังถ้ำเป็นรูปคน, รูปวัวแดง, บริเวณเทือกเขาภูพานใกล้วัดพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผืออีกด้วย จึงเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าดินแดนที่เป็นจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบันนั้น อดีตเคยเป็นแหล่งที่อาศัยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีความเจริญทางวัฒนธรรมในระดับสูงจนเป็นที่ยอมรับกันในทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีระหว่างประเทศว่า วัฒนธรรมบ้านเชียงนั้นเป็นความเจริญที่เกิดขึ้นในระหว่างระยะเวลา ๕,๐๐๐-๗,๐๐๐ ปีมาแล้ว และได้มีการขนานนามวัฒนธรรมที่เกิดในยุคร่วมสมัยของบ้านเชียงที่เกิดในแหล่งอื่นของโลกว่า BANCHIANG CIVILIZATION. และจากเหตุผลดังกล่าวนี้เองจึงเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ที่ว่า ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ได้รับวัฒนธรรมจากจีนมาตั้งแต่สมัยโบราณมาเป็น ในทางกลับกัน ตามความเห็นและข้อสันนิษฐานของศาสตราจารย์ ดร.เชสเตอร์ กอร์มัน (DR. CHESTER GORMAN) แห่งมหาวิทยาลัย เพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ว่า " ดินแดนที่เรียกว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมิใช่เป็นบริเวณล้าหลัง ในทางวัฒนธรรมแต่อย่างใดและไม่ได้เป็นดินแดนที่รับวัฒนธรรมจากจีน แต่เป็นผู้แผ่วัฒนธรรมไปให้จีน " นอกจากร่องรอยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบที่จังหวัดอุดรธานีแล้ว ในทางประวัติศาสตร์ยังพบว่าบริเวณใกล้วัดพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ กรมศิลปากร ได้พบโบราณวัตถุในสมัยต่าง ๆ คือ พบใบเสมา สมัยทวารวดี (ประมาณ พ.ศ. ๑๒๐๐ - ๑๖๐๐ ) พระพุทธรูปแกะสลักจากหินทราย ศิลปะสมัยทวารวดีตอนปลายต่อกับศิลปะสมัยลพบุรีตอนต้น (ประมาณ พ.ศ. ๑๒๐๐-๑๘๐๐) และภาพเขียนปูนบนผนังโบสถ์ ที่ปรักหักพัง เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ศิลปะสมัยทวารวดี จึงเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าบริเวณที่เป็นจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบันนั้น เคยเป็นแหล่งที่อยู่ของมนุษย์ทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์ ซึ่งมีการสืบเนื่องความเจริญทางวัฒนธรรมมาเป็นระยะเวลานาน สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จอำเภอหนองบัวลำภู ภายหลังจากที่กรุงสุโขทัยเสื่อมอำนาจลงแล้ว สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)ได้ ผนวกอาณาจักรสุโขทัยเข้ารวมกับอาณาจักรอยุธยาใน พ.ศ. ๑๙๘๑ และในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็น ราชธานีนี่เอง ไทยเราต้องทำศึกสงครามกับพม่ามาโดยตลอด ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะเรื่อยมา และเสียกรุงศรีอยุธยา ๒ ครั้ง คือ ใน พ.ศ. ๒๑๑๒ และ พ.ศ. ๒๓๑๐ แต่ถึงแม้เพลี่ยงพล้ำให้แก่พม่าข้าศึก แต่ไทยเราก็ยังมีวีรกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงสามารถกอบกู้เอกราชของชาติไทยให้กลับคืนมาได้คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ทรงประกาศอิสรภาพใน พ.ศ. ๒๑๒๗ และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชใน พ.ศ. ๒๓๑๐ ดังที่ได้กล่าวในเบื้องต้นแล้วว่า พื้นที่ที่เป็นจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบันนั้น เคยเป็นแหล่งที่อยู่ของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และยังได้พบหลักฐานทางโบราณคดีที่เป็นหลักฐานว่า ในสมัยประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยทวารวดีจวบจนถึงสมัยสุโขทัย ก็เป็นแหล่งความเจริญเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนมาโดยตลอด และอาจเป็นส่วนหนึ่งในเขตการปกครองของอาณาจักรโคตรบูรณ์ที่มีเมืองสำคัญอยู่ที่นครพนมก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้หลักฐานปรากฏชัดเจนทางโบราณคดียังไม่อาจสืบสวนได้ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจังหวัดอุดรธานีได้รับการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ดังนั้นจึงไม่ปรากฏชื่อเมืองอุดรธานีปรากฏในประวัติศาสตร์พงศาวดารในสมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่ทั้งนี้ชื่อสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นอำเภอที่ขึ้นการปกครองกับจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบันนั้น ได้เคยมีประวัติปรากฏตามพงศาวดารและประวัติศาสตร์ ดังนี้คือ จากหลักฐานลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ลงวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ซึ่ง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชนุภาพ ได้ทรงเล่าตอนหนึ่งว่า " เรื่องตำบลหนองบัวลำภูนั้นเมื่อหม่อมฉันขึ้นไปตรวจราชการมณฑลอุดร ได้สืบถามว่าอยู่ที่ไหน เพราะเห็นเป็นที่สำคัญมีชื่อในพงศาวดารเมื่อครั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ยกกองทัพขึ้นไปช่วยพระเจ้าหงสาวดีตีกรุงศรีสัตนาคณหุต ได้พาพระนเรศวรราชบุตรไปด้วย เมื่อไปถึงหนองบัว-ลำภู พระนเรศวรไปประชวรออกทรพิษ พระเจ้าหงสาวดีจึงอนุญาตให้กองทัพไทยยกกลับลงมา " และสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเล่ารายละเอียดในพระนิพนธ์ เรื่องประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้ว่า " ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๑๑๗ ได้ข่าวไปถึงเมืองหงสาวดีว่า พระเจ้าไชยเชษฐา เมืองลานช้างไปตีเมืองญวนเลยเป็นอันตรายหายสูญไปและที่เมืองลานช้างเกิดชิงราชสมบัติกัน พระเจ้าหงสาวดีเห็นได้ทีก็ยกกองทัพหลวงไปตีเมืองเวียงจันทน์ ครั้งนั้นตรัสสั่งมาให้ไทยยกกองทัพไปสมทบด้วยสมเด็จพระมหาธรรมราชาฯ กับสมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปเองทั้ง ๒ พระองค์ เวลานั้นสมเด็จพระนเรศวรพระชันษาได้ ๑๙ ปี เห็นจะได้เป็นตำแหน่ง เช่น เสนาธิการในกองทัพ แต่เมื่อยกไปถึงหนองบัวด่านของเมืองเวียงจันทน์ เผอิญสมเด็จพระนเรศวรไปประชวรออกทรพิษพระเจ้าหงสาวดีทรงทราบก็ตรัสอนุญาตให้กองทัพไทยกลับมามิต้องรบพุ่ง พระเจ้าหงสาวดีได้เมืองเวียงจันทน์ แล้วก็ตั้งให้อุปราชเดิมซึ่งได้ตัวไปไว้เมืองหงสาวดีตั้งแต่พระมหาอุปราชาตีเมืองครั้งแรกนั้น ครองอาณาเขตลานช้างเป็นประเทศราช ขึ้นต่อกรุงหงสาวดีต่อมา " เมืองหนองบัวลำภูเมืองเก่าของจังหวัดอุดรธานี เมืองหนองบัวลำภูนั้นมีชื่อเรียกอื่น คือ เมืองหนองบัวลุ่มภู เมืองกมุทาสัย หรือนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบานนั้น จากการสันนิษฐานของนักโบราณคดีและประวัติศาสตร์เชื่อว่า เป็นเมืองที่มีความเจริญเก่าแก่ตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ ซึ่งต่อมาในสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี ได้มีพงศาวดารกล่าวถึงเมืองหนองบัวลำภูในหนังสือพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอิสานซึ่งหม่อมอมร วงษ์วิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเณจร) เรียบเรียงไว้ ความตอนหนึ่งว่า " จุลศักราช ๑๑๒๙ ปีกุญ นพศก (พ.ศ. ๒๓๑๐) พระเจ้าองค์หล่อ ผู้ครองกรุงศรีสัตนาคณหุตถึงแก่พิราไลย หามีโอรสที่จะสืบตระกูลไม่ แสนท้าวพระยา แลนายวอนายตาจึงได้เชิญกุมารสองคน (มิได้ปรากฏนาม) ซึ่งเป็นเชื้อวงษ์ พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคณหุตคนเก่า (ไม่ปรากฏว่าคนไหน) อันได้หนีไปอยู่กับนายวอนายตา เมื่อพระเจ้าองค์หล่อยกำลังมาจับพระยาเมืองแสนฆ่านั้น ขึ้นครองกรุงศรีสัตนาคณหุตแล้ว นายวอนายตาจะขอเป็นที่มหาอุปราชฝ่ายน่า ราชกุมารทั้งสองเห็นว่า นายวอนายตามิได้เป็นเชื้อเจ้า จึงตั้งให้นายวอนายตาเป็นแต่ตำแหน่งเสนาบดี ณ กรุงศรีสัตนาคณหุตแล้วราชกุมารผู้เชษฐาจึงตั้งราชกุมารผู้เป็นอนุชาให้เป็นมหาอุปราชขึ้น ฝ่ายพระวอ พระตา ก็มีความโทมนัสด้วยมิได้เป็นที่มหาอุปราชดังความประสงค์ จึงได้อพยพครอบครัวพากันมาตั้งสร้างเวียงขึ้นบ้านหนองบัวลำภู แขวงเมืองเวียงจันทน์ เสร็จแล้วยกขึ้นเป็นเมืองให้ชื่อว่า เมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน ฝ่าย พระเจ้าศรีสัตนาคณหุตทราบเหตุดังนั้น จึ่งให้แสนท้าวพระยาไปห้ามปรามมิให้พระวอพระตาตั้งเป็นเมืองพระวอพระตาก็หาฟังไม่ พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคณหุตจึ่งได้ยกกองทัพมาตี พระวอพระตาสู้รบกันอยู่ได้ประมาณสามปี พระวอพระตาเห็นว่าต้านทานมิได้จึ่งได้แต่งคนไปอ่อนน้อมต่อพม่าขอกำลังมาช่วยฝ่ายผู้เป็นใหญ่ในพม่าจึงได้แต่งให้มองละแงะเป็นแม่ทัพคุมกำลังจะมาช่วยพระวอ พระตา ฝ่ายกรงุศรีสัตนาคณหุตทราบดังนั้น จึงแต่งเครื่องบรรณาการให้แสนท้าวพระยาคุมลงมาดักกองทัพพม่าอยู่กลางทางแล้วพูดเกลี้ยกล่อมชักชวนเอาพวกพม่าเข้าเป็นพวกเดียวกันได้แล้ว พากันยกทัพมาตีพระวอพระตาก็แตก พระตาตายในที่รบ ยังอยู่แต่พระวอกับท้าวฝ่ายน่า ท้าวคำผง ท้าวทิดพรหม ผู้เป็นบุตรพระตา แล้วท้าวทิดก่ำผู้บุตรพระวอ แล้วจึ่งพาครอบครัวแตกหนีอพยพลงไปขอพึ่งอยู่กับพระเจ้าองค์หลวงเจ้าเมืองไชยกุมาร เมืองจำปาศักดิ์ " และต่อมาพระวอได้ขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งภายหลังพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคณหุต ได้ส่งกองทัพมาโจมตีพระวออีก และพระวอถูกฆ่าตายที่ตำบลเวียงดอนกลาง เป็นเหตุให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดฯ ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีกรุงเวียงจันทน์แตกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๑ ดังนั้น จึงอาจสันนิษฐานได้ว่าบริเวณที่เป็นจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบันนั้น ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นนั้น อาจขึ้นการปกครองกับอาณาจักรลานช้าง กรุงศรีสัตนาคณหุต ดังจะเห็นได้ว่า เมืองหนองบัวลำภูเคยเป็นเมืองหน้าด่านของกรุงศรีสัตนาคณหุต และนอกจากนี้เมืองหนองหานหรือเมืองหนองหานน้อย ซึ่งปัจจุบันคืออำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ก็เคยพบคูเมืองโบราณ ซึ่งสันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองที่รุ่งเรืองมาแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ยุทธภูมิ ไทย - ลาว ที่หนองบัวลำภู เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้ทรงทะนุบำรุงบ้านเมืองให้มีความเจริญมาโดยตลอด ซึ่งในระยะเวลาดังกล่าวนั้นยังไม่ได้มีการจัดตั้งเมืองอุดรธานี ดังนั้นจึงยังไม่มีชื่อเมืองอุดรธานีปรากฏในประวัติศาสตร์และพงศาวดารในเวลานั้น แต่ได้มีการกล่าวถึงเมืองหนองบัวลำภูในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวในระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๙ - ๒๓๗๑ ได้เกิดกบฏเจ้านุวงศ์ขึ้นและได้มีข้อความเกี่ยวข้องกับเมืองหนองบัวลำภูอยู่ตอนหนึ่ง ตามสำเนาลายพระหัตถเลขาของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทูลสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ ลงวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ในสาส์นสมเด็จ เล่ม ๖ ความว่า " ในสมัยรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อเจ้าอนุเวียงจันทน์เป็นกบฏยกกองทัพมายึดเมืองนครราชสีมา ครั้นรู้ว่าที่ในกรุงฯ เตรียมกองทัพใหญ่จะขึ้นไป จึงถอยหนีกลับไปตั้งรับที่ หนองบัวลำภู ได้รบกับกองทัพไทยเป็นสามารถเมื่อหม่อมฉันไปได้รับคำชี้แจงที่เมืองอุดรว่า หนองบัวลำภูนั้นคือ เมืองกุมุทาสัย ซึ่งยกขึ้นเป็นเมืองเมื่อในรัชกาลที่ ๔ หม่อมฉันกลับลงมากรุงเทพฯ ได้มีท้องตราซึ่งให้เปลี่ยนชื่อเมือง กุมุทาสัย ซึ่งลดลงเป็นอำเภออยู่ในเวลานั้น กลับเรียกชื่อเดิมว่า "อำเภอหนองบัวลำภู" ดูเหมือนจะยังใช้อยู่จนบัดนี้ " การปราบปรามฮ่อในมณฑลลาวพวน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในระยะเวลานั้น นับเป็นเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในประวัติศาสตร์ไทย เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่ประเทศไทย (ในขณะนั้นเรียกว่าประเทศสยาม) ได้มีการติดต่อกับต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศทางตะวันตกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้วัฒนธรรม อารยธรรม ความเจริญต่าง ๆ ได้หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย ประกอบกับในระยะเวลานั้นเป็นระยะเวลาของการแสวงหาเมืองขึ้น ตามลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกของชาติตะวันตกที่สำคัญสองชาติ คือ อังกฤษ กับฝรั่งเศส ที่พยายามจะผนวกดินแดนบริเวณแหลมอินโดจีนให้เป็นเมืองขึ้นของตน และพยายามที่จะแสวงหาผลประโยชน์จากเมืองไทยในระหว่าง พ.ศ. ๒๓๙๑ - ๒๓๙๕ พวกจีนที่เป็นกบฏที่เรียกว่า กบฏไต้เผง ถูกจีนตีจากผืนแผ่นดินใหญ่ได้มาอาศัยอยู่ตามชายแดนไทย ลาว และญวน ซึ่งเวลานั้นดินแดนลาวที่เรียกว่าลานช้าง บริเวณเขตสิบสองจุไทยหัวพันทั้งห้าทั้งหกนั้นขึ้นอยู่กับประเทศไทย พวกฮ่อได้เที่ยวปล้นสดมภ์ ก่อความไม่สงบและได้กำเริบเสิบสานมากขึ้น จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๑๑ ได้เข้ายึดเมืองลาวกาย เมืองพวน เมืองเชียงขวาง และยกมาตีเมืองหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และหนองคายต่อไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เสด็จขึ้น ครองราชย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๑ จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุโขทัยกับพระยาพิชัยยกกองทัพไปช่วยหลวงพระบาง และให้พระยามหาอำมาตย์ยกทัพไปช่วยทางด้านหนองคาย แล้วรับสั่งให้เจ้าพระยาภูธราภัยยกกองทัพไปช่วย พระยามหาอำมาตย์อีกกองทัพหนึ่ง กองทัพไทยสามารถตีพวกฮ่อแตกพ่ายไป แต่กระนั้นก็ตามพวกฮ่อที่แตกพ่ายไปแล้วนั้นก็ยังทำการปล้นสดมภ์รบกวนชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งใน พ.ศ. ๒๔๒๘ พวกฮ่อได้ส้องสุมกำลังมากขึ้น จนสามารถยึดเมืองซอนลา เมืองเชียงขวาง และทุ่งเชียงคำไว้ได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพใหญ่ยกขึ้นไปปราบปรามทางด้านเมืองหนองคาย เรียกว่าแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้เจ้าหมื่นไวยวรนาถ (ต่อมาเป็นจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหลือทางเมืองหลวงพระบาง เมื่อวันที่ ๒ ฯ ๑๒ ๑๒ ค่ำ ปีระกา สัปตศก๑๘(ตรงกับวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๒๘) และได้ทรงมีพระบรมราโชวาทพระราชทานแก่แม่ทัพใหญ่ทั้งสอง ดังความตอนหนึ่งว่า " ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกกองทัพขึ้นไปเพื่อจะปราบปรามพวกฮ่อในเมืองพวน เมืองหัวพันทั้งหกครั้ง ด้วยทรงพระมหากรุณาแก่อาณาประชาราษฎรอันอยู่ในพระราชอาณาเขตร์ซึ่งพวกฮ่อมาย่ำยีตีปล้นเกบทรัพสมบัตร เสบียงอาหาร จุดเผาบ้านเรือน คุ่มตัวไปใช้สอยเปนทาษเปนเชลย ได้ความลำบากต่าง ๆ ไม่เปนอันที่จะทำมาหากิน จึงได้คิดจะปราบปรามพวกฮ่อเสียให้ราบคาบ เพื่อจะให้ราษฎรทั้งปวงได้อยู่เยนเปนศุข เพราะเหตุฉนั้นให้แม่ทัพนายกองทั้งปวงกำชับห้ามปรามไพร่พลในกองทัพอย่าให้เที่ยวข่มขี่ราษฎรทั้งปวง แย่งชิง เสบียงอาหารต่าง ๆ เหมือนอย่าง เช่น คำเล่าฤาที่คนปรกติมักจะเข้าใจว่าเปนธรรมเนียมกองทัพแล้ว จะแย่งชิงฤาคุมเหง คเนงร้ายผู้ใดแล้วไม่มีโทษ ให้การซึ่งทรงพระมหากรุณาแก่ราษฏรจะให้อยู่เยนเปนศุขนั้นกลับเปนความเดือดร้อนไปได้เปนอันขาด " กองทัพไทยทั้งฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือต้องประสบความลำบากในการทำสงครามกับพวกฮ่อ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นป่าเขา ซึ่งมีไข้ป่าชุกชุมทำให้ทหารฝ่ายไทยต้องล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ในที่สุดกองทัพไทยทั้งฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือก็สามารถตีพวกฮ่อแตกพ่ายไป หลังจากเหตุการณ์ปราบฮ่อได้สงบลงแล้ว ฝรั่งเศสซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนมหาอำนาจตะวันตกในเวลานั้นได้ขยายดินแดนเข้ามาในแหลมอินโดจีนเพื่อขยายอาณานิคมของตน และสามารถผนวกกัมพูชาได้ใน พ.ศ. ๒๔๑๐ ต่อมาได้ญวนทั้งประเทศเป็นอาณานิคมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๖ จากนั้นได้พยายามเข้าครอบครองลาว โดยอ้างสิทธิของญวนว่า ลาวเคยตกเป็นเมืองขึ้นของญวน ดังนั้นเมื่อฝรั่งเศสได้ญวนเป็นอาณานิคมแล้ว ลาวจะต้องเป็นเมืองขึ้นของญวนด้วย จึงได้ดำเนินการทุกวิถีทางที่จะได้ลาวเป็นเมืองขึ้น และยังต้องการให้ไทยเป็นเมืองขึ้นด้วย จากการขยายดินแดนของฝรั่งเศสในครั้งนี้ ทำให้กระทบกระเทือนต่อพระราชอาณาเขตของไทยเป็นอย่างยิ่ง หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:44:23 อุดรธานี ๒
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า นโยบายหลีกเลี่ยงการคบหาสมาคมกับชาติตะวันตกไม่สามารถที่จะทำให้ประเทศปลอดภัยได้ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงการปกครองของไทยที่ยังล้าสมัยอยู่ในเวลานั้น ด้วยการควบคุมดินแดนชายพระราชอาณาเขตให้มากกว่านี้เพราะถ้าหากไม่มีการควบคุมดังกล่าว อาจทำให้ฝรั่งเศสใช้เป็นช่องทางที่จะเข้าครอบครองประเทศไทยได้ จึงต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เหมาะสม การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล การปกครองหัวเมืองในสมัยก่อน พ.ศ. ๒๔๓๕ นั้น เป็นระบบที่เรียกว่า "กินเมือง" มีหลักอยู่ว่า ผู้เป็นเจ้าเมืองต้องทิ้งกิจธุระของตนมาประจำทำการปกครองบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากภัยอันตราย ราษฎรก็ต้องตอบแทนคุณเจ้าเมืองด้วยออกแรงช่วยทำการงานให้บ้างหรือแบ่งสิ่งของซึ่งทำมาหาได้ เช่น ข้าวปลาอาหาร เป็นต้น อันมีเหลือใช้ให้เป็นของกำนัลช่วยอุปการะมิให้เจ้าเมืองต้องเป็นห่วงในการหาเลี้ยงชีพ ทั้งนี้เจ้าเมืองจะมีกรมการเมืองเป็นผู้ช่วย โดยเจ้าเมืองเหล่านั้นมักจะเป็นชาวเมืองนั้นเองและส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกหลานของเจ้าเมืองคนเก่า ปกครองราษฎรกันเองโดยทางส่วนกลาง คือ กรุงเทพจะควบคุมดูแลในกิจการใหญ่ ๆ เช่น การส่งภาษีที่เก็บได้ในเมืองไปยังส่วนกลาง หรือส่งส่วย เป็นต้น ส่วนหัวเมืองประเทศราชนั้นเจ้าเมืองปกครองกันเองจะส่งเฉพาะดอกไม้เงินดอกไม้ทอง และเครื่องราชบรรณาการเท่านั้น เพราะในสมัยนั้นข้าราชการที่กรุงเทพไม่ค่อยมีผู้สมัครไปทำงานหัวเมือง การควบคุมดูแลจึงมีลักษณะไม่เด็ดขาดเจ้าเมืองในแต่ละเมืองจึงมีอำนาจสิทธิขาดมากหากเจ้าเมืองใดเป็นคนดีมีคุณธรรมบ้านเมืองก็สงบเรียบร้อย ในทางกลับกันหากบ้านเมืองใดเจ้าเมืองเป็นคนทุจริตบ้านเมืองก็ไม่สงบมีความเดือดร้อนทั่วไป ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าหัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ มากเท่าใดก็ยิ่งมีอิสรภาพในการปกครองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากการคมนาคมเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งในสมัยนั้น หัวเมืองที่รัฐบาลบังคับบัญชาโดยตรงมีแต่หัวเมืองจัตวา ใกล้ ๆ ราชธานี ส่วนหัวเมืองอื่น ๆ ซึ่งแบ่งไว้เป็นชั้น เอก โท ตรี ตามสำคัญของเมืองจะมีอิสระมาก ดังนั้น เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยจึงได้เริ่มปฏิรูปการปกครองหัวเมืองโดยยึดหลักที่ว่า อำนาจของการปกครองควรจะเข้ามาอยู่จุดเดียวกันหมด ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลกลางจะไม่ให้การบังคับบัญชาหัวเมืองกระจายไปอยู่กับกระทรวงสามกระทรวง และจะไม่ยอมให้เจ้าเมืองต่าง ๆ มีอิสระอย่างที่มีมาในอดีต ระบบการปกครองแบบใหม่นี้เรียกว่า "เทศาภิบาล" หรือ "มณฑลเทศาภิบาล" ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครอง ปรากฏตามคำจำกัดความของการเทศาภิบาล ซึ่งพระยาราชเสนา (ศิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ความหมายดังนี้ " การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วย ตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลางซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาค อันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากรเพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข และความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่พระราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองแว่นแคว้นออกโดยลำดับขั้นเป็นมณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน และแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดจัดเป็นแผนกพนักงานทำนองการของกระทรวงในราชธานี อันเป็นวิธีนำมาซึ่งความเป็นระเบียบเรียบร้อยรวดเร็วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งระงับทุกข์ บำรุงสุขด้วยความเที่ยงธรรมแก่อาณาประชาชน " ดังนั้น "เทศาภิบาล" หรือ "มณฑลเทศาภิบาล" จึงประกอบด้วย ๑. มณฑล รวมหลายเมืองเป็นหนึ่งมณฑล ๒. เมือง รวมหลายอำเภอเป็นหนึ่งเมือง ๓. อำเภอ แต่ละอำเภอ แบ่งท้องที่เป็นตำบลและหมู่บ้าน ส่วนการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลางนั้น ได้ยกเลิกตำแหน่งสมุหนายก, สมุหกลาโหม, จตุสดมภ์ โดยทรงโปรดให้ตั้งเสนาบดีว่าการกระทรวงแทน การจัดตั้งมณฑลก่อนการปฏิรูปใน พ.ศ. ๒๔๓๕ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงเปลี่ยนแปลงระเบียบการจัดการปกครอง ในพระพุทธศักราช ๒๔๓๕ เหตุการณ์ระหว่างประเทศตามชายแดนของประเทศมีทีท่าว่าจะทวีความรุนแรงคับขันขึ้นจนไม่อาจปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเฉย ๆ โดยไม่จัดการรักษาและระวังพระราชอาณาจักรของไทยไว้เสียก่อน สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจึงได้ทรงจัดการรวบรวมหัวเมืองตามชายแดนที่สำคัญขึ้นเป็นเขตปกครองเรียกว่า มณฑล โดยมุ่งที่จะป้องกันพระราชอาณาจักร ให้พ้นจากการคุกคามจากภายนอกเป็นหลัก และในขณะเดียวกันก็เป็นการทดลองการจัดระเบียบการปกครองอย่างใหม่ ซึ่งพระองค์ทรงสนพระทัยที่จะจัดให้มีขึ้นในประเทศต่อไปด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงคุณวุฒิ มีความสามารถสูง และเป็นที่วางพระราชหฤทัยให้ออกไปดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ บัญชาการต่างพระเนตรพระกรรณ กำกับราชการซึ่งผู้ว่าราชการเมืองและกรมการบังคับบัญชาและปฏิบัติอยู่ทุกฝ่าย ให้ดำเนินไปโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยความสุจริต ยุติธรรม และรวดเร็ว และพร้อมทั้งอำนวยความสงบสุขสวัสดิภาพ และป้องกันทุกข์ภัยของประชาชนให้ได้รับความร่มเย็นตามควรแก่วิสัยที่จะพึงเป็นไปได้ รายชื่อ มณฑล พร้อมทั้งพระนามและนามของข้าหลวงใหญ่ มีดังต่อไปนี้คือ (1)มณฑลลาวเฉียง ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลพายัพ มีเจ้าพระยาพลเทพ (พุ่ม ศรี- ไชยันต์) ว่าที่สมุหกลาโหม เป็นข้าหลวงใหญ่ ประกอบด้วย ๖ เมือง คือ นครเชียงใหม่ นครลำปาง นครลำพูน นครน่าน แพร่ เถิน ตั้งที่บัญชาการมณฑล (ศาลารัฐบาล) ที่นครเชียงใหม่ (๒) มณฑลลาวพวน (เดิมเรียกหัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ) ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอุดรมีพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เสนาบดี กระทรวงวัง เป็นข้าหลวงต่างพระองค์ บัญชากรอยู่ที่เมืองหนองคาย มณฑลนี้ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๖ (ร.ศ. ๑๑๒) ได้รวมหัวเมืองทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงหลายเมือง ความรู้เรื่องมณฑลลาวพวน มณฑลลาวพวน (เดิมเรียกหัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ) พวนเป็นชื่อแคว้นอยู่บริเวณฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง มีเมืองใหญ่ของแคว้นคือ เมืองพวน และเมืองเชียงขวาง เมืองพวนอยู่ทิศอิสานของเวียงจันทน์ และทิศอาคเนย์ของหลวงพระบาง เดิมเป็นของไทย ขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร ก่อน ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ส. ๒๔๓๖) มณฑลลาวพวนประกอบด้วย หัวเมืองเอก ๑๖ เมือง ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ส่วนหัวเมืองโท ตรี จัตวา ๓๖ เมือง รวมขึ้นอยู่ในหัวเมืองเอก ดังต่อไปนี้ ลำดับที่ เมืองเอก เมืองโท ตรี จัตวา (ขึ้นกับเมืองเอก) หมายเหตุ ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙. ๑๐. ๑๑. ๑๒. ๑๓. ๑๔. ๑๕. ๑๖. หนองคาย เชียงขวาง บริคัณฑนิคม นครพนม คำม่วน สกลนคร มุกดาหาร บุรีรัมย์ ขอนแก่น หล่มศักดิ์ โพนพิสัย ชัยบุรี ท่าอุเทน กมุทาสัย หนองหารใหญ่ คำเกิด เวียงจันทน์ เชียงคาน พานพร้าว ธุรคมหงส์สถิตย์ กุมภวาปี รัตนวาปี แสน พาน งัน ซุย จิม ประชุม วัง เรณูนคร รามราช อาจสามารถ อากาศอำนวย มหาชัยกองแก้ว ชุมพร วังมน ทาง กุสุมาลมณฑล พรรณานิคม วาริชภูมิ สว่างดินแดน วานรนิวาส ไพธิไพศาล จำปาชนบท พาลุกากรภูมิ หนองสูง นางรอง พล ภูเวียง มัญจาคีรี คำทองน้อย เลย - - - - - - รวม ๖ เมือง รวม ๕ เมือง หนึ่งเมือง รวม ๕ เมือง รวม ๔ เมือง รวม ๗ เมือง รวม ๒ เมือง หนึ่งเมือง รวม ๔ เมือง หนึ่งเมือง รวมเมืองเอก ๑๖ เมือง และเมืองโท ตรี จัตวา ที่ขึ้นกับเมืองเอก จำนวน ๓๖ เมือง เมืองเหล่านี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ส่งข้าราชการไปเป็นข้าหลวงรักษาพระราชอาณาเขตอยู่หลายเมือง ครั้นถึง ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ (ร.ศ. ๑๑๒) ดินแดนดังกล่าวนั้นตกไปเป็นของฝรั่งเศส เมืองในมณฑลนี้จึงเหลืออยู่เพียง ๖ เมือง คือ อุดรธานี ขอนแก่น นครพนม สกลนคร เลย และหนองคาย ตั้งที่บัญชาการมณฑลที่หนองคาย ต่อมาย้ายมาตั้งที่บ้านหมากแข้ง คือ จังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน (๓) มณฑลลาวกาว ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอิสาน มีพระวรวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร บัญชาการอยู่ที่นครจัมปาศักดิ์ มี ๗ เมือง คือ อุบลราชธานี นครจำปาศักดิ์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ ตั้งที่ว่าการมณฑลที่เมืองอุบลราชธานี (๔) มณฑลเขมร ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลบูรพา มีพระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น ศรีเพ็ญ เป็นข้าหลวงใหญ่ มี ๔ เมือง คือ พระตะบอง เสียมราษฎร์ ศรีโสภณ และพนมศก ตั้งที่บัญชาการมณฑลที่เมืองพระตะบอง (๕) มณฑลลาวกลาง ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลนครราชสีมา มีพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์เป็นข้าหลวงใหญ่ มี ๓ เมือง คือ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ตั้งที่บัญชาการมณฑลที่เมืองนครราชสีมา (๖) มณฑลภูเก็ต เดิมเรียกว่า หัวเมืองฝ่ายตะวันตก มีพระยาทิพโกษา (โต โชติกเสถียร) เป็นข้าหลวงใหญ่ มีอยู่ ๖ เมือง คือ ภูเก็ต กระบี่ ตรัง ตะกั่วป่า พังงา และระนอง ตั้งที่บัญชาการมณฑลที่เมืองภูเก็ต มณฑลทั้ง ๖ นี้เป็นเพียงการรวมเขตหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลและมีข้าหลวงใหญ่และข้าหลวงต่างพระองค์ประจำมณฑลเท่านั้นยังไม่ได้ดำเนินการ เป็นลักษณะมณฑลเทศาภิบาล จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปการปกครอง หัวเมืองส่วนภูมิภาคเป็นมณฑลเทศาภิบาลเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ จึงได้ทรงแก้ไขการปกครองมณฑลทั้ง ๖ นี้เป็นลักษณะเทศาภิบาล ด้วย กรณีพิพาทเรื่องพรมแดนระหว่างไทย - ฝรั่งเศส ใน พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ที่จะรักษาพระราชไมตรีให้มั่นคงถาวรกับชาติตะวันตก อันได้แก่ ฝรั่งเศส และอังกฤษ เนื่องจากในระยะนั้นฝรั่งเศสได้ประเทศเขมรและประเทศญวน ตลอดจนแคว้นตังเกี๋ยเป็นเมืองขึ้น และอังกฤษก็ได้ประเทศพม่าเป็นเมืองขึ้นมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทย จึงมีปัญหาเรื่องการแบ่งปันเขตแดนเพื่อที่จะให้เป็นที่ตกลงกันแน่นอน ดังนั้น เพื่อที่จะรักษาพระราชไมตรีและปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงคัดเลือกและแต่งตั้งบุคคลผู้มีความสามารถที่ไว้วางพระราชหฤทัยได้ ส่งออกไปปฏิบัติราชการประจำต่างหัวเมือง และยิ่งเป็นหัวเมืองหน้าด่าน ซึ่งข้าศึกศัตรูอาจล่วงล้ำเข้ารุกรานได้ง่าย ก็ต้องยิ่งเลือกบุคคลที่ไว้วางพระราชหฤทัยได้แน่นอน โดยเฉพาะในภาคอีสาน ดังนั้นใน พ.ศ. ๒๔๓๔ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร เป็นข้าหลวงใหญ่พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายทหาร พลเรือน ออกไปตั้งรักษาอยู่ ณ เมืองจำปาศักดิ์กองหนึ่งให้เรียกว่า ข้าหลวงเมืองลาวกาว (แต่ประทับอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี) ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นข้าหลวงใหญ่พร้อมด้วยข้าราชการทหาร พลเรือน ตั้งอยู่ ณ เมืองหนองคายกองหนึ่ง ให้เรียกว่า ข้าหลวงหัวเมืองลาวพวน ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ เป็นข้าหลวงใหญ่พร้อมด้วยข้าราชการทหาร ตั้งอยู่ ณ เมืองหลวงพระบางกองหนึ่ง ให้เรียกว่า ข้าหลวงหัวเมืองลาวพุงดำ (แต่กองนี้ภายหลังเปลี่ยนมาประจำเมืองนครราชสีมา หาได้ไปตั้งที่เมืองหลวงพระบางไม่) โดยเฉพาะหัวเมืองลาวพวนในเวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๓๔) ที่ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นข้าหลวงหัวเมืองลาวพวนนั้น ประกอบด้วยเมืองต่าง ๆ คือ เมืองหนองคาย เมืองเชียงขวาง เมืองบริคัณฑนิคม เมืองโพนพิไสย เมืองนครพนม เมืองท่าอุเทน เมืองไชยบุรี เมืองสกลนคร เมืองมุกดาหาร เมืองขอนแก่น เมืองหล่มศักดิ์ เมืองใหญ่ ๑๓ เมือง เมืองขึ้น ๓๖ เมือง อยู่ในบังคับบัญชาข้าหลวงหัวเมืองลาวพวน ในเวลานั้นฝรั่งเศสได้ญวนและเขมรเป็นอาณานิคมแล้วก็ได้พยายามที่จะขยายดินแดนอาณานิคมมายึดครองลานช้าง (ลาว) ซึ่งในขณะนั้นเป็นประเทศราชของไทยโดยได้อาศัยที่เกิดเหตุความวุ่นวายของพวกฮ่อ ค่อย ๆ ขยายอิทธิพลเข้ามาทีละน้อย คือ หลังจากที่ไทยได้ปราบปรามฮ่อเป็นที่เรียบร้อยแล้วฝรั่งเศสได้ถือโอกาสเข้ายึดแคว้นสิบสองจุไทย โดยอ้างว่าจะคอยปราบโจรจีนฮ่อ แม้ไทยจะเจรจาอย่างไร ฝรั่งเศสก็ไม่ยอมถอนออกไป แคว้นสิบสองจุไทยเราจึงกลายเป็นของฝรั่งเศส ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๑ ฝรั่งเศสได้ถือสาเหตุกระทบกระทั่งกับไทยกรณีปัญหาชายแดน กล่าวคือ ฝรั่งเศสอ้างว่าลาวเคยเป็นของญวน เมื่อฝรั่งเศสได้ดินแดนญวนแล้ว ลาวจะต้องตกเป็นของญวนด้วย ฝรั่งเศสได้ตั้งเจ้าหน้าที่ของตนออกเดินสำรวจพลเมือง และเขตแดนว่ามีอาณาเขตที่แน่นอนเพียงใด และเนื่องจากเขตแดนระหว่างไทยกับลาวมิได้กำหนดไว้อย่างแน่นอนและรัดกุม จึงเป็นการง่ายที่พวกสำรวจเหล่านั้นจะได้ถือโอกาสผนวกดินแดนของไทยเข้าไปกับฝ่ายตนมากทุกที วิกฤตการณ์สยาม ร.ศ. ๑๑๒ ในที่สุดชนวนที่ฝรั่งเศสถือเป็นสาเหตุข้อพิพาทในการเรียกร้องดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ก็เกิดขึ้นเมื่อฝรั่งเศสได้ส่งทหารรุกเข้ามาทางด้านคำมวน เข้าปลดอาวุธพระยอดเมืองขวางกับทหารแล้วบังคับให้ควบคุมตัวมาส่งที่แม่น้ำโขง ณ เมืองท่าอุเทนก่อนที่พระยอดเมืองขวางปลัดจะยอมถอยออกจากเมืองคำมวนนั้น พระยอดเมืองขวางได้ยื่นหนังสือเป็นการประท้วงต่อฝรั่งเศส มีข้อความดังนี้คือ " เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ข้าพเจ้าพระยอดเมืองขวางข้าหลวงซึ่งรักษาราชการเมืองคำเกิด คำมวน ทำคำมอบอายัติเขตแดนแผ่นดิน และผลประโยชน์ในเมืองคำเกิด คำมวน ไว้กับกงถือฝรั่งเศส ฉบับหนึ่งด้วย พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ ศิลปาคมเสนาบดีว่าการกรมวังข้าหลวงใหญ่ซึ่งจัดราชการเมืองลาวพวน โปรดเกล้าฯ ให้ข้าพเจ้าขึ้นมารักษาราชการเมืองคำเกิด คำมวน ซึ่งเป็นพระราชอาณาเขตกรุงสยามติดต่อกับเขตแดนเมืองญวน ที่น้ำแบ่งด้านตาบัวข้าพเจ้าได้รักษาราชการแลท้าวเพี้ยไพร่ทาษาต่าง ๆ ให้อยู่เย็นเป็นสุขเรียบร้อยโดยยุติธรรมมาช้านานหลายปี ครั้นถึงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ ท่านกับนายทหารฝรั่งเศสอีก ๔ คน คุมทหารประมาณ ๒๐๐ เศษ มาปล้นข้าพเจ้า แล้วเอาทหารเข้าล้อมจับผลักไส แทงด้วยอาวุธ ขับไล่กุมตัวข้าพเจ้ากับข้าหลวงขุนหมื่นทหารออกจากค่าย ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ จะอยู่รักษาราชการผลประโยชน์ตามคำสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นเจ้าของข้าพเจ้าต่อไป กงถือฝรั่งเศสหาให้อยู่ไม่ ฉุดฉากข้าพเจ้ากับขุนหมื่นทหาร ข้าพเจ้าขอมอบอายัติเขตแดนแผ่นดิน ท้าวเพี้ยไพร่แลผลประโยชน์ของฝ่ายกรุงสยาม ไว้กับกงถือฝรั่งเศส กว่าจะมีคำสั่งมาประการใด จึงจะจัดการต่อไปและให้กงถือฝรั่งเศสเอาหนังสือไปแจ้งกับคอนเวอนแมนฝรั่งเศสแลคอนเวอนแมนต์ฝ่ายสยาม ให้ชำระตัดสินคืนให้กับฝ่ายกรุงสยามตามทำเนียบแผนที่เขตแดนแผ่นดิน ซึ่งเป็นของกรุงสยามตามเยี่ยงอย่างธรรมเนียมที่ฝ่ายกรุงสยามถือว่าเป็นของฝ่ายกรุงสยามได้รักษามาแต่เดิม (เซ็นชื่อ) พระยอดเมืองขวางปลัด " พระยอดเมืองขวางกับคณะถูกโกสกือแรงนายทหารฝรั่งเศสคุมตัวมาถึงแก่งเกียด พระยอดเมืองขวางได้ทหารจากท่าอุเทนเข้าสู้กับฝรั่งเศส จนฝรั่งเศสตายเกือบหมด หนีรอดไปได้เพียง ๓ คน จากเหตุการณ์ที่ฝรั่งเศสได้กระทำในครั้งนี้ ฝ่ายไทยได้ประท้วงการกระทำต่อรัฐบาล ฝรั่งเศสแต่ไม่ได้ผล ฝรั่งเศสกลับส่งกำลังคุกคามอาณาเขตไทยมากยิ่งขึ้น และกลับเป็นฝ่ายกล่าวหาว่าไทยเป็นผู้รุกราน ในวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ฝรั่งเศสได้ส่งเรือรบจำนวน ๒ ลำ เรือนำร่อง จำนวน ๑ ลำ เข้ามาในปากน้ำของไทย และได้เกิดยิงสู้กัน ป้อมพระจุลฯ ทำให้ทหารฝ่ายไทยตาย ๑๕ คน ฝรั่งเศสตาย ๒ คน บาดเจ็บ ๓ คน แต่ไม่อาจหยุดยั้งเรือรบฝรั่งเศสได้ และได้เข้ามาจอดที่กรุงเทพฯ บริเวณสถานทูตฝรั่งเศส จนกระทั่ง ในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๒ ฝรั่งเศสได้ยื่นคำขาดให้ไทยตอบรับภายใน ๒๔ ชั่วโมง เรื่องที่จะให้ไทยมอบดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงที่เป็นดินแดนลาวให้แก่ฝรั่งเศส เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ทูตฝรั่งเศส (ม.ปาวี) จึงได้เดินทางออกจากประเทศไทย และประกาศปิดอ่าวไทย เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๒ ในที่สุดด้วยพระปรีชาญาณเล็งเห็นการณ์ไกลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงยอมเสียสละดินแดนส่วนน้อยเพื่อมิให้ต้องเสียดินแดนทั้งหมดพระราชอาณาเขตให้แก่ฝรั่งเศสดังที่ฝรั่งเศสเคยใช้วิธีการกับญวน และเขมรมาแล้ว พระองค์จึงได้ตกลงพระทัยยอมทำสัญญากับฝรั่งเศสด้วยความโทมนัส จนถึงกับทรงพระประชวร สำหรับสัญญาที่ทำกับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) นั้นมีข้อความที่เกี่ยวข้องกับการตั้งเมืองอุดรธานี ดังต่อไปนี้คือ หนังสือสัญญากรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศสแต่วันที่ ๓ ตุลาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงสยาม และท่านประธานาธิบดีริบับลิก กรุงฝรั่งเศสมีความประสงค์เพื่อจะระงับกับความวิวาท ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยที่ล่วงไปแล้ว ในระหว่างประเทศทั้งสองนี้ และเพื่อจะผูกพันทางไมตรีอันได้มีมาหลายร้อยปีแล้ว ในระหว่างกรุงสยามและกรุงฝรั่งเศสนั้นให้สนิทยิ่งขึ้นจึงได้ตั้งอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มทั้งสองฝ่าย ให้ทำหนังสือสัญญาฉบับนี้ คือ ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงสยาม ได้ตั้งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงษ-วโรประการ คณาภยันดรมหาจักรีและแครนด์ออฟฟิเชอร์ลิยิอองคอนเนอร์ ฯลฯ เสนาบดีว่าการต่างประเทศกรุงสยามฝ่ายหนึ่ง แลฝ่ายท่านประธานาธิบดี ริปันลิกกรุงฝรั่งเศส ได้ตั้งมองซิเออร์เลอร์ ชาวส์มาริเลอ มิร์เดอวิเลร์ ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ แกรนด์ออฟฟิเชอร์ลิยิอองคอนเนอร์ แลจุลวราภรณ์อัครราชทูนผู้มีอำนาจเต็มชั้นที่หนึ่ง และที่ปรึกษาแผ่นดินอีกฝ่ายหนึ่ง ผู้ซึ่งเมื่อได้แลกเปลี่ยนตราตั้งมอบอำนาจแลได้เห็นเป็นการถูกต้องตามแบบแผนดีแล้ว ได้ตกลงทำข้อสัญญาดังมีต่อไปนี้ ข้อ ๑. คอเวอนแมนต์สยามยอมสละเสียซึ่งข้ออ้างว่ามีกรรมสิทธิ์ทั้งสิ้นทั่วไปในดินแดน ณ ฝั่งซ้าย ฟากตะวันออกแม่น้ำโขง แลในบรรดาเกาะทั้งหลายในแม่น้ำนั้นด้วย ข้อ ๒. คอเวอนแมนต์สยามจะไม่มีเรือรบใหญ่น้อยไปไว้ ฤาใช้ดินแดนในทเลสาบก็ดี แลในลำน้ำแยกจากแม่น้ำโขงซึ่งอยู่ภายในที่อันได้มีกำหนดไว้ในข้อต่อไปนี้ ข้อ ๓. คอเวอนแมนต์สยามจะไม่ก่อสร้างด่านค่ายคูฤาที่อยู่ของพลทหารในแขวงเมืองพระตะบอง แลเมืองนครเสียมราบ แลในจังหวัด ๒๕ กิโลเมตร (๖๒๕ เส้น) บนฝั่งขวาฟากตวันตกแม่น้ำโขง หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:44:44 อุดรธานี ๓
ข้อ ๔. ในจังหวัดซึ่งได้กล่าวไว้ในข้อ ๓ นั้น บรรดาการตระเวนรักษาจะมีแต่กองตระเวนเจ้าพนักงานเมืองนั้น ๆ กับคนใช้เปนกำลังแต่เพียงที่จำเปนแท้ แลทำการตามอย่างเช่นเคยรักษาเปนธรรมเนียมในที่นั้น จะไม่มีพลประจำฤาพลเกณฑ์สรรด้วยอาวุธเป็นทหารอย่างใดอย่างหนึ่งตั้งอยู่ในที่นั้นด้วย ข้อ ๕. คอเวอนแมนต์สยามจะรับปฤกษากับคอเวอนแมนต์ฝรั่งเศสภายในกำหนดหกเดือน แต่ปีนี้ไปในการที่จะจัดการเปนวิธีการค้าขาย แลวิธีตั้งด่านโรงภาษี ในที่ตำบลซึ่งได้กล่าวไว้ในข้อ ๓ นั้น แลในการที่จะแก้ไขข้อความสัญญา ปีมะโรงอัฐศก จุลศักราช ๑๒๑๘ คฤษตศักราช ๑๘๕๖ นั้นด้วย คอเวอนแมนต์สยามจะไม่เก็บภาษีสินค้าเข้าออกในจังหวัดที่ได้กล่าวไว้ในข้อ 3 แล้วนั้น จนกว่าจะได้ตกลงกับคอเวอนแมนต์ฝรั่งเศสจะได้ทำตอบแทนให้เหมือนกันในสิ่งของที่เกิดจากจังหวัดที่กล่าวนี้สืบ ข้อ ๖. การซึ่งจะอุดหนุนการเดินเรือในแม่น้ำโขงนั้น จะมีการจำเปนที่จะทำได้ในฝั่งขวาฟากตวันตกแม่น้ำโขงโดยการก่อสร้างก็ดี ฤาตั้งท่าเรือจอดก็ดี ทำที่ไว้ฟืนและถ่านก็ดี คอเวอนแมนต์สยามรับว่าเมื่อคอเวอนแมนด์ฝรั่งเศสขอแล้ว จะช่วยตามการจำเปนที่จะทำให้สดวกทุกอย่างเพื่อประโยชน์นั้น ข้อ ๗. คนชาวเมืองฝรั่งเศสก็ดี คนในบังคับฤาคนอยู่ในปกครองฝรั่งเศสก็ดี ไปมาค้าขายได้โดยสะดวกในตำบลซึ่งได้กล่าวไว้ในข้อ ๓ เมื่อถือหนังสือเดินทางของเจ้าพนักงานฝรั่งเศสในตำบลนั้น ฝ่ายราษฎรในจังหวัดอันได้กล่าวไว้นี้จะได้รับผลเป็นการตอบแทนอย่างเดียวกันด้วยเหมือนกัน ข้อ ๘. คอเวอนแมนต์ฝรั่งเศสจะตั้งกงศุลได้ในที่ใด ๆ ซึ่งจะคิดเห็นว่าเป็นการสมควรแก่ประโยชน์ของคนผู้อยู่ในความป้องกันของฝรั่งเศสแลมีที่เมืองนครราชสีมาแลเมืองน่าน เป็นต้น ข้อ ๙. ถ้ามีความข้อข้องไม่เห็นต้องกัน ในความหมายของหนังสือสัญญานี้แล้ว ภาษาฝรั่งเศสเท่านั้นจะเปนหลัก ข้อ ๑๐. สัญญานี้จะได้ตรวจแก้เปนใช้ได้ภายในเวลาสี่เดือนตั้งแต่วันลงชื่อกันนี้ อรรคราชทูตผู้มีอำนาทเต็มทั้งสองฝ่ายซึ่งได้กล่าวชื่อไว้ข้างต้นนั้นฯ ได้ลงชื่อแลได้ประทับตราหนังสือสัญญานี้สองฉบับ เหมือนกันไว้เปนสำคัญแล้ว ได้ทำที่ราชวัลลภกรุงเทพฯ ณ วันที่ ๓ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ (เซ็นพระนาม) เทวะวงษวโรประการ นอกจากนี้ฝรั่งเศสได้บีบบังคับให้ไทยยอมรับข้อกำหนดในสัญญาน้อย ผนวกท้ายสัญญาเกี่ยวกับการถอนทหาร ดังนี้คือ " ข้อ ๑. ว่าด่านหลังที่สุดของทหารฝ่ายสยามที่ฝั่งซ้ายฟากตะวันออกแม่น้ำโขงนั้นจะต้องเลิกถอนมาอย่างช้าที่สุดภายในเดือนหนึ่งตั้งแต่วันที่ ๕ กันยายน และ ข้อ ๒. บรรดาป้องค่ายคู อันอยู่ในจังหวัดที่กล่าวไว้ในข้อ ๓ ของหนังสือสัญญาฉบับใหญ่ที่ทำไว้วันนี้แล้ว จะต้องรื้อถอนเสียให้สิ้น " การย้ายที่บัญชาการมณฑลลาวพวน (พ.ศ. ๒๔๓๖) จากสัญญาใหญ่และสัญญาน้อยที่ฝ่ายไทยจำต้องยอมทำกับฝรั่งเศสนี้เอง เป็นเหตุให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ข้าหลวงใหญ่มณฑลลาวพวนจำต้องย้ายที่บัญชาการมณฑลลาวพวนที่ตั้งที่เมืองหนองคาย มาตั้งที่บ้านหมากแข้ง ดังปรากฏจากเอกสารกระทรวงมหาดไทย เรื่องจะถอยข้าหลวงหมากแข้งลงมาอยู่นครราชสีมา ร.ศ. ๑๑๒ - ๑๑๓ (พ.ศ. ๒๔๓๖ - ๒๔๓๗) ม.๕๙/๑๒ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ๑. กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม บอกมาว่า ตามความที่โปรดเกล้าฯ ให้ชี้แจงตำบลบ้านเดื่อหมากแค่งซึ่งกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมจะได้ไปตั้งพักอยู่นั้น ประโยชน์ของตำบลนี้คือ (๑) ถ้าฝรั่งเศสคิดข้ามมาจับฟากข้างนี้แล้วคงจะจับเมืองหนองคายก่อน เพราะเปนเมืองบริบูรณ์ ถ้ามาจับหนองคายแล้วจะได้มาโต้ทันเวลา (๑) บ้านนี้ระยะทางกึ่งกลางที่จะไปมาบังคับราชการเขตลาวพวนได้ตลอด (๒) โทระเลขในแขวงลาวพวนต้องมารวมในบ้านนี้ทั้งสิ้น (๓) เสบียงอาหารแต่ก่อนมาเข้าที่จะเลี้ยงไพร่พลนั้น ด้วยเมืองลาวหาได้เก็บเงินค่านาไม่ เก็บแต่หางเข้าตามพรรณเข้าปลูกขึ้นฉางไว้ ถ้ามีข้าหลวงฤากองทัพก็ต้องจ่ายเลี้ยงข้าหลวงแลกองทัพถ้าสิ้นเข้าคงฉางแล้ว จึงต้องจ่ายเงินหลวงจัดซื้อเพิ่มเติม ถ้าข้าหลวงตั้งอยู่เมืองน้อย ๆ เข้าไม่พอก็ต้องจัดซื้อ ไม่ได้ใช้ขนเข้าเมืองอื่นมาเจือจาน ที่ตำบลบ้านนี้เปนบ้านอยู่ในระหว่างเมืองหนองคาย เมืองหนองหาร ขอนแก่น เมืองกุมภวาปี เมืองกมุทาไสย จะได้ใช้เสบียงเมืองเหล่านี้ ไม่ต้องออกเงินหลวงให้เปลืองพระราชทรัพย์ (๕) เมืองสกลนคร แม้ว่าจะเป็นที่ภูมิถานใหญ่โตสบายก็จริง แต่ในปีนี้น้ำท่วมเสบียงอาหารเสียสิ้น ถ้าจะยกกองข้าหลวงไปตั้งก็จะต้องเสียเงินมาก แลจะไม่มีที่ซื้อเข้าด้วย อนึ่งระยะทาง โทระเลขตั้งแต่กรุงเทพฯ ขึ้นไปหนองคาย อย่างเร็ว ๘ วัน อย่างช้า ๑๒ วัน ถ้าที่เมืองสกลนคร โทระเลขจะต้องอย่างเร็ว ๑๔ วัน อย่างช้า ๑๘ วัน (๖) ได้คิดดูในตำบลนี้ก็อยู่นอก ๒๕ กิโลมิเตอร์ ตามแผนที่ฝรั่งเศส ซึ่ง ม.ปาวี เปนผู้ทำส่งพระราชทานขึ้นไป บ้านนี้อยู่ในอายันต์เหนือ ๑๗ องษา ๒๗ นาที อายามตวันออกของปารีศ ๑๐๐ องษา ๒๒ นาที แต่ที่จะพูดกับอ้ายฝรั่งเศสเป็นมนุษย์ดื้อ ๆ ด้าน ๆ ปราศจากความอายแล้วก็คงจะทำให้ขุ่นเคือง ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ จึงปฤกษาตกลงกันว่าควรจะไปตั้งที่บ้านน้ำฆ้อง เมืองกุมภวาปีดีกว่า คงจะได้ประโยชน์เหมือนกับบ้านเดื่อหมาแค่ง ทุกอย่าง กรมหมื่นดำรง (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ได้ทรงตอบไปว่า ตามดำริห์ ของกรมหมื่นประจักษ์ที่จะเลื่อนไปตั้งที่บ้านน้ำฆ้อง เพื่อไม่ให้ฝรั่งเศสทักท้วงได้ในภายน่านั้น ที่บ้านเดื่อหมากแค่งก็อยู่นอก ๖๒๕ เส้นแล้ว แต่จะทรงพระดำริห์เลือกที่อื่นก็ตามการนี้แล้วแต่กรมหมื่นประจักษ์จะทรงเลือกหา เพราะทรงทราบท้องที่ดีอยู่แล้ว กรมหมื่นดำรงไม่สามารถจะมีพระราชดำริห์ให้ดีกว่าได้ ๒. กรมหมื่นประจักษ์โทระเลขมาว่า ได้ยกออกจากเมืองหนองคาย ในวันที่ ๑๖ มกราคม ได้เดินทางถนนรัชฎาภิเศก อีกฉบับหนึ่งว่า ได้ยกมาถึงบ้านหมากแค่ง วันที่ ๑๘ มกราคม ดังนั้น จากหนังสือกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงไว้วางใจและเชื่อในพระปรีชาสามารถของกรมหมื่นประจักษ์ - ศิลปาคม ในการที่จะเลือกตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวน ถึงกับได้นำความเห็นของพระองค์ (กรม- พระยาดำรงฯ) ที่มีต่อพระดำริของกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ในเรื่องที่จะขอให้ตัดสินใจได้เอง นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ทรงทราบฝ่าลอองธุลีพระบาทล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ แลกรมพระยาดำรงฯ ได้ทรงแนบความรู้เรื่องบ้านเดื่อหมากแข้ง ดังนี้คือ "ความรู้เรื่องบ้านเดื่อหมากแข้ง พื้นที่ บ้านเดื่อหมากแข้ง เปนแขวงเมืองหนองคาย มีเรือน (ร.ศ. ๑๐๙) ไม่เกิน ๒๐๐ หลังคาเรือน เปนบ้านอยู่ในที่ราบชายเนิน, ด้านตะวันออกเปนที่ทุ่งนาใหญ่ ตลอดมาต่อทุ่งขายหนองหาร เปนต้นทางร่วมที่มาจากเมืองใกล้เคียง แต่เปนที่บ้านป่าขับขันกันดาน ต้องอาไศรยเสบียงอาหารจากเมืองหนองคายและเมืองสกลนคร ทางส่งข่าว ส่งข่าวทางโทรศัพท์แต่กรุงเทพฯ ไปบ้านเดื่อหมากแข้งอย่างเร็ว ๘ วัน อย่างช้า ๑๒ วัน ระยะทางไปเมืองที่ใกล้เคียง จากบ้านหมากแข้งไปเมืองนครรราชสีห์มา ทาง ๘ วัน จากบ้านหมากแข้งไปเมืองหนองคาย ทาง ๓ วัน จากบ้านหมากแข้งไปเมืองหนองหาร ทาง ๑ วัน จากบ้านหมากแข้งไปเมืองกุมภวาปี ทาง ๒ วัน จากบ้านหมากแข้งไปเมืองกมุทาไสย ทาง ๒ วัน จากบ้านหมากแข้งไปเมืองหล่มศักดิ์ ทาง ๗ วัน จากบ้านหมากแข้งไปเมืองสกลนคร ทาง ๔ วัน เหตุผลหนึ่งที่กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ทรงมีความพอพระราชหทัยในตำบลที่ตั้งของบ้านหมากแข้งนั้น ท่านเจ้าคุณพระราชปริยัติเมธี เจ้าอาวาสวัดมัชฉิมาวาส และรองเจ้าคณะภาค ๘ ได้เล่าไว้ในตอนหนึ่งของหนังสือประวัติวัดมัชฌิมาวาส จังหวัดอุดรธานี ความว่า " การย้ายกองบัญชาการมณฑลลาวพวนมายังบ้านเดื่อหมากแข้งนั้น คนผู้เฒ่าผู้แก่เล่าไว้ว่าต้องใช้เกวียนประมาณ ๒๐๐ เล่ม เป็นพาหนะได้ออกเดินทางรอนแรมมาโดยลำดับถึงน้ำซวย (ซวย หมายถึง ปลาชนิดหนึ่ง ปัจจุบันเปลี่ยนเรียกน้ำสวย) เสด็จในกรมฯ ได้ให้ตรวจดูพื้นที่ เพื่อจะได้ตั้งกองบัญชาการ แต่เมื่อได้ตรวจดูโดยถี่ถ้วนแล้ว เห็นว่ามีพื้นที่ไม่สม่ำเสมอ สูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่เหมาะสมที่จะสร้างเป็นเมืองใหญ่ในโอกาสข้างหน้า และตั้งอยู่จากฝั่งแม่น้ำโขงประมาณ ๒๐ กิโลเมตรเท่านั้น พระองค์ได้อพยพรอนแรมมาทางทิศใต้โดยลำดับ ห่างจากน้ำซวยนั้นประมาณ ๓๐ กิโลเมตร จนถึงบ้านเดื่อหมากแข้ง จึงได้พักกองเกวียนอยู่ใกล้ต้นโพธิ์ใหญ่ข้างวัดมัชฌิมาวาส ในบริเวณอนามัยจังหวัดในปัจจุบัน จึงได้ให้ออกสำรวจดูห้วย หนอง คลอง บึง ในบริเวณใกล้เคียงทางทิศตะวันออกมี หนองบัวกลอง หนองเหล็ก ทางทิศใต้มีหนองขอนขว้าง ทางทิศตะวันตกมี หนองนาเกลือ หนองวัวข้อง หนองสวรรค์ และทางทิศเหนือมี หนองสำโรง หนองแด และมีลำห้วยหมากแข้ง ซึ่งมีต้นน้ำจากภูเขาพานมีน้ำใสสะอาด มีป่าไผ่ปกคลุม มีปลา เต่า จระเข้ ชุกชุมมาก ลำน้ำนี้ไหลผ่านจากทิศใต้สู่ทิศเหนือลงลำห้วยหลวง เสด็จในกรมจึงตกลงพระทัยให้ตั้งกองบัญชาการสร้างบ้านแปลงเมืองลง ณ พื้นที่ดังกล่าวนี้ " ตำนานบ้านหมาแข้ง ส่วนสาเหตุที่เรียกว่า บ้านหมากแข้ง เนื่องจากเดิมเป็นบ้านร้างเรียกว่า บ้านหมากแข้ง เพราะมีต้นหมากแข้ง (มะเขือพวง) ใหญ่ต้นหนึ่ง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๔๐ เซนติเมตร ซึ่งมีตำนานเล่ากันสืบมา เรื่องบ้านหมากแข้งว่า " บริเวณใกล้เคียงที่สร้างวังของกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งปัจจุบันเป็นวัดมัชฌิมา- วาส มีโนนอยู่แห่งหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า "โนนหมากแข้ง" มีเจดีย์ศิลาแลง มีสัณฐานดังกรงนกเขาตั้งอยู่ที่โนนนั้น เล่ากันสืบมาว่า เป็นเจดีย์ก่อคร่อมตอหมากแข้งใหญ่ นัยว่ามีต้นหมากแข้งขนาดใหญ่ต้นหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินกรุงล้านช้างร่มขาวได้ให้มาโค่นไปทำกลอง และทำเป็นกลองขนาดใหญ่ได้ถึง ๓ ใบ ใบหนึ่งเอาไปไว้ที่นครเวียงจันทน์ ใช้ตีเป็นสัญญาณบอกเหตุในเมื่อข้าศึกศัตรูมาราวี เมื่อตีกลองใบนี้พระยานาคจะขึ้นมาช่วยรบข้าศึกศัตรูให้พ่ายแพ้ แต่ภายหลังถูกเชียงเมี่ยงไปหลอกให้ทำลายกลองใบนี้เสีย ชาวเวียงจันทน์จึงไม่มีพระยานาคมาช่วยดุจในอดีต ใบที่สองนำไปไว้ที่พระนครหลวงพระบางส่วนใบที่สามเป็นใบที่เล็กกว่า ๒ ใบนั้น ได้นำไปไว้ที่วัดหนองบัว (วัดเก่าตั้งอยู่ติดกับถนนสายอุดร - สกลนคร ห่างจากทางรถไฟประมาณ ๕ เส้น ยังมีเจดีย์ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน) เพราะมีกลองหมากแข้งอยู่ที่วัดซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งหนองบัว จึงเรียกว่า หนองบัวกลอง (แต่ในปัจจุบันคำว่ากลองหายไป คงเหลือแต่หนองบัวเท่านั้น) ต้นหมากแข้งต้นนี้คนในสมัยก่อนไม่มีความชำนาญในมาตรวัด จึงบอกเล่าขนาดไว้ว่า ตอต้นหมากแข้งนั้น ภิกษุ ๘ รูปนั่งฉันจังหันได้สะดวกสบาย " แสดงว่าต้นหมากแข้งต้นนั้นใหญ่โตมากเอาการทีเดียว แต่คงไม่ได้หมายความว่าภิกษุทั้ง ๘ รูป นั้นนั่งบนตอหมากแข้ง เห็นจะหมายความว่าภิกษุ ๘ รูปนั่งวงล้อมรอบตอหมากแข้ง โดยใช้ตอหมากแข้งนั้นเป็นโต๊ะหรือโตกสำหรับวางอาหาร แต่ถึงกระนั้นก็ยังมองเห็นว่าเป็นต้นหมากแข้งที่ใหญ่มากทีเดียว เรื่องต้นหมากแข้งนี้ ท่านเจ้าคุณปู่พระเทพวิสุทธาจารย์ (บุญ บุญญศิริมหาเถระ) เจ้าอาวาสรูปที่ ๓ ซึ่งได้มาอยู่วัดมัชฌิมาวาส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ คือหลังจากสร้างวัดเพียง ๔ ปี ได้เล่าว่า ที่โนนหมากแข้งนั้นมีต้นหมากแข้งขนาดเล็กอยู่มากมาย และมีต้นหมากแข้งขนาดใหญ่เท่ากับต้นมะพร้าวขนาดเขื่องอยู่ต้นหนึ่ง แต่มีลำต้นไม่สูง เป็นพุ่มมีกิ่งก้านสาขาแผ่ออกอย่างไพศาล ประมาณ พ.ศ. ๒๔๔๒ มีแบ้ (แพะ) ของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ จำนวนมากได้มากินใบกินกิ่งก้านของมันมันจึงตายเข้าใจว่า ต้นหมากแข้งต้นนี้จะเป็นหลานหรือเหลนของต้นหมากแข้งที่เจ้าเมืองลานช้างร่มขาวเอาไปทำกลองเพลนั้นแน่ เจดีย์ศิลาแลงนั้นตั้งอยู่ตรงกลางพระอุโบสถ วัดมัชฌิมาวาส ในปัจจุบันนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบ ที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวนที่บ้านหมากแข้ง ครั้นต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขา ที่ ๑/๑๗๔ ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๓ (พ.ศ. ๒๔๓๗) ถึง กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม สรุปความว่าพระองค์ทรงเห็นชอบด้วยกับกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ที่ได้เลือกบ้านหมากแข้งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวน ดังความตอนหนึ่งว่า " บัดนี้ ได้ทราบว่า ที่ถอยลงมาตั้งอยู่บ้านหมากแข้ง ว่าเปนที่กลางป่า ไข้เจ็บชุกชุม ไม่เปนภูมิสถานซึ่งจะตั้งมั่งคงสำหรับข้าหลวงต่างพระองค์ ยั่งยืนต่อไปได้ จึ่งได้เรียกแผนที่มาดูก็เห็นอยู่ว่าตำบลซึ่งเธอถอยลงมาตั้งนั้น เปนที่สมควรแก่จะยึดหน่วงหัวเมืองริมฝั่งโขง แลจะส่งข่าวถึงหัวเมืองทั้งปวงได้โดยรอบคอบ มีระยะทางไม่สู้ห่างไกลทุกทิศ แต่เมื่อไต่สวนถึงประเทศที่นั้นก็ไปได้ความว่าเปนที่ไม่บริบูรณดี และมีไข้เจ็บชุกชุม มีความสงสารตัวเธอแลไพร่พลทั้งปวง ซึ่งขึ้นไปอยู่ด้วยจะได้ความลำบาก เจ็บป่วย จึ่งขอหาฤาตามความเห็นต่อไป " และได้ทรงหารือกับกรมหมื่นประจักษ์ ศิลปาคมว่า หากกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมจะถอยลงมาอยู่ที่นครราชสีมาและให้ข้าหลวงไพร่พลอยู่ที่บ้านหมากแข้งก็ได้ แต่จะมีผลเสียทำให้หัวเมืองลาวเห็นว่า ฝ่ายเราย่อท้อต่อฝรั่งเศส และได้ทรงให้กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมตัดสินพระทัยเอง กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ได้มีลายพระหัตถ์กราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงวันที่ ๒ มกราคม ร.ศ. ๑๑๓ (พ.ศ. ๒๔๓๗) สรุปความว่า กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมทรงมีความเห็นว่าภูมิประเทศของบ้านหมากแข้ง เหมาะสมและอุดมสมบูรณ์ ดังความตอนหนึ่งว่า " ข้าพระพุทธเจ้า ใด้ภักที่นี้ด้วยเวลาเดินทาง ๒ ครั้ง ต้องภักอยู่ ๒ เวลา ทั้ง ๒ คราวเพราะชอบภูมที่จริง ๆ ครั้นใด้มาอยู่จิงจังเข้าก็ยิ่งชอบมากขึ้น แต่เปนธรรมดาที่ ๆ ใดห่างจากบ้านเมืองที่ราษฎรค้าขายก็จำเปนที่จะหาอาหารลำบาก แต่บัดนี้ ก็บริบูรณกว่าเมืองอื่น ๆ ที่ใด้เห็นและพวกที่ใปมายังซ้ำกล่าวว่า ที่หนองคายเดี๋ยวนี้ ตลาดร่วงโรยใป สู้ที่นี้ใม่ใด้ จะยอให้หรืออย่างใร ใม่ทราบเกล้าฯ แต่ถ้าจะยอก็ละเอียดพอรับใด้คือ ใด้เดินตรวจดูในปี ๑๑๓ มีเรือนราษฎรอพยพเข้ามาจากหนองคาย และออกมาจากหนองละหาร - กุมภวาปี ขรแก่น เปนอันมาก กลางคืนแลดูเหนใฟรายใบ คล้ายแพที่จอดในลำน้ำกรุงเทพ จนมีพยานใด้ว่าเมื่อวันที่ ๑ เดือนนี้ พระยาใตรเพชรัตนสงครามข้าหลวงหนองคายสั่งให้คนเข้ามาซื้อศีศะหอมที่บ้านหมากแข้ง ๑ บาท ใด้ถามใด้ความว่า ที่โน่นใม่มีใครปลูกเพราะขายใม่ใด้ " ส่วนทางด้านความเจ็บไข้ได้ป่วย ที่บ้านหมากแข้ง มีโรคภัยน้อยกว่าที่หนองคาย และในที่สุดกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ได้ทรงกราบบังคมทูลฯ ในตอนท้ายด้วยความรู้สึกของพระองค์ที่มีต่อความจงรักภักดีในแผ่นดิน และองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้ว่าจะมีความยากลำบากสักปานใดก็ตามดังความว่า " จะคิดถึงการแผ่นดินแล้ว เท่านี้ยังเพียงนี้ ถ้ายิ่งกว่านี้จะทำอย่างไรสู้แลกกับมันตัวต่อตัวดีกว่า เหนดีกว่านอนให้ฝีในท้องกินตาย " ในที่สุดบ้านหมากแข้งก็ได้เป็นสถานที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวน โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นชอบด้วยกับความเห็นของกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ตามพระราชหัตถเลขาที่ ๑๒๘/๒๘๐๘ ลงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๓ (พ.ศ.๒๔๓๗) ถึงกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ความว่า " ถึง กรมดำรงราชานุภาพ ด้วยตามที่เธอได้ขอให้จดหมายไปถึง กรมหมื่นประจักษ์ ศิลปาคมอันได้ส่งสำเนามาให้ดูแต่ก่อนแล้ว บัดนี้ ได้รับคำตอบยืนยันว่า บ้านหมากแข้งเป็นที่สมควรแลสมัคใจที่จะอยู่ในที่นั้น มีปันซ์ แลยูดี อไรเจือปนต่าง ๆ ได้ส่งสำเนามาให้ดูด้วย เมื่อตรวจสอบแผนที่ฤามีความเห็นที่จะอธิบายโต้แย้งอีกประการใด ขอให้บอกมาให้ทราบจะได้ตอบกรมหมื่นประจักษ์ " และได้ทรงมีพระราชหัตถเลขา ที่ ๒/ ๓๔๕๐ ถึง กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ความว่า " ด้วย ได้รับหนังสือ ลงวันที่ ๒ มกราคมนี้ ซึ่งตอบช้าไป เพราะเหตุใดเธอคงจะทราบอยู่แล้วการซึ่งเธอเหนว่า บ้านหมากแข้งเปนที่สมควรจะตั้งอยู่ โดยอธิบายหลายประการนั้น ก็ให้ตั้งอยู่ที่นั้นจัดการเต็มตามความคิดที่เห็นว่าจะเป็นคุณแก่ราชการ " บ้านหมากแข้งที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เสด็จตรวจราชการมณฑลนครราชสีมา มณฑลอุดร และมณฑลร้อยเอ็ดเมื่อ ร.ศ. ๑๒๕ (พ.ศ. ๒๔๔๙) ได้ทรงเล่าถึงเมืองอุดร (ขณะเป็นบ้านหมากแข้ง) ในขณะนั้นไว้ว่า " เวลานี้ที่ว่าการมณฑล ที่ว่าการอำเภอ ศาล เรือนจำ โรงทหาร โรงพัก ตำรวจภูธร ออฟฟิศ ไปรษณีย์ โทรเลข และบ้านเรือนข้าราชการอยู่ติดต่อเป็นระยะลำดับกันไป มีตลาดขายของสดและมีตึกอย่างโคราชของพ่อค้า นายห้างบ้าง มีวัดเรียกวัดมัชฌิมาวาสตั้งอยู่บนเนิน และมีบ่อน้ำใหญ่สำหรับราษฎรได้ใช้น้ำทุก ๆ ฤดูกาลด้วย มีบ้านเรือนราษฎรมาตั้งอยู่หลังบ้านข้าราชการ มีถนนตัดตรง ๆ ไปตามที่ตั้งที่ทำการและตลาดเหล่านี้หลายสาย และเมื่อใกล้เวลาข้าพเจ้าจะมาคราวนี้ มณฑลได้ตัดถนนตั้งแต่หลังที่ว่าการไปจนหนองนาเกลือเพิ่มขึ้นอีกสายหนึ่งและเมื่อรื้อที่ว่าการบัดนี้ ไปตั้งบนเนินใกล้หนองนาเกลือตามความตกลงใหม่ถนนสายนี้ จะบรรจบกับถนนเก่าเป็นถนนยาวและงามมาก " และได้ทรงอธิบายถึงหนองนาเกลือว่า "เป็นหนองใหญ่ เพราะปิดน้ำไว้คล้ายทุ่งสร้างที่เมืองขอนแก่น ได้ขนานนามว่าหนองประจักษ์" กองบัญชาการมณฑลลาวพวนที่บ้านหมากแข้งในเวลานั้น นายสังข์ นุตราวงศ์ ทนายความอดีตข้าราชการกระทรวงยุติธรรมคนเก่าแก่เมืองอุดรธานี ได้เล่าให้ฟังว่า " ที่ทำการมณฑลและสถานที่ราชการต่าง ๆ นั้น ตั้งอยู่บริเวณใกล้หนองน้ำใหญ่ที่มีชื่อว่า หนองนาเกลือ (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ เป็นหนองประจักษ์ในภายหลัง) บริเวณศาลาว่าการมณฑลและศาลประจำมณฑลอยู่ติดกัน และหันหน้าที่ทำการไปทางทิศเหนือ เพราะทั้งนี้ เนื่องจากเตรียมรับข้าศึกหากจะมีการรบกับฝรั่งเศส ส่วนที่ประทับของกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมนั้น อยู่บริเวณที่เป็นต้นโพธิ์ใหญ่ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ตรงข้ามกับวัดวัชฌิมาวาสวัดเก่าแก่ของจังหวัดอุดรธานี ซึ่งต่อมาเป็นที่ประทับของพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวัฒนาข้าหลวงต่างพระองค์มณฑลลาวพวนสืบต่อจากกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม บริเวณที่เป็นทุ่งศรีเมืองในปัจจุบันเป็นที่รกร้างว่างเปล่าลักษณะคล้ายทุ่งนาผสมป่าละเมาะ มีต้นไม้ใหญ่อยู่อย่างประปราย นอกจากนี้ บริเวณที่เป็นสำนักงานชลประทานจังหวัดอุดรธานี ในปัจจุบันเป็นที่ตั้งกรมทหารส่วนเรือนจำนั้นตั้งอยู่บริเวณที่เป็นที่ว่าการอำเภอเมืองอุดรธานีในเวลานี้ และสำหรับหนองนาเกลือนั้นในเวลานั้นเป็นหนองน้ำที่กว้างใหญ่ เมื่อคนจะข้ามมาติดต่อกับส่วนราชการที่ตั้งศาลาว่าการมณฑลจากฝั่งหนองนาเกลือด้านตะวันตก มายังฝั่งตะวันออกก็จะต้องจ้างเรือแจวที่มีผู้มารับจ้างที่หนองนาเกลือเพราะในเวลานั้นน้ำลึก มีปลา และจรเข้ชุกชุม " ดังที่ได้กล่าวแล้วในเบื้องต้นว่า ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงปฏิรูปการปกครองนั้น (ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๕) การปกครองของประเทศไทยในส่วนภูมิภาคเป็น "ระบบกินเมือง" จึงได้ทรงปฏิรูปการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ เป็นแบบเทศาภิบาล โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๕ (ร.ศ. ๑๑๑) โดยมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้รับผิดชอบ (เฉพาะในมณฑลลาวพวน เรียกว่า ข้าหลวงต่างพระองค์) ต่อมาได้ทรงเลิกตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ มีตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลแทนขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งสามารถแบ่งเบาพระราชภาระในการปกครองแผ่นดินลงได้ทั้งยังสามารถอำนวยความสุขร่มเย็นแก่อาณาประชาราษฎร์ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น บ้านหมากแข้งในฐานะกองบัญชาการมณฑลลาวพวน จึงมีข้าหลวงใหญ่ปกครองตามลำดับ คือ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม (ร.ศ. ๑๑๒ - ๑๑๘) และ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัฒนา (ร.ศ. ๑๑๘ - ๑๒๕) ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองมณฑลจากข้าหลวงใหญ่ (หรือข้าหลวงต่างพระองค์) เป็นสมุหเทศาภิบาล ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ใน พ.ศ. ๒๔๔๒ (ร.ศ. ๑๑๘) ปีกุน เปลี่ยนชื่อมณฑลลาวพวน เป็นมณฑลฝ่ายเหนือ โดยมีเมืองต่าง ๆ รวม ๑๒ เมือง ขึ้นกับมณฑลฝ่ายเหนือ คือ เมืองหนองคาย หนองหาน ขอนแก่น ชนบท หล่มศักดิ์ กมุทาสัย สกลนคร ชัยบุรี โพนพิสัย ท่าอุเทน นครพนม มุกดาหาร ต่อมา ใน พ.ศ. ๒๔๔๓ เปลี่ยนชื่อมณฑลลาวพวน เป็นมณฑลอุดรและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า เมืองที่จัดแบ่งไว้ในมณฑลอุดรมีมากเกินความจำเป็นในการปกครอง จึงทรงรวมหัวเมืองในมณฑลเป็นบริเวณซึ่งมีฐานะเท่าจังหวัดเพื่อให้เหมาะสมแก่การปกครอง และโปรดให้ยุบเมืองจัตวาบางเมืองลงเป็นอำเภอ ส่วนอำเภอใดที่เคยเป็นเมืองขึ้นกับเมืองที่ตั้งเป็นบริเวณหรือสมควรจะให้ขึ้นกับบริเวณใดก็ให้รวมเข้าไว้ในบริเวณนั้น โดยโปรดให้แบ่งออกเป็น ๕ บริเวณ คือ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:45:18 อุดรธานี ๔
(๑) บริเวณหมากแข้ง มี ๗ เมือง คือ บ้านหมากแข้ง เมืองหนองคาย เมืองหนองหาร เมืองกุมภวาปี เมืองกมุทาไสย เมืองโพนพิไศรย เมืองรัตนวาปี ตั้งที่ว่าการบริเวณที่บ้านหมากแข้ง (๒) บริเวณพาชี มี ๓ เมือง คือ เมืองขอนแก่น เมืองชนบท เมืองภูเวียง ตั้งที่ว่าการบริเวณที่เมืองขอนแก่น (๓) บริเวณธาตุพนม มี ๔ เมือง คือ เมืองนครพนม เมืองไชยบุรี เมืองท่าอุเทน เมืองมุกดาหาร ตั้งที่ว่าการบริเวณที่เมืองนครพนม (๔) บริเวณสกลนคร มี ๑ เมืองคือ เมืองสกลนคร ตั้งที่ว่าการบริเวณที่เมืองสกลนคร (๕) บริเวณน้ำเหือง มี ๓ เมือง คือ เมืองเลย เมืองบ่อแตน เมืองแก่นท้าว ตั้งที่ว่าการบริเวณที่เมืองเลย ลักษณะการปกครองที่รวมเมืองต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และจัดแบ่งการบริหารออกเป็น ๕ บริเวณ ซึ่งบริเวณเหล่านี้มีฐานะเทียบเท่ากับจังหวัด ส่วนเมืองที่อยู่ในสังกัดบริเวณมีฐานะเทียบเท่ากับอำเภอนั้นอาจะเป็นเพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะจัดการปกครองในมณฑลอุดรให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยส่งข้าหลวงจากกรุงเทพฯ ออกไปเป็นข้าหลวงบริเวณ ควบคุมเจ้าเมืองต่าง ๆ ซึ่งมีข้าหลวงตรวจการประจำเมืองควบคุมอีกชั้นหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าอำนาจจากส่วนกลางได้ขยายออกไปควบคุมอำนาจของเจ้าเมืองท้องถิ่นอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะทำให้การปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางได้ผลดียิ่งขึ้น สามารถควบคุมเจ้าเมืองและตรวจตราทุกข์สุขของราษฎรได้อย่างทั่วถึง ขบถผู้มีบุญที่มณฑลอุดร ในระหว่างปลายปี พ.ศ. ๒๔๔๔ จนถึงราวเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ ได้มีเหตุการณ์สำคัญขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือมีขบถที่เกิดขึ้นเรียกว่า ขบถผู้มีบุญ หรือผีบุญ ในมณฑลอุดรและมณฑลอิสาน เนื่องจากมีผู้พบลายแทง ความว่า " ราวเดือน ๓ เพ็ญ ถึงเพ็ญเดือน ๔ จะเกิดเภทภัยใหญ่หลวง เงินทองทั้งปวงจะกลายเป็นกรวดทรายไปหมด ก้อนกรวดในหินแลงจะกลับเป็นเงินทอง หมูจะกลายเป็นยักษ์ขึ้นกินคนแล้วท้าวชัยมิกราชผู้มีบุญ (คือ ผู้มีบุญ) จะมาเป็นใหญ่ในโลกนี้ ใครอยากจะพ้นภัยก็ให้คัดลอก หรือบอกความลายแทงให้รู้กันต่อ ๆ ไป ใครอยากจะมั่งมีก็ให้เก็บกรวดหินและรวบรวมไว้ให้ท้าวชัยมิกราชชุบเป็นเงินทอง ถ้ากลัวตายก็ให้ฆ่าหมูเสีย อย่าให้มันกลายเป็นยักษ์ " จึงได้เกิดมีผู้มีบุญประมาณ ๑๐๐ คน ทั่วมณฑล มณฑลอุดรและมณฑลอีสานได้มีราษฎรพากันเข้ามาเป็นพวกเป็นจำนวนมาก บรรดาผู้มีบุญได้กำเริบเสิบสานถึงกลับพาพรรคพวกเข้าปล้นและเผาเมืองเขมรราฐ ในจังหวัดอุบลราชธานี และขยายความรุนแรงไปทั่วมณฑลอุดรและมณฑลอิสาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พันเอกพระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ (จัน อินทรกำแหง) ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครราชสีมาเป็นข้าหลวงพิเศษ ผู้ช่วยปราบปรามผีบุญทั้ง ๒ มณฑล โดยใช้ทหารบก พลตระเวน และทหารพื้นเมืองจากมณฑลนครราชสีมา, มณฑลอุดร, มณฑลอีสาน และมณฑลบูรพา สามารถปราบปรามขบถผู้มีบุญได้สำเร็จในเวลารวดเร็ว ดังนั้น มณฑลอุดรจึงมีที่ตั้งอยู่ที่บ้านหมากแข้งเหมือนเมื่อครั้งเป็นมณฑลลาวพวน, มณฑลฝ่ายเหนือและมีสมุหเทศาภิบาล ปกครองสืบต่อมา ๕ คน พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร์ (โพธิ์ เนติโพธิ์) ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลอุดร ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๔๙ ๒๔๕๕ ในระยะเวลานี้มณฑลอุดรยังคงแบ่งการปกครองออกเป็น ๕ บริเวณ และมีผู้ปกครองดังนี้ คือ (๑) บริเวณหมากแข้ง พระรังสรรคสรกิจ (เลื่อน) เป็นข้าหลวงบริเวณมีเมืองปกครองเพียงเมืองเดียว คือ เมืองอุดรธานี พระประทุมเทวาภิบาล (เสือ) เป็นผู้ว่าราชการเมือง พระอนุรักษ์ประชาราษฎร์ เป็นผู้ช่วยผู้ว่าราชการเมือง แบ่งออกเป็น ๘ อำเภอ คือ ๑. อำเภอหมากแข้ง (ต่อมาเปลี่ยนเป็นอำเภอเมืองอุดรธานี) ๒.อำเภอหนองค่าย (ต่อมาเปลี่ยนเป็นอำเภอเมืองหนองคาย) ๓. อำเภอท่าบ่อ ๔. อำเภอหนองหาร 4 ๕. อำเภอเมืองกมุทธาไสย (ต่อมาเปลี่ยนเป็นอำเภอหนองบัวลำภู) ๖. อำเภอโพนพิสัย ๗. อำเภอกุมภวาปี ๘. อำเภอรัตนวาปี (๒) บริเวณธาตุพนม พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ (เลื่อง ภูมิรัตน์) เป็นข้าหลวงบริเวณมี เมืองปกครองเพียงเมืองเดียว คือ เมืองนครพนม พระยาพนมนครานุรักษ์ (กา พรหมประกาย ณ นครพนม) เป็นผู้ว่าราชการเมือง มีอำเภอปกครอง ๑๑ อำเภอ คือ ๑. อำเภอเมืองนครพนม ๒. อำเภอมุกดาหาร 5 ๓. อำเภอหนองสูง (ปัจจุบันคือ ตำบลหนองสูงและตำบลหนองสูงใต้ ขึ้นกับอำเภอคำชะอี) 6 ๔. อำเภอเมืองชัยบุรี (ปัจจุบันยุบขึ้นเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอท่าอุเทน) ๕. อำเภอเมืองท่าอุเทน (ต่อมาเปลี่ยนเป็น อำเภอท่าอุเทน) ๖. อำเภอเมืองเรณูนคร ๗. อำเภออาจสามารถ ๘. อำเภอเมืองอากาศอำนวย ๙. อำเภอเมืองกุสุมาลย์มณฑล ๑๐. อำเภอเมืองโพธิไพศาล (ปัจจุบันเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอเมืองสกลนคร) ๑๑. อำเภอรามราช (ปัจจุบันเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอท่าอุเทน) (๓) บริเวณสกลนคร หลวงวิสัยสิทธิกรรม (จีน) เป็นข้าหลวงบริเวณ มีพระยาประจันต- ประเทศธานี (โหง่นคำ ต้นสกุล พรหมสาขา ณ สกลนคร) เป็นผู้ว่าราชการเมือง พระอนุบาลสกลเขต (เมฆ พรหมสาขา ณ สกลนคร น้องชาย พระยาประจันตประเทศธานี) เป็นปลัดเมือง ได้แบ่งอำเภอปกครองออกเป็น ๕ อำเภอ คือ ๑. อำเภอเมืองสกลนคร ๒. อำเภอพรรณานิคม ๓. อำเภอวาริชภูมิ 7 ๔. อำเภอวานรนิวาส ๕. อำเภอจำปาชนบท (ปัจจุบัน คือ อำเภอพังโคน) (๔) บริเวณพาชี (หรือภาชี) ขุนผดุงแคว้นประจันต์ (ช่วง) เป็นข้าหลวงบริเวณ มีเมืองปกครองเพียงเมืองเดียว คือ เมืองขอนแก่น ผู้ว่าราชการเมืองเวลานั้นว่าง มีอำเภอในสังกัด ๔ อำเภอ คือ ๑. อำเภอเมืองขอนแก่น ๒. อำเภอเมืองมัญจาคีรี ๓. อำเภอชนบท ๔. อำเภอภูเวียง (๕) บริเวณน้ำเหือง พระรามฤทธี (สอน ต้นสกุล วิวัฒน์ปทุม) เป็นข้าหลวงบริเวณพระศรีสงคราม (มณี เหมาภา) เป็นผู้ว่าราชการเมือง ตั้งที่ทำการบริเวณ ณ เมืองเลย มีอำเภอปกครอง ๓ อำเภอ ๑. อำเภอเมืองเลย ๒. อำเภอท่าลี่ ๓. อำเภออาฮี (ปัจจุบันยุบเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอท่าลี่) ตั้งเมืองอุดรธานีเป็นเมืองจัตวา เนื่องจากลักษณะการปกครองที่แบ่งเป็นบริเวณมีฐานะเทียบเท่าเมืองดังกล่าว แต่ชื่อยังคงใช้คำว่า "บริเวณ" อยู่นั้น เพื่อให้การเรียกชื่อไม่สับสน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีกระแสพระบรมราชโองการ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทย จัดดำเนินการให้รวมหัวเมืองมณฑลอุดรเข้าเป็นเมืองจัตวารวม ๗ เมือง คือ (๑) ให้รวมเมืองกมุทาไสย เมืองกุมภวาปี เมืองหนองหาร อำเภอบ้านหมาแข้ง ตั้งเป็นเมืองจัตวา เรียกว่า "เมืองอุดรธานี" เป็นที่ตั้งที่ว่าการมณฑลอุดร (๒) หัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งรวมเรียกแต่ก่อนว่า บริเวณพาชีนั้น ให้เปลี่ยนเรียกว่า "เมืองขอนแก่น" (๓) หัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งรวมเรียกแต่เดิมว่า บริเวณน้ำเหืองนั้นให้เปลี่ยนเรียกว่า "เมืองเลย" (๔) หัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งรวมเรียกแต่เดิมว่า บริเวณสกลนครนั้นให้เปลี่ยนเรียกว่า "เมืองสกลนคร" (๕) หัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งรวมเรียกแต่เดิมว่า บริเวณธาตุพนมนั้น ให้เปลี่ยนเรียกว่า "เมืองนครพนม" (๖) เมืองหนองคาย (๗) เมืองโพนพิสัย การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รวมหัวเมืองมณฑล อุดรเข้าเป็นเมืองจัตวา ๗ เมืองนั้น จะเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาความซ้ำซ้อนในการบริหารการปกครองที่มีการแบ่งการปกครองเป็นบริเวณและจังหวัด เนื่องจากการบริหารงานในบริเวณมีฐานะเทียบเท่าจังหวัดดังกล่าวแล้ว ฉะนั้นพระองค์จึงทรงจัดรวมหัวเมืองต่าง ๆ เข้าด้วยกันเป็นจังหวัด ซึ่งบางจังหวัดยุบมาจากบริเวณ ส่วนเมืองที่อยู่ในสังกัดบริเวณให้มีฐานะเป็นอำเภอ การจัดระเบียบบริหารการปกครองดังกล่าวจะเป็นการดำเนินงานอีกขั้นหนึ่งเพื่อให้การปกครองแบบเทศาภิบาลได้รับผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการรับการบริหารการปกครองให้รัดกุมยิ่งขึ้น และใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติในเวลาต่อมา พิธีตั้งเมืองอุดรธานี วันที่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๐) พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพธิ์ เนติโพธิ์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร ได้พร้อมกับกรมการเมืองข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน จัดพิธีตั้งเมืองอุดรธานี ณ สนามกลางเมือง เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๒๗ สำหรับความละเอียดเหตุการณ์ในวันดังกล่าวปรากฏตามพระหัตถเลขาของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กราบบังคมทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ราชเลขานุการ เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าละองธุลีพระบาท ตามหนังสือศาลาว่าการมหาดไทย ที่ ๒๑๐ / ๘๘๐ ลงวันที่ ๒๗ เมษายน ร.ศ. ๑๒๗ ดังต่อไปนี้ (สำเนา) ที่ ๒๑๐ / ๘๘๐ ศาลาว่าการมหาดไทย วันที่ ๒๗ เดือนเมษายน ร.ศ. ๑๒๗ กราบทูล พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ ราชเลขานุการ ทรงทราบ ด้วยเกล้าฯ ได้รับใบบอกพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร์ ข้าหลวงเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลอุดรที่ ๓/๓๑ ลงวันที่ ๗ เมษายน ร.ศ. ๑๒๗ ว่า ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองกมุทธาไสย ๑ เมืองกุมภวาปี ๑ เมืองหนองหาร ๑ อำเภอบ้านหมากแข้ง ๑ ตั้งเป็นเมืองจัตวา "เรียกว่าเมืองอุดรธานี" นั้น พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร์ เห็นว่าการที่ตั้งเมืองใหม่เช่นนี้ควรต้องมีการพิธีเพื่อให้เป็นศิริสวัสดิมงคลและแสดงความรื่นเริง เพราะฉนั้นพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร์แลข้าราชการจึงได้พร้อมกันออกทรัพย์รวมเป็นเงิน ๘๒๗ บาท ได้เริ่มจัดการพิธีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๖ เวลาบ่าย ๔ โมงได้อาราธนาพระสงฆ์ ๕๐ รูปเจริญพระพุทธมนต์ที่ปรำสนามกลางเมืองอุดรธานีเวลาค่ำมีการมะโหรศพและดอกไม้เพลิง ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๒๗ เวลาเช้าข้าราชการได้พร้อมกันถวายอาหารบิณฑบาตร์และเครื่องไทยธรรมแก่พระสงฆ์ ๕๐ รูป เมื่อพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้วจึงได้อ่านประกาศตั้งเมืองที่ปรำพิธีพร้อมด้วยข้าราชการทหารพลเรือนตลอดจนกำนันผู้ใหญ่บ้านและประชาชนทั้งหลาย เมื่อเสร็จการอ่านประกาศแล้วพระสงฆ์ ๕๐ รูป ได้สวดไชยันโต แคนวงและพิณพาทย์ได้ทำเพลงสรรเสริญพระบารมี ข้าราชการ พ่อค้าและประชาชนได้โห่ถวายไชยมงคล ๓ ครั้ง เมื่อถึงเวลาค่ำได้มีการเลี้ยงและการละเล่นจุดดอกไม้เพลิง รุ่งขึ้นวันที่ ๒ เมษายน ได้มีการเลี้ยงอาหารกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและมีการละเล่นเหมือนอย่างวันก่อน รวมเวลาที่กระทำพิธีตั้งเมืองอุดรธานี ๓ วัน พระยาศรีสุริย ราชวรานุวัตร์ และบรรดาข้าราชการที่ได้ออกทรัพย์มีนามและจำนวนเงินตามบาญชีซึ่งได้ถวายมาพร้อมกับจดหมายนี้พร้อมกัน ขอพระราชทานถวายพระราชกุศล มีความใบบอกดังนี้ ขอได้ทรงนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ดำรง เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ป,พ, ก.ท. สำเนาที่ ๑๓๘๐ กระทรวงมหาดไทยรับวันที่ ๒๒ เมษายน ร.ศ. ๑๒๗ บาญชีรายนามผู้ที่ออกทรัพย์ในงานเปิดเมืองอุดรธานี รายนาม ตำแหน่ง เมือง จำนวนเงิน หมายเหตุ บ. อ. พระยาศรีสุริยราช ข้าหลวงเทศา หมากแข้ง ๑๗๐ - พระยาสุนทร ข้าหลวง นครพนม ๓๕ - พระยาพิไสยสรเดช นายอำเภอ โพนพิสัย ๑๐ - พระรามฤทธิ์ ข้าหลวง เมืองเลย ๑๐ - ขุนวรภักดิ์พิบูลย์ ข้าหลวงมหาดไทย อุดรธานี ๒๐ - หลวงพิไชย พธำมรงค์ อุดรธานี ๑๐ - หลวงวิตร์ ข้าหลวงสรรพากร อุดรธานี ๒๐ - นายสดจำรอง - อุดรธานี ๑๐ - หลวงบริรักษ์ ข้าหลวงคลัง อุดรธานี ๒๐ - หม่อมเจ้าคำงอก ผู้ช่วยข้าหลวงคลัง อุดรธานี ๘ - ขุนอักษรเลขา เลขานุการ อุดรธานี ๑๐ - ขุนประจิตร์รัฐกรรม ว่าที่ยกรบัตร์เมือง อุดรธานี ๑๕ - ขุนไตร - อุดรธานี ๔ - นายถึง เสมียน อุดรธานี ๔ - ขุนสวัสดิ์ - อุดรธานี ๔๔ - นายต่อม เสมียน อุดรธานี ๑ - หลวงผลานันตกิจ ข้าหลวงธรรมการ อุดรธานี ๑๕ - ขุนศรีเกษตร์ ว่าที่ผู้พิพากษา อุดรธานี ๒๐ - นายบุญช่วย ยกรบัตร์ศาล อุดรธานี ๖ - ขุนภิมโทรเลข ผู้รั้งสารวัด อุดรธานี ๑๐ - นายสิ้น - อุดรธานี ๔ - นายสาร - อุดรธานี ๒ - หมื่นแสดง พนักงานไปรสนีย์ หนองคาย ๑๐ - นายโพ พนักงานไปรสนีย์ อุดรธานี ๖ - นายจารณ์ ผู้พิพากษา เมืองเลย ๑๐ - ทำการร้อยเอกยิ้ม แทนผู้บังคับการ อุดรธานี นายเปีย พนักงานบาญชี อุดรธานี ๓ - นายจันดี เสมียนตำรวจ อุดรธานี ๓ - นายร้อยอือรุมเอกดัล ครูตำรวจ อุดรธานี ๕๐ - รายนาม ตำแหน่ง เมือง จำนวนเงิน หมายเหตุ บ. อ. ขุนอภัยบริพัตร์ ปลัดเมือง ขอนแก่น ๑๐ นายวินเด ล่าม อุดรธานี ๑๐ - นายเจียก เสมียนตรา อุดรธานี ๑๐ - นายถึก พนักงานแผนที่ อุดรธานี ๔ - นายอนุชาติวฒาธิคุณ นายอำเภอ เพ็ญ ๑๐ - นายบุญเพ็ญ ปลัดอำเภอ หนองหาร ๔ - พระวิจารณ์กมุทธกิจ นายอำเภอ กมุทธไสย ๔ - ขุนสมัคใจราษฎร์ นายอำเภอ กุมภวาปี ๑๐ - ขุนธนภารบริรักษ์ แพทย์ อุดรธานี ๕ - นายทอง ภารโรง อุดรธานี ๕ - พระบริบาลภูมิเขตร์ นายอำเภอ อุดรธานี ๑๒ - ขุนธนสาร สมุหบาญชี อุดรธานี ๕ - นายเขียน ปลัดอำเภอ อุดรธานี ๓ - นายกำปั่น เสมียน อุดรธานี ๑ - นายผอง เสมียน อุดรธานี ๑ - นายสิง เสมียน อุดรธานี ๑ - ขุนประจงอักษร สัสดี อุดรธานี ๔ - นายสาลี ว่าที่อักษรเลข อุดรธานี ๔ - นายทอง หมอ อุดรธานี ๔ - นายเด่น ศุภมาตรา อุดรธานี ๔ - นายโสม คนใช้ อุดรธานี ๑ - นายยา - อุดรธานี ๑ - สุวรรณราช ปลัดอำเภอ วังสะพุง ๔ - ขุนวิจิตร์คุณสาร นายอำเภอ หนองคาย ๑๐ - หลวงทรงสาราวุธ นายอำเภอ มุกดาหาร ๑๐ - ขุนผดุงแคว้นประจัน ข้าหลวง สกล ๒๐ - ขุนผลาญณรงค์ ผู้พิพากษา สกล ๑๐ - นายจันที ปลัดอำเภอ อุดรธานี ๕ - ขุนศรีสุนทรกิจ ปลัดอำเภอ อุดรธานี ๖ - นายมณี ผู้พิพากษา นครพนม ๘ - ขุนพิพิธคดีราษฎร์ ผู้พิพากษา ขอนแก่น ๑๐ - หลวงพิไสย ข้าหลวง ขอนแก่น ๓๐ - รายนาม ตำแหน่ง เมือง จำนวนเงิน หมายเหตุ บ. อ. หลวงพินิจ นายอำเภอ วังสะพุง ๘ - หลวงณรงค์ ยกรบัตร์ เลย ๑๐ - นายปลื้ม นายอำเภอ มัญจาคีรี ๑๐ - พระศรีทรงไชย นายอำเภอ ภูเวียง ๖ - พระศรีชนบาล นายอำเภอ ชนบท ๑๐ - ขุนสุรากิจจำนงค์ นายอำเภอ ท่าอุเทน ๑๐ - หลวงสุราการ รั้งนายอำเภอด่านซ้าย ๘ - นายหริ่ง ผู้ช่วยข้าหลวงสรรพากร อุดรธานี ๕ - พระกุประดิษฐบดี ผู้ว่าราชการ ท่าบ่อ ๑๐ - ขุนมหาวิไชย นายอำเภอ พอง ๑๕ - ขุนอภิบาลนิติสาร - ๑ - พระอุดมสรเขตร์ ปลัดเมือง ขอนแก่น ๑๐ - รวม ๘๒๗ - ในสมัยพระศรีสุริยราชวรานุวัตร์ (โพธิ์ เนติโพธิ์) สมุหเทศาภิบาล มณฑลอุดร ท่านได้ก่อร่างสร้างเมืองอุดรธานีให้มีความเจริญสืบต่อจาก พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ ศิลปาคม และพระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ เป็นอันมาก อาทิเช่น ท่านได้นำข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนตัดถนนหนทาง วางผังเมืองอุดรขึ้นใหม่หลายสาย และท่านได้สร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งซึ่งเวลานั้นเป็นเพียงสำนักสงฆ์ยังไม่มีชื่อ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ทรงประทานชื่อว่า วัดโพธิสมภรณ์ เป็นวัดธรรมยุติวัดแรกในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งชาวจังหวัดอุดรธานีเรียกกันสืบมาว่า วัดโพธิ์เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร์ (โพธิ์ เนติโพธิ์) หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:45:36 อุดรธานี ๕
นอกจากนั้นทางด้านการศึกษาของกุลบุตร ได้ส่งเสริมให้ราษฎรมรฑลอุดรส่งบุตรหลานเข้าเรียนที่โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ซึ่งในขณะนั้นเป็นโรงเรียนที่อาศัยบริเวณของวัดมัชฌิมาวาสและต่อมาได้ขยายมาอยู่บริเวณที่เป็นวิทยาลัยเทคนิคอุดรธานีในปัจจุบัน สำหรับการจัดการศึกษาให้แก่กุลสตรี พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร์ (โพธิ์ เนติโพธิ์) และคุณ หญิง ได้ชักชวนพ่อค้า ข้าราชการ และประชาชนบริจาคทรัพย์ตามกำลังศรัทธาสมทบทุนกับรายได้ของมณฑลเพื่อสร้างโรงเรียนสำหรับกุลสตรีหลังใหม่ เนื่องจากเห็นว่าโรงเรียนอุปถัมภ์นารีหลังเก่าคับแคบ ต่อมาได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าว่า สตรีราชินูทิศ เพื่อเป็นการระลึกถึงและบำเพ็ญพระกุศลถวาย สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. ๒๔๖๔ ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราช-โองการ โปรดเกล้าฯ ให้รวมมณฑลอุดร มณฑลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ดเป็นภาค เรียกว่า ภาคอีสาน ตั้งที่บัญชาการมณฑลภาคที่เมืองอุดรธานี มีเจ้าพระยามุขมนตรี (อวบ เปาวโรหิต) ดำรงตำแหน่งอุปราชภาคอีสาน และเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดรอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ต่อมา ใน พ.ศ. ๒๔๖๘ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และมีผลกระทบถึงประเทศไทยด้วย จึงได้ทรงประกาศยกเลิกภาคอีสาน และโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามุขมนตรี ย้ายไปดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลพายัพ พ.ศ. ๒๔๗๐ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาอดุลยเดชสมยามเมศรวรภักดี (อุ้ย นาครธรรพ) เป็น สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร พ.ศ. ๒๔๗๓ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาตรังคภูมาภิบาล (เจิม ปันยารชุน) เป็นผู้รั้งสมุหเทศาภิบาลอุดรคนสุดท้าย การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ทำให้มีการปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองปรากฏตามพระราชบัญญัติ ระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ในส่วนที่เกี่ยวกับราชการบริหารส่วนภูมิภาค ได้ยกเลิกมณฑลเสียคงให้มีแต่ จังหวัดและอำเภอ โดยกำหนดให้การดำเนินงานในแต่ละจังหวัดมีคณะบุคคลเป็นผู้บริหาร เรียกว่า กรมการจังหวัด ประกอบด้วย (๑) ข้าหลวงประจำจังหวัด เป็นประธานโดยตำแหน่ง (๒) ปลัดจังหวัด (๓) หัวหน้าส่วนราชการฝ่ายพลเรือนต่าง ๆ ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ประจำจังหวัด ซึ่งมีจำนวนมากน้อยกว่ากันตามคุณภาพแห่งงานของแต่ละจังหวัด ทั้งนี้การบริหารราช การในจังหวัดจะมีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดบริหารร่วมกันเป็นคณะ สำหรับความมุ่งหมายของการบริหารราชการจังหวัด โดยคณะกรมการจังหวัด ตามพระ-ราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๖ ดร.หยุด แสงอุทัย ได้ให้ความเห็นไว้ในหนังสือชุมนุมกฎหมายปกครองว่า (๑) เพื่อให้มีการประสานงานระหว่าง หัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ส่งมาประจำจังหวัด (๒) เพื่อไม่ให้แก่งแย่งกันว่างานนั้น ๆ ไม่ใช่หน้าที่ของตน โดยกำหนดให้มีความรับผิดชอบร่วมกัน กล่าวคือ จะถือเป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวง ทบวง กรม ของตน กฎหมายก็กำหนดให้มีความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของจังหวัด (๓) เพื่อให้ช่วยกันส่งเสริมจังหวัดของตนให้เจริญ เพราะกรมการจังหวัดทุกคนสามารถที่จะออกความเห็น แนะนำ คัดค้าน และอธิบายเรื่องที่เกี่ยวแก่จังหวัดตามที่ตนมีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันได้ ดังนั้นมณฑลอุดรจึงถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๖ คงฐานะเป็นจังหวัดอุดรธานี ในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗ ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นที่จังหวัดอุดรธานี คือ ได้เกิดมีคณะเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่หลายที่จังหวัดอุดรธานี ทำการปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญ ได้มีการเคลื่อนไหวโดยในตอนกลางดึกบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดได้มีผู้เอาธงแดงคอมมิวนิสต์ไปปักบนต้นก้ามปู ในตอนเช้าทางราชการก็ได้ให้พนักงานเอาลงมาสลับกันอยู่หลายคืนและมีทีท่าจะก่อความวุ่นวาย ดังปรากฏในประวัติพระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขต (จิตร จิตตะยโศธร) อดีตข้าหลวงประจำจังหวัดอุดรธานี ในหนังสือเมืองในภาคอีสานว่า ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาเผยแพร่ลัทธิคอมมูนิสต์ที่จังหวัดอุดรธานี ได้มีการเนรเทศบ้างฟ้องศาลลงโทษบ้าง เป็นจำนวนมากราว ๕๐ คน ต่อมา ใน พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๔๘๔ จัดการรวมจังหวัดต่าง ๆ ยกขึ้นเป็นภาค จำนวน ๕ ภาค จังหวัดอุดรธานีขึ้นกับภาค ๓ ซึ่งมีที่ทำการภาคอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยภาค ๓ ในเวลานั้นมีจังหวัดสังกัดรวม ๑๕ จังหวัด ใน พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๔๙๔ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเขตภาคขึ้นใหม่ เป็น ๙ ภาค จังหวัดอุดรธานีเป็นจังหวัดที่ตั้งภาค ๔ และต่อมา ใน พ.ศ. ๒๔๙๕ ก็ได้มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ๒๔๙๕ ให้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค ดังนี้คือ (๑) ภาค (๒) จังหวัด (๓) อำเภอ โดยกำหนดให้รวมท้องที่หลายจังหวัดตั้งเป็นภาค มีผู้ว่าราชการภาคคนหนึ่งเป็นหัวหน้า ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการบริหารส่วนภูมิภาค จังหวัดอุดรธานีเป็นจังหวัดที่ตั้งภาค ๔ ได้มีส่วนราชการต่าง ๆ มาตั้งที่ทำการภาคที่จังหวัดอุดรธานีเป็นจำนวนมาก และในขณะเดียวกัน พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ๒๔๙๕ ได้กำหนดให้การบริหารราชการส่วนภูมิภาคในจังหวัดอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ผู้เดียว ยกเลิกคณะกรมการจังหวัดในฐานะองค์คณะบริหารราชการภูมิภาค โดยได้เปลี่ยนสภาพคณะกรมการจังหวัดมาเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้น ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ย้ายผู้ว่าราชการ และรองผู้ว่าราชการภาคไปประจำกระทรวง ในที่สุด ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้มีพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ในส่วนกลางและในราชการส่วนภูมภาค ได้ยกเลิกภาค คงเหลือจังหวัดและอำเภอ ดังนั้นจังหวัดอุดรธานีจึงมีฐานะจังหวัดเพียงอย่างเดียว ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นต้นมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้ ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดอุดรธานี . กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์ , ๒๕๒๘ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:46:34 สุรินทร์
๑. สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา สภาพและความเป็นมาในทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดสุรินทร์ไม่มีปรากฏเป็นหลักฐานเอกสารอันแน่นอน เพียงแต่ได้มีการจดบันทึกไว้เพียงสังเขป ซึ่งส่วนมากได้มาจากคำบอกเล่าของผู้มีอายุและเล่าต่อๆ กันมา จึงเอาความแน่นอนไม่ได้ แต่จากการสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีได้สันนิษฐานว่า พื้นที่ซึ่งเป็นภาคอีสานในปัจจุบันเคยเป็นที่อยู่ของพวกละว้าและลาว มีแว่นแคว้นอันเป็นเขตปกครองเรียกว่า อาณาจักรฟูนัน๑ เมื่อนับย้อนถอยหลังเป็นระยะเวลาประมาณ ๒,๐๐๐ ปี สมัยที่ละว้ามีอำนาจปกครองอาณาจักรฟูนันนั้น คงจะได้สร้างเมืองสุรินทร์ขึ้นและต่อมาเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๑๐๐ พวกละว้าเสื่อมอำนาจลง ขอมเข้ามามีอำนาจแทนและตั้งอาณาจักรเจินละ หรืออิศานปุระ ส่วนพวกละว้าก็ถอยร่นไปทางทิศเหนือ ปล่อยให้พื้นที่รกร้างว่างเปล่าลงเป็นจำนวนมาก จังหวัดสุรินทร์ก็คงจะทิ้งไว้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าและเป็นป่าดงอยู่ เมื่อขอมแผ่อิทธิพลและมีอำนาจครอบครองดินแดนเดิมของละว้าแล้ว ขอมได้แบ่งการปกครองออกเป็น ๓ ภาค โดยตั้งเมืองศูนย์กลางการปกครองบังคับบัญชาขึ้น ๓ เมือง คือ เมืองละโว้ (ลพบุรี) เมืองพิมาย (อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา) และเมืองสกลนคร แต่ละเมืองมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชเท่าเทียมกันและปกครองบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนครวัด อันเป็นราชธานีของขอม ซึ่งอยู่ในดินแดนเขมร สมัยที่ขอมมีอำนาจนั้น เมืองสุรินทร์อาจเป็นดินแดนแห่งหนึ่งที่อยู่ในเส้นทางการไปมาของขอมระหว่างเขาพระวิหาร เขาพนมรุ้ง กับนครวัด นครธม ก็ได้ จึงปรากฏว่าได้มีการสร้างปราสาทหินขนาดเล็ก คำนวณอายุประมาณ ๑,๑๐๐ ปีเศษ เรียงรายอยู่ท้องที่อำเภอต่างๆ ตามชายแดนในท้องที่จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์ โดยเฉพาะในท้องที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ มีปราสาทอยู่ริมเขาพนมดองแหรก หรือดงรัก เรียกว่าช่องตาเมือน มีปราสาทตาเมือนโต๊จ (ปราสาทตาเมือนเล็ก) ปราสาทตาเมือนธม (ปราสาทตาเมือนใหญ่) มีวิหาร ระเบียงคด สระน้ำเรียงรายอยู่รอบๆ บริเวณปราสาท นอกจากปราสาทเหล่านี้ก็มีปราสาทอื่นๆ อีกประมาณ ๒๕ แห่ง อยู่ตามท้องที่อำเภอต่างๆ ในเขตจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งสันนิษฐานว่าขอมสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักพล และประกอบพิธีกรรมทางศาสนาระหว่างเดินทางจากนครวัด นครธม ข้ามเทือกเขาพนมดองแหรก หรือดงรัก มาสู่เมืองศูนย์กลางการปกครองทั้ง ๓ เมืองดังกล่าวมาแล้ว และขอมคงยึดถือเอาเมืองสุรินทร์เป็นเมืองหน้าด่านใหญ่ เพราะขอมมีราชธานีอยู่ทางด้านใต้ของเทือกเขาใหญ่ คือ เขาพนมดองแหรก หรือดงรัก เมืองสุรินทร์คงเป็นที่เหมาะสมที่จะเป็นเมืองหน้าด่านใหญ่ เมื่อข้ามเทือกเขามาสู่ที่ราบทางทิศเหนือเพื่อไปยังเมืองศูนย์กลาง คือเมืองละโว้ เมืองพิมาย และเมืองสกลนคร เพราะเมืองสุรินทร์นั้นมีกำแพงเดินและคูเมืองล้อมรอบ ๒ ชั้น เหมาะสมที่จะสร้างค่ายคูประตูหอรบเพื่อป้องกันการรุกรานของข้าศึกเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีเมืองหน้าด่านรองๆ ลงไปอีก เช่น บ้านเมืองลิ่ง (อยู่ในเขตอำเภอจอมพระปัจจุบัน) บ้านประปืด อยู่ในเขตตำบลเขวาสินรินทร์ บ้านแสลงพัน เขตตำบลแกใหญ่ บ้านสลักได อำเภอเมืองสุรินทร์ ในปัจจุบันทั้ง ๔ แห่งนี้ปรากฏร่องรอยเช่นซากกำแพงเมืองเก่าให้เห็นอยู่ ส่วนที่ยังมีสภาพสมบูรณ์กว่าแห่งอื่น คือ บ้านประปืด ตำบลเขวาสินรินทร์ ซึ่งมีกำแพงดินและคูเมือง ๒ ชั้น ให้เห็นอยู่จนปัจจุบัน จากเมืองสุรินทร์ไปยังเมืองหน้าด่านเล็กๆ เหล่านี้แต่ก่อนเคยมีถนนดินพูนสูงประมาณ ๑ เมตร กว้างประมาณ ๑๒ เมตร ทอดออกจากกำแพงเมืองสุรินทร์ไปยังเมืองหน้าด่านเล็กดังกล่าวแล้วทุกแห่ง แต่ปัจจุบันสภาพถนนเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ๒. สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อขอมเสื่อมอำนาจลง ไทยก็เริ่มมีอำนาจและเข้าครอบครองดินแดนเหล่านี้ และได้มีการอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ทางแถบตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดสุรินทร์ และในสมัยที่ขอมหมดอำนาจลงนั้น จังหวัดสุรินทร์คงมีสภาพเป็นป่าดงอยู่นาน เสมือนหนึ่งเป็นดินแดนหลงสำรวจ เพราะแม้แต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นหรือตอนกลาง ก็มิได้มีการบันทึกกล่าวถึงเมืองสุรินทร์แต่อย่างใด เพิ่งจะได้มีการรู้จักเมืองสุรินทร์ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาในระยะเริ่มแรกของการตั้งเมือง ซึ่งปรากฏตามหลักฐานพงศาวดารเมืองสุรินทร์ ดังต่อไปนี้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ราชอาณาจักรไทยมีอาณาเขตกว้างขวางมาก ชาวไทยพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกตัวเองว่า ส่วย กวย หรือ กุย ที่อาศัยในแถบเมืองอัตปือแสนแป (แสนแป) ในแคว้นจำปาศักดิ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนของราชอาณาจักรไทยโดยสมบูรณ์ (เพิ่งเสียให้ฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ หรือ ร.ศ. ๑๑๒) พวกเหล่านี้มีความรู้ความสามารถในการจับช้างป่ามาเลี้ยงไว้ใช้งาน ตลอดทั้งการจับสัตว์ป่านานาชนิด ได้พากันอพยพข้ามลำน้ำโขงมาสู่ฝั่งขวา เมื่อ พ.ศ. ๒๒๖๐ โดยแยกกันหลายพวกด้วยกัน แต่ละพวกมีหัวหน้าควบคุมมา และมาตั้งหลักฐาน ดังนี้ พวกที่ ๑ มาตั้งหลักฐานที่บ้านเมืองที (บ้านเมืองที ตำบลเมืองที อำเภอเมืองสุรินทร์) หัวหน้าชื่อ เชียงปุม พวกที่ ๒ มาตั้งหลักฐานที่บ้านกุดหวาย หรือเมืองเตา (อำเภอรัตนบุรีปัจจุบัน) หัวหน้าชื่อ เชียงสี หรือ ตากะอาม พวกที่ ๓ มาตั้งหลักฐานที่บ้านเมืองลิ่ง (เขตอำเภอจอมพระปัจจุบัน) หัวหน้าชื่อ เชียงสง พวกที่ ๔ มาตั้งหลักฐานที่บ้านโคกลำดวน (เขตอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ) หัวหน้าชื่อ ตากะจะ และ เชียงขัน พวกที่ ๕ มาตั้งหลักฐานที่บ้านอัจจะปะนึง หรือโคกอัจจะ (เขตอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์) หัวหน้าชื่อ เชียงฆะ พวกที่ ๖ มาตั้งหลักฐานที่บ้านกุดปะไท (บ้านจารพัต อำเภอศีขรภูมิปัจจุบัน) หัวหน้าชื่อ เชียงไชย ลุ พ.ศ. ๒๓๐๒ ในรัชกาลของสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ พระที่นั่งสุริยามรินทร์ ครองกรุงศรีอยุธยาราชธานี ช้างเผือกแตกโรงออกจากเมืองหลวงเข้าป่าไปทางทิศตะวันออก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามารินทร์ โปรดให้สองพี่น้องเป็นหัวหน้ากับไพร่พล ๓๐ นายออกติดตาม เมื่อสองพี่น้องกับไพร่พลติดตามมาถึงเมืองพิมายทราบจากเจ้าเมืองพิมายว่า ในดงริมเขามีพวกส่วยซึ่งชำนาญในการจับช้างและเลี้ยงช้างอยู่ หากไปสืบหาจากพวกส่วยเหล่านี้คงจะทราบเรื่อง สองพี่น้องกับไพร่พลจึงได้ติดตามไปพบเชียงสี หรือตากะอามที่บ้านกุดหวาย (อำเภอรัตนบุรีปัจจุบัน) เชียงสีจึงได้พาสองพี่น้องกับไพร่พลไปหาเชียงสงที่บ้านเมืองลิ่ง ไปหาเชียงปุมที่บ้านเมืองที ไปหาเชียงไชยที่บ้านกุดปะไท ไปหาตากะจะและเชียงขันที่บ้านโคกลำดวน และไปหาเชียงฆะที่บ้านอัจจะปะนึง เชียงฆะได้เล่าบอกกับสองพี่น้องว่า ได้เคยเห็นช้างเผือกเชือกหนึ่งมีเครื่องประดับที่งาทั้งสองข้าง ได้พาโขลงช้างป่ามาลงเล่นน้ำที่หนองโชกตอนบ่ายๆ ทุกวัน เมื่อได้ทราบเช่นนั้นสองพี่น้องจึงได้พาหัวหน้าหมู่บ้านเหล่านั้นไปขึ้นต้นไม้ริมหนองโชกคอยดู ครั้นถึงตอนบ่ายก็เห็นโขลงช้างป่าประมาณ ๕๐ - ๖๐ เชือก เดินห้อมล้อมช้างเผือกออกจากชายป่าลงเล่นน้ำในหนอง สมจริงดังที่เชียงฆะบอกกล่าว สองพี่น้องจึงใช้พิธีกรรมทางคชศาสตร์จับช้างเผือกได้แล้ว สองพี่น้องกับไพร่พลโดยมีหัวหน้าบ้านป่าดง คือ เชียงปุม เชียงสี หรือตะกะอาม เชียงฆะ เชียงไชย ตากะจะ และเชียงขัน ได้ร่วมเดินทางไปส่งด้วย สองพี่น้องได้กราบทูลถึงการที่เชียงปุมกับพวกได้ช่วยเหลือติดตามช้างเผือกได้คืนมาและนำมาส่งถึงกรุงศรีอยุธยาด้วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งสุริยามรินทร์จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ 1.เชียงปุม หัวหน้าหมู่บ้านเมืองที เป็นหลวงสุรินทรภักดี 2.ตากะจะ หัวหน้าหมู่บ้านโคกลำดวน เป็นหลวงแก้วสุวรรณ 3.เชียงขัน อยู่รวมกันกับตากะจะ เป็นหลวงปราบ 4.เชียงฆะ หัวหน้าหมู่บ้านอัจจะปะนึง เป็นหลวงเพชร 5.เชียงสี หัวหน้าหมู่บ้านกุดหวาย เป็นหลวงศรีนครเตา 6.เชียงไชย หัวหน้าหมู่บ้านกุดปะไท เป็นขุนไชยสุริยงศ์ พร้อมทั้งพระราชทานตราตั้งและโปรดเกล้าฯ ให้ปกครองหมู่บ้านเดิมขึ้นตรงต่อเมืองพิมาย หลวงสุรินทรภักดีกับพวก ได้พากันเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิมและได้ปกครองหมู่บ้านเดิมตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตลอดมา พ.ศ. ๒๓๐๖ หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) ได้ขอให้เจ้าเมืองพิมายกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตย้ายจากหมู่บ้านเมืองทีไปตั้งอยู่ที่บ้านคูปะทาย หรือบ้านปะทายสมันต์ เพราะบ้านเมืองทีเป็นหมู่บ้านเล็กไม่เหมาะสม ส่วนบ้านคูปะทายหรือประทายสมันต์ (เมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน) เป็นหมู่บ้านที่กว้างใหญ่มีกำแพงค่ายคูล้อมรอบถึง ๒ ชั้น เป็นชัยภูมิเหมาะสมที่จะป้องกันและต่อต้านศัตรูที่มารุกรานได้เป็นอย่างดี ประกอบทั้งเป็นแหล่งที่เหมาะสมในการอยู่อาศัย มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งสุริยามรินทร์ก็ได้ทรงอนุญาตให้ย้ายได้ หลวงสุรินทรภักดีจึงได้อพยพราษฎรบางส่วนไปอยู่ที่บ้านคูปะทาย ส่วนญาติพี่น้องชื่อ เชียงปืด เชียงเกตุ เชียงพัน นางสะดา นางแล และราษฎรส่วนหนึ่งคงอยู่ ณ หมู่บ้านเมืองทีตามเดิม ระหว่างที่อยู่บ้านเมืองที หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) ร่วมกับญาติดังกล่าวพากันสร้างเจดีย์ ๓ ยอด สูง ๑๘ ศอก และสร้างโบสถ์พร้อมพระปฏิมา หน้าตักกว้าง ๔ ศอก ซึ่งปรากฏอยู่ที่วัดเมืองทีมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อย้ายถิ่นฐานจากบ้านเมืองทีไปอยู่ที่บ้านคูปะทายแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านทั้ง ๕ จึงได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงศรีอยุธยา โดยนำสิ่งของไปทูลเกล้าฯ ถวาย คือ ช้าง ม้า แก่นสน ยางสน ปีกนก นอระมาด (นอแรต) งาช้าง ขี้ผึ้ง น้ำผึ้ง เป็นการส่งส่วยตามราชประเพณี เพราะว่าขณะนั้นบรรพบุรุษของชาวสุรินทร์จะได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนอันเป็นป่าดงทึบส่วนนี้ โดยตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่อย่างมั่นคงก็ตาม แต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักของกรุงศรีอยุธยา ยังคงถือว่าเป็นกลุ่มชนที่อยู่ในป่าดงในราชอาณาเขตเท่านั้น ซึ่งกรุงศรีอยุธยาเริ่มรู้จักก็โดยหัวหน้าหมู่บ้านได้ช่วยเหลือจับช้างเผือกคืนกรุงศรีอยุธยา และเมื่อหัวหน้าหมู่บ้านได้นำของไปทูลเกล้าฯ ถวายแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งสุริยามรินทร์จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้หัวหน้าหมู่บ้านสูงขึ้น ดังนี้ 1.หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) เป็น พระสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง ยกบ้านคูปะทายเป็น เมืองปะทายสมันต์ ให้พระสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวางเป็นเจ้าเมืองปกครอง 2.หลวงเพชร (เชียงฆะ) เป็น พระสังฆบุรีศรีนครอัจจะ ยกบ้านอัจจะปะนึง หรือบ้านดงยาง เป็น เมืองสังฆะ ให้พระสังฆบุรีศรีนครอัจจะเป็นเจ้าเมืองปกครอง 3.หลวงศรีนครเตา (เชียงสี หรือตากะอาม) เป็นพระศรีนครเตา ยกบ้านกุดหวายเป็น เมืองรัตนบุรี ให้พระศรีนครเตาเป็นเจ้าเมืองปกครอง 4.หลวงแก้วสุวรรณ (ตากะจะ) เป็น พระไกรภักดีศรีนครลำดวน ยกบ้านปราสาท-สี่เหลี่ยมดงลำดวน เป็น เมืองขุขันธ์ ให้พระไกรภักดีศรีนครลำดวนเป็นเจ้าเมืองปกครอง การปกครองบังคับบัญชาแบ่งเป็นหมวดหมู่ เป็นกอง มีนายกอง นายหมวด นายหมู่ บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อเมืองพิมาย หัวหน้าหมู่บ้านทั้งหมดก็เดินทางกลับและปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบสุขตลอดมา ๓. สมัยกรุงธนบุรี (พ.ศ. ๒๓๑๐ - พ.ศ. ๒๓๒๕) เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงกอบกู้อิสรภาพและตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี พ.ศ. ๒๓๒๑ พระเจ้ากรุงธนบุรีได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) กับเจ้าพระยาสุรสีห์ เป็นแม่ทัพยกขึ้นไปทางเมืองพิมาย แม่ทัพสั่งให้เจ้าเมืองพิมายแต่งข้าหลวงออกมาเกณฑ์กำลังเมืองปะทายสมันต์ เมืองขุขันธ์ เมืองสังฆะ เมืองรัตนบุรี เพื่อให้เป็นกองทัพบกยกทัพไปล้อมตีเมืองเวียงจันทน์ เมืองเวียงจันทน์ยอมแพ้ยอมขึ้นแก่กรุงไทย ต่อมาได้ไปตีเมืองจำปาศักดิ์ เจ้าเมืองจำปาศักดิ์ไม่ยอมต่อสู้เพราะมีกำลังทหารอ่อนแอ จึงยอมขึ้นต่อกรุงไทย กองทัพไทยจึงยกทัพกลับกรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๒๔ เมืองเขมรเกิดจลาจล สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) กับเจ้าพระยาสุรสีห์ได้รับพระบรมราชโองการให้เป็นแม่ทัพ ยกกองทัพไปปราบปรามการจลาจลครั้งนี้ โดยเกณฑ์กำลังของเมืองปะทายสมันต์ เมืองขุขันธ์ และเมืองสังฆะ สมทบกับกองทัพหลวงด้วย การไปปราบปรามครั้งนี้กองทัพไทยเคลื่อนขบวนไปตีเมืองเสียมราฐ เมืองกำพงสวาย เมืองบรรทายเพชร เมืองบรรทายมาศ เมืองรูงตำแรย์ (ถ้ำช้าง) เมืองเหล่านี้ยอมแพ้ขอขึ้นเป็นข้าขอบขันฑสีมา เสร็จแล้วก็ยกทัพกลับกรุงธนบุรี บ้านเมืองที่ตีได้ก็กวาดต้อนพลเมืองมาบ้าง บางพวกก็อพยพมาเอง ในโอกาสนี้ได้มีลาวบราย เขมร ทางแขวงเมืองเสียมราฐ สะโตง กำพงสวาย บรรทายเพชร อพยพมาทางเมืองสุรินทร์ ออกญาแอกและนารอง พาบ่าวไพร่ขึ้นมาอยู่ที่บ้านนางรอง ออกญารินทร์เสน่หาจางวาง ออกไกรแป้น ออกญาตูม นางสาวดาม มาตไว บุตรีเจ้าเมืองบรรทายเพชร และพี่น้องบ่าวไพร่เมืองเสียมราฐได้พากันมาอยู่เมืองปะทายสมันต์ (เมืองสุรินทร์) เป็นจำนวนมาก บ้างก็แยกไปอยู่เมืองสังฆะ ไปอยู่บ้านกำพงสวาย (แขวงอำเภอท่าตูม) บ้าง ในโอกาสนี้เอง พระสุรินทรภักดี (เชียงปุม) เจ้าเมืองปะทายสมันต์ จึงจัดพิธีแต่งงานนางสาวดาม มาตไว บุตรีเจ้าเมืองบรรทายเพชรกับหลานชายชื่อ สุ่น (นายสุ่นเป็นบุตรของนายตี ซึ่งเป็นบุตรชายคนแรกของพระสุรินทรภักดี (เชียงปุม)) เมื่อชาวเขมรทราบว่า นางสาวดาม มาตไว ได้เป็นหลานสะใภ้ของพระสุรินทรภักดีก็พากันอพยพครอบครัวมาอยู่ด้วยเป็นจำนวนมากขึ้น ดังนี้ชาวบ้านคูปะทายหรือบ้านปะทายสมันต์ ซึ่งเป็นส่วยจึงปะปนกับเขมร และเพราะเหตุที่เขมรรุ่งเรืองมาก่อนความเป็นอยู่จึงผันแปรไปทางเขมร เมื่อเสร็จศึกสงครามเมืองเวียงจันทน์และเมืองเขมรแล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงได้ปูนบำเหน็จให้แก่เจ้าเมืองประทายสมันต์ เมืองขุขันธ์ และเมืองสังฆะ โดยเลื่อนบรรศักดิ์ให้เป็น พระยา ทั้ง ๓ เมือง ๔. สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พ.ศ. ๒๓๒๕ - พ.ศ. ๒๓๕๒) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ และตั้งกรุงเทพมหานครเป็นราชธานี พ.ศ. ๒๓๒๙ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ เมืองประทายสมันต์ เป็น เมืองสุรินทร์ ตามสร้อยบรรดาศักดิ์ของเจ้าเมืองตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ในการเปลี่ยนชื่อเมืองปะทายสมันต์เป็นเมืองสุรินทร์ครั้งนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าเมืองพิมายแบ่งปันอาณาเขตให้เมืองสุรินทร์ ดังนี้ ทิศเหนือ จดลำห้วยพลับพลา ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดต่อกับแขวงเมืองรัตนบุรี ตั้งแต่แม่น้ำมูลถึงหลักหินตะวันออกบ้านโพนงอยถึงบ้านโคกหัวลาว และต่อไปยังบ้านโนนเปือย และตามคลองห้วยถึงบ้านนาดี บ้านสัจจังบรรจง ไปทางตะวันออกถึงห้วยทับทัน ทิศตะวันออก จดห้วยทับทัน ทิศตะวันตก ถึงลำห้วยตะโคงหรือชะโกง มีบ้านกก บ้านโคกสูง แนงทม สองชั้น และห้วยราช (ส่วนทางทิศใต้ไม่ได้บอกไว้ เพราะขณะนั้นเมืองเขมรบางส่วนได้อยู่ในความปกครองของไทย เช่น บ้านจงกัลในเขตเขมรปัจจุบัน เคยเป็นอำเภอจงกัลของไทย ขึ้นกับอำเภอสังขะ) เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๗ พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง (เชียงปุม) เจ้าเมืองสุรินทร์ถึงแก่กรรม พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง (เชียงปุม) มีบุตร ๔ คน เป็นชาย ๒ คน ชื่อ นายตี (แต็ย) และนายมี (แม็ย) เป็นหญิง ๒ คน ชื่อ นางน้อย นางเงิน เมื่อพระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง (เชียงปุม) ถึงแก่กรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ตั้งให้นายตี (แต็ย) บุตรชายคนโตเป็นพระสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง เจ้าเมืองสุรินทร์ต่อไป ในปี พ.ศ. ๒๓๔๒ มีตราโปรดเกล้าฯ ให้เกณฑ์กำลังเมืองสุรินทร์ เมืองสังฆะ และเมืองขุขันธ์ เมืองละ ๑๐๐ รวม ๓๐๐ เข้ากองทัพยกไปตีกองทัพพม่า ซึ่งยกมาตั้งอยู่ในเขตแขวงเมืองนครเชียงใหม่ แต่กองทัพไทยมิทันไปถึงพอได้ข่าวว่ากองทัพถอยไปแล้ว ก็โปรดเกล้าฯ ให้ยกกองทัพกลับและได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามพระสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง (ตี) เป็น พระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ พ.ศ. ๒๓๕๐ ทรงพระราชดำริว่าเมืองสุรินทร์ เมืองสังฆะ และเมืองขุขันธ์ เป็นเมืองเคยตามเสด็จพระราชดำเนินในการพระราชสงครามหลายครั้ง มีความชอบมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้ทั้ง ๓ เมืองขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เลยทีเดียว มีอำนาจชำระคดีได้เอง ไม่ต้องขึ้นต่อเมืองพิมายเหมือนแต่ก่อน พ.ศ. ๒๓๕๑ พระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ตี) เจ้าเมืองสุรินทร์ถึงแก่กรรม จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ หลวงวิเศษราชา (มี หรือแม็ย) ผู้เป็นน้องชายเป็น พระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ เจ้าเมืองสุรินทร์สืบต่อไป ๕. สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ. ๒๓๕๒ - พ.ศ. ๒๓๙๔) พ.ศ. ๒๓๕๔ พระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (มี) เจ้าเมืองสุรินทร์ถึงแก่กรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้นายสุ่น บุตรพระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ตี) เป็น พระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ เจ้าเมืองสุรินทร์สืบต่อ ๖. สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๖๗ - พ.ศ. ๒๓๙๔) ลำดับนั้น ตั้งแต่เขตแขวงเมืองจำปาศักดิ์ไปจนถึงเมืองเวียงจันทน์อยู่ในอำนาจอนุเวียงจันทน์กับเจ้าโย่ บุตรที่ครองเมืองจำปาศักดิ์ พ่อลูกทั้งสองเห็นว่ามีเขตแขวงและกำลังผู้คนมากขึ้น ก็มีใจกำเริบคิดขบถต่อกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๙ เจ้าอนุแต่งตั้งให้เจ้าอุปราช (สีถาน) กับเจ้าราชวงศ์เมืองเวียงจันทน์คุมกองทัพยกเข้าตีหัวเมืองรายทางเข้ามาจนถึงเมืองนครราชสีมา ฝ่ายทางเมืองจำปาศักดิ์ เจ้านครจำปาศักดิ์ (โย่) ก็เกณฑ์กำลังยกเป็นกองทัพมาตรีเมืองขุขันธ์แตก จับพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (บุญจันทร์) เจ้าเมืองขุขันธ์กับพระภักดีภูธรสงครามปลัด (มานะ) พระแก้วมนตรียกกระบัตร (เทศ) กับกรมการได้ฆ่าเสีย ส่วนเมืองสุรินทร์ เมืองสังฆะ ได้มีการป้องกันรักษาเมืองอย่างเข้มแข็งทั้งกลางวันและกลางคืน และได้เกณฑ์กำลังไพร่พลไปสมทบกับกองทัพหลวงจนเสร็จสงคราม พ.ศ. ๒๓๗๒ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (สุ่น) เจ้าเมืองสุรินทร์เป็นพระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ พ.ศ. ๒๓๗๒ ครั้งนั้นหัวเมืองทางฝ่ายตะวันออกยังไม่เรียบร้อยดี จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา ครั้งที่เป็นเจ้าพระยาราชสุภาวดี ออกไปจัดตั้งราชการทำสำมะโนครัว และตั้งกองสักอยู่ ณ กุดไผท (ซึ่งเป็นท้องที่อำเภอศีขรภูมิปัจจุบันนี้) ในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (สุ่น) เจ้าเมืองสุรินทร์ถึงแก่กรรม ๗. สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๙๕ - พ.ศ. ๒๔๑๑) หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:47:27 สุรินทร์ ๒
พ.ศ. ๒๓๙๕ ได้โปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระพิไชยราชวงษา (ม่วง) ผู้ช่วยเป็นพระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ เจ้าเมืองสุรินทร์สืบต่อมา (พระพิไชยราชวงษา (ม่วง) เป็นบุตรของพระยาสุรินทรภักดีฯ (สุ่น)) พ.ศ. ๒๔๑๑ ได้โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งพระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) เป็นพระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ ให้หลวงนรินทรราชวงศา (นาก) บุตรพระยาสุรินทรฯ (สุ่น) เป็นพระไชยณรงค์ภักดี (ปลัด) ให้พระมหาดไทย (จันทร์) บุตรนายสอน หลานพระยาสุรินทรฯ (สุ่น) เป็นพระพิชัยนครบวรวุฒิ (ยกกระบัตร) รักษาราชการเมืองสุรินทร์ ๘. สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๑๑ - พ.ศ. ๒๔๕๓) พ.ศ. ๒๔๑๒ พระยาสังฆะบุรีศรีนครอัจจะเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลพระกรุณาขอตั้งบ้านกุดไผทหรือจารพัตเป็นเมือง ขอหลวงไชยสุริยง (คำมี) บุตรหลวงไชยสุริยวงศ์ (หมื่น) กองนอกเป็นเจ้าเมือง ตำแหน่งปลัดและยกกระบัตรเมืองสังฆะว่าง ขอพระสุนทรพิทักษ์ บุตรพระปลัดคนเก่าเป็นปลัด ขอหลวงศรีสุราช ผู้หลานเป็น ยกกระบัตรเมืองสังฆะ ครั้น ณ วันอังคาร ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๗ ในปีมะเส็งนั้น (พ.ศ. ๒๔๑๒) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีตราพระราชสีห์ตั้งบ้านกุดไผท หรือบ้านจารพัต เป็นเมืองศีขรภูมิพิไสย ตั้งให้หลวงไชยสุริยงกองนอกเป็นพระศีขรภูมานุรักษ์เจ้าเมืองขึ้นเมืองสังฆะ ฝ่ายทางเมืองสุรินทร์ พระยาสุรินทรฯ เห็นว่าพระยาสังฆะฯ ได้ขอบ้านกุดไผทเป็นเมืองศีขรภูมิแล้ว ก็เกรงว่าพระยาสังฆะฯ จะเอาบ้านลำดวนเป็นเขตแขวงด้วย จึงได้มีใบบอกขอตั้งบ้านลำดวนเป็นเมือง ขอให้พระไชยณรงค์ภักดี (นาก) ปลัดเมืองสุรินทร์ เป็นเจ้าเมือง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านลำดวนขึ้นเป็นเมืองนามว่า เมืองสุรพินทนิคม ให้พระปลัด (นาก) เป็นพระสุรพินทนิคมานุรักษ์ เจ้าเมืองสุรพินทนิคมขึ้นเมืองสุรินทร์มาแต่นั้น พ.ศ. ๒๔๑๕ ฝ่ายพระยาสังฆะฯ ได้มีใบบอกขอตั้งบ้านลำพุกเป็นเมือง ขอพระมหาดไทยเมืองสังฆะเป็นเจ้าเมือง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านลำพุกขึ้นเป็นเมืองกันทรารมย์ ตั้งให้พระมหาดไทยเป็นพระกันทรานุรักษ์ เจ้าเมืองกันทรารมย์ ขึ้นกับเมืองสังฆะ พ.ศ. ๒๔๑๖ ทางเมืองสุรพินทนิคม พระสุรพินทนิคมานุรักษ์ เจ้าเมืองก็ถึงแก่กรรมในปีนี้ พระยาสุรินทรฯ (ม่วง) เห็นว่า หลวงพิทักษ์สุนทร บุตรพระปลัดกรมการเมืองสังฆะ ซึ่งสมัครมาอยู่เมืองสุรพินทนิคมเป็นผู้มีหลักฐานมั่นคงดี จึงได้ให้หลวงพิทักษ์สุนทรรับราชการตำแหน่งเจ้าเมืองสุรพินทนิคม หลวงพิทักษ์สุนทรรับราชการตำแหน่งเจ้าเมืองสุรพินทนิคมได้สามปีก็ถึงแก่กรรม แต่นั้นมาเจ้าเมืองสุรพินทนิคมว่างตลอดมา พ.ศ. ๒๔๒๔ ฝ่ายทางเมืองจงกัล ตั้งแต่โปรดเกล้าฯ ให้หลวงสัสดี (สิน) เป็นพระวิไชยเจ้าเมืองจงกัลแล้ว พระวิไชยรับราชการได้ ๗ ปีก็ถึงแก่กรรม ครั้นมาปีนี้ เจ้าเมืองสังฆะจึงได้ให้พระสุนทรนุรักษ์ผู้หลานนำใบบอกไปกรุงเทพฯ ขอให้พระสุนทรนุรักษ์เป็นพระทิพชลสินธุ์อินทรนฤมิตร ทางเมืองสุรินทร์ พระยาสุรินทรฯ ได้มีใบบอกกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ตำแหน่งยกกระบัตรเมืองสุรินทร์ว่าง ขอพระมหาดไทยเป็นพระพิไชยนครบวรวุฒิ ยกกระบัตรเมืองสุรินทร์ พ.ศ. ๒๔๒๕ ระหว่างปีนี้ คนทางเมืองสุรินทร์ได้อพยพครอบครัวเป็นอันมากข้ามไปตั้งอยู่ฟากลำน้ำมูลข้างเหนือ มีบ้านทัพค่าย เป็นต้น พระยาสุรินทรฯ จึงได้มีใบบอกขอตั้งบ้านทัพค่ายเป็นเมือง ขอพระวิเศษราชา (ทองอิน) เป็นเจ้าเมือง วันอังคารขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๘ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านทัพค่ายเป็นเมืองชุมพลบุรี ให้พระวิเศษราชา (นัยหนึ่งว่า หลวงราชวรินทร์) (ทองอิน) เป็นพระฤทธิรณยุทธ เจ้าเมือง และโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ท้าวเพชรเป็นที่ปลัดให้ท้าวกลิ่นเป็นที่ยกกระบัตร ทั้งสองคนนี้เป็นพี่ชายพระฤทธิรณยุทธ (ทองอิน) และท้าวนุด บุตรพระฤทธิรณยุทธ (ทองอิน) เป็นผู้ช่วยเมืองชุมพลบุรี พร้อมกันนั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งนายปรางค์ บุตรพระยาสุรินทรฯ (ม่วง) คนหนึ่งเป็นพระสุรพินทนิคมานุรักษ์เป็นเจ้าเมืองสุรพินทนิคมแทนคนเก่าที่ถึงแก่กรรมและตำแหน่งเจ้าเมืองยังว่าง พ.ศ. ๒๔๒๙ พระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) ข้าหลวงใหญ่เมืองนครจำปาศักดิ์ได้เชิญประชุมเจ้าเมืองภาคอีสานขึ้น ณ เมืองอุบล เพื่อสำรวจชายฉกรรจ์และแก้ไขระเบียบการจัดเก็บภาษีอากรในระหว่างการประชุมข้าราชการอยู่นั้น ได้รับรายงานว่าทัพฮ่อเข้าโจมตีเมืองเวียงจันทน์แตก การประชุมต้องยุติลง พระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) ต้องรีบระดมกำลังขึ้นไปยังเมืองหนองคายโดยด่วนเพื่อสมทบกับกองทัพเมืองนครราชสีมา ส่วนกองทัพจากกรุงเทพฯ นั้นโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมเป็นแม่ทัพใหญ่ยกไปสมทบที่เมืองหนองคายซึ่งเป็นจุดชุมพล สำหรับพระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) เจ้าเมืองสุรินทร์ ได้มีคำสั่งให้ช่วยราชการอยู่ที่เมืองอุบล เพราะเจ้าเมืองและกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ต้องไปราชการทัพในครั้งนั้นด้วย พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) ช่วยราชการอยู่ที่เมืองอุบลอยู่ ๒ ปี จึงได้กลับเมืองสุรินทร์ เมื่อพระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) ย่างเข้าวัยชราภาพแล้ว ไม่อาจจะปฏิบัติหน้าที่ราชการได้เต็มที่ จึงได้มอบให้นายเยียบ (บุตรชาย) ช่วยราชการเป็นการภายใน พ.ศ. ๒๔๓๒ พระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) ข้าหลวงใหญ่เมืองนครจำปาศักดิ์ ซึ่งมีอำนาจเต็มในภาคอีสานทั้งหมด ได้แต่งตั้งใบประทวนให้ นายเยียบ เป็นพระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ รักษาราชการในตำแหน่งเจ้าเมืองสุรินทร์ต่อไป แต่อยู่ได้เพียง ๒ ปี ถึง พ.ศ. ๒๔๓๓ ก็ถึงแก่กรรม พระยา สุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) จึงต้องกลับมาเป็นเจ้าเมืองอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ถึงแก่กรรมในปีเดียวกันนั้นเอง พ.ศ. ๒๔๓๔ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร เป็นข้าหลวงใหญ่ พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนออกไปตั้งอยู่ ณ เมืองนครจำปาศักดิ์ กองหนึ่งให้เรียกว่า ข้าหลวงหัวเมืองลาวกาว ให้เมืองนครจำปาศักดิ์ เมืองเชียงแตง เมืองแสนปาง เมืองสีทันดร เมืองสาลวัน เมืองอัตปือ เมืองคำทองใหญ่ เมืองสุรินทร์ เมืองสังฆะ เมืองขุขันธ์ เมืองเดชอุดม เมืองศรีสะเกษ เมืองอุบล เมืองยโสธร เมืองเขมราฐ เมืองกมลาไสย เมืองสุวรรณภูมิ เมืองกาฬสินธุ์ เมืองภูแล่นช้าง เมืองร้อยเอ็ด เมืองมหาสารคาม เมืองใหญ่ ๒๑ เมือง เมืองขึ้น ๔๓ เมือง อยู่ในบังคับบัญชาข้าหลวงเมืองลาวกาว พ.ศ. ๒๔๓๕ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ข้าหลวงใหญ่ ซึ่งย้ายมาแทนพระมหาอำมาตย์ (หรุ่น) ได้ทรงแต่งตั้งให้พระไชยณรงค์ภักดี (บุนนาค) น้องชายพระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์ (เปลี่ยนจากเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง) ในสมัยที่พระไชยณรงค์ภักดี (บุนนาค) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์นี้เป็นยุคที่บ้านเมืองกำลังปรับปรุงระบบบริหารใหม่ ข้าหลวงใหญ่ผู้สำเร็จราชการต่างพระองค์มณฑลอีสานได้ทรงวางระเบียบให้มีข้าราชการจากส่วนกลางมาดำรงตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการทุกหัวเมือง สำหรับเมืองสุรินทร์ หลวงธนสารสุทธารักษ์ (หว่าง) เป็นข้าหลวงกำกับราชการ มีอำนาจเด็ดขาดทัดเทียมผู้ว่าราชการเมือง พ.ศ. ๒๔๓๖ ฝรั่งเศสได้ยกทัพขึ้นทางเมืองเชียงแตง เมืองสีทันดร และเมืองสมโบก ซึ่งเป็นราชอาณาจักรของไทย พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ในฐานะผู้สำเร็จราชการข้าหลวงใหญ่มณฑลอีสานได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการป้องกันราชอาณาจักร ให้เกณฑ์กำลังหัวเมืองสุรินทร์ ศรีสะเกษ เมืองขุขันธ์ เมืองมหาสารคาม และเมืองร้อยเอ็ด เมืองละ ๘๐๐ เมืองสุวรรณภูมิ และเมืองยโสธร เมืองละ ๕๐๐ ฝึกการรบแล้วส่งกำลังรบเหล่านี้เข้าตรึงการรุกรานของฝรั่งเศสทุกจุด สถานการณ์สงครามสงบลงในเดือนตุลาคม ๒๔๓๖ ต่างฝ่ายต่างถอนกำลังรบ กำลังรบของเมืองสุรินทร์จึงได้กลับคืนบ้านเมือง อาจกล่าวได้ว่านับแต่ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อเกิดศึกสงครามจากข้าศึกนอกราชอาณาจักร ชาวสุรินทร์จะมีบทบาทในการป้องกันบ้านเมืองด้วยเสมอ กรณีพิพาทกับฝรั่งเศสสงบลงไม่นานนัก ในปีเดียวกันนี้ พระไชยณรงค์ (บุนนาค) ผ฿ว่าราชการเมืองสุรินทร์ได้ถึงแก่อนิจกรรม โดยที่ยังมิได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นที่พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ตามตำแหน่งในช่วงระยะนี้ เสด็จในกรมฯ ผู้สำเร็จราชการมณฑลอีสาน ได้สั่งย้ายหลวงธนสารสุทธารักษ์ (หว่าง) และแต่งตั้งหลวงสิทธิเดชสมุทรขันธ์ (ล้อม) มาดำรงตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการเมืองสุรินทร์แทน และในปีเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สับเปลี่ยนข้าหลวงต่างพระองค์มณฑลอีสาน โดยให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ มาดำรงตำแหน่งแทนพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ในวาระที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร เดินทางกลับกรุงเทพฯ ผ่านเมืองสุรินทร์ ได้ทรงแต่งตั้งพระพิชัยนครบวรวุฒิ (จรัญ) บุตรนายสอน ซึ่งเป็นบุตรพระยาสุรินทรฯ (ตี) เป็นผู้รั้งตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์ และเมื่อเสด็จถึงกรุงเทพฯ แล้ว จึงได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระพิชัยนครบวรวุฒิ (จรัญ) เป็นพระยา สุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์สืบต่อมา ระหว่างนี้ ได้มีการโยกย้ายสับเปลี่ยนตัวข้าหลวงกำกับราชการโดยลำดับ กล่าวคือ หลวงสิทธิเดชสมุทรขันธ์ (ล้อม) มาประจำอยู่ประมาณ ๑ ปี ก็ย้ายไปอยู่จังหวัดศรีสะเกษ สับเปลี่ยนกับจมื่นวิไชยยุทธเดชาคณี (อิ่ม) จมื่นวิไชยยุทธเดชาคณี ดำรงตำแหน่งประมาณ ๑ ปี ก็ย้ายไปโดยมีหลวงวิชิตชลหาญมาดำรงตำแหน่งแทน ชั่วระยะเวลาอันสั้น กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ก็ได้ย้ายหลวงสาทรสรรพกิจมาดำรงตำแหน่งแทนในประมาณปี พ.ศ. ๒๔๓๘ พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (จรัญ) ถึงแก่กรรมในปีจุลศักราช ๑๒๕๗ หรือ ร.ศ. ๑๑๔ ตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๓๘ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ โปรดให้พระพิไชยณรงค์ภักดี (บุญจันทร์) สันนิษฐานว่าเป็นบุตรของนายพรหม (นายพรหมเป็นบุตรของพระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (มี) เจ้าเมืองสุรินทร์ ลำดับที่ ๓) เป็นผู้รั้งตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์สืบต่อมา พระพิไชยณรงค์ภักดี (บุญจันทร์) ถึงแก่กรรมเมื่อ ร.ศ. ๑๒๖ หรือ พ.ศ. ๒๔๕๐ และเมื่อถึงแก่กรรมแล้วจึงไดรับสัญญาบัตรแต่งตั้งให้เป็นที่พระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงใหญ่มณฑลอีสาน จึงโปรดให้หลวงประเสริฐสุรินทรบาล (ตุ่มทอง) ซึ่งเป็นบุตรของพระไชยณรงค์ภักดี (บุนนาค) ผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์คนที่ ๘ เป็นผู้รั้งตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์แทน แต่ดำรงตำแหน่งได้เพียง ๑ ปี ก็ถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ และในต้นปี พ.ศ. ๒๔๕๑ นี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ไปรับราชการในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวัง เป็นช่วงเวลาที่ได้มีการปรับปรุงระบบบริหารราชการแผ่นดินในราชการบริหารส่วนภูมิภาค (เข้าสู่แบบเทศาภิบาล) ส่วนกลางได้เริ่มแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายปกครองมาดำรงตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดบ้าง หรือผู้ว่าราชการจังหวัดบ้าง บุคคลแรกที่ได้รับการแต่งตั้งมาดำรงตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดสุรินทร์ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ คือ พระกรุงศรีบุรีรักษ์ (สุม สุมานนท์) นับแต่ได้มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองสุรินทร์ มีเจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชการเมือง ปกครองสืบเชื้อสายต่อมา ได้มีเจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชการเมืองปกครองโดยลำดับ ดังนี้ 1.พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง (ปุม) พ.ศ. ๒๓๐๓ - ๒๓๓๗ 2.พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ตี) พ.ศ. ๒๓๓๗ ๒๓๕๑ 3.พระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (มี) พ.ศ. ๒๓๕๑ - ๒๓๕๔ 4.พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (สุ่น) พ.ศ. ๒๓๕๔ - ๒๓๙๔ 5.พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) พ.ศ. ๒๓๙๕ - ๒๔๓๒ 6.พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (เยียบ) พ.ศ. ๒๔๓๒ - ๒๔๓๓ 7.พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) พ.ศ. ๒๔๓๓ - ๒๔๓๔ 8.พระไชยณรงค์ภักดี (บุนนาค) พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๒๔๓๖ 9.พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (จรัญ) พ.ศ. ๒๔๓๖ - ๒๔๓๘ 10.พระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (บุญจันทร์) พ.ศ. ๒๔๓๘ - ๒๔๕๐ 11.พระประเสริฐสุรินทรบาล (ตุ่มทอง) พ.ศ. ๒๔๕๐ - ๒๔๕๑ รายนามข้าหลวงกำกับราชการ 1.หลวงธนสารสุทธารักษ์ (หว่าง) พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๒๔๓๖ 2.หลวงสิทธิเดชสมุทรขันธ์ (ล้อม) พ.ศ. ๒๔๓๖ - ๒๔๓๗ 3.จมื่นวิไชยยุทธเดชาคณี (อิ่ม) พ.ศ. ๒๔๓๗ - ๒๔๓๘ 4.หลวงวิชิตชลหาญ พ.ศ. ๒๔๓๘ - ๒๔๓๘ 5.หลวงสาทรสรรพกิจ (อู๊ต) พ.ศ. ๒๔๓๘ - ๒๔๕๐ รายนามข้าหลวงและผู้ว่าราชการจังหวัด 1.พระกรุงศรีบุรีรักษ์ (สุม สุมานนท์) พ.ศ. ๒๔๕๑ - ๒๔๕๓ 2.หลวงวิชิตสรไกร (ขำ ณ ป้อมเพชร) พ.ศ. ๒๔๕๓ - ๒๔๕๔ 3.พระอนันตรานุกูล (สว่าง พุกณานนท์) พ.ศ. ๒๔๕๔ - ๒๔๕๗ 4.หลวงประสงค์สุขการี (เทียบ สุวรรณิน) พ.ศ. ๒๔๕๗ - ๒๔๖๑ 5.พระยาสำเริงนฤปการ (อนงค์ พยัคฆันตร์) พ.ศ. ๒๔๖๑ - ๒๔๖๕ 6.พระนิกรจำนงค์ (จิตร ไกรฤกษ์) พ.ศ. ๒๔๖๕ - ๒๔๖๙ 7.พระยาเสนานุชิต (จร ศกุนตะลักษณ์) พ.ศ. ๒๔๖๙ - ๒๔๗๐ 8.พระยาปทุมเทพภักดี (ธน ณ สงขลา) พ.ศ. ๒๔๗๐ - ๒๔๗๑ 9.พระยาสุริยาราชวราภัย (ศิริ วิเศษโกสิน) พ.ศ. ๒๔๗๑ - ๒๔๗๖ 10.พ.ต.อ.พระยาขจรธรณี (ปลั่ง โสภารักษ์) พ.ศ. ๒๔๗๖ - ๒๔๗๗ 11.พระศรีพิชัยบริบาล (สวัสดิ์ ปัทมดิลก) พ.ศ. ๒๔๗๗ - ๒๔๘๑ 12.หลวงนครคุนูปถัมภ์ (หยวก ไพโรจน์) พ.ศ. ๒๔๘๑ - ๒๔๘๔ 13.นายโฉม จงศิริ พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๔๘๙ 14.ขุนไมตรีประชารักษ์ (ไมตรี ไมตรีประชารักษ์) พ.ศ. ๒๔๘๙ - ๒๔๙๐ 15.ขุนพำนักนิคมคาม (สนธิ พำนักนิคมคาม) พ.ศ. ๒๔๙๐ - ๒๔๙๒ 16.นายทำนุก รัตนดิลก ณ ภูเก็ต พ.ศ. ๒๔๙๓ - ๒๔๙๖ 17.นายเลื่อน ไขแสง พ.ศ. ๒๔๙๖ - ๒๔๙๘ 18.พ.ต.อ.นิรันดร ชัยนาม พ.ศ. ๒๔๙๘ - ๒๕๐๐ 19.นายมานิต ปุรณพรรค์ พ.ศ. ๒๕๐๐- ๒๕๐๑ 20.หลวงปริวรรตวรวิจิตร (จันทร์ เจริญชัย ปริวรรตวร) พ.ศ. ๒๕๐๑ - ๒๕๐๕ 21.นายคำรน สังขกร พ.ศ. ๒๕๐๕ - ๒๕๑๐ 22.พล.ต.ต.วิเชียร สีมันตร พ.ศ. ๒๕๑๐ - ๒๕๑๓ 23.นายสงัด รักษ์เจริญ พ.ศ. ๒๕๑๓ - ๒๕๑๔ 24.นายฉลอง วัชรากร พ.ศ. ๒๕๑๔ - ๒๕๑๕ 25.นายสงวน สาริตานนท์ พ.ศ. ๒๕๑๕ - ๒๕๑๗ 26.นายสุธี โอบอ้อม พ.ศ. ๒๕๑๗- ๒๕๑๙ 27.นายฉลอง กัลยาณมิตร พ.ศ. ๒๕๑๙- ๒๕๒๓ 28.นายเสนอ มูลศาสตร์ พ.ศ. ๒๔๒๓ ปัจจุบัน การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีกระทรวงมหาดไทย ในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศ และควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือว่าเป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อยและเปลี่ยนระบบการปกครอง จากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือ ระบบกินเมืองให้หมดไป การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่นหัวเมืองหรือประเทศราช ยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวาง ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย พระองค์ได้จัดให้มีอำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงจะขอนำคำจำกัดความของ การเทศาภิบาล ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการ อันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาค อันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถัดลงไปเป็นเมืองคือจังหวัด รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดี ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็ว แก่ราชการและธุรกิจของประชาชนซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้ การเทศาภิบาลนั้น หมายความรวมว่าเป็น ระบบ การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า การปกครองส่วนภูมิภาค ส่วน มณฑลเทศาภิบาล นั้น คือส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิมอันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมเจ้าท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่าควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล มีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตกบัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับ ดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้ เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ตให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี และในปีเดียวกันนั้นเอง ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:47:48 สุรินทร์ ๓
พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานี และมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี ระยอง และตราด พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษเพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. ๒๔๕๔ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัด และกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหารเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก 1.การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง 2.เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง 3.เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น 4.รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้นและการที่ยุบมณฑล เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ 1.จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ 2.อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรรมการจังหวัดนั้นได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด 3.ในฐานะของคณะกรรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมา ได้มีการแก้ไปขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น 1.จังหวัด 2.อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:48:38 บุรีรัมย์
คำว่า บุรีรัมย์ ซึ่งแปลว่า เมืองที่น่าพอใจ มีความเป็นมายาวนานและมีหลักฐานที่แตก ต่างกัน จะขอนำตัวอย่างหลักฐานอ้างอิง ดังนี้ ๑. ประกาศแต่งตั้งขุนนางไทย ร.ศ. ๘๗ ปีที่ ๑ รัชกาลที่ ๕ มีความว่า ให้พระสำแดง-ฤทธิณรงค์ เป็น พระนครภักดีศรีนัครา เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองบุรีรัมย์ ขึ้นเมืองนครราชสีมา ถือศักดินา ๑,๐๐๐ ฯลฯ ตั้งแต่ ณ วัน ๔ ฯ ๓ ค่ำ ปีมะโรง สัมฤทธิศก ศักราช ๑๒๓๐ เป็นวันที่ ๖๕ ใน รัชกาลปัจจุบัน ๒. จากประวัติจังหวัดนครราชสีมา แต่งโดยสุขุมาลย์เทวี กล่าวว่า สมัย สมเด็จ พระนารายณ์มหาราช เมืองนครราชสีมาปกครองเมืองขึ้น ๕ เมือง คือ นครจันทึก ชัยภูมิ พิมาย บุรีรัมย์ นางรอง ๓. ประชุมพงศาวดารฉบับความสำคัญ โดยหลวงวิจิตรวาทการ ฉ. ๓ กล่าวว่า บุรีรัมย์ เดิมชื่อ โนนม่วง ตั้งสมัยกรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๑๘ ประวัติศาสตร์จังหวัดบุรีรัมย์ มีความแตกต่างจากประวัติศาสตร์จังหวัดอื่น ตรงที่ว่า ประวัติศาสตร์จังหวัดอื่นส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ชุมชน ซึ่งรวมตัวกันขึ้นในจุดใดจุดหนึ่ง และจุดนั้นก็พัฒนามาจนกลายเป็นจังหวัด หรือเมืองนั้นๆ แต่เมืองบุรีรัมย์จุดเริ่มต้นและจุดที่เป็นจังหวัดคนละแห่งกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองจุดก็ไม่ได้แน่นแฟ้นกันนัก ประวัติศาสตร์ที่ได้มาจึงมีลักษณะที่เด่น คือเป็นเรื่องของชาวบุรีรัมย์ ไม่ใช่เป็นเรื่องของเจ้าเมืองบุรีรัมย์เพียงอย่างเดียว ดินแดนอันเป็นที่ตั้งจังหวัดบุรีรัมย์ปัจจุบัน เป็นดินแดนที่เคยรุ่งเรืองมาในอดีต มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นมาโดยตลอด จากหลักฐานต่างๆ ดังต่อไปนี้ ๑. จากการศึกษาสำรวจ และศึกษาจากแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศของ รศ. ศรีศักร วัลลิโภดม และ ผศ. ทิวา ศุภจรรยา ปรากฏว่า มีเมืองและชุมชนโบราณเฉพาะในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ เกินกว่า ๑๓๐ แห่ง เมืองและชุมชนเหล่านั้นจะมีคูน้ำ คันดินล้อมรอบถึง ๓ ชั้น ก็มีลักษณะของเมืองเป็นรูปทรงกลมเกือบทั้งหมด จากการวิเคราะห์ในชั้นต้นเป็นเมืองและชุมชนที่อายุอยู่ในสมัยทวารวดี๑ ซึ่งจากข้อสำรวจดังกล่าวในบริเวณลำน้ำมูลพบว่า ลำน้ำนี้เป็นลำน้ำหลักของบริเวณ ไหลมาจากทางทางตะวันตกผ่านตอนใต้ของอำเภอพุทไธสง ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านเขตอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ไปยังเขตอำเภอชุมพลบุรี และอำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ตามลำดับ ทางฝั่งใต้ของ แม่น้ำมูลในรัศมี ๒ - ๑๗ กิโลเมตร จากฝั่งน้ำ ได้พบชุมชนเป็นระยะไป ซึ่งล้วนแต่ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มทั้งสิ้น คือ บ้านปะเคียบ บ้านโนนสูง บ้านแพ บ้านดงเค็ง บ้านสระขี้ตุ่น บ้านเขว้า บ้านกระเบื้อง บ้านโคกเมืองไช บ้านเมืองน้อย บ้านดงพลอง บ้านตะแบง บ้านโคกเมือง บ้านทุ่งวัง และบ้านสำโรง ชุมชนโบราณที่กล่าวถึงนี้อาจวิเคราะห์ตามรูปร่างลักษณะและสภาพแวดล้อม คือ (๑) แบบที่เป็นเนินดินสูงจากระดับ ๕ เมตรขึ้นไป จากที่ราบลุ่มในบริเวณรอบๆ ไม่มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ บางแห่งก็เป็นเนินเดี่ยว แต่บางแห่งก็เป็นสองสามเนินดินต่อกัน ตามเนินดินจะมีเศษเครื่องปั้นดินเผา ทั้งที่มาจากหม้อกระดูกและไม่ใช่หม้อกระดูกกระจัดกระจายอยู่เนินดิน ที่เป็นแหล่งสำคัญในแบบนี้ได้แก่ บ้านกระเบื้อง ซึ่งเป็นเนินดินขนาดใหญ่มี ๓ เนินดินติดต่อกัน ในการตัดถนนผ่านหมู่บ้านรถแทรกเตอร์ได้ตัดชั้นดินของแหล่งชุมชนโบราณลึกไปอีกถึง ๓ - ๔ เมตร เผยให้เห็น ชั้นดินที่มีการอยู่สืบเนื่องกันมาอย่างน้อย ๒-๓ ชั้น ชั้นต่ำสุดสัมพันธ์กับเครื่องปั้นดินเผาแบบหนาและหยาบ เปลือกหอย และกระดูกสัตว์ ชั้นบนๆ ขึ้นมาสัมพันธ์กับเครื่องปั้นดินเผาชนิดบางมีลายเชือกทาบ และบรรดาภาชนะบรรจุกระดูกคน ตามแบบต่างๆ นอกนั้นยังพบเศษขี้โลหะ ที่เหลือจากการถลุงแล้ว เนินดินอีกแห่งหนึ่งคือ บ้านโคกสูง พบชั้นดินที่อยู่อาศัยอย่างน้อย ๒ - ๓ ชั้น และพบเศษขี้แร่โลหะ เช่นเดียวกันกับที่บ้านกระเบื้อง (๒) แบบที่เป็นเนินดินที่คูน้ำล้อมรอบ ได้แก่ บ้านแพ บ้านโคกเมืองไช บ้านเมืองน้อย บ้านดงพลอง บ้านโคกเมือง และบ้านทุ่งวัง ชุมชนโบราณเหล่านี้บางแห่งก็มีคูน้ำล้อมรอบชั้นเดียว แต่บางแห่งก็มีคูน้ำล้อมรอบตั้งแต่สองชั้นขึ้นไป เช่น บ้านดงพลอง และบ้านโคกเมือง แหล่งสำคัญเห็นจะได้แก่บ้านดงพลอง ซึ่งมีลักษณะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีคูน้ำล้อมรอบสองชั้น พบเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นภาชนะใส่กระดูกคนตายและเครื่องปั้นดินเผาเครือบแบบลพบุรี ซึ่งเข้าใจว่าคงแพร่มาจากเตาบ้านกรวด แสดงให้เห็นว่าชุมชนนี้คงมีอยู่เรื่อยมาจนถึงสมัยลพบุรี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗ บ้านโคกเมืองก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่เป็นชุมชนรูปกลม มีคูน้ำล้อมรอบถึง ๓ ชั้น ภายในชุมชนพบเศษภาชนะดินเผา พร้อมบรรจุกระดูกและขี้โลหะที่ถลุงแล้วเป็นจำนวนมาก ถัดมาก็เป็นบ้านทุ่งวัง ซึ่งเป็นเนินดิน ๒ - ๓ เนินที่มีคูน้ำโอบรอบเข้าไว้ด้วยกัน พบเสมาหินทรายแบบทวารวดี และเนินดินลูกหนึ่งที่ใช้เป็นแหล่งถลุงโลหะโดยเฉพาะ นอกนั้นยังมีผู้พบเทวรูปและเครื่องปั้นดินเผาแบบขอมซึ่งเป็นของในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ - ๑๑ (พุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘) ลงมา (๓) แบบที่เป็นเนินดิน ๒ - ๓ เนิน มีคูน้ำล้อมรอบและมีการสร้างคันดินโอบรอบอีก ชั้นหนึ่งพบที่บ้านปะเคียบเพียงแห่งเดียว แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของผังชุมชนตั้งแต่ระยะแรกที่มีเพียง เนินดินเป็นที่อยู่อาศัย แล้วต่อมาก็มีการขุดคูน้ำล้อมรอบ และในสมัยหลังสุดก็มีการสร้างคูคันดินเป็นกำแพงเมืองโอบรอบอีกชั้นหนึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่น่าเสียดายที่ว่าการสร้างกำแพงดินนี้เสร็จ เพียงแค่ด้านตะวันตกด้านใต้ถ้าหากว่าทำเสร็จแล้วผังของชุมชนแห่งนี้จะเป็นลักษณะเดียวกันกับ ผังเมืองร้อยเอ็ด และสุรินทร์ทีเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการที่จะปรับปรุงให้ชุมชนบ้านปะเคียบเป็นเมืองขึ้นในสมัยลพบุรี ราวคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ (พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘) นอกจากนี้บริเวณภายในชุมชนบ้านปะเคียบเองก็แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการที่สอดคล้องกับลักษณะผังเมืองที่ได้กล่าวมาแล้วคือพบเนินดินที่จัดไว้เป็นบริเวณศักดิ์สิทธิ เป็นที่ฝังอัฐิคนตาย ซึ่งบรรจุไว้ในหม้อกระดูก ต่อมาบริเวณนี้ ได้กลายเป็นศาสนสถานทางพุทธศาสนา มีเสมาหินที่มีรูปสลักเป็นรูปสถูปและฐานกลีบบัว อันเป็นสัญลักษณ์ในทางพุทธศาสนา ปักอยู่หลายหลัก รวมทั้งมีชิ้นส่วนของธรณีประตูหินที่แสดงให้เห็นว่า เคยมีการสร้างอาคารในรูปของวิหารบนเนินนี้ด้วย นอกจากนี้ยังพบเศษโลหะสัมริดที่หล่อเป็นรูป วงแหวนและชิ้นส่วนของเทวรูปและข้างในบริเวณนี้อีกด้วย อันแสดงให้เห็นว่าเป็นชุมชนที่มีพัฒนาการมาถึงสมัยทวารวดี และลพบุรี ทางฝั่งเหนือของลำน้ำ ในรัศมี ๒ - ๗ กิโลเมตร จากฝั่งน้ำสำรวจพบแหล่งโบราณคดี จำนวน ๑๗ แห่ง คือ บ้านเมืองไผ่ บ้านเมืองบัว บ้านจาน บ้านขี้เหล็ก บ้านน้ำอ้อมใหญ่ บ้านแสงสุข บ้านยะวึก บ้านขี้ตุ่น บ้านน้ำอ้อม บ้านกระเบื้องใหญ่ บ้านกระเบื้องน้อย บ้านหัวนาดำ บ้านสำโรง บ้านตึกชุม บ้านโนนยาว บ้านเขาโค้ง บ้านกระเบื้อง แหล่งโบราณคดีเหล่านี้ก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับทางฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำมูล คือ แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ ๒ แบบ คือ แบบที่เป็นเนินดินโดยไม่มีคูน้ำล้อมรอบ และแบบที่มีคูน้ำล้อมรอบ ในบรรดาแบบที่ไม่มีคูน้ำล้อมรอบที่น่าสนใจเห็นจะได้แก่ บ้านกระเบื้องใหญ่ ตำบลยะวึก เป็นเนินดินขนาดใหญ่ที่มีความสูงลาดขึ้นไปจากทางตะวันตกไปทางตะวันออก แสดงถึงการทับถมของแหล่งที่อยู่อาศัยหลายยุคหลายสมัย ตอนปลายเนินทางด้านตะวันออก ซึ่งเป็นตอนที่สูงสุดนั้นปัจจุบันเป็นเขตวัดประจำหมู่บ้าน ดูเหมือนจะถูกจัดไว้ให้เป็นแหล่งศักดิ์สิทธิของชุมชนในสมัยโบราณ เพราะเป็นบริเวณที่มีเครื่องปั้นดินเผาที่ใช้เป็นหม้อบรรจุกระดูกคนตายอยู่หนาแน่นกว่าที่อื่นๆ เนินดินอีกแห่งหนึ่งคือ ที่บ้านโนนยางร้างอยู่ในเขตตำบลบ้านกระเบื้อง อำเภอชุมพลบุรี เป็นเนินดินที่ตั้งอยู่ติดกับลำแม่น้ำมูล ปัจจุบันลำน้ำเปลี่ยนทางเดินเลยกัดเซาะเนินดินแห่งนี้พังทลายลงน้ำไปครึ่งเนิน เผยให้เห็นถึงชั้นดินธรรมชาติ และชั้นดินที่อยู่อาศัยตั้งแต่ชั้นล่างสุดจนถึงชั้นบนสุดที่มีระดับสูงถึง ๔ เมตร เนินดินแห่งนี้ทางคณะสำรวจได้ทำการขุดหลุมทดลองทำผังบริเวณ นำเศษเครื่องปั้นดินเผามาวิเคราะห์ และส่งตัวอย่างถ่านไปทำการกำหนดอายุที่สถาบันพลังงานปรมาณูแห่งชาติ ส่วนแหล่งโบราณคดีแบบที่มีคูน้ำล้อมรอบนั้น ในบริเวณนี้มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ แหล่งที่เป็นขนาดเล็กมีลักษณะกลม และบางแห่งก็มีคูน้ำล้อมรอบ ๒ - ๓ ชั้น เช่น บ้านน้ำอ้อมใหญ่ เป็นต้น แต่มักเป็นเนินดินต่ำๆ มีชั้นดินที่มีเศษเครื่องปั้นดินเผาไม่ลึก และไม่มีความหนาแน่น แสดงถึงการตั้งหลักแหล่งแต่เพียงระยะเวลาหนึ่งแล้วร้างไป ส่วนแหล่งขนาดใหญ่นั้นมักมีรูปแบบไม่สม่ำเสมอ เช่นที่บ้าน ยะวึก และบ้านตึกชุม เป็นต้น แต่ละแห่งมีคูน้ำล้อมรอบขนาดใหญ่ที่สำคัญเห็นจะได้แก่ บ้านยะวึก เพราะภายในบริเวณที่มีคูน้ำล้อมรอบนั้น มีอยู่หลายเนินดินที่อยู่อาศัย พบเศษเครื่องปั้น ดินเผาที่เป็นหม้อบรรจุกระดูกและขี้โลหะที่เหลือจากการถลุงกระจายไปทั่ว นอกคูน้ำออกมาก็มีเนินดินที่บางเนิน เช่น บริเวณที่วัดยะวึก ตั้งอยู่นั้นมีลักษณะเหมาะที่เป็นทั้งแหล่งฝังอัฐิคนตายและการถลุงโลหะ ทางคณะสำรวจได้ทำการขุดหลุมทดลองในบริเวณนี้เช่นกัน ห่างออกไปทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ มีแนวทางถนนที่เป็นคันดินไปติดต่อกับแหล่งชุมชนโบราณที่บ้านน้ำอ้อมใหญ่ และบ้านแสงสุข ยิ่งกว่านั้นยังมีแนวทางไปติดต่อกับชุมชนโบราณอีกหลายแห่งในเขตลำน้ำพลับพลาทางเหนือจากร่องรอยคันดินที่สัมพันธ์กับแหล่งชุมชนอื่นในบริเวณใกล้เคียงเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าแหล่งโบราณที่บ้านยะวึกนี้มีลักษณะเป็นชุมชนใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของท้องถิ่นก็ว่าได้ ๒. มีการขุดพบพระพุทธรูปนาคปรก สมัยทวารวดี ที่บ้านเมืองฝ้าย ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอ ลำปลายมาศ และเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า เป็นพระพุทธรูปนาคปรก สมัยทวารวดีที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบในประเทศไทย นอกจากนั้นยังพบพระพุทธรูปสมัยทวารวดีอีกหลายองค์ ที่อำเภอพุทไธสง ซึ่งมีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ๑๕ และพบใบเสมาที่บ้านปะเคียบ อำเภอคูเมือง อันเป็นโบราณวัตถุสมัย ทวารวดี ดังนั้นจึงทำให้สันนิษฐานได้ว่า ดินแดนจังหวัดบุรีรัมย์ปัจจุบันเคยเป็นที่ตั้งชุมชนสมัยทวารวดี อย่างน้อยที่สุดก็ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ๓. จากหลักฐานที่ปรากฏในปัจจุบันด้านสถาปัตยกรรม และเครื่องมือเครื่องใช้ เช่นปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ และอื่นๆ อีกมาก เทวรูป พระพุทธรูป ซึ่งมีความงดงามและมีอยู่เป็นจำนวนมากในเขตจังหวัดบุรีรัมย์และใกล้เคียง นอกจากนั้นยังมีเครื่องปั้นดินเผาชนิดเผาแกร่ง มีเตาเผาขนาดใหญ่ ซึ่งนักโบราณคดีหลายท่านกล่าวว่า ไม่พบในที่อื่นแม้แต่ในเขมรต่ำ (ประเทศกัมพูชา) ศิลปสถาปัตยกรรมเหล่านี้มีอายุอยู่ในสมัยพระนคร ๔. ๒จากการก่อสร้างปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเทวสถานประกอบกิจทางศาสนา และเพื่อเป็นการเสริมสร้างบารมีของกษัตริย์ผู้มีอำนาจ เข้าใจว่าปราสาทหินเขาพนมรุ้งสร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ของ เมืองใด เมืองหนึ่งในละแวกใกล้เคียงกันเพราะห่างจากเขาลูกนี้ไปทางใต้ ประมาณ ๘ กิโลเมตร มีเมืองโบราณเมืองหนึ่งขนาดไม่ใหญ่โตนักแต่มีระบบการชลประทาน หรืออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่พอที่จะใช้ในการอุปโภคบริโภคของชุมชนเมืองนั้นได้ตลอดทั้งปี อ่างเก็บน้ำนี้บุผนังทั้ง ๔ ด้าน ด้วยศิลาแลง กำแพงเมืองเป็นกำแพงดินที่ขุดจากคูรอบเมืองพูนให้สูงขึ้น และปักเสาระเนียดบนคันดินนั้น ร่องรอยต่างๆ สาบสูญหมดแล้ว คงเหลือเพียงคันดินและกำแพงดินบางตอนเท่านั้น ที่กลางเมืองมีเทวสถานขนาดใหญ่ สร้างขึ้นบนผังที่งดงาม ตัวเทวสถานสร้างขึ้นด้วยอิฐทั้งหลัง ส่วนระเบียงและใดปุระทั้ง ๔ เรียงด้วยหินทราย การเรียงอิฐก่อสร้างในเทวสถานใช้ กรรมวิธีอย่างดียิ่งจนสามารถทำให้เนื้ออิฐแนบสนิทจนเกือบจะเป็นเนื้อเดียวกันเห็นเป็นรอยเส้นเล็กๆ ระหว่างอิฐแต่ละก้อนเท่านั้น อิฐเหล่านี้มีส่วนของการผสมดินที่ดี จนสามารถนำมาฝนให้เรียบในระหว่างการเรียง และใช้น้ำที่ละลายออกมาจากอิฐนั้นปนด้วยยางไม้หรือน้ำกาวเป็นตัวเชื่อมอิฐเข้าด้วยกัน ทำให้ดูไม่เห็นรอยเลื่อมต่อของอิฐ ตามลักษณะของเทวสถานเมืองโบราณแห่งนี้ เมื่อนำไปเทียบกับเทวสถาน ๒ - ๓ หลัง ที่ก่อสร้างด้วยอิฐบนยอดเขาพนมรุ้งแล้วเห็นว่าน่าจะสร้างขึ้นในยุคสมัยไล่เลี่ยกัน หรือ ยุคเดียวกันในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ๕. จากศิลาจารึก ซึ่งพบที่ เขาพนมรุ้ง ได้กล่าวถึงพระนามของกษัตริย์ ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ในการสร้างและดูแลรักษาปราสาทพนมรุ้ง เป็นคนละองค์กับกษัตริย์ที่ปกครองนครวัด เช่น หิรัณยะวร-มันกษีตินทราทิตย์ วิเรนทรวรมัน เป็นต้น และระบุศักราชเป็น พ.ศ. ๑๔๓๓ ก็มี ๑๕๓๒ ก็มี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีกษัตริย์ที่มีอำนาจปกครองในแถบนี้เป็นอิสระ แต่ยอมรับความเป็นผู้นำของพระนคร จากหลักฐานและเหตุผลข้างต้นนี้ พอจะสรุปได้ว่าดินแดนอันเป็นที่ตั้งจังหวัดบุรีรัมย์ (เขตจังหวัดไม่ใช่ตัวจังหวัด) ปัจจุบันนี้เคยเป็นที่ตั้งอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ สมัยทวารวดีถึงสมัยลพบุรี มีกษัตริย์ที่มีอำนาจปกครองเป็นอิสระ มีประชาชนอยู่หนาแน่น จนสามารถเกณฑ์แรงงานสร้างศาสนสถานอันยิ่งใหญ่อย่างปราสาทเขาพนมรุ้ง และแต่ละชุมชนจะต้องมีประชากรหนาแน่นพอที่จะสร้างคูเมืองขนาดใหญ่ได้ เมืองต่างๆ เหล่านี้คงร้างไปตามธรรมชาติ หรือจากภัยต่างๆ เช่น ฝนแล้ง โรคระบาด สงคราม โจรผู้ร้าย เป็นต้น ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแม้แต่นครวัด นครธม ที่ถูกอาณาจักรอยุธยารุกรานครอบครอง เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๕ และได้ร้างอยู่จนป่าไม้ใหญ่ปกคลุม ขนาดที่ชาวฝรั่งเศส เข้าไปพบโดยบังเอิญ และไม่เชื่อในสายตาตัวเองว่าจะพบสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ เช่นนี้ สอบถามชาวบ้านก็ไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นอะไร สร้างเมื่อไร หากไม่ได้อาศัยศิลาจารึกก็คงไม่มีใครทราบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ อาจมีประชาชนส่วนหนึ่งที่รอดจากภัยมาได้ เข้าหลบอยู่ในป่าชายแดน จนทำให้ทาง กรุงศรีอยุธยาเรียกว่า เขมรป่าดง ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นบุรีรัมย์ขาดตอนอยู่ช่วงหนึ่งคือ จากยุคโบราณมาจนถึงยุคสิ้นสุดการก่อสร้างปราสาทหินในที่ต่างๆ จากนั้นประวัติศาสตร์บุรีรัมย์เริ่มชัดเจนขึ้นอีกครั้งหนึ่งตอนปลายสมัยอยุธยา สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยนี้ดินแดนในแถบเมืองบุรีรัมย์ เมืองพุทไธสง เมืองตลุง (อ.ประโคนชัย ปัจจุบัน) เมืองนางรอง ต่างก็มาขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา โดยขึ้นกับข้าหลวงใหญ่ที่นครราชสีมา ซึ่งเป็นข้าหลวงต่างพระองค์โดยตั้งเมืองตลุงเป็นหัวเมืองชั้นจัตวา เมืองนางรองเป็น หัวเมืองชั้นเอก จากประวัติจังหวัดนครราชสีมา รวบรวมโดยสุขุมาลย์เทวีกล่าวว่า ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้น พระองค์ได้แต่งตั้งให้พระยายมราช (สังข์) ครองเมืองนครราชสีมา สมัยนั้นเมืองนครราชสีมาเป็นเมืองใหญ่ มีเมืองขึ้น ๕ เมือง คือ นครจันทึก ชัยภูมิ พิมาย บุรีรัมย์ นางรอง ต่อมาขยายเมืองเพิ่มเติมอีก ๙ เมือง คือ จัตุรัส เกษตรสมบูรณ์ ภูเขียว ชนบท พุทไธสง ประโคนชัย รัตนบุรี และปักธงชัย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกำหนดอายุดังนี้ สมัยทวารวดี ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ สมัยศรีวิชัย ประมาณ พ.ศ. ๑๓๐๐ สมัยลพบุรี ประมาณ พ.ศ. ๑๖๐๐ ศจ. หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงกำหนดอายุดังนี้ สมัยทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖ สมัยศรีวิชัย พุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๘ สมัยลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๘ สมัยกรุงธนบุรี ใน พ.ศ. ๒๓๒๐ กองทัพกรุงธนบุรีได้ยกไปตีเมืองบุรีรัมย์ และจากจดหมายเหตุประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ กล่าวว่าใน พ.ศ. ๒๓๒๑ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยา มหากษัตริย์ศึก เป็นแม่ทัพทางบก นำทัพสมทบกับกำลังเมืองตะวันออก ให้เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณวา-ธิราช เป็นแม่ทัพยกไปเกณฑ์เขมรต่อเรือรบ ยกขึ้นไปทางแม่น้ำโขง เพื่อตีเมืองนครจำปาศักดิ์ ในการที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกกองทัพมานี้ ปรากฏประวัติเมืองบุรีรัมย์ว่า ใน พ.ศ. ๒๓๒๑ พระยานางรองเป็นกบฎโดยคบคิดกับเจ้าโอ เจ้าอิน เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงให้เจ้าพระยาจักรี (สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) มาปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองเหล่านี้ให้เป็นเมืองขึ้นของนครราชสีมาตามเดิม แต่ตามจดหมายจากประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗ นั้นกล่าวว่า เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ครั้งนั้นชื่อ เจ้าไชยกุมารฯ พ่ายแพ้แก่กองทัพกรุงธนบุรี จึงถูกคุมตัวไปยังกรุงธนบุรี แต่ในที่สุดได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ไปนครจำปาศักดิ์ ในฐานะประเทศราชอีก ในการที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเดินทัพมาถึงจังหวัดบุรีรัมย์เดี๋ยวนี้ หนังสืออ่านเรื่องจังหวัดบุรีรัมย์ตีพิมพ์ในงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ กล่าวว่า พระองค์ได้พบเมืองร้างอยู่ที่ลุ่มน้ำห้วยจรเข้มาก มีชัยภูมิดี แต่สถานที่เดิมมีไข้เจ็บชุกชุม เขมรป่าดงไม่กล้าเข้ามาอยู่อาศัย แต่ตั้งบ้านอยู่โดยรอบ คือ บ้านโคกหัวช้าง บ้านทะมาน๓ (บริเวณสนามบินปัจจุบัน) จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองร้างนั้นที่ข้างต้นแปะใหญ่ (ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองปัจจุบันนี้) และโปรดเกล้าฯ ให้บุตรเจ้าเมืองพุทไธสง ซึ่งติดตามมาพร้อมด้วยครอบครัวเป็นเจ้าเมืองแล้วชักชวนให้ชาวเขมรป่าดงนี้ มาตั้งหลักแหล่งทำเรือกสวน ไร่ นา ในเมืองร้างจนเป็นปึกแผ่น เมืองนี้จึงใช้นามว่า เมืองแปะ บุตรเจ้าเมืองพุทไธสงสมัยนี้ ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยานครภักดี เมื่อพระยานครภักดีวายชนม์ลง บุตรชื่อนายหงส์ เป็นเจ้าเมืองแทน ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยานครภักดี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๐ นอกจากนี้ปรากฏจากพงศาวดารเมืองสุรินทร์ว่า ในจุลศักราช ๑๑๔๓ ปีฉลู ตรีศก ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๒๔ ทางฝ่ายเขมรเกิดจลาจลโดย เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) กับพระยาวิบูลราช (ชู) คิดกบฎจับสมเด็จพระบรมราชาธิราช เจ้ากรุงกัมพูชาไปถ่วงน้ำเสีย ยกนักองค์เองขึ้นเป็นเจ้าแล้วกลับไปฝักใฝ่ทางญวน พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กับเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกกองทัพไปปราบปรามโดยเกณฑ์กำลังทางขุขันธ์ สุรินทร์ สังขะ แล้วไปตีเมืองประทายเพ็ชร ประทายมาศ ประทายสมันต์ กำแพงสวาย เสียมราฐ แต่การยกทัพไปปราบปรามยังมิทันราบคาบดี ข้างฝ่ายใน กรุงธนบุรี พระเจ้าแผ่นดินมีสติวิปลาศ ทรงประพฤติการวิปริตต่างๆ บ้านเมืองกำลังระส่ำระสายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ทราบข่าวจำเป็นต้องกลับคืนสู่พระนคร บ้านเมืองที่ตีได้ก็กวาดต้อนและ แตกตื่นอพยพมาบ้าง ทั้งพระสุรินทร์ภักดีณรงค์จางวาง ก็ได้มีหนังสือลงไปเกลี้ยกล่อมญาติพี่น้อง ปรายเขมร ทางแขวงเมืองเสียมราฐ สะโตง กำแพงสวาย ประทายเพ็ชร ให้ขึ้นมาทางบน ออกญาแอก กับนางรอง พาบ่าวไพร่ไปตั้งอยู่ที่นางรอง ออกญาหงษ์ ไปตั้งอยู่ที่โคกเมืองแปะ (ที่ตั้งจังหวัดบุรีรัมย์ปัจจุบัน) สมัยรัตนโกสินทร์ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมืองบุรีรัมย์ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ ของบ้านเมืองน้อย ตามที่ปรากฏในบันทึกภูมิศาสตร์ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่นายสุข รวบรวมไว้มีความว่า พระนครภักดี (หงส์ ต้นตระกูล หงษ์รุจิโก) บุตรพระยาดร (เอม) เจ้าเมืองพุทไธสมัน (ปัณเทียยมาล) ได้พาครอบครัวมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านตะโก ต่อมาได้สร้างเป็นเมืองขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๐ เรียกว่า เมืองแปะ เพราะมีต้นแปะอยู่กลางเมือง นอกจากนี้บางประวัติยังกล่าวว่าใน พ.ศ. ๒๓๗๐ เจ้าอนุเวียงจันทน์เป็นกบฎ ได้ให้ เจ้าราชวงศ์ยกกองทัพมากวาดต้อนผู้คนและเสยียงอาหารแถบเมืองพุทไธสง เมืองแปะ เมืองนางรอง พระนครภักดี (หงษ์) นำราษฎรออกต่อสู้ เมื่อสู้ไม่ได้จึงหนีไปเมืองพุทไธสมัน ทหารลาวตามไปทันแล้วจับตัวได้ที่ช่องเสม็ด (ช่องเขาที่จะไปประเทศกัมพูชา) เมื่อถูกจับแล้ว ทหารลาวนำตัวพระยานครภักดี (หงษ์) และครอบครัวที่จับได้ไปให้เจ้าราชวงศ์ แล้วถูกควบคุมตัวไว้ที่ทุ่งเมืองสุวรรณภูมิ ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ดซึ่งเจ้าราชวงศ์ตั้งทัพอยู่ที่นั่น แต่พระยานครภักดี (หงส์) และครอบครัวที่ถูกควบคุมตัวได้จับอาวุธต่อสู้เพื่อหนี จึงถูกฆ่าตายหมด นอกจากนี้ ในบางเล่มยังกล่าวถึงประวัติเมืองบุรีรัมย์ ที่แตกต่างออกไปอีกดังนี้ว่า ๔บุรีรัมย์มีชื่อว่าเมืองจรเข้ เดิมขอมดำได้เข้าตั้งเป็นเมืองเล็กๆ ในลุ่มน้ำห้วยจรเข้ และให้ชื่อเมืองตามลุ่มน้ำนั้น เพราะมีจรเข้ชุมมาก และไข้ป่ามีพิษรุนแรง ขอมดำอยู่ได้ไม่นานก็ทิ้งร้างไป ครั้นขอมดำสิ้นอำนาจไทยจึงเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ณ ลุ่มน้ำห้วยจรเข้นี้อีก ตอนแถบบ้านโคกหัวช้าง และบ้านทะมาน จนถึงสมัย กรุงธนบุรี เจ้าเมืองนางรอง และเจ้าเมืองจำปาศักดิ์แข็งเมือง พระเจ้าตากสินโปรดให้เจ้าพระยาจักรี ยกทัพออกไปปราบแล้วนำบุตรชายเจ้าเมืองผไทสมัน (พุทไธสง) มาด้วย ผ่านมาทางลุ่มน้ำจรเข้ เห็น ผู้คนตั้งบ้านเรือนมาก และได้ทราบว่าที่นั่นเป็นเมืองร้างของขอมดำอยู่ก่อนแล้ว ชื่อเมืองจรเข้ จึงได้ตั้งเมืองขึ้นที่เมืองร้างนั้น และให้ชื่อว่า เมืองแปะ ตามนามต้นไม้ใหญ่ ครั้นกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๕ โปรดให้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บุรีรัมย์ ๕ประวัติศาสตร์บางเล่มก็เล่ากันว่า ขอมได้ครอบครองเมืองบุรีรัมย์และใช้เป็นศูนย์กลางในการติดต่อระหว่างกัมพูชา กับหัวเมืองขึ้นในภาคอีสานของไทย เช่น พิมาย สกลนคร มีถนนโบราณเหลืออยู่สายหนึ่ง เริ่มจากบ้านละลมพะเนา (บ้านละลมทะนู ปัจจุบัน) ตำบลจันดุม อำเภอประโคนชัย ขึ้นไปอำเภอพุทไธสง มีหลักหินปักเป็นระยะๆ จนถึงเขาพนมรุ้งในสมัยที่ไทยเรืองอำนาจได้แผ่ขยายอาณาเขตมายังเมืองบุรีรัมย์ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าได้มาครองเมืองบุรีรัมย์ ทางนครราชสีมา หรือทางหลวงพระบาง ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นเมืองขึ้นอยู่กับนครราชสีมา มีศูนย์กลางการ ปกครองอยู่ที่เมืองนางรอง (ปัจจุบัน คือ อำเภอนางรอง) และมีเมืองใกล้เคียงหลายหัวเมือง เช่น เมืองพุทไธสมัน (ปัจจุบัน คือ อำเภอพุทไธสง) เมืองตลุง (ปัจจุบัน คือ อำเภอประโคนชัย) ในสมัยกรุงธนบุรี หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:49:05 บุรีรัมย์ ๒
ประมาณ พ.ศ. ๒๓๒๑ เจ้าเมืองนางรอง ได้แข็งเมือง เจ้าพระยาจักรได้ยกมาเกลี้ยกล่อมให้เป็นเมืองขึ้นของนครราชสีมา ตามเดิม เมื่อเสด็จกลับได้ทรงพบเมืองร้างซึ่งมีชัยภูมิดี จึงโปรดให้ตั้งเมืองขึ้นเรียกว่า เมืองแปะ ตามชื่อต้นแปะใหญ่ (ปัจจุบันบริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมือง) ทรงแต่งตั้งบุตรเจ้าเมืองพุทไธ-สมัน คือ พระยาภักดี ขึ้นครองเมือง ครั้นถึง สมัยพระยานครภักดี (ทองดี) เป็นเจ้าเมือง ทางราชการได้รวมเมืองนางรอง เมืองพิมาย เมืองพุทไธสง เมืองรัตนบุรี เมืองตลุง และเมืองแปะ เข้ามาเป็นเมืองเดียวกัน เรียกว่า บริเวณนางรอง และตัวศาลากลางอยู่ที่เมืองปะ ต่อมาอาณาเขตนางรองเปลี่ยนไป คือ เมืองพิมายโอนไปขึ้นอยู่กับนครราชสีมา เมืองรัตนบุรีไปขึ้นอยู่กับสุรินทร์ ซึ่งบริเวณนางรองก็เปลี่ยนเป็นบุรีรัมย์ มี พระรังสรรค์สารกิจ (เลื่อน) เป็นเจ้าเมืองคนแรก (พ.ศ. ๒๔๔๑ - ๒๔๔๔) ตั้งแต่เมืองแปะได้ตั้งขึ้นมีเจ้าเมืองปกครองสืบต่อกันมา คือ ๑. พระยานครภักดี (บุตรเจ้าเมืองผไทสมัน) ๒. พระยานครภักดี (หงษ์) ๓. พระปลัด บุตรพระยานครภักดี (หงษ์) เป็นผู้รั้งตำแหน่งชั่วคราว ๔. พระพิพิธ (สำแดง) ส่งมาจากนครราชสีมา ๕. พระนครภักดี (พระสำแดง) จ.ศ. ๑๒๓๐ (พ.ศ. ๒๔๑๑) ๖. พระแพ่ง (รั้งตำแหน่ง) ส่งมาจากนครราชสีมา ๗. พระชมภู (รั้งตำแหน่ง) ส่งมาจากนครราชสีมา ๘. พระนครภักดี (ทองดี) บุตรพระปลัด ความเปลี่ยนแปลงสมัยรัชกาลที่ ๕ - ปัจจุบัน ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ มีการประกาศเรียกชื่อข้าหลวงกำกับหัวเมืองทั้ง ๔ ขึ้น โดยแยกเมืองบุรีรัมย์ไปขึ้นกับลาวฝ่ายเหนือ และพ่วงเมืองนางรองไปด้วย ขณะที่เมืองพุทไธสง และเมืองตะลุง ยังคงสังกัดอยู่กับเมืองนครราชสีมา ตามเดิม ดังนี้ ๑. หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก (จำปาศักดิ์) มีเมืองสังกัดเป็นเมืองเอก ๑๑ เมือง เมืองขึ้น ๒๑ เมือง (โท ตรี จัตวา) รวม ๓๒ เมือง ๒. หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ (อุบลราชธานี) มีเมืองสังกัดเป็นเมืองเอก ๑๒เมือง โท ตรี จัตวา ๒๙ เมือง รวม ๔๑ เมือง ๓. หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ (หนองคาย) มีเมืองสังกัดเป็นเมืองเอก ๑๖ เมือง คือ หนองคาย เชียงขวาง บริคัณทนิคม โพนพิสัย ชัยบุรี ท่าอุเทน นครพนม สกลนคร มุกดาหาร กมุทาสัย หนองหาร บุรีรัมย์ ขอนแก่น คำมวน คำเกิด และหล่มสัก บุรีรัมย์มีเมืองสังกัด ๑ เมือง คือ เมืองนางรอง ๔. หัวเมืองลาวกลาง (นครราชสีมา) มีหัวเมืองสังกัดเป็นเมืองเอก ๓ เมือง คือ นครราชสีมา ชนบท และภูเขียว หัวเมือง โท ตรี จัตวา สังกัดทั้งหมด ๑๒ เมือง เมืองนครราชสีมา มี ๘ เมือง คือ พิมาย รัตนบุรี นครจันทึก ปักธงชัย พุทไธสง ตะลุง สูงเนิน และกระโทก เมืองชนบท มี ๔ เมือง คือ ชัยภูมิ โนนลาว เกษตรสมบูรณ์ และจตุรัส ประกาศเปลี่ยนชื่อมณฑล ๕เมื่อ ร.ศ. ๑๑๘ (พ.ศ. ๒๔๔๒) ตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เรียกชื่อ มณฑลต่างๆ ตามพื้นที่เป็นมณฑลว่า ลาวเฉียง ลาวพวน ลาวกาว และมณฑลเขมร นั้น ให้กำหนดพื้นที่ และเปลี่ยนชื่อ ดังนี้ ๑. เมืองเชียงใหม่ ลำพูน น่าน เถิน แพร่ และเมืองขึ้นของเมืองเหล่านั้น ซึ่งรวมเรียกว่า มณฑลลาวเฉียง ต่อนี้สืบไปให้เรียกว่า มณฑลฝ่ายตะวันตกเฉียงเหนือ ๒. เมืองหนองคาย หนองหาร ขอนแก่น ชนบท หล่มสัก กมุทาสัย สกลนคร ชัยบุรี โพนพิสัย ท่าอุเทน นครพนม มุกดาหาร รวม ๑๒ หัวเมือง และเมืองขึ้นของเมืองเหล่านี้ ซึ่งเรียกว่า ลาวพวน นั้น ต่อนี้สืบไปให้เรียกว่า มณฑลฝ่ายเหนือ ๓. เมืองนครจำปาศักดิ์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และเมืองอื่นๆ ซึ่งรวมเรียกว่า มณฑลลาวกาว นั้น ต่อนี้สืบไปให้เรียกว่า มณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ ๔. เมืองพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ พนมศก และเมืองขึ้นของเมืองเหล่านี้ ซึ่งรวม เรียกว่า มณฑลเขมร นั้น ต่อนี้สืบไปให้เรียกว่า มณฑลตะวันออก ๕. หัวเมืองในมณฑลนครราชสีมา ซึ่งแบ่งเป็น ๓ บริเวณ คือ นครราชสีมา พิมาย ปักธงชัย และนครจันทึก ซึ่งรวมเรียกว่า "บริเวณนครราชสีมา" ต่อนี้สืบไปให้รวมเรียกว่า "เมืองนครราชสีมา" ๖. เมืองนางรอง บุรีรัมย์ ประโคนชัย พุทไธสง และรัตนบุรี ซึ่งรวมเรียกว่า "บริเวณนางรอง" นั้น ต่อนี้สืบไปให้รวมเรียกว่า "เมืองนางรอง" ยกเป็นเมืองจัตวา เมืองหนึ่ง ๗. เมืองชัยภูมิ ภูเขียว เกษตรสมบูรณ์ จตุรัส และบำเหน็จณรงค์ ซึ่งรวมเรียกว่า "บริเวณชัยภูมิ" นั้น ต่อนี้สืบไปให้รวมเรียกว่า "เมืองชัยภูมิ" ยกเป็นเมืองจัตวา เมืองหนึ่ง เปลี่ยนชื่อมณฑลครั้งที่ ๒ ในปี1 ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓) กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ตรากฎกระทรวง ซึ่งมีชื่อว่า กฎข้อบังคับเรื่องเปลี่ยนชื่อมณฑล ๔ มณฑล ดังนี้ ๑. มณฑลตะวันออก ให้เรียกว่า มณฑลบูรพา ๒. มณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ ให้เรียกว่า มณฑลอีสาน ๓. มณฑลฝ่ายเหนือ ให้เรียกว่า มณฑลอุดร ๔. มณฑลฝ่ายตะวันตกเฉียงเหนือ ให้เรียกว่า มณฑลพายัพ ในปี ร.ศ. ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๔๕๐) ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงหัวเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนี้ ๑. มณฑลอีสาน ประกอบด้วย ๔ บริเวณ (มีบริเวณอุบลราชธานี, ขุขันธ์, สุรินทร์ และร้อยเอ็ด) ๑๓ เมือง และ๒๖ อำเภอ ๒. มณฑลอุดร ประกอบด้วย ๕ บริเวณ (มีบริเวณหมากแข้ง, ธาตุพนม, สกลนคร, ภาชี และน้ำเหือง) ๕ เมือง และ ๓๑ อำเภอ ๓. มณฑลนครราชสีมา ประกอบด้วยเมือง ๓ เมือง ๑๗ อำเภอ ดังนี้ ๓.๑ เมืองนครราชสีมา มีอำเภอในปกครอง ๑๐ อำเภอ คือ ๓.๑.๑ เมืองนครราชสีมา ๓.๑.๒ เมืองพิมาย ๓.๑.๓ นอก (บัวใหญ่) ๓.๑.๔ สูงเนิน ๓.๑.๕ กลาง (โนนสูง) ๓.๑.๖ จันทึก (ปัจจุบันเป็นตำบล ขึ้นสีคิ้ว) ๓.๑.๗ กระโทก (โชคชัย) ๓.๑.๘ ปักธงชัย ๓.๑.๙ พันชนะ (ด่านขุนทด) ๓.๑.๑๐ สันเทียะ (โนนไทย) ๓.๒ เมืองบุรีรัมย์ มีอำเภอสังกัด ๔ อำเภอ คือ ๓.๒.๑ พุทไธสง ๓.๒.๒ รัตนบุรี (ปัจจุบันสังกัดสุรินทร์) ๓.๒.๓ นางรอง ๓.๒.๔ ประโคนชัย ๓.๓ เมืองชัยภูมิ มีอำเภอสังกัด ๓ อำเภอ คือ ๓.๓.๑ จตุรัส ๓.๓.๒ เกษตรสมบูรณ์ ๓.๓.๓ ภูเขียว ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๕ มณฑลอีสานได้แบ่งออกเป็น ๒ มณฑล คือ มณฑลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ด และภายหลังมณฑลทั้งสองนี้ได้ถูกรวมเข้ากับ มณฑลนครราชสีมา มณฑลต่างๆ ได้ถูกประกาศยุบลงไปตามลำดับ ดังนี้ ๑. มณฑลร้อยเอ็ด และมณฑลอุบล ประกาศยุบไปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ๒. มณฑลนครราชสีมา และมณฑลอุดร ถูกยุบไปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้ตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัด และอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัด และกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร และยกเลิก แบ่งเขตออกเป็นมณฑลเสีย ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีก โดยแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัด ดังนี้ ๑. ให้จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล ๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งเดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล หรือคณะกรมการจังหวัด ได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นขึ้นอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓. คณะกรมการจังหวัด เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ๔. ในปี ๒๕๑๕ ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน โดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ได้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัด และอำเภอ ให้จังหวัดเป็นที่รวมท้องที่หลายๆ อำเภอ มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัด เป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ทำเนียบรายชื่อผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมือง ข้าหลวงประจำจังหวัด และผู้ว่าราชการ จังหวัดบุรีรัมย์ ๑. พระยารังสรรค์สารกิจ (เลื่อน) ตั้งแต่ ๒๐ ส.ค. ๒๔๔๑ - ๖ มิ.ย.๒๔๔๔ ๒. พระยาประเสริฐสุนทราศรัย (กระจ่าง) " ๖ มิ.ย. ๒๔๔๔ - ๑ ต.ค. ๒๔๕๑ ๓. พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ " ๑ ต.ค. ๒๔๕๑ - ๒๔๕๕ ๔. พระยาราชเสนา " ๒๔๕๕ - ๒๔๕๖ ๕. หม่อมเจ้านิสากร " ๒๔๕๖ - ๒๔๖๐ ๖. หลวงรังสรรค์สารกิจ " ๒๔๖๐ - ๒๔๖๒ ๗. พระยานครภักดีศรีนครนุรักษ์ " ๒๔๖๓ - ๑ เม.ย. ๒๔๖๘ (ม.ร.ว. ชุบ นพวงศ์ ณ อยุธยา) ๘. พระยาสุริยราชวราภัย . " ๒๖ มี.ค. ๒๔๖๘ - ๑ มิ.ย. ๒๔๗๑ ๙. พระพิทักษ์สมุทรเขต " ๒๒ พ.ค. ๒๔๗๑ - ๒๒ ก.พ. ๒๔๗๖ ๑๐. พ.ต.ท. พระกล้ากลางสมร " ๒๒ ก.พ. ๒๔๗๖ - ๒๕ เม.ย. ๒๔๗๘ ๑๑. พ.ต.ต. หลวงอัสวินศิริวิลาส " ๒๕ เม.ย. ๒๔๗๘ - ๑๖ ม.ค. ๒๔๗๙ ๑๒. หลวงสฤษดิ์สาราลักษณ์ ตั้งแต่ ๑๖ ม.ค. ๒๔๗๙ - ๑๘ เม.ย. ๒๔๘๐ ๑๓. หลวงบรรณสารประสิทธิ์ " ๑๘ เม.ย. ๒๔๘๑ - ๑๘ เม.ย. ๒๔๘๒ ๑๔. พ.ต. ขุนทะยานราญรอน " ๑๘ เม.ย. ๒๔๘๒ - ๒ ก.ค. ๒๔๘๓ ๑๕. ขุนพิเศษนครกิจ " ๒ ก.ค. ๒๔๘๓ - ๖ ก.ค. ๒๔๘๕ ๑๖. หลวงปราณีประชาชน " ๖ ม.ค. ๒๔๘๕ - ๒๔ ต.ค. ๒๔๘๕ ๑๗. ขุนไมตรีประชารักษ์ " ๑๘ พ.ย. ๒๔๘๕ - ๖ ก.ค. ๒๔๘๖ ๑๘. หลวงบริหารชนบท " ๒ ก.ค. ๒๔๘๖ - ๒๒ พ.ย. ๒๔๘๗ ๑๙. ขุนศุภกิจวิเลขการ " ๑๙ ธ.ค. ๒๔๘๗ - ๗ ต.ค. ๒๔๘๙ ๒๐. นายสุทิน วิวัฒนะ " ๗ ต.ค. ๒๔๘๙ - ๗ ก.พ. ๒๔๙๒ ๒๑. ขุนอารีย์ราชการัณย์ " ๑๑ เม.ย. ๒๔๙๒ - ๑๑ พ.ย. ๒๔๙๒ ๒๒. ขุนบุรราษฎร์นราภัย " ๑๔ ม.ค. ๒๔๙๓ - ๗ ม.ค. ๒๔๙๕ ๒๓. หลวงธุรนัยพินิจ " ๘ ม.ค. ๒๔๙๕ - ๘ มี.ค. ๒๔๙๘ ๒๔. พ.อ. จำรูญ จำรูญรณสิทธิ์ " ๘ มี.ค. ๒๔๙๘ - ๒๔ เม.ย. ๒๔๙๙ ๒๕. นายชู สุคนธมัต " ๗ มิ.ย. ๒๔๙๙ - ๒๓ ก.ย. ๒๕๐๑ ๒๖. นายเอนก พยัคฆันตร " ๑๕ ต.ค. ๒๕๐๑ - ๕ ต.ค. ๒๕๐๕ ๒๗. นายสมอาจ กุยกานนท์ " ๕ ต.ค. ๒๕๐๕ - ๘ ม.ค. ๒๕๑๑ ๒๘. นายสุรวุฒิ บุญญานุศาสน์ " ๙ ม.ค. ๒๕๑๑ - ๑๗ พ.ค. ๒๕๑๖ ๒๙. นายวุฒินันท์ พงศ์อารยะ " ๑ ต.ค. ๒๕๑๖ - ๓๐ ก.ย. ๒๕๑๙ ๓๐. นายบำรุง สุขบุษย " ๑ ต.ค. ๒๕๑๙ - ๓๐ ก.ย. ๒๕๒๔ ๓๑. นายยุทธ แก้วสัมฤทธิ์ " ๑ ต.ค. ๒๕๒๔ - ปัจจุบัน หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:49:21 บุรีรัมย์ ๓
บุรีรัมย์ตำน้ำกิน บุรีรัมย์ตำน้ำกิน เป็นคำพังเพยในอดีตที่แสดงถึงภาวะการขาดแคลนน้ำในบริเวณพื้นที่อันเป็นเขตการปกครองของจังหวัดบุรีรัมย์ในอดีต และแสดงถึงความเฉลียวฉลาดของชาวบุรีรัมย์สมัยก่อนที่นำเอาความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติมาแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ กรรมวิธีที่ได้ชื่อว่าเป็นการตำน้ำกิน คือการขุดหลุมดินขนาดย่อมขึ้นก่อน แล้วตักเอาโคลนตมในบ่อ สระ หรือบึง มาใส่หลุมที่ขุดไว้ และย่ำด้วยเท้าจนเป็นเลน หรือนำมาใส่ครุไม้ไผ่ยาชัน แล้วตำด้วยไม้ให้โคลนเลนมีความหนาแน่นสูงขึ้น ปล่อยทิ้งไว้ให้ตกตะกอน น้ำจากโคลนเลนจะปรากฏเป็นน้ำใสอยู่ข้างบนตักไปใช้บริโภคได้ แก้ปัญหาการ ขาดแคลนน้ำอันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าให้ลุล่วงไปได้ บุรีรัมย์ตำน้ำกิน เป็นคำพังเพยที่อยู่ในความทรงจำ และความภาคภูมิใจ ในอดีตของชาวบุรีรัมย์ ในฐานะที่เป็นคำพังเพยที่แสดงถึงความยากลำบากและทรหดอดทนของบรรพบุรษผู้บุกเบิกแผ่นดิน ให้ประโยชน์ตกทอดแก่ลูกหลาน เหลน ในปัจจุบัน และในฐานะที่สามารถนำความรู้ เกี่ยวกับธรรมชาติมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำได้อย่างเฉลียวฉลาด ปัจจุบันภาวะเรื่องน้ำของจังหวัดบุรีรัมย์ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก กรมชลประทานได้สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดต่างๆ เพิ่มขึ้น และสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทก็ได้ปิดกั้นทำนบ เหมืองฝาย และ ขุดลอก ห้วย หนอง คลอง บึง สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก สร้างสระน้ำมาตรฐานขึ้นเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอื่นสร้างถังเก็บน้ำฝน สระน้ำ บ่อน้ำตื้น บ่อบาดาล หอถังจ่ายน้ำโดยสร้างเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ความหมายและภาพพจน์ของคำพังเพยดังกล่าวได้หมดไปแล้วในปัจจุบัน หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:50:03 นครราชสีมา
จังหวัดนครราชสีมา เป็นเมืองเก่าแก่เคยรุ่งเรืองมาตั้งแต่ในสมัยขอมในสมัยโบราณเป็นเมืองชั้น "เจ้าพระยามหานคร" ในปัจจุบันก็ยังคงมีความสำคัญ กล่าวคือ เป็นปากประตูสู่ภาคอีสาน และเป็นชุมทางคมนาคมสู่จังหวัดต่าง ๆ ทั้ง ๑๖ จังหวัดในภาคอีสานอีกด้วย นครราชสีมา เป็นเมืองโบราณเมืองหนึ่งในอาณาจักรไทย เดิมทีเดียวตัวเมืองตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในท้องที่อำเภอสูงเนิน ห่างจากตัวเมืองปัจจุบันประมาณ ๓๑ กิโลเมตร มีเมืองอยู่ ๒ เมือง คือเมือง "โคราช" หรือ "โคราฆะปุระ" กับเมือง "เสมา" ทั้ง ๒ เมืองโบราณดังกล่าวเคยเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยขอม ปัจจุบันเป็นเมืองร้างตั้งอยู่ริมฝั่งลำตะคอง เมืองเสมา ตั้งอยู่ฝั่งใต้ลำตะคอง มีเนินดินกำแพงเมืองและคูเมืองทั้ง ๔ ด้านตัวกำแพงสร้างด้วยแลง ยังมีเหลือซากอยู่บ้าง ภายในเมืองมีสระและบึงใหญ่น้อยอาศัยใช้น้ำได้ตลอดปี มีโบราณวัตถุสมัยทวารวดีขนาดใหญ่แสดงอายุของเมืองนี้ ๒ อย่าง คือ พระพุทธรูปทำด้วยศิลา เล่ากันว่าแต่แรกตั้งยืนอยู่โดดเดี่ยว แล้วถูกฉุดลากล้มลงแตกหักยับเยิน ต่อมามีผู้เกิดความสังเวช เก็บรวมประกอบเป็นองค์พระวางนอนไว้ จึงเรียกกันว่าเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ไป อีกอย่างเป็นธรรมจักรศิลาขนาดวัดผ่าศูนย์กลางราว ๑.๕๐ เมตร เวลานี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดคลองขวาง ตำบลเสมา ห่างจากถนนมิตรภาพประมาณ ๙-๑๐ กิโลเมตร เมืองโคราฆะปุระ ตั้งอยู่ทางฝั่งเหนือลำตะคอง ในตำบลโคราช ห่างจากเมืองเสมา ไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๖ กิโลเมตร หรือห่างจากที่ว่าการอำเภอสูงเนินไปราว ๒-๓ กิโลเมตร ในบริเวณเมืองมีปราสาทหินย่อม ๆ ๒-๓ แห่ง แห่งหนึ่งเคยตรวจพบศิวลึงค์ศิลา ขนาดยาว .๙๒/ .๒๘ เมตร กับศิลาทับหลังประตูจำหลักลายเป็นรูปพระอิศวรประทับยืนบนหลังโคอุศุภราช จึงน่าเชื่อว่าปราสาทหินหลังนี้อาจสร้างเป็นเทวสถานฝ่ายนิกายไศวะ เมืองนี้ในสมัยหนึ่งคงเป็นเมืองสำคัญ ตั้งรักษาเส้นทางที่ลงมายังแผ่นดินต่ำทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำปราจีนบุรี เพราะอยู่ในที่ร่วมของเส้นทางเดินทางช่องดงพระยาไฟกับดงพระยากลาง ที่หน้าอำเภอสูงเนินมีศิลาจารึกเป็นภาษาสันสฤตกับภาษาขอมแผ่นหนึ่งหักเป็น ๒ ท่อน เดิมอยู่ที่หมู่บ้านบ่ออีกาในเขตเมืองเสมา เป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันอายุของเมืองในอำเภอสูงเนิน เนื้อความในจารึกเล่าถึงพระเจ้าศรีจนาศ (หรือ ศรีจนาเศศวร) ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระภิกษุสงฆ์ เมื่อ พ.ศ. ๑๔๑๑ สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา เมื่อราว พ.ศ. ๑๘๐๐ เศษ พ่อขุนรามคำแหงได้เสวยสิริราชสมบัติกรุงสุโขทัยมีอานุภาพมาก แผ่ราชอาณาเขตกว้างขวาง ดังปรากฏในศิลาจารึกแสดงเขตอาณาจักรสุโขทัยสมัยนั้นว่าทิศเหนือตั้งแต่เมืองแพร่ เมืองน่าน ตลอดถึงแม่น้ำโขง ทางทิศตะวันตกตลอดเมืองหงสาวดี ทางทิศใต้ตลอดแหลมมลายู แต่ทางทิศตะวันออกบอกเขตแดนทางแผ่นดินสูงเพียงตอนเหนือราวท้องที่จังหวัดอุดรธานี เลย และหนองคาย ไปถึงเวียงจันทน์ เวียงคำเป็นที่สุดไม่ปรากฏชื่อเมืองทางแผ่นดินสูงตอนใต้ กับทั้งทางแผ่นดินต่ำลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลุ่มแม่น้ำปราจีนบุรีเช่น เมืองลพบุรี เมืองอยุธยา ปราจีนบุรี เป็นต้น โดยเหตุนี้จึงมีคำสันนิษฐานเกิดขึ้นว่าดินแดนเหล่านี้เป็นอาณาจักรของขอมซึ่งมีกำลังแข็งแรงกว่าอาณาจักรสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงจึงไม่อาจแผ่เดชานุภาพเข้ามา แต่เท่าที่ได้สังเกตศึกษาทั้งทางด้านศิลปและตำนานสงสัยว่าดินแดนเหล่านี้หาได้อยู่ในความปกครองของพวกขอมไม่ หากแต่อยู่ในอำนาจของอาณาจักรไทยพวกหนึ่งซึ่งมีราชธานี เรียกว่า กรุงอโยธยา เป็นอาณาจักรที่มีมาตั้งแต่ราวพุทธศวรรษที่ ๑๖ และสิ่งสำคัญเป็นหลักฐานของอาณาจักรนี้ ก็คือศิลปกรรมอู่ทอง (หรือลพบุรีตอนต้น) อันมีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกับศิลปกรรมของขอมอยู่มาจนกระทั่งถูกเข้าใจคลุม ๆ ไปว่าเป็นประดิษฐกรรมของพวกขอมเสียเกือบหมดสิ้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบราณวัตถุจำพวกหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์เข้าใจว่าจะไม่สันทัดถนัดทำเลย) อาณาจักรอโยธยาคงจะรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ทั้งอำนาจและศิลปศาสตร์ จึงปรากฏในพงศาวดารทางลานนาประเทศว่า พ่อขุนรามคำแหงกับพ่อขุนงำเมืองแห่งอาณาจักรพะเยา ขณะยังเยาว์วัยต้องลงมาศึกษาวิชาการ ณ เมืองละโว้ (ลพบุรี) ในแว่นแคว้นนี้ถึงแม้ประเทศกัมพูชาอันมีพระนครหลวง เป็นราชธานีก็คงตกอยู่ในความปกครองระยะหนึ่งระยะใดในระหว่างพุทธศวรรษที่ ๑๙ เพราะตอนปลายพุทธศตวรรษนั้น เมื่ออาณาจักรอโยธยาเปลี่ยนผู้สืบสันติวงศ์ใหม่เป็นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ จึงเกิดขอมแปรพักตร์ขึ้น ถึงกับต้องกรีธาทัพไปกำราบปราบปราม เวลานี้เรื่องราวของอาณาจักรอโยธยายังมืดมัวอยู่ แต่วัตถุพยานชี้ร่องรอยชวนให้ศึกษาค้นคว้ามีประจักษ์อยู่ คือ พระเศียรพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ซึ่งขุดพบที่วัดธรรมิกราชขนาดใหญ่ที่ เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา กับพระพุทธตรัยรัตนนายก วัดพนัญเชิง ซึ่งมีมาก่อนสร้างพระนครศรีอยุธยา พระเศียรพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ที่วัดเดิม อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมารวมทั้งโบราณวัตถุสถานแบบอู่ทองที่มีอยู่ในพระนครหลวงประเทศกัมพูชา เช่นที่ปราสาทหินเทพประณม ปราสาทหินนครวัด ตลอดจนศิลาจำหลักบางชิ้นในพิพิธภัณฑสถานกรุงพนมเปญ อันเป็นของเคลื่อนย้ายไปจากกลุ่มปราสาทหินบรรยงก์เป็นต้น สมัยกรุงศรีอยุธยา ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑) โปรดให้สร้างเมืองสำคัญที่อยู่ชายแดนให้มีป้อมปราการ สำหรับป้องกันรักษาราชอาณาจักรหลายเมือง เช่นนครศรีธรรมราช พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เป็นต้น จึงให้ย้ายเมืองที่ตำบลโคราช อำเภอสูงเนิน มาสร้างเป็นเมืองมีป้อมปราการและคูล้อมรอบขึ้นใหม่ ในที่ซึ่งอยู่ในปัจจุบันนี้ แล้วเอานามเมืองเดิมทั้งสอง คือ เมืองเสมา กับ เมืองโคราฆะปุระ มาผูกเป็นนามเมืองใหม่ เรียกว่า เมืองนครราชสีมา แต่คนทั้งหลายคงยังเรียกชื่อเมืองเดิมติดปากอยู่ จึงมักเรียกกันทั่วไปว่า เมืองโคราช เมืองนี้กำแพงก่อด้วยอิฐมีใบเสมาเรียงรายตลอดมีป้อมตามกำแพงเมือง ๑๕ ป้อม ประตู ๔ ประตู สร้างด้วยศิลาแลงมีชื่อดังต่อไปนี้ ทางทิศเหนือ ชื่อประตูพลแสน นัยหนึ่งเรียกประตูน้ำ ทางทิศใต้ ชื่อประตูไชยณรงค์ นัยหนึ่งเรียกประตูผี ทางทิศตะวันออก ชื่อประตูพลล้าน นัยหนึ่งเรียกประตูตะวันออก ทางทิศตะวันตก ชื่อประตูชุมพล ประตูเมืองทั้ง ๔ แห่งนี้มีหอรักษาการอยู่ข้างบนทำเป็นรูปเรือน (คฤห) หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา มีช่อฟ้าใบระกาเหมือนกันทุกแห่ง แต่ปัจจุบันคงเหลือรักษาไว้เป็นแบบอย่างแห่งเดียวเท่านั้น คือประตูชุมพล ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นบัญชีสงวนรักษาไว้เป็นโบราณสถานเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ นอกนั้นทั้งประตูและกำแพงเมืองได้ถูกรื้อสูญหมดแล้ว ในหนังสือเที่ยวตามทางรถไฟพระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง-ราชานุภาพ เล่าถึงตำนานเมืองว่า ในทำเนียบครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ เมืองนครราชสีมา มีเมืองขึ้น ๕ เมือง คือเมืองนครจันทึก อยู่ทางทิศตะวันตก เมือง ๑ เมืองชัยภูมิ อยู่ทางทิศเหนือ เมือง ๑ เมืองพิมายอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เมือง ๑ เมืองบุรีรัมย์ อยู่ทางทิศตะวันออก เมือง ๑ เมืองนางรอง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เมือง ๑ ต่อมาตั้งเมืองเพิ่มขึ้นอีก ๙ เมือง คือ ทางทิศเหนือ ตั้งเมืองบำเหน็จณรงค์ ๑ เมือง จัตุรัส ๑ เมือง เกษตรสมบูรณ์ ๑ เมือง ภูเขียว ๑ เมือง ชนบท ๑ เมือง รวม ๕ เมือง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งเมืองพุทไธสง ๑ เมือง ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ตั้งเมืองประโคนชัย ๑ เมือง รัตนบุรี ๑ เมือง ทางทิศใต้ ตั้งเมืองปักธงชัย ๑ เมือง เมืองนครราชสีมา จึงมีเมืองขึ้น ๑๔ เมืองด้วยกัน เมื่อสร้างเมืองใหม่ในครั้งนั้น สมเด็จพระนารายณ์ทรงเลือกสรรข้าราชการที่เป็นคนสำคัญออกไปครอง ปรากฏว่าโปรดให้พระยายมราช (สังข์) ไปครองเมืองนครราชสีมาพร้อมกับโปรดให้พระยารามเดโช ไปครองเมืองนครศรีธรรมราช ส่วนเมืองอื่นหาปรากฏนามผู้ไปครองเมืองไม่ ครั้นสมเด็จพระนารายณ์สวรรคต เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๑ พระเพทราชาได้ราชสมบัติ พระยายมราชและพระยารามเดโช ไม่ยอมเป็นข้าพระเพทราชา ต่างตั้งแข็งเมืองนครราชสีมาและเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นด้วยกัน กองทัพกรุงศรีอยุธยาจึงยกขึ้นไปทางดงพระยาไฟ พระยายมราชต่อสู้รักษาเมืองนครราชสีมาอยู่ได้พักหนึ่ง แต่สิ้นกำลังต้องหนีไปอยู่กับพระยารามเดโช ณ เมืองนครศรีธรรมราช ครั้งกองทัพกรุง ฯ ลงไปตีเมืองนครราชสีมาได้ในครั้งพระยายมราช (สังข์) ตั้งแข็งเมืองนั้น คงกวาดต้อนผู้คนและเก็บเครื่องศัตราวุธ ซึ่งมีไว้สำหรับรักษาเมืองนำมาเสียโดยมาก โดยหวังจะมิให้มีผู้คิดแข็งเมืองได้อีก ต่อมาในรัชกาลนั้นเอง มีลาวชาวหัวเมืองตะวันออกคนหนึ่ง ชื่อบุญกว้าง ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษกับพรรคพวกเพียง ๒๓ คน กล้าเข้ามาถึงเมืองนครราชสีมาพักอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่งนอกเมือง แล้วให้พระยานครราชสีมาคนใหม่ออกไป พระยานครราชสีมาขี่ช้างออกไป (เดิมเห็นจะตั้งใจออกไปจับ) ครั้นถูกอ้ายบุญกว้างขู่ พระยานครราชสีมากลับครั่นคร้าม (คงเป็นเพราะพวกไพร่พลพากันเชื่อวิชาอ้ายบุญกว้าง) เห็นหนีไม่พ้นต้องยอมเป็นพรรคพวกอ้ายบุญกว้าง แล้วลวงให้ยกลงมาตั้งซ่องสุมผู้คนที่เมืองลพบุรี พระยานครราชสีมาเป็นไส้ศึกอยู่จนกองทัพกรุง ฯ ยกขึ้นไปถึง จึงจับตัวอ้ายบุญกว้างกับพรรคพวกได้ เห็นจะเป็นเพราะที่เกิดเหตุคราวนี้ ประกอบกับที่การรบในกรุง ฯ เป็นปกติสิ้นเสี้ยนหนามแล้ว จึงกลับตั้งกำลังทหารขึ้นที่เมืองนครราชสีมาดังแต่ก่อน ต่อมาปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า เจ้าเมืองหลวงพระบางยกกองทัพมาตีเมืองเวียงจันทน์ เมืองเวียงจันทน์ขอให้กรุงศรีอยุธยาช่วย จึงโปรดให้พระยาสระบุรีเป็นนายทัพหน้า ให้พระยานครราชสีมา (ซึ่งเข้าใจว่าตั้งใหม่อีก ๑ คน) เป็นแม่ทัพใหญ่ยกขึ้นไปช่วยเมืองเวียงจันทน์ กองทัพยกขึ้นไปถึง พวกเมืองหลวงพระบางก็ยำเกรง เลิกทัพกลับไป หาต้องรบพุ่งไม่ แต่นี้ไปก็ไม่ปรากฏเรื่องเมืองนครราชสีมาในหนังสือพระราชพงศาวดาร จนแผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ เมื่อพม่ามาตีกรุงศรีอยุธยาครั้งหลัง ปรากฏว่าเกณฑ์ของกองทัพเมืองนครราชสีมาลงมาช่วยป้องกันรักษากรุง ฯ เดิมให้ตั้งค่ายอยู่ที่วัดเจดีย์แดงข้างใต้เพนียด แล้วให้พระยารัตนาธิเบศร์ คุมลงมารักษาเมืองธนบุรี ครั้นกองทัพพม่ายกมาจากเมืองสมุทรสงครามเมื่อเดือน ๑๐ ปีระกา พ.ศ. ๒๓๐๘ พระยารัตนาธิเบศร์หนีกลับขึ้นไปกรุงฯ พวกกองทัพเมืองนครราชสีมาเห็นนายทัพไม่ต่อสู้ข้าศึก ก็พากันกลับไปบ้านเมืองหาได้รบพุ่งกับพม่าไม่ต่อมาเมื่อพม่ากำลังตั้งล้อมพระนครศรีอยุธยา ในปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ มีเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนครราชสีมาอีกตอนหนึ่ง เหตุด้วยกรมหมื่นเทพพิพิธ ซึ่งเป็นโทษต้องเนรเทศไปอยู่ ณ เมืองจันทบุรี ชักชวนพวกชาวเมืองชายทะเลทางตะวันออกยกเป็นกองทัพมาหวังจะมารบพม่าแก้กรุงศรีอยุธยา กรมหมื่นเทพพิพิธมาถึงเมืองปราจีนบุรี ให้กองทัพหน้ามาตั้งปากน้ำโยธกา แขวงจังหวัดนครนายก พม่ายกไปตีกองทัพหน้าแตก กรมหมื่นเทพพิพิธ เห็นจะสู้พม่าไม่ได้ ก็เลยขึ้นไปทางแขวงเมืองนครราชสีมา ไปตั้งที่ด่านโคกพระยาพิบูลสงคราม ผู้ว่าราชการเมืองนครนายก กับหลวงนรินทร์ (ซึ่งได้เข้าเป็นพวกกรมหมื่นเทพพิพิธ) ไปตั้งอยู่ที่เมืองนครจันทึกอีกพวกหนึ่ง กรมหมื่นเทพพิพิธคิดจะชักชวนพระยานครราชสีมาให้เกณฑ์กองทัพลงมารบพม่า แต่พระยานครราชสีมาคนนั้นเป็นอริอยู่กับพระพิบูลสงคราม ผู้ว่าราชการเมืองนครนายก แต่งคนร้ายให้มาลอบฆ่าพระพิบูลสงครามกับหลวงนรินทร์เสีย กรมหมื่นเทพพิพิธจึงให้ลอบไปฆ่าพระยานครราชสีมาเสียบ้าง แล้วเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองนครราชสีมา ขณะนั้นหลวงแพ่ง น้องพระยานครราชสีมาหนีไปอยู่เมืองพิมายไปเกณฑ์คนยกกองทัพมาจับกรมหมื่นเทพพิพิธไปคุมตัวไว้ที่เมืองพิมาย ครั้นกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าข้าศึก เมื่อวันอังคารขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐ สิ้นราชวงศ์ที่จะครองพระราชอาณาจักรบ้านเมืองเกิดเป็นจลาจล ผู้มีกำลังฝีมือหวังจะเป็นใหญ่ในประเทศไทยต่อไป ก็คิดตั้งเป็นเจ้ามีรวมด้วยกัน ๕ พรรคคือ ๑. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ครั้งยังเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชร ลงไปตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองจันทบุรี มีหัวเมืองอยู่ในอำนาจตั้งแต่ชายแดนกรุงกัมพูชาขึ้นมาจนถึงเมืองชลบุรี และต่อมาถึงข้างขึ้นเดือน ๑๒ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐ ได้ยกกองทัพขึ้นมาโจมตีทหารพม่าซึ่งรักษาอยู่ที่เมืองธนบุรี กับค่ายโพธิ์สามต้นที่พระนครศรีอยุธยา พม่าพ่ายแพ้จนหมดสิ้น แล้วปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ ตั้งแต่งเมืองธนบุรีเป็นราชธานี ๒. เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ตั้งตัวเป็นใหญ่ที่เมืองพิษณุโลกมีอำนาจปกครองตั้งแต่เมืองพิชัยลงมาถึงเมืองนครสวรรค์ ๓. พระสังฆราชา (เรือน) อยู่ที่วัดพระฝาง เมืองสวางคบุรี (ปัจจุบันเป็นอำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์) ตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นทั้งยังอยู่ในสมณเพศ เรียกกันว่าพระฝาง มีอำนาจปกครองหัวเมืองที่อยู่ข้างเหนือเมืองพิชัย และติดต่อกับแดนเมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองหลวงพระบาง ๔. พระปลัด (เข้าใจกันว่าชื่อหนู) ผู้รั้งเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งตัวเป็นใหญ่ที่เมืองนครศรีธรรมราช เรียกกันว่า เจ้านคร มีอำนาจปกครองหัวเมืองที่ติดต่อกับชายแดนมลายูขึ้นมาจนถึงเมืองชุมพร ๕. กรมหมื่นเทพพิพิธ ซึ่งพระยาพิมายคุมไว้ที่เมืองพิมาย และยกขึ้นเป็นใหญ่ ณ เมืองนั้น เรียกว่าเจ้าพิมาย มีอำนาจปกครองตลอดอาณาเขตของนครราชสีมา เช่น เมืองจันทึก ปักธงชัย บุรีรัมย์ พุทไธสง ชัยภูมิ และภูเขียว เป็นต้น สมัยกรุงธนบุรี เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าข้าศึกในวันอังคารขึ้น ๙ ค่ำ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐ สิ้นพระราชวงศ์ที่จะปกครองพระราชอาณาจักร บ้านเมืองเกิดเป็นจลาจล ผู้มีกำลังฝีมือหวังจะเป็นใหญ่ในประเทศไทยต่อไปก็คิดตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า มีรวมด้วยกัน ๕ ชุมนุม คือ ชุมนุมที่ ๑ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ครั้งยังเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชร ลงไปตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองจันทบุรี มีหัวเมืองอยู่ในอำนาจตั้งแต่ชายแดนกรุงกัมพูชา ขึ้นมาจนถึงเมืองชลบุรี เมื่อถึงข้างขึ้น เดือน ๑๒ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐ ได้ยกกองทัพเรือขึ้นมาโจมตีทหารพม่า ซึ่งรักษาอยู่ที่เมืองธนบุรีกับค่ายโพธิ์สามต้นที่พระนครศรีอยุธยา พม่าพ่ายแพ้จนหมดสิ้น แล้วปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ ตั้งเมืองธนบุรีเป็นราชธานี ชุมนุมที่ ๒ เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ตั้งตัวเป็นใหญ่ที่เมืองพิษณุโลก มีอำนาจปกครองตั้งแต่เมืองพิชัยลงมาจนถึงเมืองนครสวรรค์ ชุมนุมที่ ๓ พระสังฆราชา (เรือน) อยู่ที่วัดพระฝางเมืองสวางคบุรี (ปัจจุบันเป็นอำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์) ตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นเรียกว่า เจ้าพระฝาง มีอำนาจปกครองหัวเมืองที่อยู่เหนือเมืองพิชัยและติดต่อกับแพร่ น่าน หลวงพระบาง ชุมนุมที่ ๔ พระปลัด (เข้าใจกันว่าชื่อหนู) ผู้รั้งเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งตัวเป็นใหญ่ที่เมืองนครศรีธรรมราชเรียกกันว่าเจ้านคร มีอำนาจปกครองหัวเมืองที่ติดต่อกับชายแดนมลายูขึ้นมาจนเมืองชุมพร ชุมนุมที่ ๕ กรมหมื่นเทพพิพิธ ซึ่งพระพิมายคุมไว้ที่เมืองพิมาย และยกขึ้นเป็นใหญ่ ณ ที่เมืองนั้น เรียกว่าเจ้าพิมาย มีอำนาจปกครองตลอดอาณาเขตของนครราชสีมา เช่น เมืองจันทึก ปักธงชัย บุรีรัมย์ พุทไธสง ชัยภูมิ และภูเขียว เป็นต้น เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีชัยขับไล่พวกพม่าไปจากพระนครศรีอยุธยา และมาตั้งเมืองธนบุรีเป็นราชธานีเรียบร้อยแล้วก็ทรงเริ่มปราบปรามชุมนุมอิสระทั้ง ๔ ดังกล่าวมาโดยยกกองทัพไปตีเมืองพิษณุโลก เมื่อฤดูน้ำ ปีชวด พ.ศ. ๒๓๑๑ แต่ไปถูกอาวุธข้าศึกต้องล่าถอยกลับมา พอมาถึงฤดูแล้งในปีชวดนั้น ก็ยกกองทัพขึ้นไปตีเมืองนครราชสีมา กองทัพกรุงธนบรีที่ยกไปครั้งนี้แบ่งเป็น ๒ กองทัพ กองทัพที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จคุมไปเอง ยกขึ้นไปทางดงพระยาไฟเข้าตีทางด้านตะวันตกทางหนึ่ง ให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อยังดำรงพระยศเป็นพระราชวรินทร์ กับสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสรุสิงหนาท เมื่อยังเป็นพระมหามนตรีคุมกองทัพขึ้นไปทางช่องเรือแตก (เข้าใจว่าช่องสะแกราช) เข้าตีทางด้านใต้ทางหนึ่ง ฝ่ายเจ้าพิมายให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน (คือพระพิมาย) เป็นแม่ทัพใหญ่ ให้มองย่าปลัดทัพพม่าที่หนีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไปจากพระนครศรีอยุธยาเป็นที่ปรึกษา คุมกองทัพมาต่อสู้รักษาเขตแดน ครั้งนั้นกำลังรี้พลของเจ้าพิมายเห็นจะมีน้อยไม่พอรักษาป้อมปราการเอาเมืองนครราชสีมาเป็นที่มั่น จึงปรากฏว่ากองทัพเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์มาตั้งค่ายสกัดทางอยู่ที่ด่านจอหอ ข้างเหนือเมืองนครราชสีมาแห่งหนึ่งแล้วให้บุตรซึ่งเป็นที่พระยาวรวงศาธิราชคุมกองทัพมาตั้งค่ายสกัดทางอยู่ที่ด่านกระโทก (เวลานี้คือ อำเภอโชคชัย) ข้างใต้เมืองนครราชสีมาอีกแห่งหนึ่ง กองทัพสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตีได้ด่านจอหอ จับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้ กองทัพพระมหามนตรีและพระราชวรินทร์ตีค่ายด่านกระโทกแตก พระยาวรวงศาธิราชหนีไปทางเมืองเขมรต่ำ กองทัพพระมหามนตรีกับพระราชวรินทร์ตามไปตีได้เมืองเสียมราฐอีกเมืองหนึ่ง เจ้าพิมายรู้ว่ากองทัพเสียทีก็หลบหนีหมายจะไปอาศัยเมืองเวียงจันทน์ แต่ขุนชนะกรมการเมืองนครราชสีมาตามจับมาถวายสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบรีได้ จึงทรงตั้งให้ขุนชนะเป็นพระยานครราชสีมา (ต้นสกุลกาญจนาคม) แต่นั้นก็ได้เมืองนครราชสีมามาเป็นเมืองขึ้นกรุงธนบุรี แต่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียังต้องทำการปราบปรามพวกที่ตั้งเป็นอิสระอื่น ๆ เมื่อปราบปรามได้หมดแล้วยังต้องรบกับพม่า ต่อมาอีกหลายปีจึงมิได้จัดวางรูปการปกครองเมืองนครราชสีมาให้เป็นเขื่อนขัณฑ์มั่งคง เพราะเหตุนั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๘ เวลากรุงธนบุรีกำลังติดพันรบพุ่งกับพม่า คราวอะแซหวุ่นกี้มาตีเมืองเหนือ พระยานางรอง เจ้าเมืองนางรอง อันเป็นเมืองขึ้นของเมืองนครราชสีมา ไม่ชอบกับพระยานครราชสีมาแต่เดิม เห็นได้ทีจึงเอาเมืองไปขอขึ้นต่อเจ้าโอ ซึ่งครองเมืองจำปาศักดิ์เป็นอิสระอยู่ในสมัยนั้น ฝ่ายเจ้าโอคาดว่าไทยคงสู้พม่าไม่ได้ก็รับไว้ พระยานางรองก็ตั้งแข็งเมืองไม่ยอมขึ้นต่อเมืองนครราชสีมา ครั้นพม่าถอยทัพไปแล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเมื่อยังดำรงพระยศเป็นพระยาจักรี เสด็จไปปราบปรามเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๙ เจ้าพระยาจักรียกกองทัพไปยังเมืองนครราชสีมา แล้วให้กองหน้าไปจับได้ตัวพระยานางรองมาชำระความจึงทราบว่าเจ้าเมืองจำปาศักดิ์กำลังเตรียมกองทัพ จึงบอกเข้ามายังกรุงธนบุรีจะขอไปตีเมืองจำปาศักดิ์ต่อไป สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหา สุรสิงหนาท เมื่อยังดำรงยศเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกกองทัพหนุนเข้าไปอีกทัพหนึ่ง เจ้าพระยาทั้งสองยกกองทัพไปตีได้เมืองนครจำปาศักดิ์และหัวเมืองทางฟาก แม่น้ำโขงฝั่งซ้ายจนถึงเมืองอัตบือ ได้หัวเมืองทางริมแม่น้ำโขงข้างใต้ตลอดจนต่อแดนกรุงกัมพูชา ซึ่งเวลานั้นเป็นประเทศราชขึ้นต่อกรุงธนบุรีอยู่ ได้ไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองเขมรป่าดง คือ เมืองตะลุง เมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ เมืองขุขันธ์ ก็ยอมสวามิภักดิ์ขึ้นต่อไทยทั้ง ๓ เมือง ในครั้งนั้นราชอาณาเขตกรุงธนบุรีขยายต่อออกไปตลอดแผ่นดินสูงในตอนข้างฝ่ายใต้ เมืองนครราชสีมาได้ปกครองบังคับบัญชาเหล่าหัวเมืองที่ได้ใหม่ เมืองนครราชสีมาจึงเป็นเมืองสำคัญยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ทรงจัดการปกครองหัวเมืองทางแผ่นดินสูงตอนริมแม่น้ำโขงเป็นประเทศราช ๓ เมือง คือ เมืองเวียงจันทร์ เมืองนครพนม และเมืองนครจำปาศักดิ์ ให้เมืองนครราชสีมาปกครองเมืองเขมรป่าดงและหัวเมืองดอนที่ไม่ได้ขึ้นต่อประเทศราชทั้ง ๓ นั้น และกำกับตรวจตราเมืองประเทศราชเหล่านั้นด้วย แล้วยกฐานะเมืองนครราชสีมาเป็นเมืองชั้นเอก ผู้สำเร็จราชการเมืองมียศเป็นเจ้าพระยา เจ้าพระนครราชสีมาคนแรก ชื่อเดิมคือ ปิ่น ณ ราชสีมา และในรัชกาลนี้ เมืองนครราชสีมาได้นำช้างเผือก ๒ เชือก ที่คล้องได้ในเขตเมืองภูเขียวขึ้นน้อมเกล้าถวายและได้โปรดเกล้าฯ ให้ขึ้นระวางเป็นพระอินทรไอยรา และ พระเทพกุญชรช้าง ซึ่งเสาที่ผูกช้างเผือกเมื่อส่งเข้าเมืองนครราชสีมายังคงเก็บรักษาไว้ในศาลเจ้าพ่อช้างเผือก อยู่ริมถนนมิตรภาพ ตรงข้ามโรงเรียนสุรนารีวิทยา รัชกาลที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๖๒ มีข่าคนหนึ่งชื่อ อ้ายสาเกียดโง้ง ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษขึ้นที่เมืองสาลวันทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง รวมรวบสมัครพรรคพวกได้หลายพัน ยกทัพมาตีเมืองนครจำปาศักดิ์ เจ้านครจำปาศักดิ์ (หมาน้อย) สู้ไม่ได้ต้องทิ้งเมืองหนีมา รัชกาลที่ ๒ จึงให้พระยานครราชสีมายกกองทัพออกไปปราบปราม และสั่งเจ้าอนุแต่งกองทัพเมืองเวียงจันทน์ลงมาช่วยปราบปรามด้วยอีกพวกหนึ่ง เจ้าอนุจึงให้ราชบุตร (โย้) ซึ่งเป็นบุตรคุมกองทัพไปถึงเมืองจำปาศักดิ์ก่อนกองทัพเจ้าพระยานครราชสีมา เจ้าราชบุตรรบชนะพวกขบถจับได้ตัวอ้ายสาเกียดโง้งกับพรรคพวกเป็นอันมาก ส่งเข้ามาถวายยังกรุงเทพฯ เมื่อเสร็จจากการปราบขบถครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ตั้งเจ้าราชบุตร (โย้) ให้เป็นเจ้าครองนครจำปาศักดิ์ และทรงไว้วางพระราชหฤทัยในเจ้าอนุ เจ้าอนุจึงมีอำนาจตลอดลำแม่น้ำโขงลงมาจนถึงฝ่ายใต้ รัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๖๕ เจ้าพระยากำแหงสงครามรามภักดี ซึ่งเป็นเจ้าเมืองนครราชสีมา ได้กราบบังคมทูลให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้ขุนภักดีชุมพล (แล) เป็นเจ้าเมืองชัยภูมิ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:50:19 นครราชสีมา ๒
เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๙ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุรุทธราช (เจ้าอนุวงศ์) ผู้ครองนครเวียงจันทน์ได้ขอครอบครัวลาวที่เมืองสระบุรีซึ่งถูกกวาดต้อนมาจากเวียงจันทน์ ในคราวสงครามครั้งที่ได้พระพุทธปฏิมากรแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ ณ กรุงธนบุรีนั้น เมื่อไม่ได้ดังประสงค์ก็ก่อการกบฏโดยยกกองทัพจะลงมาตีกรุงเทพมหานคร เมื่อเจ้าอนุยกกองทัพมาถึงเมืองนครราชสีมาและเข้าโจมตีเมืองนั้น พระยาปลัด (พระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ทศทิศวิชัย) ผู้รักษาเมืองไม่อยู่ เพราะไปปราบการจราจลที่เมืองขุขันธ์ กองทหารของเจ้าอนุจึงตีเมืองนครราชสีมาได้โดยง่ายและกวาดต้อนกรมการเมือง ตลอดจนพลเมืองทั้งชายหญิงไปเป็นเชลย เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๓๖๙ ในระหว่างการเดินทางคุณหญิงโมภรรยาพระปลัดได้คิดอุบายกับกรมการเมืองให้ชาวบ้านเชื่อฟังทหารผู้ควบคุม แกล้งทำกลัวเกรงและประจบเอาใจจนทหารของเจ้าอนุตลอดจนเพี้ยรามพิชัย ซึ่งเป็นผู้ควบคุมให้ความไว้วางใจและพยายามถ่วงเวลาในการเดินทาง แล้วลอบส่งข่าวถึงเจ้าเมืองนครราชสีมา เจ้าพระยากำแหงสงครามรามภักดี (ทองอินทร์ ณ ราชสีมา) และพระยาปลัด จนกระทั่งเดินทางมาถึงทุ่งสัมฤทธิ์แขวงเมืองพิมาย ได้พักตั้งค่ายค้างคืนอยู่ ณ ที่นั้น คุณหญิงโมได้ออกอุบายให้ชาวเมืองนำอาหารและสุราไปเลี้ยงดูผู้ควบคุมอย่างเต็มที่ จนทหารต่างก็เมามายไม่ได้สติ หมดความระมัดระวัง พอตกดึกก็พร้อมกันจับอาวุธไล่ฆ่าทหารเวียงจันทน์ตายเป็นจำนวนมาก แล้วหาชัยภูมิตั้งมั่นอยู่ ณ ที่นั้น เจ้าอนุทราบข่าวก็ให้เจ้าสุทธิสาร (โป้) บุตรคนใหญ่คุมกำลังทหารเดินเท้าประมาณ ๓,๒๐๐ คน และทหารม้าประมาณ ๔,๐๐๐ คน รีบรุดมาทำการปราบปรามทำการต่อสู้รบกันถึงตลุมบอน แต่คุณหญิงโมก็จัดขบวนทัพ กรมการผู้ใหญ่คุมพลผู้ชาย ตัวคุณหญิงโมคุมพลผู้หญิงออกตีกองทัพพวกเวียงจันทน์แตกยับเยิน พอดีเจ้าอนุได้ข่าวว่ากองทัพจากกรุงเทพฯ ยกขึ้นมาช่วยชาวเมืองนครราชสีมา จึงต้องรีบถอนกำลังออกจากเมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๓๖๙ วีรกรรมที่คุณหญิงโมได้ประกอบขึ้นที่ทุ่งสัมฤทธิ์ครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ สถาปนาคุณหญิงโมดำรงฐานันดรศักดิ์ เป็นท้าวสุรนารี และพระราชทานเครื่องยศทองคำประดับเกียรติ ดังนี้ - ถาดทองคำใส่เชี่ยนหมาก ๑ ใบ - จอกหมากทองคำ ๑ คู่ - ตลับทองคำ ๓ เถา - เต้าปูนทองคำ ๑ อัน - คณโฑทองคำ ๑ ใบ - ขันน้ำทองคำ ๑ ใบ ในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ กองทัพนครราชสีมาได้เป็นกำลังสำคัญในการทำสงครามกับญวนในดินแดนเขมร เพื่อขับไล่ญวนออกจากเขมร เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอินทร์ ณ ราชสีมา) ได้ร่วมกับเจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ทำการรบด้วยความสามารถ ปี พ.ศ. ๒๓๗๗ เจ้าพระยานครราชสีมาได้นำช้างพลายเผือกหางดำขึ้นน้อมเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และโปรดเกล้า ฯ ให้สมโภชขึ้นระวางเป็น พระยามงคลนาดินทร์ ปี พ.ศ. ๒๓๘๐ โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยานครราชสีมาทำนุบำรุงเมืองพระตะบองให้มั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น โดยนำชาวเมืองนครราชสีมาจำนวน ๒,๐๐๐ คน ไปปฎิบัติงานด้วยความเรียบร้อย ปี พ.ศ. ๒๓๘๓ เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอินทร์ ณ ราชสีมา) พร้อมด้วยบุตร (พระยาภักดีนุชิต) คุมกำลังพลไปปรามกบฏนักองค์อิ่มที่เมืองพระตะบอง เพราะนักองค์อิ่มได้ปกครองเมืองพระตะบองแทนพระยาอภัยภูเบศร์ แล้วคิดกบฏไปฝักใฝ่กับญวณ โดยจับกุมกรรมการเมืองพระตะบอง รวมทั้งน้องชายของเจ้าพระยานครราชสีมา (พระยาราชานุชิต) และกวาดต้อนครอบครัวหนีไป ทัพจากนครราชสีมาขับเคี่ยวจนถึงปี พ.ศ. ๒๓๘๖ เจ้าพระยานครราชสีมาได้ล้มป่วยจึงกลับมาพักรักษาตัวที่เมืองนครราชสีมา ทำให้การรบยืดเยื้อต่อไปอีกซึ่งการทำสงครามกับญวนนี้เมืองนครราชสีมาเป็นกำลังสำคัญของราชการทัพมาโดยตลอด ปี พ.ศ. ๒๓๘๗ เมืองนครราชสีมาได้นำช้างพลาย ๓ เชือก น้อมเกล้าถวายรัชกาลที่ ๓ คือ พลายบาน พลายเยียว พลายแลม ปี พ.ศ. ๒๓๘๘ ได้นำช้างพลาย ๒ เชือก น้อมเกล้าถวายรัชกาลที่ ๓ อีกครั้ง คือ พลาย อุเทน และพลายสาร รัชกาลที่ ๔ เมืองนครราชสีมามีความเจริญมากขึ้น เป็นศูนย์กลางการค้าขายของหัวเมืองทางตะวันออก เพราะมีสินค้าที่พ่อค้าต้องการมาก เช่น หนังสัตว์ เขาสัตว์ นอแรด งา และไหม พวกพ่อค้าเดินทางมาซื้อสินค้าเหล่านี้แล้วส่งไปจำหน่ายที่กรุงเทพฯ และซื้อสินค้าจากกรุงเทพฯ มาจำหน่ายในหัวเมืองตะวันออกโดยตลาดกลางอยู่ที่เมืองนครราชสีมา ในรัชกาลนี้ ทรงปรารภว่าควรจะมีราชธานีห่างทะเลไว้อีกสัก ๑ แห่ง ทรงพระราชดำริว่าควรเป็นเมืองนครราชสีมา จึงโปรดเกล้าให้พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปทรงตรวจภูมิประเทศพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ สมุหพระกลาโหมเมื่อได้ทรงตรวจพิจารณาแล้วทรงเห็นว่ายังไม่เหมาะสม เพราะเมืองนครราชสีมาอัตคัตน้ำและการคมนาคมก็ยังลำบาก รัชกาลที่ ๔ จึงทรงเปลี่ยนพระทัยมาสร้างพระราชวังที่เมืองลพบุรีแทน และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงกราบทูลขอให้เปลี่ยนนามการเรียกดงพระยาไฟเสียใหม่ว่าดงพระยาเย็น เพื่อไม่ให้คนครั่นคร้ามหรือไม่กล้าเดินทางผ่านเข้าไป รัชกาลที่ ๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๑๗ พวกฮ่อได้เข้ามารุกรานเมืองหนองคายหลายครั้ง และเมืองนครราชสีมาก็เป็นกำลังสำคัญในการจัดกำลังทัพไปปราบฮ่อ ส่วนวิธีการปกครองเมืองนครราชสีมา ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อ ร.ศ. ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔) โดยโปรดฯ ให้รวบรวมหัวเมืองในเขตที่ราบสูงเป็น ๓ มณฑล คือ ๑. มณฑลลาวพวน มี เมืองหนองคายเป็นที่ว่าการมณฑล ๒. มณฑลลาวกาว มี เมืองนครจำปาศักดิ์เป็นที่ว่าการมณฑล ๓. มณฑลลาวกลาง มี เมืองนครราชสีมาเป็นที่ว่าการมณฑล สำหรับมณฑลลาวกลางนั้นมีกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์เป็นข้าหลวงใหญ่ ต่อมาเมื่อได้ จัดหัวเมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาบทั่วทั้งพระราชอาณาเขต ให้เปลี่ยนนามมณฑลทั้ง ๓ เสียใหม่ คือ มณฑลลาวพวน เป็น มณฑลอุดร , มณฑลลาวกาว เป็น มณฑลร้อยเอ็ด และมณฑลอุบล มณฑลลาวกลาง เป็นมณฑลนครราชสีมา ในด้านการคมนาคม ได้มีการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ ถึงนครราชสีมา ใน พ.ศ. ๒๔๓๔ ซึ่งเป็นทางรถไฟของรัฐบาลสายแรก และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเปิดทางรถไฟเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเมืองนครราชสีมาจนเท่าทุกวันนี้ เหตุการณ์สำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเมืองนครราชสีมาในรัชกาลนี้คือในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมงกุฏราชกุมาร ได้เสด็จตรวจราชการมณฑลนครราชสีมา และต่อมาได้มีการทดลองการเกณฑ์ทหารแบบใหม่ที่มณฑลนครราชสีมาเป็นแห่งแรก ปรากฏว่าได้ผลดีจึงขยายไปยังมณฑลอื่น ๆ รัชกาลที่ ๖ ใน พ.ศ. ๒๔๕๖ สมเด็จพระพันปีหลวง (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ) เสด็จกรมทหารม้าที่ ๕ ที่มณฑลนครราชสีมา และทรงรับตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษกรมทหารม้าที่ ๕ มณฑลนครราชสีมา ในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต เสนาธิการทหารบก เสด็จตรวจราชการทหารที่มณฑลนครราชสีมา รัชกาลที่ ๗ ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ หลังจากเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้วได้ยกเลิกการจัดทำเมืองมณฑลเทศาภิบาลและจัดใหม่เป็นภาค มณฑลนครราชสีมาเปลี่ยนเป็นภาคที่ ๓ มีหัวเมืองอยู่ในความปกครอง ๖ จังหวัด คือ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งที่ว่าการอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้เกิดกบฏบวรเดช โดยมีพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชอดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหมเป็นหัวหน้า ได้ทำการยึดนครราชสีมาเป็นกองบัญชาการ เพื่อรวบรวมกำลังพลในการที่จะเข้ายึดพระนครเพื่อบังคับให้คณะรัฐบาลของพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาลาออก ในการก่อการกบฏครั้งนี้ข้าราชการเมืองนครราชสีมาส่วนหนึ่งถูกควบคุมตัวไว้ ส่วนประชาชนถูก หลอกลวงว่าได้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นในพระนคร ทหารจึงจำเป็นต้องไประงับเหตุการณ์ ต่อเมื่อได้ทราบแถลงการณ์จากรัฐบาล จึงเข้าใจว่าการกระทำของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชเป็นกบฏ ดังนั้นข้าราชการที่ถูกคุมขังจึงพยายามหลบหนีจากที่คุมขังแล้วรวมกำลังเข้ายึดสถานที่สำคัญเพื่อร่วมมือกับทางรัฐบาล ในการปราบปรามกบฏ ทางรัฐบาลได้มอบหมายให้ พันโท หลวงพิบูลสงครามเป็นผู้บังคับการในการปราบปรามกบฏครั้งนี้และทำได้สำเร็จ หัวหน้ากบฏได้หลบหนีเอาตัวรอดไปอยู่ที่ไซ่ง่อน ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จเยี่ยมพสกนิกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งแรก และได้ประทับแรมที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ และได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมพสกนิกรชาวเมืองนครราชสีมาอีกหลายครั้ง เช่น เสด็จทอดพระเนตรการเรียนการสอนหลักสูตรมัธยมแบบประสมที่โรงเรียนสุรนารีวิทยา , เสด็จทำพิธีเปิดอาคารเรียนโรงเรียนบุญวัฒนา เป็นต้น ยังความปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณแก่ชาวนครราชสีมาเป็นล้นพ้น สมัยการจัดรูปการปกครองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล การจัดรูปการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล คือการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้นในส่วนภูมิภาค สมัยสมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ทรงจัดให้อำนาจการปกครองซึ่งกระจัดกระจายอยู่เข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง คือมิให้การบังคับบัญชาไปอยู่ที่เจ้าเมืองเพียงคนเดียว (ซึ่งเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมือง และมีอำนาจอย่างกว้างขวาง) ระบอบการปกครองแบบเทศาภิบาล เริ่มจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ และ สำเร็จทั่วประเทศ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ โดยมีความจำเป็นมาดังนี้ วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงแบ่งหน้าที่ระหว่างมหาดไทยและกลาโหมเสียใหม่ โดยให้มหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวง จึงรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล (ยังไม่เป็นระบอบมณฑลเทศาภิบาล) มีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครองมณฑล จัดตั้งครั้งแรกมี ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียง (หรือมณฑลพายัพ) มณฑลลาวพวน (หรือมณฑลอุดร) มณฑลลาวกาว (หรือมณฑลอีสาน) มณฑลเขมร (หรือมณฑลบูรพา) มณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตกบัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จกระทรวงมหาดไทยได้จัดให้มีมณฑลเทศาภิบาลขึ้นทั้งสิ้น 3 มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี และมณฑลนครราชสีมา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพจากมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ได้สำเร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน พระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัด และอำเภอ และยกเลิกมณฑล จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัด และกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ โดยมีสาระสำคัญของการเปลี่ยนแปลง คือ ๑. จังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล ๒. อำนาจบริหารในจังหวัด เป็นของผู้ว่าราชการจังหวัด ๓. คณะกรมการจังหวัด เดิมเป็นคณะบุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการ แผ่นดินในจังหวัดได้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมา ได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ได้ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัด และอำเภอ จังหวัดให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ปัจจุบัน จังหวัดนครราชสีมาแบ่งการปกครองออกเป็น ๒๐ อำเภอ กับ ๒ กิ่งอำเภอ คือ ๑. อำเภอเมืองนครราชสีมา ๒. อำเภอโชคชัย ๓. อำเภอครบุรี ๔. อำเภอเสิงสาง ๕. อำเภอปักธงชัย ๖. อำเภอปากช่อง ๗. อำเภอสีคิ้ว ๘. อำเภอด่านขุนทด ๙. อำเภอสูงเนิน ๑๐. อำเภอขามทะเลสอ ๑๑. อำเภอโนนไทย ๑๒. อำเภอขามสะแกแสง ๑๓. อำเภอโนนสูง ๑๔. อำเภอบัวใหญ่ ๑๕. อำเภอประทาย ๑๖. อำเภอคง ๑๗. อำเภอพิมาย ๑๘. อำเภอห้วยแถลง ๑๙. อำเภอจักราช ๒๐. อำเภอชุมพวง ๒๑. กิ่งอำเภอบ้านเหลื่อม ๒๒. กิ่งอำเภอหนองบุนนาก ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดนครราชสีมา . นครราชสีมา : หจก.นิวสมบูรณ์การพิมพ์ , ๒๕๒๖ . หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:50:41 นครพนม
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ดินแดนอันเป็นที่ตั้งประเทศไทยปัจจุบัน เดิมคือ อาณาจักรสุวรรณภูมิ เป็นถิ่นเดิมของชาวลวะหรือละว้ายกเว้นดินแดนทางภาคใต้ซึ่งเป็นอาณาเขตของชาติมอญ อาณาจักรสุวรรณภูมิ แบ่งแยกอำนาจการปกครองออกเป็น ๓ อาณาเขต คือ ๑. อาณาเขตทวาราวดี มีเนื้อที่อยู่ในตอนกลางบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาแผ่ออกไปจากชายทะเลตะวันตกของอ่าวไทยจนถึงชายทะเลตะวันออก มีเมืองนครปฐมเป็นราชธานี ๒. อาณาเขตยางหรือโยนก อยู่ตอนเหนือ ตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองเงินยาง ๓. อาณาเขตโคตรบูรณ์ ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงมีเมืองนครพนมเป็นราชธานี สมัยกรุงศรีอยุธยา เมืองนครพนม ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พอจะรวบรวมได้ความว่า เป็นเมืองสืบเนื่องมาจากนครอาณาจักรโคตรบูรณ์ ซึ่งเดิมตั้งอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และได้ย้ายมาตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ในราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อาณาจักรโคตรบูรณ์ เป็นแคว้นหนึ่งในลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งในสมัยนั้น มีแคว้นต่าง ๆ ตั้งอยู่ลุ่มฝั่งแม่น้ำโขงหลายแคว้น เช่น แคว้นสิบสองจุไทย แคว้นลานช้าง แคว้นเวียงจันทน์ แคว้นโคตรบูรณ์ แคว้นจำปาศักดิ์ เป็นต้น แต่ละแคว้นมีเจ้านครเป็นผู้ปกครอง ส่วนตำนานของเมืองโคตรบูรณ์นั้น จากหลักฐานในพงศาวดารเหนือ คำให้การของชาวกรุงเก่าพงศาวดารเขมรและเรื่องราวทางอีสาน เขียนเป็นข้อความพาดพิงคล้ายคลึงกันเป็นนิทานปรัมปรา สรุปได้ความว่า พระยาโคตรบองมีฤทธิ์ใช้กระบองขว้างพระยาแกรกผู้มีบุญซึ่งขี่ม้าเหาะมา ขว้างไม่ถูกจึงหนีไปได้ธิดาพระเจ้าลานช้าง บางฉบับก็ว่า พระยาโคตรบองมาจากลพบุรีบ้าง มาจาก เวียงจันทน์ มาจากเมืองระแทงบ้าง มาจากเมืองสวรรคบุรีบ้าง แต่ในฉบับคำให้การของชาวกรุงเก่ากล่าวว่า พระยาโคตรบองเป็นโอรสพระร่วง หนีมาจากกรุงสุโขทัย ได้มาครองเมืองลานช้าง ซึ่งสันนิษฐานว่าคงจะได้กับธิดาพระเจ้าเวียงจันทน์ แล้วพระราชบิดาจึงให้มาครองเมืองโคตรบูรณ์ เป็นเมืองลูกหลวงขึ้นแก่นครลานช้าง แต่ฉบับเขียนไว้ทางภาคอีสานว่า ครั้งหนึ่งพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต มีพระราชประสงค์จะให้ราชบุตรองค์หนึ่งพระนามว่า เจ้าโคตะ (คงเป็นราชบุตรเขย) ครองเมือง จึงได้สร้างเมือง ๆ หนึ่งที่ปากน้ำหินบูรณ์ (ตรงข้ามอำเภอท่าอุเทนในปัจจุบัน) ให้ชื่อเมืองศรีโคตรบูรณ์เป็นเมืองลูกหลวงขึ้น เมืองเวียงจันทน์ตั้งให้เจ้าโคตะเป็นพระยาศรีโคตรบูรณ์ สืบเป็นเจ้าครองนครมาได้หลายพระองค์ จนถึงพระองค์ที่มีฤทธิ์ด้วยกระบอง จึงได้พระนามว่า พระยาศรีโคตรบอง และได้ย้ายเมืองมาตั้งที่ป่าไม้รวก ห้วยศรีมังริมแม่น้ำโขงฝั่งซ้าย (คือเมืองเก่าใต้เมืองท่าแขกในปัจจุบันนี้) เมื่อพระยาศรีโคตรบองถึงแก่อนิจกรรม เจ้าสุบินราช โอรสพระยาศรีโคตรบอง ครอบครองนครสืบแทนพระนามว่า พระยาสุมิตร ธรรมราช เมื่อถึงแก่อนิจกรรม เจ้าโพธิสารราชโอรสครองนครสืบแทน อำมาตย์ได้ผลัดเปลี่ยนกันรักษาเมือง จนถึง พ.ศ. ๒๒๘๖ เจ้าเมืองระแทงให้โอรส ๒ พระองค์ เสี่ยงบ้องไฟองค์ละกระบอก ถ้าบ้องไฟของใครไปตกที่ใดจะสร้างเมืองให้ครอง บ้องไฟโอรสองค์ใหญ่ไม่ติด จึงได้ครองเมืองระแทงแทน บ้องไฟองค์เล็กตกที่ห้วยขวาง (เวลานี้เรียกว่าเซบ้องไฟ) ใกล้เมืองสร้างก่อและดงเชียงซอน จึงดำรัสสร้างเมืองที่นั่น แต่อำมาตย์คัดค้านว่าทำเลไม่เหมาะประจวบกับขณะนั้นผู้ครองนครศรีโคตรบูรณ์ว่างอยู่ อำมาตย์จึงเชิญเจ้าองค์นั้นขึ้นครองนคร โดยมีพระนามว่าพระยาขัติยวงษาราชบุตรมหาฤาไชยไตร-ทศฤาเดชเชษฐบุรี ศรีโคตรบูรณ์หลวง ได้ซ่อมแซมบ้านเมือง วัด จนถึง พ.ศ. ๒๒๙๗ จึงพิราลัย เจ้า เอวก่านโอรสขึ้นครองนครแทน มีพระนามว่า พระบรมราชา พระบรมราชาครองนครโคตรบูรณ์ได้ ๒๔ ปี จึงพิราลัย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๑ ท้าวคำสิงห์ ราชบุตรเขยพระบรมราชาได้นำเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้าเวียงจันทน์ พระเจ้าเวียงจันทน์โปรดให้ท้าวคำสิงห์ครองเมืองโคตรบูรณ์แทนพระบรมราชา และมีพระนามว่า พระนครานุรักษ์ ผู้ครองนครนี้เห็นเมืองศรีโคตรบูรณ์ มิได้ตั้งอยู่ที่ปากน้ำหินบูรณ์อย่างเก่าก่อน (คือขณะนี้ตั้งอยู่ที่เมืองเก่าใต้เมืองท่าแขกปัจจุบัน) จึงให้เปลี่ยนชื่อเมืองเสียใหม่ เรียกว่าเมืองมรุกขะนคร นามเมืองศรีโครตบูรณ์จึงเลือนหายไปตั้งแต่นั้น ในการที่ท้าวคำสิงห์ได้ครองเมืองโคตรบูรณ์ครั้งนั้น ท้าวกู่แก้ว โอรสพระบรมราชาซึ่งไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กอยู่กับเจ้านครจำปาศักดิ์ตั้งแต่ชนมายุได้ ๑๕ ชันษา ทราบว่าท้าวคำสิงห์ได้ครองนครแทนบิดาก็ไม่พอใจ จึงทูลลาเจ้านครจำปาศักดิ์ขึ้นมาเกลี้ยกล่อมราษฎรได้กำลังคนเป็นอันมาก แล้วสร้างเมืองขึ้นที่บ้านแก้งเหล็ก ริมห้วยน้ำยม เรียกว่าเมืองมหาชัยกอบแก้วตั้งแข็งเมืองอยู่ พระนครานุ-รักษ์ (คำสิงห์) ทราบจึงไปขอกำลังจากกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) แต่ไม่ได้จึงไปขอจากเมืองญวนได้มา ๖,๐๐๐ คน แล้วจัดให้พลญวนพักอยู่ที่เมืองคำเกิด เพราะเกรงว่าท้าวกู่แก้วจะรู้ตัว ในระหว่างที่พระนครานุรักษ์เตรียมไพร่พลจะไปสมทบกับญวนนั้น ท้าวกู่แก้วทราบก่อนจึงยกไพร่พล ๔,๐๐๐ คน คุมเครื่องบรรณาการไปหาแม่ทัพญวนที่เมืองคำเกิดโดยแอบอ้างว่าเป็นเจ้าเมืองมรุกขะนคร ฝ่ายญวนหลงเชื่อจึงสมทบไปตีเมืองมรุกขะนครแตก พระนครานุรักษ์จึงพาครอบครัวหนีข้ามแม่น้ำโขงไปอยู่ที่ดงเซกาฝั่งขวาแม่น้ำโขงแล้วแต่งคนไปขอกำลังจากเวียงจันทน์อีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าเวียงจันทน์ให้พระยาเชียงสาเป็นแม่ทัพมาช่วยโดยตั้งค่ายอยู่ที่บ้านหนองจันทน์ (ใต้เมืองนครพนมปัจจุบัน ๔ กิโลเมตร) ฝ่ายหนึ่งตั้งอยู่ที่บ้านธาตุน้อยศรีบุญเรืองอีกค่ายหนึ่ง แล้วจัดไพร่พลทั้งสองค่ายกระจายเป็นปีกกาโอบถึงกันเพื่อจะโจมตีเมืองมรุกขะนคร ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม (เมืองเก่าใต้เมืองท่าแขกปัจจุบัน) ฝ่ายทัพญวนซึ่งตั้งอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงจัดทำสะพานเป็นแพลูกบวบจะยกข้ามแม่น้ำโขงมาโจมตีทัพ พระยาเชียงสา ฝ่ายพระยาเชียงสาใช้ปืนยิงตัดสะพานแพบวบขาด แล้วยกกำลังเข้าสู้รบกับญวนกลางแม่น้ำโขงถึงตะลุมบอน พระยาเชียงสาได้ชัยชนะฆ่าญวนตายเป็นจำนวนมาก ศพลอยไปติดเกาะ เกาะนี้จึงได้ชื่อเรียกกันต่อ ๆ มาว่า ดอนแกวกอง มาจนทุกวันนี้ พระยาเชียงสาได้เกลี้ยกล่อมท้าวกู่แก้วให้ ยินยอมแล้วให้ท้าวกู่แก้ว ครองเมืองนครมรุกขะนครต่อไป ส่วนพระนครานุรักษ์นั้น พระยาเชียงสานำไป เวียงจันทร์ด้วยและให้ครองเมืองใหม่ซึ่งอยู่ที่บ้านเวินทราย สมัยกรุงธนบุรี ในปี พ.ศ. ๒๓๒๑ พระเจ้าศิริบุญสาร แห่งเวียงจันทน์ ได้ยกกองทัพไปตีพระตา พระวอที่บ้านกู่บ้านแกแขวงจำปาศักดิ์ ฆ่าพระวอตาย พระตาเห็นเหลือกำลังจึงขอกองทัพกรุงธนบุรีมาช่วย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับพระยาสุรสีห์ยกทัพไปปราบปรามได้เมืองเวียงจันทน์ เมืองหนองคาย เมืองมรุกขะนคร ส่วนพระเจ้าศิริบุญสารแห่งเมืองเวียงจันทน์และพระบรมราชาเจ้าเมืองมรุกขะนครหนีไปอยู่เมืองคำเกิด เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เมื่อเสร็จจากการปราบปรามหัวเมืองเหล่านี้ ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางและได้นำบรรดาโอรสพระเจ้าศิริบุญสารลงไปกรุงธนบุรีด้วย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ครั้น พ.ศ. ๒๓๒๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ปราบดา- ภิเษกขึ้นเสวยราชย์แล้ว ได้ทรงชุบเลี้ยงโอรสของพระเจ้าศิริบุญสารอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นอย่างดี พระเจ้าศิริบุญสาร ซึ่งอยู่ที่เมืองคำเกิดได้ ๕-๖ ปี ทรงชราภาพ ทราบว่า โอรสอยู่ด้วยความผาสุกจึงเสด็จกลับเมืองเวียงจันทน์ หวังจะขอสวามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ตามพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาซึ่งทรงนิพนธ์โดยกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวว่า เจ้าศิริ-บุญสารกลับจากเมืองคำเกิด จับพระยาสุโภ ซึ่งเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกให้รักษาเมืองอยู่ฆ่าแล้วเข้าตั้งอยู่ในเมือง ท้าวเฟี้ยขุนบางไม่ยินยอมด้วย จึงหนีลงมากรุงเทพฯ กราบทูลฯ ให้ทราบ) แต่ไม่ทรงวางพระทัย จึงตั้งให้เจ้านันทเสนโอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าศิริบุญสารที่อยู่กรุงเทพฯ ให้กลับไปครองเมือง มรุกขะนครสืบแทน ครั้นถึง พ.ศ. ๒๓๓๗ เจ้านันทเสนแห่งเมืองเวียงจันทน์ ได้คบคิดกับพระบรมราชาทำหนังสือขอกำลังจากญวนเพื่อมารบกับกรุงสยาม ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินญวนมีความจงรักภักดีต่อกรุงสยาม จึงส่งหนังสือนั้นไปถวายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงโปรดเกล้าฯ ให้เรียกเจ้า นันทเสนและพระบรมราชาลงไปเฝ้าที่กรุงเทพฯ เมื่อได้ไต่สวนความจริงแล้ว จึงยกโทษให้และได้แต่งตั้งให้พระเจ้าอินทวงษ์อนุชาเจ้านันทเสนให้ไปครองเมืองเวียงจันทน์แทน ครั้นถึง พ.ศ. ๒๓๓๘ เกิดศึกพม่าทางเมืองเชียงใหม่ กองทัพไทยต้องไปปราบปรามเจ้า นันทเสนกับพระบรมราชาขออาสาไปในกองทัพ ยกกองทัพไปถึงเมืองเถิน พระบรมราชา (พรหมมา) ก็ถึงแก่อนิจกรรม ท้าวสุดตาซึ่งเป็นโอรสของพระบรมราชาจึงนำเครื่องราชบรรณาการไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่กรุงเทพฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวสุดตาเป็นพระบรมราชาครองเมืองมรุกขะนครและให้เปลี่ยนนามเมืองเสียใหม่ว่า "เมืองนครพนม" ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ การที่พระราชทานชื่อว่าเมืองนครพนมนั้นอาจเนื่องด้วยเมืองนี้เป็นเมืองลูกหลวงมาก่อน มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์จึงให้ใช้คำว่า นคร ส่วนคำว่า พนม นั้นอาจจะเนื่องด้วยจังหวัดนี้มีพระธาตุพนมประดิษฐานอยู่ ซึ่งเป็น ปูชนียสถานสำคัญหรืออีกประการหนึ่ง อาจจะเนื่องด้วยจังหวัดนี้เดิมมีอาณาเขตเกินไปถึงฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง คือบริเวณเขตเมืองท่าแขกแห่งประเทศลาวปัจจุบัน ซึ่งมีภูเขาสลับซับซ้อนไปถึงแดนประเทศญวน จึงนำเอาคำว่า "พนม" มาใช้เพราะพนมแปลว่า ภูเขา ส่วนคำว่า "นคร" นั้นอาจรักษาชื่อเมืองไว้คือเมืองมรุกขะนครนั่นเอง ต่อมาปลายสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้พระยามหา-อำมาตย์ (ป้อม อมาตยกุล) เป็นแม่ทัพ ส่วนทางนครเวียงจันทน์ก็ให้พระยาสุโภเป็นแม่ทัพยกกำลังมา สมทบกองทัพพระยามหาอำมาตย์ เพื่อโจมตีบ้านกวนกู่ กวนงัว ซึ่งเป็นกบฏและเมื่อได้ชัยชนะจึงได้กวาดต้อนครอบครัวมาไว้ที่เมืองนครพนม โดยที่บ้านหนองจันทร์เป็นที่ทำเลไม่เหมาะพระยามหา-อำมาตย์จึงให้ย้ายเมืองนครพนมมาตั้งที่บ้านโพธิ์ค้ำ หรือ โพธิ์คำ (เข้าใจกันว่าคงจะเป็นคุ้มบ้านใต้ในเมืองนครพนมนี่เอง) จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๔๒๖ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวบุญมากเป็นพระพนมครานุรักษ์ ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครพนม อยู่ได้ ๗ ปี ก็ถึงแก่อนิจกรรม ราชบุตรทองทิพย์บุตร พระพนมนครานุรักษ์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการแทน และในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ได้มีการปรับปรุงระเบียบการปกครองใหม่โดยเริ่มแบ่งการปกครองออกเป็นมณฑล มีมณฑลลาวกาว (เขตอุบลราชธานีปัจจุบัน) มณฑลลาวเฉียง (เขตเชียงใหม่) และมณฑลลาวพวนเป็นต้น เมืองนครพนมขึ้นอยู่ในเขต ปกครองมณฑลลาวพวน ซึ่งตั้งกองบัญชาการอยู่ที่เมืองหนองคาย พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์เป็นผู้สำเร็จราชการมณฑลลาวพวนประทับอยู่ ณ เมืองหนองคาย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ปรับปรุงระเบียบการปกครองข้อบังคับการปกครองหัวเมืองโดยแต่งตั้งให้มีผู้ว่าราชการเมือง และกรมการเมือง คือแทนที่จะเรียกว่าอุปฮาด ราชวงษ์ ราชบุตร ดังแต่ก่อนพร้อมได้แต่งตั้งตำแหน่งกรมการในทำเนียบขึ้นเรียกว่าปลัดเมืองยกกระบัตรเมือง ผู้ช่วยราช-การพร้อมได้แต่งตั้งตำแหน่งกรมการในทำเนียบขึ้นเรียกว่า ปลัดเมืองยกกระบัตรเมือง ผู้ช่วยราชการเมืองและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปฮาดโต๊ะเป็น พระพิทักษ์พนมนคร ดำรงตำแหน่งปลัดเมือง ส่วนข้าหลวงประจำบริเวณซึ่งเป็นข้าราชการที่กระทรวงมหาดไทยส่งมาประจำนั้น ก็ทำหน้าที่เป็นข้าหลวงดูแลราชการเมืองควบคุม และให้ข้อปรึกษาแนะนำผู้ว่าราชการเมือง กรมการเมืองปรับปรุงการงานให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผน ที่จัดและเปลี่ยนแปลงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ พระจิตรคุณสาร (อุ้ย นาครทรรพ) ได้รับแต่งตั้งมาเป็นผู้ว่าราชการเมืองนครพนม ภายหลังได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาพนมนครานุรักษ์ ต่อมาทางราชการได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคใหม่ โดยมีมณฑล จังหวัด อำเภอ และมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น ผู้ปกครองบังคับบัญชา ฉะนั้น พระยาพนมนครานุรักษ์ (อุ้ย นาครทรรพ) จึงนับว่าเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมคนแรก การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว การจัดระเบียบการปกครองต่อมามีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น การปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อยและเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือ ระบบกินเมือง ให้หมดไป การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ นั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ ๆ ส่วนหัวเมืองอื่น ๆ มีเจ้าเมืองอื่น ๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวาง ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพดำรงตำแหน่งเสนาบดี กระทรวงมหาดไทย พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกัน โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น จึงขอนำคำจำกัดความของ "การเทศาภิบาล" ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า "การเทศาภิบาล" คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลางซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาค อันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล ดังนี้ การเทศาภิบาล นั้น หมายความว่า เป็นระบบ การปกครองอาณาเขต ซึ่งเรียกว่า การปกครองส่วนภูมิภาค ส่วน มณฑลเทศาภิบาล นั้น คือส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ ยังหมายความอีกว่า ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม อันเป็นระบบกินเมือง ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางและ ริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ ในสมัยก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกันแต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยะมหาราชทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้น อยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักรทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตก บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑล ดังกล่าวนี้ ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมาและก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่าและได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลชุมพร พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมาลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี และในปีเดียวกันนั้นเอง ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่า ๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรีเมืองจันทบุรี ระยองและตราด พ.ศ. ๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษเพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษสร้างทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอจังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองเป็นมณฑลอีกด้วยเมื่อจะได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสียเหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑. การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒. เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓. เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวงเป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔. รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วน ภูมิภาคยิ่งขึ้นและการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓. ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ที่มา: ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดนครพนม. นครพนม : โรงพิมพ์ไทยสากล, ๒๕๒๙. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:51:09 ร้อยเอ็ด
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ตามตำนานเล่ากันมาว่า บริเวณที่ตั้งจังหวัดร้อยเอ็ดในปัจจุบัน เดิมเป็นเมืองใหญ่ชื่อว่า เมืองสาเกตนคร (อาณาจักรกุลุนทะนคร) เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาแต่โบราณกาล มีเมืองขึ้นถึงสิบเอ็ดเมือง (ในสมัยโบราณนิยมเขียนสิบเอ็ด เป็น ๑๐๑ คือ สิบกับหนึ่ง) มีทางเข้าสู่เมืองถึงสิบเอ็ดประตู มีเจ้าผู้ครองนครเรียกว่าพระเจ้ากุลุนทะ มีเชื้อสายสืบสันติวงศ์ติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี เมืองสาเกตนครหรืออาณาจักรกุลุนทะนคร นอกจากจะมีประตูและเส้นทางเข้าสู่เมืองถึงสิบเอ็ดทางแล้ว ยังมี รหัส ควบคุมความปลอดภัยความมั่นคงของบ้านเมืองอย่างเข้มแข็ง เช่น มีวัดตามรายทางเข้าเมือง และมีปี่ซาววา (ซาว เป็นภาษาอีสานหมายความว่า ๒๐) สามารถส่งสัญญาณเข้าสู่ตัวเมืองบอกข่าวสาร แจ้งเหตุร้ายดีที่จะมาถึงเมืองสาเกตนครให้ทราบล่วงหน้าได้เป็นอย่างดีเมืองสาเกตนครหรืออาณาจักรกุลุน-ทะนครจึงเป็นอาณาจักรที่จัดระบบการปกครองและรัฐประศาสนศาสตร์แตกต่างไปจากอาณาจักรอื่น ๆ สมัยพระเจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกราช เมืองขึ้นกับเมืองสาเกตนครทั้งสิบเอ็ดเมืองคือ (๑) เมืองเชียงเ..เซนเซอร์..ยน (บ้านเชียงเ..เซนเซอร์..ยน อำเภอเมืองมหาสารคาม) (๒) เมืองฟ้าแดด (บ้านฟ้าแดดสูงยาง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์) (๓) เมืองสีแก้ว (บ้านสีแก้ว อำเภอเมืองร้อยเอ็ด) (๔) เมืองเปือย (บ้านเมืองเปือย อำเภอเมืองร้อยเอ็ด) (๕) เมืองทอง (บ้านเมืองทอง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด) (๖) เมืองหงษ์ (บ้านเมืองหงษ์ อำเภอจตุรพักตรพิมาน) (๗) เมืองบัว (บ้านเมืองบัว อำเภอเกษตรวิสัย) (๘) เมืองคอง (อยู่บริเวณ อำเภอเมืองสรวง) อำเภอสุวรรณภูมิ) (๙) เมืองเชียงขวง (บ้านจาน อำเภอธวัชบุรี) (๑๐) เมืองเชียงดี (บ้านโนนหัว อำเภอธวัชบุรี) (๑๑) เมืองไพ (บ้านเมืองไพร อำเภอเสลภูมิ) และในสมัยพระเจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกราช อาณาจักรกุลุนทะนครก็ถึงคราวเสื่อม เมืองขึ้นต่างๆ ทั้งสิบเอ็ดหัวเมืองจึงกระด้างกระเดื่อง ทำตัวกบฏกับเมืองสาเกตนคร ต่างยกทัพมารบราฆ่าฟันกัน ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็จับพระเจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกราชสำเร็จโทษ ราษฎรที่เหลือรอดตายก็อพยพทิ้งฐานไปทำมาหากินและตั้งถิ่นฐานใหม่ แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน เดิมเป็นดินแดนที่เรียกว่าอาณาจักรสุวรรณภูมิ แบ่งแยกอำนาจการปกครองเป็น ๓ อาณาเขต คือ ๑. อาณาเขตทวารวดี อยู่ตอนกลาง มีเมืองนครปฐมเป็นราชธานี ๒. อาณาเขตยาง หรือโยนก อยู่เหนือ มีเมืองเงินยางเป็นราชธานี ๓. อาณาเขตโคตรบูร ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง มีเมืองนครพนมเป็นราชธานี ในสมัยนั้นชนชาติเขมรหรือขอมเป็นชนชาติที่เจริญรุ่งเรืองกว่าชนชาติอื่นใดในภูมิภาคนี้ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากชาวอินเดีย ต่อมาขอมก็มีอำนาจครอบครองอาณาจักรนี้เหนือชนชาติอื่นและได้นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่อาณาเขตต่าง ๆ รวมทั้งพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในอาณาเขตโคตรบูรก็เป็นเมืองที่ขอมสร้างขึ้นในสมัยขอมเรืองอำนาจ หลักฐานที่ยังปรากฏได้แก่ ที่อำเภอพนมไพรยังปรากฏมีซากแสดงภูมิฐานที่ตั้งเมือง เป็นรูปสระรอบ ๆ แสดงว่าเป็นคูเมือง ใกล้สระด้านในเป็นรูปเนินดินสูงแสดงว่าเป็นกำแพงเมือง ตอนกลางมีสระโชติ (สระขี้ลิง) รอบ ๆ สระเป็นเนินสูง ลักษณะเป็นเมืองเก่า และมีแผ่นหินทำเป็นรูปเสมาจมในพื้นดินกว่าสิบแผ่น ซึ่งแสดงว่าเป็นศิลปการสร้างของขอม จึงสันนิษฐานว่าพวกขอมเป็นผู้สร้างเมืองนี้ไว้และยังไม่เสร็จเรียบร้อย แต่ต่อมาเข้าใจว่าอพยพไปอยู่ที่อื่น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการศึกสงคราม หรือโรคระบาด กู่กาสิงห์ ในท้องที่อำเภอเกษตรวิสัย มีลักษณะเป็นปรางค์กู่ที่ก่อสร้างด้วยศิลาแลง รูป สี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ ๔๐ เมตร สูง ๘ เมตร มีประตูเข้าออกทั้งสี่ด้าน ภายในมีศิลาแลงวางทับกันเป็นชั้น ๆ ขนาดกว้างด้านละ ๙ เมตร สูง ๒ เมตร ทางด้านทิศตะวันออกสร้างเป็นบันไดด้วยศิลาแลง มีหินแกะสลักเป็นรูปสิงโต ขนาดใหญ่นั่งตรงเชิงบันได จำนวน ๒ ตัว ถึงแม้ว่าจะไม่ปรากฏว่าสร้างในสมัยใด แต่รูปลักษณะของโบราณสถานนี้เข้าใจว่าสร้างในสมัยเดียวกับปราสาทหินพิมาย อีกแห่งหนึ่ง คือ กู่คันธนาม ในท้องที่กิ่งอำเภอโพนทราย สร้างด้วยศิลาแลงวางซ้อนกันเป็นรูปลักษณะเหมือนกับปราสาทหินพิมายแต่มีขนาดเล็กกว่าปราสาทหินพิมายมากข้างในมีพระเทวรูปที่สร้างในสมัยขอม จากหลักฐานซากโบราณสถานเหล่านี้พอจะเป็นเหตุอนุมานได้ว่า อาณาเขตพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดปัจจุบัน เป็นเมืองที่ขอมสร้างขึ้นในสมัยเดียวกับขอมสร้างปราสาทหินพิมาย และอาณาบริเวณนี้คงเป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองในสมัยนั้น และได้เสื่อมลงตามที่ชนชาติขอมเสื่อมอำนาจลง สมัยกรุงศรีอยุธยา ราว พ.ศ. ๒๒๔๖ ตรงกับจุลศักราช ๑๐๗๕ ปีมะเส็ง เบญจศก พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร ผู้ครองนครจำปาศักดิ์ ซึ่งสืบสายมาจากชาวไทยกรุงศรีสัตนาคนหุต ได้ให้จารย์แก้วคุมไพร่พลสามพันคนเศษ มาสร้างเมืองขึ้นใหม่ที่บ้านเมืองทุ่ง (ท้องที่อำเภอสุวรรณภูมิ) เรียกว่า เมืองทุ่งหรือเมืองทง ขึ้นตรงต่อนครจำปาศักดิ์ จารย์แก้วปกครองเมืองทุ่งอยู่ได้นานสิบหกปีก็ถึงแก่กรรม จารย์แก้วมีบุตรสองคนคือท้าวมืดกับท้าวทน พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรจึงทรงแต่งตั้งท้าวมืดเป็นเจ้าเมืองทุ่ง และท้าวทนเป็นอุปราช เมื่อท้าวมืดถึงแก่กรรม ท้าวทนจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองแทนพี่ชาย ท้าวมืดมีบุตรสองคนคือ ท้าวเชียงและท้าวสูน ทั้งสองคนไม่พอใจที่ไม่ได้เป็นเจ้าเมืองสืบแทนบิดา จึงได้คบคิดกับกรมการเมืองที่เป็นสมัครพรรคพวกของตน เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพึ่งพระบรม โพธิสมภาร สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ (พระที่นั่งสุริยามรินทร์หรือเจ้าฟ้าเอกทัศน์ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) แห่งกรุงศรีอยุธยาและได้นำทองคำแท่งจำนวนมากไปถวายในคราวเข้าเฝ้า พร้อมกับทูลขอกองทัพจากกรุงศรีอยุธยาไปช่วยรบกับท้าวทน สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพรหมกับพระยากรมท่าเป็นแม่ทัพเดินทางมาพร้อมกับท้าวเชียงและท้าวสูน เมื่อเดินทางใกล้ถึงเมืองทุ่ง ท้าวทนทราบข่าว จึงพาครอบครัวและไพร่พลอพยพไปอยู่ ณ บ้านกุดจอก เมื่อพระยาพรหมและพระยากรมท่าเข้าเมืองแล้ว ได้ติดตามไปนำตัวท้าวทนมาว่ากล่าวตักเตือนให้คืนดีกันกับท้าวเชียงและท้าวสูนผู้เป็นหลาน ท้าวเชียงกับท้าวสูนก็ได้ครองเมืองทุ่งและเมืองทุ่งจึงขาดจากการปกครองของนครจำปาศักดิ์ มาขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่บัดนั้น สมัยกรุงธนบุรี ในปี พ.ศ. ๒๓๑๙ รัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ท้าวเชียงและท้าวสูนเห็นว่าเมืองทุ่งมีชัยภูมิไม่เหมาะ เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเซ (ลำน้ำเสียว) ถูกน้ำเซาะตลิ่งพังทุกปี จึงได้ย้ายไปตั้งเมืองใหม่ที่ ดงท้าวสารและเรียกชื่อใหม่ว่า "เมืองสุวรรณภูมิ" ท้าวเชียงได้สร้างวัดขึ้นสองวัด คือวัดกลางและวัดใต้ สร้างวิหารกว้างห้าวา ยาวแปดวา สูงหกวา สร้างพระพุทธรูปด้วยอิฐและปูนลงรักปิดทอง หน้าตักกว้างสี่ศอกคืบ สูงแปดศอกคืบ เหมือนกันทั้งสองวัด ปี พ.ศ. ๒๓๑๘ ท้าวทนซึ่งอพยพครอบครัวและไพร่พลไปอยู่ที่บ้านกุดจอก ได้ปรึกษาหารือกับพระยาพรหมและพระยากรมท่าขออนุญาตทั้งบ้านกุ่มร้างซึ่งเป็นเมืองร้างขึ้นเป็นเมือง พระยา พรหมและพระยากรมท่าเห็นว่าท้าวทนมีสมัครพรรคพวกมาก จะเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง จึงมีใบบอกไปยังกรุงธนบุรี ขอพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองขึ้นที่บ้านกุ่มร้างและให้ชื่อว่า "เมืองร้อยเอ็ด" ตามนามเดิมและให้ท้าวทนเป็นพระขัติยะวงษาเจ้าเมืองคนแรก การสร้างเมืองร้อยเอ็ดขึ้นก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้แบ่งเขตเมืองสุวรรณภูมิกับเมืองร้อยเอ็ด ดังปรากฏในพงศาวดารว่า "ตั้งแต่ปากลำน้ำพาชี ตกลำน้ำมูล ขึ้นมาตามลำน้ำพาชีถึงปากห้วยดางเดียขึ้นไปทุ่งลาดไถ ไปบ้านข้อเหล็ก บ้านแก่งทรายหิน ตั้งแต่ถ้ำเต่าเหวฮวดดวงสวนอ้อย บึงกุย ศาลาอีเก้ง ภูเมง หนองม่วงคลุ้ม กุ่มปัก ศาลาหักมูลแดง ประจบปากลำน้ำพาชีตกลำน้ำมูลนี้ เป็นเขตเมืองสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ลำน้ำยางตกลำน้ำพาชีขึ้นไป ภูดอกซ้อน หินทอด ยอดยาง ดู่สามต้น อ้นสามขวาย สนามหมาดหญ้า ผ้าขาวพันนา ฝายพระยานาค ภูเมง มาประจบหนองแก้ว ศาลาอีเก้ง มาบึงกุยนี้ เป็นอาณาเขตเมืองร้อยเอ็ด" ตามข้อความในพงศาวดารที่ยกมา พอสรุปอาณาเขตเมืองสุวรรณภูมิและเมืองร้อยเอ็ดได้ดังนี้ อาณาเขตเมืองสุวรรณภูมิ ทิศเหนือ จดลำน้ำชี ทุ่งลาดไถ บึงกุย (อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม) ทิศใต้ จดลำน้ำมูล ทิศตะวันออก จดลำน้ำมูล ลำน้ำชี ทิศตะวันตก จดอำเภอภูเวียง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น อาณาเขตเมืองร้อยเอ็ด ทิศเหนือ จดอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร อำเภอหนองหาร จังหวัดอุดรธานี ทิศใต้ จดทุ่งลาดไถ ไปอำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ทิศตะวันออก จดลำน้ำยัง ภูพาน ทิศตะวันตก จดอำเภอภูเวียง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น จังหวัดร้อยเอ็ดยุคปัจจุบันจึงตั้งเป็นเมืองขึ้นมาในสมัยกรุงธนบุรี อันสืบเนื่องมาจากเมืองสุวรรณภูมิ แต่ที่ตั้งเมืองร้อยเอ็ดเป็นเมืองร้างซึ่งคาดว่าคงเป็นเมืองที่มีความรุ่งเรืองก่อนที่จะถูกทอดทิ้งให้เป็นเมืองร้างด้วยเหตุประการใดก็ตาม จากพงศาวดารแบ่งเขตเมืองสุวรรณภูมิและเมืองร้อยเอ็ด จะเห็นได้ว่าทั้งเมืองสุวรรณภูมิและเมืองร้อยเอ็ดมีอาณาเขตกว้างใหญ่ ซึ่งต่อมาภายหลังได้แบ่งแยกท้องที่ตั้งเมืองอื่น ๆ ขึ้น สมัยรัตนโกสินทร์ เมืองสุวรรณภูมิและเมืองร้อยเอ็ดซึ่งมีอาณาเขตกว้างขวาง ได้ถูกแบ่งท้องที่ตั้งเมืองอื่นหลายเมือง คือ เมืองสุวรรณภูมิถูกแบ่งท้องที่ตั้งเมืองชนบท เมืองพุทไธสง เมืองพยัคภูมิพิสัย เมืองร้อยเอ็ดได้ถูกแบ่งท้องที่ตั้งเมืองมหาสารคาม เมืองกาฬสินธุ์ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้มีการปรับปรุงรูปการบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัด อำเภอ เมืองร้อยเอ็ดเปลี่ยนเป็นจังหวัดร้อยเอ็ด เมืองสุวรรณภูมิลดฐานะเป็นอำเภอสุวรรณภูมิ อยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดร้อยเอ็ดแต่นั้นมา เมื่อครั้งเกิดกบฏฮ่อ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาอำมาตย์ธิบดีเป็นแม่ทัพเกณฑ์กำลังคนทางหัวเมืองภาคอีสาน ยกไปปราบฮ่อที่เมืองเวียงจันทร์และเมืองหนองคาย ขณะนั้นเมืองร้อยเอ็ดมีพระขัติยะวงษา (สาร) เป็นเจ้าเมือง และราชบุตร (เสือ) ได้รวบรวมไพร่พลสมทบกับกองทัพพระยามหาอำนาจธิบดีไปปราบฮ่อด้วย ระหว่างทำศึกปราบฮ่อนั้นราชบุตร (เสือ) ถูกยิงด้วยปืนที่มือขวาโลหิตไหล บ่าวไพร่พาหนีมาได้ ส่วนพระขัติยะวงษา (สาร) กลับหนีศึกคืนมาเมืองร้อยเอ็ด เมื่อเสร็จศึกปราบฮ่อแล้วพระยามหาอำมาตย์ธิบดีจึงควบคุมตัวพระขัติยะวงษา (สาร) แต่ได้หนีไปอยู่เมืองนครราชสีมา เจ้าเมืองนครราชสีมาจับได้และส่งไปยังพระมหาอำมาตย์ธิบดีที่เมืองหนองคาย แล้วพระยามหาอำมาตย์ธิบดีกลับมาจัดราชการที่เมืองร้อยเอ็ด โดยตั้งราชบุตร (เสือ) เป็นผู้รักษาราชการ เมืองร้อยเอ็ด ซึ่งภายหลังได้ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นเจ้าเมืองแทนพระขัติยะ วงษา (สาร) ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ทางราชการได้ย้ายกองพลทหารราบที่ ๑๐ จากจังหวัดอุบลราชธานี มาตั้งกองพลทหารราบที่ ๑๐ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด จึงมีถนนสายหนึ่งชื่อถนนกองพล ๑๐ ซึ่งเป็นถนนสู่กองพลดังกล่าว ต่อมาได้ย้ายกรมทหารราบที่ ๒๐ จังหวัดอุดรธานีมารวมในกองพลทหารราบที่ ๑๐ ภายหลังได้ยุบกองพลทหารราบที่ ๑๐ เป็นกองพันทหารม้าที่ ๕ และได้ยุบกองทัพทหารม้าที่ ๕ ไปในที่สุด การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบการปกครอง และการบริหารราชการแผ่นดิน ทรงนำวิทยาการแผนใหม่จากประเทศตะวันตกมาใช้ ทรงตั้งกระทรวงขึ้น ๑๒ กระทรวง มีการแบ่งอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในแต่ละกระทรวงให้แน่นอนและมีเสนาบดีรับผิดชอบบริหารงานของแต่ละกระทรวง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่เกี่ยวกับการปกครองและรักษาความสงบเรียบร้อยในหัวเมือง หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงเริ่มการจัดตั้งมณฑลขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ โดยรวมหลาย ๆ จังหวัดขึ้นเป็นมณฑล มีข้าหลวงหรือข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งก่อนการเปลี่ยนแปลงนี้การปกครองหัวเมืองนั้น อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากการคมนาคมไปมาลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ ๆ ส่วนหัวเมืองอื่น ๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจกว้างขวาง แต่การจัดตั้งมณฑลนั้นข้าหลวงหรือข้าหลวงเทศาภิบาลขึ้นตรงต่อส่วนกลาง ปี พ.ศ. ๒๔๓๕ ได้จัดตั้งมณฑลขึ้นโดยรวบรวมหัวเมืองเข้าด้วยกันมี ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียง มณฑลลาวพวน มณฑลลาวกาว มณฑลเขมร มณฑลนครราชสีมาและมณฑลภูเก็ต ซึ่งจังหวัดร้อยเอ็ดขึ้นต่อมณฑลลาวกาว ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้จัดระเบียบบริหารมณฑลแบบใหม่เป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี และมณฑลราชบุรี ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากมณฑลแบบเก่าและต่อมาได้ตั้งมณฑลต่าง ๆ ขึ้นอีกคือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ มณฑลกรุงเก่า มณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลชุมพร มณฑลไทรบุรี (ภายหลังยกให้อังกฤษ เมื่อปี ๒๔๕๐) มณฑลเพชรบูรณ์ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร มณฑลอีสาน มณฑลปัตตานี มณฑลจันทบุรี และมณฑลมหาราช ซึ่งจังหวัดร้อยเอ็ดขึ้นต่อมณฑลอีสาน ปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานเป็น ๒ มณฑล คือ มณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด มณฑลร้อยเอ็ดมี เมืองร้อยเอ็ด เมืองกาฬสินธุ์ เมืองมหาสารคาม ปี พ.ศ. ๒๔๖๕ ได้รวมมณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบล และมณฑลอุดร ขึ้นเป็นภาคเรียกว่า ภาคอีสาน ปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ยุบปกครองภาคอีสาน ให้จังหวัดในมณฑลร้อยเอ็ดและมณฑลอุบล ไปขึ้นกับมณฑลนครราชสีมา ระบอบมณฑลเทศาภิบาลนี้ได้ยกเลิกไปหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแล้ว รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ และได้ยกเลิกระบอบมณฑลเทศาภิบาล ขณะนั้นจังหวัดร้อยเอ็ดมี ๙ อำเภอ คือ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด อำเภอธวัชบุรี อำเภอเสลภูมิ อำเภอโพนทอง อำเภออาจสามารถ อำเภอพนมไพร อำเภอสุวรรณภูมิ อำเภอเกษตรวิสัย และอำเภอจตุรพักตรพิมาน ต่อมาได้แบ่งพื้นที่เป็นอำเภอหนองพอก อำเภอปทุมรัตน์ อำเภอเมืองสรวง อำเภอโพธิ์ชัย กิ่งอำเภอโพนทราย และกิ่งอำเภอเมยวดี ต่อมาเมื่อได้มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๕ การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทยก็เป็นไปตามพระราชบัญญัติฉบับนั้นและถือเป็นหลักหรือรากฐานของการแบ่งส่วนราชการไทยสมัยต่อๆ มา พระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ได้ถูกปรับปรุงแก้ไขโดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วน ภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบ และให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดร้อยเอ็ด. ร้อยเอ็ด, ทันใจการพิมพ์ : ๒๕๒๗. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:51:31 ยโสธร
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ยโสธรเป็นเมืองเก่าแก่พอๆ กับเมืองอุบลราชธานี กล่าวคือหลังจากท้าวทิดพรหม ท้าวคำผง ขอพระราชทานตั้งบ้านดอนมดแดงขึ้นเป็นเมืองอุบลราชธานีแล้ว บริวารอีกส่วนหนึ่งได้อพยพลงมาตามลำน้ำชี ถึงบริเวณป่าใหญ่ที่เรียกว่า "ดงผีสิงห์" หรือ "ดงโต่งโต้น" เห็นว่าเป็นที่มีทำเลดีเพราะอยู่ใกล้ลำน้ำชี ประกอบกับมีวัดร้างและมีรูปสิงห์ จึงได้บูรณะปฏิสังขรณ์วัด และตั้งหมู่บ้านขึ้น เรียกชื่อว่า "บ้านสิงห์ท่า" ในปีจุลศักราช ๑๑๗๙ (พ.ศ. ๒๓๕๗) เจ้าพระยาวิไชยราชขัตติยวงศา ขอพระราชทานตั้งบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะเป็นเมือง พระราชทานนามว่า "เมืองยศสุนทร" หรือยโสธร มีเจ้าเมืองปกครองมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีการจัดแบ่งการปกครองออกเป็นมณฑล จังหวัด และอำเภอ เมืองยศสุนทรจึงถูกลดฐานะมาเป็นอำเภอ ชื่ออำเภอยโสธร ตามชื่อที่ชาวเมืองนิยมเรียกกันมา ขึ้นตรงต่อจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่นั้นมา จนเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๑๕ จึงได้มีการแยกออกจากจังหวัดอุบลราชธานีและตั้งขึ้นเป็นจังหวัดยโสธร โดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๗๐ ลงวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ ปัจจุบัน จังหวัดยโสธรแบ่งการปกครองเป็น ๘ อำเภอ คือ อำเภอเมืองยโสธร อำเภอ เลิงนกทา อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอกุดชุม อำเภอมหาชนะชัย อำเภอป่าติ้ว อำเภอค้อวัง และอำเภอทรายมูล มีประชากรประมาณ ๔๘๕,๐๐๐ คน พื้นที่๔,๘๕๐ ตารางกิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพมหานคร ๕๗๘ กิโลเมตร ชาวยโสธรส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพทำนา ทำไร่ เป็นผู้ยึดมั่นในจารีตประเพณี ชอบทำบุญให้ทาน ซื่อสัตย์สุจริต มีสัมมาคารวะ และมีอุปนิสัยใจคอโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สิ่งที่เชิดหน้าชูตาของชาวยโสธร คือ รักความเป็นประชาธิปไตย ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งมีสถิติสูงสุดของประเทศ เป็นเมืองที่อนุรักษ์ประเพณี "แห่บั้งไฟ" ซึ่งมีชื่อเสียงไปถึงต่างประเทศ เป็นแหล่งผลิตหมอนขิด ปลูกแตงโมหวาน ผลิตข้าวจ้าวมะลิส่งไปขายทั่วประเทศ จนได้รับสมญาว่า "เมืองประชาธิปไตย บั้งไฟโก้ แตงโมหวาน หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ" นอกจากนี้ยังมีคำเล่าลือเป็นคำจำกัดความที่แสดงถึงจุดเด่นเป็นการเฉพาะของแต่ละอำเภอทั้ง ๘ อำเภอ ของจังหวัด อันไพเราะ สอดคล้องและสมจริง อีกว่า "คนงามมหา คนก้าวหน้ากุดชุม คนสุขุมค้อวัง คนดังลุมพุก (คำเขื่อนแก้ว) คนสนุกเมืองยศ (เมืองยโสธร) คนทรหดเลิงนกทา คนมีค่าทรายมูล และคนคูณป่าติ้ว" สถานที่ท่องเที่ยวที่ให้ความรู้ ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม ได้แก่ พระธาตุอานนท์ เป็นพระธาตุบรรจุอัฐิและอังคารของพระอานนท์ ซึ่งชาวยโสธรถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมือง และเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดยโสธร ตั้งอยู่บริเวณวัดมหาธาตุ อำเภอเมืองยโสธร พระธาตุก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เป็นเจดีย์สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ราวศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ จากตำนานที่เล่าลือสืบกันมาว่า นายบุญมาซึ่งเป็นชาวนา ทำนาอยู่กลางทุ่งตั้งแต่เช้าจนสาย ถึงเวลาที่แม่ต้องเอาข้าวเที่ยงมาส่งก็ยังไม่มา นายบุญมาหิวจนตาลาย เมื่อแม่เอาข้าวมาส่งเห็นก่องข้าวเล็กกลัวจะกินไม่อิ่ม ด้วยความโมโหจึงได้ทำร้ายแม่จนตาย แต่เมื่อกินข้าวอิ่มปรากฏว่าข้าวยังเหลือ จึงสำนึกได้และได้สร้างพระธาตุก่องข้าวน้อย เพื่อล้างบาป ตั้งอยู่ที่บ้านตาดทอง ตำบลตาดทอง อำเภอเมืองยโสธร วนอุทยานภูหมู เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สวยงาม อยู่ในเขตอำเภอเลิงนกทา ติดต่อกับเขตอำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร สวนสาธารณพญาแถน เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ อยู่ริมลำห้วยทวนมีทิวทัศน์ และธรรมชาติที่สวยงาม ร่มรื่น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของตัวเมืองยโสธร บ้านศรีฐาน เป็นแหล่งผลิตหมอนขิดที่มีชื่อเสียง ส่งไปจำหน่ายแทบทุกจังหวัด บ้านนาสะไมย์ เป็นแหล่งผลิตกระติบข้าวเหนียว ทำกันทุกหลังคาเรือนส่งไปจำหน่ายในตัวเมืองจังหวัดยโสธร และจังหวัดใกล้เคียง ขนบธรรมเนียมประเพณีงานบุญ จากการขุดค้นพบใบเสมาหินที่บ้านตาดทอง อำเภอเมืองยโสธร ของคณะสำรวจโบราณคดี กรมศิลปากร มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ประชาชนชาวจังหวัดยโสธร มีวัฒนธรรมประเพณีอันเก่าแก่และดั้งเดิม ตามแบบฉบับของชาวอีสานอย่างแท้จริง ซึ่งได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจาก บรรพบุรุษนับเป็นเวลากว่าพันปีแม้ว่าในสภาพของสังคมยุคปัจจุบันขนบธรรมเนียมประเพณีอันเก่าแก่นี้ ในบางท้องที่จะเลือนหายไป แต่ชาวจังหวัดยโสธรส่วนใหญ่ยังคงยึดถือและปฏิบัติอย่างสืบเนื่องต่อกันมาหลายชั่วอายุคน การยึดมั่นในการประกอบคุณงามความดีของชาวเมืองยโสธรนี้ จะพบได้ทุกหนแห่งและฤดูกาล และกระทำกันมิได้ขาดทุกเดือน แสดงให้เห็นถึงว่าชาวจังหวัดยโสธร เป็นผู้ที่มีน้ำใจโอบอ้อมอารี มีความสามัคคี เสียสละซื่อสัตย์ ชอบสนุกสนานและทำบุญทำทาน ประเพณีงานบุญ ที่ประชาชนชาวจังหวัดยโสธร ถือปฏิบัติมาตราบเท่าทุกวันนี้ โดยไม่เปลี่ยนแปลงคืองานบุญ ๑๒ เดือน ดังต่อไปนี้ บุญเดือนอ้าย ทำบุญคูณลาน ข้าวเม่า ข้าวหลาม จะทำกันหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จใหม่ เป็นการฉลองลานนวดข้าว บุญเดือนยี่ ทำบุญฉลองกองข้าว บุญคุ้มข้าวใหญ่ ทำหลังจากนวดข้าวเสร็จกองไว้ที่ลานข้าว เพื่อฉลองกองข้าวที่อุดมสมบูรณ์ บุญเดือนสาม ทำบุญข้าวจี่ บางบ้านเรียกว่า " บุญคุ้ม " แต่ละคุ้มจะกำหนดวันบุญเลี้ยงพระกลางบ้าน ตอนเย็นก็จัดเตรียมข้าวปลา อาหารไว้รับเลี้ยงพี่น้องและเพื่อนฝูงที่มาเยี่ยมพบปะสังสรรค์ร้องรำทำเพลง บางคุ้มก็เรี่ยไรเงินถวายวัดต่าง ๆ หรือบางคุ้มก็จัดมหรสพตอนกลางคืน เป็นที่สนุกสนานครึกครื้นยิ่ง บุญเดือนสี่ ทำบุญมหาชาติหรือบุญพระเวส จัดทำทุกวัดตามหมู่บ้านต่าง ๆ มีการเทศน์มหาชาติ โดยนิมนต์พระจากหมู่บ้านใกล้เคียงมาเทศน์ตามกัณฑ์ที่นิมนต์ไว้ บุญเดือนห้า ทำบุญตรุษสงกรานต์ บางที่เรียกว่า "บุญเนา" สรงน้ำพระ รดน้ำญาติผู้ใหญ่ บ้างก็รวมกลุ่มสาดน้ำตามคุ้มต่างๆ บางกลุ่มก็จัดข้าวปลาสุราอาหารไปรับประทานกันตามชายทุ่ง ชายป่า หรือบริเวณหาดทรายริมแม่น้ำ ร้องรำทำเพลง ลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน บุญเดือนหก ทำบุญบั้งไฟ เป็นงานบุญประเพณีอันเก่าแก่ของชาวอีสาน มีมาแต่โบราณกาล เป็นพิธีสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุจุฬามณีบนดาวดึงส์พิภพ และถือว่าเป็นพิธีขอฝนจากพญาแถนให้มีฝนตกต้องตามฤดูกาล ชาวนาจะได้ลงมือทำนาทำไร่ พอถึงเดือนนี้ของทุกปี ในท้องถิ่นจะจัดงานบุญบั้งไฟต่อเนื่องกันมา ถือเป็นประเพณีอันสำคัญของหมู่บ้าน โดยเฉพาะการจัดงานที่จังหวัดถือว่าเป็นการจัดงานบุญบั้งไฟระดับชาติ โดยได้รับความร่วมมือจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในทุกๆ ปี จะมีนักท่องเที่ยวจากทุกภาคของประเทศตลอดจนชาวต่างประเทศมาร่วมชมงานนี้เป็นจำนวนมาก บุญเดือนเจ็ด ทำบุญบวชนาค ชาวจังหวัดยโสธรนิยมให้บุตรหลานของตนอุปสมบทเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย อันเป็นหลักปฏิบัติตนให้เป็นคนดี และเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาและผู้มีพระคุณ ในปีหนึ่งๆ จะมีการบวชนาคตามหมู่บ้านต่างๆ เป็นจำนวนมาก บุญเดือนแปด ทำบุญปุริมพรรษาชาวบ้านในทุกคุ้ม และทุกหมู่บ้านจะจัดทำเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน น้ำมัน ยารักษาโรค และจตุปัจจัยอื่นๆ เพื่อนำไปถวายพระตามวัดต่างๆ ในหมู่บ้าน บุญเดือนเก้า ทำบุญข้าวประดับดิน ในวันแรม ๑๕ ค่ำ เพื่อบุญอุทิศให้แก่ญาติพี่น้องที่ ล่วงลับไปแล้วในวันนี้ ทุกบ้านเรือนจะจัดทำข้าวต้มมัด ขนม เพื่อใส่บาตรพระในตอนเช้า บุญเดือนสิบ ทำบุญข้าวกระยาสาตร เป็นการประกอบบุญกุศลเป็นทานมัยบุญกิริยาวัตถุ คือบุญที่สำเร็จขึ้นด้วยการทานอย่างหนึ่ง ทุกบ้านเรือนจะจัดทำข้าวต้มมัด ขนม ใส่บาตรพระ จัดอาหารทำบุญเลี้ยงพระที่วัด ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ บุญเดือนสิบเอ็ด ทำบุญออกพรรษาในวันขึ้นสิบห้าค่ำ เดือน ๑๑ ชาวบ้านจะจัดหาอาหารคาวหวานเพื่อไปทำบุญร่วมกัน ตกกลางคืนทำดอกไม้ธูปเทียนหากวัดหมู่บ้านใดที่อยู่ริมน้ำก็มีการลอยกระทงหรือปล่อยเรือไฟเพื่อเป็นพุทธบูชา บุญเดือนสิบสอง ทำบุญมหากฐิน และบุญแข่งเรือ ทุกวัดในหมู่บ้านต่างๆ ที่มีพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ ชาวบ้านจะทำกฐินทอดถวายทุกปีมิได้ขาด และเนื่องจากยโสธรตั้งอยู่ริมแม่น้ำชีมีประเพณีที่จัดทำเป็นประจำทุกปี เมื่อคราวออกพรรษาแล้วด้วยการแข่งเรือยาวของแต่ละคุ้มและ เชิญเรือยาวจังหวัดข้างเคียง มาร่วมแข่งขัน ทำเนียบผู้บริหาร (พ.ศ. ๒๕๑๕ - ปัจจุบัน) ๑. นายชัยทัต สุนทรพิพิธ พ.ศ. ๒๕๑๕-๒๕๑๙ ๒. นายพีระศักดิ์ สุขะพงษ์ พ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒๒ ๓. นายกาจ รักษ์มณี พ.ศ. ๒๕๒๒-๒๕๒๒ ๔. นายอรุณ ปุสเทพ พ.ศ. ๒๕๒๒-๒๕๒๓ ๕. นายนพรัตน์ เวชชศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๒๓-๒๕๒๖ ๖. นายจรวย ยิ่งสวัสดิ์ พ.ศ. ๒๕๒๖-ปัจจุบัน รองผู้ว่าราชการจังหวัด ๑. ร.ต. วัฒนา สูตรสุวรรณ พ.ศ. ๒๕๒๓-๒๕๒๖ ๒. ร.ท. บันเทิง ศรีจันทราพันธุ์ พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๒๘ ๓. นายโสภณ ชวาสกุล พ.ศ. ๒๕๒๘-ปัจจุบัน ปลัดจังหวัด ๑. นายณัฐพล ไชยรัตน์ พ.ศ. ๒๕๑๕-๒๕๑๖ ๒. นายไพบูลย์ วัฒนาพานิช พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๘ ๓. นายนพรัตน์ เวชชศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๑๙ ๔. นายมนูญ บุญยะประภัศร พ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒๑ ๕. นายเสถียร หุนตระกูล พ.ศ. ๒๕๒๑-๒๕๒๓ ๖. ร.อ. สถาพร เอมะสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๓-๒๕๒๕ ๗. นายพิสุทธิ์ ฟังเสนาะ พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๒๖ ๘. นายอุดม รอดชมภู พ.ศ. ๒๕๒๗-ปัจจุบัน ที่มา : บรรยายสรุปข้อราชการจังหวัดยโสธร. ยโสธร : สำนักงานจังหวัดยโสธร, ๒๕๒๙. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:51:54 ชัยภูมิ
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ผืนแผ่นดินไทยในอดีตเต็มไปด้วยอารยธรรมอันสูงส่งในนามของอาณาจักรต่าง ๆ ที่ วิวัฒนาสืบต่อกันมาโดยมิขาดสาย เมืองไทย แผ่นดินไทย จึงเป็นขุมทรัพย์อันมหาศาลของวงการนักปราชญ์ทางโบราณคดีทั่วโลก ดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันจึงกลายเป็นแผ่นดินแห่งประวัติศาสตร์ และอารยธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ซึ่งดินแดนแห่งนี้ เมื่อครั้งโน้นเรียกว่า ดินแดนสุวรรณภูมิ หรือแหลมอินโดจีนก่อนที่ชาติไทยจะได้เข้ามาตั้งภูมิลำเนานั้น เดิมเป็นที่อยู่ของชน ๓ ชาติ คือ ขอม,มอญและละว้า ก. ขอม อยู่ทางภาคตะวันออกของลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้อันเป็นที่ตั้งของ ประเทศกัมพูชาปัจจุบันนี้ ข. มอญหรือรามัญ อยู่ทางตะวันออกของลุ่มแม่น้ำสาละวิน ตลอดจนถึงลุ่มแม่น้ำ อิรวดี ซึ่งเป็นอาณาเขตของสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพ พม่าในปัจจุบัน ค. ละว้า อยู่ทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นอาณาเขตของประเทศไทย ปัจจุบัน อาณาเขตละว้า แบ่งเป็น ๓ อาณาจักร คือ ๑.อาณาจักรทวารวดี หรือละว้าใต้ มีอาณาเขตทางภาคกลางบริเวณลุ่มแม่น้ำ เจ้าพระยาแผ่ออกไปจากชายทะเลตะวันตกและตะวันออกของอ่าวไทยซึ่งมีนครปฐมเป็นราชธานี ๒.อาณาจักรยางหรือโยนกหรือละว้าเหนือ มีอาณาเขตที่เป็นภาคเหนือของประเทศ ไทยในปัจจุบันมีราชธานีอยู่ที่เมืองเงินยาง ๓. อาณาจักรโคตรบูรณ์หรือพนม มีอาณาเขตที่เป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยในปัจจุบันตลอดไปจนถึงฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มีเมืองนครพนมเป็นราชธานี แต่ก่อนที่จะมีคนไทยอพยพเข้ามานั้น ดินแดนแห่งนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงในรูปของผู้เข้าครอบครอง ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ขอมได้เริ่มแผ่อำนาจเข้าไปในอาณาเขตของละว้า และสามารถครอบครองอาณาเขตละว้าทั้ง ๓ ได้ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ โดยเฉพาะอาณาจักรโคตรบูรณ์ขอมได้รวมเข้าเป็นอาณาจักรของขอมโดยตรง - อาณาจักรทวารวดี ส่งคนมาเป็นอุปราชปกครอง - อาณาจักรยางหรือโยนก ให้ชาวพื้นเมืองปกครองตนเองแต่ต้องส่งส่วยให้แก่ขอม ในระยะเวลาประมาณ ๒๐๐ ปี ขอมได้แผ่ขยายศิลปวิทยาการอันเป็นความรู้ทางศาสนา ปรัชญา สถาปัตย์และอารยธรรมอีกมากมาย ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากอินเดีย และต่อมาพุทธศตวรรษที่ ๑๖ อำนาจของขอมต้องเสื่อมลงดินแดนส่วนใหญ่ได้เสียแก่พม่าไป ซึ่งในเวลานั้นพม่ามีอาณาเขตอยู่ทางลุ่มแม่น้ำอิรวดีตอนเหนือ ได้รุกรานอาณาดินแดนของพวกมอญโดยลำดับมา และได้สถาปนาเป็นอาณาจักรขึ้น มีกษัตริย์ทรงพระนามว่า อโนระธามังช่อ หรือพระเจ้าอนุรุทมหาราช ปราบได้ดินแดนมอญลาวได้ทั้งหมด แต่ภายหลังเมื่อพระเจ้าอนุรุทสิ้นพระชนม์แล้วพม่าก็หมดอำนาจ ขอมก็ได้อำนาจอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งหลังนี้ก็เป็นความรุ่งเรืองตอนปลาย จึงอยู่ได้ไม่นานนัก เปิดโอกาสให้ไทยซึ่งได้เข้ามาตั้งทัพอยู่เขตละว้าเหนือ โดยขยายอำนาจเข้ามาแล้วขับไล่ขอมเจ้าของเดิมออกไป จากประวัติศาสตร์ดังกล่าว อาณาจักรทวารวดีเป็นอาณาจักรหนึ่งของละว้าซึ่งมีอาณาเขตอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย ตั้งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ สืบต่อมาจนกระทั่งพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เมื่อพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ แห่งขอมได้แยกขยายอำนาจออกมาตั้งลุ่มน้ำเจ้าพระยา อาณาจักรโคตรบูรณ์หรือพนม มีอาณาเขตอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยขอมตอนปลาย ถ้าอาศัยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ประกอบกับภูมิศาสตร์ก็น่าจะเชื่อว่าดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรโคตรบูรณ์ หรือพนมก็คงครอบคลุมมาถึงดินแดนที่เป็นที่ตั้งของเมืองชัยภูมิในปัจจุบัน โดยศึกษาจากหลักฐานศิลปะวัดโบราณในจังหวัดชัยภูมิ อันได้แก่ใบเสมาหินทรายแดงที่พบที่บ้านกุดโง้ง ตำบลหนองนาแซง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งแกะสลักเป็นรูปเสมาธรรมจักร บรรจุตัวอักษรอินเดียโบราณ (ซึ่งศิลปอินเดียเองก็เป็นต้นฉบับของขอม) ศิลปวัตถุชิ้นนี้จัดอยู่ใน "ศิลปทวารวดี" นอกจากนี้ยังจะเห็นได้ชัดจากพระธาตุบ้านแก้ง หรือพระธาตุหนองสามหมื่น เป็นพระธาตุสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างประมาณ ๑๐ เมตร สูงประมาณ ๒๕ เมตร ก่อด้วยอิฐถือปูนจากฐานของพระธาตุขึ้นไปประมาณ ๑๐ เมตร ทำเป็นซุ้มประตูทั้งสี่ทิศ แต่ละทิศจำหลักเทวรูป ลักษณะเป็น ศิลปทวารวดี ปรางค์กู่ เป็นโบราณสถานที่ตั้งห่างจากจังหวัดประมาณ ๒ กิโลเมตร เป็นปรางค์เก่าแก่ ก่อสร้างด้วยศิลาแลง ภายในปรางค์มีพระพุทธรูปเป็นศิลปทวารวดีประดิษฐานอยู่ ดูจากศิลปและการก่อสร้าง ตลอดทั้งวัตถุก่อสร้างใช้ศิลาแลง สันนิษฐานว่าคงจะสร้างในสมัยเดียวกันกับประสาทหินพิมาย ภูพระ เป็นภูเขาเตี้ยอยู่ที่ตำบลนาเสียว อำเภอเมืองชัยภูมิ ระยะห่างจากตัวจังหวัด ๑๒ กิโลเมตร ตามผนังภูพระจำหลักเป็นพระพุทธรูปใหญ่องค์หนึ่ง นั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ขวาวางอยู่ที่พระเพลาพระหัตถ์ซ้ายวางพาดอยู่ที่พระชงฆ์ หน้าตักกว้าง ๕ ฟุต เรียกว่า "พระเจ้าตื้อ" และรอบพระพุทธรูปมีรอยแกะทับเป็นรูปพระสาวกอีกองค์หนึ่งสันนิษฐานว่า คงจะสร้างในสมัยขอมรุ่นเดียวกับที่สร้างปรางค์กู่ก็เป็นได้ พระพุทธรูปเหล่านี้มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปแบบอู่ทอง มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ พระธาตุกุดจอก สร้างเป็นแบบปรางค์ประดิษฐานพระพุทธรูปสมัยทวารวดี อยู่ภายในตัวปรางค์สร้างในสมัยขอมเช่นกัน อาศัยจากหลักฐานต่าง ๆ ประวัติศาสตร์ประกอบกับทางด้านภูมิศาสตร์ก็น่าจะเชื่อว่า เมืองชัยภูมิในปัจจุบันเป็นเมืองที่ขอมสร้างขึ้นร่วมสมัยเดียวกันกับลพบุรี, พิมาย แต่ขอมจะสร้างชื่อเมื่อใดหรือศักราชใดนั้นหาหลักฐานที่ปรากฏแน่ชัดไม่ได้ นอกจากจะสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยขอมมีอำนาจเข้าครอบครองในเขตลาว โดยอาศัยหลักโบราณคดีวินิจฉัย เปรียบเทียบตลอดจน ศิลปการก่อสร้างเทวรูป ศิลปกรรมเป็นต้น ว่าการแกะสลักตามฝาผนัง ตามปรางค์กู่มีส่วนคล้ายคลึงกับประสาทหินพิมายมากและอยู่ในบริเวณที่ราบสูงโคราชด้วยกัน ระยะทางระหว่างประสาทหินพิมายกับปรางค์กู่ ชัยภูมิห่างกันประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตรเศษ ๆ เท่านั้น เมื่ออนุมานดูแล้ว เมืองชัยภูมิปัจจุบันเป็นเมืองที่อยู่ในอิทธิพลของขอมมาก่อนและสร้างในสมัยเดียวหรือรุ่นเดียวกันกับเมืองพิมายหรือประสาทหินพิมายดังหลักฐานปรากฏข้างต้น สมัยอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑ ซึ่งในสมัยนี้เองเป็นครั้งแรกที่เมืองเวียงจันทน์ได้มาขอเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา หลังจากทางกรุงศรีอยุธยาได้รับเมือง เวียงจันทน์เข้าเป็นเมืองขึ้นแล้ว ชาวเมืองเวียงจันทน์ก็ได้อพยพเข้ามาประกอบอาชีพติดต่อกับกรุงศรีอยุธยามากขึ้นเรื่อย ๆ การเดินทางจากเวียงจันทน์เข้ามายังอยุธยาเส้นทางก็ผ่านพื้นที่ของเมืองชัยภูมิปัจจุบัน ข้ามลำชี ข้ามช่องเขาสามหมด(สามหมอ) ชาวเวียงจันทน์ที่อพยพเดินทางผ่านไปผ่านมา เห็นทำเลแห่งนี้เป็นทำเลดีเหมาะในการเพาะปลูกทำไร่ ทำนา จึงได้พากันเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำมาหากิน เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ตลอดทั้งผู้เข้ามาอยู่อาศัยในแถบนี้มีแต่ความสันติสุขสงบเรียบร้อย ดินแดนแห่งนี้จึงถูกขนานนามว่า "ชัยภูมิ" เริ่มสร้างบ้านเรือนอยู่กันเป็นหลักแหล่ง ผู้อพยพส่วนใหญ่อาศัยอยู่หนาแน่นตามลุ่มลำชี ตามบึง ตามหนองน้ำต่าง ๆ เมื่อมีคนเพิ่มจำนวนมากขึ้นก็ตั้งเป็นหมู่บ้าน โดยใช้ชื่อหมู่บ้านตามลักษณะที่ตั้ง เช่นบ้านอยู่ริมฝั่งชีก็ตั้งชื่อว่าบ้านลุ่มลำชี ถ้าใกล้หนองน้ำก็ตั้งชื่อบ้านตามหนองน้ำนั้น เช่น บ้านหนองนาแซง บ้านหนองหลอด ฯลฯ ชาวพื้นเมืองชัยภูมิได้รับสืบทอดอารยธรรมต่าง ๆ จากบรรพบุรุษเหล่านี้ เช่น ทางด้านภาษาพูด ภาษาเขียน (ตัวหนังสือที่เขียนใส่ใบลานหรือหนังสือผูก) วรรณคดี ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวชัยภูมิ เมื่อมีคนอยู่ในแดนนี้มากขึ้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงได้โปรดให้เมืองชัยภูมิขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมา เพราะอยู่ใกล้กว่าและสะดวกในการปกครองดูแล ตั้งแต่นั้นมาเป็นอันว่าเมืองชัยภูมิ อยู่ในความปกครองของเมืองนครราชสีมา ตลอดมา สมัยกรุงธนบุรี หลังจากกรุงศรีอยุธยา เสียเอกราชแก่พม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าทำลายล้างผลาญโดยที่ต้องการจะมิให้ไทยตั้งตัวขึ้นอีก ได้ริบทรัพย์จับเชลย เผาผลาญทำลายปราสาทราชมณเฑียร วัดวาอารามตลอดจนบ้านเมืองของราษฎรครั้งนั้นพม่าได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยประมาณ ๓๑,๐๐๐ คน กรุงศรีอยุธยาเกือบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากซากสลักหักพังสภาพเหมือนเมืองร้าง อยุธยาเมืองหลวงของไทย ซึ่งเคยรุ่งเรืองมาหลายร้อยปีมีกษัตริย์ปกครองติดต่อกันมาถึง ๓๔ พระองค์ ต้องมาเสียแก่พม่าก็เพราะการที่คนไทยแตกความสามัคคีกันเองแต่กรุงศรีอยุธยาก็ยังไม่สิ้นคนดี คือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้พาสมัครพรรคพวกยกออกจากรุงศรีอยุธยา ไปรวมกำลังอยู่ที่เมืองจันทบุรีมีอาณาเขตตลอดบริเวณหัวเมืองชายทะเลด้านตะวันออกต่อแดนกัมพูชา จนถึงเมืองชลบุรี ซึ่งขณะนั้นหัวเมืองต่าง ๆ ที่มิได้ถูกกองทัพพม่าย่ำยี มีกำลังคน กำลังอาวุธ ก็ถือโอกาสตั้งตัวเป็นอิสระ เป็นชุมชนต่าง ๆ ขึ้น และหวังที่จะเป็นใหญ่ในเมืองไทยต่อไป ชุมนุมที่สำคัญมี ๕ ชุมนุม คือ ๑. ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) อาณาเขตตั้งแต่เมืองพิชัยลงมาจนถึงเมือง นครสวรรค์ ๒. ชุมนุมเจ้าพระฝาง (เรือน) อาณาเขตตั้งแต่เมืองเหนือพิชัยถึงเมืองแพร่ เมืองน่านและ เมืองหลวงพระบาง ๓. ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช มีอาณาเขตตอนใต้ต่อแดนมลายูขึ้นมาถึงเมืองชุมพร ๔. ชุมนุมเจ้าพิมายหรือกรมหมื่นเทพพิพิธ โอรสสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อกรุงศรี อยุธยาเสียแก่พม่า พระพิมายเจ้าเมืองถือราชตระกูลและมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จึงยกกรมหมื่นเทพพิพิธขึ้นเป็นใหญ่ ณ เมืองพิมาย ชุมนุมนี้มีอาณาเขตบริเวณหัวเมืองด้านตะวันออกเฉียงเหนือจดแดนลานช้าง กัมพูชา ตลอดลงมาจนถึงสระบุรี ดูจากอาณาเขตของชุมนุมพิมายในสมัยนี้แล้ว ครอบคลุมเมืองนครราชสีมาและเมืองชัยภูมิด้วย เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เมืองต่าง ๆ ที่อยู่ในอาณาบริเวณนี้ก็ตกอยู่ในอำนาจของกรมหมื่นเทพพิพิธแห่งชุมนุมพิมาย ๕. ชุมนุมพระยาตาก ตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองจันทบุรี มีอาณาเขตตั้งแต่แดนกรุงกัมพูชา ลงมาจนถึงชลบุรี พ.ศ. ๒๓๑๑ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ยกทัพมาปราบชุมนุมพิมายได้สำเร็จและให้ขึ้นต่อเมืองนครราชสีมาตามเดิมและในช่วง ๑๕ ปี ของสมัยธนบุรี ประวัติเมืองชัยภูมิไม่ได้กล่าวไว้เลย แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเขตเมืองพิมายและเมืองนครราชสีมาก็รวมอยู่เขตเมืองชัยภูมิและการปกครองก็มีรูปแบบเหมือนสมัยอยุธยาตอนปลาย เพราะฉะนั้นเมืองชัยภูมิก็ยังขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมา เช่นเดิมตลอดรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมท้องที่ชัยภูมิ มีผู้คนอาศัยมากพอควร กระจัดกระจายอาศัยอยู่ตามแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ อยู่ในความปกครองของเมืองนครราชสีมา ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าในสมัยนี้ใครเป็นผู้นำหรือเป็นเจ้าเมืองชัยภูมิ อาจจะเป็นเพราะในเขตนี้ผู้คนยังน้อย ยังไม่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนจึงยังไม่สมควรที่จะแต่งตั้งใครมาปกครองเป็นทางการได้ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๖๐ ได้มีขุนนางชาวเวียงจันทน์คนหนึ่งมีนามว่า อ้ายแล (แล) ตามประวัติเดิมมีตำแหน่งเป็นพี่เลี้ยงราชบุตรเจ้าอนุเวียงจันทน์ ได้ลาออกจากหน้าที่แล้วอพยพครอบครัวและไพร่พลชาวเมืองเวียงจันทน์ข้ามแม่น้ำโขง เลือกหาภูมิลำเนาที่เหมาะเพื่อตั้งหลักแหล่งทำมาหากินขั้นแรกตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้าน "น้ำขุ่นหนองอีจาน" (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา) ต่อมาได้อพยพมาอยู่ที่ "โนนน้ำอ้อม" (ทุกวันนี้ชาวบ้านเรียกบ้านชีลอง) โดยมีน้ำล้อมรอบจริง ๆ โนนน้ำอ้อมอยู่ระหว่างบ้านขี้เหล็กใหญ่กับบ้านหนองนาแซงกับบ้านโนนกอกห่างจากศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ ประมาณ ๖ กิโลเมตร และได้ตั้งหลักฐานมั่นคง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๒ คงใช้ชื่อเมืองตามเดิม คือเรียกว่าเมืองชัยภูมิ (เวลานั้นเขียนเป็นไชยภูมิ) นายแลได้นำพวกพ้องทนุบำรุงบ้านเมืองนั้นจนเจริญเป็นปึกแผ่น เป็นชัยภูมิทำเลที่เหมาะแก่การทำมาหากิน ผู้คนในถิ่นต่าง ๆ จึงพากันอพยพมาอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ถึง ๑๓ หมู่บ้าน คือ ๑. บ้านสามพัน ๒. บ้านบุ่งคล้า ๓. บ้านกุดตุ้ม ๔. บ้านบ่อหลุบ (ข้าง ๆ บ้านโพนทอง) ๕. บ้านบ่อแก ๖. บ้านนาเสียว (บ้านเสี้ยว) ๗. บ้านโนนโพธิ์ ๘. บ้านโพธิ์น้ำล้อม ๙. บ้านโพธิ์หญ้า ๑๐.บ้านหนองใหญ่ ๑๑.บ้านหลุบโพธิ์ ๑๒.บ้านกุดไผ่ (บ้านตลาดแร้ง) ๑๓.บ้านโนนไพหญ้า (บ้านร้างข้าง ๆ บ้านเมืองน้อย) นายแลได้เก็บส่วยผ้าขาวจากชายฉกรรจ์ ประมาณ ๖๐ คน ในหมู่บ้านเหล่านั้นไปบรรณาการแก่เจ้าอนุเวียงจันทน์ เจ้าอนุเวียงจันทน์จึงได้ปูนบำเหน็จความชอบตั้งให้นายแลเป็นที่ "ขุนภักดีชุมพล" ซึ่งเป็นตำแหน่งระดับหัวหน้าคุมหมู่บ้านขึ้นกับเวียงจันทน์ ในปี พ.ศ. ๒๓๖๕ ขุนภักดีชุมพล(แล) เห็นว่าบ้านโนนน้ำอ้อม (ชีลอง) ไม่เหมาะเพราะบริเวณคับแคบและอดน้ำ (น้ำสกปรก) จึงย้ายเมืองชัยภูมิมาตั้งที่แห่งหนึ่งระหว่างหนองปลาเฒ่ากับหนองหลอดต่อกัน (ห่างจากศาลากลางจังหวัดเวลานี้ประมาณ ๒ กิโลเมตร) และให้ชื่อบ้านใหม่นี้ว่า "บ้านหลวง" พ.ศ. ๒๓๖๖ ที่บ้านหลวงนี้ได้มีคนอพยพมาตั้งถิ่นฐานหนาแน่นขึ้นอีก มีชายฉกรรจ์ ๖๖๐ คนเศษ ขุนภักดีชุมพล (แล) ไปพบบ่อทองคำที่บริเวณเชิงเขาภูขี้เถ้า ที่ลำห้วยซาดเรียกว่า "บ่อโขโล" ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาพญาฝ่อ (พระยาพ่อ) อยู่ในท้องที่จังหวัดเพชรบูรณ์ จึงได้เกณฑ์ชายฉกรรจ์ทั้งปวงไปช่วยเก็บหาทอง มีครั้งหนึ่งที่ขุดร่อนทองอยู่ฝั่งแม่น้ำลำห้วยซาด ได้พบทองก้อนหนึ่งกลิ้งโข่โล่ ทุกวันนี้เสียงเพี้ยนมาเป็นบ่อโขโหล หรือบ่อโขะโหละ อยู่ในเขตอำเภอหนองบัวแดง (ภาชนะที่นายแลและลูกน้องใช้ร่อนทองคำนั้นเป็นภาชนะไม้รูปคล้ายงอบจับทำสวน ชาวบ้านเรียกว่า "บ้าง" หาได้ง่ายในจังหวัดชัยภูมิ) นายแลได้นำทองก้อนโข่โล่นั้นไปถวายเจ้าอนุเวียงจันทน์ ได้รับบำเหน็จความชอบคือได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองไชยภูมิ ในเวลานั้นเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองชัยภูมิเช่นเมืองสี่มุม เมืองเกษตรสมบูรณ์ เมืองภูเขียว ได้ขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมาและกรุงเทพมหานครหมดแล้ว ด้วยเกรงพระบรมเดชานุภาพ ขุนภักดีชุมพลจึงหันมาขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมาและส่งส่วยให้กรุงเทพฯ แต่บัดนั้นมา พ.ศ. ๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์เป็นขบถยึดเมืองนครราชสีมากวาดต้อนผู้คนไปเมือง เวียงจันทน์ เมื่อถึงทุ่งสัมฤทธิ์ คุณหญิงโมภรรยาเจ้าเมืองนครราชสีมาได้คุมคนลุกขึ้นต่อสู้กับทหารของเจ้าอนุวงศ์ นายแลเจ้าเมืองชัยภูมิพร้อมด้วยเจ้าเมืองใกล้เคียงได้ยกทัพออกไปสมทบกับคุณหญิงโมตีกระหนาบทัพเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์แตกพ่ายไป ฝ่ายทหารลาวที่ล่าถอยแตกพ่าย มีความแค้นนายแลมากที่เอาใจออกห่างมาเข้ากับไทย จึงยกพวกที่เหลือเข้าจับตัวนายแลที่เมืองชัยภูมิ เกลี้ยกล่อมให้เป็นพวกตน แต่นายแลไม่ยอมจึงถูกจับฆ่าเสียที่ใต้ต้นมะขามใหญ่ริมหนองปลาเฒ่าซึ่งประชาชนได้สร้างศาลไว้เป็นที่สักการะจนปัจจุบัน เมื่อพระยาภักดีชุมพล (แล) เจ้าเมืองชัยภูมิถึงแก่อนิจกรรมบ้านเมืองเกิดระส่ำระสายเพราะขาดหัวหน้าปกครอง ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๗๕ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง โปรดเกล้า ฯ ให้นายเกต มาเป็นเจ้าเมืองชัยภูมิ โดยตั้งให้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระภักดีชุมพล นายเกตเดิมเป็นชาวอยุธยา บ้านอยู่คลองสายบัวกรุงเก่า ตามประวัติเดิมว่าเป็นนักเทศน์ เคยเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พิจารณาเห็นว่าที่ตั้งเมืองชัยภูมิไม่เหมาะสม จึงได้ย้ายเมืองจากที่ตั้งเดิมมาตั้งอยู่ที่ "บ้านโนนปอปิด" (คือบ้านหนองบัวเมืองเก่าปัจจุบัน) และได้เก็บส่วยทองคำส่งกรุงเทพฯ เป็นบรรณาการ พระภักดีชุมพล (เกต) รับราชการสนองพระเดชพระคุณเรียบร้อยมาเป็นเวลา ๑๕ ปี ก็ถึงแก่อนิจกรรม หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:52:07 ชัยภูมิ ๒
พ.ศ. ๒๓๘๘ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าตั้งให้หลวงปลัด (เบี้ยว) รับราชการในตำแหน่งเจ้าเมืองได้ ๑๘ ปี ก็ถึงอนิจกรรม ลำดับต่อมาเกิดข้าวยากหมากแพง ผู้คนเกิดระส่ำระสาย อพยพแยกย้ายไปหากินในที่ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๖ พระยากำแหงสงคราม (เมฆ) ผู้ว่าราชการเมืองนครราชสีมาได้ส่งกรมการเมืองออกไปสอบสวนดูว่า มีข้าราชการเมืองไชยภูมิคนใดบ้างที่มีเชื้อสายเจ้าเมืองเก่า ก็ได้ความว่ามีอยู่ ๓ คน คือ ๑. หลวงวิเศษภักดี (ทิ) บุตรพระยาภักดีชุมพล (แล) ๒. หลวงยกบัตร (บุญจันทร์) บุตรพระภักดีชุมพล (เกต) ๓. หลวงขจรนพคุณบุตรพระภักดีชุมพล (เบี้ยว) พระยากำแหงสงคราม (เมฆ) จึงได้หาตัวกรมการทั้งสามดังกล่าวนำเข้าเฝ้าพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงพิจารณาหาตัวผู้เหมาะสมตำแหน่งเจ้าเมืองชัยภูมิ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้หลวงวิเศษภักดี (ทิ) เป็นพระภักดีชุมพลตำแหน่งเจ้าเมืองชัยภูมิ หลวงยกบัตรเป็นหลวงปลัด หลวงขจรนพคุณเป็นหลวงยกบัตร แล้วให้ป่าวร้องให้ราษฎรที่อพยพโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น กลับภูมิลำเนาเดิม ในสมัยพระภักดีชุมพล (ทิ) เป็นเจ้าเมืองนั้นพิจารณาเห็นว่าบ้านหินตั้งมีทำเลกว้างขวางเป็นชัยภูมิดี จึงย้ายตัวเมืองจากบ้านโนนปอปิด มาตั้งเมืองใหม่ที่บ้านหินตั้งและมาอยู่จนทุกวันนี้ พระภักดีชุมพล (ทิ) รับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยดีเป็นเวลา ๑๒ ปี ก็ถึงแก่อนิจกรรม พ.ศ. ๒๔๑๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ตั้งหลวงปลัด (บุญจันทน์) บุตรพระภักดีชุมพล(เกต) เป็นพระภักดีชุมพล ตำแหน่งเจ้าเมืองไชยภูมิสืบต่อมา ในระยะเวลานี้การส่งส่วยเงินยังค้างอยู่มาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เก็บส่งลดลงกว่าเดิมเป็นคนละ ๔ บาท พระภักดีชุมพล (บุญจันทร์) รับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความเรียบร้อย ๑๓ ปี ก็ถึงแก่อนิจกรรม พ.ศ. ๒๔๓๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้หลวงภักดีสุนทร (เสง) บุตรหลวงขจรนพคุณเป็นพระภักดีชุมพล ตำแหน่งเจ้าเมืองไชยภูมิสืบต่อมา และได้ออกจากราชการเพราะชราภาพ รับเบี้ยหวัดปีละ ๑ ชั่ง . การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระหฤทัย (บัว) มาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองชัยภูมิ ได้เปลี่ยนเขตเมืองชัยภูมิเสียใหม่ โดยยกท้องที่เมืองสี่มุม (ปัจจุบันคืออำเภอจัตุรัส เหตุที่เรียกเมืองสี่มุมเพราะเรียกตามชื่อสระสี่เหลี่ยม) เมืองบำเหน็จณรงค์ เมืองภูเขียว เมืองเกษตรสมบูรณ์ ซึ่งเดิมขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมาให้ยุบเป็นอำเภอขึ้นต่อเมืองชัยภูมิ เมื่อรวมทั้งอำเภอเมืองชัยภูมิด้วยเป็น ๕ อำเภอ พระหฤทัย (บัว) จัดการบ้านเมืองอยู่ ๔ ปีเศษ เมื่อราชการบ้านเมืองเรียบร้อยแล้วโปรดเกล้า ฯ ให้กลับกรุงเทพฯ ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติระเบียบแบ่งเขตหัวเมืองต่าง ๆ ใหม่เป็นมณฑลเป็นจังหวัดเมืองชัยภูมิเป็นจังหวัดหนึ่งอยู่ในเขตมณฑลนครราชสีมา ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติแบ่งเขตการปกครองแผ่นดิน ให้ยุบมณฑลทั้งหมดเป็นจังหวัด เมืองชัยภูมิเป็นจังหวัดหนึ่งซึ่งมีเจ้าเมืองหรือข้าหลวง หรือ ผู้ว่าราชการรับผิดชอบในการบริหารแผ่นดินจนถึงปัจจุบันนี้ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัด อำเภอจังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหารเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลด้วย เมื่อได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย สาเหตุที่ยกเลิกก็เนื่องจากการคมนาคมสะดวกขึ้นการสื่อสารรวดเร็ว เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน และรัฐบาลมุ่งกระจายอำนาจไปสู่ส่วนภูมิภาคมากขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัด มีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือให้จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล อำนาจบริหารในจังหวัดได้เปลี่ยนมาอยู่กับคน ๆ เดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดโดยมีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษา และได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค เป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้งยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติและให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ๆ ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดชัยภูมิ. กทม : ห้างหุ้นส่วนจำกัดมิตรเจริญการพิมพ์, ๒๕๒๖. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:52:31 เลย
ประวัติความเป็นมาของจังหวัดเลยเพิ่งจะมีปรากฏแน่ชัดในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอม-เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองเลยขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๖ ส่วนประวัติความเป็นมาของจังหวัดก่อนหน้านี้เป็นเพียงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในระดับหมู่บ้านและการสร้างบ้านแปลงเมืองซึ่งเป็นเมืองโบราณในท้องที่จังหวัดเลยปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านและเมืองเหล่านี้ก็เป็นหลักฐานที่ได้จากคำบอกเล่าสืบต่อกันมา โดยอาจได้รับการบันทึกไว้ในรูปของสมุดข่อยคัมภีร์ใบลาน รวมทั้งพงศาวดาร ซึ่งย่อมจะมีสาระรายละเอียดที่ไม่ตรงกันนัก เพราะเป็นการบันทึกจากคำบอกเล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วคน ตลอดทั้งหลักฐานประเภทจารึก เช่น ศิลาจารึก จารึกที่ฐานพระเจดีย์ เป็นต้น ก็มักเป็นจารึกที่จัดทำขึ้นใหม่แทนของเก่าที่สูญหายไป สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ดินแดนที่เป็นที่ตั้งของประเทศไทยปัจจุบัน เคยเป็นที่อยู่ของชนเผ่าพื้นเมืองหลายกลุ่ม มี ละว้า มอญ ขอม เป็นต้น ต่อมาจึงมีหลักฐานเกี่ยวกับการอพยพของชนเผ่าไทยเข้ามายังดินแดนนี้ ชนเผ่าพื้นเมืองและชนเผ่าไทยได้ตั้งถิ่นฐานจนก่อตั้งเป็นอาณาจักรใหญ่กระจายอยู่ทั้วทุกทิศ เช่น อาณาจักรโยนก อาณาจักรทวาราวดี และอาณาจักรอิสานปุระเป็นต้น กลุ่มชนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในท้องที่ที่เป็นจังหวัดเลยจนสร้างบ้านแปลงเมืองได้เป็นกลุ่มแรกนั้นเชื่อกันว่า เป็นชนเผ่าไทยที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่ก่อตั้งอาณาจักรโยนก อาณาจักรโยนกเป็นอาณาจักรใหญ่ครอบครองดินแดนทางภาคเหนือของประเทศไทย ตลอดไปจนถึงดินแดนแคว้นตังเกี๋ยของประเทศจีนและรัฐฉานของพม่า มีอายุอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒๑๘ ตำนานสิงหนวัติกล่าวว่า ปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรนี้ทรงพระนามว่า พญาสิงหนวัติ เป็นเจ้าชายอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน อพยพผู้คนลงมาสร้างอาณาจักรโยนก กษัตริย์ในราชวงศ์พระเจ้าสิงหนวัติปกครองโยนกนครสืบมาจนถึงสมัยพระองค์พังค-ราช พวกขอมดำซึ่งมีอำนาจอยู่ทางใต้ของอาณาจักรโยนกตีได้โยนกนคร พระองค์พังคราชต้องอพยพผู้คนไปตั้งเมืองใหม่ที่เวียงสีทวง ๑๙ ปี พรหมกุมารราชโอรสจึงปราบปรามขอมดำขับไล่ออกไปจากอาณาจักรแล้วอัญเชิญพระองค์พังคราชกลับมาปกครองโยนกนครใหม่ ส่วนพรหมกุมารหรือพระเจ้าพรหมตามที่ขนานนามในภายหลังได้สร้างเมืองชัยปราการที่ริมแม่น้ำฝาง ทำให้อาณาจักรโยนกเชียงแสนมีอำนาจยิ่งขึ้น พระเจ้าพรหมครองเมืองชัยปราการจนสวรรคตแล้ว พระองค์ชัยศิริราชโอรสครองราชย์สืบต่อมา ในสมัยนี้พระเจ้าอนุรุทมหาราช กษัตริย์พม่ามีอำนาจยิ่งใหญ่ตีได้อาณาจักรโยนกและเมืองชัยปราการไว้ในอำนาจ พระองค์ชัยศิริก็อพยพผู้คนลงใต้อันเป็นดินแดนของพวกมอญและขอม เมื่อ พ.ศ. ๑๕๔๗ การตั้งเมืองด่านซ้าย เมื่ออาณาจักรโยนกล่มสลายแล้ว ชาวโยนกเชียงแสนที่รักอิสระต่างพากันอพยพไปหาถิ่นที่อยู่ใหม่ บางพวกอพยพไปรวมกำลังกับพระองค์ชัยศิริ บางพวกก็อพยพไปหาที่อยู่อาศัยทางแคว้นพางคำ พ่อขุนบางกลางหาว และพ่อขุนผาเมือง (เชื่อถือกันว่าเป็นเชื้อสายราชวงศ์สิงหนวัติ) ได้นำผู้คนอพยพมุ่งลงไปทางทิศตะวันออก เมื่อเข้าสู่ดินแดนลานช้างแล้วจึงบ่ายหน้าลงไปทางทิศใต้ (สันนิษฐานว่าจะนำผู้คนอพยพผ่านไปตามหมู่บ้านห้วยไฮ ห้วยลึก นากอก บ้านเมืองฮำและเมืองบ่อแตน ปัจจุบันอยู่ในแขวงไชยบุรี ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) แล้วนำไพร่พลข้ามลำน้ำเหืองขึ้นไปทางฝั่งขวาของลำน้ำหมัน จนถึงบริเวณที่ราบจึงได้พากันหยุดพัก ส่วนพ่อขุนผาเมืองได้ตั้งบ้านด่านขวา (ปัจจุบันอยู่ในบริเวณชายเนินนาด่านขวาซึ่งยังมีซากวัดเก่าอยู่ในแปลงนาของเอกชน ระหว่างหมู่บ้านหัวแหลมกับหมู่บ้านนาเบี้ย อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย) และพ่อขุนบางกลางหาวได้แบ่งไพร่พลข้ามลำน้ำหมันไปทางฝั่งซ้ายสร้างบ้านด่านซ้าย (สันนิษฐานว่าจะอยู่ในบริเวณหมู่บ้านเก่า อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลยในปัจจุบัน) แล้วต่อมาจึงได้อพยพเลื่อนขึ้นไปตามลำน้ำไปสร้างบ้านหนองคูซึ่งอยู่ทางทิศใต้ เมื่อมีกำลังคนมากขึ้นจึงคิดที่จะขยับขยายไปหาถิ่นที่อยู่อาศัยใหม่ ครั้นได้นำเอานามหมู่บ้านด่านซ้ายมาขนานนามให้หมู่บ้านหนองคูเสียใหม่เป็น เมืองด่านซ้าย แล้วจึงนำไพร่พลอพยพไปเมืองบางยาง (เชื่อว่าอยู่ในเขตอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก) ส่วนพ่อขุนผาเมืองขณะที่พ่อขุนบางกลางหาวเลื่อนขึ้นไปตั้งหมู่บ้านหนองคู พ่อขุนผาเมืองก็ได้นำผู้คนอพยพออกจากบ้านด่านขวาข้ามภูน้ำรินไปตั้งเมืองโปงถ้ำและอพยพต่อไปตั้งเมืองภูครั่ง (โปงถ้ำสันนิษฐานว่าเป็นถ้ำเขียะในปัจจุบัน เป็นถ้ำเล็ก ๆ อยู่ข้างถนนสายเลย-ด่านซ้าย ห่างจากหมู่บ้านโคกงามไปทางด่านซ้ายประมาณ ๑ กิโลเมตร และบริเวณที่หยุดพักไพร่พลตั้งเมืองเป็นการชั่วคราวคงจะเป็นที่เนินด้านขวาของทางหลวงสายโคกงาม-ด่านซ้าย อยู่ในความควบคุมของแขวงการทางด่านซ้าย ต่อมาได้อพยพไปสร้างเมืองบนภูครั่งซึ่งเป็นที่ราบอยู่บนยอดเขาภูครั่ง ภูครั่งเป็นภูเขาลูกใหญ่มีพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่อยู่บนยอดเขา อยู่ตรงข้ามกับที่ว่าการอำเภอภูเรือ และอยู่ทางด้านทิศใต้ของหมู่บ้านหนองบัว ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอภูเรือ จังหวัดเลย อนึ่งคำว่า เขียะ นั้นหมายถึงจั๊กจั่นชนิดหนึ่งแต่ตัวเป็นสีเขียว) ครั้นพ่อขุนบางกลางหาวได้พาผู้คนอพยพไปอยู่ที่เมืองบางยางแล้ว พ่อขุนผาเมืองจึงได้อพยพผู้คนติดตามไปจนไปตั้งหลักแหล่งได้ที่เมืองราด (เชื่อว่าเป็นเมืองศรีเทพ อยู่ในท้องที่อำเภอศรีเทพและอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์) โดยมีพ่อขุนบางกลางหาวเป็นผู้ปกครองเมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมืองเป็นผู้ปกครองเมืองราด ขณะเมื่อพ่อขุนบางกลางหาวปกครองเมืองบางยาง ก็ได้ตั้งเมืองด่านซ้ายเป็นเมืองหน้าด่านทางตะวันออกตามราชธานีสมัยโบราณด้วย การตั้งเมืองเซไล ชาวไทยที่มีผู้นำสืบเชื้อสายมาจากเจ้าผู้ครองอาณาจักรโยนกอีกกลุ่มหนึ่ง ได้อพยพมาตั้งบ้านเรือนระหว่างชายแดนตอนใต้ของอาณาเขตลานนาไทยต่อแดนลานช้าง คนไทยกลุ่มนี้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ สืบเชื้อสายต่อมาหลายชั่วอายุคน จนถึงสมัยที่พระมหาธรรมราชาที่ ๑ ลิไท ปกครองอาณาจักรสุโขทัย เนื่องจากการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพญาลิไท ใน พ.ศ.๑๘๙๐ นั้น มิได้เป็นไปอย่างราบรื่น ดังปรากฏในจารึกวัดป่ามะม่วง (หลักที่ ๔) ว่าเมื่อพญาเลอไทสวรรคตแล้ว พญาลิไท ซึ่งเป็นอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัย ต้องยกทัพมาล้อมเมืองสุโขทัย และเอาขวานประหารศัตรูทั้งหลายแล้วจึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติกรุงสุโขทัย ในระยะแรกครองราชย์ พญาลิไทต้องปราบปรามพวกพ้องของผู้คิดชิงอำนาจ พร้อมกับการทำนุบำรุงบ้านเมือง ชาวไทยกลุ่มที่ตั้งบ้านเรือนอยู่เขตชายแดนอาณาจักรลาน-นาต่อแดนลานช้าง จึงเกรงว่าพญาลิไทอาจจะทรงคิดกอบกู้พระราชอำนาจ ยกทัพมาปราบปรามหัวเมืองทางด้านนี้ และมีความเห็นว่าหมู่บ้านของตนเป็นทางผ่านและอยู่ใกล้แดนลานช้าง ทั้งตนเองก็ได้ผูกสัมพันธไมตรีมีความสนิทสนมรักใคร่เป็นสหายต่อกันกับเจ้าชีวิตเมืองหลวงพระบางจึงคิดที่จะขจัดปัญหายุ่งยากซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นทั้งสองฝ่ายให้หมดสิ้นไป จึงนำผู้คนอพยพออกเดินทางผ่านเข้าไปในแดนลานช้างของพระสหายซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก แล้วจึงมุ่งหน้าเดินลงไปทางทิศใต้ เมื่อข้ามลำแม่น้ำใหญ่ (แม่น้ำเหือง) ได้แล้วก็วกลงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ครั้นไปถึงริมแม่น้ำสายใหญ่เห็นมีชัยภูมิเหมาะสมในการตั้งถิ่นฐาน จึงได้พาผู้คนหยุดพักสร้างบ้านตั้งเมืองขึ้นโดยให้ชื่อว่า เมืองเซไล (คำว่า เซ ในภาษาท้องถิ่นสมัยนั้น ใช้เรียกแม่น้ำขนาดย่อม หรือลำห้วยขนาดใหญ่ ซึ่งไปตรงกับคำว่า แคว ในภาษาของภาคกลาง ส่วนคำว่า ไล ไหล หรือเลอว อันเป็นสำเนียงเสียงพูดของผู้คนในสมัยนั้น สันนิษฐานว่า คงจะหมายถึงลักษณะของน้ำที่กำลังไหล หรือชำระล้างสิ่งต่าง ๆ ดังนั้นคำว่า เซไล ก็คงจะหมายถึงน้ำที่กำลังไหลเชี่ยวหรือชะสิ่งต่าง ๆ นั่นเอง ผู้นำในการอพยพจนสร้างเมืองเซไลครั้งนั้น แม้จะมีฐานะเป็นเพียงนายบ้านผู้ปกครองหมู่บ้านแต่ก็คงจะเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์สิงหนวัติเช่นกัน เพราะในยุคนั้นมีคำเรียกขานผู้นำว่า เจ้าฟ้าร่มขาว คำว่า เจ้าฟ้า แสดงฐานะความเป็นเจ้าผู้ครองนคร ร่มขาว ก็คือ ร่มหรือสัปทนที่ทำด้วยผ้าขาว ซึ่งใช้กางกั้นเป็นเครื่องประกอบอิสริยยศของผู้มียศศักดิ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม การอพยพลงไปจนตั้งเมืองเซไลโดยเจ้าฟ้าร่มขาวนั้น สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นนายบ้าน ซึ่งเป็นบิดาของเจ้าฟ้าร่มขาว เป็นผู้นำในการอพยพ ทั้งนี้ จากหลักฐานการสร้างวัดกู่ ซึ่งเป็นวัดดั้งเดิมสร้างขึ้นในบริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหอโฮงการ และอยู่ริมฝั่งเซไล (ปัจจุบันยังพอมีซากอิฐหลงเหลือไว้ให้พบเห็น) สำหรับชื่อเมืองว่าเซไลนั้น คงจะเนื่องมาจากความอุดมสมบูรณ์ที่ได้มาพบอยู่สองฟากฝั่งเซไลและชื่อแม่น้ำแห่งนี้ก็ไม่มีมาก่อน นอกจากคำว่าเซไลซึ่งเกิดมาจากคำอุทานที่ผู้คนอพยพทั้งหลายได้มาพบเห็นในการเดินทางมาแสนไกลแล้วได้มาหยุดพักลงอาบกิน ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทั้งหลายที่มีมาเหือดหายไปจนหมดสิ้น ต่างเลยพากันถือเอาคำอุทานมาเป็นชื่อของเมืองและของแม่น้ำถือเป็นศิริมงคลแก่พวกของตนแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองเซไลที่ได้สร้างขึ้นในสมัยนั้นไม่มีกำแพง ป้อมปราการ หรือปราสาทราชมณเฑียรแต่อย่างใดคงมีแต่หอโฮงการซึ่งเป็นโรงเรือนขนาดใหญ่ใช้เป็นทั้งที่พักและที่ว่าการเมืองของเจ้าผู้ครองเมืองเท่านั้น (หอโฮงที่ได้ก่อสร้างในสมัยนั้น ถึงจะไม่มีซากปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐานแต่ก็สันนิษฐานว่าคงจะอยู่ในบริเวณหอหลวง อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านทรายขาวในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ห่างจากวัดกู่คำ และพระธาตุกุดเรือคำไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ตามลำน้ำเลย ๒๐๐ เมตรเศษ ในท้องที่หมู่บ้านทรายขาว ตำบลทรายขาว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย) สำหรับบ้านเรือนของราษฎรให้ปลูกสร้างเรียงรายขึ้นไปทางทิศเหนือ จนไปจดชายเขตหนองน้ำเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ต่อมาเจ้าเมืองได้นำชาวเมืองสร้างวัดขึ้นทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหอโฮงการเมื่อปีพุทธศักราช ๑๙๐๐ ให้ชื่อว่า วัดกู่ (วัดกู่ซึ่งได้สร้างขึ้นในสมัยโบราณนั้นปัจจุบันยังพอมีซากอิฐเหลืออยู่ริมฝั่งแม่น้ำเลย บางส่วนอยู่ในบริเวณหอหลวงของชาวบ้านทรายขาว) ระหว่างที่นำผู้คนบุกเบิกสร้างบ้านเมืองใหม่ริมฝั่งเซไล เจ้าเมืองคนแรกของเมืองเซไลก็ได้ไปมาหาสู่เจ้าชีวิตเมืองหลวงพระบางพระสหายอยู่ไม่ขาด หลังจากสร้างวัดกู่เสร็จเรียบร้อยลงไปได้หลายปี นายบ้านจึงมีบุตรชายซึ่งเกิดจากภรรยาผู้มีเชื้อสายเดียวกันหนึ่งคน ระหว่างนั้นเจ้าชีวิตเมืองหลวงพระบางก็ได้ลงมาเยี่ยม ครั้นได้มารู้ว่านายบ้านได้บุตรชายทั้งเกิดในวันเวลาเดียวกันกับบุตรชายของตน ซึ่งเกิดจากมเหสีเอกก็ยินดีเป็นยิ่งนัก จึงให้ผูกสัมพันธ์กันไว้เช่นตนทั้งสอง นายบ้านได้เฝ้ารักษาเลี้ยงดูบุตรชายมิว่าจะไปมาในที่ใด ๆ นายบ้านผู้เป็นบิดาก็ให้ผู้คนคอยติดตามไปกางร่ม (สัปทน) สีขาวกันแดดบังฝนจนเป็นสมญาเรียกกันในหมู่ชาวเมืองเซไลว่า "เจ้าฟ้าร่มขาว" ครั้นเจ้าฟ้าร่มขาวเติบใหญ่จนถึงวัยบวชเรียน บิดาก็ถึงแก่มรณกรรมด้วยโรคชราทั้งตรากตรำทำงานหนักมากเกินไป เจ้าฟ้าร่มขาวบุตรชายก็ได้ขึ้นครองเมืองเซไลแทนบิดาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา (ประมาณพ.ศ.๑๙๓๕) ครั้นเจ้าฟ้าร่มขาวได้ขึ้นครองเมืองเซไล ได้นำชาวเมืองเซไลพัฒนาบ้านเมืองด้วยการขุดลอกหนองน้ำเล็กทางชายเมืองด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และนำดินส่วนใหญ่มาถมยกระดับที่ลุ่มทางด้านทิศใต้ใกล้ฝั่งน้ำให้เป็นสันคันคูกั้นน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง เมื่อการขุดลอกขยายหนองน้ำเล็ก ๆ ออกไปจนกว้างขวางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ชาวเมืองไปหาพันธุ์บัวหลวงมาลงปลูกเอาไว้ แล้วขนานนามว่า "สระบัวหลวง" มาจนกระทั่งทุกวันนี้หลังจากนั้นก็ได้พิจารณาเห็นว่า "วัดกู่" ที่บิดาสร้างเอาไว้ใกล้หอโฮงการด้านริมฝั่งเซไล ได้ถูกน้ำเซาะกัดเข้ามาจนจะถึงตัวพระอุโบสถ มิวันใดวันหนึ่งคงต้องพังทลายลงไปตามกระแสเซไล พอดีในระหว่างนั้นเจ้าฟ้าร่มขาวได้บุตรชาย ซึ่งกำเนิดจากนางเทวี หนึ่งคนในขณะที่อายุล่วงเลยวัยกลางคนไปแล้ว เลยให้ชื่อว่า "ท้าวหล้าน้ำ" เจ้าชีวิตเมืองหลวงพระบางก็ได้ลงมาเยี่ยมและต่อจากนั้นมาอีกไม่นาน เจ้าชีวิตเมืองหลวงพระบางได้ทิวงคตในระยะที่เมืองเซไลได้ก่อสร้างวัดขึ้นบนสันคันคูด้านทิศใต้ของสระบัวหลวง ก็ได้มีเหตุแปลกประหลาดเกิดขึ้นคือ มีเรือทองคำปราศจากฝีพายเป็นพาหนะนำอัฐิเจ้าชีวิตเมืองหลวงพระบางมาถึงเมืองเซไล แล้วเรือได้พุ่งเข้าฝั่งเพื่อจอดแต่ความแรงหัวเรือได้พุ่งเข้าหาตลิ่งไปโผล่ขึ้นบนฝั่งทางด้านหน้าวัดใหม่ที่กำลังสร้าง เจ้าฟ้าร่มขาวเกรงชาวเมืองจะมาทำลายเลยให้ก่อสถูปครอบหัวเรือทองคำเอาไว้ ส่วนอัฐิของเจ้าชีวิตเมืองหลวงพระบางพระสหายก็ให้นำไปเก็บไว้ในหอโฮงการ รวมไว้กับอัฐิบิดาของตน เมื่อการก่อสร้างวัดและสถูปเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้ขนานนามวัดว่า "วัดกู่คำ" และขนานนามพระสถูปซึ่งสร้างครอบหัวเรือทองคำว่า "พระธาตุกุดเรือคำ" ซึ่งสร้างเสร็จราว พ.ศ.๒๐๐๐ แต่ตามหลักฐานซึ่งได้จารึกเอาไว้ที่วัดกู่คำว่าสร้างเมื่อ พ.ศ.๑๙๐๐ นั้น สันนิษฐานว่า เจ้าฟ้าร่มขาวประสงค์ให้ชาวเมืองทั้งหลายได้รำลึกถึงคุณความดีของบิดา ซึ่งนำพาผู้คนอพยพลงมาบุกเบิกสร้างบ้านเมือง จนได้ตั้งเมืองเซไลและสร้างวัดกู่ขึ้นไว้เป็นวัดแรก เมื่อปี พ.ศ.๑๙๐๐ ถึงวัดกู่จะพังทลายลงไปในกระแสแม่น้ำเลยตามกาลเวลา และเจ้าฟ้าร่มขาวก็ได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ โดยเจตนาจะนำชื่อวัดเก่ามาตั้งเป็นชื่อวัดที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งพอดีกับเจ้าชีวิตเมืองหลวงพระบางทิวงคต ด้วยความรักกันอย่างแน่นแฟ้น ถึงจะมีแต่เพียงกระดูกหรือเถ้าถ่านก็ยังมาถึงกัน เจ้าฟ้าร่มขาวก็จึงนำเอาชื่อของทั้งสองมารวมเข้าด้วยกันแล้วตั้งเป็นชื่อวัดว่า "วัดกู่คำ" แต่นำเอา พ.ศ.๑๙๐๐ ซึ่งเป็นปีที่ตั้งวัดกู่ของบิดามาจารึกเอาไว้เป็นอนุสรณ์ ส่วนคำจารึกซึ่งติดไว้ที่ป้ายพระธาตุกุดเรือคำ ซึ่งได้มีการบูรณะปั้นด้วยปูนพอกสถูปองค์เดิมขึ้นใหม่จนผิดรูปผิดร่างเดิมไปด้วยฝีมือของหลวงพ่อเนียม ชาวบ้านนาโป่ง ตำบลนาโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดเลย ซึ่งได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดกู่คำ ราวปี พ.ศ.๒๕๑๙ ต่อมาได้ถึงแก่มรณภาพที่วัดบ้านเกิด หลวงพ่อเนียมได้ทำการบูรณะด้วยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้มีความมั่นคงและสวยงาม จึงได้มีการเสริมรูปร่างขององค์พระสถูปให้แปลกตาออกไป ในคำจารึกที่แผ่นป้ายบอกไว้ว่า "สร้างเมื่อ พ.ศ.๑๒๐๐" นั้น เป็นการจารึกผิดพลาดอย่างแน่นอน พระธาตุกุดเรือคำน่าจะสร้างราว พ.ศ.๒๐๐๐ มากกว่า บันทึกในสมุดข่อยที่นายหำ อุทธตรี หรือ "พ่อตู้แพทย์" แห่งบ้านทรายขาว ตำบลทรายขาว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย พบในขณะบรรพชา เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๑ ที่วัดกู่คำ บ้านทรายขาว กล่าวถึงการปกครองเมืองเซไลโดยแบ่งออกเป็น ๕ ยุค ดังนี้ ยุคที่ ๑ เจ้าฟ้าร่มขาว มีภรรยาชื่อนางเทวี เชื้อสายเดียวกัน มีบุตรชายหนึ่งคนชื่อ "ท้าวหล้าน้ำ" มีเหตุการณ์ที่สำคัญคือ ๑.๑ ขุดลอกหนองน้ำ นำบัวลงปลูกให้ชื่อว่า "สระบัวหลวง" ๑.๒ สร้างพระธาตุกุดเรือคำ ยุคที่ ๒ ท้าวหล้าน้ำ มีภรรยาเป็นชาวเมืองเซไล ชื่อ นางหล้า และมีบุตรชาย หญิง ๒ คน ชื่อ "ท้าวศิลา และนางชฎา" เล่ากันว่า นางหล้าเป็นลูกของนางสีดาซึ่งเกิดมาจากนางสีดา ได้ไปดื่มน้ำในรอยเท้าช้างชื่อมโนศิลา และรอยเท้ากวาง นางสีดาให้กำเนิดบุตรีฝาแฝดผู้พี่ชื่อนางหล้า ผู้น้องชื่อนางลุน และผู้น้องได้มาเสียชีวิตลงในคราวเดินเสี่ยงทางไต่งวงงาของพญาช้าง เลยเหลือแต่นางหล้าซึ่งเป็นลูกของช้าง และต่อมานางหล้าก็คือนางผมหอมซึ่งมีนิวาสถานอยู่ที่ภูหอ สัญลักษณ์กิ่งอำเภอภูหลวง ในปัจจุบันนี้ ในสมัยของท้าวหล้าน้ำได้มีเหตุการณ์ที่สำคัญดังต่อไปนี้ ๒.๑ สร้างวัดเทิง (ปัจจุบันเป็นวัดร้างมีเหลือซากอิฐและหุ่นพระประธานอยู่ข้างที่ทำ การประปาบาดาลบ้านทรายขาว ตำบลทรายขาว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย) ๒.๒ เมืองเซไล มีชื่อเรียกเป็นสร้อยต่อว่า "เซไลไซ้ข่าว" ทั้งนี้เนื่องจากคล้ายเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองลม (หล่มสักเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์) ซึ่งจะต้องสืบข่าวคราวหรือส่งข่าวไปยังเมืองลม ยุคที่ ๓ ท้าวศิลา มีภรรยาชื่อนางสุขุม มีเชื้อสายเป็นชาวเมืองหลวงพระบาง มีลูกชายหนึ่งคนชื่อ "ท้าวสายเดือน" มีเหตุการณ์ที่สำคัญดังต่อไปนี้ ๓.๑ สร้างวัดทุ่ง หรือในปัจจุบันนี้เรียก "ทุ่งนาคันทง" แต่เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่หลักฐานอันสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่พอจะมีเหลือไว้ให้ได้เห็นคือต้นโพธิ์ อยู่ในบริเวณสวนกล้วยของเอกชนลึกเข้าไปทางซ้ายของทางหลวงจังหวัด สายวังสะพุง-ทรายขาว ประมาณ ๑๕ เมตร และอยู่ห่างจากหมู่บ้านทรายขาว ตำบลทรายขาว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ประมาณ ๕๐๐ เมตร ๓.๒ ในยุคนี้เมืองเซไลมีสร้อยเรียกต่อไปใหม่ "เซไลส่วยขาว" เนื่องจากชาวเมืองเซไลแต่ละครัวเรือนจะต้องส่งส่วยด้วยผ้าขาวเรือนละ ๑ วา (ประมาณ ๒ เมตร) ส่วนการส่งส่วยผ้าขาวจะได้ส่งไปทางกรุงศรีอยุธยาหรือเมืองหลวงพระบางยังไม่มีหลักฐานระบุให้แน่ชัด ยุคที่ ๔ ท้าวสายเดือน มีภรรยาเชื้อสายเดียวกันกับมารดาชื่อ นางบัวเซีย มีบุตรชายหนึ่งคนชื่อ "ท้าวเดือนสุข" และมีเหตุการณ์ที่สำคัญคือ ๔.๑ สร้างวัดตาล (ปัจจุบันคือวัดโพธิ์เย็นซึ่งอยู่ด้านหลังวัดกู่คำ ห่างประมาณ ๒๐๐ เมตร) ๔.๒ ชาวเมืองเซไลยังต้องส่งส่วยผ้าขาวอยู่เป็นประจำ ยุคที่ ๕ ท้าวเตือนสุขมีภรรยาเชื้อสายเดียวกันกับมารดาชื่อ นางบัวลม (ไม่ปรากฏว่ามีบุตร) มีเหตุการณ์ที่สำคัญคือ ๕.๑ ท้าวเตือนสุขได้ครองเมืองเซไลด้วยความสงบร่มเย็นมาจนอายุล่วงเลยวัยกลางคน เมืองเซไลก็เกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพงฝนฟ้าไม่ตกชาวเมืองไม่ได้ทำนามาหลายปี ทั้งมีโรคระบาดเกิดขึ้นโดยทั่วไป ชาวเมืองได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง จึงได้พากันไปเรียนท้าวเตือนสุขให้พิจารณาหาทางแก้ไข ท้าวเตือนสุขได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเมืองเซไลได้มาถึงกาลเวลาดับสิ้น จึงได้เกิดเหตุอาเพศขึ้นมาเช่นนี้จึงได้พาผู้คนอพยพออกจากเมืองเซไลเพื่อแสวงหาที่อยู่ใหม่ โดยได้พากันเดินทางลงไปตามลำแม่เซไล ครั้นไปถึงบริเวณที่ราบแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างปากลำห้วยไหลตกแม่เซไล เห็นมีชัยภูมิเหมาะสมในการตั้งบ้านเรือนประกอบกับท้องน้ำของลำห้วยก็อุดมไปด้วยสารแร่ทองคำ จึงให้ผู้คนที่อพยพมาตั้งหลักฐานสร้างบ้านเรือนขึ้นอยู่อาศัย เสร็จแล้วได้ขนานนามหมู่บ้านใหม่ตามสภาพที่ตนได้พาผู้คนมาอยู่อาศัยว่า "บ้านแห่" ส่วนลำห้วยก็ให้ชื่อว่า "ห้วยหมาน" (คำว่า "แห่" ภาษาและสำเนียงเสียงพูดของชาวอีสานนั้น บางคำที่ใช้พยัญชนะ "ห" นำ จะเป็นตัว "ฮ" คำว่า "แห่" จึงเป็น "แฮ่" ด้วย ซึ่งมีความหมายเดียวกัน แต่นายแพทย์อุเทือง ทิพรส นายแพทย์สาธารณสุขคนแรกของจังหวัดเลย ได้เขียนไว้ในเรื่องบ้าน "แฮ่" ว่า เนื่องจากในท้องน้ำหมานมีสารแร่ทองคำ จึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านของพวกตนว่า "บ้านแฮ่" ทั้งนี้เพราะตัว "ร" ของชาวอีสานนั้นคือตัว "ฮ" นั่นเอง ซึ่งก็ถูกด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ในการตั้งชื่อลงทะเบียนหมู่บ้าน ผู้จัดทำฟังสำเนียงชาวอีสานไม่เข้าใจ "บ้านแห่" จึงกลายเป็น "บ้านแฮ่" มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ส่วนคำว่า "หมาน" ความหมายในภาษาอีสานนั้นหมายถึงความมีโชคดีเป็นต้น) ๕.๒ ครั้นพาผู้คนสร้างบ้านตั้งถิ่นฐานได้มั่นคงพอสมควร ท้าวเตือนสุขจึงนำชาวบ้านสร้างวัด เสร็จแล้วขนานนามวัดที่สร้างขึ้นใหม่ให้เป็นศิริมงคลแก่หมู่บ้านของตนว่า "วัดศรีภูมิ" (สร้างปีพุทธ-ศักราช ๒๒๒๐) เมื่อได้พากันสร้างวัดเสร็จแล้ว ต่อมาราว ๒ ปี จึงได้พากันหล่อพระประธานด้วยโลหะขึ้นอีกองค์หนึ่งด้วยฝีมือช่างจากทางเหนือ (ซึ่งจะเห็นได้จากฝีมือช่างสกุลลานนากับลานช้างผสมกัน โดยถือเอาแบบเชียงแสนยุคปลายสังฆาฏิยาวพระพักตร์กลมค่อนข้างแป้นและสั้น เปลวรัศมียอดพระเศียรยาว พระวรกายไม่สง่าดังพระพุทธรูปแบบเชียงแสนทั่วไป และโลหะที่ใช้หล่อคงจะไม่พอ ดังจะเห็นได้จากสีของโลหะที่องค์พระจากฐานถึงพระศอจะเป็นนาก ซึ่งเป็นการหล่อชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งต่างหาก ส่วนพระพักตร์และพระรัศมีนั้น สีของนากจะอ่อนไปจึงเป็นสีค่อนข้างเหลืองมองด้วยตาเปล่าเห็นได้เด่นชัด ซึ่งก็เป็นการหล่อที่แปลก แต่ก็เป็นวัตถุโบราณที่มีคุณค่าสูงสุดชิ้นหนึ่งของชาวเมืองเลยที่ได้มีการสร้างขึ้นมาเมื่อปีพุทธสักราช ๒๒๒๒ เป็นของคู่บ้านคู่เมืองมีชื่อเรียกกันมาจนทุกวันนี้ว่า "พระพุทธรูปมิ่งเมือง" ซึ่งประดิษฐานอยู่บนกุฏิเจ้าอาวาสวัดศรีภูมิ จะนำออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำเฉพาะวันสงกรานต์เท่านั้น อนึ่งสำหรับพระประธานซึ่งปั้นด้วยปูนในพระอุโบสถเดิมพอกปูนขาวผสมยางบงและหนังเน่า คลุกเคล้าเข้าด้วยกัน และได้มาบูรณะขึ้นใหม่ในคราวรื้อพระอุโบสถ เพื่อสร้างใหม่ รูปพระพักตร์ตลอดจนทรวดทรงช่างได้ถือเอาแบบพระพุทธรูปมิ่งเมืองมาเป็นหลัก เลยทำให้ผู้พบเห็นพระพุทธรูปพระประธานในพระอุโบสถวัดศรีภูมิปัจจุบันนี้ว่า เอาแบบมาจากพระพุทธรูปมิ่งเมือง) ๕.๓ หลังจากชาวเมืองเซไลได้อพยพลงมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านแฮ่ ก็มีชาวเมืองเซไลบางส่วนที่ยังรักในถิ่นฐานเดิม จึงได้พากันอพยพกลับไปเมือเซไลส่วยขาว ครั้นได้พากันบูรณะที่อยู่อาศัยให้ดีแล้วเห็นว่าเมืองเซไลได้หมดสภาพความเป็นเมือง ทั้งได้เลิกยกเลิกส่งส่วยผ้าขาวไปเป็นเวลานาน จึงได้พากันขนานนามให้หมู่บ้านของตนเสียใหม่ในถิ่นเดิมว่า "บ้านทรายขาว" แล้วพากันอยู่กินด้วยปกติ สุขมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ สมัยกรุงศรีอยุธยา ประวัติของจังหวัดเลยในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการสงครามมากเท่าใด คงมีเหตุการณ์ที่น่าจะกล่าวถึงอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เมื่อพ.ศ.๒๐๙๑ ปีแรกที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสวยราชย์ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ กษัตริย์พม่าผู้ครองกรุงหงสาวดี ได้ยกทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ยกกองทัพออกรบกับพม่า เพื่อป้องกันพระนครและได้ชนช้างกับพระเจ้าแปร แม่ทัพหน้าของพม่า จนต้องเสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระมเหสีเพราะถูกพระเจ้าแปรฟันสิ้นพระชนม์ซบกับคอช้าง การรบครั้งนั้นพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ไม่สามารถตีกรุงศรีอยุธยาได้ และเมื่อกลับไปถึงกรุงหงสาวดีแล้วไม่นานก็สวรรคต พระเจ้าบุเรงนองขึ้นครองราชสมบัติที่กรุงหงสาวดีแทน บุเรงนองเป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็งในการสงคราม จึงได้หาสาเหตุมาตีกรุงศรีอยุธยาอีก โดยแต่งพระราชสาส์นมาขอช้างเผือกของไทย ฝ่ายไทยไม่ยอมให้ พระเจ้าบุเรงนองจึงถือสาเหตุยกกองทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยาและตีหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยได้หลายหัวเมือง รวมทั้งเมืองพิษณุโลกด้วยนอกจากยกกองทัพมารุกรานไทยแล้ว พม่ายังได้ยกกองทัพไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุต ฝ่ายกรุงศรีสัตนาคนหุตสู้พม่าไม่ได้ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชต้องพากองทัพหนีไปอยู่ในป่า ทัพพม่าเข้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้จึงเก็บทรัพย์สินและกวาดต้อนประชาชน รวมทั้งมเหสีและสนมกำนัลของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชไปเมืองพม่า เมื่อพม่าเลิกทัพกลับไปแล้ว พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจึงได้พาทหารกลับเข้ามาอยู่กรุงศรีสัตนาคนหุต และได้แต่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับทูลขอพระเทพกษัตริย์ พระราชธิดาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุริโยทัยผู้เป็นวีรกษัตริย์ไปเป็นมเหสี เพื่อเห็นแก่ความเป็นไมตรีของสองพระนครที่จะให้มีความรักใคร่กลมเกลียวกัน และจะได้เป็นกำลังในการต่อสู้ข้าศึก สมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็ตกลงรับยินดีเป็นไมตรีกับพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชตามที่ทูลขอมา แต่เป็นที่น่าเสียดายขณะที่พระเทพกษัตริย์เดินทางไปกรุงศรีสัตนาคนหุตนั้น ได้ถูกกองทัพพม่าเข้าแย่งชิงและกวาดต้อนไปกรุงหงสาวดีเสียก่อนที่จะไปถึงกรุงศรีสัตนาคนหุต เพื่อเป็นสักขีพยานและแสดงออกซึ่งไมตรีจิตมิตรภาพ ระหว่างกษัตริย์ทั้งสองพระนคร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิและพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จึงได้โปรดให้สร้างพระเจดีย์องค์หนึ่งขึ้น เมื่อปี พ.ศ.๒๑๐๓ ในบริเวณที่ลำน้ำอู้ไหลมาบรรจบกับลำน้ำหมัน ซึ่งอยู่ใกล้ที่ตั้งเมืองด่านซ้าย ไว้เป็นอนุสรณ์โดยได้โปรดให้อำมาตย์ราชครู และพระราชาคณะเป็นตัวแทนของสองพระนครมาดำเนินการสร้าง แต่ก่อนที่จะสร้างพระธาตุศรีสองรัก ผู้แทนทั้งสองพระนครได้มีการทำพิธีตั้งสัตยาธิษฐานว่า ทั้งสองพระนครจะรักใคร่กลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ดุจเป็นราชอาณาจักรเดียวกันตลอดไปชั่วกัปกัลป์ (โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในประวัติพระธาตุศรีสองรัก) สมัยกรุงธนบุรีและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยกรุงธนบุรีไม่ปรากฏหลักฐานว่า มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในท้องที่จังหวัดเลย หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:52:52 เลย ๒
สำหรับสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทั้งนี้ เพราะสมัยนั้นประเทศที่มีอำนาจทางตะวันตกกำลังล่าเมืองขึ้น เพื่อให้เป็นอาณานิคมของตนเหตุการณ์ที่สำคัญที่ปรากฏขึ้นมีดังนี้ เหตุการณ์สงคราม การอพยพหนีภัยทางการเมือง ในพ.ศ.๒๔๓๖ (ร.ศ.๑๑๒) ไทยต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสไปทั้งหมด เมืองเชียงคานซึ่งตั้ง อยู่บนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงดังกล่าวมาแล้ว ก็ต้องตกไปเป็นของฝรั่งเศสด้วย ปรากฏว่า ชาวเมืองเชียงคานไม่พอใจและด้วยความรักอิสระเสรี รักความเป็นไทย จึงพร้อมใจกันอพยพข้ามมาตั้งเมืองที่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงเยื้องกับเมืองเดิมไปทางเหนือเล็กน้อย เมืองที่ตั้งใหม่เรียกว่า เมืองใหม่เชียงคาน คือที่ตั้งอำเภอเชียงคานปัจจุบัน ราษฎรที่อพยพข้ามมาครั้งนั้นไม่มีผู้ใดเกลี้ยกล่อมหรือบังคับ ทุกคนข้ามมายังดินแดนที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทยด้วยความเต็มใจ ไม่พอใจที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของคนต่างชาติ ประมาณว่าผู้คนอพยพมาครั้งนั้นประมาณ ๔ ใน ๕ ของเมืองเชียงคานเดิม ต่อมาฝรั่งเศสได้เปลี่ยนชื่อเมืองเชียงคานเดิมเป็น เมืองสา- นะคามจนทุกวันนี้ การอพยพหนีภัยการเมืองของชาวเมืองเชียงคานยุคนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นการอพยพข้ามฝั่งโขงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดเลย หรือพอจะกล่าวได้ว่าชาวเมืองเชียงคาน เป็นกลุ่มชนที่อพยพหนีภัยการเมืองรุ่นแรกของจังหวัดก็พอจะได้ หัวหน้าผู้อพยพครั้งนั้นได้แก่ พระอนุพินาศเจ้าเมืองเชียงคานนั่นเอง ศึกบ้านนาอ้อ พ.ศ.๒๔๔๐ เมื่อฝรั่งได้ครอบครองดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ในพ.ศ.๒๔๓๖ แล้ว แม้จะได้ครอบครองเมืองสานะคาม (เชียงคาน) แล้วก็คงได้แต่เมืองที่เกือบร้าง เพราะผู้คนอพยพเข้าสู่พระราชอาณาจักรไทยข้ามฝั่งโขงมาตั้งเมืองเชียงคานขึ้นใหม่ที่ฝั่งตรงข้ามดังกล่าวแล้ว ฝรั่งเศสก็หาทางที่จะยึดดินแดนไทยอีก คือ เมืองเชียงคานที่ตั้งขึ้นใหม่ ถึงกับข้ามแม่น้ำโขงมาขู่เข็ญเจ้าเมืองเชียงคานใหม่ โดยหลอกว่าทางบางกอกได้ยกเมืองเชียงคานให้แก่ฝรั่งเศสแล้ว เจ้าเมืองเชียงคานได้ออกอุบายให้ฝรั่งเศสไปยึดเมืองเลยให้ได้เสียก่อน เมื่อได้เมืองเลยแล้ว เมืองเชียงคานก็ไม่มีปัญหาอะไร ทั้งนี้ เพราะเจ้าเมืองเชียงคานทราบดีว่าทางเมืองเลยมีกองทหารเตรียมมาแต่สมัย ร.ศ.๑๑๒ แล้ว ซึ่งฝรั่งเศสก็คงพ่ายแพ้แล้วจะได้หาทางซ้ำเติมทีหลังและได้ส่งข่าวให้ทางเมืองเลยทราบล่วงหน้า ฝรั่งเศสหลงกลได้ยกกำลังพลโดยมีฝรั่งเศสหนึ่งนายเป็นหัวหน้าและมีลูกน้องเป็นลาวเพียงไม่กี่คน ยึดบ้านนาอ้อ ยุยงให้ชาวบ้านแข็งเมืองต่อรัฐบาลไทย โดยสัญญาว่าจะปลดปล่อยบ้านนาอ้อให้เป็นเมืองนครหงส์ มีเจ้าเมืองกรมการเมืองเช่นเดียวกับเมืองเลย ซึ่งจะแต่งตั้งจากผู้ร่วมมือทั้งสิ้น ก็ปรากฏว่ามีชาวบ้านหลงเชื่ออยู่ไม่กี่คน สุดท้ายกองทหารจากเมืองเลยเข้าปราบปรามไม่กี่วันฝรั่งเศสก็แตกพ่ายหนีไปทางเวียงจันทน์ ประเทศลาว (เวลานี้ยังมีซากสนามเพลาะของทหารไทยอยู่ที่บ้านโพน ห่างจากบ้านนาอ้อราว ๒ กิโลเมตร) ศึกด่านซ้ายและท่าลี่ ฝรั่งเศสได้ใช้อำนาจเดินทัพเข้ายึดอำเภอด่านซ้ายในปี พ.ศ.๒๔๔๖ และได้นำศิลาจารึกตำนานพระธาตุศรีสองรักล่องแม่น้ำโขง หวังว่าจะนำไปยังนครเวียงจันทน์ แต่เรือที่บรรทุกศิลาจารึกล่มที่แก่งฬ้า เขตอำเภอปากชม จังหวัดเลย ศิลาจารึกจมน้ำหายไป (แต่ภายหลังทราบว่าในปีที่แล้งที่สุดน้ำในแม่น้ำโขงแห้งขอดมาก มีผู้ไปพบศิลาจารึกนี้ที่แม่น้ำโขง และฝรั่งเศสได้นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟ นครปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่ยังไม่มีการยืนยันข้อเท็จจริง) ขณะนั้น พระมหาเถระชาวอำเภอด่านซ้ายผู้หนึ่งชื่อพระคูลุนแห่งวัดบ้านหนามแท่ง ตำบลด่านซ้าย พร้อมพระแก้วอาสา (กองแสง) เจ้าเมืองด่านซ้ายและเพียศรีวิเศษ ได้ขอคัดลอกไว้ก่อนที่ฝรั่งเศสจะนำไปเวียงจันทน์ แล้วเขียนลงในศิลาจารึกมีข้อความอย่างเดียวกันเวลานี้ก็ยังเก็บรักษาไว้ที่บริเวณวัดธาตุศรีสองรัก ฉะนั้น ศิลาจารึกที่เห็นอยู่ทุกวันนี้จึงเป็นศิลาจารึกฉบับคัดลอก ต่อมาในปีพ.ศ.๒๔๔๙ ฝรั่งเศสได้คืนเมืองด่านซ้ายให้ โดยแลกกับดินแดนเขมรที่เป็นของไทยบางส่วน ในระยะที่ฝรั่งเศสครอบครองเมืองด่านซ้าย ๓ ปีเศษนั้น ไทยได้อพยพอำเภอไปตั้งที่บ้านนาขามป้อม ตำบลโพนสูง อำเภอด่านซ้าย เสร็จเรื่องแล้วจึงกลับคืนไปตั้งอำเภอที่เดิม ในระยะเวลาใกล้ ๆ กับที่ฝรั่งเศสยึดอำเภอด่านซ้ายนั้น กำลังทหารฝรั่งเศสตั้งอยู่ที่บ้านหาดแดงแม่น้ำเหือง ได้ยกพลจะยึดอำเภอท่าลี่ เพราะเห็นว่าเคยเข้ายึดอำเภอด่านซ้ายสำเร็จอย่าง ง่ายดายมาแล้ว แต่คราวนี้ฝ่ายไทยหลอกล่อให้ฝรั่งเศสเดินทัพมาอย่างสะดวก พอจวนถึงที่ตั้งอำเภอก็ถูกหน่วยกล้าตายของชาวอำเภอท่าลี่ ซุ่มโจมตีถึงตะลุมบอน (ที่ตั้งโรงเรียนบ้านท่าลี่) ฝรั่งเศสประสบกับความพ่ายแพ้และนับแต่นั้นมาไม่ปรากฏฝรั่งเศสได้ข้ามแม่น้ำเหืองมาก่อกวนอีกเลย ผีบุญที่บ้านหนองหมากแก้ว เมื่อปีพ.ศ.๒๔๖๗ ได้เกิดมีผีบุญขึ้นมาคณะหนึ่ง จำนวน ๔ คน อ้างว่า คณะของตนได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้ลงมาบำบัดทุกข์บำรุงบำรุงสุขแก่มวลมนุษย์ซึ่งยากไร้และเต็มไปด้วยกิเลส ได้กำหนดสถานที่อันบริสุทธิ์ไว้ดำเนินการเพื่อแสดงอภินิหารประกอบพิธีกรรม อบรมสั่งสอนผู้คนที่วัดบ้านหนองหมากแก้วในหมู่บ้านหนองหมากแก้ว (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่ตำบลปวนพุ อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย) บุคคลในคณะของผีบุญ ๔ คน ต่างมีหน้าที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้ ๑. นายบุญมา จัตุรัส อุปสมบทได้หลายพรรษาเดินทางมาจากจังหวัดชัยภูมิ ได้ขนานนามของตนเองเป็น พระประเสริฐ มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะ มีหน้าที่ทำน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ใส่ตุ่มไว้ให้ผู้คนได้ดื่มกินและอาบเป็นการสะเดาะเคราะห์ แล้วทำพิธีปลุกเสกลงเลขยันต์ในตะกรุด ซึ่งใช้ตะกั่วลูกแหมาตีแผ่ออกเป็นแผ่นบาง ๆ เสร็จแล้วมัวนออกแจกจ่ายให้ผู้คนร้อยเชือกผูกสะเอวติดตัวไว้ เป็นเครื่องรางของขลังชั้นยอดของพระประเสริฐในทางคงกระพันชาตรีป้องกันผีร้าย ๒. ทิดเถิก บุคคลผู้คงแก่เรียนชาวบ้านหนองหมากแก้ว ได้ขนานนามตนเองเป็น เจ้าฝ่าตีนแดงมีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้า มีหน้าที่ทำผ้าประเจียดกันภัยอันทรงประสิทธิภาพเป็นมหา-อุตม์แม้ปืนผาหน้าไม้ตลอดจนมีดพร้ากะท้าขวานก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรแก่ผู้ที่มีผ้าประเจียดอันทรงฤทธิ์ของเจ้าฝ่าตีนแดงได้ วิธีทำผ้าประเจียด ไม่ว่าบุคคลใดที่มีความประสงค์ก็ให้บุคคลเหล่านั้นไปจัดหาผ้าฝ้ายสีขาวขนาดกว้างยาว ด้านละหนึ่งศอกของตนมาหนึ่งผืน เมื่อมาพร้อมหน้ากันครั้นได้เวลาสานุศิษย์ก็ให้ผู้ประสงค์รอคอยอยู่ข้างล่างศาลาแล้วเรียกขึ้นไปทีละคน ผู้ที่ขึ้นไปแต่ละคนจะต้องคลานเข้าไปหาเจ้าฝ่าตีนแดงและห้ามมองหน้า เมื่อคลานเข้าไปถึงที่ที่เจ้าฝ่าตีนแดงนั่งอยู่จึงคลี่ผ้าขาวที่จะมาทำผ้าประเจียดปูออกแล้วพนมหมอบก้มหน้านิ่งจนกว่าเจ้าฝ่าตีนแดงจะทำผ้าประเจียดเสร็จ ฝ่ายเจ้าฝ่าตีนแดงเมื่อเห็นผู้ที่ประสงค์อยากได้ผ้าประเจียดได้กระทำตามกฎซึ่งตนวางไว้ด้วยความเคารพก็ลุกขึ้นยกเท้าขวาหรือซ้ายย่ำลงไปในบม (บมคือภาชนะที่ทำด้วยไม้ มีลักษณะทรงกลมแบนและลึกคล้ายถาดซึ่งชาวอีสานใช้เป็นภาชนะสำหรับใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งสุกดีแล้ว เพื่อให้ไอน้ำออกก่อนที่จะนำไปเก็บไว้ในกระติบ) ที่มีขมิ้นกับปูนตำผสมกันไว้อย่างดี แล้วจึงยกเท้าข้างที่ย่ำลงไปในบมเหยียบผ้าขาวก็จะปรากฏรอยเท้าของเจ้าฝ่าตีนแดงอย่างชัดเจนเป็นอันเสร็จพิธีทำผ้าประเจียดนำไปใช้ได้ทันที แต่ถ้าหากเหยียบผ้าขาวแล้วปรากฏรอยไม่ชัดเจน หรือไม่สบอารมณ์ของเจ้าฝ่าตีนแดง ผู้ที่ต้องการก็ต้องไปหาผ้าขาวมาทำใหม่จนกว่าจะได้ผ้าประเจียดชั้นดีไปไว้ใช้ต่อไป ครั้นได้ผ้าประเจียดไปแล้วจะต้องนำไปเก็บบูชาเอาไว้บนหิ้งพระ หรือเมื่อออกเดินทางจะต้องพับชายผูกคอไปเป็นเครื่องรางของขลังประจำตัวทุกครั้งจะลืมไม่ได้เป็นอันขาด ๓. นายสายทอง อินทองไชยศรี ขนานนามตนเองเป็น เจ้าหน่อเลไลย์ อ้างว่า ได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้มาปราบยุคเข็ญโดยเฉพาะ มีวาจาสิทธิ์สามารถที่จะสาปผู้ละเมิดกฎสวรรค์ให้เป็นไปตามโทษานุโทษที่ตนพิจารณาเห็นตามสมควรได้ทันที ครั้งนั้นได้เกิดมีการขโมยเกิดขึ้นในหมู่บ้านหนองหมากแก้ว แล้วจับขโมยได้ ชาวบ้านจึงควบคุมตัวไปให้เจ้าหน่อเลไลย์เป็นผู้ตัดสิน ผลของการตัดสินปรากฏว่า ขโมยได้ละเมิดกฎของสวรรค์ในข้อบังเบียดเครื่องยังชีพของมวลมนุษย์อย่างสุดที่จะอภัยให้ได้ โทษที่ขโมยพึงได้รับในครั้งนี้ก็คือ ต้องถูกสาปให้ธรณีสูบลงไปทั้งเป็น ครั้นได้พิพากษาโทษให้ผู้คนทั้งหลายได้รู้เห็นทั่วไปแล้ว พิธีสาปก็เริ่มขึ้นโดยเจ้าหน่อเลไลย์มีบัญชาให้สานุศิษย์ขุดหลุมขนาดพอฝังศพได้ในสถานที่ที่ได้กำหนดไว้ ครั้นแล้วให้ไปนำตัวขโมยซึ่งได้ผูกมัดข้อมือเอาไว้อย่างแน่นหนา พาไปยืนที่ปากหลุม แล้วเจ้าหน่อเลไลย์ก็เริ่มอ่านโองการอัญเชิญเทวทูตให้ลงมาจากสรวง-สวรรค์ มาเป็นสักขีพยานในการที่ตนได้ดำเนินการสาปให้ขโมยต้องถูกธรณีสูบลงไปทั้งเป็นตามโทษานุโทษ พอเจ้าหน่อเลไลย์กล่าวคำสาปสิ้นสุดลงก็บัญชาให้สานุศิษย์ผลักขโมยลงไปในหลุม พร้อมกับช่วยกันรีบขุดคุ้ยโกยดินลงกลบฝังขโมยที่ต้องคำสาปให้ธรณีสูบลงไปทั้งเป็น ท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดสยดสยองของผู้คนที่ไปร่วมชมพิธีกรรมเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคณะผีบุญคล้อยหลังลับไป บรรดาญาติพี่น้องของขโมยก็รีบพากันขุดคุ้ยโกยดินนำขโมยที่ถูกฝังทั้งเป็นอาการร่อแร่ปางตายขึ้นมาปฐมพยาบาล แล้วรีบพากันอพยพหลบหนีบัญชาจากสวรรค์ของคณะผีบุญไปในคืนนั้นทันที และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น เป็นผลให้ไม่มีการลักขโมยใด ๆ เกิดขึ้นในหมู่บ้านหนองหมากแก้วต่อไปอีกเลย ทั้งนี้ ด้วยทุกคนได้ประจักษ์แก่ตาในประกาศิตจากสวรรค์ของเจ้าหน่อเลไลย์เป็นอย่างยิ่ง ๔. นายก้อนทอง พลซา ชาวบ้านวังสะพุงซึ่งเป็นบุคคลที่ ๔ ขณะนั้นรับราชการในหน้าที่สารวัตร อำเภอวังสะพุง ได้ไปพบเห็นพิธีการต่าง ๆ ของคณะผีบุญจึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จนถึงกับได้ขออนุญาตลาบวชจากทางราชการมีกำหนด ๑๐ วัน ในระหว่างที่ทางราชการได้อนุญาตให้ลาบวชได้ นายก้อนทอง ฯ ได้ถือโอกาสหลบไปสมทบกับคณะผีบุญที่บ้านหนองหมากแก้ว แล้วก็รีบทำความเพียรแต่ยังไม่ทันจะได้รับความสำเร็จจนถึงขั้นได้รับการขนานนาม ก็มาถูกทางบ้านเมืองเข้าทำการปราบปรามและจับตัวได้เสียก่อน คณะผีบุญซึ่งถือว่าตนเป็นผู้วิเศษได้กำหนดพิธีกรรมให้ชาวบ้านปฏิบัติ โดยถือเอาศาลาการเปรียญวัดบ้านหนองหมากแก้วเป็นศูนย์กลางทุกวันในเวลาเช้าและเย็น ชาวบ้านทุกคนจะต้องมาร่วมเข้าพิธีสวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำขาดไม่ได้ และในเวลากลางคืนทุกคืน บรรดาสาว ๆ หรือภรรยาของผู้ใดก็ตามที่มีใบหน้าและรูปร่างสวยงาม จะต้องอาบน้ำแต่งตัวให้สะอาดสดสวย แล้วนำพวงมาลัยดอกไม้สดและน้ำหอมผลัดกันเข้าไปมอบให้คณะผีบุญ ต่อจากนั้นก็จะเริ่มพิธีฟ้อนรำบวงสรวงเวียนพรมน้ำอบน้ำหอมไปรอบๆ ตัวของผีบุญ หากผีบุญเกิดพึงพอใจอิสตรีนางใดในวงฟ้อนบวงสรวง ก็จะใช้พวงมาลัยดอกไม้สดเกี่ยวปลายไม้แล้วยื่นไปคล้องคอเอาไว้ เป็นเครื่องหมายให้ทุกคนได้ทราบว่า อิสตรีนางนั้นได้รับโปรดปรานจากผีบุญเป็นพิเศษ และนับเป็นวาสนาเป็นอย่างยิ่งที่ในคืนนั้นจะต้องเข้าเวรปรนนิบัติ ปรากฏว่าบรรดาสาวและไม่สาวต่างแย่งกันปรนนิบัติผีบุญเหล่านี้เป็นพิเศษทุกคืน คณะผีบุญชุดนี้ได้บัญญัติกฎข้อบังคับเอาไว้ ๓ ประการ ที่ชาวบ้านจะต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จะหลงลืมไม่ได้นั้น มีดังต่อไปนี้ ๑. จะต้องสวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำทุกเช้าเย็น ขาดไม่ได้ ๒. จะต้องฟ้อนรำบวงสรวงคณะผู้มีบุญเป็นประจำทุกคืน ขาดไม่ได้ ๓. จะต้องหมั่นทำบุญให้ทานอยู่เป็นนิจ และจะต้องรำลึกถึงพระคุณของบิดา-มารดาอยู่เสมอทั้งนี้ในการเรียกพ่อ-แม่ดังที่เคยเรียกกันมาเฉย ๆ นั้นเป็นการไม่เคารพ จะต้องพากันเรียกเสียใหม่ว่า คุณพ่อคุณแม่ ด้วยพิธีกรรมที่คณะผีบุญได้นำชาวบ้านปฏิบัติต่อเนื่องกันมามิได้ขาด ครั้นนานวันเข้า กิตติศัพท์ก็ได้เลื่องลือไปไกล ทำให้มีผู้คนสนใจหลั่งไหลเข้าไปอย่างมากมาย บ้างที่สนใจเครื่องรางของขลัง ก็ต้องตระเตรียมสิ่งของเข้าไปจัดทำเอง อาทิเช่นต้องการตะกรุดก็ต้องหาตะกั่วลูกแหไปหลอมแล้วตีแผ่ออกให้พระประเสริฐทำตะกรุด ที่ป่วยเจ็บได้ไข้ก็ไปอาบน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ ที่ต้องการผ้าประเจียดก็ต้องหาผ้าฝ้ายสีขาวไปให้เจ้าฝ่าตีนแดง ครั้นคณะผีบุญได้พบผู้คนมากหน้าหลายตาและเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น เลยเกิดความเคลิบเคลิ้มหลงตนลืมตัว หนักเข้าเลยพากันริอ่านหันไปทางการบ้านการเมือง ฝันเฟื่องที่จะเป็นเจ้าเข้าครองแผ่นดิน โดยประกาศอย่างอหังการว่า จะยกกำลังเข้าตีเอาเมืองเลยได้แล้วจึงจะยกกำลังเลยไปตีเอาเมืองเวียงจันทน์ เพื่อตั้งตนเป็นเอกราช เมื่อได้ประกาศเจตนารมณ์แล้วก็เรียกอาสาสมัครมาทำการคัดเลือก ด้วยมีความเชื่อมั่นว่าตนได้รับบัญชามาจากสวรรค์ ไม่ต้องมีผู้คนมากก็สามารถที่จะกระทำการใหญ่ได้ เมื่อเลือกผู้คนรวมได้ ๒๓ คน พร้อมด้วยปืนแก๊บ ๑ กระบอก ปืนคาบศิลา ๒ กระบอก พร้อมด้วยหอกดาบแหลนหลาวครบครัน ครั้นได้ฤกษ์พิชัยสงคราม คณะผีบุญก็ยกพลจำนวน ๒๓ คน ออกเดินทางจากบ้านหนองหมากแก้วแล้วมุ่งหน้าขึ้นสู่ทิศเหนืออ้อมผ่านหมู่บ้านนาหลักแล้วไปตั้งมั่นอยู่ริมลำห้วยทางด้านทิศเหนือของอำเภอวัง สะพุง (บริเวณหมู่บ้านห้วยอีเลิศ ห่างจากที่ตั้งอำเภอวังสะพุง ประมาณ ๓ กม.) ระหว่างนั้น หลวงพิศาลสารกิจ นายอำเภอวังสะพุงได้ติดตามความเคลื่อนไหวของคณะผีบุญโดยส่งนายบุญเลิศ เหตุเกตุ สารวัตรศึกษา (อดีตกำนันตำบลวังสะพุง ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่) ออกไปสอดแนมพฤติการณ์ดูความเหิมเกริมของคณะผีบุญอย่างใกล้ชิดแทบจะเอาชีวิตไม่รอดก็หลายครั้ง แล้วให้ทำรายงานเข้ามายังอำเภอทุกระยะ หลวงพิศาลสารกิจได้ทำรายงานความเคลื่อนไหวของคณะผีบุญเข้าจังหวัดทุกระยะ ซึ่งในขณะนั้นกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำอยู่ในตัวจังหวัดเลยมีน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนผู้คนที่เข้าไปกราบไหว้คณะผีบุญ ดังนั้น ทางจังหวัดเลยจึงได้ทำรายงานไปยังกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี พร้อมกันนั้นก็ได้รายงานขอกำลังไปยังฝ่ายทหารที่ค่ายประจักษ์ศิลปาคมอีกด้วย ถ้าหากว่ากำลังทางฝ่ายตำรวจที่อุดรมีไม่เพียงพอ ขณะนัน พ.ต.อ.พระปราบภัยพาล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานีในสมัยนั้น ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจรีบรุดมาจากจังหวัดอุดรธานีเข้าสมทบกับกำลังของจังหวัดเลย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของอำเภอวังสะพุง รีบวางแผนปราบปรามโดยด่วน ครั้นได้ทราบกำลังของคณะผีบุญพร้อมด้วยอาวุธจากนายบุญเลิศ เหตุเกตุ เป็นที่แน่นอนแล้ว กองกำลังตำรวจจากอุดรร่วมกับจังหวัดเลยและเจ้าหน้าที่อำเภอวังสะพุงก็เคลื่อนเข้าโอบล้อมคณะผีบุญทุกทิศทุกทาง ได้มีการปะทะกันเพียงเล็กน้อย คณะผีบุญก็แตกกระจัดกระจายจับผีบุญได้ทั้งคณะ แล้วควบคุมตัวขึ้นส่งฟ้องศาลฐานก่อการจลาจลสอบถามได้ความว่า พวกเขาทั้ง ๔ คนที่ตั้งตนเป็นผีบุญ เกิดความเคลิบเคลิ้มหลงใหลในนิยายพื้นเมืองของชาวอีสานเรื่อง สังข์ศิลปชัย และจำปาสี่ต้น จนหลงตนลืมตัวไป ส่วนความรู้สึกที่แท้จริงนั้น ยังมีความรักในถิ่นฐานหาได้มีความคิดเป็นกบฏต่อแผ่นดินกำเนิดก็หาไม่ คณะตุลาการได้รับฟังเรื่องราวจากผู้ที่ได้ตั้งตนเป็นผีบุญทั้ง ๔ คน ได้เกิดความเห็นใจ จึงพิพากษาให้จำคุกผีบุญทั้ง ๔ คน คนละ ๓ ปี ส่วนบริวารให้ปล่อยตัวไป การตั้งเมืองเลย เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๖ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าผู้คนในแขวงนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อน สมควรจะได้ตั้งเป็นเมือง เพื่อประโยชน์ในการปกครองอย่างใกล้ชิด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาท้ายน้ำออกมาสำรวจเขตแขวงต่าง ๆ แล้วได้พิจารณาเห็นว่า หมู่บ้านแฮ่ ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งห้วยน้ำหมานและอยู่ใกล้กับแม่น้ำเลย มีภูมิประเทศที่เหมาะสมแก่การสร้างป้อมด้วย เพราะมีภูเขาล้อมรอบและพลเมืองหนาแน่น พอจะตั้งเป็นเมืองได้ จึงนำความขึ้นถวายบังคมทูลเพื่อทรงทราบ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งเป็นเมือง เรียกชื่อตามนามของแม่น้ำเลยว่า "เมืองเลย" ต่อมา พ.ศ.๒๔๔๐ ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ร.ศ.๑๑๖ ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากเดิมมาเป็นแบบเทศาภิบาล โดยแบ่งเป็นมณฑลเมือง อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน เมืองเลยจึงแบ่งการปกครองอีกเป็น ๔ อำเภอ อำเภอที่ตั้งตัวเมืองเรียกชื่อว่า "อำเภอกุดป่อง" ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๔๒-๒๔๔๙ ได้เปลี่ยนชื่อเมืองเลยเป็น "บริเวณลำน้ำเลย" ใน พ.ศ.๒๔๔๙-๒๔๕๐ ได้เปลี่ยนชื่อบริเวณลำน้ำเลย เป็นบริเวณลำน้ำเหือง และใน พ.ศ.๒๔๕๐ จึงได้มีประกาศของกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๔ มกราคม ๒๔๕๐ ยกเลิกบริเวณลำน้ำเหืองให้คงเหลือไว้เฉพาะ "เมืองเลย" โดยให้เปลี่ยนชื่ออำเภอกุดป่อง เป็นอำเภอเมืองเลยด้วย สำหรับอำเภอกุดป่อง ซึ่งเป็นที่ตั้งตัวเมืองเลยนั้น เรียกตามตำบลซึ่งเป็นที่ตั้งอำเภอในครั้งนั้น เหตุที่เรียกตำบลแห่งนี้ว่า "กุดป่อง" ก็เนื่องจากมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ ณ บริเวณที่ว่าการอำเภอเมืองเลย ปัจจุบันนี้เกิดจากการเปลี่ยนทางเดินของแม่น้ำเลย มีลักษณะเป็นลำห้วยมีรูปโค้งเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีก มีปากน้ำแยกออกจากลำแม่น้ำเลยทั้งสองด้าน มีน้ำขังอยู่ตลอดปี ตรงกลางเป็นเกาะมีเนื้อที่ประมาณ ๙๐ ไร่ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอเมืองเลย ศาลาเทศบาลเมืองเลย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดเลย การจัดรูปการปกครองในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การจัดรูปการปกครองก่อนจัดระบบมณฑลเทศาภิบาล ใช้วิธีซึ่งเรียกในกฎหมายเก่าว่า "กินเมือง" อันเป็นแบบเดิม คำว่า "กินเมือง" มาถึงชั้นหลังเรียกเปลี่ยนเป็น "ว่าราชการเมือง" ส่วนคำว่า "กินเมือง" ก็ยังใช้กันในคำพูดอยู่บ้าง วิธีการปกครองที่เรียกว่า "กินเมือง" นั้น หลักเดิมมาคงถือว่าผู้เป็นเจ้าเมืองต้องทิ้งกิจธุระของตนมาประจำทำการปกครองบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากภยันตราย ราษฎรก็ต้องตอบแทนคุณเจ้าเมืองด้วยการออกแรงช่วยทำงานให้บ้าง หรือแบ่งสิ่งของซึ่งทำมาหาได้ เช่น ข้าวปลาอาหาร เป็นต้น อันมีเหลือใช้มอบให้เจ้าเมืองคนละเล็กละน้อย ทำให้เจ้าเมืองดำรงตนอยู่ได้โดยรัฐบาลในราชธานีไม่ต้องรับภาระ จึงให้ค่าธรรมเนียมในการต่าง ๆ แทนตัวเงินสำหรับใช้สอย กรมการซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองก็ได้รับผลประโยชน์ทำนองเดียวกันเป็นแต่ลดลงตามศักดิ์ ต่อมาบ้านเมืองเปลี่ยนแปลง ทำให้การเลี้ยงชีพต้องอาศัยเงินตรามากขึ้น ผลประโยชน์ที่เจ้าเมืองกรมการได้รับอย่างโบราณไม่พอเลี้ยงชีพ จึงมีการหาผลประโยชน์เพิ่มพูนอย่างอื่น เช่น ทำไร่นา ค้าขาย เป็นต้น การเป็นเจ้าเมืองก็มักจะมีการสืบเชื้อสายวงศ์ตระกูลที่เคยเป็นเจ้าเมือง หรือเคยรับราชการงานเมืองมาแล้ว เช่น อาจเป็นบุตรชายเจ้าเมืองหรือถ้าไม่มีบุตรชายก็อาจให้บุตรเขยผู้ซึ่งเห็นว่ามีความรู้ความสามารถพอปกครองบ้านเมืองได้ ทำหน้าที่เจ้าเมืองแทน การแต่งตั้งเจ้าเมืองสำหรับเมืองเอก คงได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ส่วนเมืองเล็ก ๆ กรมการเมืองคงมีใบบอกหัวเมืองเอก และด้วยความเห็นชอบของเจ้าเมืองเอก สำหรับที่ทำการเจ้าเมืองก็เอาบ้านเรือนเป็นที่ว่าราชการด้วย บ้านเจ้าเมืองนิยมเรียกว่า "จวน" และมีศาลาโถงปลูกไว้หน้าบ้านหลังหนึ่งเรียกว่า " ศาลากลาง" สำหรับประชุมปรึกษาราชการ เป็นศาลาสำหรับชำระความหรือตัดสินความ ทั้งจวนและศาลากลางนี้สร้างขึ้นด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวรวมทั้งที่ดินก็เป็นของส่วนตัวด้วย เมื่อสิ้นสมัย เจ้าเมืองคนหนึ่งอาจเป็นด้วยเจ้าเมืองถึงแก่อนิจกรรมหรือเปลี่ยนเจ้าเมือง "จวน" เจ้าเมืองและศาลากลางเดิมก็ตกเป็นมรดกแก่ลูกหลาน ใครได้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่ถ้ามิได้เป็นผู้รับมรดกของเจ้าเมืองเก่า ก็ต้องหาที่สร้างจวนและศาลากลางใหม่ตามลำดับที่จะสร้างได้ บางทีก็สร้างห่างไกลจากที่เดิม แม้จนต่างตำบลก็มี จวนเจ้าเมืองไปอยู่ที่ไหนก็ย้ายที่ทำการไปอยู่ที่ใหม่ ตามสมัยของเจ้าเมืองคนนั้น ส่วนกรมการนั้นเพราะมักเป็นคหบดีในเมืองนั้น ซึ่งเมื่อตั้งบ้านเรือนอยู่ไหนก็คงอยู่ที่นั่น เป็นแต่เวลามีการงานจะต้องทำตามหน้าที่ จวนเจ้าเมืองอยู่ไหนก็ไปฟังคำสั่งที่นั่น บางคนตั้งบ้านเรือนอยู่ห่างไกลก็มี โดยถือหลักเห็นเป็นผู้เหมาะสมที่จะรักษาสันติสุขของท้องถิ่นนั้นเป็นสำคัญ และมุ่งให้ประชาชน "อยู่เย็นเป็นสุข" ปราศจากภัยต่างๆ เช่นโจรผู้ร้าย ปราบปรามนักการพนัน การเสพของมึนเมาเป็นสำคัญ มิได้พัฒนาด้านต่าง ๆ ให้เจริญก้าวหน้าเหมือนในการดำเนินการปกครองในสมัยปัจจุบัน การบริหารงานปกครองสำหรับเมืองเล็กมิได้เป็นประเทศราช เช่น จังหวัดเลย คงมีการปกครองท้องถิ่นเป็นของตนเอง ในแต่ละเมืองจะมีเจ้าเมืองปกครอง ซึ่งส่วนใหญ่สืบตระกูลกันเรื่อยมาดังกล่าวข้างต้น อำนาจการปกครองมีอย่างเต็มที่ตั้งแต่ระดับสูงสุดถึงระดับต่ำสุด และเนื่องจากเขตจังหวัดเลยอยู่ใกล้ชิดกับลาวมาก การจัดการปกครองบ้านเมืองบางอย่างคงได้รับอิทธิพลลาวอยู่มาก การบริหารบ้านเมืองได้แบ่งทำเนียบข้าราชการออกเป็น ๕ ขั้น คือ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:53:07 เลย ๓
๑. ตำแหน่งอาชญาสี่ เป็นตำแหน่งบังคับบัญชาสูงสุดของเมือง มี ๔ ตำแหน่ง คือ เจ้าเมือง เป็นผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในกิจการบ้านเมืองทั้งปวง อุปฮาด ทำการแทนเจ้าเมืองในกรณีเจ้าเมืองไม่อยู่หรือไม่สามารถว่าราชการ ได้ และช่วยราชการทั่วไป ราชวงศ์ มีหน้าที่เกี่ยวกับอรรถคดี ตัดสินชำระความ และการปกครอง ราชบุตร มีหน้าที่ควบคุมเก็บรักษาผลประโยชน์ของเมือง (เกี่ยวกับตำแหน่งรองเจ้าเมือง คืออุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตรนี้ มีหลักฐานพอสืบได้จากคนเฒ่าคนแก่ ปรากฏให้ทราบว่าการปกครองสมัยก่อน จัดระบอบมณฑลเทศาภิบาล เช่น ในสมัยพระแก้วอาสา (กองแสง) ปกครองเมืองด่านซ้ายก็ดี และพระยาศรีอัครฮาด (ทองดี) ปกครองเมืองเชียงคานก็ดี มีตำแหน่งรองเจ้าเมืองดังกล่าว คือ อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร อยู่ด้วย) ๒. ตำแหน่งผู้ช่วยอาชญาสี่ ได้แก่ตำแหน่งท้าวสุริยะ ท้าวสุริโย ท้าวโพธิสาร และท้าวสุทธิสารมีหน้าที่ในการพิจารณาคดีพิพากษาและการปกครองแผนกต่าง ๆ ของเมือง ๓. ตำแหน่งขื่อบ้านขางเมือง มีทั้งหมด ๑๗ ตำแหน่ง เช่น เมืองแสน กำกับฝ่ายทหารเมืองจันทน์ กำกับฝ่ายพลเรือน เมืองขวา เมืองซ้าย เมืองกลาง มีหน้าที่ดูแลการพัสดุต่าง ๆ เช่น การปฏิสังขรณ์จัดและกำกับการสักเลก เป็นต้น ๔. ตำแหน่งเพียหรือเพี้ย เป็นองครักษ์เจ้าเมือง เป็นพนักงานติดตามเจ้าเมือง เป็นต้น ๕. ตำแหน่งประจำหมู่บ้าน มี ๔ ตำแหน่ง ได้แก่ท้าวฝ้าย ตาแสง นายบ้าน และจ่าเมืองเทียบได้กับตำแหน่งทางปกครองในปัจจุบันคือ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และสารวัตรหมู่บ้านตามลำดับ สำหรับตำแหน่งขื่อบ้านขางเมือง ๑๗ ตำแหน่ง ดูชื่อแล้วคล้ายกับตำแหน่งข้าเฝ้า เมื่อมีวิญญาณเจ้าเข้าทรงเกี่ยวกับศาลเทพารักษ์ หรืออาฮักหลักเมืองของเมืองด่านซ้ายมาก ตำแหน่งข้าเฝ้าดังกล่าว มีถึง ๑๙ ตำแหน่ง โดยแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่ง ข้าเฝ้าฝ่ายเจ้าเมืองจัง คือ "เจ้ากวน" (ผู้ชายซึ่งมีหน้าที่ให้วิญญาณเจ้าเข้าทรง) มี ๑๐ คน ได้แก่ แสนด่าน แสนหอม แสนฮอง แสนหนูรินทร์ แสนศรีสองฮัก แสนตางใจ แสนกลาง แสนศรีฮักษา แสนศรีสมบัติ และแสนกำกับ ข้าเฝ้าฝ่ายเจ้าเมืองกลาง คือ "นางเทียม" (ผู้หญิงซึ่งมีหน้าที่ให้วิญญาณเจ้าเข้าทรง) มี ๙ คน ได้แก่ แสนเขื่อน แสนคำบุญยอ แสนจันทน์ แสนแก้วอุ่นเมือง แสนบัวโฮม แสนกลางโฮง แสนสุข เมืองแสน และเมืองจันทน์ ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้อาจเป็นตำแหน่งผู้มีหน้าที่ต่าง ๆ ในการดำเนินกิจการบ้านเมืองในสมัยโบราณก็ได้ แต่ไม่ทราบว่าผู้ใดมีหน้าที่อะไรแน่ชัด ที่พอทราบก็มีแสนด่าน และแสนเขื่อน เป็นหัวหน้าของแสนแต่ละฝ่ายเท่านั้น แม้ในทุกวันนี้การเข้าทรงก็ดี ตำแหน่งเจ้ากวนนางเทียม และแสนต่าง ๆ ก็ดีที่อำเภอด่านซ้าย ก็ยังคงมีอยู่เช่นสมัยก่อน ในแต่ละเมืองจะมีอำนาจเต็มที่ในการปกครอง การศาลและการเก็บส่วยสาอากร เช่น ในด้านการศาล คงให้มีการชำระความกันเอง โดยเจ้าเมืองและกรมการเมืองทำหน้าที่ลูกขุนพิจารณาคดี ส่วนการเก็บภาษีอากรก็คงให้อยู่ในอำนาจของแต่ละเมือง สำหรับเมืองซึ่งอยู่ในท้องที่จังหวัดเลย ซึ่งเป็นเมืองเล็กจะขึ้นตรงต่อเมืองเอก หรือเมืองใหญ่อีกต่อหนึ่ง การส่วยสาอากรก็ต้องส่งต่อเมืองเอกทุกปี และเจ้าเมืองตลอดข้าราชการมีการทำพิธีรับพระราช่ทานน้ำพิพัฒน์สัตยาปีละ ๒ ครั้ง หรือปีละครั้งเป็นอย่างน้อย การจัดรูปการปกครองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล ลักษณะการเทศาภิบาล เป็นการปกครองซึ่งเปลี่ยนแปลงให้มีขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วย ตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลในพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งประจำอยู่แต่เฉพาะในราชธานีนั้น ออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาคอันเป็นที่ใกล้ชิดต่ออาณาประชากร เพื่อให้ได้รับความ ร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงแบ่งส่วนการปกครองแว่นแคว้นออกโดยลำดับชั้น เป็นมณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน และแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัด เป็นแผนกพนักงาน ทำนองการแบ่งงานของกระทรวงในราชการ อันเป็นวิถีนำมาซึ่งความเป็นระเบียบเรียบร้อย รวดเร็วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งระงับทุกข์บำรุงสุขด้วยความเที่ยงธรรมแก่อาณาประชาชนและได้มีการแก้ไขลักษณะปกครอง ให้เป็นไปตามพระราช-บัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ.๑๑๖ นั่นคือ ให้ตั้งทำเนียบข้าราชการเสียใหม่ ยกเลิกตำแหน่งทางการปกครอง คือ อาชญาสี่ ได้แก่ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร ในตอนแรกคงใช้แบบเดิมอยู่ ต่อมาจึงค่อยยุบเลิกหมดใน พ.ศ.๒๔๕๐ โดยให้เรียกใหม่เป็น ผู้ว่าราชการเมือง ปลัดเมือง ยกกระบัตรเมือง และผู้ช่วยราชการเมืองตามลำดับแทน ตำแหน่งอื่น ๆ ก็ได้ปรับปรุงให้เหมาะสมด้วย สำหรับส่วนราชการตามระบอบมณฑลเทศาภิบาลแบ่งออกดังต่อไปนี้ มณฑล คือรวมเขตจังหวัดตั้งแต่สองจังหวัดขึ้นไป มากบ้างน้อยบ้าง สุดแต่ให้ความสะดวกในการปกครอง ตรวจตราบัญชาการของสมุหเทศาภิบาล จัดเป็นมณฑลหนึ่ง มีข้าราชการชั้นสูงเป็นผู้บัญชาการเป็นประธานข้าราชการมณฑลหนึ่ง นอกจากตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล ยังมีข้าหลวงรอง เป็นเจ้าหน้าที่แผนกการต่าง ๆ ของมณฑล และมีข้าราชการเจ้าพนักงานสำหรับช่วยปฏิบัติราช-การตามสมควรแก่หน้าที่ สมุหเทศาภิบาลมีอำนาจหน้าที่ปกครองบัญชาการและตรวจตราภาวะการณ์ทั้งปวง และราชการในมณฑล ซึ่งมีบทบัญญัติของรัฐบาลมอบให้เป็นหน้าที่ของเทศาภิบาล รับข้อเสนอและสั่งราชการแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด อันเป็นผลสำเร็จเร็วกว่าที่จังหวัดจะบอกเข้ามายังกระทรวง และคอยฟังคำสั่งจากกรุงเทพ ฯ ดังแต่ก่อน นับเป็นผลดีแก่ทางราชการและประชาชน จังหวัด แต่ก่อนเรียกว่า "เมือง" รวมเขตอำเภอ (เมือง) ตั้งแต่สองอำเภอ (เมือง) ขึ้นไป ถึงหลายอำเภอ (เมือง) ก็มี จัดเป็นจังหวัดหนึ่ง รองถัดจากมณฑลลงมาให้มีอาณาเขตพอควรแก่ความเจริญและความสะดวกในการตรวจตราปกครองจังหวัดหนึ่ง ซึ่งมีข้าราชการผู้ใหญ่ เป็นตำแหน่งผู้ว่า-ราชการเมือง เรียกว่า "ข้าหลวงประจำจังหวัด" และต่อมาเรียกว่า "ผู้ว่าราชการจังหวัด" เป็นหัวหน้าและมีกรมการจังหวัดคณะหนึ่งช่วยบริหารราชการ อำเภอ กิ่งอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน เป็นส่วนรองถัดจากจังหวัดลงมาโดยลำดับชั้นทั้งท้องที่และเจ้าพนักงานมีหน้าที่ปกครองใกล้ชิดกับประชาราษฎร ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค อำเภอหนึ่งมีนายอำเภอเป็นหัวหน้า กิ่งอำเภอมีปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้า ตำบลและหมู่บ้านมีกำนันและผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวหน้าปกครองดูแลตามลำดับ การตั้งมณฑลเทศาภิบาล มณฑลที่ตั้งขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๕ คือก่อน พ.ศ.๒๔๓๗ มี ๖ มณฑล ได้แก่มณฑลลาวเฉียง ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวน ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอุดร (เมืองเลยขึ้นอยู่ในเขตมณฑลนี้) มณฑลลาวกาว ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอีสาน มณฑลเขมร ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลบูรพา มณฑลลาวกลาง ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลนครราชสีมา และมณฑลภูเก็ต มณฑลที่ตั้งครั้งแรกนี้ยังมิได้จัดเป็นลักษณะเทศาภิบาล พ.ศ.๒๔๓๗ ได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นใหม่ ๔ มณฑล คือมณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีน มณฑลราชบุรี และมณฑลนครราชสีมา พ.ศ.๒๔๓๘ ได้จัดตั้งมณฑลขึ้นใหม่ ๓ มณฑล และแก้ไขให้เป็น ลักษณะเทศาภิบาล ๑ มณฑล รวม ๔ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ มณฑลกรุงเก่า และมณฑลภูเก็ต พ.ศ.๒๔๓๙ ได้จัดตั้งมณฑลขึ้นใหม่ ๒ มณฑล และแก้ไขให้เป็นลักษณะเทศาภิบาล ๑ มณฑล รวม ๓ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลชุมพร และมณฑลบูรพา พ.ศ.๒๔๔๐ ได้จัดตั้งมณฑลขึ้นใหม่ ๑ มณฑล คือ มณฑลไทรบุรี พ.ศ.๒๔๔๒ ได้จัดตั้งมณฑลขึ้นใหม่ ๑ มณฑล คือ มณฑลเพชรบูรณ์ พ.ศ.๒๔๔๓ ได้แก้ไขการปกครองมณฑลที่มีอยู่ก่อน พ.ศ.๒๔๓๖ ให้เป็นลักษณะเทศาภิบาล ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอีสาน (เคยเรียกว่ามณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ) และมณฑลอุดร (แบ่งเมืองออกเป็นบริเวณซึ่งมีบริเวณน้ำเหืองตั้งบริเวณที่เมืองเลย รวมอยู่ด้วย) พ.ศ.๒๔๔๙ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ พ.ศ.๒๔๔๙ ได้จัดตั้งมณฑลขึ้นอีก ๒ มณฑล คือ มณฑลจันทบุรี และมณฑลปัตตานี พ.ศ.๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ.๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง ๑ มณฑล เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษ พ.ศ.๒๔๕๕ แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ.๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลขึ้นอีก ๑ มณฑล คือ มณฑลมหาราษฎร์ ในรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนมณฑลกรุงเทฯ เป็นกรุงเทพมหานคร (มณฑลกรุงเทพฯ รัชกาลที่ ๕ ได้โปรดให้ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๘) มณฑลทั้งหมดในราชอาณาจักรครั้งนั้น มีทั้งสิ้น ๒๑ มณฑลด้วยกัน เมื่อได้มีการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้นแล้ว ต่อมาก็ได้มีการแก้ไขปรับปรุงการ ปกครองให้เป็นลักษณะเทศาภิบาลขึ้นดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้การปกครองดำเนินไปอย่างมีระเบียบและเกิดคุณประโยชน์แก่ประชาชนและบ้านเมืองมากขึ้น การปกครองจึงใช้แบบเก่าของไทยเป็นหลัก คือการปกครองแบบพ่อปกครองลูก และวิธีการแบบใหม่ควบคู่ไปด้วย ได้ออกประกาศตักเตือนให้ราษฎรปฏิบัติตามแบบอย่างทางราชการ โดยให้ถือเป็นกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ก. ประกาศให้ราษฎรเสียเงินค่าราชการประจำปี 2.ประกาศให้ราษฎรเมื่อมีคดีขึ้น ให้ฟ้องร้องต่อศาลที่ตั้งขึ้นในแต่ละท้องที่ เช่น ศาลหมู่-บ้าน ศาลอำเภอ ศาลเมือง และศาลข้าหลวง เป็นต้น 3.ประกาศให้ราษฎรเข้ารับราชการทหาร 4.ประกาศให้ราษฎรเลิกเล่นการพนันเลิกสูบฝิ่นและเลิกหลงเชื่อในสิ่งที่ผิด เช่น เลิกสักตามร่างกาย เป็นต้น 5.ประกาศให้ราษฎรใช้หัวแม่มือแตะเอกสารแทนการเขียนรูปร่าง ๆ ลงท้ายเอกสารเช่นแต่ก่อน แต่เนื่องจากความเคยชินของราษฎรที่ปฏิบัติตามประเพณีที่เชื่อถือกันมาแต่เดิม จึงยังไม่เห็นผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นแก่ตนเองและประเทศชาติ เพราะขาดสิ่งที่จะให้ราษฎรเปลี่ยนความคิด คือการให้การศึกษาแก่ราษฎร ประกาศดังกล่าวจึงไม่ค่อยได้ผลนัก นอกจากนี้ยังประกาศเตือนให้ราษฎรปฏิบัติตามกฎหมาย หรือตามความต้องการของทางราชการอื่น ๆ มีการปรับปรุงการศึกษา โดยให้ผู้ชายมีอายุพอสมควร ได้บวชเรียนได้จัดให้ราษฎรเข้าศึกษาในสถานศึกษาที่ทางราชการจัดขึ้น จัดตั้งศาลให้แน่นอน การเก็บภาษีให้รัดกุมไม่รั่วไหล จัดเส้นทางคมนาคม ได้แก่ ถนนทางเกวียนและสะพานให้สะดวก ตลอดจนการสื่อสาร เป็นต้น การปกครองตามเมืองต่าง ๆ นอกจากมีผู้ว่าราชการเมืองแล้ว ยังมีข้าหลวงกำกับอีกด้วย ข้าหลวงที่ได้รับแต่งตั้งได้มอบหน้าที่ให้ไปจัดการเก็บภาษีอากรสุรา ภาษีต่าง ๆ และพิจารณาตัดสินแก้ปัญหาเรื่องเขตเมือง มีการยกฐานะการครองชีพของราษฎร โดยส่งเสริมการทำนา เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น การเก็บภาษีอากร เมื่อเก็บได้นอกจากนำเข้ารัฐแล้ว ยังแบ่งผลประโยชน์ให้ผู้ว่าราชการเมือง และข้าหลวง ตลอดจนกรมการอีกด้วย ต่อมาทางราชการได้พิจารณาปรับปรุงในด้านต่างๆ เช่น การเก็บผลประโยชน์การทหาร การศาล การคมนาคมสื่อสาร และการศึกษา เป็นต้น ซึ่งช่วยให้การปรับปรุงการปกครองในส่วนโครงสร้างได้ผลดียิ่งขึ้น อันเป็นการปรับปรุงขั้นพื้นฐานเป็นผลให้ราษฎรได้เปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นอยู่ได้รับความสะดวก ความยุติธรรม ความสงบสุขมากขึ้นตามลำดับ แผนภูมิการบริหารการปกครองหลังจากประกาศใช้ พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ.๑๑๖ ลำดับการบังคับบัญชา ชื่อตำแหน่งก่อนใช้ พ.ร.บ ลักษณะปกครองท้องที่ รศ.116 ชื่อตำแหน่งภายหลังใช้ พ.ร.บ ลักษณะปกครองท้องที่ รศ. 116 กระทรวงมหาดไทย มณฑล เมือง อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ข้าหลวงต่างพระองค์ เจ้าเมือง ท้าวฝ่าย ตาแสง พ่อบ้านหรือนายบ้าน เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ข้าหลวงต่างพระองค์ ผู้ว่าราชการเมือง นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ๔.๓ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ แล้ว ต่อมาทางราชการได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินสยาม พ.ศ.๒๔๗๖ ให้ยกเลิกวิธีการปกครองตามแบบมณฑลเทศาภิบาล เปลี่ยนเป็นแบบการบริหารราชการส่วนภูมิภาคโดยแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอ โดยรวมพื้นที่หลาย ๆ อำเภอเป็นจังหวัด ระดับจังหวัดมีข้าหลวงประจำจังหวัดเป็นหัวหน้า ร่วมกับคณะกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร ทั้งนี้ เพื่อมิให้หน่วยงานมณฑลซ้ำซ้อนกับจังหวัด เป็นการประหยัดช่วยทำให้การบริหารราช-การรวดเร็วขึ้น เพราะการคมนาคมสื่อสารเจริญก้าวหน้ากว่าแต่ก่อน และรัฐบาลมีนโยบายมอบอำนาจการปกครองให้แก่ส่วนภูมิภาคมากยิ่งขึ้น เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ รัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งเปลี่ยนแปลงจากหลักการเดิมให้จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล และมอบอำนาจบริหารราชการแผ่นดินให้ผู้ว่าราชการจังหวัดโดยเฉพาะ ส่วนคณะกรมการจังหวัดให้มีฐานะเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมาคณะปฏิวัติได้แก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราช-การส่วนภูมิภาคออกเป็น (๑) จังหวัด (๒) อำเภอ โดยกำหนดให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การ ตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดจะทำได้ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ในการบริหารราชการแผ่นดินในเขตจังหวัด-อำเภอหนึ่ง ๆ มีนายอำเภอเป็นผู้บริหาร โดยมีคณะกรมการอำเภอเป็นที่ปรึกษา และในเขตอำเภอหนึ่ง ๆ ยังแบ่งเขตปก ครองออกเป็นตำบลและหมู่บ้านโดยมีกำนันและผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวหน้าปกครองตามลำดับ นอกจากนี้ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ยังกำหนดให้มีการจัดการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการบริหารงานให้กับท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นเจริญก้าวหน้าและเป็นการฝึกประชาชนให้เข้าใจหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วย โดยแบ่งการปกครองส่วนท้องถิ่นออกเป็น ๔ รูป คือ ๑. องค์การบริหารส่วนจังหวัด ๒. เทศบาล ๓. สุขาภิบาล ๔. องค์การบริหารส่วนตำบล ปัจจุบันจังหวัดเลย แบ่งการปกครองออกเป็น ๙ อำเภอ ๒ กิ่งอำเภอ ๗๒ ตำบล และ ๖๒๒ หมู่บ้าน และมีการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด ๑ แห่ง เทศบาล ๑ แห่ง และสุขาภิบาล ๖ แห่ง ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดเลย . กรุงเทพมหานคร : วัฒนาพานิช , ๒๕๒๕ . หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:53:33 หนองบัวลำภู
ความเจริญรุ่งเรืองแห่งอดีต ดินแดนส่วนที่เป็นจังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน ได้ปรากฏหลักฐานแห่งการอยู่อาศัยของ มนุษย์มานานนับพันปี ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หรือก่อนที่มนุษย์จะมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ เริ่มจากการดำรงชีวิตแบบเร่รอนในสังคมล่าสัตว์ ที่มนุษย์อาศัยอยู่ตามถ้ำ เพิงผาหรือริมฝั่งน้ำ แสวงหาอาหารด้วยการจับปลา ล่าสัตว์ และพืชผักที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เร่ร่อนเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัยไปเรื่อยๆ หลักฐานที่ปรากฏให้เห็นได้แก่ ภาพเขียนสี และภาพสลักหินในเขตอำเภอโนนสังที่ถ้ำเสือตก ถ้ำจันใดถ้ำพรานไอ้ ถ้ำอาจารย์สิน และถ้ำยิ้ม หรือภาพเขียนสี ในเขตอำเภอสุวรรณคูหา ที่ถ้ำสุวรรณคูหาและ ถ้ำภูผายา เป็นต้น เรื่อยมาจนถึงการดำรงชีวิตในสังคมกสิกรรมที่มนุษย์เริ่มอยู่รวมกันเป็นชุมชน มีการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทอผ้า ทำเครื่องประดับ และหล่อโลหะแบบง่ายๆ หลักฐานที่ปรากฏให้เห็นได้แก่ แหล่งโบราณคดีกุดกวางสร้อย และกุดคอเมย ในเขตอำเภอโนนสัง ซึ่งพบโครงกระดูกมนุษย์และสัตว์ เศษภาชนะดินเผา เศษเครื่องประดับสำริด รวมทั้งเครื่องมือเหล็กต่างๆ ที่มีอายุร่วมสมัยกับแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงจังหวัดอุดรธานี ชุมชนโบราณในลักษณะนี้มีปรากฏอยู่หลายแห่งในเขตจังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ หรือเมื่อมนุษย์เริ่มมีอาการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ ชุมชนโบราณค่อยๆ มีพัฒนาการเข้าสู่ชุมชนเมือง มีการติดต่อแลกเปลี่ยน ค้าขายระหว่างกัน วัฒนธรรม แบบทวารวดีเข้ามามีอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ประมาณ พ.ศ. ๑๑๐๐- พ.ศ. ๑๕๐๐) ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู พบโบราณวัตถุสมัยทวารวดี เช่น ใบเสมาหินทราย วัดพระธาตุเมืองพิณ อำเภอนากลาง และใบเสมาหินทรายวัดป่าโนนคำวิเวก อำเภอสุวรรณคูหา เป็นต้น เมื่อสิ้นสมัยทวารวดี วัฒนธรรมขอมเริ่มเข้ามามีอิทธิพลสืบแทน (ประมาณ พ.ศ. ๑๕๐๐ - พ.ศ. ๑๗๐๐) ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู พบโบราณสถาน และโบราณวัตถุสมัยขอม เช่น ฐานวิหารศิลาแลง ศิลาจารึก พระธาตุเมืองพิณ อำเภอนากลาง และจารึกอักษรขอมวัดป่าโนนคำวิเวก อำเภอสุวรรณคูหา เป็นต้น จังสันนิษฐานว่า ในสมัยวัฒนธรรมทวารวดี และสมัยวัฒนธรรมขอม ชุมชนโบราณในเขตพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ยังไม่มีลักษณะเป็นชุมชนเมือง แต่คงเป็นชุมชนเล็กๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วไป เมื่อสิ้นสมัยวัฒนธรรมขอม พื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ปลอดจากอิทธิพลของวัฒนธรรมต่างๆ อยู่ระยะหนึ่ง และวัฒนธรรมล้านช้างหรือวัฒนธรรมไทย-ลาว ได้เริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามาแทน ประมาณ พ.ศ. ๒๑๐๖ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แห่งเวียงจันทน์ ได้นำผู้คนอพยพเข้ามาอยู่อาศัย โดยสร้างพระพุทธรูปและศิลาจารึกไว้ที่วัดถ้ำสุวรรณคูหา อำเภอสุวรรณคูหา และมาสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นที่บริเวณหนองซำช้าง ซึ่งเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่เชิงเขาภูพาน โดยสร้างวัดในหรือวัด ศรีคูณเมือง สร้างพระพุทธรูป และสร้างกู่ครอบไว้ สร้างวิหาร ขุดบ่อน้ำ สร้างกำแพงเมืองดินล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน และยกฐานะขึ้นเป็นเมือง "จำปานครกาบแก้วบัวบาน" (ปัจจุบันอยู่ที่บริเวณบ้านเหนือ ตำบลลำภู ในเขตเทศบาลเมืองหนองบัวลำภู) มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองเวียงจันทน์แต่คน ทั่วไปมักนิยมเรียกชื่อเมืองตามลักษณะภูมิประเทศว่า "เมืองหนองบัวลุ่มภู" ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเมืองหนองบัวลำภูในปัจจุบัน พ.ศ. ๒๑๑๗ ในระหว่างที่ไทยเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๑ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ ๑๙ พรรษา ได้ตามเสด็จสมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดา นำกองทัพไทยเพื่อไปช่วยกองทัพกรุงหงสาวดีตีเวียงจันทน์ เมื่อเสด็จประทับพักแรมที่บริเวณหนองซำช้างหรือหนอง-บัวลำภูในปัจจุบัน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ประชวร เป็นไข้ทรพิษ สมเด็จพระมหาธรรมราชา และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงเสด็จนำกองทัพไทย กลับสู่กรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๑๐ ในสมัยพระเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์ ซึ่งตรงกับต้นสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี พระวอ พระตา ขุนนางผู้ใหญ่แห่งเวียงจันทน์ เกิดความขัดแย้งภายในกับราชสำนัก จึงนำกำลังคนอพยพเข้ามาอาศัยเมืองจำปานครกาบแก้วบัวบาน โดยบูรณะและปรับปรุงขึ้นใหม่ สร้างกำแพงหินบนเขาภูพานไว้ป้องกันข้าศึก และเปลี่ยนชื่อเป็น "นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน" ตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นกับเวียงจันทน์ กองทัพเวียงจันทน์ จึงยกทัพมาโจมตีสู้รบกันอยู่ประมาณ ๓ ปี ก็ยังไม่สามารถตีเมืองได้ กองทัพเวียงจันทน์จึงขอให้กองทัพพม่าช่วยเหลือ จึงสามารถตีเมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบานได้สำเร็จ โดยพระตาเสียชีวิตในที่รบ พระวอจึงนำกำลังคนอพยพตามลำน้ำชีไปสร้างเมืองใหม่ที่บ้านดอนมดแดง หรือเมืองอุบลราชธานีในปัจจุบัน นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน จึงกลับไปขึ้นกับเวียงจันทน์อีกครั้งหนึ่ง พ.ศ. ๒๓๒๑ ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกกองทัพไปตีเวียงจันทน์ได้สำเร็จนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน หรือหนองบัวลำภู จึงขึ้นกับราชอาณาจักรไทยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๙ - พ.ศ. ๒๓๗๑ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ เป็นกบฏยกทัพไปยึดเมืองนครราชสีมา ครั้นรู้ว่าทางกรุงเทพฯ เตรียมยกทัพใหญ่มาต่อสู้จึงถอยกลับมาตั้งรับที่หนองบัวลำภู ได้รบกับกองทัพไทยเป็นสามารถ จนพ่ายแพ้กลับเวียงจันทน์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระปทุมเทวาภิบาล เจ้าเมืองหนองคาย ได้แต่งตั้งพระวิชโยดมภมุทธเขต มาสร้างนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบานขึ้นใหม่มีฐานะเป็นเมืองเอก ชื่อเมือง "ภมุทธไสยบุรีรัมย์" หรือ "ภมุทาสัย" โดยมีพระวิชโยดม-ภมุทธเขต เป็นเจ้าเมืองคนแรก การปกครองเมืองในลักษณะนี้ เรียกว่า "ระบบกินเมือง" พ.ศ. ๒๔๓๕ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตน-โกสินทร์ มีสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาคจากระบบกินเมือง โดยรวมหัวเมืองเป็นมณฑลต่างๆ รวม ๖ มณฑล ได้แก่ มณฑลลาวเฉียง มณฑลลาวพวน มณฑลลาวกาว มณฑลเขมร มณฑลลาวกลาง และมณฑลภูเก็ต มีข้าหลวงใหญ่ (เฉพาะมณฑลลาวพวนเรียกข้าหลวงต่างพระองค์) เป็นผู้รับผิดชอบมณฑล เมืองกมุทาสัยถูกจัดเป็นหัวเมืองเอก ๑ ใน ๑๖ หัวเมือง ของมณฑลลาวพวน ซึ่งในขณะนั้นมีกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เสนาบดีกระทรวงวังเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ บัญชาการมณฑลลาวพวน พ.ศ. ๒๔๓๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เปลี่ยนแปลงการ ปกครองหัวเมืองส่วนภูมิภาค เป็นมณฑลเทศาภิบาลและเปลี่ยนตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ หรือข้าหลวงต่างพระองค์เป็นสมุหเทศาภิบาล ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๔๔๒ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เปลี่ยนชื่อมณฑล ลาวพวนเป็นมณฑลฝ่ายเหนือ เมืองกมุทาสัย เป็น ๑ ใน ๑๒ เมือง ขึ้นกับมณฑลฝ่ายเหนือ พ.ศ. ๒๔๔๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เปลี่ยนชื่อมณฑลฝ่าย เหนือ เป็นมณฑลอุดร และให้รวมเมืองต่างๆ ในมณฑลอุดร เป็น ๕ บริเวณ ได้แก่ บริเวณบ้านหมาก-แข้ง บริเวณธาตุพนม บริเวณสกลนคร บริเวณพาชี และบริเวณน้ำเหือง เมืองกมุทาสัย ถูกรวมอยู่ ในบริเวณบ้านหมากแข้ง ซึ่งประกอบด้วย ๗ เมือง คือ เมืองหมากแข้ง เมืองหนองคาย เมืองหนองหาร เมืองกุมภวาปี เมืองกมุทาสัย เมืองโพนพิสัย และเมืองรัตนวาปี ตั้งที่ว่าการบริเวณบ้านหมากแข้ง โดยส่งข้าหลวงจากกรุงเทพฯ ออกไปเป็นข้าหลวงบริเวณควบคุมเจ้าเมืองต่างๆ ซึ่งมีข้าหลวงตรวจราชการประจำเมือง ควบคุมอีกชั้นหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๔๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองกมุทาสัย เป็นเมืองหนองบัวลุ่มภู หรือเมือง "หนองบัวลำภู" หนองน้ำขนาดใหญ่กลางเมืองที่เดิมชื่อหนองซำช้างจึงเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นหนองบัวลำภู หรือ หนองบัวลำภูตามชื่อเมือง และยังคงขึ้นอยู่กับบริเวณหมากแข้ง พ.ศ. ๒๔๕๐ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ กระทรวงมหาดไทยรวมเมืองต่างๆ ในบริเวณหมากแข้งตั้งเป็นเมืองจัตวา เรียกว่าเมืองอุดรธานี ส่วนเมืองในสังกัดบริเวณให้มีฐานะเป็นอำเภอ เมืองหนองบัวลำภู จึงกลายเป็น "อำเภอหนองบัวลำภู" ขึ้นกับจังหวัดอุดรธานี โดยมีพระวิจารณ์กมุทธกิจ เป็นนายอำเภอคนแรก อำเภอหนองบัวลำภู มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาโดยลำดับ มีชุมชนราษฎรหนาแน่นขึ้น ประกอบกับมีอาณาเขตกว้างขวาง พื้นที่ประมาณ ๔,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ไม่สะดวกในการปกครอง ดูแลราษฎร ทางราชการจึงได้ยกฐานะชุมชนที่มีความเจริญแต่อยู่ห่างไกล แยกการปกครองออกจากอำเภอหนองบัวลำภู จัดตั้งเป็นกิ่งอำเภอ รวม ๕ กิ่งอำเภอ ตามลำดับดังนี้ - กิ่งอำเภอโนนสัง (พ.ศ. ๒๔๙๑) - กิ่งอำเภอศรีบุญเรือง (๑๖ กรกฎาคม ๒๕๐๘) - กิ่งอำเภอนากลาง (๑๖ กรกฎาคม ๒๕๐๘) - กิ่งอำเภอสุวรรณคูหา (๑๗ กรกฎาคม ๒๕๑๐) ปัจจุบันกิ่งอำเภอเหล่านี้มีฐานะเป็นอำเภอ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการกระจายอำนาจมายังส่วนภูมิภาค เพื่อประโยชน์ในด้าน การปกครอง การให้บริการของรัฐ การอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน การส่งเสริมให้ท้องที่เจริญยิ่งขึ้น ตลอดจนเพื่อความมั่นคงของชาติ จึงได้พิจารณาเห็นว่าจังหวัดอุดรธานี มีอาณาเขตกว้างขวางและมีพลเมืองมาก สมควรแยกอำเภอหนองบัวลำภู อำเภอนากลาง อำเภอโนนสัง อำเภอศรีบุญเรือง และอำเภอสุวรรณคูหา ออกจากการปกครองของจังหวัดอุดรธานี ตั้งขึ้นกับจังหวัดหนองบัวลำภู โดยเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๓๖ คณะรัฐมนตีได้มีมติเห็นชอบให้หลักการจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภู ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และต่อมาคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภู ตามร่างเสนอของนายเฉลิมพล สนิทวงศ์ชัย และคณะแล้วประกาศจัดตั้งเป็นจังหวัดหนองบัวลำภูตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๖ โดยประกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๑๑๐ ตอนที่ ๑๒๕ ลงวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๖ จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน จังหวัดหนองบัวลำภู ตั้งอยู่ทางทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ตามทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข ๒๑๐ เป็นระยะทาง ๖๐๘ กิโลเมตร หรือตามเส้นทางกรุงเทพฯ - ชัยภูมิ หนองบัวลำภู ประมาณ ๕๑๘ กิโลเมตร ห่างจากจังหวัดอุดรธานี ประมาณ ๔๖ กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ ๓,๘๕๙ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๒.๔ ล้านไร่ ภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง ทางตอนบนจะเป็นพื้นที่ภูเขาสูง แล้วลาดลงไปทางทิศใต้ และทิศตะวันออก ความสูงเฉลี่ยประมาณ ๒๐๐ เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินปนทราย และลูกรัง อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย ๓๕ องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด เฉลี่ย ๑๕ องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย ๙๒๘ มิลลิเมตรต่อปี ปัจจุบันแบ่งเขตการปกครองเป็น ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองหนองบัวลำภู อำเภอโนนสัง อำเภอศรีบุญเรือง อำเภอนากลาง อำเภอสุวรรณคูหา และอำเภอนาวัง ประกอบด้วย ๕๘ ตำบล ๖๓๑ หมู่บ้าน ๙๗,๘๑๖ หลังคาเรือน ประชากรรวม ๔๘๗,๐๕๕ คน เฉลี่ยความหนาแน่นของประชากรเท่ากับ ๑๓๑.๕๓ คน ต่อตารางกิโลเมตร มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๓ คน ที่มา : สำนักงานจังหวัดหนองบัวลำภู หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:53:58 สกลนคร
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (รวมทั้งบริเวณฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) เดิมเรียกว่า อาณาจักรโคตรบูรณ์ ซึ่งเป็นอาณาจักรของขอมสมัยเรืองอำนาจในดินแดนแถบนี้ ขอมได้ตั้งเมืองศรีโคตรบูรณ์เป็นราชธานี และได้ตั้งเมืองพิมายเป็นเมืองอุปราช หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของอาณาจักรโคตรบูรณ์ คือ พระธาตุพนมและพระธาตุอื่นๆ ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน ในดินแดนที่เป็นอาณาจักรโคตรบูรณ์ดังกล่าว เมืองหนองหานหลวงก็เป็นเมืองหนึ่งของอาณาจักรนี้ ช่วงเวลาที่มีหลักฐานประกอบการตั้งชุมชนรอบๆ หนองหานอยู่ในสมัยของขอมเรืองอำนาจดังกล่าว ปรากฏในโบราณสถานหลายแห่ง เช่น พระธาตุนารายณ์เจงเวงหรือพระธาตุนารายณ์เชงเวง พระธาตุภูเพ็ก พระธาตุดุม และสะพานขอม เป็นต้น ประกอบกับตำนานอุรังคนิทานได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในสมัยพุทธกาล กรุงอินทรปัต มีอำนาจครอบคลุมดินแดนแถบนี้ และมีเมืองหนองหานหลวงขึ้นกับกรุงอินทรปัต เมืองหนองหานหลวงเป็นเมืองเอกที่เป็นศูนย์กลางอำนาจปกครองของขอม หลักฐานที่แสดงว่าเมืองหนองหานหลวงเป็นเมืองเอกของขอมที่ปรากฏชัดคือ ศิลปวัตถุที่พบในบริเวณแถบนี้สร้างด้วยศิลปแบบขอมทั้งสิ้น โดยใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุสำคัญ ประกอบด้วยหน้าบันชั้นมุข ฯลฯ แบบขอมซึ่งสรุปได้ว่า กลุ่มผู้คนที่อาศัยในดินแดนแถบนี้มีความรู้ในการสร้างศิลปแบบขอมเป็นอย่างดี หลักฐานที่อ้างได้ไม่เฉพาะแต่โบราณสถานเท่านั้น ในโบราณวัตถุหลายอย่าง ได้ขุดค้นพบในรอบๆ บริเวณหนองหาน ดังเช่นที่หมู่บ้านดงชน บ้านหนองสระ บ้านเหล่ามะแงว ตำบลดงชน อำเภอเมืองสกลนคร เป็นต้น ในศิลาจารึกที่มีผู้ค้นพบและนำมาตั้งไว้ ณ วัดสุปัฏวนาราม อุบลราชธานี ได้เอ่ยถึงพระนามของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ซึ่งบรรดาปราชญ์ทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นกษัตริย์องค์สำคัญองค์หนึ่งของกัมพูชาซึ่งมีเดชานุภาพมาก นับแต่รัชกาลของพระองค์เป็นต้นมา อิทธิพลของขอมได้แพร่หลายทั่วไปในอีสาน (ยกเว้นบริเวณลุ่มน้ำชี) ลัทธิศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็แพร่หลายตามลำน้ำโขงขึ้นไปจนถึงสกลนคร และอุดรธานี เมืองโบราณที่สำคัญเช่น เมืองหนองหาน-หลวง (สกลนคร) ก็คงเจริญขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๖ นี้ สังเกตได้จากลักษณะผังเมืองรูปสี่เหลี่ยมแบบสม่ำเสมอ สระน้ำและ ศาสนสถานที่สำคัญ คือ ปราสาทพระธาตุนารายณ์เฮงเกง และพระธาตุดุม เป็นต้น การเข้ามามีอิทธิพลของขอมในดินแดนแถบนี้ ยังไม่ทราบว่าเข้ามามีอิทธิพลโดยลักษณะใด เช่น อาจเป็นความนิยมของเจ้าผู้ครองนครเมืองต่างๆ ที่จะรับวัฒนธรรมฮินดูเพื่อส่งเสริมบารมีแห่งฐานะความเป็นกษัตริย์ของตนเองหรืออาจตกอยู่ใต้อิทธิพลทางการเมือง หรือมีความสัมพันธ์กันโดยการแต่งงานก็อาจเป็นได้ สมัยกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงธนบุรี หลังจากขอมเสื่อมอำนาจและหมดอิทธิพลจากดินแดนแถบนี้แล้ว ก็ไม่ปรากฏหลักฐานอะไรหลงเหลืออีกเลย เข้าใจว่าอำนาจของกรุงศรีอยุธยาอาจแผ่ไปไม่ถึงดินแดนแถบนี้ สังเกตได้จากศิลปและวัฒนธรรมของอยุธยาไม่ปรากฏให้เห็นเลย มีปรากฏให้เห็นเฉพาะอิทธิพลของขอม และอาณาจักรลานช้างเท่านั้น ในหนังสือประวัติศาสตร์อีสาน กล่าวว่า ภายหลังรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ไปแล้ว อิทธิพลของวัฒนธรรมขอมก็ค่อยๆ เสื่อมลงในภาคอีสานไม่ค่อยปรากฏการสร้างปราสาทหินขึ้นมาแต่อย่างใด เมื่อตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ก็สลายตัว อันเนื่องมาจากการแพร่หลายของพุทธศาสนา ลัทธิลังกาวงศ์บรรดาปราสาทหินและศาสนสถานแต่เดิมหลายแห่งถูกเปลี่ยนให้เป็นวัดหรือพุทธสถานแทน จากข้อความดังกล่าวข้างต้นได้สอดคล้องกับหลักฐานที่ปรากฏในประวัติตำนานพงศาวดารเมืองสกลนครของพระยาประจันตะประเทศธานี (โง่นคำ) ที่กล่าวไว้ว่า เมื่อสิ้นพระชนม์พระยาสุวรรณภิงคารแล้ว เสนาบดีข้าราชการผู้ใหญ่ชาวเขมรก็สมมุติกันเป็นเจ้าเมืองต่อมา เมื่อปีหนึ่งเกิดทุกขภัยคือ ฝนแล้ง ราษฎรไม่ได้ทำนาถึง ๗ ปี เกิดความอัตคัดขัดสนข้าวปลาอาหารเป็นอันมาก เจ้าเมือง กรมการ และราษฎรชาวเขมรที่อยู่ในเมืองหนองหานหลวงก็ทิ้งเมืองให้เป็นเมืองร้าง แต่จะร้างมาได้กี่ปีไม่ปรากฏ ปรากฏแต่ที่ดินว่างเปล่าหลงเหลืออยู่รอบบริเวณพระธาตุ ภายหลังขอมเสื่อมอำนาจลง บริเวณดินแดนลุ่มน้ำโขงของภาคอีสานในยุคนั้นกลับรุ่งเรืองขึ้น อันเนื่องมาจากการเจริญขึ้นของอาณาจักรลานช้างซึ่งเกิดขึ้นแทนที่อาณาจักรโคตรบูรณ์ หลักฐานที่ปรากฏว่าอาณาจักรลานช้างได้รุ่งเรืองถึงดินแดนแถบนี้ คือ พระธาตุก่องข้าวน้อย ที่บ้านตาดทอง จังหวัดยโสธร พระธาตุบ้านแก้ง อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น และในสมัยต่อมาอิทธิพลของอาณาจักรลานช้างก็รุ่งเรืองในดินแดนแถบนี้ หลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่า ดินแดนในบริเวณจังหวัดสกลนครในสมัยอยุธยาตอนปลาย ต่อเนื่องกับสมัยกรุงธนบุรีได้รับอิทธิพลของอาณาจักรลานช้างอีกประการหนึ่ง คือ ในสมัยนั้นชาวภูไท และชาวโซ่ (ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของจังหวัดสกลนคร) ได้อพยพเคลื่อนย้ายมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง การอพยพดังกล่าวเกิดขึ้นหลายรุ่น จึงทำให้ชาวภูไทและชาวโซ่อยู่กระจัดกระจายบริเวณพื้นที่ในจังหวัดนครพนมและจังหวัดสกลนคร และต่อมาก็ได้เจริญรุ่งเรืองกลายเป็น เมืองพรรณานิคม และเมืองกุสุมาลย์ ซึ่งในปัจจุบันอำเภอพรรณานิคมจะปรากฏชาวภูไทยอยู่อาศัยเป็นส่วนมาก ในขณะที่อำเภอกุสุมาลย์ในปัจจุบันก็มีชาวโซ่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาและธนบุรีเป็นเมืองหลวงของไทยนั้น ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดสกลนครโดยตรงไม่ปรากฏเรื่องราวไว้แต่อย่างใด เข้าใจว่าในสมัยอยุธยาเป็นราชธานี จังหวัดสกลนครคงเป็นชุมชนเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เลย และคงได้รับอิทธิพลของอาณาจักรลานช้างมากกว่าอาณาจักรอยุธยาดังกล่าวแล้ว ในสมัยกรุงธนบุรีก็ไม่ปรากฏเรื่องราวเกี่ยวกับจังหวัดสกลนครอยู่เลย เพียงปรากฏในพงศาวดารบางฉบับที่กล่าวถึงสงครามระหว่างกรุงธนบุรีกับอาณาจักรลานช้าง ที่กล่าวพาดพิงถึงจังหวัดนครพนมบ้างเท่านั้น เข้าใจว่าจังหวัดสกลนครในสมัยนั้นคงขึ้นอยู่กับอาณาจักรลานช้างบ้าง เป็นเมืองขึ้นของไทยบ้าง แล้วแต่ฝ่ายใดจะมีอำนาจมากกว่ากัน แต่ได้ปรากฏหลักฐานแน่ชัดอีกครั้งในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งจะได้กล่าวถึงในตอนต่อไป สมัยรัตนโกสินทร์ ประวัติศาสตร์ชุมชนในเขตจังหวัดสกลนคร ได้ขาดหายไปหลังจากที่ขอมหมดอำนาจลง ดังกล่าว แต่ได้ทราบหลักฐานแน่ชัดอีกครั้งหนึ่งจากเพี้ยศรีครชุม หัวหน้าปฏิบัติพระธาตุเชิงชุม เล่าสืบต่อกันมา แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าปีใด ศักราชเท่าใด และในแผ่นดินรัชสมัยใด ในแผ่นดินสยาม จะเป็นรัชกาลที่เท่าใดไม่ปรากฏ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์ อพยพครอบครัวมารักษาพระธาตุเชิงชุมอยู่หลายปี อุปฮาดได้พาครอบครัวบ่าวไพร่ขึ้นมาอยู่ในบ้านธาตุเชิงชุม พร้อมทั้งได้เกลี้ยกล่อมบ่าวไพร่ให้มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดเชิงชุมหลายตำบล พระเจ้าแผ่นดินสยาม โปรดให้ตั้งอุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์เป็นพระธานี เปลี่ยนนามเมืองหนองหานหลวงเป็นเมืองสกลทวาปี ให้พระธานีเป็นเจ้าเมือง ขึ้นแก่กรุงสยามต่อมาหลายชั่วเจ้าเมือง ในปีพุทธศักราช ๒๓๗๐ ผู้ครองเมืองเวียงจันทน์คิดขบถต่อกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงสยาม (รัชกาลที่ ๓) โปรดฯ ให้กองทัพหลวงขึ้นมาปราบปรามเมืองเวียงจันทน์ แม่ทัพได้มาตรวจราชการเมืองสกลทวาปี เจ้าเมืองกรมการเมืองสกลทวาปี ไม่ได้เตรียมกำลังทหารลูกกระสุนดินดำ เสบียงอาหารไว้ตามคำสั่งแม่ทัพ แม่ทัพเห็นว่าเจ้าเมืองสกลทวาปีขบถกระทำการขัดขืนอำนาจอาญาศึก จึงเอาตัวพระธานีเจ้าเมืองสกลทวาปี ไปประหารชีวิตเสียที่เมืองหนองไชยขาว แม่ทัพนายกองฝ่ายสยามกวาดต้อนครอบครัวลงไปอยู่เมืองกระบิลจันทคามเป็นอันมาก ยังเหลืออยู่ได้รักษาพระธาตุเชิงชุมแต่พวกเพี้ยศรีครชุมบ้านหนองเ..เซนเซอร์..ยน บ้านจันทร์เพ็ญ บ้านอ้อมแก้ว บ้านนาเวง บ้านพาน บ้านนาดี บ้านวังยาง บ้านผ้าขาว บ้านพันนาเท่านั้น เมืองสกลนครก็เป็นเมืองร้างไม่มีเจ้าเมืองปกครองอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกองทัพไทยยกไปปราบเจ้าอนุเมืองเวียงจันทน์นั้น สามารถเข้าตีทัพอนุเจ้าเมือง เวียงจันทน์จนแตกพ่าย เข้ายึดเมืองได้ เจ้าอนุหนีไปอยู่เมืองมหาชัยกองแก้ว พ.ศ. ๒๓๗๕ กองทัพพระราชสุภาวดี ยกติดตามไปตีเมืองมหาชัยกองแก้วแตก เจ้าอนุวงศ์และพระพรหมอาษา (จุลนี) เจ้าเมืองมหาชัยกองแก้ว หนีไปอยู่เมืองญวนและถึงแก่กรรมที่นั้น พ.ศ. ๒๓๗๘ อุปฮาดตีเจา (ดำสาย) ราชวงศ์ (ดำ) และท้าวชินผู้น้อง ได้พาครอบครัวบ่าวไพร่มาพึ่งบรมโพธิสมภารพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ได้เข้าหาแม่ทัพที่เมืองสกลทวาปี เจ้าเมืองอุปราชและมหาสงครามแม่ทัพสั่งให้นำตัวลงไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งภูมิลำเนาในเมืองสกลทวาปีได้ พ.ศ. ๒๓๘๐ อุปฮาดตีเจา (ดำสาย) ป่วยถึงแก่กรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ราชวงศ์ (ดำ) เมืองมหาชัยเป็นเจ้าเมืองสกลทวาปี ท้าวชินเป็นราชวงศ์เมืองสกลทวาปี ราชบุตร (ด่าง) เมืองกาฬสินธุ์เป็นราชบุตรเมืองสกลทวาปี พ.ศ. ๒๓๘๑ ราชวงศ์ (ดำ) เจ้าเมืองสกลทวาปีลงไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมตั้งให้ราชวงศ์ (ดำ) เป็นพระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนคร เปลี่ยนนามสกลทวาปีเป็นเมืองสกลนคร และโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแบ่งเขตแดนเมืองนครพนม เมืองมุกดาหาร เมืองหนองหาน ให้เป็นเขตแดนเมืองสกลนคร โดยเฉพาะต่างหากจากเมืองอื่น การปกครองเมืองสกลนครในยุคนี้นั้น ยังคงใช้ระบอบการปกครองหัวเมืองโบราณอยู่ ผู้ปกครอง (กรมการเมือง) ประกอบด้วย เจ้าเมือง อุปฮาด (อุปราช) ราชวงศ์ และราชบุตร ซึ่งแต่ละตำแหน่งมีอำนาจหน้าที่ดังนี้ ๑. เจ้าเมืองเป็นผู้ที่มีหน้าที่บังคับบัญชาสิทธิขาด สั่งราชการบ้านเมืองทั้งปวงและบังคับบัญชากรมการเมือง หรือกิจการเกี่ยวกับการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของราษฎรในแคว้นบ้านเมืองที่ปกครอง การแต่งตั้งถอดถอนคณะกรมการเมืองเป็นพระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดิน นอกจากการแต่งตั้งถอดถอนกรมการเมืองระดับรองเท่านั้นจึงเป็นอำนาจของเจ้าเมือง ๒. อุปฮาด (อุปราช) สมัยต่อมาเรียกปลัดอำเภอ เป็นผู้มีหน้าที่ทำการแทนในกรณีเจ้าเมืองไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ราชการได้ หน้าที่โดยเฉพาะคือการปกครองทั่วไป เป็นหัวหน้าในทางที่ปรึกษาหารือข้อราชการกรมการเมืองตำแหน่งรองลงไป และเป็นผู้รวบรวมสรรพบัญชีส่วยอากร ตามที่ทางราชการกำหนดและยังทำหน้าที่ออกประกาศส่งเกณฑ์กำลังพลเมืองเพื่อทำศึกสงครามอีกด้วย ๓. ราชวงศ์ ต่อมาเรียกสมุหอำเภอ โดยมากมักแต่งตั้งจากเครือญาติของเจ้าเมืองแต่ไม่เสมอไป ทั้งนี้แล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มีหน้าที่ทำการแทนอุปฮาดในกรณีที่อุปฮาดไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ แต่หน้าที่ตามปกติแล้วเกี่ยวกับอรรถคดีตัดสินถ้อยความและควบคุมการเก็บรักษาผลประโยชน์แผ่นดินของเมือง ๔. ราชบุตร ต่อมาเรียก เสมียนอำเภอ มีหน้าที่ช่วยราชวงศ์ ควบคุมการเก็บรักษาผลประโยชน์แผ่นดินของเมือง และเป็นผู้นำเงินส่วยส่งเจ้าพนักงานใหญ่ในหัวเมืองเอกหรือเมืองหลวง ส่วนอำนาจการปกครองจากกรุงเทพฯ มีการควบคุมหัวเมืองเล็กเมืองน้อยพอสรุปได้ คือ ๑. อนุมัติการตั้งเมือง และอนุมัติการขอขึ้นกับเมืองอื่นหรือกรุงเทพฯ ๒. แต่งตั้งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร ส่วนใหญ่มักเป็นเพียงหลักการและวิธีการเท่านั้น ๓. รับแรงงานจากเลข หรือรับสิ่งของจากส่วยจากหัวเมืองเหล่านั้น พ.ศ. ๒๓๘๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้ราชวงศ์ (อิน) ขึ้นไปเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองอื่นที่ยังขัดขืนอยู่ ราชวงศ์ (อิน) ไปเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองวังและบุตรหลานบ่าวไพร่เจ้าเมืองเป็นอันมาก กับได้ท้าวเพี้ยเมืองสูง เพี้ยบุตโคดหัวหน้าข่า กะโล้และบ่าวไพร่เข้ามาสู่พระบรมโพธิสมภารเป็นอันมาก พ.ศ. ๒๓๘๗ โปรดเกล้าฯ ให้ท้าวโรงกลาง พระเสนาณรงค์เป็นเจ้าเมืองพรรณานิคมยกบ้านพังพร้าวเป็นเมืองพรรณานิคม ตั้งเมืองกุสุมาลย์มณฑลให้ขึ้นกับเมืองสกลนคร ให้เพี้ยเมืองสูง ข่า กะโล้ เป็นหลวงอารักษ์อาญาเจ้าเมืองกุสุมาลย์มณฑล เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๓ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้ท้าวโถงเจ้าเมืองมหาชัยเป็นอุปฮาด ให้ท้าวเหม็นน้องชายอุปฮาด (โถง) เป็นราชบุตรเมืองสกลนคร พ.ศ. ๒๓๙๖ เกิดเพลิงไหม้ในเมืองสกลนคร ทรัพย์สินเสียหายมาก ยังเหลืออยู่แต่พระเจดีย์เชิงชุมวัดธาตุศาสดาราม เจ้าเมือง กรมการพากันอพยพครอบครัวออกไปตั้งอยู่ดงบากห่างจากเมืองเดิมประมาณ ๕๐ เส้น พ.ศ. ๒๔๐๐ ไทยโย้ย กรมการเมืองสกลนคร มีความคิดแตกแยกกันออกเป็น ๒ กลุ่ม พวกหนึ่งมีนายจารดำเป็นหัวหน้าไปร้องสมัครขอเป็นเมืองขึ้นเมืองยโสธร อีกพวกหนึ่งมีเพี้ยติ้วซ้อยเป็นหัวหน้าไปร้องขอเป็นเมืองขึ้นเมืองนครพนม รัชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งนายจารดำเป็นหลวงประชาราษฎร์รักษายกบ้านกุดลิงแขวงเมืองยโสธรเป็นเมืองวานรนิวาส ให้หลวงประชาราษฎร์รักษาเป็น เจ้าเมืองขึ้นกับเมืองยโสธร แต่เจ้าเมืองกรมการและราษฎรยังคงตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านแห่กุดชุมภูในแขวงเมืองสกลนครตามเดิม (ภายหลังเมืองวานรนิวาสเปลี่ยนการปกครองกลับมาขึ้นเมืองสกลนครตามเดิม) และโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านม่วงน้ำยามเป็นเมืองอากาศอำนวย ให้เพียงติ้วซ้ายเป็นหลวงผลานุกูลเป็นเจ้าเมือง ขึ้นกับเมืองนครพนม พ.ศ. ๒๔๐๑ เจ้าเมือง กรมการ และราษฎรเมืองสกลนครที่ไปตั้งอยู่ที่ดงบาก เพราะอัคคีภัย พากันอพยพครอบครัวกลับภูมิลำเนาเดิม ราชวงศ์ (อิน) ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๔๐๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านโพหวาเป็นเมืองภูวดลสอาง และให้ราชบุตร (เหม็น) เป็นพระภูวดลบริรักษ์เป็นเจ้าเมือง และโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านโพนสว่างหาดยาวริมน้ำปลาหางเป็นเมืองสว่างแดนดิน โดยให้ท้าวเทพกัลยาหัวหน้าไทยโย้ยเป็นเจ้าเมืองให้นามว่า พระสิทธิศักดิ์ประสิทธิ์ ขึ้นกับเมืองสกลนคร ในปี พ.ศ. ๒๔๐๖ นี้เองเกิดฝนแล้งที่เมืองร้อยเอ็ดและเมืองอุบล ราษฎรต่างได้รับความอดอยาก พากันอพยพครอบครัวมาอยู่ในเขตเมืองสกลนครเป็นอันมาก เพราะเมืองสกลนครยังมีชาวในบ้านเมืองอยู่บ้าง ประกอบกับการหาของป่าพอเลี้ยงตัวไปได้ ในปีต่อมาเกิดฝนแล้งทำนาไม่ได้ในเมืองสกลนคร แต่ราษฎรก็มิได้อพยพออกไปจากเมือง อาศัยของป่าและทำนาแซง (นาปรัง) พอประทังชีวิต ใน พ.ศ. ๒๔๑๐ ปลายรัชกาลที่ ๔ ได้โปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ปิด บุตรอุปราชตีเจา (ดำสาย) เป็นราชวงศ์ และให้ท้าวลาดบุตรอุปฮาด (โถง) เป็นราชบุตรเมืองสกลนครแทน ตำแหน่งราชวงศ์และราชบุตรที่ว่างอยู่ พ.ศ. ๒๔๑๕ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ พวกข่ากระโล้ เมืองกุสุมาลย์ เกิดการแย่งชิงอำนาจกัน ท้าวขัตติยไทยข่ากระโล้ ขอขึ้นต่อเมืองสกลนคร โดยแยกออกจากเมืองกุสุมาลย์ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านนาโพธิ์แขวงเมืองสกลนครขึ้นเป็นเมืองโพธิไพศาลนิคม และตั้งให้ท้าวขัตติยเป็นพระไพศาลสีมานุรักษ์ เป็นผู้ปกครองเมืองต่อไป ในปีนี้พระยาประเทศธานี เจ้าเมืองได้ขออนุมัติตั้งตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าราชการเมือง เพราะเมืองสกลนครมีเมืองขึ้นถึง ๖ เมือง จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท้าวโง่นคำเป็นพระยาศรีสกุลวงศ์ ให้เป็นผู้ช่วยราชการเมืองสกลนคร พ.ศ. ๒๔๑๘ เกิดการจลาจลของจีนฮ่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ จึง โปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น) เป็นแม่ทัพคุมทหารกรุงเทพฯ กับไพร่พลหัวเมืองลาวไปตั้งทัพสู้ที่เมืองหนองคาย เมืองสกลนคร ได้ยกพลไปช่วย ๑,๐๐๐ คน โดยมีราชวงศ์ (ปิด) กับพระศรีสกุลวงศ์ (โง่นคำ) เป็นหัวหน้า และรบกับจีนฮ่อจนได้ชัยชนะ พ.ศ. ๒๔๑๙ พระยาประเทศธานี (คำ) ถึงแก่กรรม เมืองสกลนครเกิดโรคระบาดร้ายแรง อุปฮาด (โถง) กับราชบุตร (ลาด) ก็ถึงแก่กรรมด้วยโรคนี้ ราษฎรต่างล้มตายเป็นจำนวนมาก ทางราชการได้แต่งตั้งให้ราชวงศ์ (ปิด) เป็นผู้รักษาราชการเมือง พ.ศ. ๒๔๒๐ โปรดเกล้าฯ ให้พระศรีสกุลวงศ์ผู้ช่วย (โง่นคำ) เป็นอุปฮาด ให้ท้าวฟองบุตรพระประเทศธานี (คำ) เป็นราชวงศ์เมืองสกลนคร และในปีต่อมาได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ราชวงศ์(ปิด) เป็นพระยาประจันตประเทศธานีเป็นเจ้าเมืองสกลนครต่อไป ในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ รัชกาลที่ ๕ ได้โปรดเกล้าให้เจ้าเมืองและกรมการเมืองสกลนคร ลงไปกรุงเทพฯ เพื่อร่วมสมโภชพระนครครบ ๑๐๐ ปี ในงานนี้อุปฮาด (โง่นคำ) ได้คุมสิ่งของต่างๆ ลงไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในการสมโภชน์พระนครเป็นจำนวนมาก โปรดพระราชทานเหรียญสัตพรรษ์-มาลาเงินแก่เจ้าเมือง และกรมการเมืองเป็นที่ระลึก ในปี พ.ศ. ๒๔๒๖ บาดหลวงอเลกซิสโปรดม ชาวฝรั่งเศส มาตั้งโรงเรียนสอนศาสนาโรมันคาทอลิกขึ้นที่บ้านท่าแร่ แขวงเมืองสกลนคร มีผู้คนเข้ารีตถือคริสต์เป็นจำนวนมาก และบาดหลวงได้สร้างวัดสร้างโบสถ์ขึ้นมากมาย ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้นอำนาจทางศาสนาของบาดหลวงลดลง ราษฎรพากันออกจากศาสนาของบาดหลวงเป็นจำนวนมาก โดยมากก็คงเป็นชาวบ้านท่าแร่แห่งเดียวที่ยังนับถือศาสนาโรมันคาทอลิกจนถึงปัจจุบันนี้ พ.ศ. ๒๔๒๗ เกิดขบถจีนฮ่อที่เมืองเขียงของทุ่งเชียงคำ (ทุ่งไหหิน) ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงรัชกาลที่ ๕ ได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระยาราชวรานุกูลเป็นแม่ทัพคุมกองทัพไทยลาวยกไปปราบโดยตั้งทัพที่เมืองหนองคายเช่นเดิม พระยาอุปฮาด (โง่นคำ) และราชวงศ์ (ฟอง) เป็นนายทัพต่อมาได้รับข่าวว่าพระยาประจันตประเทศธานี (ปิด) เจ้าเมืองป่วยถึงแก่กรรมแม่ทัพจึงโปรดให้พระอุปฮาด (โง่นคำ) กลับมารักษาราชการบ้านเมือง พ.ศ. ๒๔๓๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระอุปฮาด (โง่นคำ) เป็นพระยาประจันตประเทศธานี ปกครองเมืองสกลนครสืบต่อมา อีก ๒ ปี ต่อมาได้ โปรดเกล้าฯ ให้ท้าวเมฆบุตรราชวงศ์ (อิน) เป็นราชบุตรเมืองสกลนคร ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เสด็จขึ้นมาจัดการหัวเมืองลาวพวน และโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนแปลงหัวเมืองฝ่ายเหนือเป็นมณฑลลาวพวน พระองค์ทรงเป็นข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลลาวพวนเป็นพระองค์แรก ซึ่งระบบการปกครองแบบใหม่นี้เองที่เรียกว่าการจัดการปกครองแบบเทศาภิบาล อันหมายถึงการ จัดให้มีข้าหลวงไปกำกับรักษาราชการตามหัวเมืองทุกเมือง และจากนี้ต่อไปเมืองสกลนครก็จัดรูปแบบการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นระบอบมณฑลเทศาภิบาลสืบไป การตั้งข้าหลวงจากส่วนกลาง (กรุงเทพฯ) มาเป็นข้าหลวงรักษาราชการเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี้ เป็นการขยายอำนาจจากส่วนกลางเข้ามาในภาคอีสาน เริ่มตั้งแต่ต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ต้องเผชิญกับการคุกคามของมหาอำนาจตะวันตก การที่จะรักษาไว้ซึ่งดินแดนของตนให้คงอยู่ต่อไปก็อยู่ที่การกำหนดเส้นเขตแดนของตนให้แน่นอน และเป็นการรับรองของมหาอำนาจประการหนึ่ง การเข้ามาควบคุมหัวเมืองชั้นนอกเป็นการแสดงสิทธิของตนประการหนึ่ง และเพื่อป้องกันมิให้เกิดกรณีพิพาทกับมหาประเทศคู่สัญญาในหัวเมืองชั้นนอกอีกประการหนึ่งด้วย การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นแบบการปกครองอันสำคัญที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงค์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น ระบบการปกครองแบบนี้เป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางออกไปบริหารราชการในส่วนภูมิภาค เป็นรูปแบบของการจัดให้อำนาจการปกครองมารวมอยู่จุดเดียวกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นระบบการรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง ริดรอนอำนาจเจ้าเมืองตามระบอบเก่า การปกครองระบอบเทศาภิบาลอยู่ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๓๕-๒๔๕๘ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ตำนานพงศาวดารเมืองสกลนคร ฉบับพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้กล่าวถึงรูปแบบการปกครองและเหตุการณ์ที่สำคัญ ๆ ไว้อย่างละเอียดพอสมควร ดังพอสรุปได้ว่า หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:54:16 สกลนคร ๒
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระยาสุริยเดช (กาจ) มาเป็นข้าหลวงเมืองสกลนครเป็นคนแรก และข้าหลวงเมืองสกลนครพระองค์นี้ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารราชการ กล่าวคือ ให้ยกเลิกกอง เปลี่ยนเป็นหมู่บ้าน และตำบล และให้มีการเลือกผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ปกครองหมู่บ้าน และตำบลด้วย พ.ศ. ๒๔๓๖ ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้สำเร็จราชการมณฑลลาวพวน เสด็จจากเมืองหนองคายมาตั้งบ้านเมืองที่ตำบลหมากแข้ง เปลี่ยนนามมณฑลลาวพวนเป็นมณฑลฝ่ายเหนือ พ.ศ. ๒๔๓๗ จ่าช่วงไฟประทีปวังซ้าย (ช่วง) ได้รับแต่งตั้งเป็นข้าหลวงเมืองสกลนคร และได้มีการเปลี่ยนแปลงระเบียบบริหารราชการบางอย่าง คือให้ตั้งกรมเมือง กรมวัง กรมคลัง กรมนาขึ้น และได้แบ่งเขตแดนเมืองสกลนครขึ้น เมืองนครพนม เมืองหนองหาน และเมืองมุกดาหารออกจากกันอย่างชัดเจน พ.ศ. ๒๔๓๘ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เสด็จมาตรวจราชการเมืองสกลนคร และแต่งตั้งให้นายปรีดาราช เป็นข้าหลวงเมืองสกลนคร พ.ศ. ๒๔๓๙ นายปรีดาราช ข้าหลวงถึงแก่กรรม โปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งนายฉลองไนย -นารถ (ไมย) เป็นข้าหลวงเมืองสกลนคร และได้เปลี่ยนแปลงให้เมืองกุสุมาลย์และเมืองโพธิไพศาลไปขึ้นกับเมืองนครพนม ให้เมืองวาริชภูมิซึ่งเป็นเมืองขึ้นเมืองหนองหานเดิมมาขึ้นกับเมืองสกลนคร พ.ศ. ๒๔๔๐ ในปีนี้พระราชทานเงินเดือนให้ข้าราชการเมืองสกลนครเป็นปีแรก เงินเบี้ยหวัดหรือเงินปี อย่างที่จัดมาแล้วให้ยกเลิก เงินประโยชน์ต่างๆ ตลอดจนค่าฤชาธรรมเนียมต่างๆ ให้เก็บเป็นของหลวงทั้งสิ้น พ.ศ. ๒๔๔๒ รัชกาลที่ ๕ ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าวัฒนาเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลฝ่ายเหนือ เปลี่ยนชื่อมณฑลฝ่ายเหนือเป็นมณฑลอุดร พ.ศ. ๒๔๔๔ มีคำสั่งให้นายฉลองไนยนารถ (ไมย) กลับไปรับราชการที่มณฑลอุดร และให้หลวงพิสัยสิทธิกรรม (จีน) เป็นข้าหลวงเมืองสกลนคร พ.ศ. ๒๔๔๕ มีการเปลี่ยนแปลงระเบียบการปกครอง ถือเมืองสกลนครรวมทั้งเขตแขวงให้เรียกว่า บริเวณสกลนคร ข้าหลวงประจำเมืองให้เรียกข้าหลวงประจำบริเวณเปลี่ยนคำว่าเมืองเป็นอำเภอ คำว่าเจ้าเมืองเป็นนายอำเภอ คำว่าอุปฮาดเป็นปลัดอำเภอ ราชวงศ์เปลี่ยนเป็นสมุหอำเภอ ราชบุตรเปลี่ยนเป็นเสมียนอำเภอ ในปีนี้ได้ให้พระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนคร เป็นที่ปรึกษาข้าหลวงบริเวณสกลนคร เนื่องจากการเปลี่ยนระบบบริหารแผ่นดินดังกล่าวและชราภาพมากแล้ว พ.ศ. ๒๔๔๙ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัฒนาข้าหลวงเทศาภิบาลเสด็จกลับกรุงเทพฯ และโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีสุริยราชวรนุวัตร (โพ) มาเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอุดรแทน และในปีนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสด็จมาตรวจราชการที่บริเวณสกลนครด้วย พ.ศ. ๒๔๕๐ แต่งตั้งให้หลวงผดุงแคว้นประจันต์ (ช่วง) มาเป็นข้าหลวงบริเวณสกลนคร ข้าหลวงบริเวณคนเก้าให้ย้ายไปเป็นข้าหลวงบริเวณขอนแก่น ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอุดรได้แต่งตั้งให้ขุนราชขันธ์สกลรักษ์เป็นนายอำเภอพรรณานิคม พระบริบาลศุภกิจ (คำสาย) เป็นนายอำเภอวาริชภูมิ นายทะเบียนเป็นนายอำเภอสว่างแดนดิน และพระอนุบาลสกลเขต (เล็กบริเวณ) รักษาการนายอำเภอเมือง พ.ศ. ๒๔๕๓ ย้ายหลวงผดุงแคว้นประจันต์ ข้าหลวงบริเวณสกลนคร ไปเป็นข้าหลวงเมืองหล่มสัก และให้พระสุนธรชนศักดิ์ (สุทธิ) มาเป็นข้าหลวงบริเวณสกลนคร ในปีนี้พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ สวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๖ การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาลได้ดำเนินการมาเรื่อยๆ และสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองแบบใหม่ คือเมืองสกลนคร เปลี่ยนอำเภอเมืองให้เป็นอำเภอธาตุเชิงชุม การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน หลังจากที่ประเทศไทย ได้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองประเทศเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว ในปีต่อมาก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ อันเป็นแม่บทของการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน เป็นการยกเลิกการจัดรูปการปกครองระบอบมณฑลเทศาภิบาลอย่างสิ้นเชิง ในส่วนของการปกครองในส่วนภูมิภาคนั้น เริ่มจัดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบเมื่อรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๔๐ (พระราชดำริการจัดระเบียบฯ นี้ เริ่มอย่างจริงจังในปี พ.ศ. ๒๔๓๕) ซึ่งเป็นการจัดรูปการปกครองส่วนภูมิภาคแบบเทศาภิบาลดังกล่าวแล้ว และได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสมตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ช่วงระยะเวลาแห่งการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากระบบมณฑลเทศาภิบาลนั้น (พ.ศ. ๒๔๗๖) จังหวัดสกลนครมีผู้ว่าราชการจังหวัดคนแรก (ก่อนนั้นเรียกข้าหลวง) คือ พระตราษบุรีสุนทรเขต และคนต่อมาคือพระบริบาลนิยมเขต ที่มา : ประวัติจังหวัดสกลนคร. กรุงเทพฯ : จินดาสาส์น. ๒๕๒๘. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:54:47 ชุมพร
ประวัติการตั้งเมือง คำว่า "จังหวัดชุมพร" เพิ่งเริ่มใช้ในปี ๒๔๕๙ โดยทางราชการได้เปลี่ยนนามท้องที่ที่เรียกว่า เมืองอันเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลว่า "จังหวัด" ส่วนคำว่าเมืองให้ใช้สำหรับเรียกตำบลที่ประชาชนได้เคยเรียกว่าเมืองมาแล้วแต่เดิมอันเป็นเขตชุมชนเท่านั้น ในสมัยโบราณมีชื่อว่า "เมืองชุมพร" เมืองชุมพรเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่ง แต่จะตั้งเมื่อใดไม่มีหลักฐานแน่นอน เพิ่มมาปรากฏตามตำนานพระ-ธาตุเมืองนครศรีธรรมราชฉบับของหอสมุดแห่งชาติมีความตอนหนึ่งว่า เมื่อศักราชได้ ๑๐๙๘ ปี พระยาศรีธรรมาโศกราช ก็สร้างเมืองลงบนหาดทรายรายรอบเป็นเมืองนครศรีธรรมราช แล้วสั่งให้ทำอิฐทำปูนก่อพระธาตุครั้งนั้น และยังมีพระพุทธสิหิงค์ล่องทะเลมาแต่เมืองลังกาถึงเกาะปีนัง และลอยมาถึงหาดทรายแก้วที่จะก่อพระธาตุนั้น ต่อมาพระยาศรีธรรมาโศกราชได้ขุดพบพระธาตุแล้วแบ่งให้พระยาศรี-ธรรมาโศกราชไปก่อพระเจดีย์ บรรจุพระบรมธาตุที่เหลือไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราชแล้วตั้งเมืองสิบสองนักษัตรตามปูมโหรขึ้นแก่เมืองนครศรีธรรมราช ให้ใช้ตรารูปสัตว์ประจำปีเป็นตราของเมืองนั้น ๆ คือ ปีชวดตั้งเมืองสายถือตราหนูหนึ่ง ปีฉลูเมืองตานีถือตราโคหนึ่ง ปีขาลเมืองกลันตันถือตราเสือหนึ่ง ปีเถาะเมืองปาหังถือตรากระต่ายหนึ่ง ปีมะโรงเมืองไทรถือตรางูใหญ่หนึ่ง ปีมะเส็งเมืองพัทลุงถือตรางูเล็กหนึ่ง ปีมะเมียเมืองตรังถือตราม้าหนึ่ง ปีมะแมเมืองชุมพรถือตราแพะหนึ่ง ปีวอกเมืองปันทายสมอถือตาลิงหนึ่ง ปีระกาเมืองอุลาถือตราไก่หนึ่ง ปีจอเมืองตะกั่วป่าถือตราสุนัขหนึ่ง ปีกุนเมืองกระถือตราหมูหนึ่ง เข้ากัน ๑๒ เมือง มาช่วยทำอิฐปูนก่อพระธาตุขึ้นตามตำนานนี้เมืองนครศรีธรรมราชสมัยนั้นมีอำนาจมาก ปรากฏว่ามีเมืองชุมพรเป็นเมืองขึ้นอยู่เมืองหนึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๐๙๘ เมืองชุมพรในสมัยนั้นปรากฏว่า เป็นเมืองด่านเพราะอยู่ระหว่างช่องแคบมลายู เป็นเมืองด่านหรือแคว้นเทพนครหรือแคว้นอู่ทอง ในสมัยต่อมาไม่มีหลักฐานที่อ้างอิงหรือกล่าวถึง เมืองชุมพรไว้เลย จึงมีผู้เข้าใจว่าเมืองชุมพรเป็นเมืองที่ตั้งขึ้นในสมัยอยุธยา เมื่อปีจอ พุทธศักราช ๑๙๙๗ (จ.ศ. ๘๑๖) ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระเจ้าอยู่หัวในสมัยอยุธยาเป็นราชธานี ปรากฏในกฎหมายตราสามดวง ซึ่งได้โปรดให้ชำระขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ว่า ได้มีพระบรมราชโองการตรัสเหนือเกล้าสั่งว่า บรรดาข้าราชการอยู่บนหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือทั้งปวงให้ถือศักดินาตามพระราชบัญญัติ และปรากฏว่ามีออกญาเคางะทราธิบดีศรีสุรัตวลุมหนักพระชุมพร เมืองตรีถือศักดินา ๕,๐๐๐ ไร่ เป็นอันรับรู้ว่าเมืองชุมพรเป็นเมืองตรี และเกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินของพระองค์ แต่ต้องเข้าใจว่าก่อนที่จะได้เป็นเมืองตรี เมืองชุมพรจะต้องเป็นเมืองเล็กมาก่อน จึงไม่มีหลักฐานในประวัติศาสตร์ไว้ให้เห็นชัด เพิ่งมาปรากฏแน่ชัดขึ้นว่าเมืองชุมพรเป็นหัวเมืองหนึ่งในหัวเมืองปักษ์ใต้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๙๙๗ เป็นต้นมา หรือประมาณ ๕๐๓ ปีเศษแล้ว ประวัติที่ตั้งเมือง เมืองชุมพรจะตั้งอยู่ ณ ตำบลใด ที่ใดไม่มีหลักฐานที่แน่นอน ทั้งนี้เมืองชุมพรไม่มีโบราณวัตถุที่เป็นพยานหลักฐานว่าเป็นเมืองแต่โบราณ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงเรียบเรียงไว้ในตำนานเมืองระนอง ความตอนหนึ่งว่า เมืองชุมพรประหลาดผิดกับเมืองอื่นในแหลมมลายู เมืองที่ตั้งมาแต่โบราณ เช่นเมืองไชยา เมืองนครศรีธรรมราชเป็นต้น ล้วนมีโบราณวัตถุและมีตัวเมืองปรากฏอยู่บ้าง รู้ได้ว่าเป็นเมืองมาแต่โบราณ แต่เมืองชุมพรยังไม่ได้พบโบราณสถานวัตถุเป็นสำคัญแต่อย่างใด อาจจะเป็นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ มีที่นาไม่พอกับคนประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งอยู่ตรงคอคอดแหลมมลายู มักเป็นสมรภูมิรบพุ่งกันตรงนี้ จึงไม่สร้างเมืองถาวรไว้ แต่ก็ต้องรักษาไว้เป็นเมืองด่าน นอกจากเหตุผล ๒ ประการดังกล่าวแล้ว พิจารณาจากสภาพตามธรรมชาติ แล้วยังมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง คือ ที่ท้องที่ตั้งจังหวัดชุมพรเป็นที่ราบต่ำน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎร เรือกสวนไร่นาเสียหายอยู่เสมอ บางปีน้ำท่วม ๒-๓ ครั้ง ภัยจากน้ำท่วมอาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่นิยมสร้างถาวรวัตถุไว้ให้ปรากฏแก่ชนรุ่นหลังก็ได้ แม้แต่บ้านเรือนราษฎรในเมืองก็ไม่ปรากฏว่าได้ก่อสร้างอาคารถาวรเป็นเรือนตึก หรือคอนกรีต เพิ่งจะมีตึกขึ้นเป็นครั้งแรกในตลาดชุมพร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑ นี้เอง อย่างไรก็ดี จากหลักฐานบางอย่างปรากฏว่ามีหมู่บ้านหนึ่งอยู่ใกล้วัดประเดิม อยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำชุมพรเรียกว่า "บ้านวัดประเดิม" หรือ" บ้านประเดิม" ปัจจุบันอยู่หมู่ที่ ๒๐ ตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร พิจารณาตามลักษณะภูมิประเทศจะเห็นว่ามีคลองสองคลองไหลมาเกือบบรรจบกัน และในระหว่างคลองทั้งสอง คือ คลองชุมพรและคลองท่าตะเภา ซึ่งขณะนี้เรียกกันว่าคลองร่วม เมืองชุมพรตั้งอยู่ ณ คลองท่าตะเภา หาใช่ตั้งที่คลองชุมพรตามชื่อเมืองไม่ จึงเป็นเหตุหนึ่งทำให้สันนิษฐานว่า เมืองชุมพรแต่เดิมน่าจะอยู่ที่คลองชุมพรโดยใช้ชื่ออย่างเดียวกัน นอกจากนั้นบริเวณใกล้เคียงวัดประเดิมมีวัดใหญ่อยู่บริเวณใกล้เคียงหลายวัดคือ วัดประเดิม วัดนอก วัดพระขวางและวัดวังไผ่ ส่วนวัดประเดิมเป็นวัดใหญ่ที่สำคัญ ชาวบ้านนับถือและพากันไปทำบุญมากกว่าวัดอื่น ๆ ซึ่งตามธรรมดาที่ตั้งเมืองโบราณมักจะมีวัดมากและตั้งอยู่ติด ๆ กัน บริเวณวัดประเดิม ถัดมาทางทิศเหนือ มีอิฐแผ่นใหญ่จมอยู่ในดินบางแห่ง และมีหลักเมืองแห่งหนึ่งใกล้ ๆ วัดประเดิม หลักเมืองนี้ชาวบ้านในปัจจุบันมักไม่ค่อยรู้จักว่าเป็นอะไร เพราะสภาพในปัจจุบันเป็นเพียงหินก้อนหนึ่งปักอยู่ในดินใต้ต้นข่อยใหญ่ ชาวบ้านใกล้เคียงเรียกกันว่า "พระข่อย" ถือเป็นเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป ตามธรรมดาเมืองโบราณจะต้องมีหลักเมือง พระเสื้อเมืองเป็นประจำเมือง ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ จึงสันนิษฐานว่าเมืองชุมพรเดิมตั้งอยู่ ณ บ้านประเดิม ทางฝั่งซ้ายของเมืองชุมพร จึงมีชื่อตรงกับชื่อคลอง อยู่ห่างจากเมืองชุมพรในปัจจุบันไปทางทิศใต้ประมาณ ๕ กิโลเมตร ต่อมาสันนิษฐานว่าได้ย้ายตัวเมืองไปตั้งอยู่ ณ บ้านท่ายาง ตำบลท่ายาง โดยมีหลักฐานอ้างอิงจากหลักฐานใด เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๗ ปีจอ ฉศก (จ.ศ.๑๑๗๖) ในรัชกาลที่ ๒ แห่งราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงส่งสงฆ์ไทย จำนวน ๗ รูป เป็นสมณทูตออกไปเมืองลังกาโดยทางเรือ โดยมีขุนทรงวิชัยหมื่นไกรคุมเครื่องดอกไม้เงินทองไปบูชาพระเจดีย์ฐานทั้ง ๑๕ ตำบล ครั้นวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๒ เวลา ๔ โมง มีคลื่นจัดเรือได้เกยหาดมัทรีปากน้ำชุมพรแตก คณะทูตได้ส่งคนออกหาบ้านคนแล้วโดยสารเรือจับปลามาถึงเมืองชุมพร ได้ขออาหารจากเจ้าอธิการวัดท่ายางบริโภค แล้วพากันมาหาเจ้าเมืองกรมการเมืองชุมพรได้ป่าวร้องให้ราษฎร์จัดแจงหาอาหารมาถวายพระสมณทูตแล้วออกไปรับพระสงฆ์สมณทูตกับคณะเข้ามา ณ เมืองชุมพรนิมนต์ให้พระสงฆ์อาศัยในวัดท่ายาง คราวนี้จะเห็นได้ว่า เมืองชุมพรในปี พ.ศ. ๒๓๕๗ ตั้งอยู่ ณ ตำบลท่ายาง ภูมิฐานของตำบลท่ายางในปัจจุบันนี้ยังมีบ้านเรือนหนาแน่น และใกล้กับปากอ่าวมีเรือสินค้าขนาดใหญ่ไปมาสะดวกบัดนี้ก็ยังเป็นท่าเรือสินค้า มีเรือต่าง ๆ จากกรุงเทพมหานครบรรทุกสินค้ามาขึ้นแล้วบรรทุกรถยนต์ไปในเมืองอยู่เสมอ ท่ายางเป็นตำบลใหญ่ตำบลหนึ่ง ขณะนี้มีวัดถึง ๗ วัด วัดที่อยู่ใกล้เคียงตลาดเก่ามีถึง ๓ วัดติดกัน คือ วัดท่ายางใต้ วัดท่ายางกลาง และวัดท่ายางเหนือ ตำบลท่ายางจึงน่าจะเป็นที่ตั้งเมืองชุมพรในสมัยต่อมา แต่ย้ายมาเมื่อใดยังไม่พบหลักฐานแน่นอน เมื่อตรวจสอบหลักฐานที่พอเชื่อถือได้พบว่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๓ (ร.ศ. ๑๐๙) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินประพาสแหลมมลายู ได้เสด็จประทับที่เมืองชุมพรแล้วทรงม้า ทรงช้างพระที่นั่ง ไปยังเมืองกระบุรี จังหวัดระนอง พลับพลาที่ประทับที่ชุมพรอยู่ทางใต้ของคลองท่าตะเภา โดยมีทุ่งตีนสาย หนองหว้า หนองหวาย ตำบลกรอกธรณี ปัจจุบันขึ้นกับคลองท่าตะเภา โดยมีทุ่งตีนสาย หนองหว้า หนองหวาย ตำบลกรอกธรณี (ปัจจุบันคือตำบลตากแดด) อยู่หลังพลับพลาทุ่งตีนสายยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้ อยู่ใกล้วัดสุบรรณนิมิตรไปทางทิศตะวันตกและได้ทรงเรือข้ามไปที่บ้านท่าตะเภา ขึ้นที่หน้าบ้านเจ้าเมืองก่อนแล้วเสด็จพระราชดำเนินไปตามริมฝั่งบ้านเรือนราษฎร จึงเป็นที่เชื่อได้ว่า เมื่อพ.ศ. ๒๔๓๓ (ร.ศ. ๑๐๙) เมืองชุมพรได้มาตั้งอยู่ที่คลองท่าตะเภาแล้ว ตัวเมืองและสถานที่ราชการหาใช่ที่อยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ อยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับทุ่งตีนสายและบริเวณบ้านท่าตะเภาเหนือ ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จโดยทางเรือพระที่นั่ง ๑๒ กรรเชียง ถึงพลับพลาที่ท่าตะเภาเหนือไปถึงหมู่บ้านที่เป็นเมืองชุมพร เวลาจวนค่ำเสด็จพระราชดำเนินที่หมู่บ้านท่าตะเภาอำเภอเมืองชุมพรตลาดท่าตะเภาเดิมอยู่ตรงข้ามบ้านทุ่งตีนสาย บริเวณระหว่างที่ทำการป่าไม้จังหวัดกับตลาดในปัจจุบันนี้ตลาดท่าตะเภานี้แต่เดิมเป็นป่ามีเสือชุกชุมมากจนขึ้นชื่อว่า เสือชุมพรดุมาก เมื่อทางราชการตัดทางรถไฟสายใต้ผ่านตัวเมืองชุมพร ป่า..ยุ่ง..็กลายสภาพเป็นตลาดการค้า ต่อมาตัวเมืองได้ย้ายอีกแต่ไม่ทราบว่าเมื่อใด เนื่องจากไม่มีหลักฐานแน่นอนแต่จะต้องหลังจาก พ.ศ. ๒๔๓๓ (ร.ศ. ๑๐๙) แล้ว ปรากฏว่าเมื่อพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดการปกครองท้องที่ใหม่ โดยแบ่งการปกครองออกเป็นเมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน หลายเมืองรวมเป็นมณฑลเทศาภิบาล ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๙ (ร.ศ. ๑๑๕) ได้ตั้งมณฑลชุมพรขึ้น ตั้งศาลารัฐบาล ณ จังหวัดชุมพร ปรากฏหลักฐานว่าตัวเมืองชุมพร ได้ย้ายที่ทำการมาตั้งอยู่ริมคลองท่าตะเภา คือที่ปลูกบ้านพักนายอำเภอเมืองชุมพรอยู่ใกล้จวนผู้ว่าราชการจังหวัดในปัจจุบัน เหตุผลที่จำเป็นต้องย้ายเมืองจากบ้านประเดิม และตำบลท่ายางมาอยู่ที่คลองท่าตะเภา ไม่พบหลักฐาน ณ ที่ใด แต่เท่าที่ค้นคว้าน่าจะเป็นเพราะเหตุสองประการดังต่อไปนี้ คือ (๑) คลองชุมพรอันเป็นที่ตั้งเมืองมาแต่เดิม เคยใช้เป็นทางเรือสำเภาใหญ่ ๆ สัญจรและบรรทุกสินค้าไปมากับจังหวัดใกล้เคียงและต่างประเทศมีระยะไกลจากปากอ่าว ประกอบกับคลองท่าตะเภาเป็นท่าเรืออยู่ก่อนแล้ว ความเจริญก็มีมากทำเลการทำมาหากินก็ดีขึ้น ประกอบกับขณะนั้นประชาชน ณ เมืองชุมพรเดิมคงจะถูกพม่ารุกรานจึงเที่ยวหลบซ่อนหาที่ตั้งบ้านเรือนใหม่ จึงได้อพยพกันมาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินที่บ้านท่าตะเภามากขึ้น, กลายเป็นท้องที่ ๆ ประชาชนหนาแน่น จึงเป็นเหตุหนึ่ง ให้ย้ายเมืองชุมพรไปจากบ้านประเดิม (๒) ปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่า เมืองชุมพรถูกพม่าข้าศึกยกทัพมาย่ำยีหลายครั้ง ที่สำคัญมี ๒ ครั้ง คือ 1.ในแผ่นดินพระที่นั่งสุริยามรินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๗ ปีจอ ฉศก (จ.ศ. ๑๑๒๖) พระเจ้าอังวะมังระแห่งพุกามประเทศ ได้จัดกองทัพใหญ่พลฉกรรจ์สองหมื่นห้าพันมาตีกรุง ศรีอยุธยา แยกไปทางเหนือทัพหนึ่ง แยกไปทางใต้ทัพหนึ่ง มีมังมหานรธาโบชุกเป็นแม่ทัพถือพลหมื่น ห้าพันยกมาตีเมืองทวาย มะริด และตะนาวศรี หุยตองจาเจ้าเมืองทวายสู้ไม่ได้หลบหนีเข้าไปทางเมือง กระเข้ามาอยู่เมืองชุมพร ทัพพม่ายกติดตามไป เมื่อตีได้แล้วเผาเมืองชุมพรเสียแล้วยกเข้ามาตีเมืองปะ ทิว เมืองกุย เมืองปรานแตกทั้งสามเมือง แล้วกลับเข้าไปเมืองทวาย 2.ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พ.ศ. ๒๒๓๘ ปีมะเส็ง สัปตศก(จ.ศ. ๑๑๔๗) พระเจ้าปดุงแห่งประเทศพม่า จัดกองทัพใหญ่มีพลหนึ่งแสนสามพันคน แยกเป็นหลายกอง ทัพมาย่ำยีประเทศไทย ตั้งแต่เมืองเชียงใหม่มาจนถึง เมืองถลาง (ภูเก็ต) ทางด้านปักษ์ใต้ได้แก่หวุ่นแมงญีเป็นแม่ทัพใหญ่ให้เนมโยตุงนรัตน์เป็นแม่ทัพหน้ายกมาทางเมืองกระ เมืองระนองเข้าตีเมืองชุมพร เจ้าเมืองกรมการเมืองชุมพรมีไพร่พลสำหรับป้องกันเมืองน้อยก็เทครัวเข้าป่า ทัพพม่ายกเข้าตีเมืองชุมพรได้แล้วเผาเมืองชุมพรเสีย ทัพหน้าเลยเข้าไปตีเมืองไชยา แล้วก็เผาเมืองไชยาเสียด้วย ส่วนทัพใหญ่ยังคงตั้งอยู่เมืองชุมพรต่อมากองทัพหลวงมาจากกรุงเทพ ฯ จึงตีกองพม่าแตกไป ในสมัยนี้บ้านเมืองก็คงจะร่วงโรย มีผู้คนเหลือน้อย ต่างกระจัดกระจายกันไป เช่นเดียวกับเมืองระนอง เมื่อเมืองชุมพรได้มาตั้งอยู่คลองท่าตะเภาแล้วที่ตรงนั้นอยู่ริมน้ำตกถูกน้ำเซาะตลิ่งพัง จึงได้ย้ายที่ทำการมาตั้งอยู่ในสถานที่ซึ่งเป็นบริเวณหน้าศาลจังหวัดชุมพรในปัจจุบันเป็นสมัยที่พระสำเริงนฤปการเป็นเจ้าเมือง ในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ พระยาคงคาธราธิบดี สมุหเทศาภิบาลมณฑลสุราษฎร์ ได้ขอเงินงบประมาณเพื่อสร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นใหม่ที่ตำบลท่าตะเภา คือ บริเวณเทศบาลเมืองชุมพร และสำนักงานที่ดินจังหวัดในปัจจุบัน ก่อสร้างเสร็จเปิดทำงาน ณ ศาลากลางจังหวัดหลังใหม่ เมื่อ ๓ เมษายน ๒๔๖๒ เวลา ๐๘.๐๐ น. ในสมัยอำมาตย์ตรีพระชุมพรศรีสมุทรเขต (บัว) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ด้วยเหตุนี้ทางราชการจึงถือว่า วันที่ ๓ เมษายน เป็นวันที่ระลึกของจังหวัดชุมพร เมืองชุมพรได้เป็นที่ศาลารัฐบาลมณฑลชุมพรด้วย เมื่อเริ่มตั้งเป็นมณฑลขึ้นแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ มีเมืองขึ้นกับมณฑลนี้ ๓ เมือง คือ เมืองสุราษฎร์ธานี เมืองชุมพร และเมืองหลังสวน ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๔๘ (ร.ศ. ๑๒๔) ได้ย้ายศาลาเทศบาลมณฑลชุมพรไปอยู่ที่บ้านดอน ซึ่งเป็นจังหวัดสุราษฎร์ธานีในปัจจุบัน เพราะเหตุน้ำท่วมในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ได้เปลี่ยนชื่อมณฑลชุมพรเป็นมณฑลสุราษฎร์ธานี ให้ตรงกับท้องที่ที่ตั้งมณฑลในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้ประกาศยกเลิกมณฑลสุราษฎร์ธานี และโอนการปกครอง ๓ จังหวัด รวมทั้งจังหวัดชุมพรด้วยไปขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราช หลังจากยกเลิกมณฑลเทศาภิบาลทุกมณฑลในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นเหตุให้ยกเลิกมณฑลนครศรีธรรมราชไปด้วย จังหวัดชุมพรจึงเป็นจังหวัดหนึ่งในราชอาณาจักร ขึ้นตรงต่อราชการบริหารส่วนกลางจนทุกวันนี้ ประวัติคำว่าชุมพร คำว่า ชุมพร ตามอักษรแยกได้เป็น ๒ คำ คือ ชุม คำหนึ่งและ พร คำหนึ่ง คำว่า ชุมตามปทานุกรมของกระทรวงศึกษาธิการแปลว่า รวม,ชุก,มาก รวมกันอยู่ คำว่า พร แปลว่า ของดี. ของที่เลือกเอา.ของประเสริฐ คำว่า ชุมพรตามตัวอักษร จึงแปลได้ความว่าเป็นที่รวมของประเสริฐ แต่ชื่อเมืองชุมพรนั้น ไม่มีความหมายเฉพาะตามตัวอักษร ชุมพรเป็นชื่อเมืองมาแต่โบราณ ตามตำนานการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชได้มีการสร้างเมืองสิบสองนักษัตร เมืองชุมพรเป็นเมืองหนึ่งในสิบสองนักษัตรเป็นปีมะแม ถือตราแพะ และปรากฏหลักฐานแน่นอนว่า มีชื่อชุมพรมาแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา ชื่อนี้มีความหมายหรือประวัติความเป็นมาอย่างไร ยากที่จะค้นคว้าหาหลักฐานได้ การที่จะสืบสวนไปว่ามีความอย่างใด ก็ต้องพิจารณาประวัติศาสตร์หรือความเป็นมาแต่โบราณสมัย พิจารณาดูตามเหตุผล เท่าที่รวบรวมและพิจารณาดู พอจะแยกออกได้เป็น ๓ ประการ คือ (๑) เนื่องด้วยเมืองชุมพร ว่าโดยสภาพเป็นเมืองหน้าด่านในทางภาคใต้ เพราะสมัยโบราณยังไม่มีรถไฟ เรือยนต์ หรือ เรือกลไฟ ใช้ในกองทัพและพื้นที่ก็เป็นคอคอดที่แคบของแหลมมลายู การยกทัพต้องยกมาทางบก และตั้งค่ายที่ชุมพร ฉะนั้น การสงครามหรือการรบทุกครั้งไม่ว่าจะรบกับพม่าหรือปราบกบฏภายในราชอาณาจักรก็ตาม เมื่อยกทัพหลวงมาครั้งใด เมืองชุมพรก็ต้องเป็นที่ชุมนุมพลหรือชุมนุมกองทัพ ชาวชุมพรในสมัยโบราณได้ชื่อว่าเป็นนักรบ เมื่อพม่าได้เคลื่อนทัพเข้ามาในดินแดนทางเมืองท่าแซะและตำบลรับร่อ เจ้าเมืองจะเกณฑ์ไพร่พลเข้าป้องกันอย่างเข้มแข็งและเมืองชุมพรต้องร่วมสมทบกับกองทัพด้วย จะเห็นได้ว่าเมืองชุมพรมีส่วนร่วมในการสงครามเกือบทุกครั้งตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ จึงเชื่อกันว่าชุมพรมาจาก คำว่า ประชุมพล" หรือชุมนุมพล นั่นเอง คำว่าประชุมพล แปลได้ความว่า รวมกำลัง ทั้งนี้โดยเหตุที่ว่า ก่อนจะยาตราทัพต้องมาประชุมพลหรือรวมกำลังออกเป็นหมวดหมู่ทุกครั้ง แต่คำว่าประชุมพลนี้เรียกผิดเพี้ยนไปจากเดิมจนกลายเป็นชุมพร เพราะคนไทยทางใต้ชอบพูดคำสั้น ๆ จึงตัดคำว่าประออกเสีย ส่วนคำว่าพลต่อมาใช้คำว่าพรแทน เพราะการเพี้ยนไปจากเดิมจึงกลายเป็นชุมพรมาจนทุกวันนี้ ซึ่งตามธรรมดา ชื่อเมือง ชื่อตำบล มักจะเรียกเพี้ยนไปจากเดิมเสมอ อย่างไรก็ดีเมืองชุมพร นับว่าเป็นเมืองสำคัญทางยุทธ-ศาสตร์มาแต่สมัยโบราณจนกระทั่งปัจจุบัน แม้แต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ กองทัพญี่ปุ่นก็ยกพลขึ้นบกที่ปากน้ำชุมพรแล้วจึงยาตราทัพต่อไปยังประเทศพม่าตามแผนการที่วางไว้ขณะนี้ชุมพรยังมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ จะเห็นได้ว่าเป็นจังหวัดทหารบกและมีกองกำลัง ร. ๒๕ พัน ๑ ตั้งอยู่ ฉะนั้น ความหมายจากคำว่าประชุมพล จึงมีความหมายตรงกับประวัติศาสตร์ของเมืองที่ว่าเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ (๒) โดยเหตุที่ที่ตั้งเมืองเดิม อยู่บ้านประเดิมฝั่งขวาของคลองชุมพร ที่คลองชุมพรมีต้นไม้ชนิดหนึ่งอยู่ทั่วไปทั้งสองฟากคลองเรียกกันว่า มะเดื่อชุมพร เป็นพืชยืนต้น ปัจจุบันก็มีอยู่มาก ใช้เปลือกและต้นทำยาสมุนไพร คลองนี้เดิมยังคงไม่มีชื่อ ภายหลังจึงถูกตั้งชื่อว่า คลองชุมพร ตามต้นไม้ไปด้วย เพราะตามปกติการตั้งชื่อท้องที่หรือแม่น้ำลำคลองมักจะเรียกตามชื่อต้นไม้หรือตามสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ ณ ที่นั้น เช่นเดียวกับที่อำเภอท่าแซะมีชื่อต้นไม้แซะซึ่งขึ้นอยู่ข้างคลอง ต่อมาเมืองที่มาตั้งจึงมีชื่อตามต้นไม้ไปด้วย เช่นเดียวกับชื่อชุมพร อาจเรียกตามชื่อคลองหรือชื่อต้นไม้ก็เป็นได้ คำว่าชุมพรนอกจากจะมีต้นไม้แล้ว ยังเรียกชื่อหวายชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสินค้าของชุมพร คือหวายชุมพรอีกด้วย ซึ่งมีอยู่มากมายตามต้นคลองชุมพรโดยทั่วไป (๓) ตามตัวอักษรที่แปลว่า เป็นที่รวมของประเสริฐหรือของดีนั้น ผู้ที่จะให้ของประเสริฐได้ ต้องเป็นบุคคลที่มีอำนาจหรืออิทธิพลยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา จึงอาจหมายถึงเทวดาเป็นผู้ให้ หรือเป็นสถานที่ที่เทวดาประทานพรทั้งหลายให้ ซึ่งตามธรรมดาบุคคลชอบสิ่งที่เจริญหรือเป็นมงคล จึงต้องการให้ชื่อเมืองเป็นมงคลนาม เป็นที่รวมแต่สิ่งที่เป็นมงคลทั้งหลาย ต่อมาได้เรียกผิดเพี้ยนไปคงเหลือแต่ชุมพร เพราะคนไทยทางใต้ชอบเรียกคำสั้น ๆ ตามความหมายที่มาจากคำว่า ประชุมพร เมื่อได้ทราบประวัติความเป็นมาทั้งสามประการแล้วจะเห็นได้ว่า คำว่าประชุมพรนั้นมีเหตุผลทางประวัติศาสตร์สมกับที่จารึกไว้ว่า ชาวชุมพรมีน้ำใจเป็นนักรบ เพราะการตั้งชื่อเมืองหรือการตั้งชื่อใด ๆ ก็ตาม ย่อมจะมีความหมายสำคัญในชื่อที่ตั้งนั้น ส่วนที่ว่าชุมพรมาจากคำว่ามะเดื่อชุมพรนั้นหรือมาจากเทวดาประชุมพรให้ก็ดี สันนิษฐานว่ามาคิดค้นหาเหตุผลภายหลังไม่มีความหมายตรงตามประวัติศาสตร์ ประวัติอาณาเขต เมืองชุมพรมีศักดิ์เป็นเมืองตรี จึงมีเมืองเล็ก ๆ เป็นเมืองขึ้น เจ้าเมืองมีบรรดาศักดิ์เป็น พระยาชุมพรตามนามของเมืองในสมัยโบราณ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมีอาณาเขตจดทะเลทั้งสองข้าง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจดเมืองตะนาวศรี ทิศเหนือจดเมืองกำเนิดนพคุณ ทิศใต้จดเมืองไชยา ทิศตะวันออกจดอ่าวไทย ทิศตะวันตกจดมหาสมุทรอินเดีย มีเมืองขึ้นในครั้งนั้น ๗ เมือง คือ เมืองปะทิว เมืองท่าแซะ เมืองตะโก เมืองหลังสวน เมืองตระ (อำเภอกระบุรีในปัจจุบัน) เมืองมะลิวัน เมืองระนอง ภายหลังได้รวมเอาเมืองกำเนิดนพคุณ (อำเภอบางสะพานในปัจจุบัน) มาขึ้นด้วย ส่วนเมืองตะโกเดิมต่อมาได้ยุบเป็นตำบลขึ้นต่ออำเภอสวี ปัจจุบันเป็นกิ่งอำเภอทุ่งตะโก เมืองขึ้นเหล่านี้ในครั้งหลังได้ถูกตัดแยกออกไปตั้งเมืองใหม่บ้าง ด้วยเหตุอื่นบ้าง จึงทำให้อาณาเขตของชุมพรลดน้อยลงไปตามลำดับ เฉพาะเมืองที่ตัดแยกออกไปอยู่ในปกครองของจังหวัดอื่น มีประวัติดังต่อไปนี้ (1)เมืองมะลิวัน ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อังกฤษได้มาปกครองเมืองตะนาวศรีและ เมืองมะริด ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยในครั้งก่อน อังกฤษขอปันเขตแดนระหว่างไทยกับอังกฤษ ณ เมืองมะลิวัน โดยกำหนดให้แม่น้ำกระบุรีเป็นเขตแดนฝ่ายไทย ส่วนเขตแดนอังกฤษอยู่เพียงแนวเขาเป็นเขต โดยถือเอาแม่น้ำปากจั่นเป็นฝ่ายไทย จึงโปรดเกล้าให้พระยายมราชสุด (จ๋อ) กับพระยาเพชรกำแหงสงคราม(ครุฑ) ไปเจรจากับอังกฤษ แต่ไม่เป็นที่ตกลง จนถึงรัชกาลที่ ๔ โปรดให้พระยาเพชรบุรี พระยาเพชรกำแหงสงคราม และพระยาชุมพร (กล่อม) ไปเจรจาปันเขตแดน ด้วยทรงพระราชดำริเห็นว่า ความเรื่องนี้ ๒ แผ่นดินแล้วยังไม่ตกลงกันได้ควรประนีประนอมผ่อนผัน จึงให้กรรมการปันเขตแดนทั้ง ๒ ท่านทำความตกลงเอง โดยถือเอาแม่น้ำกระบุรีเป็นเขตแต่มีข้อสัญญาปลีกย่อยเรื่องโจรผู้ร้ายข้ามแดนอังกฤษ เมืองมะลิวันซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นชุมพรและเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย จึงตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษด้วยความจำเป็น เมื่อปีชวดพุทธศักราช ๒๔๐๗ เมืองมะลิวันเมื่อขึ้นอยู่กับอังกฤษตั้งชื่อว่า Victoria Point ไทยเรียกว่าเกาะสอง ขณะนี้เป็นอำเภอชั้นเอก ขึ้นอยู่กับเขตทวาย จังหวัดมะริด ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า (2)เมืองระนอง เมืองระนองแต่เดิมเป็นเมืองแขวง (ปัจจุบันเทียบเท่ากับอำเภอ) ขึ้นต่อเมืองชุมพรเมื่อปีขาลพุทธศักราช ๒๓๙๗ ในรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตำแหน่งเจ้าเมืองว่างลงจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนบรรดาศักดิ์หลวงรัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง ต้นตระกูล ณ ระนอง) ขึ้นเป็นพระรัตนเศรษฐี เจ้าเมืองระนอง แต่ยังเป็นเมืองขึ้นของชุมพรอยู่ ต่อมาเมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๔๐๕ (จ.ศ.๑๒๒๔) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์พระรัตนเศรษฐี เจ้าเมืองระนองขึ้นเป็นพระยารัตนเศรษฐีและยกฐานะเมืองระนองขึ้นมีศักดิ์เป็นเมืองจัตวา ขึ้นต่อกรุงเทพมหานคร ครั้นปี พ.ศ. ๒๔๕๙ เปลี่ยนชื่อมาเป็นจังหวัดระนองจนกระทั่งทุกวันนี้ (3)เมืองตระ เมืองตระปัจจุบันเรียกว่าอำเภอกระบุรี ขึ้นกับจังหวัดระนอง แต่เดิมเมืองตระเป็นเมืองเล็กขึ้นต่อเมืองชุมพร เมื่อปีจอ พุทธศักราช ๒๔๐๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเมืองตระกับเมืองระนองเป็นเมืองจัตวาขึ้นต่อกรุงเทพฯ โดยแยกเมืองตระให้ไปขึ้นกับเมืองระนองที่ตั้งใหม่ เมืองตระจึงแยกจากเมืองชุมพรแต่นั้นมา (4)เมืองกำเนิดนพคุณ เมืองกำเนิดนพคุณ สมัยก่อนเป็นตำบลเล็กๆ ขึ้นต่อเมืองกุยบุรีในสมัยอยุธยา พ.ศ. ๒๒๙๐ (จ.ศ. ๑๑๐๙) ได้พบแร่ทองคำในตำบลนี้ ภายหลังในปีพ.ศ. ๒๓๙๒ ในรัชกาลที่ ๓ ทรงตั้งเป็นเมืองชื่อว่าเมืองกำเนิดนพคุณ ซึ่งหมายถึงเมืองที่มีแร่ทองคำ ต่อมาได้มาขึ้นอยู่กับเมืองชุมพร เมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๙ (ร.ศ. ๑๒๕ ) มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองประจวบคีรีขันธ์ เมืองปราณบุรี ซึ่งแต่เดิมเป็นอำเภอขึ้นเมืองเพชรบุรี และเมืองกำเนิดนพคุณ ซึ่งเป็นอำเภอขึ้นเมืองชุมพร รวม ๓ เมืองเป็นเมืองเดียวกัน โดยโอนท้องที่เมืองกำเนิดนพคุณมารวมกับเมืองปราณบุรี เมืองประจวบคีรีขันธ์ ตั้งเป็นเมืองจัตวาอีกเมืองหนึ่ง เรียกว่า "เมืองปราณบุรี" ขึ้นกับมณฑลราชบุรี ต่อมาเมืองปราณบุรีได้เปลี่ยนเป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และเมืองกำเนิดนพคุณมีชื่อว่าอำเภอบางสะพาน โดยมีอาณาเขตหลักคือเขาไชยราชเป็นที่แบ่งเขตแดนระหว่างชุมพร (อำเภอปะทิว) กับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มาจนทุกวันนี้ ประวัติเหตุการณ์สำคัญ โดยเหตุที่เมืองชุมพรเป็นเมืองหน้าด่านมาแต่โบราณ โดยเฉพาะในการสงครามกับพม่า และมีส่วนร่วมในการปราบปรามภายในราชอาณาเขตหลายครั้งหลายหน จึงเชื่อว่า ชาวชุมพรมีน้ำใจเป็นนักรบซึ่งบางเรื่องก็ได้กล่าวมาข้างต้นบ้างแล้วแต่อย่างไรก็ดียังมีการสงครามเกี่ยวกับชุมพรอีกหลายครั้ง ซึ่งควรจะนำมากล่าวไว้ ณ ที่นี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวชุมพรในอนาคตจึงได้รวบรวมประวัติการสงครามและการรบ ซึ่งเมืองชุมพรมีส่วนร่วมในสมัยอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตามที่ปรากฏในพงศาวดารโดยสังเขปมากล่าวไว้ ณ ที่นี้ด้วย สมัยอยุธยา ๑.ในแผ่นดินของสมเด็จพระมหาบุรุษ (สมเด็จพระเพทราชา) เมื่อปีขาลอัฐศก พ.ศ. ๒๒๒๙ (จ.ศ.๑๐๔๘ )เจ้าพระยานครศรีธรรมราชเป็นขบถแข็งเมืองจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุรสงครามเป็นแม่ทัพบก พระยาราชวังสันเป็นแม่ทัพเรือคุมกองทัพไปปราบปรามเมืองนครศรีธรรมราช ในทางกองทัพบกได้ยาตราทัพผ่านมาทางเมืองชุมพร และได้เกณฑ์เอาผู้รั้งเอากรมการเมืองชุมพร เมืองไชยาถือพลหัวเมืองทั้งปวงเข้ามาบรรจบทัพบกไปราชการสงครามนั้นด้วย หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:55:03 ชุมพร ๒
๒. เมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๗ ปีจอ ฉศก จ.ศ. ๑๑๒๖ ในแผ่นดินพระบรมราชาที่ ๓ (พระที่นั่งสุริยามรินทร์)พระเจ้าอังวะมังระแห่งกรุงพุกามประเทศได้จัดกองทัพพลฉกรรจ์สองหมื่นห้าพันคนมาตีกรุงศรีอยุธยาจัดทัพใหญ่แยกเป็น ๒ ทัพไปทางเหนือทัพหนึ่งให้เนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพไปทางใต้ทัพหนึ่ง ให้มังมหานรธาโบชุกเป็นแม่ทัพ ถือพลหนึ่งหมื่นห้าพันยกมาตีเมืองทวาย มะริด และตะนาวศรี หุยตองจาเจ้าเมืองทวายสู้ไม่ได้หนีไปทางเมืองกระแล้วไปอาศัยอยู่ในเมืองชุมพร ทัพพม่ายาตราทัพตามลงมาไปตีได้เมืองชุมพร แล้วเผาเมืองชุมพรเสียครั้นแล้วยกไปตีเมืองปะทิว เมืองกุย เมืองปราณแตก ทั้งสามเมือง แล้วยกกลับเมืองทวาย สมัยธนบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๗ ปีกุน นพศก (จ.ศ. ๑๑๒๙) หลวงนายสิทธิ์เป็นที่พระปลัดว่าราชการเมืองนครศรีธรรมราชอยู่ ยังหาได้ตั้งเจ้าเมืองไม่ ครั้นทราบว่ากรุงเทพฯ เสียแก่พม่าข้าศึก จึงตั้งตัวเป็นเจ้าครองเมืองนครศรีธรรมราช คนทั้งหลายเรียกว่า เจ้านคร มีอาณาเขตแผ่ไปข้างนอกถึงแดนเมืองแขกข้ามไปถึงเมืองชุมพร ปะทิว แบ่งแผ่นดินออกไปอีกส่วนหนึ่งและแต่งตั้งขุนนางตามตำแหน่ง เหมือนในกรุงเทพฯ ทุกอย่าง ครั้นถึง พ.ศ. ๒๓๑๒ ปีฉลูเอกศก (จ.ศ. ๑๑๓๑) หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ข้าศึก และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทำการกู้อิสรภาพได้และได้สถาปนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ แล้วได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรีแยกเป็นแม่ทัพกับพระยายมราช พระยาศรีพิพัฒน์ พระยาเพชรบุรี ถือพลห้าพันพร้อมด้วยช้างม้าเครื่องสรรพาวุธยกไปตีเมืองนครศรีธรรมราช ยกกองทัพไปทางเมืองเพชรบุรีไปถึงเมืองปะทิว ชาวเมืองชุมพรยกครอบครัวหนีเข้าป่าไปสิ้น และนายมั่นคนหนึ่งได้พาสมัครพรรคพวกเข้ามาหาแม่ทัพขอสวามิภักดิ์เป็นข้าราชการ เจ้าพระยาจักรีจึงบอกมาให้กราบทูล จึงมีพระ-ราชดำรัสโปรดให้มีตราตั้งให้นายมั่นเป็นพระชุมพร (เจ้าเมืองชุมพร) ให้เกณฑ์เข้าในกองทัพด้วยแต่คราวนั้นเข้าตีเมืองนครศรีธรรมราชไม่สำเร็จต่อเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยาตราทัพเรือมาช่วยจึงตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ สมัยรัตนโกสินทร์ ๑. เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ ปีมะเส็งสัปตศก (จ.ศ. ๑๑๔๗) ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระเจ้าปดุงแห่งประเทศพม่าจัดกองทัพใหญ่มีพลหนึ่งแสนสามพันคน แบ่งออกเป็นหลายกองทัพเข้ามาย่ำยีประเทศไทยจากเหนือมาใต้ ตั้งแต่เมืองเชียงใหม่ตลอดมาจนถึงเมืองถลาง (ภูเก็ต) ทางภาคใต้ได้ยกกองทัพมาพร้อมกัน ณ เมืองมะริด แกงหวุ่นแมงญีเป็นแม่ทัพใหญ่ ให้กีหวุ่นเป็นแม่ทัพเรือไปตีเมืองถลางให้เนยโยตุงนรัตเป็นแม่ทัพบกยกมาทางเมืองกระ เมืองระนองเข้าตีเมืองชุมพร เมื่อแกงหวุ่นแมงญีแม่ทัพใหญ่หนุนมาสองทัพ เป็นคนเจ็ดทัพ ทัพหน้ายกเข้าตีเมืองชุมพร เจ้าเมืองกรมการเมืองมีไพร่พลน้อยเห็นจะต่อรบไม่ได้จึงเทครัวหนีเข้าป่า ทัพพม่าเข้าเมืองได้ เผาเมืองชุมพรเสีย กองทัพพม่าก็ล่องออกไปตีเมืองไชยา แม่ทัพใหญ่ยังตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองชุมพร ครั้งนั้นทัพหลวงยังหายกทัพออกมาช่วยไม่ได้ ด้วยราชการศึกยังติดพันอยู่ทางเมืองกาญจนบุรี เมื่อเจ้าเมืองกรมการเมืองได้ทราบข่าวเมืองชุมพรเสียแล้วก็มิได้สู้รบยกครัวหนีเข้าป่าไป ทัพพม่าเข้าเผาเมืองไชยาแล้วก็ยกเลยไปตีเมืองนครศรีธรรมราช และยึดเมืองไว้เมื่อเสร็จศึกพม่าทางด้านเมืองกาญจนบุรีแล้ว จึงมีพระราชดำรัสให้พระอนุชาธิราช สมเด็จพระนครราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทยกกองทัพเรือ พลรบพลแจวสองหมื่นเศษไปช่วยหัวเมืองปักษ์ใต้ เมื่อทัพเรือมาถึงเมืองชุมพรก็ยกพลขึ้นบกตั้งค่ายหลวง ณ เมืองชุมพร จัดกองทัพใหญ่ไปตั้งอยู่ ณ เมืองไชยา กองทัพไทยกับกองทัพพม่าได้สู้รบกันใหญ่ทางเมืองไชยา พม่าสู้ไม่ได้แตกหนีกระจัดกระจายไป และการรบครั้งนี้พม่าถูกจับเป็นเชลยส่งมายังกรุงเทพฯ มากมาย ๒. เมื่อพ.ศ. ๒๓๒๙ ปีมะเมีย อัฏฐศก (จ.ศ. ๑๑๔๘) ในรัชกาลที่ ๑ พม่ายกกองทัพเข้าไปตีเมืองนครศรีธรรมราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ยกกองทัพไปต่อสู้กับพม่า ผ่านไปทางเมืองชุมพร แล้วกองทัพไทยได้ตีกองทัพพม่าแตกหนีไปสิ้น ๓. เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๖ ปีฉลู (จ.ศ. ๑๑๕๕) ในรัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทยกกองทัพไปตีเมืองมะริด และมาตั้งทัพต่อเรือรบอยู่ริมทะเลหน้านอกเขตแขวงเมืองชุมพร (เมืองระนอง) เมื่อต่อเรือเสร็จแล้วได้ยาตราทัพตีเมืองมะริด เมืองตะนาวศรี มีชัยชนะจวนจะได้อยู่แล้วก็พอดีมีพระราชโองการให้นำกองทัพกลับกรุงเทพฯ เสียก่อน ๔. เมื่อพ.ศ. ๒๓๓๘ ปีเถาะ (จ.ศ. ๑๑๕๗) ในรัชการที่ ๑ พม่าข้าศึกได้ยกกองทัพเรือไป ย่ำยีฝั่งทะเลตะวันตกและตีได้เมืองถลาง จึงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพลภาพ (บุนนาค) เป็นแม่ทัพใหญ่ยกกองทัพเรือมาขึ้นบกที่เมืองชุมพร เดินทัพทางบกไปยังเมืองถลาง ตีได้เมืองถลางคืน กองทัพพม่าแตกหนีไปและจับพม่าเป็นเชลยมากมาย ๕. เมื่อพ.ศ. ๒๓๕๒ ปีมะเส็ง เอกศก (จ.ศ. ๑๑๗๑) ในรัชกาลที่ ๒ พระเจ้าปดุงแห่งประเทศพม่าได้ให้อะเติ่งวุ่นเป็นแม่ทัพยกมาตั้งเมืองทวายแล้วให้แยมองเป็นแม่ทัพเรือไปตีเมืองถลางให้คุเรียสาระภะยอคุมพลสามพันขึ้นที่เมืองระนองตีเมืองมะลิวัน เมืองระนองและเมืองกระบุรี คุเรียง สาระกะยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่ปากจั่นแขวงเมืองกระบุรีและเข้าเมืองชุมพรได้เมื่อวันเสาร์เดือนสิบสอง ขึ้นสิบสองค่ำ ยังไม่ทันที่จะตีต่อไปที่อื่นก็พอดีมีพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระอนุชาธิราชกรมพระราชวัง-บวรมหาเสนานุรักษ์เป็นจอมพลยกกองทัพไปสู้กับพม่า กองทัพไทยได้ยกมาทางบกเมื่อมาถึงเมืองชุมพร พม่ากำลังตั้งค่ายรักษาเมืองอยู่ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ให้พระยาจ่าแสนยากร (บัว) เข้าตีกองทัพพม่าที่เมืองชุมพร พม่าต้านทานไม่ได้ก็แตกหนีไปกองทัพไทยได้เข้าฟันพม่าและตามจับได้ที่เมืองชุมพรและเมืองตะกั่วป่าเป็นอันมาก กองทัพหลวงที่ยกมาคราวนี้ยังคงอยู่ในที่เมืองชุมพรเป็นเวลานานและได้ส่งกองทัพออกไปปราบปรามทำลายกองทัพพม่าจนหมดสิ้นจึงได้ยกกองทัพกลับกรุงเทพมหานคร ๖. เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗ ปีวอก (จ.ศ. ๑๑๘๖) ในรัชกาลที่ ๓ ไทยได้เข้าร่วมกับอังกฤษเพื่อรบพม่า จึงทรงให้จัดกองทัพให้พระยามหาโยธาคุมกองทัพหนึ่ง พระสุรเสนา พระยาพิพัฒน์โกษาทัพหนึ่งไปทางด่านเจดีย์สามองค์ และได้มีตราสั่งให้เกณฑ์กองทัพเมืองชุมพร เมืองไชยา โปรดเกล้าฯ ให้ พระยาชุมพร (ซุย) คุมกองทัพเรือยกขึ้นไปทางเมืองมะริดและเมืองทวายอีกพวกหนึ่งเพื่อไปจัดทัพฟังข้อราชการว่าศึกจะผันแปรประการใด ต่อมาพระยาชุมพรคุมเรือรบเก้าลำขึ้นไปจับพม่าถึงปากน้ำเมืองทวาย ได้ครัวพม่า ๗๐ ครัวเศษ ส่งเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เวลานั้นอังกฤษตีได้เมืองทวาย เมืองตะนาวศรี และเมืองมะริด แล้วทรงดำริว่า ลักษณะสงครามทางเมืองพม่าผันแปรไป เดิมคิดว่าผู้คนพม่าจะเป็นข้าศึกต่อสู้กับไทยกลับไปเป็นข้าศึกพม่าอ่อนน้อมต่อไทยบ้างต่ออังกฤษบ้าง จะเอากำลังไปกวาดต้อนครอบครัวในฐานะเป็นข้าศึกก็ไม่สมควรจึงจัดกองทัพไปสมทบอีกเพื่อฟังเหตุการณ์ต่อไป เมื่อเดือนยี่ปีวอก พ.ศ. ๒๓๗๖ นายพันตรีปริม คุมทหารรักษาเมืองมะริด ได้ทราบความว่ามีกองทัพเรือไทยไปเที่ยวต้อนจับคนในเมืองมะริด จึงแต่งตั้งให้นายร้อยโทเครเวอ คุมทหารลงเรือไปสืบความไปพบเรือไทยอยู่ห่างเมืองมะริดทางสัก ๓ ชั่วโมง เป็นเรือขนาดใหญ่ มีกันเชียง ตีลำละ ๖๐ ถึง ๘๐ กรรเชียง อยู่ด้วยกันประมาณ ๓๐ ลำ นายร้อยโทเครเวอ จึงให้ยกธงอังกฤษกับธงขาวขึ้นเป็นสัญญาณเรือรบไทยจึงยกธงตอบแล้วรออยู่ นายร้อยโทเครเวอ ไปพบนายทัพไทย คือ พระยาชุมพร(ซุย) จึงบอกว่าอังกฤษตีเมืองมะริดได้แล้ว ขอให้ปล่อยพวกเมืองมะริดที่จับมา นายทัพไทยชี้แจงว่าไม่ทราบว่าอังกฤษตีได้ รับว่าพรุ่งนี้จะปล่อยเชลย ๔๐๐ คนที่จับได้มา แต่ต้องขอหนังสือสำคัญของเจ้าเมืองมะริดเพื่อจะบอกไปทางกรุงเทพฯ อยู่ต่อมา ๓ วัน กองทัพไทยได้ส่งเชลยให้ ๙๐ คนคืนนั้น เรือรบไทยก็ออกจากเมืองมะริดหมด อังกฤษติดตามพบเรือรบไทยหลงอยู่ ๖ ลำ จึงจับเรือและคนรวม ๑๔๕ คน มีพระเทพชัยบุรินทร์ เจ้าเมืองท่าแซะเป็นหัวหน้าเอาไปไว้เมืองมะริด ว่าถ้าคนไทยส่งเชลยเมืองมะริดคืนให้หมดเมื่อใดจึงจะปล่อย อังกฤษได้ร้องเรียนไปกรุงเทพฯ เพื่อทรงทราบเห็นว่าพระยาชุมพรละเมิดท้องตราที่ได้สั่งไปครั้งหลังจึงให้หาพระยาชุมพร (ซุย) เข้ามาถอดเสียจากตำแหน่งแล้วไว้ ณ กรุงเทพฯ เพราะมีความผิดไปตีครัวชาวมะริดของอังกฤษ เขามาตามขอดี ๆ ไม่ได้สู้รบกันก็แพ้เขา ทำให้เสียพระเกียรติยศต่อมาพระยาชุมพร (ซุย) ได้ถึงแก่กรรมที่กรุงเทพฯ ๗. เมื่อ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นที่ปากน้ำอำเภอเมืองชุมพร เพื่อจะเดินทางไปยึดครองประเทศพม่าตามแผนการ จึงได้เกิดการสู้รบกันขึ้นกับชาวเมืองชุมพร อันมียุวชนทหารตำรวจ ทหารบก ข้าราชการพลเรือนและประชาชนผู้รักชาติ หลังจากสู้รบกันอยู่ ๕ ชั่วโมงเศษ ประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นได้ตกลงทำสัญญาร่วมรบกัน จึงได้หยุดการสู้รบและกองทัพญี่ปุ่นก็ได้รับอนุญาตให้เดินทัพผ่านไปยังเมืองพม่าได้สะดวก ในระหว่างสงครามคราวนี้เมืองชุมพรถูกทำลายโดยเครื่องบินของศัตรูญี่ปุ่นอย่างมาก อาคารของทางราชการ เช่น สถานีตำรวจ อาคารต่าง ๆ ของกรมรถไฟตลอดจนบ้านเรือนทรัพย์สินของราษฎร ชีวิตของประชาชนสูญเสียเป็นอันมาก เฉพาะการสงครามระหว่างไทยกับพม่าที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดชุมพรมีหลายครั้ง นับเป็นประวัติสำคัญอันหนึ่ง เฉพาะหมู่บ้านและตำบลบางแห่งได้มีนามเนื่องมาจากสงครามในครั้งนั้นเล่ากันต่อมาควรจะกล่าวไว้บ้างคือ ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ ครั้งหนึ่งกองทัพพม่าได้เดินทัพผ่านมาทางตำบลดังกล่าวก็รอทัพไว้ จึงเรียกนามตำบลนี้ว่า ตำบลทัพรอ แต่ต่อ ๆ มาได้เรียกเพี้ยนไปเป็นตำบลรับรอ อันเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอท่าแซะ มาจนทุกวันนี้ ตำบลท่าแซะ หมู่ที่ ๗ เรียกบ้านหนองโคลนเดินเมื่อกองทัพพม่ายกมาเคยได้สู้รบกับกองทัพไทย ณ ตรงนี้จนมากลายเป็นโคลน ชาวบ้านจึงเรียกว่าบ้านโคลน ตำบลแหลมทราย หมู่ที่ ๑ อำเภอหลังสวน มีชื่อว่าบ้านทัพยอ มีประวัติเล่ากันว่า เมื่อสมัยกองทัพพม่า ซึ่งมีคุเรียงสะระภะยอเป็นแม่ทัพในราว พ.ศ. ๒๓๕๒ เมื่อตีเมืองชุมพรได้แล้วได้ยกกองทัพไปพักอยู่ที่เมืองหลังสวน ภายหลังหมู่บ้านที่กองทัพพม่าตั้งอยู่ที่นี้ได้ชื่อว่า บ้านคุเรียงสะระภะยอ ต่อมาเรียกสั้นลงไปว่า บ้านทัพยอ มาจนทุกวันนี้ ในท้องที่อำเภอเมืองชุมพร หมู่ที่ ๒ ตำบลตากแดด มีบ้านหนึ่งเรียกว่าบ้านหัวครู ซึ่งขณะนี้ยังมีคูใหญ่เหลืออยู่เล่ากันว่า เมื่อพม่าเข้าตีได้เมืองชุมพร และเผาเมืองชุมพรราวปี พ.ศ. ๒๓๐๗ ได้จับเชลยคนไทยได้ และกำลังจะเผาที่คูนี้ แต่ขณะนั้นบังเอิญฝนตกหนักจึงไม่สามารถเผาได้เชลยคนไทยจึงรอดตายและเมื่อฝนตกหนักกองทัพพม่าซึ่งได้ยกทัพมาเป็นส่วนมากใช้ม้าและพาหนะจึงเปียกฝนด้วย หลังจากฝนหายแล้วพม่าจึงเอาม้าออกตากแดด ท้องที่ดังกล่าวแล้ว จึงมาภายหลังเรียกว่า ตำบลตากแดด และที่คูนั้นเรียกว่าบ้านหัวคู มาจนทุกวันนี้ ในตำบลวังไผ่ หมู่ที่ ๘ มีที่แห่งหนึ่งเรียกว่า หาดพม่าตาย เล่ากันว่าเมื่อสมัยกองทัพพม่ายกกองทัพมาตีเมืองชุมพรได้มาพักแรมที่ตรงนี้ และได้ใช้ใบ ตะลังตังช้าง (เป็นใบไม้ที่คันและมีพิษ) รองนอนเพราะไม่รู้ว่ามีพิษ เมื่อนอนเกิดคันและร้อน จึงวิ่งลงไปแช่น้ำ จึงตายลงเป็นอันมากจึงขนาดนามว่าหาดพม่าตายมาจนทุกวันนี้ ประวัติคอคอดกระ ความสำคัญเป็นพิเศษของชุมพรยังมีอีกประการหนึ่งซึ่งควรกล่าวไว้ ณ ที่นี้คือ คอคอด อยู่ระหว่างอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร กับอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง เรียกกันว่า คอคอดกระ เป็นส่วนแคบที่สุดของแหลมมลายู เคยเป็นทางผ่านสำหรับเดินตัดข้ามมาจากทะเลตะวันตกมาทะเลตะวันออกในสมัยโบราณ ระยะทางตอนที่แคบประมาณ ๕๐ กิโลเมตร เรื่องของคอคอดกระ เป็นเรื่องที่ทั่วโลกรู้จักกันมานานแล้ว และเป็นที่สนใจของชาวต่างประเทศสำหรับประเทศไทยเริ่มสนใจคอคอดกระในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏตามตำนานเมืองระนองตอนหนึ่งความว่า เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๐๙ รัฐบาลมีข้อวิตกขึ้น เนื่องด้วยในปัจจุบันฝรั่งเศสขุดคลองสุเอชในประเทศอียิปต์สำเร็จ ฝรั่งเศสคิดหาที่ขุดคลองทำนองเดียวกันในประเทศอื่นต่อไป จึงคิดจะขุดคลองจากเมืองกระบุรีออกมาเมืองชุมพร เพื่อให้เป็นทางเรือจากยุโรปไปเมืองจีนโดยไม่ต้องอ้อมแหลมมลายูไปทางสิงคโปร์ และเรียกว่า คลองตระ ความคิดของฝรั่งเศสในเรื่องคลองตระนั้น เป็นเรื่องลืออื้อฉาว แต่ยังไม่ปรากฏในทางราชการว่า รัฐบาลฝรั่งเศสจะสนับสนุนสักเพียงใด แต่ฝ่ายไทยคิดเห็นว่า ถ้าฝรั่งเศสมีอำนาจถึงได้ขุดคลองตระในครั้งนั้น คงจะมีผล ๒ อย่างคือ อาจถือโอกาสให้เสียดินแดนทางด้านแหลมมลายูประการหนึ่ง และไทยต้องแสดงให้อังกฤษ เชื่อว่าไทยมิได้สนับสนุนฝรั่งเศสในเรื่องการขุดคลองนั้น หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ อังกฤษได้เรียกร้องให้ไทย ยอมรับข้อกำหนดบางประการที่ทำให้ทรัพย์สินสูญหายไปในระหว่างสงครามได้กลับคืนมาและป้องกันมิให้เกิดสงครามขึ้นในอนาคต หรือที่เรียกกันว่า ความตกลงสมบูรณ์ระหว่างรัฐบาลไทยฝ่ายหนึ่ง กับรัฐบาลสหราชอาณาจักรและ รัฐบาลอินเดียฝ่ายหนึ่ง ซึ่งทำกัน ณ สิงคโปร์ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๘๙ ข้อ ๗ มีความว่า รัฐบาลไทยจะไม่ตัดคลองข้ามอาณาเขตไทย เชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับอ่าวไทย โดยรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรเห็นพ้องด้วยกัน การเลือกสถานที่ขุดคลองตอนที่แคบที่สุดของแหลมมลายูตอนนี้มีเทือกเขาสูงกั้นทางเหนือมีภูเขาเตี้ยทางใต้จากเมืองชุมพรถึงปากน้ำปากจั่น ที่เมืองกระ ลำน้ำตอนที่เมืองกระตื้น เรือยนต์ เรือกลไฟขนาดที่เดินในแม่น้ำเจ้าพระยาจะเดินทางได้เมื่อน้ำขึ้น และเป็นเช่นนี้ตลอดไปจนถึงตำบลทับหลี เรือขนาดเล็กเดินทางได้ทุกเวลา จากทับหลีลงไป แม่น้ำกว้างออกไปเป็นลำดับ เรือกลไฟต้องเดินตามลำน้ำปากจั่นประมาณ ๑๐ ชั่วโมง ไปออกทะเลที่หน้าเมืองระนอง อังกฤษถือลำน้ำปากจั่นเป็นที่กั้นเขตแดนระหว่างไทยกับอังกฤษ (หรือพม่า) ถ้าจะขุดคลองต้องอาศัยน้ำปากจั่นเป็นทางเดินขึ้นไปจนถึงเมืองกระแล้วจึงขุดคลองที่ช่องเขาข้ามมาชุมพร และจำเป็นต้องขุดลำน้ำปากจั่นให้ลึกและกว้างจนเรือกำปั่นใหญ่เดินได้ การขุดลำน้ำปากจั่นจำต้องขุดในดินแดนของอังกฤษด้วย เพราะแนวศูนย์กลางอยู่กลางลำน้ำปากจั่น ถ้าอังกฤษไม่ยอมให้ขุดก็เป็นอันขุดคลองกระไม่ได้ ถ้าไม่ขุดที่คลองกระจะเลื่อนลงไปขุดด้านใต้ เช่นที่เมืองระนองก็เป็นเทือกเขาสูงทั้งนั้น เพราะความขัดข้องมีอยู่เช่นนี้ ฝรั่งเศสซึ่งมีความปรารถนาจะขุดคลองกระครั้งหนึ่งจึงได้เลิกความพยายามแต่หากได้กล่าวแก้ว่าจะต้องตัดเทือกเขายากนักจึงไม่ขุด ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดชุมพร. กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์ , ๒๕๒๘. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:55:31 ปัตตานี
ปัตตานี หากจะอาศัยประวัติศาสตร์ของไทยเราเป็นที่อ้างอิงเพียงด้านเดียวจะเห็นได้ว่าปัตตานีมีเรื่องราวและบทบาทเพียงน้อยนิด เป็นเพียงหัวเมืองปักษ์ใต้ที่เป็นประเทศราชของไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี แต่สำหรับเรื่องราวของปัตตานีที่มีบันทึกอยู่ในจดหมายเหตุของจีนและประเทศอื่นๆ ซึ่งเคยติดต่อด้านการค้าการเดินเรือต่างถึงเมืองปัตตานีเนิ่นนานกว่าสมัยสุโขทัยมากนัก ปัตตานีคือปัจจุบัน "ลังกาสุกะ" คือ อดีตอันรุ่งเรือง ที่ตั้งของอาณาจักรลังกาสุกะ ศาสตราจารย์ ปอล วิตลีย์ ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องแหลมมลายูได้ใช้บันทึกของผู้โดยสารเรือผ่านอาณาจักรนี้ซึ่งมีมากมายหลายเชื้อชาติ แต่ที่มากที่สุดและได้รายละเอียดมากที่สุดได้แก่ชาวจีน เพราะชาวจีนได้บันทึกมาตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๑ นายปอล วิตลีย์ สรุปลงได้ว่าอาณาจักรลังกาสุกะตั้งอยู่ระหว่างเมืองกลันตันและเมืองสงขลา ความเห็นนี้เป็นที่ยอมรับทั่วไปในวงการประวัติศาสตร์ จดหมายเหตุของจีนชื่อ เหลียง ซู ซึ่งเขียนขึ้นในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๑ เรียกชื่อเมืองลังกา- สุกะว่า ลัง-ยา หรือ ลังยาชิว และกล่าวว่าอาณาจักรลังกาสุกะได้ตั้งมาก่อนหน้านั้นประมาณ ๔๐๐ ปี ซึ่งหมายความว่าได้ตั้งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๗ แล้วกล่าวด้วยว่า อาณาจักรนี้มีอาณาเขตจรดทั้งสองฝั่งทะเล คือด้านตะวันออกจรดฝั่งอ่าวไทยบริเวณเมืองปัตตานี ด้านตะวันตกจรดฝั่งอ่าวเบงกอลเหนือเมืองไทรบุรี ในประเด็นหลังนั้น ศาสตราจารย์ฮอลล์เห็นด้วยซ้ำกล่าวเพิ่มเติมว่า ก็เพราะอาณาจักรลังกาสุกะมีอำนาจปกครองคร่อมอยู่ทั้งสองฝั่งทะเลเช่นนี้เอง จึงได้ทำหน้าที่ควบคุมเส้นทางเดินข้ามแหลมมลายูแต่โบราณ เหตุที่ชื่อเมืองหรืออาณาจักรของ ลังกาสุกะ ไปปรากฏในเอกสารของชาวต่างประเทศเป็นอันมากนั้น ย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเมืองลังกาสุกะต้องเป็นเมืองท่าสำคัญอยู่ใกล้ทะเล มีบทบาททางการเมืองและเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกับดินแดนใกล้เคียงอยู่เสมอ ถิ่นฐานและการโยกย้าย ตามตำนานพื้นเมืองของปัตตานีเล่าสืบกันมาว่า เมืองปัตตานีโบราณ หรือเมื่อครั้งยังเรียกว่า ลังกาสุกะ นั้น ได้มีการโยกย้ายมาแล้ว ๓ ครั้ง เดิมนั้นตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านปาโย หรือบาโย ซึ่งทุกวันนี้ได้แก่ บริเวณท้องที่ตำบลหน้าถ้ำ ตำบลท่าสาป อำเภอเมือง จังหวัดยะลา บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำปัตตานี ในบริเวณนี้ได้พบซากโบราณสถาน โบราณวัตถุจำนวนมาก แต่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๗ เป็นส่วนใหญ่ การเคลื่อนย้ายครั้งที่ ๑ ได้อพยพมาตั้งเมืองที่ บ้านตะมางัน ท้องที่ตำบลรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส แต่ชื่อ ตะมางัน ปัจจุบันมีอยู่ที่เมืองยะรังเก่า อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี จึงอาจจะเป็นไปได้ว่าผู้จดจำตำนานเกิดความไขว้เขวขึ้นก็ได้ อีกทั้งที่อำเภอรือเสาะก็ไม่พบโบราณสถาน หรือหลักฐานใดๆ ที่เก่าถึงสมัยลังกาสุกะ การเคลื่อนย้ายครั้งที่ 2 ได้อพยพย้ายมาตั้งบ้านเมืองที่ บ้านประแว คือเมืองยะรังเก่า ในท้องที่ตำบลยะรัง อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เมืองเก่าของปัตตานีที่ บ้านประแว แห่งนี้ได้รับการเชื่อถือมากที่สุดว่าคือ เมืองลังกาสุกะ เนื่องจากที่ตั้งใกล้เคียงกับที่ได้รับการจดบันทึกในจดหมายเหตุของประเทศต่างๆ ตลอดจนได้พบหลักฐานจำนวนมาก รวมทั้งศาสนสถานทั้งของศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ และอื่นๆ อายุ ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๑๐๐ ๑๔๐๐ เป็นต้นมา ซึ่งเป็นหลักฐานที่เน้นถึงความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดของอาณาจักรลังกาสุกะ การเคลื่อนย้ายครั้งที่ ๓ ได้อพยพมาตั้งเมืองใหม่ที่บ้าน กรือเซะ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี อยู่ห่างจากตัวเมืองปัจจุบันประมาณ ๔ กิโลเมตร สันนิษฐานว่าเมืองนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อเมืองปัตตานี และชื่อเมือง ลังกาสุกะ ก็จางหายไปจากหน้าบันทึกทางประวัติศาสตร์ ลักษณะบ้านเมืองและการเป็นอยู่ จากหนังสือ ความสัมพันธ์ของจีนกับหมู่เกาะทะเลจีนตอนใต้ กล่าวถึงจดหมายเหตุ เหลียง-ซู เล่มที่ ๕๔ ว่ามีข้อความเอ่ยถึงเมืองลังกาสุกะว่า เป็นอาณาจักรที่มีพืชผลและภูมิอากาศคล้ายคลึงกับฟูนัน มีเครื่องเทศมาก ประชาชนทั้งหญิงและชายไว้ผมยาวประบ่า สวมเสื้อผ้าไม่มีแขน กษัตริย์และขุนนางใช้ผ้ายกทองสีแดงคลุมเครื่องแต่งกาย ใส่ตุ้มหูทอง ผู้หญิงมีผ้าคลุมและใส่สร้อยสังวาล กำแพงเมืองก่อด้วยอิฐ มีประตูเมืองหลายชั้น เมื่อกษัตริย์เสด็จออกจากวังจะประทับบนหลังช้าง หลังคากูบเป็นผ้าขาว หน้าขบวนมีพลกลอง และมีทหารถือธงล้อมรอบ ชาวเมืองนี้กล่าวว่าเมืองนี้ได้ตั้งเมืองมากว่า ๔๐๐ ปีแล้ว เมืองลังกาสุกะในสมัยพระเจ้าภัคทัตต์ได้ส่งทูตไปเมืองจีน (พ.ศ. ๑๐๕๘) เพื่อเจริญราชไมตรี๑ จากข้อความดังกล่าวข้างต้น เป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรลังกาสุกะ ความอยู่เย็นเป็นสุข และเศรษฐกิจที่ดี แต่เมื่อรุ่งเรืองถึงขีดสุดแล้ว อาณาจักรลังกาสุกะก็เริ่มทรุดลงในศตวรรษที่ ๑๔ และ ๑๕ โดยตกไปเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรศรีวิชัย จนถึง พ.ศ. ๑๘๓๖ อาณาจักรศรีวิชัยหมดอำนาจ กองทัพของกรุงสุโขทัยซึ่งลงมาอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราชร่วมกับกำลังกองทัพเมืองนครศรีธรรมราชรุกเข้าไปในรัฐต่างๆ บนแหลมมลายูตอนใต้ จนยึดได้ตลอดสุดแหลมเมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๘ ดังข้อความที่จารึกไว้ในหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 ตอนที่กล่าวถึงเขตแดนทิศใต้ของอาณาจักรสุโขทัยว่า : - เบื้องหัวนอน รอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี นครศรีธรรมราช ฝั่งสมุทร เป็นที่แล้ว ครั้นเมื่ออำนาจของกรุงสุโขทัยอ่อนกำลังลง เมืองนครศรีธรรมราชก็ตรามาเป็นประเทศราชอยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งเมืองตานีที่พญาศรีธรรมราช (พระพนมวัง) เป็นผู้สร้างในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ อันเป็นปีที่กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่านั้น บรรดาหัวเมืองปักษ์ใต้พากันกระด้างกระเดื่อง หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกู้อิสรภาพสำเร็จจึงเสด็จพระราชดำเนินลงไปปราบเมืองนครศรีธรรมราช และได้เมืองนครศรีธรรมราชกลับคืนมาอยู่ภายในราชอาณาจักรของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงโปรดให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ยกกองทัพไปตีเมืองตานีได้จากสุลต่านโมหะหมัดในปี พ.ศ. ๒๓๒๗ และโปรดเกล้าให้ตวนกูลัมมิเด็นเป็นรายาตานี ปี พ.ศ. ๒๓๓๔ ตวนกูลัมมิเด็นคบคิดกับแขกเมืองเซียะ (ในเกาะสุมาตรา) ยกทัพไปตีเมืองสงขลา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงให้พระยากลาโหมเสนาเป็นแม่ทัพนำทัพเรือยกไปตีเมืองตานีและมีชัยชนะ พระยากลาโหมราชเสนาได้ขอพระราชทานโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ระตูปะกาลันเป็น รายาตานีคนต่อไป ปี พ.ศ. ๒๓๕๑ ระตูปะกาลันได้ก่อความไม่สงบขึ้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ให้เจ้าพระยาพลเทพ (บุนนาค) ยกกองทัพกรุงออกไปสมทบกับกองทัพเมืองสงขลา พัทลุง จะนะ มอบให้หลวงนายฤทธิ์ (เถี๋ยนจง) เป็นแม่ทัพนำทัพไปตีเมืองตานีจับระตูปะกาลันได้ และได้นำตัวมาไว้ ณ กรุงเทพมหานคร จากเหตุการณ์ครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงมีพระบรมราโชบายให้แยกเมืองตานีออกเป็น 7 หัวเมือง คือ เมืองตานี ยะหริ่ง สายบุรี หนองจิก ยะลา ระแงะ และรามันห์ แต่งตั้งให้นายขวัญซ้าย (มหาดเล็ก) เป็นผู้ว่าการเมืองปัตตานีคนแรก และมีผู้ว่าการต่อมา ดังนี้ นายพ่าย ตวนกูสุหลง นายทองอยู่ หนิยุโซะ ตวนกูเปาะสา พระยาวิชิตภักดีฯ (ตวนกูปุเตะ) พระยาวิชิตภักดีฯ (ตวนกูตีมุน) พระยาวิชิตภักดีฯ (ตวนกูมอซู หรือตวนสุไลมาน) พระยาวิชิตภักดีฯ (ตวนกูอับดุลกาเดร์) ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๓๓ - ๒๔๔๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปการปกครองหัวเมืองทั้ง ๗ อันเป็นการปกครองแบบเก่าคือ ระบบกินเมืองมาเป็นระบบเทศาภิบาล ทรงดำเนินการไปทีละขั้นตอนโดยไม่ก่อให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อการปกครองของเจ้าเมืองทั้ง ๗ หัวเมือง ทั้งนี้เนื่องจากว่าพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะสร้างเอกภาพให้แก่ประเทศ ทรงให้เลิกการแยกการปกครองตามเชื้อชาติที่ปรากฏในเมืองประเทศราชต่างๆ เพื่อรวมอำนาจการปกครองทั่วประเทศมาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย และให้ราษฎรได้มีส่วนร่วมในการปกครองโดยการกระจายระบบการบริหารไปสู่ท้องถิ่นตามแบบเทศาภิบาล ปี พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้ตั้งมณฑลนครศรีธรรมราชขึ้นเป็นมณฑลแรกในภาคใต้ มีอำนาจหน้าที่ปกครองหัวเมือง ๑๐ เมือง คือ เมืองนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ตานี ยะหริ่ง สายบุรี หนองจิก ยะลา ระแงะ และรามันห์ ปี พ.ศ. ๒๔๔๙ ทรงพระกรุณาโปรดให้แยกหัวเมืองทั้ง ๗ ออกจากมณฑลนครศรีธรรมราชมาตั้งเป็นมณฑลปัตตานี พร้อมทั้งเปลี่ยนฐานะเมืองเป็นอำเภอและจังหวัด ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ยุบเลิกมณฑลปัตตานี เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ รัฐบาลจำต้องตัดทอนรายจ่ายให้น้อยลงเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศไว้ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน ภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น พระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ ให้จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร ก่อนสมัยเปลี่ยนการปกครองนอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย ดังนั้นเมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบ ราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย สาเหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก 1.การคมนาคมสื่อสารมีความสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง 2.เพื่อความประหยัด ลดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง 3.เนื่องด้วยเห็นว่า การดำเนินงานของหน่วยงานมณฑลซ้ำซ้อนกับหน่วยงานจังหวัดอันก่อให้เกิดความล่าช้าไม่คล่องตัวเท่าที่ควร 4.รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบเลิกมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจเพิ่มขึ้นนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกนัยหนึ่ง อันมีผลให้ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีการเปลี่ยนเปลงไปจากเดิม ดังนี้ 1.จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จังหวัดมิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคล 2.อำนาจในการบริหารจังหวัดแต่เดิมนั้นตกอยู่กับคณะบุคคลคือ คณะกรรมการจังหวัด ได้เปลี่ยนมาอยู่กับบุคคลเพียงคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด 3.คณะกรรมการจังหวัดแต่เดิมมีฐานะเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๐๕ โดยจัดระเบียบบริหารส่วนภูมิภาคเป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ จังหวัดนั้นได้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอตั้งขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่า ราชการจังหวัดในการบริหารแผ่นดินในจังหวัดนั้นๆ ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดปัตตานี.กรุงเทพฯ.บางกอกสาส์น,๒๕๒๘ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:56:55 ระนอง
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ประวัติความเป็นมาของจังหวัดระนองสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาไม่มีหลักฐานปรากฏเข้าใจว่าสมัยนั้นจังหวัดระนองยังคงมีสภาพเป็นป่าดง รกร้างว่างเปล่าไม่มีผู้คนอยู่อาศัย เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งเจริญรุ่งเรืองทางส่วนใต้ของประเทศไทยในสมัยนั้น สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา (ระหว่าง พ.ศ.๑๙๙๑ - ๒๐๗๒) ได้มีการปรับปรุงระบบการปกครองบ้านเมือง โดยยกเลิกการปกครองแบบที่มีเมืองลูกหลวง ๔ ด้าน ราชธานีที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย และได้มีการขยายขอบเขตการปกครองของเมืองหลวงให้กว้างออกไปโดยรอบ คือจัดเป็นแบบในวงราชธานีกับนอกวงราชธานี ในวงราชธานีนั้นถือเอาเมืองหลวงเป็นหลักและมีเมืองจัตวาขึ้นอยู่รายรอบหัวเมือง เมืองจัตวาเหล่านี้มีผู้รั้ง (เจ้าเมือง) กับกรมการเป็นพนักงานปกครองโดยให้อยู่ในบังคับบัญชาของเสนาบดีทั้งหลายในเมืองหลวงส่วนหัวเมืองที่อยู่นอกวงราชธานี หรือเมืองชายแดนหน้าด่านชายแดนนั้น จัดให้เป็นหัวเมืองชั้นเอก โท ตรี ตามขนาดความสำคัญของเมืองนั้น ๆ ซึ่งต่อมาเรียกว่าหัวเมืองชั้นนอก หัวเมืองชั้นนอกเหล่านี้ต่างก็มีหัวเมืองเล็กๆ คั่นอยู่เช่นเดียวกับในวงราชธานี มากบ้างน้อยบ้างตามขนาดของอาณาเขตโดยกำหนดตามท้องที่สุดแต่จะให้พนักงานปกครองต่างเมืองเดินทางไปมาถึงกันได้ภายในวันหรือสองวัน เพื่อจะได้บอกข่าวช่วยเหลือกันเมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ภาวะสงคราม บรรดาหัวเมืองชั้นนอก เหล่านี้ พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งเจ้านายในราชวงศ์ หรือข้าราชการชั้นสูงศักดิ์เป็นผู้สำเร็จราชการเรียกว่าเจ้าเมือง หรือพระยามหานครตามแต่ฐานะของเมืองมีอำนาจปกครองบังคับบัญชาสิทธิ์ขาดต่างพระเนตรพระกรรณทุกประการ ในสมัยอยุธยานี้ เมืองระนองมีลักษณะเป็นหัวเมืองเล็กๆ ขึ้นอยู่กับเมืองชุมพร ซึ่งเป็นหัวเมืองชั้นตรี มีอาณาเขตติดทะเลฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก นอกจากเมืองระนองซึ่งเป็นเมืองชั้นเอก เมืองชุมพรแล้วยังมีเมืองตระ (อำเภอกระบุรี) เมืองปะทิว เมืองตะโก เมืองหลังสวนและเมืองมลิวัน (เดี๋ยวนี้อยู่ในสหภาพพม่า) สมัยกรุงธนบุรี เมืองระนองสมัยกรุงธนบุรี ไม่ปรากฏมีเหตุการณ์และหลักฐานทางประวัติศาสตร์แต่ อย่างใด สันนิษฐานว่ายังเป็นหัวเมืองเล็กๆ ขึ้นตรงต่อเมืองชุมพรตลอดสมัยกรุงธนบุรี สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองระนองมีชื่อปรากฏอยู่ในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ ว่าเป็นเมืองหนึ่งที่พม่ายกทัพผ่านเข้ามาเพื่อไปตีเมืองชุมพรเท่านั้น นอกจากนี้ในอดีตนอกจากจะเป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในป่าดงรกร้างหาเป็นภูมิฐานบ้านเมืองไม่ ภูมิประเทศยังเต็มไปด้วยภูเขาสลับซับซ้อนแทบจะหาที่ราบสำหรับการเกษตรไม่ได้ มิหนำซ้ำการเดินทางไปมาติดต่อต่างเมืองก็ลำบากยากเข็น ถ้าไม่ใช่การเดินทางทางเรือ อันต้องผ่านปากอ่าวเข้ามาทางด้านมหาสมุทรอินเดียแล้ว ก็ต้องขึ้นเขาลงห้วย บุกป่าฝ่าดงกันเท่านั้นเองแต่ไม่ว่าทางใดก็ต้องเสียเวลาเดินทางกันเป็นวันๆ ทั้งนั้นจนขึ้นชื่อว่าเป็นเมือง สุดหล้าฟ้าเขียว เอาทีเดียว ผู้คนต่างกันจึงไม่ค่อยจะได้ถ่ายเทเข้ามาตั้งรกรากทำมาหากินในเมืองระนองพลเมืองระนองจึงมีอยู่น้อยนิดเรื่อยมาแต่ในท่ามกลางป่าเขาทุรกันดารนั้น ระนองได้ สะสมทรัพยากรธรรมชาติไว้ใต้แผ่นดินเป็นเอนกอนันต์ นั่นคือวัตถุที่มีชื่อเรียกกันในสมัยโบราณว่า ตะกั่วดำ และในปัจจุบันเรียกว่า แร่ดีบุกนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เองจึงมีราษฎรในเมืองชุมพรและเมืองหลังสวนได้อพยพเข้ามาหาเลี้ยงชีพด้วยการขุดแร่ดีบุกขายมาแต่โบราณฝ่ายรัฐบาลผ่อนผันให้ราษฎรมีความเป็นอยู่อย่างผาสุกโดยให้ส่งส่วยดีบุกแทนการรับราชการ โดยการผ่อนผันกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ให้มีเจ้าอากรภาษีรับผูกขาดอากรดีบุก คือจักบำรุงการขุดแร่ และมีอำนาจที่จะซื้อและเก็บส่วนดีบุกในแขวงเมืองตระตลอดมาจนถึงเมืองระนอง โดยยอมสัญญาส่งดีบุกแก่รัฐบาลปีละ ๔๐ ภารา (คิดอัตราในเวลานี้ภาราหนึ่งหนัก ๓๕๐ ชั่ง เป็นดีบุก ๑๔,๐๐๐ ชั่ง) ในการเก็บรวบรวมและจัดส่งส่วยอากรแร่ดีบุกให้แก่รัฐบาลนั้น ราษฎรได้ยกย่องให้นายนอง ซึ่งมีลักษณะเป็นผู้นำที่ดีและเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้รวบรวมและส่งไป ด้วยคุณงามความดีของนายนองที่มีต่อลูกบ้านปกครองลูกบ้านด้วยดีเสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการหารายได้ให้กับรัฐบาลเพิ่มมากขึ้นโดยการส่งภาษีอากรแร่ดีบุกที่ขุดได้เพิ่มมากขึ้น จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงระนองเจ้าเมืองคนแรกสืบต่อมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีผู้ประมูลผูกขาดส่งภาษีอากรดีบุกขึ้นเรียกว่า นายอากร ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๘๗ มีคนจีนชื่อคอซู้เจียง (ภายหลังได้เป็นที่ พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดีผู้เป็นต้นสกุล ณ ระนอง) เป็นจีนฮกเกี้ยน เกิดที่เมืองจิวหูประเทศจีน ได้เดินทางเข้ามาประเทศไทยและตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองตะกั่วป่า ได้ยื่นเรื่องราวประมูลอากรดีบุก แขวงเมืองตระและระนอง และทำการประมูลได้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งนายคอซู้เจียงเป็น หลวงรัตนเศรษฐี ตำแหน่งขุนนางนายอากร ในปี พ.ศ. ๒๓๙๗ หลวงระนองเจ้าเมืองระนองถึงแก่กรรมทำให้เจ้าเมืองระนองว่างลง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงดำริถึงความดีความชอบของหลวงรัตนเศรษฐีจึงทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตร เลื่อนบรรดาศักดิ์หลวงรัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) เป็นพระรัตนเศรษฐีผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง ถือศักดินา ๘๐๐ ไร่ แต่เมืองระนองยังคงเป็นเมืองไม่มีชั้น อันดับ ยังคงขึ้นตรงต่อเมืองชุมพรต่อมา การปกครองตามหัวเมืองในสมัยนั้นยังใช้วิธีซึ่งเรียกในกฎหมายเก่าว่า กินเมือง อันเป็นแบบเดิมซึ่งดูเหมือนว่าจะใช้กันทุกประเทศในแถบทางตะวันออกนี้ ในเมืองจีนก็ยังเรียกว่ากันตามภาษาจีน แต่ในเมืองไทยมาถึงชั้นหลังได้เรียกเปลี่ยนเป็น ว่าราชการเมือง ถึงกระนั้นคำว่ากินเมืองก็ยังใช้กันในคำพูดและยังมีอยู่ในหนังสือเก่าเช่น กฎมณเฑียรบาล เป็นต้น วิธีปกครองที่ดีเรียกว่ากินเมืองนั้น หลักเดิมคงถือกันว่า ผู้เป็นเจ้าเมืองต้องทิ้งธุรกิจของตนมาประจำทำการปกครองบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากอันตราย ราษฎรก็ต้องคอยแทนคุณเจ้าเมืองด้วยการออกแรงช่วยทำการงานให้บ้าง หรือแบ่งสิ่งของซึ่งหามาได้ เช่น ข้าว ปลา อาหารที่เหลือให้เป็นของกำนัล ช่วยอุปการะมิให้ เจ้าเมืองต้องเป็นห่วงในการหาเลี้ยงชีพ จึงมีความสุขสบาย ในสมัยนั้นอำนาจเหนือราษฎรตามหัวเมืองมีอยู่ ๒ อย่างคือ อำนาจเจ้าเมืองกรมการและอำนาจเจ้าภาษีนายอากรในการเรียกเก็บภาษี หัวเมืองใหญ่ที่เจ้าเมืองเป็นบุคคลสำคัญ เจ้าภาษีนายอากรก็อ่อนน้อม เพราะต้องอาศัยตามอำนาจเจ้าเมือง จึงจะเร่งเรียกเก็บภาษีได้สะดวก สำหรับระนองขณะนั้น เดิมเจ้าเมืองระนองพระรัตนเศรษฐี เป็นพ่อค้า เป็นเจ้าภาษีนายอากรอยู่ก่อนเป็นเจ้าเมืองระนอง รู้ชำนาญการในท้องที่อยู่แล้ว ครั้งได้เป็นผู้ว่าราชการเมือง ก็เห็นว่าการที่จะปกครองทำนุบำรุงบ้านเมืองให้สะดวกเป็นประโยชน์แก่ราชการและส่วนตัวด้วยนั้น จำเป็นจะต้องรวมอำนาจ ๒ อย่างเข้าด้วยกัน จึงได้ขอรับผูกขาดเก็บภาษีอากรเมืองระนองต่อไป ภาษีอากรที่เก็บ ณ เมืองระนองในสมัยนั้นมี ๕ อย่าง คือ ภาษีดีบุกที่ออกจากเมืองภาษี สินค้าขาเข้าเมือง ๑๐๐ ชัก ๓ ตามราคาอากรฝิ่น อากรสุรา และอากรบ่อนเบี้ย ทั้ง ๕ อย่างนี้เรียกภาษีผลประโยชน์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวว่า ลักษณะการที่ให้ผู้ว่าราชการเมืองรับ ผูกขาดเก็บภาษีผลประโยชน์ดังว่านี้ ดูเหมือนจะจัดขึ้นที่เมืองระนองก่อนครั้งเห็นว่าเป็นประโยชน์ดีจึงขยายออกไปถึงเมืองใกล้เคียง คือ ตะกั่วป่า พังงา และภูเก็ต ลักษณะนี้ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นการให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน เพราะเจ้าเมืองจะต้องเก็บให้มากๆ เหลือส่งพระคลังเท่าใดก็เป็นกำไรแต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น หัวเมืองที่มีพลเมืองน้อย แต่ก็มีแร่ดีบุกมาก จำเป็นต้องหาคนมาเป็นแรงงานขุดดีบุก เจ้าเมืองจำเป็นต้องปกครอง เอาใจราษฎรมิให้ทิ้งกันไปอยู่ที่อื่น และยังต้องขวนขวายหาคนที่อื่นมาเข้ามาอยู่ในเมืองเพิ่มเติมด้วย ดังปรากฏในเอกสารนำเมืองตั้งพระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง ตอนหนึ่งว่า...เมืองระนองแต่ก่อนเป็นเมืองขึ้นเมืองชุมพร บ้านเมืองก็อยู่ในดงรกร้างหาเป็นภูมิฐานบ้านเมืองไม่ พระรัตนเศรษฐีชักชวนเกลี้ยกล่อมไทยจีนให้มาตั้งบ้านเรือน ทำมาหากินอยู่เย็นเป็นสุขบ้านเมืองบริบูรณ์มั่งคั่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ครั้งต่อมาปรากฏว่า อังกฤษได้จัดการปกครองหัวเมืองซึ่งได้ไปจากพม่า เข้มงวดกวดขันมาชิดชายพระราชอาณาเขตทางทะเลตะวันตก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระดำริว่าถ้าให้เมืองระนองและเมืองตระขึ้นอยู่กับเมืองชุมพร จะรักษาราชการทางชายแดนไม่สะดวก จึงโปรดให้ยกเมืองระนองและเมืองตระขึ้นเป็นหัวเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ส่วนเมืองระนองนั้นทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์ พระรัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) ขึ้นเป็นพระยารัตนเศรษฐีผู้ว่า-ราชการเมืองระนอง เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๔๐๕ และในคราวที่พระราชทานสัญญาบัตร พระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญา บัตร นายคอซิมก๊อง (ซึ่งต่อมาได้เป็นพระยารัตนเศรษฐีและพระยาดำรงสุจริตในรัชกาลที่ ๕ ) ผู้เป็นบุตรให้เป็นหลวงศรีโลหภูมิตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองระนองด้วย ต่อมาพระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) มีใบบอกเข้ามากราบบังคมทูลฯ ว่า มีความแก่ชราลงมากแล้ว ขอพระราชทานกราบถวายบังคมลาไปเมืองจีน เพื่อไปบำเพ็ญการกุศลที่บ้านเดิมสักครั้งหนึ่งได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ไปได้ตามประสงค์ พอพระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) กลับมา จากเมืองจีน ไม่ช้านักก็เกิดเหตุพวกจีนกุลีกำเริบ ครั้นเมื่อปราบปรามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า พระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) แก่ชราจึงพระราชทาน สัญญาบัตรเลื่อนยศ พระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) ขึ้นเป็นพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดีตำแหน่งจางวางผู้กำกับราชการเมืองระนอง และทรงตั้งพระศรีโลหภูมิพิทักษ์ (คอซิมก๊อง) ซึ่งเป็นบุตรคนใหญ่และเป็นตำแหน่ง ผู้ช่วยราชการเมืองระนองในเวลานั้น เป็นพระยารัตนเศรษฐี ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองระนอง เมื่อ ปีฉลู พ.ศ. ๒๔๒๐ และการต้อนรับนั้น โดยความเต็มใจแข็งแรงจริงๆ จึงได้ผ่อนวันออกไปอีกวันหนึ่งเวลาเย็นได้ลงดูตามเนินนั้นโดยรอบ แล้วขึ้นเขาเล็กอีกเขาหนึ่งซึ่งอยู่หน้าท้องพระโรง พระยาดำรงสุจริต (คอซู้เจียง) อยู่มาจนถึงปี มะเมีย พ.ศ. ๒๔๒๕ จึงถึงอนิจกรรมเมื่ออายุได้ ๘๖ ปี หลังจากพระยาดำรงสุจริต (คอซู้เจียง) ถึงอนิจกรรมแล้ว นายคอซิมบี้ (บุตรคนที่ ๖ ) ซึ่งบิดาส่งให้ไปเล่าเรียนที่เมืองจีนนั้น สำเร็จการศึกษากลับมาแล้ว พระยารัตนเศรษฐี (คอซิมก๊อง) ผู้พี่นำถวายตัวเป็นมหาดเล็ก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์เป็นหลวงบริรักษ์โลหวิสัย ตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองระนอง ครั้งต่อมาเมื่อโปรดให้ พระยาอัษฎงคตทิศรักษา (ตันกิมเจ๋ง) เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นที่ พระยาอนุกูลสยามกิจ ตำแหน่งกงสุลเยเนราลสยาม ที่เมืองสิงคโปร์ จึงพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนหลวงบริรักษ์โลหวิสัย (ตอซิมบี้) ขึ้นเป็นพระยาอัษฎงคตทิศรักษา ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองตระบุรี ใน พ.ศ. ๒๔๓๓ (ร.ศ.๑๐๙) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเลียบแหลมมลายูระยะทางที่เสด็จไปครั้งนั้น ทรงเรือสุริยมณฑล (ลำแรก) เป็นเรือพระที่นั่งไปจากกรุงเทพฯ แล้วทรงช้างพระที่นั่งเสด็จทางสถลมารคจากเมืองชุมพร ข้ามแหลมมลายูไปลงเรือที่เมืองกระบุรี เรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศออกไปรอรับเสด็จอยู่ที่เมืองระนอง เสด็จตรวจหัวเมืองชายทะเลในพระราชอาณาเขตแล้วผ่านไปในเมืองมลายูของอังฤกษ ประทับที่เมืองเกาะหมาก เมืองสิงคโปร์ ขาเสด็จกลับเสด็จทอดพระเนตรหัวเมืองมลายูและหัวเมืองไทยทางปักษ์ใต้ตลอดมา ในคราวเสด็จเลียบมณฑลครั้งนั้นพระบาท- สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องระยะทางเป็นพระราชหัตถเลขาพระราชทานมาถึงเสนาบดีสภาซึ่งรักษาพระนคร ในพระราชหัตถเลขาพระราชทานมาถึงเสนาบดีสภาซึ่งรักษาพระ-นคร ทรงพรรณนาและพระราชทานพระบรมราชาธิบายว่าด้วยเมืองระนองในสมัยเมื่อเสด็จไปครั้งนั้น จึงได้คัดพระราชนิพนธ์เฉพาะตอนว่าด้วยเรื่องเมืองระนองมาให้ทราบดังนี้ พระราชนิพนธ์ว่าด้วยเมืองระนอง วันที่ ๒๒ เมษายน (ร.ศ.๑๐๙ พ.ศ.๒๔๓๓) เวลา ๔ โมงเช้า นำขึ้นลงเรือกระเชียงเรือไฟลากล่องมาตามลำน้ำปากจั่น น้ำขึ้นไหลเชี่ยวอย่างน้ำทะเล ฝั่งสองข้างตอนบนเป็นเลน ตามฝั่งข้าง อังกฤษ แลเห็นเทือกเขาสันแหลมมะลายูตลอดไม่ขาดสาย แต่ข้างฝ่ายเราเป็นเขาไม่สู้ใหญ่นัก ที่ริมฝั่งหน้าเทือกเขานั้นเป็นเนินสูงๆ ต่ำๆ ไป โดยมากที่หว่างเนินก็ตกเป็นท้องทุ่งกว้างๆ มีหมู่บ้านเรือนคนแลเห็นต้นหมากต้นมะพร้าว ทั้งฝ่ายเราฝ่ายเขาก็อยู่ในข้างละห้าหกหมู่เหมือนกันแต่ตอนนี้เสียเปรียบ อังกฤษที่ลงไปหน่อยหนึ่งถึงที่มีศาลชำระความ มีเรือนโรงใหญ่ๆ หลายหลัง ว่าเป็นที่ตั้งเมืองแต่ก่อน แต่ศาลนั้นสี่เหลี่ยมหลังเล็กๆ ปลูกอยู่กลางแจ้งไม่อัศจรรย์อันใดเลย โรงโปลิศที่ตะพานเหล็กวัดสะเกศโตกว่าลงมาประมาณชั่วโมงหนึ่งถึงโรงโปลิศตั้งอยู่บนหลังเนินต่ำๆ ริมปากแม่น้ำน้อย โรงโปลิศนี้เล็กเท่าๆ กันกับศาลนั้นเอง มีโปลิศถือปืนลงมารับ ๑๑ คน เป็นพม่านุ่งผ้าโพกผ้า ๖ คน เป็นแขกซิกสวมกางเกงอย่างทหาร ๕ คน นายทหารพม่าแต่ไม่เห็นศัสตราวุธ นุ่งผ้าและสวมเสื้อทหาร ตั้งแต่เหนือ โรงโปลิศขึ้นมาดูบ้านคนถี่กว่าคลองเท่าไรที่เกาะกงสักนิดหนึ่ง ต่อลงมาข้างล่างแล้วไม่มีผิดกับท่าโรง ที่เกาะกงเลยพบวัดหนึ่งอยู่ที่ชายเขา เรียกว่าวัดขี้ไฟโบสถ์หลังคาจาก แต่ไม่อยู่ในน้ำเหมือนเกาะกง ลงมา ๓ ชั่วโมงถึงตำบลน้ำจืด ซึ่งเป็นเมืองพระอัษฎงค์ไปตั้งขึ้นใหม่ มีตะพานยาวขึ้นไปจดถนน เพราะที่นั้นเป็นที่ลุ่ม เวลาน้ำขึ้นปกติท่วมขึ้นไปมากๆ ตะพานแต่งใบไม้และธง มีซุ้มใบไม้ที่ต้นตะพาน มิสเตอร์เมริฟิลด์ แอสสิสตัน คอมมิสชันเนอที่มลิวัน ลงมาคอยรับอยู่ที่ตะพาน ทักทายปราศรัยแล้วขึ้นเสลี่ยงจะไป มิสเตอร์เมริฟิลด์จะขอเข้าแห่เสด็จด้วยกับทหารและโปลิศ เพราะเวลานั้นแต่งตัวเป็นทหาร ได้บอกให้เดินตามไปภายหลังกับพระอัษฎงค์ ถนนที่ขึ้นไปกว้างประมาณสัก ๘ ศอก หรือ ๑๐ ศอก ยาวประมาณ ๑๐ เส้นเศษ ผ่านไปในที่ซึ่งตัดต้นไม้ลงไว้จะทำนาขึ้นไปถึงที่สุดถนนนี้ มีถนนขวางอีกสายหนึ่ง มีประตูใบไม้และร้านพระสงฆ์สวดชยันโต อยู่ที่สามแยกนั้น เลี้ยวขึ้นไปที่บ้านพระอัษฎงค์ ซึ่งเป็นเรือนขัดแตะถือปูนพื้นสองชั้นอย่างฝรั่ง ดูภายนอกเป็นตึกพอใช้ได้ แลดูจากบนเรือนนั้น เห็นที่ซึ่งปลูกสร้างขึ้นไว้และบ้านเรือนไร่นาราษฎรตลอด ตามแนวถนนขวางมีโรงโปลิศเป็นสามมุข ฝาขัดแตะถือปูนหลังหนึ่งห่างไปจากถนนใหญ่สัก ๒ เส้น มีศาลชำระความเป็นศาลฯ กลางสามมุข เป็นตึกอยู่ริมถนนยังไม่แล้วเสร็จหลังหนึ่ง นอกนั้นก็เป็นโรงเรือนราษฎรหลายหลัง ความคิดพระอัษฎงค์ซึ่งยกเมืองลงมาตั้งที่น้ำจืดนี้ เพื่อจะให้เรือใหญ่ขึ้นไปถึงได้การค้าขายจะได้ติด และระยะนี้คลองกว้าง ถ้า ชักคนลงมาติดได้ที่นี่ การที่จะข้ามไปข้ามมากับฝั่งอังกฤษค่อยยากขึ้นหน่อยหนึ่ง หาไม่โจรผู้ร้ายหนีข้ามไปข้ามมาได้ง่ายนัก อีกประการหนึ่ง ที่แถบนี้มีทำเลที่ทำนากว้าง ถ้าตั้งติดเป็นบ้านเมืองก็จะเป็นที่ทำมาหากินได้มาก เดี๋ยวนี้ขัดอยู่อย่างเดียว แต่เรื่องคนไม่พอแก่ภูมิที่เท่านั้น ได้ถามมิสเตอร์เมริฟิลด์ถึงการโจรผู้ร้าย ก็ว่าเดี๋ยวนี้สงบเรียบร้อย การที่โจรผู้ร้ายสงบไปได้นี้ ก็ด้วยอาศัยกำลังมิสเตอร์ซิมบี้ เป็นธุรแข็งแรงมาก และว่าเมื่อเร็วๆ นี้ มีผู้ร้ายฆ่าคนตายในแดนอังกฤษ ได้ขอให้พระยาชุมพรช่วย พระยาชุมพรก็ช่วยจนได้ตัวผู้ร้ายแล้ว แต่ผู้ซึ่งไปตามผู้ร้ายนั้นต้อง..ยุ่ง..ัดตายคนหนึ่ง มิสเตอร์เมริฟิลด์รับอาสาจะโดยเสด็จต่อไปอีก ได้บอกชอบใจและห้ามเสีย พระสงฆ์ซึ่งมาคอยชยันโตอยู่นี้ มีเจ้าอธิการวัดนาตลิ่งชัน ซึ่งพระอัษฎงค์ว่าเป็นหัวหน้ายี่หินศีร์ษะกระบือ ภายหลังมาสาบาลให้พระอัษฎงค์ว่าจะไม่ประพฤติเช่นนั้นต่อไป อธิการวัดขี้ไฟอีกองค์หนึ่ง พระอัษฎงค์ว่าเป็นคนดีรับว่าจะข้ามมาอยู่ที่น้ำจืด พระสงฆ์เมืองหลังสวนออกไปอยู่ ๔ องค์ นอกนั้นเป็นพระมาแต่ฟากมลิวันอีก ๑๗ ได้ถวายเงินตาม สมควรแล้วลงเรือล่องมา ประมาณสัก ๕๐ มินิตถึงปากคลองพระขยางข้างฝ่ายเราดูกว้างกว่าแม่น้ำน้อย ลงไปอีกไม่ช้าก็ถึงคลองลำเลียง ซึ่งเป็นพรมแดนเมืองตระกับเมืองระนองดูปากช่องกว้างใหญ่ แต่เข้าไปข้างในเห็นท่าจะไม่โต แต่นี้ไปฝนตกมากบ้างน้อยบ้างตลอดทางไม่ใคร่จะได้ดูอันใดได้สองฟากเป็นภูเขาสลับซับซ้อนกันสูงใหญ่ เวลาฝนตกมืดคลุ้มไปเป็นเมฆทับอยู่ครึ่งเขาค่อนเขาลำน้ำกว้างออกๆ ทุกที แต่ไม่ใคร่เห็นมีบ้านผู้เรือนคน ลงมาจากน้ำจืด ๒ ชั่วโมงถ้วน ถึงเรืออุบลบุรทิศซึ่งขึ้นไปจอดคอยรับอยู่ที่ตรงปากคลองเขมาข้างฝั่งอังกฤษ ถึงเรือใหญ่ฝนจึงได้หาย เดิมคิดว่าจะไปไล่กระจงที่เกาะขวาง แต่เวลามาถึงบ่าย ๕ โมงเสียแล้ว จึงได้ทอดนอนอยู่ที่ปากคลองเขมาคืนหนึ่ง วันที่ ๒๓ ออกเวลาโมงหนึ่งกับ ๒๐ มินิต เป็นเวลาน้ำขึ้น ครู่หนึ่งถึงเกาะขวาง ที่เกาะขวางนี้พระยาระนองร้องอยู่ว่าแผนที่อังกฤษทำ คือแผนที่กัปตันแบกเป็นต้น หมายสีไม่ต้องกันกับหนังสือ สัญญาในหนังสือสัญญว่าเกาะทั้งสองฝั่ง ใกล้ฝั่งข้างไทยเป็นของไทย ใกล้ฝั่งอังกฤษเป็นของอังกฤษ เว้นไว้แต่เกาะขวางเป็นของไทย ส่วนเกาะในแผนที่นั้น เกาะสมุดที่อยู่ใกล้ฝั่งของอังกฤษเป็นเกาะย่อมจดชื่อว่าเกาะขวางทาสีเขียวให้เป็นของไทย ส่วนเกาะขวางซึ่งเป็นสามเกาะใหญ่ๆ อยู่ใกล้ฝั่งข้างไทยเกาะหนึ่งอยู่ใกล้เกือบจะศูนย์กลางค่อนข้างไทยสักหน่อยหนึ่งสองเกาะ ที่ชาวบ้านนี้ตลอดจนถึงนายโปสิศฝ่ายอังกฤษ ก็ยอมรับว่าเป็นเกาะขวางนั้นหมายแดงเป็นของอังกฤษได้มีใบบอกเข้าไปก็ตัดสินรวม ๆ ออกมาว่าที่หมายแดงเป็นของอังกฤษ ที่หมายเขียวเป็นของไทย แต่ลักษณะเกาะที่เป็นอยู่นั้นขัดอยู่กับหนังสือสัญญาเช่นนี้ขอให้ฉันดู ได้ตรวจดูก็เห็นเป็นหน้าสงสัยจริงอย่างเช่นเขาว่า จะเป็นด้วยแกล้งหรือด้วยแผนที่ผิดก็ได้ เรื่องนี้จะได้ชี้แจงด้วยแผนที่ในที่ประชุมต่อไป ได้ถามถึงการที่ได้ประโยชน์เสียประโยชน์ในที่เกาะไขว้กันเช่น อย่างไรบ้าง ก็ว่าเกาะเหล่านี้ไม่มีคนตั้งบ้านเรือนอยู่ประจำ แต่เป็นที่ชันมากทุกๆ เกาะ ถ้าเป็นเกาะข้างฝ่ายอังกฤษคนเราจะไปทำไม่ขอหนังสือต่อเขาก่อนเขาไม่ ให้ไปทำ เป็นความลำบากแก่คนของเราที่จะไปทำมาหากินในที่นั้น ตั้งแต่เกาะขวางนี้ไปฝ่ายข้างเราเขาสูงมากเป็นเทือกใหญ่ ดูเหมือนอย่างเกาะช้าง เรียกว่าท่าครอบ ข้างฝ่ายอังกฤษดูแนวเขาใหญ่ปัดห่างออกไปเป็นแต่เขาย่อมๆ มีคนตั้งอยู่ริมน้ำเทียวทำชันบ้างเป็นแห่งๆ ต่อท่าครอบลงไปมีลำคลองเรียกว่าละอุ่นขึ้นระนอง ในระยะนี้มีที่ตื้นอยู่สองตำบล นอกนั้นก็ลึกตลอดจนถึงปากอ่าวระนอง ฝั่งทั้งสองข้างนั้นไม่ได้มีที่ราบเลยจนสักแห่งหนึ่ง เป็นแต่เขาใหญ่เขาเล็กตลอดไปจนกระทั่งถึงปลายแหลม เวลาเช้า ๔ โมงทอดสมอที่เกาะผี ปากอ่าวเมืองระนอง ที่นี้พระอัษฎงค์ทำเรือนตะเกียงเช่นที่บางปะอินตั้งไว้เสาหนึ่ง มีเรือสำเภาบรรทุกเข้ามาจากเมืองพม่าจอดอยู่ลำหนึ่ง เรือมุรธาวสิตยิงปืนสลุด รอผ่อนของขึ้นบกอยู่จนเที่ยงจึงได้ลงเรือกระเชียงเรือไฟลากข้ามไปดูแหลมเกาะสอง ซึ่งอังกฤษเรียกว่าวิกตอเรียปอยต์ อ้อมปลายแหลมออกไปดูข้างหน้านอกแล้วเลียบเข้าจนถึงคอแหลมหน้าใน ที่แหลมนี้เป็นเนินสูง ดินแดงๆ ไม่ใครมีต้นไม้คอแหลมทั้งหน้านอกหน้าในมีบ้านเรือนคนอยู่ หน้านอกไม่ได้เข้าไปใกล้ แต่หน้าในเห็นมีเรือนปั้นหยาฝาจากพื้นสองชั้น ๓ หลัง มีโรงใหญ่เล็กประมาณ ๒๐ หลัง มีต้นหมาก มะพร้าว แต่ที่แผ่นดินที่หมู่บ้านตั้งนั้นเป็นที่ต่ำแอบคอแหลมอยู่หน่อยเดียว ที่บนหลังเนินปลายแหลมมีศาลชำระความแบบเดียวกับที่นาตลิ่งชัน ตั้งอยู่กลางแจ้งแดดร้อนเปรี้ยงมีเรือนปั้นหยาฝาจากอยู่หลังหนึ่งทรุดโทรมยับเยินทั้ง ๒ หลัง คล้ายกันกับที่นาตลิ่งชัน การที่อังกฤษจัดรักษาในที่แถบนี้ไม่กวดขันแข็งแรงอันใดอยู่ข้างโกโรโกเตกว่าเราเสียอีกคนที่อยู่บนบกแลเห็นเป็นแขกเขาว่าเป็นมะลายูบ้าง จีนบ้างประมาณสัก ๓๐ ครัวทั้งหน้านอกหน้าในหากินด้วยทำปลา เรืออ้อมมาหว่างเกาะเล็กของอังกฤษที่แอบฝั่งอยู่สองเกาะข้างปากอ่าวเมืองระนองที่ฝั่งขวามีโรงจีนตัดฟืน สำหรับส่งเรือเมล์ประมาณสัก ๓๐ หลัง ฝั่งซ้ายเป็นที่ตลิ่งชายเนินสูง ตั้งโรงโปลิศอยู่ในที่นั้น เวลาน้ำขึ้นเรือขนาดองครักษ์ขึ้นไปได้ถึงท่า ตั้งแต่ทะเลเข้าไปสองไมล์เท่านั้น ตะพานที่ขึ้นยาวประมาณสองเส้นเศษมีแพลอยและศาลาปลายตะพาน ผูกใบไม้ปักธงตลอด เมื่อถึงต้นตะพานมีซุ้มใบไม้ซุ้มหนึ่ง พระยาระนองและกรมการไทยจีนรับอยู่สัก ๕๐ ๖๐ คน ขึ้นรถที่เขาจัดลงมารับ มีรถเจ้านายและข้าราชการหลายรถขึ้นไปตามหนทางซึ่งเป็นถนนถมศิลาแข็งเรียบดีอย่างยิ่ง แต่ถนนนี้แคบกว่าถนนข้างใน ๆ ประมาณสัก ๓ วา สองข้างทางข้างตอนต้นเป็นป่าโกงกางขึ้น ขึ้นไปหน่อยหนึ่งก็ถึงเรือกสวนรายขึ้นไปทั้งสองข้าง ข้ามตะพานสามตะพาน เป็นตะพานเสาไม้ปูกระดานมีพนักทาสีขาว เข้าไปข้างในมีทุ่งนาแปลงหนึ่ง แลดูที่นี่แลเห็นเขาซึ่งเป็น พลับพลา แล้วก็เข้าในหมู่สวนหมู่ไร่ต่อไปอีกจนถึงต้นตลาดเก่าแลเลี้ยวแยกไปตามถนนทำใหม่ เป็นถนนกว้างสัก ๘ วา ไปจนถึงถนนขึ้นเขามีโรงเรือนสองข้างทางแน่นหนาแต่ไม่มีตึกเลย ผู้คนครึกครื้นตามระยะทางที่มามีซุ้มแปลกกันถึง ๖ ซุ้ม ซุ้มที่จะเข้าถนนตลาดเป็นอย่างจีน เก๋งซ้อนๆ กันมีเสามังกรพันเป็นงามกว่าทุกซุ้ม ทางที่ขึ้นเขาตัดอ้อมวงไป ท่าทางก็เหมือนกันกับที่คอนเวอนเมนต์เฮาส์สิงคโปร์ หรือที่บ้านใครๆ ต่างๆ ที่เขานี้เขาว่าสูงร้อยสิบฟิต แต่เป็นเนินลาดๆ มีที่กว้างใหญ่โตกว่าเขาสัตนาถมาก พลับพลาที่ทำนั้นก็ทำเสาไม้จริงเครื่องไม้จริงกรอบฝาและบานประตูใช้ไม้จริง แต่กรุใช้ไม้ระกำทั้งลำเข้าเป็นลายต่างๆ หลังคานั้นมุงไม้เกล็ดแล้วสองหลัง นอกนั้นมุงจากดาดสี ใช้สีน้ำเงิน จะให้เหมือนกันกับหลังคาไม้ซึ่งทาสีไว้มีท้องพระโรงหลังหนึ่ง ที่อยู่ข้างในหลังหนึ่งยกเป็นห้องนอนสูงขึ้นไปหลังหนึ่ง มีคอนเซอเวเตอรียาวไปจนหลังแปดเหลี่ยมอีกหลังหนึ่ง ที่หลังเล็กซึ่งเป็นที่นอน และที่หลังแปดเหลี่ยม และดูเห็นเมืองระนองทั่วทั้งเมือง หน้าต่างทุก ๆ ช่องเมื่อยืนดูตรงนั้นก็เหมือนหนึ่งดูปิกเชอแผ่นหนึ่ง แผ่นหนึ่ง ด้วยแลเห็นทุ่งนาออกไปจนกระทั่งถึงภูเขาซึ่งอยู่ใกล้ชิด ได้ยินเสียงชะนีร้องเนืองๆ สลับซับซ้อนกันไป ด้านหนึ่งก็เป็นได้อย่างหนึ่ง ด้านหนึ่งก็เป็นอย่างหนึ่ง ไม่เคยอยู่ที่ใดซึ่งตั้งอยู่ในที่แลเห็นเขาทุ่งป่า และบ้านเรือนคนงานเหมือนอย่างที่นี้เลย การตบแต่งประดับประดาและเครื่องที่จะใช้สอย พรักพร้อมบริบูรณ์อย่างปินังตามข้างทางและชายเนิน ก็มีเรือนเจ้านายและข้าราชการหลังโตๆ มีโรงบิลเลียดโรงทหารพรักพร้อมจะอยู่สักเท่าใดก็ได้ วางแผนที่ทางขึ้นทางลงข้างหน้าข้างในดีกว่าเขาสัตนาถมาก เสียแต่ต้นไม้บนเนินนั้นไม่มีต้นใหญ่ ที่เหลือไว้ก็เป็นต้นไม่สู้โต ต้นเล็กๆ ที่ตัดก็ยังเป็นตอสะพรั่งอยู่โดยรอบแต่ในบริเวณพลับพลาปลูกหญ้าขึ้นเขียวสดบริบูรณ์ดีทั่วทุกแห่ง พระยายุทธการ โกศล มาคอยรับอยู่ที่เมืองระนองนี้ ๕ วันมาแล้ว เดิมคิดว่าต้องมานอนที่เกาะเขมาเกินโปรแกรมวันหนึ่งจะย่นวันเมืองระนองเข้าอยู่แต่สองคืน แต่ครั้นเมื่อไปเห็นที่เขาทำไว้ให้อยู่ลงทุนรอนมากคล้ายเข้าหอ พระปริคที่เพชรบุรีปลูกศาลาไว้ในหมู่ร่มไม้เป็นที่เงียบสงัด เวลากลางวันนี้ไม่ร้อนด้วยครึ้มฝน เวลากลางคืนหนาวปรอทถึง ๗๕๐ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:57:19 ระนอง ๒
วันที่ ๒๔ เวลาเช้าไปดูที่ตลาดเก่ามีโรงปลูกชิดๆ กันทั้งสองฟากเกือบร้อยหลังแลเห็นเป็นจีนไปทั้งถนน ที่สุดถนนนี้ถึงบ้านเก่าของพระยารัตนเศรษฐี ซึ่งตั้งอยู่ที่หาดใกล้ฝั่งคลอง ต้นคลองนั้นเป็นที่ทำเหมืองแร่ดีบุก น้ำล้างดินทรายซึ่งติดแร่ลงมาถมจนคลองนั้นตัน ดินกลับสูงขึ้นกว่าพื้นบ้าน สายน้ำก็ซึมเข้าไปในบ้านชื้นไปหมด ผนังใช้ก่อด้วยดินปนปูน ตึกรามพังทะลายไปบ้างก็มี ที่ยังอยู่ผนังชื้นทำให้เกิดป่วยไข้ จึงได้ย้ายไปตั้งบ้านใหม่ ที่ย้ายไปตั้งบ้านใหม่เสียนั้นเป็นดีมาก ทำให้เมืองกว้างออกไปอีกสามสี่เท่า ด้วยถนนตลาดเก่านี้ไปชนคลอง จะขยายต่อไปอีกไม่ได้อยู่แล้ว เวลาบ่ายไปดูบ่อน้ำร้อน ระยะทางเจ็ดสิบเส้น มีถนนดีเรียบร้อย ได้เห็นทางซึ่งเขาทำชักสายน้ำมาทำเหมืองดีบุก แย่งเอาน้ำในลำธารโตๆ เสียทั้งสิ้น จนลำธารนั้นแห้ง ไม่มีน้ำเลย ที่บ่อน้ำร้อนนี้ ดูเป็นที่ซึ่งสำหรับจะร้อนนั้นออกมาจากเขาน้ำตกรินๆ ออกมาจากศิลาขวางกับลำธารน้ำเย็น ทำนบซึ่งกั้นเปิดน้ำเย็นให้ไปตามรางสายน้ำทำเหมืองข้ามมาบนที่ซึ่งเป็นน้ำร้อน น้ำฟากข้างนี้ก็ร้อน ฟากข้างโน้นก็ร้อน น้ำเย็นไปกลาง น้ำร้อนที่นี้ไม่มีกลิ่นกำมะถันหรือกลิ่นหินปูนเลย แต่ร้อนไม่เสมอกัน บ่อหนึ่งปรอท ๑๔๔๐ บ่อหนึ่งปรอท ๑๕๔๐ ถ้าไปอึกกระทึกใกล้เคียงเดือดและควันขึ้นแรงได้จริง วันที่ ๒๕ เวลาเช้าไปที่บ้านใหม่พระยาระนองผ่านหน้า โรงราง คือตราง ทำเป็นตึกหลังคาสังกะสีแบบคุกที่ปีนัง ดูเรียบร้อยใหญ่โตดีมากแต่ยังไม่แล้วเสร็จ บ้านพระยาระนองเองก่อกำแพงรอบสูงสักสิบศอก กว้างใหญ่เห็นจะสามเส้นสี่เส้น แต่ไม่หันหน้าออกถนนด้วย ซินแสว่าหันหน้าเข้าข้างเขาจึงจะดี ที่บนหลังประตูทำเป็นเรือนหลังโตๆ ขึ้นไปอยู่เป็นหอรบ กำแพงก็เว้นช่องปืนกรุแต่อิฐบางๆ ไว้ด้วยกลัวเจ๊กที่เคยลุกลามขึ้นครั้งก่อน เมื่อมีเหตุการณ์ก็จะได้กระทุ้งออกเป็นช่องปืน ที่กลางบ้าน ทำตึกหลังหนึ่งใหญ่โตมาก แต่ตัวไม่ได้ขึ้นอยู่ เป็นแต่ที่รับแขกและคนไปมาให้อาศัย ตัวเองอยู่เรือนจากเตี้ยๆ เบียดชิดกันแน่นไปทั้งครัวญาติพี่น้องรวมอยู่แห่งเดียวกันทั้งสิ้น มีโรงไว้สินค้าปลูกริมกำแพงยืดยาว ในบ้านนั้นก็ทำไร่ปลูกมันปีหนึ่ง ได้ถึงพันเหรียญ เป็นอย่างคนหากินแท้ ออกจากบ้านพระยาระนองไปสวน ซึ่งเป็นที่หากินด้วยทดลองพืชพรรณไม้ต่างๆ ด้วย ที่กว้างใหญ่ปลูกต้นจันทน์เทศและ กาแฟ ส้มโอปัตเตเวีย มะพร้าว ดุกู และพริกไทยๆ นั้นได้ออกจำหน่ายปีหนึ่งถึงสิบหาบแล้ว เวลาบ่ายนี้ไม่ได้ไปแห่งใด ด้วยเป็นเวลาครึ้มฝนหน่อยหนึ่งก็ฝนตก พระยาระนองขอให้ตั้งชื่อพลับพลานี้เป็นพระที่นั่ง ด้วยเขาจะรักษาไว้เป็นที่ถือน้ำพระ-พิพัฒสัจจาและขอให้ตั้งชื่อถนนด้วย จึงได้ตั้งชื่อพระที่นั่งว่า รัตนรังสรรค์ เพื่อจะให้แปลกล้ำๆ พอมีชื่อผู้ทำเป็นที่ยินดี เขาที่เป็นที่ทำวังนี้ ให้ชื่อว่า นิเวศนคีรี ถนนตั้งแต่ท่าขึ้นมาจนสุดตลาดเก่าแปดสิบเส้นเศษ ให้ชื่อว่า ถนนท่าเมือง ถนนทำใหม่ตั้งแต่สามแยกตลาดเก่าไปตามหน้าบ้านใหม่พระยาระนองถึงตะพานยูง เป็นถนนใหญ่เกือบเท่าถนนสนามไชย ให้ชื่อว่า ถนนเรืองราษฎร์ ถนนตั้งแต่ตะพานยูงออกไปจนถึงที่ฮ่วงซุ้ยพระยาดำรงสุจริต สัก ๗๐ เส้นเศษย่อมหน่วยหนึ่ง ให้ชื่อ ถนนชาติเฉลิม ถนนตั้งแต่ถนนบ่อน้ำร้อนถึงเหมืองในเมืองให้ชื่อ ถนนเพิ่มผล ถนนทางไปบ่อน้ำร้อน ๗๐ เส้นเศษ ให้ชื่อ ถนนชลระอุ ถนนหน้าวังซึ่งเป็นถนนใหญ่ให้ชื่อ ถนนลุวัง ถนนออบรอบตลาดนัดต่อกับถนนลุวังกับถนนเรืองราษฎร์ เป็นถนนใหญ่แต่ระยะทางสั้นให้ชื่อ ถนนกำลังทรัพย์ ถนนตั้งแต่ถนนเรืองราษฎร์มาถึงถนนชลระอุผ่านหน้าศาลชำระความซึ่งทำเป็นตึกสี่มุขขึ้นใหม่ยังไม่แล้ว ให้ชื่อ ถนนดับคดี ถนนแยกจากถนนเรืองราษฎร์ลงไปทางริมคลองให้ชื่อ ถนนทวีสินค้า กับอีกถนนหนึ่งซึ่งพระยาระนองคิดจะทำออกไปถึงตำบลหินดาด ซึ่งเป็นทางโทรเลขขอชื่อไว้ก่อนจึงได้ให้ชื่อว่า ถนนผาดาด ถนนซึ่งเขาทำและได้ให้ชื่อทั้งปวงนี้ เป็นถนนที่น่าจะได้ชื่อจริง ๆ ใช้ถมด้วยศิลากรวดแร่แข็งกร่าง และวิธีทำท่อน้ำของเขาเรียบร้อยทุกหนทุกแห่ง ฝนตกทันใดนั้น จะไปแห่งใดก็ไปไม่ได้ วันที่ ๒๖ เวลาเช้าไปดูที่ฝังศพพระยาดำรงสุจริต ตามทางที่ไปเป็นนาเป็นสวนตลอด เมื่อจวนจะถึงที่ฝังศพเป็นสวนพระยาระนองทั้งสองฟาก ปลูกหมากมะพร้าวมะม่วงเป็นระยะท่องแถวงามนัก มะพร้าวปลูกขึ้นไปจนถึงไหล่เขา ที่หน้าที่ฝังศพปลูกต้นไม้ดอกต่างๆ เมื่ออยู่เมืองระนองเวลาค่ำๆ มีบุหงาส่ง ที่ฝังศพนั้นมีป้ายศิลาสูงสักสี่ศอกเศษ จารึกเรื่องชาติประวัติของพระยาดำรงสุจริตทั้งภาษาไทย ภาษาจีน เป็นคำสรรเสริญตลอดจนบุตรหลาน ถัดเข้าไปมีเสาธงศิลาคู่หนึ่ง แพะคู่หนึ่ง เสือคู่หนึ่ง ม้าคู่หนึ่ง ขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊คู่หนึ่ง แล้วก่อเขื่อนศิลาปู ศิลาเป็นชั้นๆ ขึ้นไป ๓ ขั้น จึงถึงลานที่ฝังศพมีพนักศิลาสลักเป็นรูปสัตว์ และต้นไม้เด่นๆ ที่กุฏินั้นก็ล้วนแล้วด้วยศิลาตลอดจนถึงที่ทำเป็นหลังเต่า ต่อขึ้นไปเป็นเนินพูนดินเป็นลอนๆ ขึ้นไป ๓ ลอน ตามแบบที่ฝังศพจีนแต่แบบต้องอยู่ที่กลางแจ้ง ไม่มีร่มไม้เลย ลงทุนทำถึง ๖๐๐ ชั่งเศษ ที่ฝังศพมารดาและญาติพี่น้องอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ต้องไว้ระยะห่างๆ ดูน่าจะเปลืองที่เต็มที กลับจากที่ฝังศพไปดูทำเหมือง พึ่งจะเข้าใจชัดเจนในครั้งนี้ จะพรรณนาว่าทำอย่างไรให้ละเอียดก็ยืดยาวนัก ไม่มีเวลาเขียน เช้า ๕ โมงเศษกลับมาลงเรือ ออกจากอ่าวระนองไปทอดที่เกาะพลูจืดซึ่งเป็นด่านต่อเขตต์แดน มีโรงโปลิศของเมืองระนองตั้งรักษาอยู่ที่นั้น แต่ที่แท้เกาะพลูจืดนี้ไม่เป็น ปลายเขตต์แดนทีเดียว เกาะคันเกาะหาดทรายยาวเป็นที่ต่อ แต่สองเกาะนั้นไม่มีน้ำกินจึงไปตั้งไม่ได้ เวลาที่ไปนี้เลียบไปใกล้เกาะวิกตอเรีย เกาะนี้มีที่ราบมาก มีลำคลอง คนออกไปตั้งทำปลาอยู่ที่นั้นก็มี เวลาบ่ายลงเรือไปรอบเกาะพลูจืด ให้คนขึ้นไล่เนื้อเพราะที่เกาะนี้เขาเคยได้เนื้อเสมอ และคนที่ด่านก็เข้ามาแจ้งความว่ามีแน่เพราะเข้ามากินกล้วยชาวด่านปลูก แต่จะเป็นด้วยคนมากหรือเกินไปอย่างไร เลยตกลงเป็น โห่เปล่า เมื่ออยู่ที่เมืองระนอง พวกจีนในท้องตลาดมาหาเกือบจะหมดเมือง มีส้มหน่วยกล้วยใบตามแต่จะหาได้ จีนผู้หนึ่งเป็นมิวนิสเปอลกอมมิสชันเนอในเมืองระริด ทำภาษีรังนกและภาษีฝิ่นในเมืองตะนาวศรีและบิดาจีนอองหลายซึ่งเป็นล่ามเมืองตระ และเป็นน้องเขยพระยาระนองลงมาแต่เมืองระมิดมาหาด้วยการรับรองเลี้ยงดูของพระยาระนองแข็งแรงอย่างยิ่งพี่น้องลูกหลานกลมเกลียวกัน คิดอ่านจัด การแต่จะให้เป็นที่สบายทุกอย่างที่จะทำได้ การทำนุบำรุงรักษาบ้านเมือง เขาบำรุงจริงๆ รักษาจริงๆ โดยความฉลาดและความตั้งใจ ยากที่จะหาผู้รักษาเมืองผู้ใดให้เสมอเหมือนได้ คนไทยในเมืองระนองนี้ ผิดกันกับเมืองตระ คือไม่ได้เก็บเงินค่าราชการ หรือจะเรียกว่าค่าหลังคาเรือนอย่างเช่นเมืองตระ เลขสักข้อมือสมกรมการก็ไม่เหมือนเมืองหลังสวน ที่เมืองหลังสวนเก็บเงินข้าราชการแต่ตัวเลขที่สักข้อมือ คนขึ้นใหม่ไม่ได้เก็บ ที่เมืองตระไม่มีสมกรมการ แต่เก็บเงินทั่วหน้า เมืองระนองนี้ไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่ง ว่าแต่ก่อนมีก็คืนเสียแล้วไม่ได้เก็บเงินอันใด ชั่วแต่เกณฑ์มารักษาเมือง (หรือบ้านเจ้าเมือง) ในเวลาตรุษจีน คือตั้งแต่เดือน ๓,๔,๕ สามเดือน ผลัดละสิบห้าวัน แต่ก็ยัง ไม่พอ ต้องไปเอาคนหลังสวนมาอีกห้าสิบคน เวลาคนมาอยู่ประจำการกินอาหารกงสี กับการจรเช่นทางโทรเลข ใช้เกณฑ์ ไม่ได้จ้างเหมือนเมืองตระ เขายื่นยอดสำมะโนครัวกรมการเมืองระนอง ๒๔ ครัว อำเภอ ๘๖ ครัว ไพร่ชายฉกรรจ์ ๑,๕๓๐ คน เด็ก ๗๔๙ คน รวมชาย ๒,๒๗๙ คน หญิงฉกรรจ์ ๑,๑๐๙ คน เด็ก ๖๑๖ คน รวมหญิง ๑,๗๒๕ คน รวม ๔,๐๐๔ คน รวมทั้งครัวกรมการอำเภอ ๑,๑๒๒ ครัว แขกเดิมหลวงขุนหมื่น ๘ ครัว ไพร่ชายฉกรรจ์ ๔๒ เด็ก ๖๕ คน รวม ๑๐๗ คน หญิงฉกรรจ์ ๓๗ เด็ก ๒๑ รวม ๕๘ คน รวมชายหญิง ๑๖๕ คน เป็นครัว ๓๕ ครัว จีนมีบุตรภรรยา ๓๐๐ จีน จีนจร ๒,๘๐๐ (เห็นจะเป็นเอสติเมต) รวม ๓,๑๐๐ รวมคนเดิมชาย ๕,๖๐๔ คน หญิง ๑,๗๘๓ คน รวม ๗,๓๘๕ คน คนใหม่มาแต่เมืองอื่นๆ คือ ไชยา ๒๙ ครัว หลังสวน ๙๐ ครัว ชุมพร ๑๐ ครัว นคร ๒ ครัว ตระ ๒ ครัว ฝ่ายอังกฤษ ๒ ครัว รวม ๑๓๕ ครัว ชายฉกรรจ์ ๑๘๕ คน เด็ก ๑๒๖ คน รวม ๔๑๑ คน หญิงฉกรรจ์ ๑๕๗ คน เด็ก ๙๑ คน รวม ๒๖๖ คน รวมไทยมาใหม่ ๕๗๗ คน แขกมาแต่เมืองถลาง ๑๔ ครัว เมืองตะกั่วทุ่ง ๑๗ ครัว รวม ๓๑ ครัว เป็นชายฉกรรจ์ ๔๓ เด็ก ๓๐ คน รวม ๗๓ คน หญิงฉกรรจ์ ๓๕ เด็ก ๓๗ รวม ๗๒ รวมชายหญิง ๑๔๕ คน รวมเก่าใหม่ชาย ๕,๙๘๘ คน หญิง ๒,๑๒๑ คน รวมทั้งสิ้น ๘,๑๐๙ คน การทำนามีแต่ชั่วคนไทย ทำข้าวไร่ทั้งนั้น นาพื้นราบทำน้อย ที่เห็นอยู่เพียงสามแปลงก็เป็นนาเจ้าเมืองเสียแปลงหนึ่ง แต่ยังมีข้าวพอคนไทยกินได้มาก ไม่สู้จะต้องซื้อพม่านัก ส่วนจีนนั้นไม่ได้กินข้าวในเมืองเลย กินข้าวในเมืองพม่าทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นข้าวเมืองพม่าจึงเป็นสำคัญในแถบนี้ เรือเมล์ที่เดินอยู่ทุกวันนี้สองลำ คือเรือเซหัวของพระยาระนองลำหนึ่ง เรือเมอควีของอังกฤษลำหนึ่ง แต่เรือ เซหัวอยู่ข้างจะคล่องแคล่วกว่าเรือเมอควี เจ้าพนักงานอังกฤษกล่าวโทษเรือเมอควีอยู่ว่าเสียเปรียบ เซหัว การในเมืองระนองยังมีอยู่อีกซึ่งจะต้องแจ้งความต่อภายหลัง วันที่ ๒๗ เวลา ๑๑ ทุ่ม ออกเรือเดินทางช่องระหว่างเกาะเสียงไหกับเกาะช้าง ที่ในแผนที่เขียนว่าแสดดัลไอล์แลนด์มาไม่มีคลื่นลมอันใดเป็นปกติ พระราชนิพนธ์เรื่องเมืองระนองมีปรากฏเพียงนี้ หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาถึงเมืองตรัง ทรงพระราช-ดำริว่า เมืองตรังเป็นทำเลที่สำคัญ หากการปกครองยังไม่ดีบ้านเมืองจึงไม่มีความเจริญพระองค์ได้ทอด พระเนตรเห็น พระอัษฎงคตทิศรักษา (คอซิมบี้) จัดการทำนุบำรุงเมืองตระบุรี จึงชอบพระราชหฤทัย จึง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตร เลื่อนพระอัษฎงคตทิศรักษา (คอซิมบี้) ขึ้นเป็น พระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดีย้ายมาเป็นผู้ว่าราชการเมืองตรัง ต่อมาถึงสมัยเมื่อจัดการปกครองหัวเมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาลโปรดฯ ให้หัวเมืองมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยแต่กระทรวงเดียวทั้งหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายเหนือ ฝ่ายตะวันออก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยารัตนเศรษฐี (คอซิมก๊อง) เลื่อนขึ้นเป็นพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดีตำแหน่งสมุห-เทศาภิบาลมณฑลชุมพรและ พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อน พระบุรีรักษ์ โลหวิสัย (คออยู่หงี) บุตร คนใหญ่ของพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซิมก๊อง) ขึ้นเป็นพระยารัตนเศรษฐี ผู้ว่าราชการเมืองระนอง พระยาดำรงสุจริต (คอซิมก๊อง) รับราชการในตำแหน่ง สมุหเทศาภิบาล อยู่จนแก่ชรา กราบถวายบังคมลาออกจากราชการกลับไปอยู่เมืองระนอง จนถึงแก่อนิจกรรมในรัชกาลที่ ๖ ใน พ.ศ. ๒๔๖๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเลียบหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตก และที่เมืองระนองนี้พระยาดำรงสุจริต (คอซิมก๊อง) ได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้วพระยารัตนเศรษฐี (คออยู่หงี) บุตรพระยาดำรงสุจริต (คอซิมก๊อง) ก็ป่วยเป็นโรคอัมพาตทุพลภาพ ไม่สามารถรับราชการได้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยารัตนเศรษฐี (คออยู่หงี) เป็นพระดำรงสุจริตมหิศรภักดี และโปรดให้พระระนองศรีสมุทรเขตต์ (คออยู่โงย) บุตรพระยาจรูญราชโภคากร (คอซิมเต๊ก) เป็นผู้ว่าราชการเมืองระนองสืบต่อไป ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเลียบ หัวเมืองมณฑลปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันตกเสด็จทรงรถไฟออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ประทับแรมที่เมืองเพชรบุรี เมืองประจวบคีรีขันธ์ เมืองชุมพร แล้วทรงช้างพระที่นั่ง โดยเสด็จสถลมารคข้ามแหลมมลายูไปลงเรือพระที่นั่งที่ลำน้ำปากจั่น และเสด็จถึงเมืองระนอง เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ซึ่งจากหลักฐานของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้กล่าวไว้ในเรื่องตำนานเมืองระนอง ถึงการเสด็จเมืองระนองของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวดังนี้ เสด็จถึงเมืองระนอง วันอังคารที่ ๑๗ เมษายน เวลาบ่าย ๑ โมง กระบวนเรือพระที่นั่งออกจากอ่าวปากคลอง ละอุ่นไปปากน้ำระนองบ่าย ๔ โมงถึงอ่าวระนอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องครึ่งยศเสือป่ากรมพรานหลวงรักษาพระองค์ เสด็จประทับเรือกลไฟเล็กศรีสุนทร เรือรบหลวงสุครีพครองเมืองยิงปืนถวายคำนับ เรือศรีสุนทรแล่นเข้าลำน้ำระนอง พอผ่านตลาดจีนชาวประมงที่ปากน้ำจุดประทัดดอกใหญ่ถวายคำนับเรือศรีสุนทรเข้าเทียบสะพานยาวหน้าเมือง นายพลโทพระยาสุรินทรราชานำเสด็จไป ประทับปรำปลายสะพานพระสงฆ์สวดชยันโตถวายชัยมงคลข้าราชการสกุล ณ ระนองและกรมการ พ่อค้า นายเหมืองเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเสือป่าและลูกเสือจังหวัดระนองจังหวัดตะกั่วป่าตั้งแถว รับเสด็จบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับรถม้าเป็นรถพระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนิน ไปตามถนนซึ่งมีราษฎรคอยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ทั้ง ๒ ฟากทางผ่านซุ้มพ่อค้าฝรั่งพ่อค้าพม่าและพ่อค้าจีนตกแต่งรับเสด็จขึ้นเขานิเวศน์ประทับแรม ณ พระที่นั่งรัตนรังสรรค์ การพระราชทานพระแสงราชศัสตราที่จังหวัดระนอง วันพุธที่ ๑๘ เมษายน เวลาบ่ายเจ้าพนักงานได้ไปทอดพระราชบังลังก์และแต่งตั้งเครื่องราชูปโภคที่พลับพลาทองจตุรมุขมีปรำรอบตัวอันสร้างขึ้นที่สนามตรงจวนเจ้าเมืองเก่าหนทางห่างจากที่ประทับขึ้นไปประมาณ ๑๐ เส้น เสือป่ากรมพรานหลวงรักษาพระองค์ พร้อมด้วยแตรวงธงประจำกอง ๑ กองร้อยในบังคับนายหมวดเอกพระพำนักนัจนิกรได้เดินแถวไปตั้งเป็นกองเกียรติยศตรงหน้าพลับพลา มีหมวดทหารมหาดเล็กและตำรวจภูธรตั้งแถวอยู่สองข้าง สมาชิกเสือป่าจังหวัดระนองและตะกั่วป่า มีดอกไม้ธูปเทียนทูลเกล้าฯ ถวาย เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในปรำเบื้องขวา เวลาบ่าย ๓ โมง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องเต็มยศเสือป่า เสด็จทรงรถพระ ที่นั่งไปยังพลับพลาทอง แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี และเสือป่า ทหาร ตำรวจภูธรถวายวันทยาวุธเมื่อสุดเสียงแตรสรรเสริญพระบารมีแล้วนายพลโทพระยาสุรินทราชาสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลภูเก็ตอ่านคำกราบบังคมทูลพระกรุณาดังต่อไปนี้ คำถวายชัยมงคล ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้ารับฉันทานุมัติของข้าทูลละอองธุลีพระบาทและประชาชนจังหวัดระนอง ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยในการ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระราชอุสาหะเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลภูเก็ตรอนแรมมาในทางกันดารทั้งทางบกและทางน้ำจนบรรลุถึงจังหวัดระนองครั้งนี้ ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเป็นพระมหากรุณา ธิคุณพิเศษโดยเฉพาะ เพราะในพระพุทธศักราช ๒๔๕๒ เมื่อทรงดำรงพระราชอิสสริยยศสมเด็จ พระยุพราชก็ได้เสด็จพระราชดำเนินมาครั้งหนึ่งแล้ว ข้าพระพุทธเจ้ายังคำนึงถึงพระเดชพระคุณอยู่ มิได้ขาด แต่ถึงแม้มาตรว่าข้าพระพุทธเจ้ามีความปรารถนาที่จะได้ชมพระบารมีอีกสักปานใดก็เป็น อันพ้นวิสัยที่จะให้สมหวังในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ประการ ๑ อีกประการ ๑ เมื่อปีก่อนใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนและสร้างทางโทรเลขแต่จังหวัดชุมพรมาเชื่อมต่อกับจังหวัดระนอง ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังเร่งรีบทำอยู่ ณ บัดนี้ก็ควรนับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ประชาชนจังหวัดระนองโดยเฉพาะเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทครั้งนี้จึงทำให้ข้า พระพุทธเจ้าปิติยินดีเป็นพ้นที่จะพรรณนา ตั้งแต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงรับพระราชภาระ ปกครองพระราชอาณาจักร พระองค์ได้ทรงทำนุบำรุงชักจูงประเทศสยามขึ้นสู่ความเจริญโดยรวดเร็วเพียงใดข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเห็นประจักษ์อยู่แล้ว เป็นต้นว่าทางพระราชไมตรีในระวางนานาประเทศก็รุ่งเรือง พระเกียรติยศพระเกียรติคุณขจรฟุ้งเฟื่องทั่วทิศานุทิศ จนพระราชาธิบดีแห่งประเทศอังกฤษซึ่งเป็นมหาประเทศในยุโรปได้ถวายยศนายพลเอกในกองทัพบกอังกฤษแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และทรงรับดำรงยศนายพลเอกในกองทัพบกสยาม ทั้งนี้ควรนับว่าเป็นเกียรติยศอย่างสูงส่วนหนึ่ง ส่วนการป้องกันพระบรมเดชานุภาพและพระราชอาณาจักร ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทก็ได้ทรงทำนุบำรุงกองทัพบก ทัพเรือ และกองอาสาสมัครเสือป่า ลูกเสือ ให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงทั้งทรงอุดหนุนราชนาวีสมาคมและสภากาชาด ซึ่งควรนับว่าเป็นกำลังและเป็นสง่าสำหรับบ้านเมืองสมควรแก่สมัยทั้งการไปมาค้าขายก็ได้ทรงทำนุบำรุงให้สะดวกเจริญขึ้นเป็นลำดับแม้มหาประเทศยุโรปได้ทำการสงครามขับเคี่ยวกันมาเกือบ ๓ ปีแล้วการไปมาค้าขายเกิดขัดข้องมากบ้างน้อยบ้างทั่วไปทุกประเทศ การค้าขายในพระราชอาณาเขตต์ก็ดำเนินอยู่เรียบร้อยและเฉพาะในมณฑลภูเก็ตกลับมีผลประโยชน์ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนอีก คนต่างประเทศก็เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่เป็นนิจ เพราะแสวงหาอาชีพได้คล่องดี ความเจริญรุ่งเรืองทั้งหลายนอกจากนี้ยังมีอีกเหลือที่จะยกขึ้นพรรณนาเพราะได้อาศัย พระบุญญาภินิหารในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ประกอบกับพระปรีชาสามารถและพระราชวิริยะอุตสาหะในราชกิจทั้งปวง จึงเป็นผลลุล่วงเห็นประจักษ์ปานฉะนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งซึ่งเป็นใหญ่ในสกลโลกจงอภิบาลรักษาพระองค์พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ทรงพระเจริญสุขทุกทิพาราตรีกาลพระชนมายุยั่งยืนนานปราศจากโรคาพาธ ศัตรูทั้งหลายจงพินาศพ่ายแพ้พระบุญญาภินิหาร ขอให้ทรงเกษมสำราญในพระหฤทัย จะทรงประกอบราชกิจใดๆ จงเป็นผลสำเร็จสมดังพระบรมราชประสงค์ทุกประการ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ สิ้นคำถวายไชยมงคลแล้วมีพระราชดำรัสตอบดังนี้ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:57:56 ระนอง ๓
พระราชดำรัสตอบ เราได้ฟังคำของสมุหเทศาภิบาลกล่าวในนามของข้าราชการและอาณาประชาชนจังหวัดระนองนี้เรามีความปิติและจับใจเป็นอันมากที่ได้ทราบว่าท่านทั้งหลายรู้สึกตัวว่าเราได้พยายามและตั้งใจที่จะทำนุบำรุงพวกท่านทั้งหลายให้มีความสุขและความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับข้อนี้เป็นข้อที่เราปรารถนายิ่งกว่าอย่างอื่น ส่วนตัวเราที่จะมีความสุขความสำราญและรื่นรมอย่างหนึ่งอย่างใดก็โดยรู้สึกว่าได้กระทำการตามหน้าที่มากที่สุดที่จะทำได้ให้เป็นผลสำเร็จ เมื่อได้มาแลเห็นผลสำเร็จแม้ไม่เต็มที่เป็นแน่ส่วน ๑ ก็นับว่าเป็นที่สบายใจ ส่วนจังหวัดระนองนี้เราได้เคยมาแต่ครั้งก่อนตามที่สมุหเทศาภิบาลได้กล่าวแล้วและได้มารู้สึกว่าเป็นที่ซึ่งอาจเป็นเมืองเจริญได้แห่งหนึ่งในพระราชอาณาจักรของเราแต่หากว่าลำบากในทางคมนาคม จึงทำให้ความเจริญนั้นดำเนินได้ช้ากว่าที่จะเป็นไปได้ เราจึงได้ให้จัดการสร้างถนนระหว่าง จังหวัดชุมพรกับจังหวัดระนองเพื่อให้การคมนาคมดีขึ้น ครั้นเมื่อเราได้มาในคราวนี้อีกครั้งหนึ่งแล้วก็ได้เดินตามทางที่ตัดใหม่ ซึ่งถึงแม้ยังไม่แล้วสำเร็จดีก็อาจทำความสะดวกขึ้นอีกเป็นอันมาก เมื่อทางไปมาจากจังหวัดชุมพรมาจังหวัดระนองสะดวกขึ้นได้ในทางบกแล้วการค้าขายและการติดต่อในทางทำนุบำรุงอาณาเขตต์ก็ทำได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ข้อนี้ทำให้เรารู้สึกยินดีและรู้สึกเหมือนตัวเราได้มาอยู่ใกล้กับพวกท่านทั้งหลายอีกส่วนหนึ่ง และยังหวังอยู่ว่าจะสามารถจัดการให้การคมนาคมสะดวกยิ่งขึ้นกว่าที่ทำได้ในเวลานี้ ในที่สุดนี้เราขอกล่าวว่าจังหวัดระนองเป็นที่ไปมายากเช่นนี้เราจึงมีความเสียใจที่จะ มาเยี่ยมไม่ได้บ่อยๆ เท่าที่เราปรารถนาจะมา แต่ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงอยู่เสมอ จึงจะขอให้ของไว้เป็นที่ระลึกแทนคือพระแสงราชศัตราที่เป็นของเราใช้ไว้สำหรับท่านทั้งหลายจะได้รับไว้รักษาเพื่อเป็นเกียรติยศแก่เมืองนี้ เพื่อเป็นเครื่องแทนตัวเราผู้มาอยู่เองไม่ได้ ขอให้เข้าใจว่าพระแสงนี้เรามอบให้ไม่เฉพาะแต่แก่เจ้าเมืองเท่านั้น เรามอบให้ท่านทั้งหลายที่เป็นข้าราชการทุกคนต้องช่วยกันตั้งใจทำนุบำรุงรักษาพระแสงนี้ไม่ให้เสื่อมเสียเกียรติยศลงไปได้แม้แต่เล็กน้อย ถึงแม้อาณาประชาชนพลเมืองจงรู้สึกว่ามีหน้าที่ เคารพและช่วยรักษาเหมือนกัน เพราะต้องรู้สึกว่าในส่วนผู้ที่มีหน้าที่ปกครองพระแสงย่อมเป็นเครื่องหมายพระราชอำนาจ ที่ท่านทั้งหลายรับแบ่งมาใช้ในทางสุจริตทางธรรมเพื่อนำความร่มเย็นแก่อาณาประชาชน ฝ่ายอาณาประชาชนก็จงรู้สึกว่าพระแสงนี้เป็นอำนาจปกครองเช่นนั้นเหมือนกัน และเมื่อรู้สึก ว่ามีอำนาจปกครองอยู่ในที่นี้สมควรจะได้รับความร่มเย็นจากอำนาจนั้นแล้วก็ต้องนับถือเคารพต่ออำนาจนั้นว่าเป็นเครื่องป้องกันสรรพภัยดังนี้ ถ้าจะประพฤติให้ถูกต้อง ต้องตั้งตนอยู่ในศีลในธรรม ความสุจริต ซื่อตรง จงรักภักดีอยู่ในพระราชกำหนดกฎหมายและประพฤติตนให้เป็นพลเมืองดีโดย ทั่วกัน ขอให้ผู้ว่าราชการรับพระแสงนี้ไปรักษาไว้แทนบรรดาข้าราชการและอาณาประชาชน พลเมืองจังหวัดระนองเพื่อเป็นสิริสวัสดิพิพัฒนมงคลแก่ท่านทั้งหลายทั่วกัน จึงอำมาตย์ตรี พระระนองบุรีศรีสมุทเขตต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดรับพระราชทานพระแสง- ราชศัสตราฝักทองคำจำหลักลายจากพระหัตถ์ขณะนั้นพระสงฆ์สวดชัยมงคล และข้าราชการจังหวัดและประชาชนถวายไชโยพร้อมกัน และพระระนองบุรีกราบบังคมทูลรับกระแสพระบรมราโชวาทเหนือ เกล้าฯ เพื่อปฏิบัติตาม และรับพระแสงราชศัสตราอันเป็นเครื่องราชูปโภครักษาไว้ เพื่อเป็นเกียรติยศและเป็นสวัสดิมงคลแก่จังหวัดระนองสืบไป ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ซึ่งประกาศราชกิจจานุเบกษาแล้วแก่พระระนองบุรีศรีสมุทเขตต์และพระยาสุรินทราชานำ..เซนเซอร์..บบรรจุคำถวายชัยมงคลมีรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ และสมุดที่ระลึกในการเสด็จเลียบมณฑลภูเก็ตขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย และสมุดนั้นได้แจกข้าราชการทั่วไปด้วยแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินจากพลับพลาทองพระระนองบุรีศรีสมุทเขตต์ทูลเกล้าฯ ถวายพระแสงราชศัสตราประจำ จังหวัดระนอง ทรงรับพระราชทานให้เชิญตามเสด็จพระราชดำเนินเสด็จกลับสู่พระที่นั่งรัตนรังสรรค์ โดยกระบวนรถม้าตามทางเดิม วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ เมษายน เวลาบ่าย ๔ โมง เสด็จทรงรถม้าประพาสบ้านเมืองผ่าน สวนซึ่งเป็นที่ตั้งฮ่องซุ้ยที่ฝังศพผู้ใหญ่สกุล ณ ระนอง เมื่อผ่านทางเข้าไปที่ฝังศพพระยาดำรงสุจริต (คอซิมก๊อง ณ ระนอง) ซึ่งถึงอนิจกรรมเมื่อพ.ศ. ๒๔๕๕ มหาอำมาตย์ตรี พระยาดำรงสุจริต (คออยู่หงีณ ระนอง) บุตรผู้สืบตระกูลคอยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาททรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องขมาศพให้นำไปพระราชทานที่ฮ่องซุ้ย แล้วทรงรถพระที่นั่งต่อไป ถึงฮ่องซุ้ยพระยารัษฎานุประดิษฐ (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ซึ่งเดิมเป็นสมุหเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลภูเก็ต ถึงอนิจกรรมเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๖ เสด็จพระราชดำเนินไปยังที่ฝังศพและพระราชทานเครื่องขมาศพโดยพระองค์เอง หลวงบริรักษ์โลหวิสัย (คออยู่จ๋าย ณ ระนอง ) บุตรผู้สืบตระกูลได้คุกเข่าลงกราบถวายบังคมอย่างธรรมเนียมจีน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้แสดงพระราชหฤทัยอาลัยในท่านพระรัษฎานุประดิษฐ ผู้ทรงคุ้นเคยและเป็นที่ต้องพระราชอัธยาศัยและพระราชทานพระบรมราโชวาทให้หลวงบริรักษ์โลหวิสัยประพฤติตนให้สมควรเป็นผู้สืบตระกูลวงศ์และพระราชทานพร แล้วเสด็จประทับในปรำบนสนามหญ้าหน้าฮ่องซุ้ย ข้าราชการประจำจังหวัดระนองตั้งเครื่องพระสุธารส ถวายและเลี้ยงน้ำชาข้าราชการทั่วไป พระประ- ดิพัทธภูบาลได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายดินสอเงินมีห่วงห้อย และแจกดินสอเงินนั้นแก่ผู้ตามเสด็จเป็นที่ระลึกในการเสด็จพระราชดำเนินที่ฮ่องซุ้ย และหลวงบริรักษ์โลหวิสัยได้แจกบุหรี่ฝรั่งปลายโต ซึ่งเป็นบุหรี่ของชอบของพระยารัษฎานุประดิษฐผู้บิดาพอเป็นที่ระลึกแก่ผู้ตามเสด็จทั่วกัน เวลาจวนย่ำค่ำเสด็จพระราชดำเนินกลับสู่ที่ประทับ ณ พระที่นั่งรัตนรังสรรค์ ครั้นเวลาค่ำราษฎรชาติพม่าซึ่งมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในจังหวัดระนองมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และได้เตรียมฝึกหัดบุตรหลานชั้นดรุณีไว้ฟ้อนรำถวายตัว พวกดรุณีที่มาฟ้อนรำถวายประมาณ ๒๐ คน แต่งตัวเสื้อผ้าแพรสีสวมมาลัยที่มวยผมที่เอวเสื้อมีโค้งเหมือนรูปแตรงอนทั้ง ๒ ข้างมีสะไบคล้องคอครั้งแรกจับระบำและร้องเพลงพร้อมๆ กันได้ความว่าเป็นคำถวายชัยมงคลขอให้เทพเจ้าอภิบาลรักษาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทให้ทรงพระเกษมสำราญแล้วจึงจับเรื่องละคร มีจำอวด ผู้ชายเข้าเล่นด้วย ๒ คน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเสมาเงินอักษรพระปรมาภิไธยย่อแก่เหล่าดรุณีที่ฟ้อนถวายตัว และพระราชทานแหนบสายนาฬิกาอักษรพระปรมาภิไธยย่อเงินลงยาแก่พม่าผู้เป็นล่ามแปลเรื่องละครถวายและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเข็มข้าหลวงเดิมแก่พระยาดำรงสุจริต (คออยู่หงี ณ ระนอง) ด้วย วันที่ ๒๐ เมษายน เวลาเช้า ๔ โมง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรถพระที่นั่งไปยังท่าจังหวัดระนอง กองเสือป่าและลูกเสือจังหวัดระนอง และตะกั่วป่าตั้งกองเกียรติยศส่งเสด็จและมหาอำมาตย์ตรีพระยาดำรงสุจริต พระประดิพัทธภูบาล หลวงพิชัยชิณเขตต์ หลวงบริรักษ์โลหวิสัยกับกรมการคฤหบดี ไทย จีน แขก พม่า ก็มาส่งเสด็จพร้อมกัน พระสงฆ์สวดถวายชัยมงคล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจำจังหวัดระนองแก่ระนองบุรีศรีสมุทเขตต์แล้วเสด็จประทับเรือกลไฟศรีสุนทรล่องน้ำระนอง เมื่อถึงตลาดปากน้ำพวกจีนจุดประทัดดอกใหญ่ถวาย เวลา เสด็จขึ้นเรือหลวงถลาง เรือรบหลวงศรีสุครีพครองเมืองยิงปืน ๒๑ นัด กระบวนตามเสด็จมีเรือ โตรัวของบริษัทอิสเตินชิบปิงซึ่งเดินเมลระหว่างปีนังภูเก็ตและระนองและเรือมัมบางซึ่งเป็นเรือหลวงสำหรับจังหวัดสตูลเพิ่มขึ้นอีก ๒ ลำ นายพลโทพระยาสุรินทราชาสมุหเทศาภิบาล โดยเสด็จพระราชดำเนินในเรือพระที่นั่งเวลาเที่ยงเรือรบหลวงสุครีพครองเมืองนำกระบวนเรือพระที่นั่งออกจากอ่าวระนอง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ เมืองระนองในคราวเสด็จประพาสเลียบหัวเมืองชายทะเลตะวันตกและเสด็จฯ ประทับแรม ณ จังหวัดระนอง ๑ ราตรี ในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๔๗๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ได้เสด็จฯ จังหวัดระนองเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๐๒ การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล การปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาครูปหนึ่งซึ่งรัฐบาลกลาง จัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้าไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทยคือระบบกินเมืองให้หมดไป การปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มใช้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ คือเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ แต่เดิมการปกครองหัวเมืองนั้นอำนาจการปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยังไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยังมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากการคมนาคมติดต่อไปมาหาสู่กันมีความลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีเฉพาะหัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมือง และมีอำนาจอย่างกว้างขวาง ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกันโดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองอยู่ที่เจ้าเมืองระบบเทศาภิบาล เริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงสำเร็จ พระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย ได้ให้คำจำกัดความของ การเทศาภิบาล ไว้ว่า การเทศาภิบาล คือการปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลางซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาคอันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากรเพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นชั้น อันดับดังนี้คือ ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถัดลงไปเป็นเมืองคือจังหวัด รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวง ทบวง กรมในราชธานี และจัดสรรข้าราช-การที่มีความรู้สติปัญญาความประพฤติดีให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็วแก่ราชการและธุรกิจของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือน กันแต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้ มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาด- ไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร ทรงพระราชดำริว่า ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมาส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตก บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศา ภิบาลการจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา และ ก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับ ดังนี้ พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้ เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑล หนึ่ง พ.ศ . ๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑลคือมณฑลนคร ชัยศรี มณฑลนครสวรรค์และมณฑลกรุงเก่า และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง มณฑลภูเก็ต ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๘ นั้น ประกอบด้วย ๖ เมือง คือ ๑. เมืองภูเก็ต ๒. เมืองกระบี่ ๓. เมืองตรัง ๔. เมืองตะกั่วป่า ๕. เมืองพังงา ๖. เมืองระนอง ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ตคนแรก คือ พระยาทิพโกษา (โต โชติกเสถียร) ซึ่งเดิมเป็นข้าหลวงรักษาราชการหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตกอยู่ ต่อมามณฑลภูเก็ตซึ่งเดิมขึ้นกับสมุหพระกลาโหม ได้โอนมาขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ในปี ๒๔๓๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ปลายสมัยรัชการที่ ๕ ได้มีการประกาศแยกการปกครองจังหวัดสตูลออกจากมณฑลไทรบุรี ซึ่งรัฐบาลได้ทำสัญญาโอนให้ไปอยู่ในความปกครองของอังกฤษโดยให้โอน เฉพาะจังหวัดสตูลไปไว้ในมณฑลภูเก็ต ในสมัยราชกาลที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้มีการประกาศโอนการปกครองจังหวัดสตูลมาขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราชเพราะจังหวัดสตูลติดต่อกับมณฑลนครศรีธรรมราชซึ่งมีที่ตั้งบัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองสงขลาสะดวกกว่ามณฑลภูเก็ต การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้นปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตามนัย ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ จัดระเบียบบริหารราชการส่วน ภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดระนองปัจจุบันได้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๔ อำเภอ ๒๕ ตำบล และ ๑๓๑ หมู่บ้าน ดังนี้ ๑. อำเภอเมืองระนอง มี ๘ ตำบล ๓๒ หมู่บ้าน ๒. อำเภอกะเปอร์ มี ๗ ตำบล ๓๔ หมู่บ้าน ๓. อำเภอกระบุรี มี ๕ ตำบล ๔๑ หมู่บ้าน ๔. อำเภอละอุ่น มี ๕ ตำบล ๒๔ หมู่บ้าน นอกจากนี้จังหวัดระนองยังมีหน่วยงานราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ดังนี้ ๑. องค์การบริหารส่วนจังหวัด มีสมาชิกสภาจังหวัด ๑๘ คน ๒. เทศบาลภิบาล ๑ เทศบาล คือ เทศบาลเมืองระนอง ๓. สุขาภิบาล ๕ แห่ง คือ - สุขาภิบาลหงาว ต.หงาว อ.เมืองระนอง - สุขาภิบาลปากน้ำ ต.ปากน้ำ อ.เมืองระนอง - สุขาภิบาลน้ำจืด ต.น้ำจืด อ.กระบุรี - สุขาภิบาลกะเปอร์ ต.กะเปอร์ อ.กะเปอร์ - สุขาภิบาลละอุ่น ต.ละอุ่นใต้ อ.ละอุ่น ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดระนอง . กรุงเทพมหานคร : สยามสปอร์ตพับลิชชิ่ง , ๒๕๒๖. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:58:23 ตรัง
คำว่า "ตรัง" มีความหมายสันนิษฐานได้ ๓ ทาง คือ ๑. ตรัง ที่มาจากคำว่า "ตรังคปุระ"๑ เป็นคำสันสกฤต แปลว่า "การวิ่งห้อของม้า หรือคลื่นเคลื่อนตัว" ชื่อเมือง ๑๒ นักษัตรนั้นคือชื่อเมืองป้อมปราการล้อมรอบเมืองนครศรีธรรมราช เมืองตรังค- ปุระเป็นเมืองที่มีฐานทัพเรือ จึงให้ใช้ตราม้า ๒. ตรัง มาจากคำว่า "ตรังค์"๒ แปลว่า "ลูกคลื่น" เพราะลักษณะพื้นที่ของเมืองตรังตอนเหนือเป็นเนินเล็กๆ สูงๆ ต่ำๆ คล้ายลูกคลื่นอยู่ทั่วไป ๓. ตรัง มาจากคำว่า "ตรังเค" (TARANGUE) ซึ่งเป็นภาษามลายู แปลว่า "รุ่งอรุณ" หรือ "สว่างแล้ว" สันนิษฐานว่าคงมีชาวมลายูและชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย เปอร์เซีย เดินทางมาค้าขายละแวกนี้ เมื่อเรือแล่นมาถึงปากอ่าวแม่น้ำตรัง เป็นเวลารุ่งอรุณพอดี คนที่โดยสารมาในเรืออาจจะเปล่งเสียงออกมาว่า "ตรังเค" สว่างแล้ว ประวัติความเป็นมา จังหวัดตรังเท่าที่ทราบและปรากฏหลักฐานแน่ชัด เริ่มในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี แต่ก็มีหลักฐานบางอย่างที่เชื่อได้ว่าจังหวัดตรัง เป็นชุมชนที่มีคนเคยอยู่มาก่อนหน้านั้น ซึ่งสามารถลำดับเหตุการณ์ เป็นช่วงสมัยได้ ดังนี้ ๑. ชุมชนตรังในช่วงสมัยหินใหม่ ๒. ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ไทย ๓. เมืองตรังสมัยอาณาจักรศรีธรรมาโศกราช ๔. เมืองตรังสมัยกรุงศรีอยุธยา ๕. เมืองตรังสมัยกรุงธนบุรี ๖. เมืองตรังช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ๗. เมืองตรังสมัยสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุญนาค) ๘. เมืองตรังสมัยพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) ๙. เมืองตรังช่วงหลังพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) ชุมชนเมืองตรังในช่วงสมัยหินใหม่ จากการสำรวจหลักฐานชั้นต้น และหลักฐานชั้นรอง แสดงให้เห็นว่าชุมชนตรังได้มีมาแล้ว ในช่วงสมัยหินใหม่ เนื่องจากได้พบร่องรอยมนุษย์ในช่วงหินใหม่ กระจัดกระจายในทุกท้องที่ของจังหวัด๓ เช่น พบภาชนะ หม้อสามขา และ ขวานหินขัด ที่แถบเขาสามบาตร ตำบลนาตาล่วง พบซากโครงกระดูกมนุษย์ที่ถ้ำเขาพระ อำเภอห้วยยอด การพบหม้อกุณฑี ลักษณะเดียวกับพบที่ อำเภอสทิง-พระ จังหวัดสงขลา และลูกปัดคล้ายคลึงกับพบที่ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ที่เขาโต๊ะแหนะ หาดเจ้าไหม อำเภอกันตัง สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า จังหวัดตรัง มีชุมชนมาแล้วไม่น้อยกว่า ๒๐๐๐ ปี ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมืองตะโกลา ในจดหมายเหตุของปโตเลมี ที่ได้บันทึกตามคำบอกเล่าของนักเดินเรือชาวกรีกชื่ออเล็กซานเดอร์ เดินทางเข้ามาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๗๔ กล่าวถึงเมือง "ตะโกลา" ไว้ว่าเป็นเมืองท่าของสุวรรณภูมิ หรือไครเสาเซอร์โสเนโสส และเมือง "ตะโกลา" ยังปรากฏอยู่ในหนังสือมิลินท-ปัญญา เขียนขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๕ เรียกเมืองนี้ว่า ตกโกล นอกจากนี้ จารึกของพวกตนโจร (พวกทมิฬ ที่อยู่ทางใต้ของอินเดีย) ในสมัยพระเจ้าราเชนทรที่ ๑ เป็นกษัตริย์ของโจฬะ (ประมาณ ปี พ.ศ. ๑๕๕๕-๑๕๘๕) ได้กล่าวถึงเมือง ตไลตตกโกล นักโบราณคดีต่างๆ มีความเห็นว่าเมืองตะโกลา, ตกโกล และ ตไลตตกโกล คือ เมืองเดียวกัน เมืองตะโกลาที่กล่าวข้างต้น น่าจะเป็นท้องที่บริเวณจังหวัดตรังและจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ในปัจจุบัน โดยมีหลักฐานที่สนับสนุนในเรื่องนี้คือ ๑) ข้อเขียนของเลอเมย์ผู้เขียนวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์เขียนถึง ตะโกลาไว้ดังนี้๕..... สถานที่แห่งนี้อาจหมายถึงเมืองตรัง เพราะท้องที่เมืองตรังเขตอำเภอปะเหลียน และอำเภอกันตัง มีอาณาเขตตกทะเลหน้านอกในมหาสมุทรอินเดีย เป็นที่จอดเรือได้ดี ๒) จดหมายเหตุของปโตเลมี เขียนถึงตะโกลาไว้ดังนี้ เมื่อพ้นประเทศอาจิราเลียบฝั่งลงไปเรื่อยๆ ถึงแหลมเบซิงงาในอ่าวซาราแบก (เขตจังหวัดพังงาปัจจุบัน) เมื่อพ้นจากนั้นก็เข้าเขตที่อเล็ก-ซานเดอร์นักเดินเรือชาวกรีกเรียกว่า เมืองทองแล้วก็จะถึงเมืองตะโกลา.....ใต้เมืองพังงาลงมาที่เป็นเมืองท่าสำคัญเห็นจะมีแต่เมืองตรังเท่านั้น ที่เป็นเมืองท่าเรือ๖ ๓) ตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ การเดินเรือในเขตมรสุม ถ้าจะเดินทางจากลังกา หรืออินเดียตอนใต้ มายังสุวรรณภูมิ เมื่อตั้งหางเสือของเรือแล้วแล่นตัดตรงมา อิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ จะนำเรือเข้าฝั่งสุวรรณภูมิบริเวณเส้นละติจูดที่ ๗๗ องศาเหนือ ซึ่งจะตรงกับจังหวัดตรังพอดี หาก "ตะโกลา" เป็นเมืองท่าของสุวรรณภูมิ (ตามจดหมายเหตุของปตาเลมี) "ตะโกลา" ก็คือชุมชนในเขตเมืองตรัง นั้นเอง ๔) ตามลักษณะภูมิศาสตร์ กล่าวถึง เส้นทางการติดต่อค้าขายข้ามแหลมทองระหว่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก นั้น จะมีการขนถ่ายสินค้า จากเมืองตะโกลาไปยังฝั่งทะเลทางอ่าวไทย เส้นทางนี้หากจะพิจารณาว่าเป็นเส้นทางจากตะกั่วป่า ไปยังสุราษฎร์ธานี ก็คงไม่ใช้เพราะเส้นทางจากตะกั่วป่าไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานี ต้องข้ามเขาสก จึงเป็นภูเขาสูงเป็นพันฟุต "ทางข้ามเขาสกนั้น ไม่ใช้เส้นทางขนถ่ายสินค้าข้ามปลายแหลมทอง แต่เป็นเส้นทางลัดข้ามแดนเท่านั้น"๘ เมื่อตะโกลา เป็นเมืองยุคก่อนประวัติศาสตร์ไทย หากเชื่อว่าชุมชนในเขตเมืองตรัง คือ เมืองตะโกลาก็จะสรุปได้ว่าเมืองตรังมีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไทย สมัยศรีวิชัย และตามพรลิงค์ตอนปลาย ชุมชนตรังได้มีแล้วในสมัยศรีวิชัย ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๘ จากหลักฐานปรากฏได้พบโบราณวัตถุ สมัยศรีวิชัย ในท้องที่ของจังหวัดตรัง เช่น พบพระพิมพ์ดินดิบ อักษรจารึกเป็นภาษา เทวนาศรี เยธมมา รูปพระโพธิสัตว์ ที่ชุมชนแถบวัดเขาปินะ วัดหูแกง วัดคีรีวิหาร อำเภอห้วยยอด ยุคอาณาจักรศรีธรรมาโศกราช เมืองตรังช่วงยุคอาณาจักรศรีธรรมาโศกราช ตำนานเมืองนครศรีธรรมราชได้กล่าวไว้ว่า๙ "พญาโคสีหราช ผู้ครองเมืองนครบุรีได้พระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า ต่อมาท้าวอังกุราชผู้ครองนคร- จันบุรี มีพระประสงค์ที่จะได้พระทันตธาตุ จึงยกกองทัพมาแย่งชิง พญาโคสีหราชแต่งทัพออกสู้ และสั่งพระราชโอรสและพระราชธิดาว่าถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์กลางศึก ให้นำพระทันตธาตุหนีไปเมืองลังกาให้จงได้ พระธนกุมารและนางเหมมาลาซึ่งเป็นพระราชโอรสและพระราชธิดาเมื่อทราบข่าวว่าพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ จึงนำพระทันตธาตุลงสำเภาหนีแต่สำเภาอัปปางกลางทาง พระธนกุมารและนางเหมมาลาขึ้นบกได้ บุกป่าไปถึงหาดทรายแก้วและฝังพระทันตธาตุไว้ พระมหาเถรพรหมเทพทราบเข้าก็มานมัสการไต่ถามพระราชโอรสและพระราชธิดา ก็ได้รับทราบความตั้งใจและรับปากว่า ถ้ามีเหตุร้ายจะช่วยเหลือพร้อมกับทำนายว่า พระยาศรีธรรมาโศกราชจะมาตั้งเมืองที่หาดทรายแก้ว พระราชโอรสและพระราชธิดาจึงเดินทางต่อไปถึงเมืองตรัง โดยนำพระทันตธาตุไปด้วยและเมื่อถึงเมืองตรังได้ลงสำเภาไปยังลังกา" ตามจารึกที่วัดเสมาเมือง หลักที่ ๒๓ ได้กล่าวไว้ว่า.....เมื่อพระยาศรีธรรมาโศกราชสร้างเมืองนครศรีธรรมราชที่หาดทรายแก้ว ในปี พ.ศ. ๑๐๙๘ นั้น เมืองนครยังมีเมืองขึ้นอีก ๑๒ เมือง เรียกว่าเมือง ๑๒ นักษัตร ซึ่งกำหนดตราประจำเมืองไว้ดังนี้ ๑๐ ๑. ตราชวด เมืองสายบุรี ๒. ตราฉลู เมืองปัตตานี ๓. ตราขาล เมืองกลันตัน ๔. ตราเถาะ เมืองปาหัง ๕. ตรามะโรง เมืองไทรบุรี ๖. ตรามะเส็ง เมืองพัทลุง ๗. ตรามะเมีย เมืองตรัง ๘. ตรามะแม เมืองชุมพร ๙. ตราวอก เมืองบัณทายสมอ ๑๐. ตราระกา เมืองสระอุเลา ๑๑. ตราจอ เมืองตะกั่วป่า ๑๒. ตรากุน เมืองกระบุรี จากตำนานและจารึกดังกล่าวแสดงว่า เมืองตรังเป็นชุมชนเมืองมาตั้งแต่ก่อนตั้งอาณาจักรศรีธรรมาโศกราช โดยเฉพาะในช่วงอาณาจักรศรีธรรมาโศกราชนั้น อาจจะเรียกว่าเป็นเมืองของรัฐอิสระในทางใต้ ชุมชนเมืองตรังสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในสมัยพระเจ้าอู่ทองครองราชย์กรุงศรีอยุธยา เมืองตรังยังเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรนครศรีธรรมราชโศกราช พระเจ้าจันทรภานุแห่งราชวงศ์ปทุมวงค์ ของอาณาจักรศรีธรรมาโศกราช และพระเจ้าอู่ทอง แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้รบพุ่งกันเพื่อแย่งชิงซึ่งความเป็นใหญ่ในเผ่าไทยเหนือ กลาง และใต้ จนกระทั่งได้มีการหย่าศึกกันที่บางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ครั้นในสมัยของพระบรมไตรโลกนาถ เมืองนครศรีธรรมาโศกราช เป็นเมืองขึ้นของกรุงศรี-อยุธยา ในฐานะหัวเมืองเอกฝ่ายใต้ หลักฐานตามที่ปรากฏชัดคือการรวมไทยของอยุธยา ในทำเนียบศักดินาของพระธรรมนูญปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ เมืองตรังจึงต้องรวมเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาด้วย เมืองตรังเป็นเมืองท่าของเมืองนครศรีธรรมราชท่าฝั่งตะวันตกคู่กับเมืองท่าทองเป็นเมืองฝั่งตะวันออก ในช่วงนี้ ผู้สำเร็จราชการปอร์ตุเกสที่อินเดีย คือ อัลฟองโสเดออัลบูร์เคอร์ก ได้ยกกองทัพมาตีเมืองมะละกา ในสมัยที่สุลต่านมูรซับฟาร์ปกครอง ต่อมาเมื่อรู้ว่าเป็นเมืองขึ้นของไทย (พ.ศ. ๒๐๕๔) ก็เลยส่งอาซเวโด เดินทางจากมะลากามาขึ้นบกที่เมืองตรังและเดินทางต่อด้วยม้าและเกวียนเข้าไปนครศรีธรรมราชแล้วลงเรือไปกรุงศรีอยุธยา เพื่อนำสาส์นไปขอโทษไทยพร้อมกับถวายปืนไฟ ๓๐๐ กระบอก๑๑ ในช่วงสมัยตอนปลายกรุงศรีอยุธยา มีหลักฐานอ้างถึงเมืองตรังไว้ดังนี้๑๒ เมื่อครั้งกรุงเก่าในแผ่นดินเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีเสวยราชย์ให้ พระยาราชสุภาวดีเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช หลวงสิทธิ นายเวรมหาดเล็ก (หนู) เป็นปลัดเมืองภายหลังพระยานครฯ ถูกอุทธรณ์ต้องกลับไปอยู่กรุงเทพฯ (หมายถึงกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยาหรือกรุงศรีอยุธยา) ถูกถอดจากเจ้าเมือง เวลากรุงเสียแก่พม่าหามีเจ้าเมืองไม่ มีแต่พระปลัดเป็นผู้รักษาราชการเมือง จึงตั้งตัวเป็นเจ้านครฯ เมืองชุมพร ปะทิว หลังสวน กระ ระนอง ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง พังงา พัทลุง สงขลา ตานี หนองจิก เทพา ไทร ปะลิศ สตูล ภูเก็ต รวมทั้งเมือง ตรัง กระบี่ และเมืองท่าทอง มาขึ้นกับเจ้านคร (หนู) ตั้งเป็นชุมนุมนครศรีธรรมราชไม่ขึ้นกับกรุงเทพฯ เมืองตรังสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี เมื่อกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงอำนาจของเมืองนครศรีธรรมราชก็ถูกลดลงกว่าเดิม ทางราชธานีได้มอบหมายให้เจ้านครศรีฯ (หนู) ปกครองแต่เพียงบริเวณหัวเมืองเท่านั้น เพราะได้โปรดเกล้ายกเมืองขึ้นของเมืองนครศรีธรรมราชเมืองอื่นๆ คือ ไชยา พัทลุง ถลาง ชุมพร มาขึ้นตรงต่อกรุงธนบุรีในปี พ.ศ. ๒๓๑๙๑๓ และให้แยกเมืองสงขลาออกจากเมืองนครศรีธรรมราช ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๓๒๐ หัวเมืองนครศรีธรรมราชในครั้งนั้น จึงมีแต่เมืองตรัง และเมืองท่าทอง๑๔ ซึ่งเป็นเมืองท่าฝั่งทะเลทางตะวันตกและชายฝั่งทะเลตะวันออกเท่านั้น นอกจากนี้หลักฐานจากใบบอกเมื่อทราบข่าวว่าอะแซหวุ่นกี้เตรียมยกกองทัพมาตีกรุง ธนบุรี ใบบอกที่มาถึงหัวเมืองปักษ์ใต้ก็ยังกล่าวถึงเมืองตรังไว้ดังนี้ ..ในสัญญาบัตรตราตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ของพระเจ้ากรุงธนบุรีกล่าวว่า ประการหนึ่งเมืองสงขลาและเมืองตรังเป็นเมืองปลายด่าน แดนต่อด้วยเมืองไทร เมืองปัตตานีและเมืองแขกทั้งปวงยังมิสงบสงคราม๑๕ เป็นการเขียนย้ำให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคอยระมัดระวัง และตรวจตราดูแลเมืองในปกครองของเมืองนครศรีธรรมราช เพราะทางเมืองหลวงเกรงว่าเมื่อมีศึกกับพม่าแล้ว ทางหัวเมืองแขกอาจจะยกกองทัพมาตีเมืองสงขลาและเมืองตรังก็ได้ เมืองตรังในช่วงนี้สืบต่อมาจากกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีพระยาตรังนาแขกเป็นเจ้าเมืองมีชุมชนย่อย ๒ ชุมชน คือ เมืองตรัง และเมืองภูรา เมืองตรังช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้รวมเมืองตรังและเมืองภูราเข้าด้วยกัน ตั้งพระภักดีบริรักษ์ผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราชออกมารักษาเมืองตรังแทนพระตรังค์นาแขกซึ่งชราภาพมาก เมืองตรังช่วงก่อนพระภักดีบริรักษ์นี้ มีอาณาเขตดังนี้๑๖ ๑. ทิศใต้ ลงไปถึง เกาะลิบง ๒. ทิศตะวันตก จดทะเลและต่อแดนกับปากกุแหระแขวงเมืองนครศรีธรรมราช ๓. ทิศเหนือ จดเขตเมืองนครศรีธรรมราช ๔. ทิศตะวันออก จดเมืองปะเหลียนและแขวงเมืองสตูล เมื่อโปรดให้พระภักดีบริรักษ์ ผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราชออกไปรักษาเมืองตรังนั้น ปรากฏอยู่ในเพลงยาวออกวางตราเมืองตรังค์๑๗ เป็นพระยาตรังคภูมาภิบาล (จันทร์) หรือพระยาตรังค์ที่เก่งทางโคลงฉันท์กาพย์กลอน หรือพระยาตรังค์ศรีไหนนั้นเอง พระภักดีบริรักษ์ได้กราบทูลขอยกเมืองตรังและเมืองภูราเข้าเป็นเมืองตรังภูรา๑๘ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:58:36 ตรัง ๒
ต่อมาพระภักดีบริรักษ์ต้องโทษ๑๙ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าต้องโทษสถานใด แต่เข้าใจว่าเป็นเรื่องภรรยาที่ ๓ มีชู้แล้วท่านจับได้เลยให้เฆี่ยนชายชู้ถึงตาย๒๐ ถูกเรียกตัวกลับเข้ารับราชการในกรุงเทพฯ เสร็จแล้วโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้โต๊ะปังกะหวาผู้รักษาเกาะลิบงหรือพระยาลิบงออกเป็นผู้รักษาเมืองตรังต่อมาพระยาลิบงเกดทะเลาะกับเจ้านครฯ (พัฒน์) จนเป็นอริกัน เมื่อเรื่องราวทราบถึงราชธานี พระพุทธยอดฟ้าฯ ก็ใช้วิธีเดียวกับที่เคยใช้กับเมืองสงขลาได้ผลมาแล้ว คือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ายกเมืองตรังมาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เสียชั่วคราวในปี พ.ศ. ๒๓๔๗๒๑ เมื่อพระยาลิบง (โต๊ะปังกะหวา) ถึงแก่กรรม จึงโปรดให้หลวงฤทธิสงคราม ซึ่งเป็นบุตรเขยพระยาลิบงเป็นผู้รักษาเมืองตรัง แต่ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่าจะให้เมืองตรังขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ อีกไม่ได้ เพราะหลวงฤทธิสงคราม ยังขาดความรู้ความสามารถในการบริหารบ้านเมือง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เมืองตรังไปขึ้นกับเมืองสงขลาให้เจ้าพระยาสงขลา (บุญฮุย) เป็นผู้บังคับบัญชาดูแลและช่วยเหลือหลวงฤทธิ-สงครามปกครองเมืองตรังภูราต่อไป ในปี พ.ศ. ๒๓๕๔ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการในภาคใต้ เนื่องจากเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ได้ลาออกจากตำแหน่ง ทางราชธานีได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราช เป็นพระยานคร (น้อย) ปกครองเมืองนครศรีธรรมราชต่อไป ในปีนี้ปรากฏว่าหลวงฤทธิสงครามและเจ้าพระยาสงขลาได้ถึงแก่กรรม จึงเหลือพระยานครฯ (น้อย) เพียงผู้เดียวที่มีความรู้ความสามารถในภาคใต้ ทางราชธานีได้พิจารณาแล้วว่าเมืองตรังจะขึ้นกับเมืองสงขลาอีกดังเดิมไม่เหมาะสมเสียแล้ว เพราะหลังจากที่พม่ามาตีถลางแล้วในปี พ.ศ.๒๓๕๒๒๑ ไม่มีหัวเมืองใดเหมาะสมในการดูแลหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันตกแทนเมืองถลางเท่ากับเมืองนครศรีธรรมราช๒๒ จึงโปรดเกล้าให้เมืองตรัง กลับมาขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชตามเดิม และให้พระยานครฯ (น้อย) จัดกรมการเมืองนครศรีธรรมราชลงไปทำนุบำรุงเมืองตรังให้เป็นที่ทำไร่นายุ้งฉางเก็บเรือรบเรือลาดตระเวณและสะสมกำลังผู้คนไว้ทางฝั่งทะเลตะวันตก เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามแขกสลัดทั้งสื่อข่าวเคลื่อนไหวของพม่าและป้องกันการรุกรานของพม่าต่อหัวเมืองฝั่งทะเลตะวันตกอีกด้วย ดังปรากฏหลักฐานในตราสารของเจ้าพระยาเสนา (ปิ่น) สมุหกลาโหม มีออกไปถึงปลัดและกรมการเมืองนครศรีธรรมราชในปี พ.ศ. ๒๓๕๔ ดังนี้ ..เมืองตรังภูรานั้นเป็นเมืองขึ้นของเมืองนครศรีธรรมราชมาแต่ก่อน ให้ยกเอาเมืองตรัง- ภูรากลับมาขึ้นแก่เมืองนครศรีธรรมราช ให้พระยานครจัดแจง หลวง ขุน หมื่น กรมการ ที่มีสติปัญญาสัตย์ซื่อมั่นคงไปตั้งเกลี่ยกล่อมแขกไทยมีชื่อให้เข้าไปตั้งบ้านเรือน ทำไร่นา ปลูกยุ้งฉางรวบรวมเสบียงอาหารทำรั้วโรงไว้เรือรบ เรือไล่ รักษาปากแม่น้ำตรังไว้ ขุนมีราชการประการใด จะได้ช่วยรบพุ่งกันทันท่วงที ..๒๓ พระยานคร (น้อย) ได้ออกปรับปรุงเมืองตรังด้วยตนเองตามที่ราชธานีมีสารกำชับไว้จนกระทั่งเมืองตรังเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะมีกำปั่นต่างประเทศมารับสินค้าปีละหลายๆ ลำ๒๔ และเป็นฐานทัพเรือที่สำคัญ สำหรับป้องกันพม่าทางหัวเมืองฝั่งทะเลตะวันตกกับควบคุมหัวเมืองไทรบุรีปรากฏว่าเมืองตรังมีกองเรือรบและเรืออื่นๆ ถึง ๓๐๐ ลำ นอกจากนี้ยังจัดหน่วยราชการ เช่นเดียวกันกับเมืองนครศรีธรรมราช๒๕ คือมีตำแหน่ง ผู้รักษาเมือง ปลัด ยกกระบัตรมหาดไทย นครบาล กรมนา กรมวัง กรมคลัง และสรรพากร สำหรับเมืองตรังมีกรมพิเศษนอกเหนือจากเมืองนครศรีธรรมราช คือ กรมปืน มีหน้าที่สะสมและรักษาปืนซึ่งเป็นอาวุธสำคัญในสมัยนั้น ในช่วงปี พ.ศ. ๒๓๕๔ นี้เอง พระยานคร (น้อย) ได้กราบทูลไปยังราชธานีเพื่อให้โปรดเกล้า แต่งบุตรคนหนึ่งออกไปรักษาเมืองตรัง คือ พระอุไทยธานี (ม่วง)๒๖ เจ้าเมืองคนนี้ได้ย้ายเมืองตรังจากตรังภูรา มาที่ควนธานี และได้วางหลักเมืองที่ควนธานีด้วย เมืองตรังในช่วงนี้เจริญมากเพราะมีสินค้าที่ชาวต่างประเทศต้องการ คือ ช้าง ทางราชธานีได้ให้การสนับสนุนโดยการต่อเรือบรรทุกช้างไปจำหน่าย การค้าช้างเมืองตรังสมัยนั้นมีประจำทุกปีตามฤดูของลมมรสุม ดังในปี พ.ศ. ๒๓๕๕ เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ขายช้างให้อินเดีย ๓ ลำเรือ และปี พ.ศ. ๒๓๕๗ มีเรือกำปั่นมาซื้อช้าง ๒ ลำ และเจ้าพระยานครฯ (น้อย) ได้แต่งกำปั่นหลวงอีก ๑ ลำ รวม ๓ ลำ บรรทุกช้างได้มากกว่า ๖๐ เชือก ขายได้เป็นเงิน ๒๔๒ ชั่ง ๙ ตำลึง ๓ บาท หรือ ๑๙,๔๔๐ บาท๒๗ ซึ่งขนาดของเรือมีขนาดใหญ่ถึงกับต้องใช้กรรเชียง ๒ ชั้น๒๘ และในภาคใต้ขณะนั้นเมืองตรังเป็นฐานทัพเรือที่ใหญ่ที่สุด เพราะใช้ในการคุมหัวเมืองไทรบุรี และคอยป้องกันพม่าอีกด้วย ในช่วงที่พระยานคร (น้อย) เป็นเจ้าเมืองนครนั้นเมืองตรังได้เปลี่ยนเจ้าเมืองบ่อยครั้ง พระอุไทยธานีปกครองอยู่ถึงปี ๒๓๕๕ ก็มีเรื่องต้องโทษ และถูกถอดออกจากเจ้าเมืองตรัง หลวงช่วยบุญเพ็ชร ปกครองเมืองต่อมา ครั้นพระยาตรังค์นาแขก (สิงห์) ปกครอง มีเหตุการณ์สำคัญอยู่ ๒ เรื่อง คือ การเจรจาความเมืองกับอังกฤษที่เมืองตรัง เนื่องจากเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) หลบหนีไปพึ่งอังกฤษที่ปีนังเจ้าพระยานคร (น้อย) ขอตัวจากผู้ว่าอังกฤษที่ปีนังไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดขัดใจระหว่างไทยกับอังกฤษได้เจรจากันตกลงกันหลายครั้ง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๖๗ ผู้ว่าราชการอังกฤษที่ปีนังได้ส่งร้อยเอกเจมส์โลว์ เดินทางมาขึ้นบกที่ตรัง แล้วมีหนังสือแจ้งไปยังนครศรีธรรมราช เจ้าพระยานคร (น้อย) ส่งพระเสน่หามนตรีไปพบที่เมืองตรัง ครั้นทราบว่าเป็นเรื่องเจรจาขอให้ไทยช่วยอังกฤษรบพม่าก็ได้มีใบบอกเข้าไปยังราชธานี๒๙ โดยไม่ตอบอังกฤษ จนกระทั่งอังกฤษส่งร้อยเอกเฮนรี่ เบอร์นี่ มาเจรจาที่กรุงเทพฯ ขณะนั้นเจ้าพระยานคร (น้อย) ชุมนุมทัพที่ตรัง เตรียมยกไปตีเประและสลังงอ อังกฤษเกรงว่าถ้าตีได้จะกระทบกระเทือนถึงการค้าของอังกฤษ จึงส่งเรือปืนมาปิดปากแม่น้ำตรัง๓๐ ปี พ.ศ. ๒๓๘๑ ในรัชกาลที่ ๔ กรุงเทพฯ ได้จัดงานถวายพระเพลิงศพ พระสมเด็จพระศรี- สุลาไลย พระราชชนนีพระพันปีหลวง พระยาสงขลา เจ้าพระยานคร (น้อย) เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ตนกูมะหะหมัด สหัด, ตนกูมะหะหมัด อาเกบและหวันมาหลี เป็นสลัดแขกอยู่ที่เกาะยาว (อยู่ใกล้เกาะภูเก็ต) ถือโอกาสยกทัพเรือเข้าตีเมืองตรังได้ ให้หวันมาลีรักษาเมืองตรัง แล้วก็ไปตีเมืองไทรบุรีได้ พระยาอภัย-ธิเบศร์ (แสง) และพระเสนานุชิต (นุช) ผู้รักษาเมืองไทรบุรีได้ถอยเข้ามาตั้งที่พัทลุง ตนกูมะหะหมัด สหัด จึงยกทัพเข้าตีเมืองสงขลาและพัทลุง๓๑ ความทราบถึงกรุงเทพฯ พระยาสงขลาและเจ้าพระยานคร (น้อย) ยกกองทัพมาปราบเหตุการณ์จึงสงบลง ดังนั้นเพื่อลดปัญหาเรื่องไทรบุรีก็ให้ย้ายพระยาไทร คือ พระยาอภัยธิเบศร์ (แสง) มาอยู่ที่พังงา แล้วกวาดแขกเมืองไทรมาพังงาด้วย๓๒ ให้เมืองไทรมีกำลังแต่น้อย ส่วนกำปั่น เรือรบ เรือไล่ ปืนใหญ่ ปืนน้อย ให้พระยาศรีพิพัฒน์เจ้าเมืองสงขลาแบ่งมาไว้ที่เมืองตรังและเมืองสงขลาเสีย เมื่อเจ้าพระยานคร (น้อย) ถึงแก่อนิจกรรมแล้วทางกรุงเทพฯ ก็ยังต้องการให้เมืองตรังเป็นเมืองสำคัญต่อไป จึงได้ตั้งเจ้าหมื่นเสมอใจราช (ชื่น บุนนาค) ออกมาเป็นข้าหลวงที่ภูเก็ต ต่อมา เจ้าหมื่นเสมอใจราชได้เลื่อนยศเป็น พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชื่น บุนนาค) เป็นข้าหลวงใหญ่ทางฝั่งตะวันตก ตั้งกองบัญชาการข้าหลวงใหญ่ที่ตรัง และโอนเมืองตรังขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ปีนั้นเอง เมืองตรังช่วงสมัยสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ในปี ๒๔๒๓ สมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้คิดออกทำนุบำรุงเมืองตรังในช่วงที่พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชื่น บุนนาค) บุตรชายออกเป็นข้าหลวงใหญ่เพราะเห็นว่าตนเองก็ชราแล้วจึงต้องการสร้างอนุสรณ์ก่อนตายเช่นเดียวกัน เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ออกสร้างเมืองจันทบุรีเสร็จในปี ๓ ปี ดังนั้นสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)จึงสร้างที่ทำการเจ้าเมืองและที่ชำระคดี โดยนำแบบจากตึกคอนเวอร์เมนต์เฮาส์ของสิงคโปร์มีความยาว ๑ เส้น กว้าง ๑๕ ศอก๓๓ ดังนั้น ภาษีที่พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชื่น บุนนาค) ข้าหลวงใหญ่ได้เก็บจากหัวเมืองชายทะเลตะวันตก และเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อส่งให้กรุงเทพฯ ถูกสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์นำไปสร้างที่ทำการเจ้าเมืองหมดเป็นเวลาถึง ๒ ปี เมื่อกรมพระคลังสมบัติได้เรียกเงินกับเสนาบดีกลาโหม เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ซึ่งทำหน้าที่บังคับบัญชาข้าหลวงใหญ่ คือ พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชื่น บุนนาค) ทั้งสองคนซึ่งเป็นบุตรของสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ก็ไม่ทราบว่าจะทวงอย่างไร ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ พระยามนตรีสุริยวงศ์จึงขอลาออกจากตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ เมืองตรัง เพราะทนสภาพที่ถูกบีบบังคับไม่ไหว สมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ จึงได้เปลี่ยนแนวความคิดในการสร้างเมือง มาเป็นการทำนุบำรุงเมืองตรังแทนเมื่อได้รับข้อเสนอแนะจากเจ้าพระยาภานุวงศ์ (ท้วม บุนนาค) และในปีนี้เองปรากฏว่าสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ได้ถึงแก่อสัญกรรม แต่ก่อนถึง อสัญกรรม ได้มอบหมายเมืองตรังให้พระรัตนเศรษฐี (คอซิมกอง) เจ้าเมืองระนองเป็นผู้ดูแลเมืองตรัง และพระยาระนองหรือพระยารัตนเศรษฐี ก็ได้ทำนุบำรุงเมืองตรังแต่ก็ไม่ดีขึ้น เนื่องจากเมืองขาดทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แร่ดีบุกมีน้อย สถานที่ทั่วไปเหมาะกับการเกษตรซึ่งต้องใช้เวลาและทุนมาก ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ก็ได้ลาออกจากผู้ว่าราชการเมืองตรัง๓๔ เมืองตรังก็เลยอยู่ภายใต้การดูแลของข้าหลวงใหญ่ ซึ่งตั้งกองบัญชาการอยู่ที่ภูเก็ต คือ พระอนุรักษ์โยธา (กลิ่น) และพระสุรินทรามาตย์อยู่สองสมัย พระยาตรังภูมาภิบาล (เอี่ยม ณ นคร) มารับตำแหน่งในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ - ๒๔๓๔ เมืองตรังสมัยพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) ในปี ๒๔๓๓ รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสภาคใต้ ราษฎรจำนวน ๔,๐๐๐ ครอบครัว ถวายฎีกา ให้พระยาตรังคภูมาภิบาล (เอี่ยม ณ นคร) พ้นตำแหน่งเจ้าเมือง เนื่องจากกดขี่ข่มเหงราษฎรและเลี้ยงโจรผู้ร้าย๓๕ รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้าแต่งตั้ง พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ (คอซิมบี๊) จากเมืองกระบุรีมาเป็นเจ้าเมืองตรังตั้งแต่ปี ๒๔๓๔ ในช่วงนี้เมืองตรังเจริญมาก เพราะเจ้าเมืองส่งเสริมการเกษตรให้ราษฎรปลูกพืชผักและทำสวนพริก สวนยาง รวมทั้งจัดการจัดตั้งกองตำรวจภูธรขึ้นในเมืองตรัง และซื้อเรือกลไฟไว้ลาดตระเวณ ให้ความปลอดภัยทางน้ำ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการค้ากับต่างประเทศด้วย และยังตัดเส้นทางคมนาคมระหว่างเมืองพัทลุงมาเมืองตรังถึงท่าน้ำกันตัง ลดปัญหาโจรผู้ร้ายและสลัดรวมทั้งปัญหาชาวจีนที่มักจะชำระคดีกันเอง ทางด้านการค้ากับต่างประเทศได้ส่งสินค้าขายปีนัง จนกระทั่งเมืองตรังฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ดีสู่สภาพเดิม ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖๓๖ และได้กราบบังคมทูลขอย้ายเมืองตรังไปไว้ที่กันตัง โดยให้เหตุผลว่าเมืองตรังที่ควนธานีไม่เหมาะสมที่จะทำการค้า ยากแก่การทำนุบำรุงให้เจริญรุ่งเรือง ซึ่งเมืองตรังที่กันตังนั้นได้สร้างศาลากลางเป็นตึกใหญ่ ๒ ชั้น ๒ ข้างศาลากลางมีตึกชั้นเดียว ๒ หลัง เป็นศาลหลังหนึ่งเป็น ที่ว่าการอำเภอหลังหนึ่ง ปี พ.ศ. ๒๔๓๙ รัฐบาลได้แบ่งท้องที่การปกครองเรียกว่าข้อบังคับลักษณะการปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๕ ได้รวมเมืองตรังและเมืองปะเหลียนเข้าด้วยกัน แบ่งออกเป็น ๕ อำเภอคือ อำเภอบางรัก อำเภอเมือง (กันตัง) อำเภอเขาขาว (ห้วยยอด) อำเภอปะเหลียน อำเภอสิเกา มีตำบล ๑๐๙ ตำบล๓๗ สำหรับท่าเรือเทียบเรือนั้นเทียบได้เพียง ๖ ท่าคือ กันตัง สิเกา กลาเส ท่าพญา หยงสตาร์ เกาะสุกร๓๘ และยังให้ออกทะเบียนเลขเรือด้วย เพื่อป้องกันการปล้นเรือทั้งได้สร้าง โรงพยาบาลให้มิชชั่นนารีที่ทับเที่ยง ปี พ.ศ. ๒๔๔๕ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ย้ายไปเป็นสมุหเทศาภิบาล มณฑลภูเก็ต เจ้าเมืองตรังคนต่อมานั้นคือ พระยาเสนีณรงค์ฤทธิ์ (ถนอม บุญยเกตุ) พ.ศ. ๒๔๔๕ - ๒๔๔๘ พระสถลสถาน - พิทักษ์ (คออยู่เกียด ณ ระนอง) พ.ศ. ๒๔๔๘ - ๒๔๕๕ พระยาอุตรกิจพิจารณ์ (สุด) พ.ศ. ๒๔๔๕ - ๒๔๕๖ และพระสุนทรเทพกิจจารักษ์ พ.ศ. ๒๔๕๖ - ๒๔๕๗ เมื่อถึงสมัยพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สิน เทพหัสดินทร์) เมืองตรังก็ย้ายไปอยู่ที่ตำบลบางรัก บ้านทับเที่ยง ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรังในปัจจุบัน เมืองตรังช่วงหลังพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สิน เทพหัสดินทร์) ในช่วงสมัยที่พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สิน เทพหัสดินทร์) มาปกครองเมืองตรัง (๒๔๕๗ - ๒๔๖๑) พระวิชิตวงศ์วุฒิไกร (ม.ร.ว.สุทัศน์ สุทธิสุทัศน์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ได้กราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๖ ไปว่าเมืองตรัง ตั้งที่กันตังไม่เหมาะสมในทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากว่าข่าวสงครามโลก ครั้งที่ ๑ นั้นเรือดำน้ำเยอรมันชื่อเอ็มเดนได้ลอยลำยิงถล่มเกาะปีนัง พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกรเกรงว่าหากเกิดสงคราม อาจจะถูกยิงเช่นปีนัง จึงได้กราบถวายบังคมทูลขอพระราชทานบรมราชานุญาต ย้ายที่ว่าการจังหวัดไปตั้งที่ตำบลทับเที่ยง อำเภอบางรัก เมื่อรัชกาลที่ ๖ เสด็จหัวเมืองปักษ์ใต้ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ มาถึงจังหวัดตรัง ได้มาทำพิธีเปิดโรงเรียนประจำจังหวัดชายและพระราชทานนามว่า วิเชียรมาตุ และยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายที่ตั้งที่ทำการเมืองตรังจากตำบลกันตัง มาเป็นตำบลทับเที่ยงอำเภอบางรัก และพระราชทานชื่อที่พักประทับแรมว่า ตำหนักผ่อนกาย ใหม่ในปัจจุบันเป็นบริเวณ อนุสาวรีย์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) และที่กันตังนั้น ก็เปลี่ยนชื่อจากอำเภอเมืองเป็นอำเภอกันตัง ต่อมาสมัยของพระยาตรังภูมาภิบาล (เจิม ปัญยารชุม) ปี ๒๔๖๒ ได้สร้างศาลากลางจังหวัดตรังเป็นอาคารไม้ ซึ่งปัจจุบันได้รื้อแล้วสร้างอาคารคอนกรีต ๒ ชั้น และมีชั้น ๓ อยู่เพียง ช่วงเดียว ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดตรัง.กรุงเทพฯ : บพิธการพิมพ์ , ๒๕๒๘. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 08:59:27 กระบี่
ดินแดนบริเวณจังหวัดกระบี่ในยุคโบราณ เรื่องราวของดินแดนบริเวณจังหวัดกระบี่และดินแดนอื่นๆ ทั้งสองฟากฝั่งทะเลเป็นเรื่อง ที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จากการค้นพบเครื่องมือยุคหินเป็นจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ก็แสดงว่าถิ่นนี้เคยมีมนุษย์อาศัยกันมานานแล้วเมื่อหลายพันปีหรือหมื่นปี เครื่องมือหินที่พบบนแหลมมลายูทั้งหมดปรากฏว่าเป็นสิ่งที่ทำด้วยน้ำมือของคนสมัยหินจริงๆ ส่วนมากที่พบจะเป็นขวานหิน ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "ขวานฟ้า" สุด แสงวิเชียร กล่าวว่า "คนไทยมีความเชื่อว่าขวานฟ้าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ใช้รักษาโรคได้ เช่น พวกลมเพลมพัด ถ้าเอาขวานฟ้ามากดที่บวมจะทำให้ที่บวมยุบ ใช้ฝนกับน้ำเป็นยากินแก้ปวดท้อง ชาวภาคเหนือเอาไว้ใส่ในยุ้งบอกว่าข้าวจะไม่พร่อง ถ้าเอาตากปนไว้กับข้าวเปลือกเชื่อว่าไก่ป่าจะไม่ลงมากินข้าว ชาวภาคใต้เชื่อว่าถ้าเอาขวานฟ้าแช่ในน้ำที่จะเอาไปรดวัวชน วัวจะชนะ ในภาคกลางแถวกาญจนบุรีชาวบ้านแช่ไว้ในโอ่งน้ำกินบอกว่าจะทำให้น้ำเย็นน่ากิน บางคนบอกว่าเอาไว้ป้องกัน ฟ้าผ่า บางคนเอาผูกไว้ที่บั้นเอว หมอแผนโบราณใช้ไล่ผี โดยเอาไว้ใต้ที่นอนผู้ป่วย ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเชื่อว่าขวานหินขัดเป็นขวานของพระยาแถนที่อยู่บนฟ้า" ๑ ในจังหวัดกระบี่มีพบทั่วไปทั้งอำเภอเมือง อำเภออ่าวลึก อำเภอคลองท่อม นอกจากนี้แล้วสิ่งที่น่าศึกษาอีกประการหนึ่ง คือ ภาพเขียนสีบนผนังถ้ำ เช่น ที่ถ้ำผีหัวโต ที่อำเภออ่าวลึก ภาพเขียนสีในถ้ำไวกิ้งเกาะพีพี อำเภอเมือง ที่น่าสนใจคือ ภาพที่ถ้ำผีหัวโต ซึ่งมีทั้งรูปคนที่มีเพียงเส้นที่ขีดเป็นแขนขา และรูปมือที่ทาสีแล้วทาบลงไปบนพื้นผนัง บางภาพก็มีสภาพสมบูรณ์ทั้งภาพคน ภาพปลา ภาพนก รูปเขียนสีเหล่านี้นอกจากจะบอกให้เราทราบลักษณะศิลปในสมัยแรกเริ่มในประเทศไทยแล้ว เรายังจะทราบชีวิตความเป็นอยู่ การอพยพและอื่นๆ อีกด้วย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างขวานฟ้ากับภาพเขียนสีบนผนังถ้ำน่าจะเป็นยุคสมัยเดียวกัน และเป็นที่เชื่อถือกันว่า มนุษย์ในสมัยยุคหินนั้นอาศัยริมทะเลซึ่งมีอาหารอุดมกว่าบนดอนที่ไกลทะเล ชาติพันธุ์มนุษย์บริเวณนี้ก่อนอินเดียเข้ามา ดินแดนภาคใต้ของประเทศไทยตลอดแหลมมลายูก่อนที่จะมีอารยธรรมอื่นๆ เข้ามานั้น ได้เป็นที่อาศัยของมนุษย์ถึง 4 จำพวก คือ "๑. จำพวกที่ ๑ เรียกว่า กาฮาซี จำพวกนี้ผิวเนื้อดำ ตาโปนขาว ผมหยิก ร่างกายสูง ใบหน้าบานๆ ฟันแหลม ชอบกินเนื้อสัตว์และเนื้อคน มีนิสัยดุร้ายมาก ซึ่งไทยเราเรียกว่า ยักษ์ ๒. จำพวกที่ ๒ เรียกว่า ซาไก ผมหยิก ผิวดำ ตาขาวโปน ริมผีปากหนา จำพวกนี้ไม่ดุร้าย อยู่แห่งใดชุมนุมกันเป็นหมู่ ทำพะเพิงเป็นที่อาศัย ๓. จำพวกที่ ๓ เรียกว่า เซียมัง คล้ายกันกับพวกซาไก แต่พวกนี้ชอบอยู่บนเขาสูง ๔. จำพวกที่ ๔ เรียกว่า โอรังลาโวต (ชาวน้ำ) อาศัยอยู่ตามเกาะและชายทะเล มีเรือเป็นพาหนะเที่ยวเร่ร่อนอยู่ไม่เป็นที่"๒ ทั้ง ๔ กลุ่มนี้ที่สำคัญได้แก่ กลุ่มชาวน้ำ ซึ่งมีความเกี่ยวพันชาวมลายูและไทยอย่างลึกซึ้ง พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับพวกนี้ว่า "พวกชาติมลายูนี้ได้ตรวจดูตามพงศาวดารและประวัติศาสตร์ในภาษามลายูต่างๆ หลายเล่มก็ไม่ได้ความว่ามลายูสืบมาจากชาติใดแน่ เป็นแต่ความสันนิษฐานของผู้เขียนประวัติเหล่านี้ทั้งนั้น แต่อย่างไรก็ดีความว่า ชาติมลายูนี้มาจากโอรังลาโวต คือ ชาวน้ำเป็นที่แน่นอนผสมกับพวกต่างๆ ตามความสันนิษฐานของข้าพเจ้าได้ตรวจหลักฐานมาแล้วนั้น ชาติมลายูนี้มาจากชาวน้ำผสมกับชาติไทย เพราะเหตุว่าการที่มนุษย์มาผสมกับชาวน้ำนี้ก็ได้มีชาติไทยทางเมืองละโคว์ ชุมพร ไชยา ได้รุกรานลงมาก่อนชาติอื่นๆ มารวมผสมด้วย จริงอยู่มลายูได้ชื่อว่า มลายู จากการข้ามฟากของชาติยะวานั้น ก็นับว่าเป็นการได้ชื่อเมื่อภายหลัง แต่ชาติไทยลงมาก่อนราวประมาณ ๑๐๐๐ ปี"๓ ในบริเวณจังหวัดกระบี่ยังมีกลุ่มชาวน้ำอาศัยอยู่ทั่วไปตามเกาะแก่งริมฝั่งทะเล เช่น เกาะ ลันตา (ปูเลาส่าตั๊ก) เกาะพีพี (ปูเลาปิอะปี) เกาะศรีบอยา (ปูเลาพาย้า) เป็นต้น จากข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าชนชาติไทยได้อพยพมาอยู่ในดินแดนตลอดแหลมมลายูมาเป็นเวลาช้านานก่อนอินเดียเข้ามา เมื่อชาวอินเดียได้เข้ามาสู่ดินแดนเหล่านี้แล้วจึงเกิดชุมชนเมืองขึ้นอีกรูปแบบหนึ่งที่มีวัฒนธรรมอินเดียเข้ามาประสมประสาน ซึ่งภายหลังกลายเป็นอาณาจักรใหญ่ๆ มีเมืองสำคัญมากมายปรากฏในแผนที่โบราณ จดหมายเหตุของพ่อค้าและนักแสวงโชคชาวต่างชาติบันทึกไว้ ในตำแหน่งพิกัดของเมืองโบราณต่างๆ เท่าที่ปรากฏบนแผนที่ของปโตเลมี มีตำแหน่งที่น่าสนใจเกี่ยวข้องอยู่กับดินแดนบริเวณเมืองกระบี่ คือ ควนลูกปัดและเขาชวาปราบ ในเขตอำเภอคลองท่อมในปัจจุบัน หลักฐานที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่แตกต่างจากหลักฐานที่ปรากฏที่ตำบลทุ่งตึก หรือที่เชื่อกันว่า "เมืองตะโกลา" เช่นเดียวกัน นักศึกษาทางโบราณคดีควรที่จะสนใจศึกษา บางทีอาจจะพบหลักฐานเมืองสำคัญบางชื่อที่เรายังไม่สามารถหาตำแหน่งที่ถูกต้องอยู่ก็อาจเป็นได้ สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ชุมชนคลองท่อม เนื่องจากในบริเวณอำเภอคลองท่อมปัจจุบันได้มีการขุดพบลูกปัด ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ในบริเวณควนลูกปัด จากหลักฐานที่ได้ทำให้คิดว่าบริเวณนี้น่าจะเป็นแหล่งเมืองโบราณ แห่งหนึ่ง แต่ข้อยุติที่กำลังแสวงหาคือ ผู้ตั้งชุมชนแห่งนี้ได้แก่พวกใดมาตั้งหลักแหล่งตั้งแต่สมัยใด ในบริเวณควนลูกปัดนี้ได้พบหลักฐานอย่างอื่นอยู่ด้วย เช่น เครื่องมือหิน เครื่องปั้นดินเผา เครื่องประดับที่ทำจากหินและดินเผาแต่ชำรุดเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้แล้วยังพบรูปสัตว์ต่างๆ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ลิง ไก่ เต่า ฯลฯ บางรูปก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นรูปอะไร รูปสัตว์เหล่านี้อาจจะเป็นวัฒนธรรมด้านลัทธิศาสนาก็ได้ ส่วนรูปคนนั้นพบรูปหน้าตรงบ้าง หน้าตะแคงบ้าง เรียกกันทั่วไปว่า "อินเดียนแดง" แต่ท่านผู้รู้บางท่านกล่าวว่าเป็นรูป "พระสุริยเทพ" สมัยเมื่อ ๖-๗ พันปีมาแล้วของ อียิปต์ ท่านพระครูอาทรสังวรกิจ เจ้าอาวาสวัดคลองท่อมให้ข้อสังเกตว่าน่าจะเป็นอินเดียรุ่นเก่าก่อน ลูกปัดบางเม็ดมีลวดลายแปลกๆ เช่น คล้ายเครื่องหมายสวัสดิกะ นอกจากนี้แล้วยังพบตัวอักษรแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นภาษาใดแน่ หอยสังข์ทำด้วยทองคำ กำไลมือและเท้า แต่ส่วนมากชำรุดทั้งสิ้น ที่อยู่ในสภาพดีคือลูกปัดเท่านั้น นายมานิต วัลลิโภดม นักโบราณคดีคนหนึ่งได้ให้ความเห็นว่า "คลองท่อมเป็นลำน้ำเกิดจากเขาลูกหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ ใกล้แดนจังหวัดตรัง ยาวประมาณ ๒๕ กิโลเมตร ปากน้ำออกมหาสมุทรอินเดีย แถวปากน้ำมีเกาะที่น่าสนใจกล่าวชื่อคือ เกาะ นกคุ้ม เกาะศรีบอยา เกาะฮั้ง (หัง) ถนนเพชรเกษมตัดข้ามคลองท่อม ริมถนนมีวัดชื่อ วัดคลองท่อม พระครูอาทรสังวรกิจ (สวาทกันตสำโร) เป็นเจ้าอาวาส ที่ริมคลองท่อมข้างหลังวัดมีบริเวณสถานที่หนึ่งเรียกว่า ควนลูกปัด .เป็นหลักฐานที่สำคัญจุดหนึ่งเกี่ยวกับหลักฐานเรื่องชาวกรีก + โรมัน เข้ามาติดต่อค้าขายที่ปลายแหลมทอง๔ โดยสภาพทางภูมิศาสตร์แคว้นเสียม - ชวกะ หรือสุวรรณทวีป เป็นดินแดนอยู่ระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับทะเลจีนใต้ เป็นที่รู้จักแก่ชาวอินเดียมาก่อนพุทธกาล ศิลป- วัฒนธรรมใดๆ แม้แต่การค้าขายของอินเดียย่อมจะต้องมาตั้งหลักแหล่งบนผืนแผ่นดินนี้ก่อน แล้วจึงแผ่กระจายไปยังดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือ การขุดค้นโบราณวัตถุสถานบางแห่ง เช่น บ้านเชียง อำเภอหนองหาน อุดรธานี พบลูกปัดทำด้วยหินและแก้วหล่อ นักโบราณวิทยาลงความเห็นกันว่าเป็นของอียิปต์บ้าง กรีกหรือโรมันบ้าง มีสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า ควนลูกปัด อยู่ข้างวัดคลองท่อม อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ พบลูกปัดสีต่างๆ ทั้งดีและแตกมากมาย สิ่งที่น่าสนใจมากคือ เบ้าดินเผาชำรุด ๒ - ๓ เบ้า อันเป็นหลักฐานแสดงว่า ได้มีการหล่อหลอมลูกปัดแก้วมีสีและขนาดต่างๆ ณ ควนลูกปัดนี้เอง แล้วส่งไปจำหน่ายยังเมืองต่างๆ ลูกปัดเม็ดใดหล่อหลอมแตกร้าวเป็นของเสียก็ทิ้งไปในที่ใกล้ๆ โรงงาน"๕ การที่นักโบราณคดีให้ความเห็นไปทางอียิปต์ก็เพราะว่า ลักษณะของลูกปัดคลองท่อมเหมือนกับลูกปัดที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งขุดได้จากประเทศอียิปต์ สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับอียิปต์โบราณนั้น กาญจนาคพันธุ์ เขียนเล่าไว้ในหนังสือภูมิศาสตร์ วัดโพธิ์ว่า "ขึ้นวงศ์ที่ ๑๘ อียิปต์เจริญมากราว ๓๔๖๒ ปีมาแล้ว มีพระราชินีองค์หนึ่งชื่อ หัตเซปสุต หรือ หาตเษปเสตได้ครองเมือง โปรดให้จัดนายพานิช คุมกระบวนสำเภาออกค้าขายย่านทะเลแดง ขากลับได้นำเอาพวกไม้หอมต่างๆ ยางไม้ต่างๆ เครื่องเทศบรรทุกสำเภามาเต็มๆ ชาวอียิปต์เคยเข้ามาค้าขายกับพวกทมิฬอินเดียใต้ ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ พวกไม้หอม ยางไม้ เครื่องเทศนั้นปรากฏมาแต่โบราณดึกดำบรรพ์ว่ามีอุดมอยู่ทางแหลมอินโดจีนบ้านเรา เมื่ออียิปต์ลงสำเภามาค้าขายถึงอินเดียใต้ ก็ทำให้เชื่อว่าอียิปต์จะต้องมาถึงแหลมอินโดจีน และคงต้องติดต่อสัมพันธ์กับไทยสมัยไทยละว้าที่เป็นใหญ่อยู่ในแหลมอินโดจีน อย่างน้อยก็ตั้งแต่สมัยพระนางหัตเซปสุตนี้มาเป็นแน่"๖ นอกจากนี้ยังมีนิยายของอียิปต์หลายเรื่องที่เหมือนกับของไทยเรา เช่น เรื่องสองพี่น้อง "อะนูปูกับบายตี" เหมือนเรื่องหลวิชัย - คาวี ของเรา เรื่องกลาสีเรือแตกคล้ายเรื่องขุนสิงหลสาคร ในพงศาวดารเหนือ เรื่อง "สัตนี" คล้ายเรื่องสังข์ทองของเรามาก ความเหมือนระหว่างอียิปต์กับไทยตั้งแต่นิยาย นิทาน เกี่ยวโยงไปถึงภาษา ถ้อยคำ ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ อย่างน่าประหลาดอัศจรรย์ แสดงว่า อียิปต์กับไทยจะต้องได้ติดต่อกันทางทะเลจนมีความสัมพันธ์สนิทสนมสมัยหนึ่งในยุคดึกดำบรรพ์ราว ๓๐๐๐ ปีมาแล้ว๗ จากหลักฐานการพบเครื่องมือเบ้าหินลูกปัด เศษลูกปัดที่แตก ก้อนหินสีต่างๆ ลูกปัดชำรุด ที่ถอดจากเบ้าทิ้งไว้ จนจับกันเป็นพืดก็ยังมี แสดงว่าควนลูกปัดเป็นแหล่งผลิตแน่นอน ย่านคลองท่อมแต่เดิมคงจะกว้างขวางกว่าปัจจุบันมาก เรือสินค้าจะต้องผ่านไปมาสะดวก ปัญหาอยู่ที่ว่าผู้มาตั้งหลักแหล่งอยู่ ณ ที่นี้เป็นชาติใดอินเดียหรืออียิปต์ เพราะว่าทั้งสองชาติมีความสัมพันธ์กับไทยมาแต่โบราณกาล อินเดียอยู่ใกล้ไทยมากมีโอกาสมากกว่าในการถ่ายทอดวัฒนธรรม เรือสินค้าจากคลองท่อมย่อมออกทะเลได้ทั้ง ๒ ด้าน เพราะย่านนี้เคยมีการชุดพบซากเรือโบราณ สมอเรือ คุณเยี่ยมยง สังขยุทธิ์ สุรกิจบรรหาร นักค้นคว้าทางโบราณคดีคนหนึ่งของภาคใต้ได้ให้ความเห็นไว้ว่า "แหลมไทแผ่นดินนี้เป็นแหล่งย่านค้าขายของพ่อค้า และเป็นที่ท่องเที่ยวเผชิญโชคจากอินเดียและในย่านอาหรับได้ไปมาหาสู่ถึงกันอยู่แล้ว และทางด้านตะวันออกก็มีจีน ญวน ไปมาติดต่อถึงกันอยู่ ที่ทราบได้เพราะได้พบหัตถกรรมโบราณวัตถุของชาตินั้นๆ มีอายุสมัยก่อนพุทธกาล การศึกษาจากธรณีวิทยา ดินแดนบริเวณนี้มีลำน้ำใหญ่จากอ่าวบ้านดอนไปทะลุจังหวัดกระบี่ได้ ในสมัยก่อนที่ลำน้ำนี้ไม่ตื้นเขิน ทางทะเลตะวันตกมีร่องรอยลำน้ำเก่าอยู่ ๓ สาย - สายที่ ๑ ตามลำคลองกระบี่น้อย ไปออกคลองอีปันกับแม่น้ำหลวง (ตาปี) ออกอ่าวบ้านดอนได้ - สายที่ ๒ เข้าตามคลองปากาไส ออกคลองอีปัน และแม่น้ำหลวงได้เหมือนกัน - สายที่ ๓ ตามสายคลองท่อมออกคลองสินปุน ไปตามแม่น้ำหลวงเหมือนสายที่ ๑,๒ ต่อมาลำน้ำตื้นเขิน ทำให้บริเวณปลายคลองอีปัน คลองกระบี่น้อย กับคลองปากาไส เป็นดินดอนขึ้น เป็นการปิดกั้นให้ลำน้ำที่กล่าวแล้วตัดขาดจากกัน หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บริเวณยอดน้ำปากคลองมีชื่อว่า บ้านปากด่านอยู่ทุกวันนี้ สายคลองท่อมก็อยู่ในทำนองเดียวกับบริเวณปากคลองท่อมกับคลองสินปุน ลำน้ำขาดออกจากกันที่บริเวณเขาชวาปราบที่นี่มีซากเมืองเก่าอยู่ คำว่าชวาปราบมาจากคำสันสกฤตว่า "ทางน้ำสื่อสาร"๘ ชื่อเมืองคลองท่อมเดิมจะเรียกว่าอย่างไรไม่สามารถทราบได้ ในบรรดาเมืองเท่าที่ปรากฏในแผนที่เก่าๆ คัมภีร์และบันทึกการเดินทางของชาติต่างๆ จะรวมเมืองคลองท่อมเข้าไปด้วยหรือไม่ เช่น ข้อความที่ปรากฏในคัมภีร์มหานิเทศในมิลินทปัญหา ในจดหมายเหตุ ปโตเลมี จดหมายเหตุของจีนและอาหรับ เป็นต้น ชื่อเมืองๆ หนึ่งที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก คือ ในแผนที่ปโตเลมี คือ เมืองตะกั่วป่า หรือ ตะโกลา นั้น พิกัดในแผนที่ก็ไม่เป็นที่แน่นอนนักเพียงแต่บอกว่าอยู่ใต้ภูเก็ตลงไป อาจจะเป็นทุ่งตึก คลองท่อม หรือเมืองตรังก็อาจเป็นได้ อย่างไรก็ตาม ความผูกพันของการสร้างเมืองที่คลองท่อมนี้มีจดหมายเหตุตำนานเมืองนครศรีธรรมราชที่น่าสนใจอยู่ ๒ ฉบับ คือ ฉบับที่พระเสนานุชิตพบที่บ้านทุ่งตึก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และฉบับที่พระพิไชยเดชะพบที่วัดเวียงสระ อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ข้อความบางตอนคล้ายคลึงกัน เล่าว่า "ผู้สร้างเมืองตะกั่วป่าเป็นพราหมณ์ชาวอินเดียชื่อ พระยาศรีธรรมโศกราช (พระนามเดิมชื่อ พราหมณ์มาลี) มีพระอนุชาพระนามว่า พราหมณ์มาลา เป็นที่พระยาอุปราชอพยพลงเรือมาขึ้นที่บ้าน ทุ่งตึก เมื่อพุทธศักราช ๑๐๐๖ สร้างเมืองตะกั่วป่าขึ้นแต่ยังไม่ทันสำเร็จ . ก็ถูกข้าศึกรุกรานตีเมืองแตกต้องอพยพหนีข้ามเขาสกมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ตั้งเมืองชั่วคราวที่บ้านน้ำรอบให้นามเมืองใหม่ว่า "เมืองธาราวดี" แต่ปรากฏว่าเนื่องจากพื้นภูมิประเทศอยู่ในระหว่างภูเขาห้วยธารป่าดง ประกอบกับพวกชาวอินเดียผู้อพยพไปอยู่ได้ไม่นานเกิดผิดน้ำผิดอากาศ เกิดไข้ห่า (อหิวาตกโรค) ขึ้นในหมู่ผู้อพยพอย่างรุนแรง จำเป็นต้องรื้อถอนอพยพไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ไปตั้งเมืองชั่วคราวขึ้นอีก ที่เชิงเขาชวาปราบ๙ แต่ภูมิประเทศแถบเขาชวาปราบก็คล้ายกับที่เมืองธาราวดีอีก ไข้ห่าจึงยังไม่สงบต้องเลื่อนต่อไปหาชัยภูมิใหม่ ไปได้ที่บ้านเวียงสระ ได้ตั้งมั่นที่นั่นอีกหนหนึ่งแต่อยู่ไม่ได้หลายปีเพราะโรคภัยไข้เจ็บ ต้องรื้อถอนไปทางฝั่งทะเลตะวันออกไปพบหาดทรายแก้วกว้างใหญ่ ทำเลดีกว่า ที่ตั้งมาแล้ว มีชัยภูมิดีควรแก่การตั้งราชธานี จึงตั้งมั่นที่นั่น กลายเป็นบ้านเมืองสำคัญใหญ่โตเรียกว่า เมืองนครศรีธรรมราช มาจนตราบเท่าทุกวันนี้"๑๐ ในตำนานเมืองนครศรีธรรมราชเล่าไว้ข้อความคล้ายๆ กัน ความว่า "ครั้นต่อมาถึงกาลกำหนดที่ทำนายไว้ ให้บังเกิดไข้ห่าขึ้นที่เมืองหงษาวดี ผู้คนล้มตายมาก พระเจ้า ศรีธรรมโศกราชผู้ครองเมืองกับน้องชายชื่อ ธรนนท์ พาญาติวงศ์และไพร่พลสามหมื่นคนกับพระพุทธ คัมเภียร พระพุทธสาครผู้เป็นอาจารย์ เดินทางอพยพมาเจ็ดเดือนเศษถึงเขาชวาปราบ ก็ตั้งอยู่ ณ ที่นั้นแล้วให้สร้างวัดเวียงสระถวายแก่พระอาจารย์ทั้งสอง " ท่านพระครูอาทรสังวรกิจ เจ้าอาวาสวัดคลองท่อมได้เล่าว่าบริเวณควนลูกปัดนี้มีตำนานพื้นบ้านเล่ากันมาว่า "เดิมบริเวณนี้เป็นเมือง เจ้าเมืองชื่อ ขุนสาแหระ บ้านเมืองเต็มไปด้วยความสุขสมบูรณ์ พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีบุตรชายที่จะสืบสกุลต่อไป มีแต่ลูกสาวคนสวยเพียงคนเดียว ขุนสาแหระรักและหวงลูกสาวคนนี้มาก พยายามอบรมสั่งสอนให้อยู่ในขนบธรรมเนียมที่ดีงามแต่ในที่สุดลูกสาวก็ทำให้พ่อแม่เสียใจเป็นอย่างมาก เพราะนางลอบไปได้เสียกับมหาดเล็กภายในวังขุนสาแหระ ผู้เป็นพ่อโกรธมาก ถึงกับจับเอาบุคคลทั้งสองขังไว้ใต้อุโมงค์ ด้วยความโกรธแค้นขุนสาแหระสั่งให้จุดไฟเผาเมืองเสียด้วย ทรัพย์สินต่างๆ ที่นำไปไม่ได้ให้ทุบทำลายให้หมดสิ้น ไม่ต้องการให้เหลือไว้สำหรับใครอีกต่อไป คนรุ่นหลังเก็บได้ก็เป็นเพียงชิ้นส่วนเท่านั้น เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมอดไหม้ไปกับ พระเพลิงแล้ว ขุนสาแหระก็ชักชวนบริวารอพยพต่อไปทางทิศตะวันออก แต่ก็ไม่ปรากฏว่าไปตั้งเมืองใหม่ ที่ใด"๑๑ ปัญหาที่น่าศึกษาต่อไปคือ บริเวณเชิงเขาชวาปราบคือบริเวณใด ในปัจจุบันเขาชวาปราบกับควนลูกปัดอยู่ห่างกันประมาณ ๑๖ - ๒๐ กิโลเมตร แต่ในสมัยก่อนลำคลองคงจะกว้างขวางมาก เรือใหญ่ๆ คงจะผ่านไปมาสะดวก นายประทุม ชุ่มเพ็งพันธ์ ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า เขาชวาปราบกับควนลูกปัดมีความสัมพันธ์กันด้วยเหตุผล ๓ ประการ คือ "๑. เขาชวาปราบอยู่ใกล้กับเมืองคลองท่อมมากกว่า การเดินทางติดต่อทางบกทำได้ไม่ยาก และมีคลองสินปุนเป็นเส้นทางน้ำสำคัญที่สามารถเดินทางติดต่อกับเมืองเวียงสระ ฉวาง ลานสกา และนครศรีธรรมราชได้สะดวก ๒. ตามตำนานท้องถิ่นของเมืองคลองท่อมที่กล่าวว่า เจ้าเมืองคลองท่อมมีลูกสาวสวยคนโปรดคนหนึ่ง ลูกสาวเกิดมีชู้จึงเสียใจ โกรธมาก ได้ฆ่าลูกสาวและชายชู้แล้วฝังรวมกับทรัพย์สมบัติมหาศาลไว้ที่ใต้ควนลูกปัด (ที่ตั้งเมืองหรือเมืองท่า) เผาบ้านเมืองพินาศแล้วจึงอพยพเดินทางหายสาบสูญไปทางทิศตะวันออกซึ่งอาจเป็นการอพยพมาอยู่เขาชวาปราบก็ได้ บนเขาชวาปราบเป็นที่ราบเรียบโล่งเตียน เชื่อกันว่าพวกชวาเป็นผู้มาถากถางปรับที่คล้ายกับจะตั้งเมืองหรือทำอะไรสักอย่าง มีผู้พบเศษกระเบื้องถ้วยชามบ้าง ๓. จากคลองท่อมมีเส้นทางคมนาคมติดต่อกับเมืองที่ตั้งอยู่ฝั่งทะเลตะวันออกได้ คือเดินบกไปลงคลองสินปุน (ถ้าไม่ข้ามคลองลัดผ่านย่านทุ่งใหญ่ ไปทุ่งสงหรือฉวาง) แล้วล่องไปตามลำน้ำไปเวียงสระได้อย่างสะดวกมาก จากเวียงสระจึงไปฝั่งทะเลตะวันออก เช่น สิชล ท่าศาลา และนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นที่ราบชายฝั่งทะเลยาวเหยียด เป็นแหล่งที่ตั้งชุมชนโบราณตลอดชายฝั่งทะเล ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงเชื่อว่าเมืองคลองท่อมน่าจะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเมืองเวียงสระ โดยเมืองคลองท่อมทำหน้าที่เป็นท่าเรือ เป็นประตู (GATEWAY) ทางฝั่งทะเลตะวันตก เพื่อนำไปสู่เมืองเวียงสระและพุนพิน ที่ปากแม่น้ำตาปี (แม่น้ำหลวง)" ๑๒ การล่มสลายของเมืองคลองท่อมที่ควนลูกปัด จะเป็นไปด้วยสาเหตุข้อใดไม่มีใครทราบ แต่จากหลักฐานต่างๆ ที่พบในบริเวณนี้บ่งบอกให้ทราบว่า เมืองนี้มิได้ร้างไปตามกาลเวลา แต่เป็นการถูกทำลายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเป็นแน่ จากข้อสังเกต ๑. ถ้าขุดดินลึกลงไปมากๆ สภาพดินคล้ายกับถูกเผาหรือถูกเพลิงไหม้มาก่อน ๒. วัตถุต่างๆ ที่ขุดพบไม่ว่าจะเป็นลูกปัด แก้วสี เครื่องดินเผา เครื่องประดับ จะหาส่วนที่สมบูรณ์ได้ยาก แม้แต่ขวานหินที่พบที่ควนลูกปัดจะหักชำรุดเกือบทั้งสิ้น คล้ายกับว่าเจ้าของเดิมทุบทำลายก่อนอพยพหนีข้าศึก บ้านเมืองก็เผาผลาญเสียหมดสิ้นมิให้ใครเอาไปใช้ประโยชน์ได้อีก ข้อน่าสังเกตบางหลุมที่ขุดพบชิ้นส่วนกำไลขนาดใหญ่จำนวนมาก แต่ไม่สามารถนำมาต่อกันเข้าได้เลย ถ้าจะนำชิ้นส่วนมาต่อกันได้ก็มักจะเป็นชิ้นส่วนซึ่งได้จากหลุมที่อยู่ห่างไกลออกไป เหมือนกับว่าเมื่อทุบทำลายแล้วนำไปทิ้งคนละทิศคนละทาง ท่านพระครูอาทรสังวรกิจให้ความเห็นเรื่องชื่อ "คลองท่อม" ว่าน่าจะมาจากชื่อ "คลองทุ่ม (ทิ้ง)" หมายถึง บ้านเมืองที่ทิ้งร้างเสียหรือทุ่มบ้านทุ่มเมือง คลองท่อมเป็นแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านควนลูกปัด ลำคลองคดเคี้ยวมากมีวังน้ำวนอยู่ ๒ แห่ง คือ วังแก้มซอนกับวังผี วังแก้มซอนน้ำลึกมาก เคยพบซากเรือโบราณเมื่อปี ๒๕๐๑ ชื่อวังนี้แต่เดิมอาจเป็นวังแกล้งซ่อนก็เป็นได้ คือ ซ่อนสมบัติทรัพย์สินเงินทองเอาไว้ ส่วนวังผีก็เป็นวังน้ำลึก เล่ากันว่าถ้าจับสัตว์น้ำจากวังนี้ไปกินเป็นอาหารจะเกิดอาเพศเหตุการณ์ต่างๆ ในวังทั้งสองมีวัตถุโบราณจมอยู่มาก เรือบรรทุกสมบัติอาจล่มลง ณ ที่นี้ก็เป็นได้ วังผีจึงเปรียบเสมือน "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" นั่นเอง ซึ่งทรัพย์สมบัติเหล่านั้นยังหลงเหลือมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ปัจจุบันคลองท่อมกำลังจะถูกทอดทิ้งเช่นกับอดีต วัตถุโบราณที่หลงเหลือกำลังถูกทำลายครั้งสุดท้าย และในครั้งนี้จะไม่มีอะไรเหลือไว้ให้นักศึกษาค้นคว้าอีกเลยเพราะลูกหลานไทยกำลังขายอดีตของตนไปสู่มือพ่อค้า แม้แต่ "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ก็ไม่สามารถจะพิทักษ์ทรัพย์สินเหล่านี้ไว้ได้ กระบี่ในอาณาจักรนครศรีธรรมราช ชุมชนนครศรีธรรมราช ณ หาดทรายแก้วจะมีมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานเด่นชัด ทราบแต่เพียงในตำนานเมืองนครศรีธรรมราชว่า พระยาศรีธรรมโศกราชเป็นผู้สร้างเมืองนี้และปรากฏชื่อในคัมภีร์มหานิเทศติสสเมตเตยยสูตร เรียกเมืองนี้ว่า "ตามพรลิงค์" หรือ ตมพลิงคม" ในจดหมายเหตุจีนของหลวงจีนอี้จิง เรียกว่า "ตั้งมาหลิง" เมื่อได้จัดการปกครองมั่นคงแล้ว ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางไปโดยรอบ ดังปรากฏในปูมโหรว่า มีเมือง 12 นักษัตร ใช้รูปสัตว์ต่างๆ เป็นตราประจำเมืองขึ้นต่อนครศรีธรรมราชโดยตรง คือ ๑. เมืองสายบุรี ตราหนู ๒. เมืองปัตตานี ตราวัว ๓. เมืองกะลันตัน ตราเสือ ๔. เมืองปะหัง ตรากระต่าย ๕. เมืองไทรบุรี ตรางูใหญ่ ๖. เมืองพัทลุง ตรางูเล็ก ๗. เมืองตรัง ตราม้า หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:00:18 กระบี่ ๒
๘. เมืองชุมพร ตราแพะ ๙. เมืองบันไทยสมอ ตราลิง ๑๐. เมืองสะอุเลา (สงขลา) ตราไก่ ๑๑. เมืองตะกั่วป่า,ถลาง ตราหมา ๑๒. เมืองกระ (บุรี) ตราหมู นักค้นคว้าทางโบราณคดีให้ความเห็นว่า เมืองกระบี่นั้นมิได้เป็นเมืองใหม่เลย มีสภาพเป็นบ้านเมืองแล้วตั้งแต่ พ.ศ.๙๐๐ เป็นย่านปากน้ำสำคัญไปสู่สุราษฎร์ธานีได้ และเมืองกระบี่ในสมัย มหาอาณาจักรดินแดง๑๓ ก็เป็นเมือง ๑๒ นักษัตร ชื่อว่า "บันไทยสมอ" หรือ "ปันท้ายหมอ" ใช้ตราลิง คำว่า "กระบี่" ไม่ใช่คำใหม่แต่มีมานานแล้ว เช่น คลองกระบี่ใหญ่ กระบี่น้อย เมืองปากาไส คำว่า "ปากา" แปลว่า "กระบี่" คือ ดาบ การได้ชื่อว่า "บันไทยสมอ" นั้นเป็นคำเรียกเพี้ยนมาจากชื่อบ้านเมืองที่ตั้งขึ้นจากสภาพ ความเป็นอยู่ของท้องถิ่นภาษาไทยปักษ์ใต้ ในจังหวัดกระบี่มีบ้านหนึ่งชื่อ "บ้านไสไทย" คำว่า "ไส" เป็นคำเรียกชื่อแหล่งบ้าน ที่อยู่ ที่ทำกิน ซึ่งหักร้างถางพงในการเพาะปลูกหรือทำไร่มาแล้ว ต่อจากบ้าน ไสไทยมีบึงใหญ่เรียกกันว่า "หนองเล" ต่อจากนั้นไปเรียกว่า "บ้านในสระ" คำว่า "สมอ" คือ น้ำเต็ม ปริ่มสระ ทั้งนี้เป็นคำไทยปักษ์ใต้ บ้าน (ไส) ไทยส(ระ)มอ เห็นว่า บ้านเป็น "บัน" เพราะพูดเสียงห้วนไป แล้ว "ไส" ขาดตกไป เป็น "บันไทย" และ "บัน" คือ เมืองที่อยู่, ที่สำนัก เมื่อเป็น บันไทยสมอ คือ "บ้านไทยที่มีสระน้ำมอปริ่ม"๑๔ การที่นักค้นคว้าเหล่านี้ให้ความเห็นว่ากระบี่เป็นบ้านเมืองแล้วมาตั้งแต่ พ.ศ.๙๐๐ นั้น คงจะพิจารณาจากหลักฐานต่างๆ ที่ค้นพบ เช่น หลักฐานจากควนลูกปัดก็ดี พระพุทธรูป พระพิมพ์ รูปปฏิมากรรมอื่นๆ ที่พบตามถ้ำต่างๆ ในจังหวัดกระบี่มีมากมาย ชาวกระบี่หลายท่านที่ค้นพบรูปปฏิมากรรมต่างๆ ที่นำมาเก็บรักษาไว้เป็นส่วนตัว ที่พบมากได้แก่ รูปฤาษีสร้างด้วยโลหะ ส่วนพระพิมพ์นั้นมักจะเป็นพระพิมพ์ดินดิบเป็นแบบคุปตะ ก็เข้าเค้ากับหลักฐานที่ว่า ในศตวรรษที่ ๔ แห่ง คริสตกาล (ราว พ.ศ. ๙๐๐) งานออกแสวงหาดินแดนเพื่อตั้งบ้านเมืองของชาติอินเดียได้เป็นไปอย่างกว้างขวางทั่วดินแดนสุวรรณภูมิ ในราว พ.ศ. ๑๐๐๐ เป็นที่เชื่อได้ว่า พวกอินเดียทางบริเวณปากน้ำคงคาได้มายังสุวรรณทวีป เพราะปรากฏว่าพระพุทธรูปแบบคุปตะมีอยู่ทั่วไปตลอดแหลมมลายู เกิดอาณาจักรต่างๆ ขึ้นมามากมาย พวกนี้ได้นำเอานักบวช ช่างปฏิมากรรมมาด้วย อันเป็นเหตุให้เกิดพระพุทธรูป เทวรูป และ รูปปฏิมากรรมอื่นๆ ส่วนสภาพเมืองเล็กๆ ในสมัยก่อนคงไม่มีสิ่งก่อสร้างที่ถาวร นอกจากใช้วัสดุพื้นเมือง จึงไม่ค่อยจะเหลือหลักฐานอะไรมากมายในด้านการก่อสร้าง บทบาททางการเมืองของกระบี่ในประวัติศาสตร์ไม่มีอะไรมากนัก ทั้งนี้เพราะผนวกอยู่กับอาณาจักรนครศรีธรรมราชมาตลอดจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จากการแสวงหาดินแดนของชาวอินเดีย ซึ่งต่อมาทำให้อาณาจักรนครศรีธรรมราชต้องประสบศึกใหญ่ที่ต้องเดือดร้อนกันทั่วไป คือ เมื่อราเชนทร์โจฬะกษัตริย์อินเดียใต้ยกทัพมาตีแหลมไทเมื่อ พ.ศ. ๑๕๖๗ อาณาจักรไทยทางใต้ คือ อาณาจักรตามพรลิงค์หรือเมืองนครศรีธรรมราชต้องตกเป็นประเทศราชของเป็นเวลาถึง ๒๐ ปี กล่าวกันว่าในด้านฝั่งทะเลตะวันตกนี้ พวกอินเดียได้ยึดเอาเกาะศรีบอยาและเขาชวาปราบเป็นแหล่งที่ตั้ง ฐานทัพ เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่จะเข้าโจมตีเมืองที่อยู่ใกล้เคียงได้สะดวก นครศรีธรรมราชได้หลุดพ้นจากอำนาจการปกครองของอินเดียเมื่อ พ.ศ. ๑๕๘๗ ในสมัยอาณาจักรศรีวิชัยเรืองอำนาจนครศรีธรรมราชก็เป็นรัฐของอาณาจักรศรีวิชัย เมื่อศรีวิชัยเสื่อมอาณาจักรนครศรีธรรมราชก็เป็นอิสระจนกระทั่งถึงสมัยไทยรวมไทย พระภัทรศีลสังวร (ช่วง อตถเวที) นักค้นคว้าทางโบราณคดีเมืองใต้อีกท่านหนึ่งให้ความเห็นเรื่องการรวมชาติไทยไว้ว่า "เริ่มด้วยอาณาจักรอู่ทองตีอาณาจักรศิริธรรมพ่าย อาณาจักรสุโขทัยตีอาณาจักรอู่ทองพ่าย อาณาจักรศิริธรรมไม่ยอมอ่อนน้อม อาณาจักรสุโขทัยรวมกำลังอู่ทองยกลงมาตีอาณาจักรศิริธรรมพ่าย พ.ศ. ๑๘๒๓ ท่านบัณฑิตแต่งประวัติศาสตร์ไทยไม่เคยรู้เรื่องไทยใต้ ก็จับเอาเหตุที่พ่อขุนรามคำแหงกรีฑาทัพลงมาตีอาณาจักรศิริธรรมได้ตอนนี้ว่า คนไทยลงมาครอบครองแหลมไทยตอนใต้ในระยะเวลากาลนี้เสีย ก่อนจากนี้คนที่อยู่ในแหลมไทยตอนใต้เป็นแขกอินเดีย มอญ เขมร มลายู เขาครอบครองอยู่ เป็นอันว่าสุดแล้วแต่ท่านบัณฑิตจะเดาสวดเอา ตามที่จริงที่ถูกนั้นตอนระยะกาล พ.ศ.๑๘๒๓ เป็นเวลาที่ชนเผ่าเชื้อชาติไทยเกิดความรู้สึกว่าจะต้องรวมพวกตั้งเป็นประเทศชาติเพื่อความทรงอยู่ ดังที่เราทุกคนรับมรดกคือประเทศชาติอยู่บัดนี้ คนไทยได้มีอยู่ประจำถิ่นในแหลมไทยตอนใต้มาเป็นพันๆ ปีแล้ว ผู้แต่งประวัติศาสตร์ไทยถ้าเทียบกับการเล่นการพนันแล้ว แพ้จนกระทั่งกะถึงยกตายายให้เพื่อนหมด ตอนระยะกาลนี้เป็นเวลาที่ไทย ๓ เส้า คือ อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรอู่ทอง อาณาจักรศิริธรรม รวมกันเป็นเอกภาพ คือ เป็นไทยพวกเดียวกัน "๑๕ สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังกล่าวมาแล้วว่าดินแดนที่เป็นจังหวัดกระบี่ในปัจจุบันขึ้นอยู่กับอาณาจักรนครศรีธรรมราช หรือ "ตามพรลิงค์" ซึ่งอาณาจักรเขตกว้างขวางทั้งสองฟากฝั่งทะเล ดังนี้ "ทิศเหนือจดเมืองมลิวัลย์ในจังหวัดมะริดของประเทศพม่าและจังหวัดชุมพร ทิศตะวันออก จดทะเลอ่าวไทย ทิศตะวันตก จดช่องมะละกาและทะเลอันดามัน ทิศใต้จดเมืองปัตตานี (ลังกาสุกะ) และเมืองไทรบุรี (เกดาห์)"๑๖ อาณาเขตของนครศรีธรรมราชนี้ไม่แน่นอนตายตัว เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย บทบาททางการเมืองของกระบี่ในยุคกรุงศรีอยุธยานั้นไม่มี เพราะจะเป็นบทบาทของเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยพระรามาธิบดี ที่ ๑ นครศรีธรรมราชอยู่ในฐานะ "เมืองประเทศราช" หรือ "เมืองพระยามหานคร" ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการไปยังกรุงศรีอยุธยา ประชากรของหัวเมืองปักษ์ใต้ครั้งนั้นก็คงจะไม่มากมายนักเพราะปรากฏว่าในสมัยพระราเมศวรได้มีการกวาดต้อนครัวเรือนทางเชียงใหม่มาไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราชและหัวเมืองใกล้เคียง ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ นครศรีธรรมราชได้เปลี่ยนฐานะจากหัวเมืองพระยามหานครมาเป็นหัวเมืองเอก ให้เจ้าเมืองได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช จากความไม่สงบทางการเมืองทำให้เมืองนครศรีธรรมราชเป็นกบฏต่อกรุงศรีอยุธยา ๒ ครั้ง คือ ในสมัยพระเจ้าปราสาททองและสมัยพระเพทราชาเมื่อทางอยุธยาปราบนครศรีธรรมราชได้ก็ไม่สู้จะวางใจเมืองนครมากนัก เจ้าเมืองนครจึงถูกลดฐานะลงมาเป็น "ผู้รั้งเมือง" อยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาสมัยพระเจ้าบรมโกษฐ์ทรงเล็งเห็นว่าเมืองนครเป็นเมืองใหญ่ที่มีบทบาทควบคุมหัวเมืองทางปักษ์ใต้อยู่ เห็นควรแต่งตั้งระหว่างเมืองนครกับกรุงศรีอยุธยามาสิ้นสุดลงเมื่อเสียกรุงครั้งที่ ๒ เจ้าเมืองนครก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ในนาม "ชุมนุม เจ้านครศรีธรรมราช" เมืองกระบี่ในยุคนี้เป็นเพียงชุมชนเล็กๆ ที่มีประชาชนอาศัยอยู่กระจัดกระจายทั่วไป พื้นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นป่าดงที่เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์อยู่มากมาย รวมอยู่ในอาณาเขตเมืองนครศรีธรรมราช สมัยกรุงธนบุรี เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีกู้อิสรภาพและตั้งกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงแล้ว ได้ยกทัพไปปราบปรามชุมนุมต่างๆ ทั้งตั้งตัวเป็นใหญ่ และโปรดเกล้าฯ ให้พระยาจักรี (แขก), พระยายมราช, พระยาศรีพิพัฒน์, พระยาเพชรบุรี ยกทัพมาตีชุมนุมเจ้านครด้วยเกรงว่าจะเกิดความยุ่งยากภายหลัง เพราะภาคใต้พรักพร้อมไปด้วยผู้คนและเสบียงอาหาร และอาณาเขตติดทะเลพอจะหาอาวุธได้ง่าย เมื่อปราบเมืองนครได้แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าหลานเธอเจ้านราสุริวงค์มาครองตำแหน่งและยกฐานะเมืองนครเป็นประเทศราชมีอำนาจปกครองหัวเมืองมลายูและหัวเมืองชายทะเลหน้านอกทั้งหมด เมื่อเจ้านราสุริวงค์ถึงแก่พิลาลัยแล้ว พระเจ้ากรุงธนจึงแต่งตั้งให้เจ้าพระยานคร (หนู) ซึ่งเข้ามารับราชการในกรุงธนบุรีให้ไปครองนครตามเดิม ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองนครกับกรุงธนบุรีเป็นไปอย่างราบรื่นจนสิ้นสมัย กระบี่ในสมัยนี้ก็ยังเป็นชุมนุมย่อยๆ อยู่เช่นเดิมผนวกอยู่กับเมืองนครศรีธรรมราชตลอดมา เมืองกระบี่ที่มีอาณาเขตเป็นของตนเองจริงๆ ก็ในราวสมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่ชุมชนแห่งนี้มี ผู้คนเข้ามาอาศัยมากขึ้นและกลายเป็นแขวงเมืองปกาสัย ดังจะได้กล่าวต่อไป กระบี่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แขวงเมืองปกาไส ตามประวัติกล่าวว่าเมืองกระบี่แต่เดิมเรียกว่า "เมืองกาไส" หรือ "แขวงเมืองปกาไส" ขึ้นต่อเมืองนครศรีธรรมราช แขวงเมืองปกาไสนี้เกิดเป็นชุมชนขึ้นจากเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช โปรดให้พระปลัดเมืองมาตั้งเพนียดจับช้างเพื่อส่งไปเมืองนคร กระบี่ในสมัยนั้นคงจะเต็มไปด้วยป่าทึกอุดมไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งช้างซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ช้างนอกจากจะจับมาเพื่อใช้งานแล้วยังส่งไปจำหน่ายต่างประเทศอีกด้วย ท่าเรือที่สำคัญในการส่งช้างไปขายต่างประเทศ ได้แก่ เมืองตรัง นายมานิต วัลลิโภดม กล่าวถึงเส้นทางสายนี้ไว้ว่า "เรือสินค้าย่อมขึ้นล่องตามลำน้ำถึงเมืองตรังยุคแรกหรือยุคกรุงธานีได้สะดวกสบาย จากนั้นขนถ่ายสินค้าขึ้นบกแล้วลำเลียงไปด้วยกำลังสัตว์ เช่น ช้าง หรือล้อเลื่อนเดินทางไปยังหมู่บ้าน (ทะ) เล ในอำเภอทุ่งสง แล้วขนถ่ายลงเรือที่คลองสินปูนล่องเข้าแม่น้ำหลวงไปยังอ่าวบ้านดอน นำขึ้นบรรทุกเรือสำเภาที่ค้าขายทางทะเลจีนและโดยทำนองเดียวกันขนถ่ายจากอ่าวบ้านดอนไปปากน้ำตรังทางมหาสมุทรอินเดีย หากไม่ลงเรือที่คลองสินปูนจะลำเลียงทางบกผ่านทุ่งสง - ร่อนพิบูลย์ ไปชายฝั่ง เปริเมาลาอันภายหลังต่อมาเป็นที่ตั้งเมืองนครศรีธรรมราชก็ได้ ทางสายนี้ข้าพเจ้าเรียกว่า "เส้นทางเจ้าพระยานครค้าช้าง" ก็เป็นที่รู้จักกันดี "๑๗ เส้นทางอีกสายหนึ่งที่เชื่อกันว่าเป็นทางค้าขายโบราณ ได้แก่ บริเวณอำเภออ่าวลึกไปออกแม่น้ำตาปีได้เช่นกัน ทางนี้แต่เดิมเรียกกันว่า "ปากพนม" ท้องที่ปากพนมนั้น ในหนังสือประชุมพงศาวดาร เล่ม ๒ กล่าวว่า "ท้องที่ปากพนมข้างฝ่ายใต้ลงไปต่อกับเมืองกาญจนดิฐเทียมคลองบางจาก ปากคลองบางจากลงไปข้างใต้น้ำเป็นที่เมืองกาญจนดิฐ อำเภอขวัญ คลองบางจากระยะกับบ้านวังตาขุนไปหน่อยหนึ่งฝ่ายข้างเหนือน้ำตามลำคลองศกขึ้นไปเพียงคลองขนายฤาษี ปลายคลองขนายฤาษีไปจดภูเขาศก ปลายภูเขาศกข้างหัวนอนเป็นที่เมืองตะกั่วป่า อำเภอขุนภักดีคงคา ปากภูเขาศกข้างใต้สตีนเป็น ที่พนม.."๑๘ บริเวณดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของอำเภอปากลาว จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งต่อมาเมื่อมีการปักปันเขตจังหวัดเป็นที่แน่นอนภายหลังได้รวมเอาท้องที่ปากลาวบางส่วนมาขึ้นกับจังหวัดกระบี่ คือ อำเภออ่าวลึกและอำเภอปลายพระยาในปัจจุบัน แต่เดิมเรือที่แล่นจะมาจอดที่บ้านปากลาว แล้วตรงไปยังบ้านปากพนมซึ่งเป็นจุดรวมของคลอง ๒ สาย คือ คลองลึกและคลองพนม ข้ามลำคลองผ่านไปหลายตำบลล่องไปตามแม่น้ำพุมดวงไปออกแม่น้ำตาปีที่อ่าวบ้านดอน เส้นทางตัดข้ามแหลมมลายูสายนี้อาจเดินบกได้โดยสะดวกตลอด เพราะเป็นเส้นทางเดินกันมาก่อน การเดินทัพข้ามแหลมและการเดินทางไปตรวจราชการหัวเมืองฝ่ายใต้ของเจ้านายฝ่ายปกครองสมัยก่อนก็ใช้เส้นทางนี้ สำหรับเจ้าพระยานครที่มีชื่อเสียงมากในเรื่องการปกครอง การทูตและการค้าของเมืองนครนั้น ได้แก่ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ซึ่งปกครองเมืองนครประมาณปี พ.ศ.๒๓๕๔ ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สันนิษฐานว่าชุมชนของพระปลัดเมืองที่มาตั้งเพนียดจับช้างคงจะเกิดขึ้นในช่วงระยะนี้ กิจการค้าช้างของเจ้าพระยานครฯ คงจะก้าวหน้ามาก เพราะสามารถต่อเรือขนาดใหญ่ได้ ตามประวัติกล่าวว่า "เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) มีความเชี่ยวชาญในการต่อเรือมาก คือ ได้ต่อเรือกำปั่นหลวงสำหรับบรรทุกช้างไปขายต่างประเทศ ทำให้ประเทศชาติมีรายได้มาก และที่สำคัญคือ ได้ต่อเรือรบขนาดย่อมไปจนถึงเรือรบขนาดใหญ่ที่ต้องใช้กรรเชียง ๒ ชั้น เรือรบที่ต่อก็มีขนาดใหญ่กว่าที่เคยปรากฏมาก่อน เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ต่อเรือรบและเรือลาดตระเวนเหล่านี้ที่เมืองตรังและเมืองสตูลเมื่อ พ.ศ.๒๓๕๒ - ๒๓๕๔ ครั้งหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ.๒๓๖๔ - ๒๓๖๖ ได้ต่อเรือรบถึง ๑๕๐ ลำ.."๑๙ คณะของพระปลัดได้มาตั้งเพนียดจับช้างอยู่เป็นเวลานาน ผู้คนก็อพยพตามเข้าไปตั้งหลักแหล่งหักร้างถางพงมากขึ้นจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ ซึ่งต่อมาได้ยกฐานะขึ้นเมืองน้อยๆ เรียกว่า "แขวงเมืองกาไส" หรือ "ปกาไส"๒๐ จากปกาไสถึงกระบี่ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๑๕ ตรงกับสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพิจารณาเห็นว่าแขวงเมืองปกาไสมีผู้คนมากขึ้น มีความเจริญพอสมควรที่จะยกฐานะเป็นเมืองได้ จึงโปรดฯ ให้ยกเป็นเมืองหรือจังหวัด ชื่อว่า "กระบี่" ในครั้งแรกมี ๔ อำเภอ คือ ๑. อำเภอปากลาว (เดิมขึ้นอยู่กับจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลนาเหนือ อำเภออ่าวลึก) ๒. อำเภอคลองพน ๓. อำเภอเกาะลันตา ๔. อำเภอเมือง ซึ่งอำเภอนี้ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง คือ จากอำเภอปากลาว เป็นอำเภออ่าวลึก จากอำเภอคลองพนเป็นอำเภอคลองท่อม ตั้งศาลากลางซึ่งเป็นที่ทำการรัฐบาลที่บ้านตลาดเก่า ตำบลกระบี่ใหญ่ แต่โดยฐานะของเมืองยังคงเป็นเมืองออกขึ้นอยู่กับเมืองนครศรีธรรมราช โดยมีหลวงเทพเสนาเป็น เจ้าเมืองคนแรก ต่อมาอีก ๓ ปี คือ พ.ศ.๒๔๑๘ โปรดฯ ให้เมืองกระบี่เป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ.๒๔๔๓ พระยาคงคาธาราธิบดี ครั้งยังมีบรรดาศักดิ์เป็น "พระพนธิพยุหสงคราม" ได้ย้ายเมืองมาตั้ง ณ ตำบลปากน้ำ คือ ตัวจังหวัดในปัจจุบัน ความเจริญเติบโตของเมืองเป็นไปอย่างล่าช้ามาก จะเป็นด้วยมีทรัพยากรน้อยไปก็เป็นได้ สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในจดหมายเหตุเมื่อคราวเสด็จประพาสเมืองกระบี่ เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๒ ตอนหนึ่งว่า "ครั้นเวลา ๔ โมงเศษ เรือทอดสมอที่หน้าจวน พระแก้วโกรพ ผู้ว่าราชการเมืองกระบี่ได้ลงไปเฝ้าในเรือ เชิญเสด็จขึ้นบก เสด็จไปขึ้นที่ตะพานเจ้าฟ้า ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนลพบุรีราเมศวร์ได้ประทานนามไว้ข้าราชการเฝ้าแล้ว ได้เลยเสด็จทอดพระเนตรสถานที่ราชการต่างๆ ซึ่งทำเป็นที่ใช้ ชั่วคราวทั้งสิ้น เรือนจำตามบรรดาที่เคยเห็นมาแล้วยังไม่เห็นแห่งใดที่รูปร่างเป็นคุกน้อยเท่าเรือนจำที่เมืองกระบี่นี้เลย อย่าว่าแต่กำแพงแม้แต่รั้วก็ไม่มีล้อม แต่ถึงเช่นนั้นก็เห็นจะไม่ทำให้ผู้ที่ต้องไปถูกขังอยู่ในนั้นรู้สึกเป็นคุกน้อยลงเลย ที่ตั้งเมืองอยู่เดี๋ยวนี้เรียกว่า ตำบลบ้านปากน้ำ เมืองอยู่บนเนินริมน้ำ ที่อยู่ข้างจะแจ้งอยู่สักหน่อย ตลาดก็เ..เซนเซอร์..่ยวเหลือที่จะเ..เซนเซอร์..่ยว "๒๑ คำว่า "กระบี่" ตราประจำจังหวัดของกระบี่เป็นรูปภูเขาและมีดาบไขว้ ตามความหมาย "กระบี่" คือ ดาบ แต่อย่างไรก็ตามชื่อบ้านนามเมืองเกือบทุกแห่งมักจะมีแหล่งที่มา หรือไม่ก็มักจะมีนิทานปรัมปราของพื้นเมืองเข้ามาประกอบอยู่เสมอ ผู้แต่งอาจจะแต่งขึ้นภายหลังเพื่อให้สอดคล้องกับสถานที่ก็เป็นได้ สำหรับสถานที่ในจังหวัดกระบี่ก็มีตำนานเก่าเล่ากันอยู่มากมาย จึงของยกเอานิทานท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชื่อกระบี่มาบันทึกลงไว้สัก ๒ เรื่อง ดังนี้ ตำนานอ่าวพระนาง กาลครั้งหนึ่งยังมีหมู่บ้านใหญ่ ๒ หมู่บ้าน ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเล บ้านหนึ่งมีหัวหน้าชื่อ ตายมดึง เมียชื่อ ยายรำพึง อีกบ้านหนึ่งหัวหน้าชื่อ ตาวาปราบ เมียชื่อ บามัย มีลูกชายชื่อ "บุญ" ทั้งสองหมู่บ้านเป็นอริต่อกัน ยายรำพึงนั้นอยากจะได้ลูกสาวไว้เชยชมสักคนหนึ่ง จึงไปบนบานศาลกล่าว ร้อนถึงพญานาคผู้เป็นเจ้ารักษาทองทะเลมาบันดาลให้ยายรำพึงมีลูกสาวได้สมปรารถนา แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อนางเป็นสาวแล้วจะต้องให้แต่งงานกับลูกชายของตนซึ่งมักแปลงกายเป็นมนุษย์ขึ้นมาท่องเที่ยวอยู่เสมอ สองตายายก็รับสัญญา หลังจากนั้นไม่นานยายรำพึง ก็ได้ลูกสาวสมใจให้ชื่อว่า "นาง" ต่อมาเมื่อลูกๆ โตขึ้นเป็นหนุ่มสาว บุญซึ่งเป็นลูกชายของตาวาปราบก็ไปรักชอบกับ "นาง" อ้อนวอนให้ตาวาปราบไปขอคืนดีกับตายมดึง และขอให้ "นาง" ได้แต่งงานกับ "บุญ" ด้วยความรักลูก ตาวาปราบยอมลดทิฐิไปขอนาง ลูกสาวตายมดึง ฝ่ายตายมดึงก็อยากจะให้ลูกสาวแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปเสียที จึงตกลงยกลูกสาวให้ โดยลืมสัญญาที่ให้ไว้กับพญานาค หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:00:41 กระบี่ ๓
เมื่อวันแต่งงานมาถึงฝ่ายเจ้าบ่าวก็จัดกระบวนขันหมากยาวเหยียดมาทางชายทะเล นำโดยตาวาปราบสะพายดาบไว้บนบ่าทั้งซ้ายขวาเล่มหนึ่งใหญ่เล่มหนึ่งเล็ก ในขณะที่งานกำลังดำเนินไปด้วยความสนุกสนานนั้น เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น พญานาคที่แปลงกายมาเป็นมนุษย์ก็เข้าแย่งชิงเจ้าสาว เกิดวิวาทฆ่าฟันกันขึ้น ตายมดึงเห็นท่าไม่ดีก็พานางหนีไป ตาวาปราบเห็นเข้าก็โกรธ จึงดึงดาบเล่มใหญ่ขว้างไปหมายจะฆ่าตายมดึงแต่ไม่ถูก ดาบไปตกอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งจึงดึงดาบเล่มเล็กขว้างไปอีก ปรากฏว่าพลาดไปตกอยู่ในที่อีกแห่งหนึ่ง หลังจากที่มีการฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดนั้น ร้อนถึงพระฤาษีซึ่งบำเพ็ญตบะอยู่ในถ้ำออกมาห้ามปรามแต่ไม่มีใครเชื่อฟังพระฤาษีโกรธมาก จึงสาปให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นหิน ไม่ว่าจะเป็นผู้คน เครื่องใช้ บ้านเรือนก็กลายเป็นภูเขา เป็นถ้ำ เป็นเกาะแก่งในทะเลทั้งสิ้น เช่น บ้านเจ้าสาวกลายเป็น ภูเขาที่อ่าวพระนาง เรือนหอกลายเป็นถ้ำ เรียกว่า ถ้ำพระนาง ข้าวเหนียวกวนที่นำมาเลี้ยงกันหกเรี่ยราดกลายเป็นเปลือกหอยทับถมในทะเลต่อมากลายเป็น สุสานหอย ฝ่ายพญานาคพยายามกระ..ยุ่ง..กระสนลงทะเลแต่ไปไม่ถึงกลายเป็นหินทางด้านเหนือชาวบ้านเรียกว่า หงอนนาค บริเวณที่พญานาคกลิ้งเกลือกกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ชาวบ้านเรียกว่าหนองทะเล นับจากนั้นเนิ่นนานเมื่อชาวบ้านมาตั้งถิ่นฐานเป็นแขวงเมืองปกาสัย สร้างบ้านแปลงเมืองเป็นชุมชนใหญ่ขึ้น ชาวบ้านได้ขุดพบดาบโบราณใหญ่เล่มหนึ่งและนำมามอบให้เจ้าเมือง ต่อมาไม่นานชาวบ้านอีกแห่งหนึ่งก็ขุดพบดาบเล่มเล็กได้นำมามอบให้เจ้าเมืองเช่นเดียวกัน เจ้าเมืองพิจารณาเห็นว่าเป็นดาบสำคัญสมควรที่จะเก็บไว้คู่บ้านคู่เมือง ขณะนั้นยังสร้างเมืองไม่เสร็จเรียบร้อย จึงนำดาบทั้งคู่ไปเก็บไว้ที่ถ้ำเขาขนาบน้ำหน้าเมือง โดยเอาวางไขว้กันไว้ลักษณะนี้ จึงเป็นสัญลักษณ์ของตราประจำเมืองมาจนทุกวันนี้ ตำนานอ่าวพระนางมีเล่าแตกต่างไปจากนี้ก็มี คือ เล่าไปในทำนองเทพนิยาย ดังนี้ ณ บริเวณอ่าวพระนางนี้มีปราสาทหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือขุนเขางดงามประหนึ่งแดนสวรรค์ ผู้ปกครองได้แก่พระนางผู้เลอโฉม จากความงามของนางนี้เองนำความกังวลใจมาสู่เทพย-ดาเกาะพีพีซึ่งเป็นพระเชษฐามากว่า จากความงามของน้องสาวอาจนำมาซึ่งอันตรายได้ จึงเตือนสติพระนางอยู่เป็นนิจ แต่นางหาได้เชื่อฟังไม่ เทพเจ้าพีพีก็เดินทางกลับไป เมื่อเทพยดาผู้พี่กลับไปแล้ว พระนางก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เทพยดาประเด๊ะเป็น ผู้หนึ่งที่มีความเสน่หาในพระนาง ปรารถนาจะได้พระนางไปเป็นคู่ แต่นางปฏิเสธ ทำให้เทพยดาประเด๊ะโกรธมาก และลั่นวาจาไว้ว่า ถ้าพระนางไม่รักเราก็จะรักใครไม่ได้เช่นกัน เราจะฆ่าทุกคนที่ได้พระนางไป ท่านประเด๊ะกลับไปพร้อมกับพระนางคิดไปถึงเทพยดาเกาะปูที่ต้องการซื้อความรักจากพระนางด้วยทรัพย์สมบัติมหาศาล แต่พระนางปฏิเสธไปอีกราย และแล้ววันหนึ่งเทพยดาเกาะหัวขวานก็มาเยือน พร้อมกับเจ้งความประสงค์ว่า เขาก็มีความต้องการพระนางเช่นเดียวกัน พร้อมกับยื่นคำขาดว่า ถ้าเขาต้องการสิ่งใดจะต้องได้ พระนางปฏิเสธทำให้เทพยดาหัวขวานโกรธมาก ตรงเข้ายื้อยุดฉุดพระนางจะเอาไปให้จงได้ ในขณะนั้นเอง เทพยดาเกาะนางนาคก็ปรากฏตัวขึ้นตรงเข้าขัดขวางและต่อสู้กันขึ้น ในที่สุดท่านหัวขวานก็พ่ายแพ้ไป จากความหวังดีของเทพยดาเกาะนางนาคนี่เองทำให้พระนางไม่สามารถปฏิเสธได้เหมือนรายอื่นๆ ดังนั้น ในโอกาสต่อมาสำเภาขบวนขันหมากจากเกาะนางนาคก็เดินทางมุ่งมายังปราสาทของพระนางแต่ในขณะเดียวกันสำเภาจากเทพยดาผู้ผิดหวังทั้งสามก็มุ่งหน้ามาด้วยในทิศทางอันเดียวกันเข้าสกัดทำลายสำเภาขันหมาก จึงเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด เบื้องหลังการต่อสู้ครั้งนี้ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างพินาศลงโดยสิ้นเชิง ทะเลอ่าวพระนางแดงฉานไปด้วยเลือด น้ำพัดพาเอาร่างเทพยดาทั้ง ๔ ไปใกล้ปราสาทที่อยู่ของพระนางได้กลายเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยล้อมอ่าวไว้ เครื่องขันหมากน้ำได้พัดพาไปเกิดเป็นเกาะขันหมาก ฝ่ายพระนางเมื่อสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว ก็กลั้นใจตายกลายเป็นอ่าว ปราสาทของพระนางก็กลายเป็นถ้ำพระนาง ส่วนเทพยดาพีพีก็เกิดความเสียใจที่เหตุการณ์มาลงเอยเช่นนี้ น้องสาวก็สิ้นชีวิตลงก็เลยกลั้นใจตายตามไปอีกคน กลายเป็นเกาะพีพีซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลมากนัก ตำนานเขาขนาบน้ำ กาลครั้งหนึ่ง ณ เมืองแห่งหนึ่ง เจ้าเมืองมีธิดาสาวผู้โฉมงามเป็นที่หมายปองของบรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลายทุกชาติทุกภาษา และแล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อชายหนุ่มมนุษย์และยักษ์ผู้หลงใหลในธิดาเจ้าเมืองเกิดมาประจันหน้ากัน ทั้งๆ ที่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็สำแดงฤทธิ์เดชเข้าห้ำหั่นกัน แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครที่ได้ธิดาเจ้าเมืองไปครอง ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายขว้างอาวุธคือ กระบี่เข้าหากันและทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกอาวุธด้วยกันทั้งคู่ ดาบของยักษ์ซึ่งโตมากก็ตกอยู่ ณ ที่ต่อสู้ ส่วนดาบของมนุษย์ซึ่งเล็กกว่าได้ปลิวไปตกยังอีกตำบลหนึ่ง ศพของทั้งสองได้กลายเป็นหินอยู่คนละฝั่งน้ำ คือ เขาขนาบน้ำในปัจจุบัน สถานที่ดาบเล่มโตตกอยู่คือ ตำบลกระบี่ใหญ่ สถานที่ดาบเล่มเล็กปลิวไปตกอยู่ คือ ตำบลกระบี่น้อยนั่นเอง สำหรับคำว่า "กระบี่" มีผู้ให้ความเห็นแตกต่างกันไปหลายนัย ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๑๕ ชาวบ้านได้ขุดพบกระบี่โบราณที่บ้านนาหลวง ตำบลปกาสัย หลวงเทพเสนาซึ่งเป็นเจ้าเมืองในขณะนั้นได้นำทูลเกล้าถวายสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า และทรงพอพระราชหฤทัยมาก เมื่อยกฐานะแขวงเมืองปกาสัยขึ้นเป็นเมืองแล้ว จึงพระราชทานนามเมืองนี้ว่า "เมืองกระบี่" คุณเยี่ยมยง สังขยุทธ์ สุรกิจบรรหาร ผู้สนใจทางโบราณคดีเมืองใต้ก็ให้ความเห็นว่า แขวงเมืองปากาไสนี้ในตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช ว่า "เมืองไส" ก็เรียก คงคัดลอกตก "ปากา" ไป และคำว่า "ปากาไส" ก็แปลว่า เมืองกระบี่ คำว่า "ปากา" แปลว่า กระบี่ คือ ดาบ บ้างก็ว่าคำว่า "กระบี่" มาจากภาษามลายู ซึ่งเป็นชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง คือ "ต้นหลุมพี" มลายูเรียกว่า "กะลูบี" หรือ "คอโลบี" หรือ "กะรอบี" ต้นหลุ่มพีเป็นพืชในตระกูลสละหรือระกำ ซึ่งมีอยู่มากในอาณาเขตจังหวัดนี้ และในจังหวัดกระบี่ก็มีชาวไทยมุสลิมอาศัยอยู่จำนวนมากเช่นเดียวกัน ชื่อหมู่บ้าน ตำบลอีกหลายแห่งยังคงเป็นภาษามลายู ภายหลังก็เพี้ยนมาเป็น "กระบี่" บางท่านก็ว่า คำว่า "กระบี่" เกิดจากการผิดเพี้ยนของตัวเขียนว่า "กระบี่น่าจะมาจากคำว่า "กระบือ" เพราะว่าแต่เดิมนั้น การสะกดกระบือเขาเขียนว่า "กระบื" ไม่มีตัว ออ.ตาม เมื่อเขียนไปนานๆ เข้าก็กลายเป็น "กระบี่" ได้ เนื่องจากคนในสมัยก่อนนั้นยังมีการพัฒนาด้านการเขียนน้อยอยู่ ทั้งนี้ เพราะในเขตที่เป็นจังหวัดกระบี่มีกระบือมากจนเป็นที่นิยมของจังหวัดใกล้เคียงที่จะมาซื้อกระบือจากจังหวัดกระบี่ ในปัจจุบันกระบือก็ยังมีสถิติสูง (ปี ๒๕๑๙ มีประมาณ ๒๕,๘๐๗ ตัว) จึงเข้าใจว่าที่ได้ตั้งชื่อจังหวัดกระบี่ น่าจะมาจากคำว่า "กระบื" ก็ได้ "๒๒ เรื่องกระบือมีมากในจังหวัดกระบี่นั้นเห็นจะเป็นความจริง เคยปรากฏว่าเมื่อคราวที่สร้างวัดแก้วโกรวารามเสร็จแล้วไม่นาน จะหาพระภิกษุมาดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดมิได้ เพราะสภาพความเป็นอยู่ลำบากมาก ในที่สุดทางจังหวัดได้นิมนต์พระครูธรรมวุธวิศิษฐ์จากจังหวัดภูเก็ตมาเป็นเจ้าคณะจังหวัด โดยจังหวัดได้จัดนิตยภัตรถวายเป็นพิเศษเดือนละ ๓๐ บาท ถวายข้าวสารเดือนละ ๑ กระสอบ น้ำมันก๊าดเดือนละ ๑ ปีบ ปลาแห้ง ปลาเค็ม เดือนละ ๑ กระสอบ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดได้โอนเงินค่าทำตั๋วกระบือมาใช้ในการนี้ทั้งได้จัดสร้างเกวียนและกระบือให้วัดด้วยเพื่อใช้บรรทุกของเหล่านี้จากศาลากลางจังหวัดมาวัดทุกๆ เดือน ต่อมาปลายปี ๒๔๗๕ พระทวีธุระประศาสตร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดคนที่ ๑๑ ได้พิจารณาว่า การนำเงินภาษีอากรค่าตั๋วกระบือไปบำรุงวัดนั้นทำให้สะพานกระบือชำรุด ไม่มีเงินบูรณะซ่อมแซม จึงโอนเงินนี้กลับมาบำรุงสะพานกระบือเสีย คำว่า "กระบี่" มีคำแปลอีกอย่างที่น่าสนใจคือ ในความหมายที่แปลว่า "ลิง" ถ้าหากว่า ดินแดนเมืองกระบี่ก่อนแขวงเมืองปกาไสเป็นที่ตั้งของเมืองในนาม "เมืองบันไทยเสมอ" ๑ ใน ๑๒ เมืองนักษัตรขึ้นต่อเมืองนครศรีธรรมราชจริงแล้ว เมืองบันไทยสมอใช้ตราลิงเป็นตราประจำเมือง โดยถือเอาความหมายแห่งเมืองหน้าด่านปราการ เพราะลิงในสมัยก่อนถือกันว่ามีความองอาจกล้าหาญเทียบเท่าทหารกองหน้า เช่น บรรดาลิงแห่งกองทัพพระราม เป็นต้น และในสภาพความเป็นจริงของเมืองกระบี่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ถ้าสืบถามคนเฒ่าคนแก่ของเมืองนี้ดู ก็ได้ความว่าลิงอยู่มากจริง แม้แต่บริเวณเกาะกลางหน้าเมืองกระบี่ก็เพิ่งจะหมดไปเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง แต่ปัจจุบันนี้เราแปลงความหมายของ "กระบี่" ว่า "ดาบ" ตามตราประจำจังหวัด การจัดรูปการปกครองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล การเทศาภิบาล เป็นระบบการปกครองอันสำคัญที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินในส่วนภูมิภาค โดยจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องถิ่นต่างๆ เป็นการรวมอำนาจเข้ามาไว้ส่วนกลาง ทำให้ระบบการปกครองแบบประเพณีระบบกินเมืองที่ปฏิบัติมาแต่เดิมหมดไป การปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล คือ การรวมจังหวัดตั้งแต่ ๒ จังหวัดขึ้นไป โดยถือเอาความสะดวกในการปกครองตรวจตราบัญชาการของสมุหเทศาภิบาล ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นสูงเป็นผู้บังคับบัญชา ต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการแบ่งภาระของรัฐบาลกลางในส่วนภูมิภาคจึงแบ่งส่วนราชการปกครองเป็นมณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน ให้เป็นส่วนสัดอันนำมาซึ่งความเป็นระเบียบเรียบร้อยที่จะบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ สมุหเทศาภิบาลมีหน้าที่รับข้อเสนอและสั่งราชการแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่เกินอำนาจก็จะเสนอเข้าไปยังส่วนกลางอีกครั้งหนึ่ง ระบบการปกครองแบบนี้จึงเป็นการรวมอำนาจไปไว้ส่วนกลาง การจัดระบบการปกครองแบบนี้ได้เริ่มมาตั้งแต่ ปี ๒๔๓๗ แต่ความจริงแล้ว การจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนี้ได้มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมาก่อนเหมือนกัน ราว พ.ศ. ๒๔๓๕ แต่มิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาลแท้จริงมีอยู่ ๖ มณฑล คือ ๑. มณฑลลาวเฉียง ๒. มณฑลลาวพวน ๓. มณฑลลาวกาว ๔. มณฑลเขมร ๕. มณฑลลาวกลาง ๖. มณฑลภูเก็ต พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นใหม่ ๓ มณฑล และแก้ไขระเบียบการปกครองที่มีอยู่ก่อนแล้ว ๑ มณฑล คือ ๑. มณฑลพิษณุโลก ๒. มณฑลปราจีน ๓. มณฑลราชบุรี ๔. มณฑลนครราชสีมา (เดิมคือ มณฑลลาวกลาง) พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้ตั้งมณฑลขึ้นใหม่อีก ๓ มณฑล แก้ไขระเบียบการปกครองที่มีอยู่ก่อนแล้ว ๑ มณฑล คือ ๑. มณฑลนครชัยศรี ๒. มณฑลนครสวรรค์ ๓. มณฑลกรุงเก่า (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยา) ๔. มณฑลภูเก็ต พ.ศ.๒๔๓๙ จัดตั้งใหม่ ๒ มณฑล และแก้ไขระเบียบการปกครองที่มีอยู่แล้ว ๑ มณฑล รวม ๓ มณฑล คือ ๑. มณฑลนครศรีธรรมราช ๒. มณฑลชุมพร ๓. มณฑลบูรพา (เดิมคือ มณฑลเขมร) พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองไทยปนมลายูฝ่ายตะวันตกและประเทศราชเข้าเป็นอีกมณฑล หนึ่ง คือ มณฑลไทรบุรี พ.ศ. ๒๔๔๒ จัดตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ พ.ศ. ๒๔๔๓ แก้ไขการปกครองมณฑลที่มีอยู่เดิม ๓ มณฑล คือ ๑. มณฑลพายัพ (เดิม คือ มณฑลลาวเฉียง) ๒. มณฑลอีสาน (เดิม คือ มณฑลลาวกาว) ๓. มณฑลอุดร (เดิม คือ มณฑลลาวพวน) พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดตั้ง ๒ มณฑล คือ ๑. มณฑลจันทบุรี ๒. มณฑลปัตตานี พ.ศ.๒๔๕๕ จัดตั้งมณฑลร้อยเอ็ดและมณฑลอุบล โดยแบ่งท้องที่จากมณฑลอีสานแต่เดิม พ.ศ.๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ โดยแบ่งท้องที่จากมณฑลพายัพแต่เดิม การปกครองโดยลักษณะมณฑลเทศาภิบาลได้ดำเนินมาเกือบ ๒๐ ปี ได้มีการปรับปรุงระบบการปกครองอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ เนื่องจากการขยายตัวของภาวการณ์ทั้งปวงเจริญขึ้นตามลำดับ เหลือกำลังของเจ้าหน้าที่ในกระทรวงที่มีอยู่จะอำนวยผลประโยชน์ให้รวดเร็วได้ จะขยายกำลังข้าราชการก็ได้รับงบประมาณในขีดจำกัด กระทรวงมหาดไทยจึงดำเนินวิธีการรวมมณฑลที่ใกล้เคียงกันตั้งเป็นภาคขึ้น สำหรับบริหารราชการระหว่างมณฑลกับกระทรวง โดยมีข้าราชการชั้นสูงตำแหน่งอุปราชประจำภาคบัญชาการ และมักจะทรงพระกรุณาแต่งตั้งสมุหเทศาภิบาลที่มีความสามารถให้เป็นอุปราชอีกตำแหน่งหนึ่ง กระทรวงมหาดไทยได้รับพระบรมราชานุญาตจัดตั้งมณฑลภาคขึ้น ดังนี้ พ.ศ. ๒๔๕๘ ตั้ง ๒ ภาค คือ ๑. ภาคพายัพ รวมมณฑลพายัพ กับ มณฑลมหาราษฎร์ ๒. ภาคตะวันตก มณฑลนครชัยศรี กับ มณฑลราชบุรี พ.ศ. ๒๔๕๙ ตั้งภาคปักษ์ใต้มีมณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลปัตตานี มณฑลสุราษฎร์ (มณฑลชุมพรแต่เดิม) พ.ศ. ๒๔๖๕ ตั้งมณฑลภาคอีสาน มีมณฑลอุดร มณฑลอุบล มณฑลร้อยเอ็ด พ.ศ. ๒๔๖๙ สมัยรัชกาลที่ ๗ ได้มีประกาศกระแสพระบรมราชโองการให้ยกเลิกตำแหน่งอุปราชประจำภาคทั้งหมดเป็นสมุหเทศาภิบาลตามเดิม การปกครองก็มีเพียงชั้นมณฑลและบางมณฑลก็ถูกยกเลิกไปที่เหลือต่อมารวม ๑๐ มณฑล ก็ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรไทยในสมัย พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นอันหมดสมัยเทศาภิบาล เมืองกระบี่สมัยมณฑลเทศาภิบาล จังหวัดกระบี่ได้รวมเข้าอยู่ในมณฑลภูเก็ตซึ่งเป็นมณฑลที่รวมมาก่อน พ.ศ. ๒๔๓๗ การรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลครั้งนั้น การปกครองยังไม่เป็นรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล เพราะอำนาจการปกครองยังขึ้นอยู่กับกระทรวงกลาโหม มีอยู่ ๖ เมืองด้วยกัน ซึ่งเรียกกันแต่เดิมว่า "หัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก" คือ ๑. เมืองภูเก็ต ๒. เมืองกระบี่ ๓. เมืองตรัง ๔. เมืองตะกั่วป่า ๕. เมืองพังงา ๖. เมืองระนอง ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๓๘ ได้แก้ไขระเบียบและลักษณะการปกครองมาเป็นมณฑลเทศาภิบาลอย่างถูกต้อง โดยหัวเมืองทั้งหมดจากกระทรวงกลาโหมมาขึ้นกระทรวงมหาดไทยในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ พ.ศ. ๒๔๕๒ ได้มีประกาศแยกการปกครองจังหวัดสตูลมาจากมณฑลไทรบุรี ซึ่งตกไปอยู่ในอำนาจการปกครองของอังกฤษมาขึ้นกับมณฑลภูเก็ต พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้ประกาศโอนจังหวัดสตูลไปขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราชอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพราะการติดต่อกับมณฑลนครศรีธรรมราชสะดวกกว่า พ.ศ. ๒๔๗๔ ได้มีประกาศยุบจังหวัดตะกั่วป่าลงเป็นอำเภอขึ้นต่อจังหวัดพังงา มณฑลภูเก็ตจึงมีเพียง ๕ เมือง คือ ๑. เมืองภูเก็ต ๒. เมืองกระบี่ ๓. เมืองตรัง ๔. เมืองพังงา ๕. เมืองระนอง สมัยที่มีการรวมมณฑลเข้าเป็นมณฑลภาคนั้น ภาคปักษ์ใต้มี ๓ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลปัตตานี มณฑลสุราษฎร์ ตั้งที่บัญชาการภาคที่จังหวัดสงขลา โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงลพบุรีราเมศว์ เป็นอุปราช แต่มณฑลภูเก็ตยังมิได้เข้ารวมกับมณฑลภาคปักษ์ใต้ จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ประกาศยกเลิกระบบมณฑลภาคเสียก่อน ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ดังกล่าวแล้ว ในช่วงระยะการบริหารราชการตามระบบมณฑลเทศาภิบาลภูเก็ต มีรายนามสมุหเทศาภิ-บาล ซึ่งบัญชาการหัวเมืองในมณฑลนี้ คือ ๑. พระยาทิพโกษา (โต โชติกเสถียร) ๒. พระยาวิสูตรสาครดิฐ (สาย โชติกเสถียร) ๓. พระวรสิทธิเสวีรัตน์ (ไต้ฮัก ภัทรนาวิก) ๔. พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) ๕. พลโท พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (ม.ร.ว.สิทธิ์ สุทัศน์) ๖. พระยาสุรินทรราชา (นกยูง วิเศษกุล) ๗. หม่อมเจ้าสฤษดิเดช ชยางกูร ๘. พระยาศรีเสนา (ฮะ สมบัติศิริ) การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้วยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑. การคมนาคมสื่อสารสื่อสารสะดวกรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒. เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓. เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑล รายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔. รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้นและการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงจากเดิม ดังนี้ ๑. จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒. อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓. ในฐานะของคณะกรรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตามนัยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วน ภูมิภาคเป็น ๑. จังหวัด ๒. อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้คณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดจังหวัดกระบี่. กรุงเทพ : โรงพิมพ์ ดี แอล เอส กรุงเทพฯ, ๒๕๒๘. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:01:21 พังงา
การกล่าวถึงประวัติจังหวัดพังงา จะหลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึงเรื่องราวประวัติของ "ตะกั่วป่า" เสียก่อนไม่ได้ เนื่องจากปราชญ์ทางประวัติศาสตร์ ยอมรับแล้วว่า "ตะกั่วป่า" ได้เคยเป็นบ้านเมือง เป็นที่รู้จักกันดีไม่ต่ำกว่า ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว แม้ขณะนี้จะมีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งก็ตาม ส่วนจังหวัดพังงานั้นเพิ่งมาตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๓๕๒ ในรัชกาลที่ ๒ แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ หรือเมื่อประมาณ ๑๗๖ ปีมานี้เอง สมัยอาณาจักรศรีวิชัย เดิมทีนั้นบนแหลมมลายูรวมทั้งส่วนบนที่เป็นของไทยด้วย ได้เป็นที่อยู่ของพวกพื้นเมืองเดิม อันได้แก่ พวก "เซมัง" และ "ซาไก" มาก่อน ต่อมามีชนอีกพวกหนึ่งเรียกกันว่า "ชนพูดภาษามอญ - เขมร" อพยพแผ่ลงมาจากทางเหนือเข้ามายึดริมแม่น้ำตอนใกล้ ๆ ชายทะเลเป็นถิ่นฐานเรื่อยลงไปจน ถึงปลายแหลมมลายู ชนพวกนี้ส่วนหนึ่งได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มแม่น้ำสาละวิน เป็นชนชาติมอญ อยู่ในแม่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นละว้าและปากแม่น้ำโขงเป็นชนเขมร เฉพาะส่วนที่ลงมาอยู่บนแหลมมลายูนั้นกลายเป็น "พวกมลายูเดิม" แต่ไม่พูดภาษามลายู ต่อมามีชนพวกพูดภาษามอญ - เขมร ได้อพยพใหญ่ลงมาตามแนวทางเดิมอีกคราวหนึ่ง ในครั้งนี้ชนพูดภาษามอญ - เขมร ได้เจริญขึ้นมากแล้วได้ทำเรือแพข้ามไปอยู่บนเกาะสุมาตรา ชวาและบอร์เนียว และได้เข้ามาขับไล่เอาพวกมลายูเดิมที่ด้อยความเจริญกว่าให้เข้าไปอยู่ในป่าบ้าง หนีไปอยู่ตามชายทะเลห่างไกลบ้าง กลายเป็นพวก "จากุน" ไป และอยู่ตามชายฝั่งทะเลไทยเรียกว่า "ชาวเล" หรือ "ชาวน้ำ" ภาษาราชการเรียกว่า "ชาวไทยใหม่" ในสมัยใกล้เคียงกัน พวกชาวอินเดียที่มีอารยธรรมสูงได้เริ่มเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขาย เนื่องจากชาวอินเดียเหล่านี้มีความฉลาดกว่า มีวัฒนธรรมสูงกว่า จึงได้ถ่ายทอดวัฒนธรรม เช่น ศาสนา ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี อาหารการกิน ฯลฯ ให้แก่ชาวพื้นเมือง ในที่สุดชาวอินเดียก็ได้เข้าผสมกับชาวพื้นเมือง และมีอำนาจปกครองแหลมมลายูอยู่เป็นเวลาหลายร้อยปี เมื่อเสื่อมอำนาจลงพวกเขมร (เมืองละโว้) ลงมาชิงได้บ้านเมือง แต่เขมรปกครองอยู่ได้ไม่นานชนชาติไทยได้เป็นใหญ่ในประเทศสยาม (ณ กรุงสุโขทัย) ก็ขยายอำนาจลงมา ได้แหลมมลายูตอนข้างเหนือไว้เป็นอาณาเขต ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๐๐ เศษเป็นต้นมา พร้อมๆ กันนั้นพวกแคว้นมลายู ซึ่งอยู่บนตอนเหนือของเกาะสุมาตราได้มีอำนาจมากขึ้น จึงได้ข้ามฟากมาตั้ง "อาณาจักรมาลักกา" ขึ้นบนปลายแหลมมลายู แล้วยกทัพขึ้นมาทำสงครามยึดเอาเมืองต่าง ๆ ทางเหนือ ในที่สุดไปปะทะกับอิทธิพลของไทยสุโขทัยตรงสี่จังหวัดภาคใต้ แล้วก็หยุดลงแค่นั้น ชนชาวมลายูที่ข้ามเข้ามาใหม่นี้ได้นำเอาวัฒนธรรมมลายู มีภาษา การนุ่งห่ม ขนบธรรมเนียมประเพณีมาให้แก่บ้านเมืองบนแหลมมลายูที่ตีได้ ต่อมาชาวมลายูบนเกาะสุมาตราได้อพยพเข้ามาอยู่บนแหลมมลายูมากขึ้น ทั้งได้นำเอาศาสนาอิสลามที่ได้ก่อกำเนิดขึ้นในสุมาตราก่อน เข้ามาให้ชนชาวพื้นเมืองเดิมด้วย ทำให้ชนชาวพื้นเมืองเดิมเหล่านั้นค่อยๆ กลายเป็นชาวมลายูไปโดยปริยาย ชนชาวมลายูที่ยกเข้ามาจากสุมาตราเข้ามาอยู่ใหม่นี้เรียกว่า "พวกชาวมลายูใหม่" โดยเหตุนี้เองวัฒนธรรมต่างๆ ของชนชาวมลายูตอนล่าง จึงได้แตกต่างกับชนชาวไทยที่อยู่ตอนบน ในสมัยกรุงสุโขทัย พระมหากษัตริย์ไทยได้ส่งกองทัพไปตีและได้เข้าครอบครองดินแดนบนแหลมมลายูทั้งหมดหลายครั้ง บางครั้งได้ข้ามไปปกครองเมืองบางเมืองบนเกาะสุมาตรา ต่อมาเมื่อชาวยุโรปเข้ามามีอิทธิพลจึงได้ถูกชนชาวยุโรปยึดเอาแหลมมลายูตอนล่างไปปกครอง ในสมัยที่การแล่นเรือข้ามช่องมะละกาไม่ปลอดภัยจากโจรสลัด และต้องใช้เวลาแล่นเรืออ้อมความยาวของแหลมมลายูมากนั้น ชาวอินเดียได้เดินเรือใบมายังชายฝั่งตะวันตกของแหลมมลายู ซึ่งทอดจากเหนือลงมาใต้ขวางทิศทางอยู่ ส่วนหนึ่งได้มาขึ้นจอดที่ท่าเมืองสำคัญเมืองหนึ่งบนฝั่งทะเลด้านนั้น คือท่า "เมืองตักโกลา" หรือ "ตะโกลา" หรือเมือง "ตะกั่วป่า" ในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะในอ่าวหน้าเมืองเป็นที่ทอดสมอจอดเรือหลบมรสุมได้เป็นอย่างดีทุกฤดูกาล นอกจากนั้นสามารถขนถ่ายสินค้าเดินทางบก เพื่อข้ามไปลงเรือซึ่งคอยรับอยู่ในอ่าวบ้านดอนอีกฟากหนึ่งของแหลมมลายูใกล้มาก ทั้งนี้เพราะได้อาศัยลำแม่น้ำตะกั่วป่าเป็นทางลำเลียงสินค้าด้วยเรือเล็กขึ้นไปทางต้นน้ำได้ไกลมาก จนกระทั่งน้ำตื้นมากเรือเล็กไปไม่ไหวแล้ว จึงได้ลำเลียงสินค้าขึ้นหลังช้างหรือวัวต่างม้าต่างเดินบกข้ามสันเขาราวๆ ๕-๖ ไมล์ ก็จะถึงต้นน้ำคีรีรัฐ ถ่ายสินค้าลงเรือล่องลงไปตามลำน้ำคีรีรัฐจนถึงปากแม่น้ำ ถ่ายของขึ้นเรือใหญ่แล่นออกทะเลไป หรือถ่ายของขึ้นเมืองไชยา ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อุดมสมบูรณ์ มีผู้คนมากอยู่ในอ่าวบ้านดอนก็ได้ ก็โดยเหตุที่เป็นเส้นทางเดินแวะพักเช่นนี้เอง จึงพบว่า บริเวณเมืองไชยาและเมือง ตักโกลา มีโบราณวัตถุที่แสดงว่ามีชนชาวอินเดีย และชนชาติอื่นๆ เคยเดินทางผ่านและเคยมาพักอยู่มาก สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในปลายปี พ.ศ. ๒๓๕๑ พระเจ้าปะดุงกษัตริย์พม่าพิจารณาเห็นว่าเมืองไทยกำลังอ่อนกำลังลงเพราะได้สิ้นแม่ทัพนายกองที่เข้มแข็งไปหลายคน เช่น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นต้น ทั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก็ทรงพระชรามากแล้ว ควรจะถือโอกาสไปตีเมืองไทยล้างความอับอายที่ได้พ่ายแพ้มาแล้วหลายหน จึงให้อะเติงหวุ่นเป็นแม่ทัพ เกณฑ์คนเตรียมยกทัพมาตีเมืองไทย แต่การเกณฑ์คนเข้ากองทัพมีอุปสรรค เสร็จไม่ทันจึงให้ยับยั้งการมาตีเมืองไทยไว้และปล่อยคนเกณฑ์ ในขณะที่ยังปลดปล่อยคนยังไม่หมดนั้นก็พอทราบว่าเมืองไทยเปลี่ยนรัชกาลใหม่ (๑) ความกลัวพระบารมีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าก็หมดไป อะเติงหวุ่นจึงขอยกกองทัพที่เหลือมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ด้านฝั่งทะเลตะวันตก เพื่อกวาดผู้คนและเก็บทรัพย์ได้พอคุ้มกับทุนรอนที่ได้ลงไปแล้ว โดยแบ่งกำลังออกเป็น ๒ กองทัพ ยกมาทางเรือมาตีเมืองถลางกองทัพหนึ่ง อีกกองทัพหนึ่งให้เดินมาตีเมืองระนอง กระบุรี และชุมพร ทางกรุงเทพฯ ได้ข่าวศึกล่วงหน้าสองเดือน จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรเป็นแม่ทัพใหญ่มีกำลัง ๔ หน่วย คือ พระยาทศโยธากับพระยาราชประสิทธิ์เป็นแม่ทัพไปเกณฑ์กองทัพเมืองไชยา ยกข้ามแหลมมลายูไปรักษาเมืองถลางไว้ก่อนหน่วยหนึ่ง เจ้าพระยายมราช (น้อย) เป็นแม่ทัพหลวงกับพระยาท้ายน้ำแม่ทัพหน้ารีบลงไปเกณฑ์กำลังเมืองนครศรีธรรมราชยกไปช่วยเมืองถลางหน่วยหนึ่ง ให้พระยาจ่าแสนยากร (บัว) เป็นแม่ทัพยกกำลังจากกรุงเทพฯ ๕,๐๐๐ ไปเป็นกำลังส่วนกลางคอยช่วยเหลือทัพอื่นหน่วยหนึ่ง และเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีได้เสด็จไปรวมพลจัดกองทัพอยู่ที่เมืองเพชรบุรี ด้วยเข้าใจว่ากองทัพพม่าจะยกมาทางด่านเจดีย์สามองค์ แต่เมื่อไม่มีวี่แววพม่ามาทางนั้น ก็ยกกำลังไปรวมกับกองทัพใหญ่ ซึ่งกรมพระราชวังบวรยกจากพระนครโดยทางเรือถึงเป็นเพชรบุรี เคลื่อนทัพบกตรงไปเมืองชุมพร ในการทัพคราวนี้นายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน) ได้ไปในกองทัพด้วย ได้แต่งโคลงนิราศไพเราะเป็นที่นิยมยกย่องของบรรดากวีไว้เรื่องหนึ่ง ชื่อ "นิราศนรินทร์ " จะเห็นว่า การทัพคราวนี้ได้แบ่งกำลังออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่ไปป้องกันเมืองถลางได้เกณฑ์กำลังจากหัวเมืองปักษใต้ ทัพส่วนที่ไปป้องกันหัวเมืองอื่นๆ ได้เกณฑ์กำลังหัวเมืองชั้นใน กองทัพของพม่าที่ยกมาทางเรือตีได้เมืองตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง ซึ่งพลเมืองน้อยได้อย่างง่ายดาย เพราะพอได้ข่าวว่ากองทัพพม่ายกมาผู้คนก็อพยพครอบครัวเข้าป่าไปหมด ไม่มีการต่อสู้ จากนั้น กองทัพส่วนนี้ของพม่าได้ยกขึ้นเกาะภูเก็ตล้อมเมืองถลางไว้ ล้อมอยู่เดือนกว่าก็ตีเมืองไม่ได้ เพราะพระยาถลางป้องกันแข็งแรงนัก จึงได้คิดอุบายทำทีว่าลงเรือกลับไปแล้ว แต่ไปซุ่มคอยทีอยู่ที่เกาะยาว พระยาถลางตกหลุมพรางปล่อยผู้คนออกจากเมืองไปทำมาหากิน พม่าได้ทีจึงจู่โจมเข้าล้อมเมืองถลางใหม่ คราวนี้ก็ล้อมเมืองภูเก็ตไว้ด้วย กองทัพไทยที่จะยกมาช่วยป้องกันเมืองถลาง เกณฑ์กองทัพได้แล้วยกข้ามแหลมมาถึงเมืองชายฝั่งตะวันตก แต่หาเรือลำเลียงกำลังส่วนใหญ่ข้ามฟากไปยังฝั่งเกาะภูเก็ตไม่ได้ คงได้แต่เก็บเอาเรือชาวบ้านบรรทุกกำลังส่วนหนึ่งล่วงหน้าไปได้ แต่ขณะที่เรือกำลังข้ามฟากไปนั้น ได้ปะทะเข้ากับเรือพม่าที่ออกมาลาดตระเวนหาเสบียง จึงเกิดรบกันขึ้น บังเอิญเรือแม่ทัพไทยเกิดระเบิดขึ้นตัวแม่ทัพถึงแก่ความตาย ขบวนเรือที่เหลือจึงแล่นหลบเข้าอ่าวเมืองกระบี่ไป กองทัพพม่าก็ยังคงล้อมเมืองถลางและเมืองภูเก็ตอยู่ตามเดิม ฝ่ายกองทัพพม่าที่ยกมาทางบกนั้นตีได้เมืองมะลิวัน เมืองระนอง และเมืองกระบุรี แล้วยกกำลังข้ามเข้ามาทางฝั่งตะวันออกตีเมืองชุมพรอีกเมืองหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะตีเมืองอื่นต่อไป ก็ถูกกองทัพไทยส่วนที่ยกมาทางบกเพื่อป้องกันหัวเมืองปักษ์ใต้ตีแตกไปและปราบปรามข้าศึกลงไปจนถึงเมืองตะกั่วป่า ครั้นพม่าแตกหนีไปหมดแล้ว ทัพหลวงก็ไปพักพลรอฟังข่าวทางเมืองถลางอยู่ที่เมืองชุมพร ข่าวกองทัพใหญ่ของไทยยกกำลังลงไปช่วยเมืองถลางนี้รู้ไปถึงกองทัพพม่าที่ล้อมเมืองถลางและเมืองภูเก็ตอยู่ จึงเร่งตีเมืองถลางแตก จับผู้คนและเก็บกวาดทรัพย์สมบัติไปรวมไว้ที่ค่ายแล้วให้เผาเมืองเสีย ขณะนั้นก็พอดีกองทัพไทยยกมาใกล้จะถึงเกาะชะรอยพม่าจะได้ข่าวอยู่แล้ว ครั้นคืนวันหนึ่งเกิดลมกล้าพม่าอยู่ที่เมืองถลางได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่ง สำคัญว่าเสียงปืนกองทัพไทย แม่ทัพพม่า ตกใจรีบสั่งให้อพยพผู้คนขนทรัพย์สิ่งของลงเรือหนีไปโดยด่วน พม่ายังไปไม่หมดกองทัพไทยถึงจึงเข้า ตีพม่าส่วนที่เหลือได้ผู้คนและข้าวของกลับคืนมาเป็นอันมาก เมื่อมีชัยชนะพม่าแล้วกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ทรงพระราชดำริว่าเมืองถลางพม่าก็เผาเสียแล้ว จะกลับตั้งขึ้นมาใหม่ก็ไม่เป็นที่ไว้ใจได้ ด้วยกำลังที่รักษาบ้านเมืองอ่อนแอลงกว่าแต่ก่อน หากว่ากองทัพพม่าจู่โจมมาอีกก็จะรักษาไว้ไม่ได้ หัวเมืองต่างๆ จะยกไปช่วยก็ไม่ทันการณ์ เพราะหาเรือไม่ได้ จึงโปรดให้รวบรวมผู้คนพลเมืองถลางที่เหลืออยู่ อพยพข้ามฟากมาตั้งภูมิลำเนาที่ "ตำบลกราภูงา" ซึ่งตั้งอยู่บนปากแม่น้ำพังงา แขวงเมืองตะกั่วทุ่ง และจัดการปกครองขึ้นเป็นบ้านเมืองในรัชกาลที่ ๒ นี้เอง ดังปรากฏอยู่ในทำเนียบข้าราชการนครศรีธรรมราชครั้งรัชกาลที่ ๒ ซึ่งกำหนดขึ้นใน จ.ศ.๑๑๗๑ (๒๓๕๔) ได้ออกชื่อเมืองพังงาด้วย แต่ขณะนั้นเรียกว่า "เมืองภูงา" และเป็นการยืนยันว่า ในครั้งนั้นเมืองพังงาขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๓ ได้เกิดปัญหาการเมืองขึ้นในเมืองไทร คือ เชื้อสายเจ้าพระยาไทรบุรีเดิมได้รับการยุยงจากอังกฤษที่ปีนัง ยกกำลังเข้าตีเมืองไทรได้ เจ้าเมืองอันได้แก่พระยาไทรบุรีและพระยาเสนานุชิต บุตรพระยานคร ซึ่งรักษาเมืองมาแต่รัชกาลที่ ๒ ต้องหนีมาอยู่ที่เมืองพัทลุง จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีพิพัฒนรัตนราชโกษายกทัพไปปราบ แต่พอไปถึงก็ทราบว่าเจ้าพระยานครกลับจากกรุงเทพฯ มาถึงก่อน เกณฑ์ทัพเมืองนครและเมืองพัทลุงให้พระยาไทรบุรีและพระยาเสนานุชิต และ วิชิตสรไกรไปตีได้เมืองไทรกลับคืนมาแล้วจึงไม่ต้องไปตี แต่ก็พอได้ข่าวว่าพระยากลันตันกับ พระยาบาโงย ซึ่งมีตนกูประสากับบุตรด้วยวิวาทถึงกับสู้รบกัน จึงได้ให้คนไปเชิญทั้งสามคนมาระงับข้อวิวาทที่เมืองสงขลา ทีแรกก็ไม่มีใครมา ต่อเมื่อให้พระยาไชยาคุมกำลังลงไปขู่ทั้งสามจึงยอมมาเมืองสงขลา แล้วก็ตกลงเลิกรบทำหนังสือสัญญาให้ไว้ต่อกันได้สำเร็จ จากเหตุการณ์คราวนี้เป็นบทเรียนให้เห็นว่าการใช้ข้าราชการไทยลงไปปกครองเมืองที่ประชาชนเป็นชาวมุสลิมดังที่ทำมาแล้วนั้นไม่มีทางที่จะราบรื่นไปได้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงใช้วิธีการแบ่งการปกครองออกเป็นส่วนย่อยๆ ดังที่รัชกาลที่ ๑ ได้ทรงใช้กับเมืองปัตตานีได้ผลดีมาแล้ว คือ แบ่งพื้นที่เมืองไทรออกเป็น ๔ เมืองเล็ก แล้วแต่งตั้งให้ชนชาวมลายูที่มีใจสวามิภักษ์ต่อแผ่นดินไทยเป็นเจ้าเมืองใน พ.ศ. ๒๓๘๓ เมื่อเสร็จจากระงับเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างเจ้าเมืองในมลายูคราวนี้แล้ว พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริจะทรงปรับปรุงหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตกที่ถูกพม่าทำลายยับเยินมาแล้วนั้น ให้กลับฟื้นคืนดีขึ้นมาใหม่ และมีความเข้มแข็งป้องกันตนเองได้ด้วย จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาไทร (เลื่อนมาจากพระยาภักดีบริรักษ์แสง) เป็นผู้ว่าราชการเมืองพังงา พระยาเสนานุชิต(ปลัดเมืองไทรเดิมและได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาแล้ว) เป็นผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่า และให้พระยาตะกั่วทุ่ง (ถิน) เป็นผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วทุ่ง ส่วนเมืองถลางนั้นยังมีความสำคัญอยู่ โปรดเกล้าฯ ให้แบ่ง ชาวเมืองถลางที่หนีไปอยู่เมืองพังงากลับไปตั้งเมืองถลางขึ้นอีก แต่ตั้งเมืองใหม่ด้านตะวันออกของเกาะเมืองเหล่านี้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลงนามของผู้ว่าราชการเก่าที่ว่า "พระตะกั่วทุ่งบางขลี" เสียใหม่เป็น "พระบริสุทธิ์โลหภูมินทราธิบดี" ทั้งทรงตั้ง "พระบริสุทธิ์โลหการ" ตำแหน่งผู้ช่วยอากรดีบุกขึ้นในเมืองตะกั่วทุ่งอีกตำแหน่งหนึ่ง และพร้อมกันนั้นได้ทรงแปลงนามผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่าที่ว่า "พระยศภักดีศรีพิไชยสงคราม" เป็น "พระเสนานุชิตสิทธิสาตรามหาสงครามสยามรัฐภักดีพิริยพาห" หลวงปลัด แปลงใหม่ว่า "พระวิชิตภักดีศรีสุริยสงคราม" "หลวงนุรักษ์โยธา" ผู้ช่วย แปลงว่า "พระเรืองฤทธิ์รักษาราช" และทรงตั้ง "พระสุนทรภักดี" ตำแหน่งผู้ช่วยราชการในอากรดีบุกเมืองตะกั่วป่าขึ้นใหม่ ต่อมาเมืองตะกั่วทุ่งได้ยุบเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองพังงา เมื่อได้มีการจัดรวม "เมือง" ในบริเวณเดียวกันจัดเป็น "มณฑล" เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ ในรัชกาลที่ ๕ เมืองต่างๆ ที่ขึ้นอยู่ในมณฑลภูเก็ตมีเพียง ๖ เมือง คือ ภูเก็ต ตรัง กระบี่ ตะกั่วป่า พังงา และระนอง ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ใน พ.ศ. ๒๔๗๔ ฐานะของเศรษฐกิจภายในประเทศไทยกำลังอยู่ในลักษณะที่ทรุดโทรมตกต่ำอย่างน่ากลัว จึงได้มีการตัดทอน รายจ่ายของประเทศในด้านต่างๆ ลงมามากมาย สมัยนั้นมณฑลภูเก็ตแบ่งการปกครองเป็น ๗ จังหวัด (ขณะนั้นเปลี่ยนเรียก "เมือง" เป็น "จังหวัด มาตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ แล้ว") คือ ภูเก็ต ระนอง ตะกั่วป่า พังงา กระบี่ ตรัง และสตูล (เดิมสตูลขึ้นกับเมืองไทรบุรี แต่หลังจากได้มีการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ แล้ว เมืองไทรบุรีตกเป็นของอังกฤษ จึงโปรดให้สตูลไปรวมอยู่ในมณฑลภูเก็ตเมือง ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๓) รัฐบาลต้องการยุบเสียจังหวัดหนึ่งให้เหลือเพียง ๖ จังหวัด จังหวัดที่อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องพิจารณายุบฐานะมีจังหวัดตะกั่วป่าและพังงา ครั้นถึงวันนัดสมุหเทศาภิบาลประชุมผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดตะกั่วป่าไปเข้าประชุมไม่ทัน เนื่องจากการคมนาคมไม่สะดวก จังหวัดตะกั่วป่าจึงถูกยุบลงเป็น "อำเภอ" และให้ขึ้นอยู่กับจังหวัดพังงา หลังจากนั้นอีก ๑ ปี มณฑลภูเก็ตก็ถูกยุบอีกให้จังหวัดต่างๆ ขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทยจนถึงปัจจุบันนี้ เก็บความจากคณิต เลขะกุล, "พังงาในด้านประวัติศาสตร์" ,อนุสาร อ.ส.ท. (ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๑),หน้า ๒๙-๓๑, หน้า ๕๓-๕๕. ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดพังงา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ดี.แอล.เอส, ๒๕๒๘. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:02:53 สตูล
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงศรีอยุธยา ประวัติความเป็นมาของจังหวัดสตูล ในสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาและในสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวไว้ ณ ที่ใด สันนิษฐานว่าในสมัยดังกล่าวยังไม่มีเมืองสตูล คงมีแต่หมู่บ้านเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ตามที่ราบใกล้ฝั่งทะเล สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สตูลเป็นเพียงตำบลซึ่งอยู่ในเขตเมืองไทรบุรี ฉะนั้นประวัติความเป็นมาของจังหวัดสตูล จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเมืองไทรบุรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าเมืองไทรบุรีชื่อตวนกูอับดุลละ โมกุมรัมซะ ถึงแก่กรรมน้องชายชื่อตนกูดีบาอุดดีน ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการเมือง (รายามุดา) ได้เป็นเจ้าเมืองแทน ต่อมาไม่นานนักก็ถึงแก่กรรมและไม่ปรากฏว่าตวนกูดี-มาอุดดีนมีบุตรหรือไม่ ต่อมาปรากฏว่าบุตรชายของตวนกูอับดุลละ โมกุมรัมซะ จำนวน ๑๐ คน ซึ่งต่างมารดากันได้แย่งชิงกันเป็นเจ้าเมืองไทรบุรี เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ซึ่งเป็นผู้กำกับหัวเมืองฝ่ายตะวันตก จึงได้พิจารณานำตัวตวนกูปะแงรัน และตวนกูปัศนู ซึ่งเป็นบุตรของพระยาไทรบุรี (ตวนกูอับดุลละ โมกุมรัมซะ) เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ณ กรุงเทพฯ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตวนกูปะแงรันซึ่งเป็นบุตรคนโตให้เป็นพระรัตนสงครามรามภักดีศรี ศุลต่านมะหะหมัด รัตนราชบดินทร์ สุรินทวังษาพระยาไทรบุรี และทรงแต่งตั้งตวนกูปัศนู เป็นพระยาอภัยนุราช ตำแหน่งรายามุดา (ผู้ว่าราชการเมือง) ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตน-โกสินทร์ มีข้าศึกยกตีเมืองถลางในปี พ.ศ. ๒๓๕๒ พระยาไทรบุรี (ตวนกูปะแงรัน) ได้ส่งกองทัพจำนวน ๒,๕๐๐ คน ไปช่วยรบกับข้าศึกที่เมืองถลาง และในปี พ.ศ. ๒๓๕๕ พระยาไทรบุรี (ตวนกูปะแงรัน) ได้ยกกองทัพไปตีได้เมือง แป-ระ ทำให้เมืองดังกล่าวเป็นประเทศราชขึ้นต่อกรุงเทพฯ ด้วยความดีความชอบทั้งสองครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศพระยาไทรบุรี (ตวนกูปะแงรัน) เป็นเจ้าพระยาไทรบุรี ต่อมาไม่นานนัก เจ้าพระยาไทรบุรี (ตวนกูปะแงรัน) เกิดแตกร้าวกับพระยาอภัยนุราช (ตวนกูปัศนู) ผู้เป็นรายามุดา ปรากฏข้อความในหนังสือเก่าที่เมืองนครศรีธรรมราชว่าการแตกร้าวเกิดขึ้นเพราะพระยาอภัยนุราชขอเอาที่กวาลามุดาเป็นบ้านส่วย เจ้าพระยาไทรบุรีไม่ยอมให้ที่ดังกล่าวจะให้ที่อื่นแทน พระยาอภัยนุราชไม่ยอมรับ และต่างฝ่ายก็ทำเรื่องราวกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุงเป็นข้าหลวงออกไปว่ากล่าวไกล่เกลี่ยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๖ แต่เจ้าพระยาไทรบุรีกับพระยาอภัยนุราชไม่ปรองดองกัน ในที่สุดจึงโปรดให้ย้าย พระอภัยนุราชไปเป็นผู้ว่าราชการเมืองสตูล ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเมืองไทรบุรี และทรงตั้งตวนกูอิบราฮิมเป็นราคามุดาเมืองไทรบุรี เหตุการณ์ที่เกิดแตกร้าวจึงสงบกันไป ในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับเมืองไทรบุรีในครั้งนี้ไว้ว่า ตามเนื้อความที่ปรากฏดังกล่าวมาแล้ว ทำให้เห็นว่าในเวลานั้น พวกเมืองไทรเห็นจะแตกแยกกันเป็นสองพวก คือพวกเจ้าพระยาไทรปะแงรัน พวก ๑ พวกพระยาอภัยนุราช พวก ๑ พวกพระยาอภัยนุราชคงจะนบน้อมฝากตัวกับเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะเมื่อพระยาอภัยนุราช ได้มาเป็นผู้ว่าราชการเมืองสตูล ซึ่งเขตแดนติดต่อกับเมืองนครศรีธรรมราช พวกเมืองสตูลคงจะมาฟังบังคับบัญชาสนิทสนมข้างเมืองนครศรีธรรมราชมากกว่าเมืองไทย แต่พระยาอภัยนุราชว่าราชการเมืองสตูลได้เพียง ๒ ปี ก็ถึงแก่อนิจกรรมผู้ใดจะได้ว่าราชการเมืองสตูล ต่อมาในชั้นนั้นหาพบจดหมายเหตุไม่ แต่พิเคราะห์ความตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง เข้าใจว่าเชื้อวงศ์ของพระยาอภัยนุราช (ปัศนู) คงจะได้ว่าราชการเมืองสตูลและฟังบังคับบัญชาสนิทสนมกับเมืองนครศรีธรรมราชอย่างครั้งพระยาอภัยนุราชหรือยิ่งกว่านั้น ในปีพุทธศักราช ๒๓๖๓ ได้มีข่าวเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ว่า ข้าศึกเตรียมกองทัพจะยกมาตีเมืองไทย และได้คิดชักชวนเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ให้เข้าเป็นพวกยกมาทำศึกอีกทางหนึ่งด้วย จึงโปรดให้มีท้องตราสั่งออกไปให้สืบสวนและให้กองทัพเมืองนครศรีธรรมราช เมืองสงขลา ไปตั้งต่อเรือที่เมืองสตูล เพื่อเป็นการคุมเมืองไทรบุรีไว้ด้วย ในปีพุทธศักราช ๒๓๖๔ ตนกูม่อม ซึ่งเป็นน้องคนหนึ่งของเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ได้เข้ามาฟ้องต่อเจ้าพระยานครศรีธรรมราชว่า เจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) เอาใจออกห่างและไป เผื่อแผ่แก่ข้าศึก จึงโปรดเกล้าให้มีตราลงไปหาตัวเจ้าพระยาไทรบุรีเข้ามาเพื่อไต่ถาม เจ้าพระยาไทรบุรีได้ทราบท้องตราแล้วก็เลยตั้งแข็งเมือง ต้นไม้เงินต้นไม้ทองก็ไม่ส่งเข้าไปทูลเกล้าถวายตามกำหนด จึงโปรดให้มีตราลงไปยังเมืองนครศรีธรรมราชว่า เจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) เอาใจเผื่อแผ่แก่ข้าศึกเป็นแน่เลยจะละไว้ให้เมืองไทรบุรีเป็นไส้ศึกอีกทางหนึ่งไม่ได้ ให้พระยานครศรีธรรมราชยกกองทัพลงไปตีเมืองไทรบุรีเอาไว้ในอำนาจเสียให้สิทธิ์ขาด ในเวลานั้น พระยานครศรีธรรมราช ได้ต่อเรือรบเตรียมไว้ที่เมืองตรังและเมืองสตูลแล้ว เมื่อได้รับท้องตราให้ไปตีเมืองไทรบุรี จึงได้เตรียมจัดกองทัพ และทำกิติศัพท์ให้ปรากฏว่าจะยกไปตีเมืองมะริดและเมืองตะนาวศรี และได้สั่งให้เจ้าพระยาไทรบุรีเป็นกองลำเลียงส่งเสบียงอาหาร แต่เจ้าพระยาไทรบุรีก็บิดพริ้วไม่ยอมส่งเสบียงอาหารมาให้ พระยานครศรีธรรมราชจึงได้ยกกองทัพบก กองทัพเรือพร้อมด้วยกองทัพเมืองพัทลุง และเมืองสงขลายกทางบกลงไปตีเมืองไทรบุรีพร้อมกัน ได้สู้รบกันเล็กน้อย กองทัพพระยานครศรีธรรมราช ก็ได้เมืองไทรบุรีในปี พ.ศ. ๒๓๖๔ ส่วนเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) หลบหนีไปอยู่ที่เกาะหมาก (เกาะปีนัง) พระยานครศรีธรรมราชจึงให้พระยาภักดีบริรักษ์ (ชื่อ แสง เป็นบุตรของพระยานครศรีธรรมราช) เป็นผู้รักษาเมืองไทรบุรี และให้นายนุช มหาดเล็ก (เป็นบุตรอีกคนหนึ่งของพระยานครศรีธรรมราช) เป็นปลัดอยู่รักษาราชการที่เมืองไทรบุรี ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้ง พระภักดีบริรักษ์เป็นพระยาอภัยธิเบศร์ มหาประเทศราชธิบดินทร์ อินทรไอศวรรย์ ขัณฑเสมาตยาชิตสิทธิสงครามรามภักดี พิริยะพาหะ พระยาไทรบุรี และตั้งนายนุชมหาดเล็ก เป็นพระยาเสนานุชิต ตำแหน่งปลัดเมืองไทรบุรี เมืองไทรบุรีตั้งอยู่ในอำนาจควบคุมดูแลของเมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่ นั้นมา ในปีพุทธศักราช ๒๓๗๓ ตนกูเดน ซึ่งเป็นบุตรของตนกูรายา ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดากันกับเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ได้เที่ยวลอบเกลี้ยกล่อมผู้คนเข้าไปเป็นสมัครพรรคพวกได้มากแล้วก็ยกเข้าไปตีเมืองไทรบุรีได้ พระยาอภัยธิเบศร์ เจ้าเมืองไทรบุรีและคนไทยในเมืองไทรบุรีต้องถอยไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองพัทลุง เจ้าพระยานครศรีธรรมราชทราบเรื่อง แล้วมีใบบอกเข้ามายังกรุงเทพฯ จึงโปรดให้ยกลงไป ๔ กอง คือ พระยาณรงค์ฤทธิโกษา คุมลงไปกองหนึ่ง พระยาราชวังสัน กองหนึ่ง พระยาพิชัยบุรินทรา กองหนึ่ง พระยาเพชรบุรี (ชื่อ ศุข ได้เป็นเจ้าพระยายมราชในรัชกาลที่ ๔) อีกกองหนึ่ง กองทัพทั้ง ๔ กองนี้ ยกลงไปถึงเมืองสงขลาแล้วก็ได้ทราบความว่า เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ได้ยกกองทัพเมืองนครศรีธรรมราชไปยังเมืองไทรบุรีแล้ว ดังนั้นกองทัพกรุงเทพฯ ทั้ง ๔ กอง จึงได้ยกไปทางบริเวณ ๗ หัวเมือง แต่กำลังไม่พอที่จะไปรักษาความสงบได้ เนื่องด้วยเมืองกลันตันและเมืองตรังกานู ได้ยกพวกขึ้นมาช่วยพวกบริเวณ ๗ หัวเมืองด้วย จึงได้มีใบบอกขอกำลังเพิ่มเติมจากกรุงเทพฯ อีก ได้โปรดให้เจ้าพระยาคลัง (ชื่อ ดิศ ได้เป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาราชประยูรวงค์) ในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งในครั้งนั้นดำรงตำแหน่งทั้งที่สมุหพระกลาโหมและกรมท่า เป็นแม่ทัพใหญ่ยกกองทัพเรือตามลงไปอีกทัพหนึ่ง ฝ่ายเจ้าพระยานครศรีธรรมราช ได้ยกกองทัพเมืองนครศรีธรรมราชลงไปยังเมืองไทรบุรี ได้สู้รบกับพวกตนกูเดน และกองทัพไทยได้เข้าล้อมพวกตนกูเดนไว้ ตนกูเดนกับพวกหัวหน้าเห็นว่าจะหนีไม่พ้นแน่ก็พากันฆ่าตัวตาย เจ้าพระยานครศรีธรรมราชได้เมืองไทรบุรีกลับมาเป็นของไทยดังเดิม ในปีพุทธศักราช ๒๓๘๑ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ปรากฏว่าได้เกิดความยุ่งยากขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเมืองไทรบุรีเนื่องจากตนกูมะหะหมัดสหัส ตนกูอับดุลละ ซึ่งเป็นหลานเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) และได้หลบหนีไปเป็นสลัดอยู่ในทะเลฝ่ายตะวันตก ได้กลับยกพวกเข้ามาคบคิดกับหวันมาลี ซึ่งเป็นหัวหน้าสลัดอยู่ที่เกาะยาว แขวงเมืองภูเก็ต เที่ยวชักชวนผู้คนเข้ามาเป็นพวกได้จำนวนมากขึ้นแล้ว จึงได้ยกพวกเข้ามาตีเมืองไทรบุรีอีก ในขณะนั้นพระยาอภัย-ธิเบศร์ (แสง) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองไทรบุรีกับพระยาเสนานุชิต (นุช) ปลัดเมืองไทรบุรีเป็น บุตรเจ้าพระยานครศรีธรรมราชเป็นผู้รักษาเมืองไทรบุรีอยู่และเห็นว่าจะอยู่รักษาเมืองไว้มิได้ จึงต้องถอยมาตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองพัทลุง แล้วมีหนังสือบอกเข้ามายังกรุงเทพฯ ในเวลานั้น ข้าราชการผู้ใหญ่ทางหัวเมืองปักษ์ใต้ ซึ่งเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชและพระยาสงขลา เป็นต้น ได้เข้าไปอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และช่วยงานทำพระเมรุถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระศรีสุลาไลย สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง เมื่อตนกูมะหะหมัดสหัสและหวันมาลีตีได้เมืองไทรบุรีแล้ว ก็มีใจกำเริบ ด้วยรู้แน่ว่า ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทางห้วเมืองปักษ์ใต้ส่วนมากไม่อยู่จึงได้คบคิดกันยกพวกเข้าตีได้เมืองตรัง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเมืองนครศรีธรรมราชได้อีกเมืองหนึ่งครั้นเมื่อได้เมืองตรังแล้ว ก็ยกพวกเข้ามาเพื่อจะตีเมืองสงขลาต่อไปแล้วแต่งคนให้ชักชวนเกลี้ยกล่อมทางบริเวณ ๗ หัวเมือง ให้กำเริบขึ้นอีก เมื่อมีข่าว เข้ามาถึงกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ผู้ว่าราชการเมืองทางปักษ์ใต้รีบกลับออกไปรักษาเมืองทันที ถึงกระนั้นก็ยังทรงพระวิตกอยู่ ด้วยคราวนี้พวกสลัดเข้ามาตีได้เมืองตรัง และยกกำลังประชิดเมืองสงขลาซึ่งเป็นเมืองใหญ่ด้วย เกรงว่าพวกบริเวณ ๗ หัวเมือง ได้แก่ เมืองปัตตานี เมืองหนองจิก เมืองยะหริ่ง เมืองระแงะ เมืองสายบุรี เมืองรามัญ และเมืองยะลา รวมทั้งเมือง กลันตัน ตรังกานู จะกำเริบขึ้นมาอีก จึงทรงพระราชดำริให้จัดกองทัพใหญ่ยกออกไปจากกรุงเทพฯ เหมือนอย่างที่เคยโปรดให้เจ้าพระยาคลัง ออกไปเมื่อคราวก่อน เป็นแต่เปลี่ยนให้เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์-รัตนราชโกษา (ชื่อ ทัด เป็นน้องเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) และได้เป็นเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ ในรัชกาลที่ ๔) ตำแหน่งจางวางพระคลังสินค้าเป็นแม่ทัพยกไปเมืองสงขลา ส่วนเจ้าพระยานครศรีธรรมราชเมื่อไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชแล้ว ก็เกณฑ์ผู้คนจากเมืองนครศรีธรรมราชและเมืองพัทลุง ให้พระยาอภัยธิเบศร์ (แสง) ซึ่งเป็นพระยาไทรบุรี พระยาเสนานุชิต (นุช) ปลัดเมืองไทรบุรี และพระยาวิชิตสรไกร ยกลงไปตีเมืองไทรบุรีคืนจากพวกสลัดที่ยึดเมืองอยู่ เมื่อพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา (ทัด) ยกกองทัพไปตั้งอยู่ ณ เมืองสงขลานั้น ได้ทราบว่าพระยาไทรบุรี พระเสนานุชิต และพระวิชิตสรไกร ยกกองทัพเข้าตีเมืองไทรบุรีคืนได้แล้วในปลายปี พ.ศ. ๒๓๘๑ พระยาศรีพิพัฒน์รัตนโกษา จึงได้จัดการเมืองไทรบุรีให้เป็นที่เรียบร้อยกันต่อไป และได้พิจารณาเห็นว่าพระยาไทรบุรีและพระยาเสนานุชิตเป็นคนไทย จะให้อยู่รักษาเมืองไทรบุรีต่อไปก็จะได้รับความยุ่งยาก เนื่องจากบุตรหลานของเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) จะยกมารบกวนย่ำยีบ้านเมืองอีก ดังนั้น ในปี พ. ศ. ๒๓๘๒ จึงได้จัดแบ่งแยกแขวง อำเภอเมืองไทรบุรีออกเป็น ๔ เมือง คือ ๑. เมืองกุปังปาซู ตั้งให้ตนกูอาเส็น เป็นเจ้าเมือง ๒. เมืองปลิส ตั้งให้เสสอุเส็น เป็นเจ้าเมือง ๓. เมืองสตูล ตั้งให้ตนกูมัดอาเก็บ เป็นเจ้าเมือง ๔. เมืองไทรบุรี ตั้งให้ตนกูอาหนุ่ม เป็นผู้ว่าราชการเมือง เมืองทั้ง ๔ เมืองนี้ คงให้ขึ้นอยู่กับเมืองนครศรีธรรมราชต่อไปดังเดิม สำหรับเมืองสตูลซึ่งตนกูมัดอาเก็บ เป็นเจ้าเมืองนั้นปรากฏว่า ตนกูมัดอาเก็บเป็นวงศ์ญาติของเจ้าเมืองไทรบุรีคนเก่า และตั้งบ้านเรือนอยู่ที่กวาลามุดา แขวงเมืองไทรบุรี ตนกูมัดอาเก็บรับตำแหน่งเจ้าเมืองสตูลอยู่นานถึง ๓๗ ปี ซึ่งได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นพระยาสมันตรัฐบุรินทร์มหินทรายานุวัตรศรีสตูล รัฐจางวางและก็ถึงแก่กรรมในปีนั้น ในหนังสือพงศาวดารเมืองสงขลา กล่าวถึงชื่อผู้ว่าราชการเมืองสตูลไว้ว่า ชื่อตนกูเดหวาได้เป็นพระยาสตูล ดังนั้น จึงเป็นที่เข้าใจว่า ตนกูมัดอาเก็บมีชื่อเรียกกันง่ายๆว่า "ตนกูเดหวา" และที่ได้กล่าวไว้ว่าได้แบ่งเมืองไทรบุรีเป็น ๓ เมืองนั้น ถ้านับดูจำนวนแล้วก็จะเป็น ๔ เมือง รวมทั้งเมืองไทรบุรีด้วย ส่วนรายชื่อผู้ว่าราชการเมืองนั้น พงศาวดารเมืองสงขลากล่าวไว้ไม่ตรงกับพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ คือ สลับชื่อผู้ว่าราชการเมืองไทรบุรีเป็นยมตวัน ที่แท้คือ ตนกูอาหนุ่ม และที่ว่าตนกูอาหนุ่มเป็นพระยาปังปะสู นั้นที่จริงคือ ตนกูอาสัน เป็นเจ้าเมืองกูปังปาซู จะขอนำข้อความในพงศาวดารเมืองสงขลายกมากล่าวอ้างไว้ดังนี้ คือ ส่วนเมืองไทรบุรี พระยาศรีพิพัฒน์แม่ทัพให้พระยาไทรบุรีบุตรเจ้าพระยานคร กลับไปรักษาราชการอยู่ตามเดิม ให้ตนกูเดหวาเปนผู้ว่าราชการเมืองสตูล แต่ให้ขึ้นอยู่กับเมืองสงขลา ให้ปลัดเมืองพัทลุงไปว่าราชการเมืองพัทลุง และยกที่พะโคะ แขวงเมืองพัทลุงให้เปนแขวงเมืองสงขลา พระยาศรีพิพัฒน์ แม่ทัพจัดราชการเรียบร้อยแล้ว จึงมีหนังสือออกไปหาพระยาเพ็ชรบุรีพระสุนทรนุรักษ์ (บุญศรี) ซึ่งรักษาราชการอยู่ที่เมืองสงขลาสองปี และได้สถาปนาพระเจดีย์ไว้บนเขาเมืองสงขลาองค์หนึ่งเสร็จแล้วจึงได้ยกกองทัพกลับเข้าไป ณ กรุงเทพฯ นำข้อราชการขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า เมืองไทรบุรีนั้นครั้นจะให้คนไทยเปนผู้ว่าราชการเมืองสืบต่อไป คงจะไม่เปนการเรียบร้อย ควรแบ่งเมืองไทรบุรีออกเปนสามเมืองเหมือนอย่างเมืองตานี จึงจะเปนปกติเรียบร้อยได้ขอรับพระราชทานให้ยมตวัน ซึ่งเปนพระยาไทรบุรีมาแต่ก่อนเปนพระยาไทรบุรีสืบต่อไป ให้ตนกูอานมเปนพระยาบังปะสู ให้ตนกูเสดอะเส็ม เปนพระยาปลิส ให้ตนกูเดหวาเปนพระยาสตูล แต่ให้ขึ้นอยู่กับเมืองสงขลา ให้พระปลัดเมืองพัทลุงเปนพระยาพัทลุง ส่วนพระยาพัทลุงบุตรเจ้าพระยานครนั้น ควรพาตัวเข้ามาทำราชการเสียในกรุงเทพฯ แต่เมืองพังงานั้นเจ้าเมืองถึงแก่กรรม ขอรับพระราชทานให้พระยาไทรบุรี บุตรเจ้าพระยานครไปเปนพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีตราตั้งเจ้าเมืองแล ผู้ว่าราชการเมือง ออกมาตามความเห็นพระยาศรีพิพัฒน์ แม่ทัพราชการบ้านเมืองก็เปนปกติ ไม่มีขบถสืบต่อมาจนทุกวันนี้ ในหนังสือพงศาวดารเมืองสงขลายังได้กล่าวไว้อีกตอนหนึ่งว่า ครั้นปีมะโรง ฉศก. ศักราช ๑๒๐๖ (พ.ศ. ๒๓๘๗) ถึงกำหนดงวดส่งต้นไม้ทองเงิน เมืองสตูลหาส่งต้นไม้ทองเงินไม่ พระยาสงขลา (เลี้ยนเว้ง) ต้องทำต้นไม้ทองเงินแทนเมืองสตูล แล้วแต่งให้ตนกูเดหวา ทำต้นไม้ทองเงิน เครื่องราชบรรณาการเข้าไปทูลเกล้าฯ ถวายโปรดเกล้าฯ ให้ตนกูเดหวาเป็นพระยาสตูล พระยาสตูล (เดหวา) กราบถวายบังคมลากลับออกมาเมืองสตูล ในปีนั้นพระยาสตูลกับพระยาปลิสวิวาทกันด้วยเรื่องเขตแดน จึงโปรดเกล้าฯ มีตราออกมาให้เมืองนครกับเมืองสงขลา พร้อมกันออกไปชำระสะสางให้เป็นที่ตกลงเรียบร้อยแก่กัน แล้วให้ปักหลักแดนไว้ให้มั่นคง อย่าให้เกิดวิวาทกันต่อไป ครั้งนั้นพระยาสงขลา (เถี้ยนเส้ง) จึงได้มีใบบอกเข้าไปกราบบังคมทูลพระกรุณาพอยกเมืองสตูล ให้ขึ้นอยู่กับเมืองนคร เหตุด้วยเมืองสงขลาบังคับบัญชาเมืองแขก ๗ เมืองเต็มกำลังแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้เมืองสตูลอยู่กับเมืองนครตั้งแต่นั้นมา ในปีพุทธศักราช ๒๔๐๒ ซึ่งอยู่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระยากะบังปะซูถึงแก่กรรม พระยาไทรบุรี เข้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ กรุงเทพฯ กราบบังคมทูลพระกรุณาขอเมืองกะบังปะซูให้รวมอยู่ในเมืองไทรบุรีตามเดิม จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกเมืองกะบังปาซูเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองไทรบุรีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดังนั้นจึงมีเมืองที่มีผู้ว่าราชการเมือง ๓ เมือง คือเมืองไทรบุรี เมืองปลิส และเมืองสตูล อนึ่ง กล่าวกันว่าพระยาไทรบุรีผู้นี้เป็นผู้เข้าออกในกรุงเทพฯ เนืองๆ เหมือนกับผู้สำเร็จราชการหัวเมืองไทย โดยสารเรือกลไฟมาทางเมืองสิงคโปร์บ้าง เดินทางมาลงเรือ ณ เมืองสงขลาบ้าง โปรดเกล้าฯ ให้พระยาไทรบุรีเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เหมือนขุนนางไทยทุกครั้ง เป็นการคุ้นเคยสนิทต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ต่อมาพระยาสตูลมีหนังสือบอกให้พระปักษาวาสะวารณินทร์ ผู้ช่วยราชการซึ่งเป็นบุตร ผู้ใหญ่คุมต้นไม้ทองเงิน เครื่องราชบรรณาการเข้ามายังเมืองนครศรีธรรมราช มีใบบอกให้กรมการล่ามนำเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวาย โดยพระยาสตูลมีหนังสือบอกมาว่า ทุกวันนี้พระยาสตูลชราตามืดมัวแล้วจะว่าราชการเมืองต่อไปมิได้ขอรับ พระราชทานพระปักษาวาสะวารณินทร์ว่าราชการบ้านเมืองต่อไป จึงทรงพระราชดำริว่า พระยาสตูลรักษาบ้านเมืองมามิได้มีเหตุผลเกี่ยวข้องแก่บ้านเมือง ควรจัดการให้สมควร ความปรารถนาพระยาสตูลจึงจะชอบ จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรตั้งพระปักษา-วาสะวารณินทร์ เป็นพระยาอภัยนุราชชาติรายาภักดี ศรีอินดาราวิยาหยา พระยาสตูล ให้เอาเครื่องยศพระยาสตูลคนเก่าพระราชทานแก่พระยาสตูลคนใหม่ แล้วพระราชทานสัญญาบัตรเพิ่มยศพระยาสตูลคนเก่าขึ้นเป็น พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ มหินทราธิรายานุวัตร ศรีสกลรัฐ มหาปธานาธิการ ไพศาล-สุนทรจริต สยามพิชิตภักดี จางวางเมืองสตูล พระราชทานเครื่องยศพานทองโปรดเกล้าฯ ให้มอบสัญญาบัตรเครื่องยศพระยาสตูลคนใหม่ออกไปพระราชทาน ณ เมืองสตูล ในปีพุทธศักราช ๒๔๑๙ จีนเมืองภูเก็ตกบฏฆ่าฟันไพร่บ้านพลเมือง เอาไฟเผากุฏิ วิหาร ตึกเรือนโรงกรมการ ราษฎรแตกตื่นเป็นอันมาก เจ้าหมื่นเสมอใจราช ข้าหลวงรักษาราชการเมืองภูเก็ต มีหนังสือบอกข้อราชการของกองทัพเมืองไทรบุรี เมืองปลิส เมืองสตูล มาช่วยระงับจีนขบฏเมืองภูเก็ต เจ้าพระยาไทรบุรี พระยาปลิส พระยาสตูล ให้คนคุมไพร่รีบยกไปเมืองภูเก็ตทันราชการแล้ว เจ้าพระยาไทรบุรี ได้ไปปรึกษาราชการกับข้าหลวงเมืองภูเก็ต เจ้าพระยาไทรบุรี พระยาปลิส พระยาสตูล นายทัพ นายกอง มีความชอบในราชการแผ่นดินในครั้งนั้นพระยาอภัยนุราช พระยาสตูล ได้รับพระราชทานช้างเผือกสยาม ขั้นที่ ๔ ชื่อ ภูษนาภรณ์ ในปีพุทธศักราช ๒๔๒๒ เจ้าพระยาไทรบุรี (ตนกูอามัด) ถึงแก่อสัญกรรม มีท้องตราโปรดเกล้าฯ ให้พระมนตรีสุริยวงศ์ ข้าหลวงเมืองตรังรับไปฟังราชการ ณ เมืองไทรบุรี พระยามนตรีสุริยวงศ์ ข้าหลวงมีหนังสือบอกให้หลวงโกชาอิศหากถือมา ว่าราชการเมืองไทรบุรีเรียบร้อย พระยาสตูล พระยาปลิส พระอินทรวิไชย พระเกไดสวรินทร์ พระเสรีณรงค์ฤทธิ์ พระเกษตรไทยสกลบุรินทร์ ตนกูอาเด ลงชื่อประทับตราปรึกษาเห็นพร้อมกันว่า เจ้าพระยาไทรบุรีมีบุตรชายใหญ่ ๒ คน คนหนึ่งชื่อ ตนกูไซ-นาระชิด อายุได้ ๒๒ ปี คนหนึ่งชื่อ ตนกูฮามิด อายุ ๑๖ ปี ตนกูไซนาระชิด เป็นที่ควรจะได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณแทนเจ้าพระยาไทรบุรีต่อไป ตนกูฮามิดเป็นน้อง ควรรับราชการรองลงมา จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งตนกูไซนาระชิด เป็นพระยาฤทธิสงครามรามภักดี ศรีศุลต่านมะหะหมัด รัตนราช-มุนนทร์ สุรินทรวิวังษา พระยาไทรบุรี พระราชทานพานทอง ตนกูฮามิด เป็นที่พระเสนีณรงค์ฤทธิ์ รายามุดา พระราชทานพานครอบทอง ในปีพุทธศักราช ๒๔๒๔ พระยาไทรบุรีไซนาระชิดถึงแก่อสัญกรรม พระเสรีณรงค์ฤทธิ์ (ตนกูฮามิด) รายามุดา เข้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ กรุงเทพฯ จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรตั้งพระเสรีณรงค์ฤทธิ์ รายามุดา เป็นพระยาฤทธิสงครามรามภักดี ศรีศุลต่านมะหะหมัด รัตนราชมุนนทร์ สุรินทรวิวังษา พระยาไทรบุรี และต่อมาเลื่อนเป็นเจ้าพระยาฤทธิสงครามภักดี ศรีศุลต่านมะหะหมัด รัตนราชมุนนทร์ สุรินทรวิวังษา ผดุงทนุบำรุงเกดะนคร อมรรัตนาณาเขต ประเทศราชราไชสวริยาธิบดี วิกรมสีหะ เจ้าพระยาไทรบุรี การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล ในปีพุทธศักราช ๒๔๔๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองไทรบุรี เมืองปลิส และเมืองสตูลเป็นมณฑลเทศาภิบาล เรียกว่า มณฑลไทรบุรี โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาไทรบุรีรามภักดี เจ้าพระยาไทรบุรี (อับดุลฮามิด) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลไทรบุรีมีข้อความตามกระแสพระราชดำริในการตั้งมณฑลไทรบุรี ต่อไปนี้คือ "ด้วยมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ให้ประกาศให้ทราบ ทั่วกันว่า ๑. ทรงพระราชดำริเห็นว่า หัวเมืองมลายูฝ่ายตะวันตกมีอยู่ ๓ เมือง คือเมืองไทรบุรี ๑ เมืองปลิส ๑ เมืองสตูล ๑ และหัวเมืองทั้ง ๓ นี้ ควรจะจัดให้มีแบบแผนบังคับบัญชาการเป็นอย่างเดียวกัน ให้ราชการบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ๒. ทรงพระราชดำริเห็นว่าพระยาไทรบุรี (อับดุลฮามิด) มีความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท แลกรุงเทพมหานครเป็นอันมากมาเนืองนิตย์ และมีสติปัญญาอุตสาหะ จัดการเมืองไทรบุรีเจริญเรียบร้อยยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:03:28 สตูล ๒
๓. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งเจ้าพระยาไทรบุรีเป็นข้าหลวงเทศาภิบาล สำเร็จราชการเมืองปลิส ๑ เมืองสตูล ๑ รวมทั้งเมืองไทรบุรีด้วยเป็น ๓ เมือง ๔. ให้เจ้าพระยาไทรบุรี มีอำนาจที่จะตรวจตราบังคับบัญชาผู้ว่าราชการเมืองปลิส เมืองสตูล แลมีคำสั่งให้จัดการบ้านเมืองตามที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตทุกอย่าง เพื่อให้ ราชการบ้านเมืองเหล่านั้นเรียบร้อยและเจริญขึ้นและให้ผู้ว่าราชการเมืองปลิส เมืองสตูล ศรีตวันกรมการเมืองทั้งสองนั้นฟังบังคับบัญชา เจ้าพระยาไทรบุรีในที่ชอบด้วยราชการทุกประการ ๕. ผู้ว่าราชการเมืองปลิส และเมืองสตูลคงมีอำนาจที่จะบังคับบัญชาว่ากล่าวศรีตวันกรมการไพร่บ้านพลเมืองนั้นๆ แลรับผิดชอบในราชการบ้านเมืองทุกอย่าง แต่ต้องกระทำตามบังคับแลคำสั่งของเจ้าพระยาไทรบุรี ตามบรรดาการที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตนั้น ๖. ต้นไม้เงินทองเมืองปลิส เมืองสตูลซึ่งข้าหลวงเทศาภิบาล มณฑลหัวเมืองฝ่ายตะวันตกเคยบอกส่งเข้ามากรุงเทพฯ นั้น แต่นี้ไปเมื่อถึงกำหนดให้เจ้าพระยาไทรบุรีบอกนำส่งเข้ามากรุงเทพฯ ๗. ข้อราชการบ้านเมือง ซึ่งผู้ว่าราชการเมืองปลิส เมืองสตูล เคยมีใบบอกต่อข้าหลวงเทศาภิบาลฝ่ายตะวันตก เพื่อแจ้งข้อราชการหรือหารือราชการก็ดี หรือเพื่อให้บอกเข้ามากรุงเทพฯ ก็ดี แต่นี้ไปให้ผู้ว่าราชการเมืองปลิส เมืองสตูลมีใบบอกไปยังเจ้าพระยาไทรบุรี เพื่อแจ้งข้อราชการหรือหารือราชการหรือเพื่อให้บอกเข้ามากรุงเทพฯ เหมือนเช่นนั้น แต่ในราชการบางอย่างซึ่งเคยเป็นแบบแผนเคยมีท้องตราจากกรุงเทพฯ ตรงไปตามหัวเมืองก็ดี ที่หัวเมืองเคยบอกตรงเข้ามากรุงเทพฯ ก็ดี ก็ให้คงเป็นไปตามแบบแผนเดิมนั้น แต่ต้องแจ้งความให้เจ้าพระยาไทรบุรีทราบด้วย แต่การที่ว่ามาในข้อนี้ ไม่เกี่ยวข้องถึงฎีกาทูลเกล้าฯ ถวายร้องทุกข์หรือเพื่อจะกราบบังคมทูลพระกรุณาต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โดยเฉพาะการเช่นนี้ย่อมเป็นราชประเพณีซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตไว้แก่ข้าทูลละอองธุลีพระบาท แลไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั่วไป มิได้เลือกหน้าใครจะถวายก็ได้ไม่ห้ามปราม ๘. ผลประโยชน์ของผู้ว่าราชการเมืองปลิส เมืองสตูล เคยได้ในตำแหน่งเท่าใดให้คงได้อย่างแต่ก่อน ส่วนผลประโยชน์ ซึ่งผู้ว่าราชการเมืองเหล่านั้นได้เคยให้ประจำตำแหน่งศรีตวันกรมการเท่าใด ถ้าศรีตวันกรมการเหล่านั้นยังรับราชการบ้านเมืองตามสมควรแก่หน้าที่ ก็ให้คงได้รับผลประโยชน์ไปอย่างเดิมและเงินผลประโยชน์ เงินภาษีอากรที่ได้ในเมืองปลิส เมืองสตูล มากน้อยเท่าใด เงินเมืองใดให้จัดจ่ายให้ราชการทำนุบำรุงในเมืองนั้น และให้มีบัญชีทั้งรายรับ และรายจ่ายแยกออกเป็นเมืองๆ อย่าให้ปะปนกัน ๙. ตำแหน่งแลเกียรติยศบรรดาศักดิ์ ผู้ว่าราชการเมืองปลิส เมืองสตูลและศรีตวันกรมการเมืองทั้งสองเมืองนั้น เคยมีมาประการใดก็ให้คงมีอยู่อย่างนั้น การที่จะเลือกสรรตั้งแต่ศรีตวันกรมการผู้ใหญ่เมืองปลิสและเมืองสตูลนั้น ตำแหน่งใดว่างลงให้เจ้าพระยาไทรบุรี ปรึกษาหารือด้วยผู้ว่าราชการเมืองนั้น เลือกสรรผู้ซึ่งสมควรแล้วมีใบบอกเข้ามากราบบังคมทูล เมื่อทรงพระราชดำริเห็นชอบแล้วก็จะได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรตามธรรมเนียม ส่วนแต่งตั้งกรมการผู้น้อยนั้น ให้ผู้ว่าราช-การเมืองปลิส เมืองสตูล หารือต่อเจ้าพระยาไทรบุรี เมื่อเจ้าพระยาไทรบุรีเห็นชอบด้วยแล้วก็ตั้งได้ ๑๐. เจ้าพระยาไทรบุรีต้องมีใบบอกรายงานการที่ได้จัดแลเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเขตแขวงเมืองปลิส และเมืองสตูล เข้ามากราบบังคมทูลเนืองๆ แลบรรดาการที่เจ้าพระยาไทรบุรีจะจัดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในเมืองปลิส เมืองสตูล และการใดก็ให้มีใบบอกเข้ามาขอรับพระราชทานพระบรม-ราชานุญาตตามแบบแผนขนบธรรมเนียมในราชการ" เมืองสตูลได้แยกจากเมืองไทรบุรีอย่างเด็ดขาด ตามหนังสือสัญญาไทยกับอังกฤษเรื่องปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับสหพันธรัฐมลายู ซึ่งลงนามกันที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๒) จากหนังสือสัญญานี้ยังผลให้ไทรบุรีและปลิสตกเป็นของอังกฤษ ส่วนสตูลคงเป็นของไทยสืบมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อปักปันเขตแดนเสร็จแล้ว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดให้เมืองสตูลเป็นเมืองจัตวารวมอยู่ในมณฑลภูเก็ต เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ร.ศ. ๑๒๘ (พ.ศ. ๒๔๕๓) การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย เมืองสตูลก็มีฐานะยกเป็นจังหวัดหนึ่งอยู่ในราชอาณาจักรไทยสืบต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้ คำว่า สตูล มาจากภาษามาลายูว่า สโตย แปลว่ากระท้อน อันเป็นต้นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่ชุกชุมในท้องที่บริเวณเมืองนี้ ซึ่งต่อมาได้รับการตั้งสมญานามเป็นภาษามาลายูว่า นครสโตยมำ-บังสการา หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า สตูล แห่งเมืองพระสมุทรเทวา จังหวัดสตูล แม้จะอยู่รวมกับไทรบุรีในระยะเริ่มแรกก็ตาม แต่จังหวัดสตูลก็เป็นจังหวัดที่มีดินแดนรวมอยู่ในประเทศไทยตลอดมา ระยะแรกๆ จังหวัดสตูลแบ่งการปกครองออกเป็น ๒ อำเภอ กับ ๑ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอมำบัง อำเภอทุ่งหว้า และกิ่งอำเภอละงู ซึ่งอยู่ในการปกครองของอำเภอทุ่งหว้า ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้เปลี่ยนชื่ออำเภอมำบังเป็นอำเภอเมืองสตูล สำหรับอำเภอทุ่งหว้า ซึ่งในสมัยก่อนนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก มีเรือกลไฟจากต่างประเทศ ติดต่อไปมาค้าขายและรับส่งสินค้าเป็นประจำ สินค้าสำคัญของอำเภอทุ่งหว้า คือ พริกไทย เป็นที่รู้จักเรียกตามกันในหมู่ชาวต่างประเทศว่า อำเภอสุไหงอุเป ต่อมาเมื่อประมาณปี ๒๔๕๗ การปลูกพริกไทยของอำเภอทุ่งหว้าได้ร่วงโรยลง จึงทำให้ราษฎรในท้องที่หันมาปลูกยางพาราแทน จึงขาด สินค้าออกที่สำคัญของท้องถิ่น ชาวต่างประเทศที่เข้ามาทำการค้าขายต่างพากันอพยพกลับไปยังต่างประเทศ ราษฎรในท้องที่ก็พากันอพยพไปหาทำเลทำมาหากินในท้องที่อื่นกันมาก โดยเฉพาะได้ย้ายไปตั้งหลักแหล่งกันที่กิ่งอำเภอละงูกันมากขึ้น ทำให้ท้องที่กิ่งอำเภอละงูเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และในทางกลับกัน ทำให้อำเภอทุ่งหว้าซบเซาลง ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๗๓ ทางราชการพิจารณาเห็นว่ากิ่งอำเภอละงูเจริญขึ้น มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นกว่าอำเภอทุ่งหว้า จึงได้ประกาศยกฐานะกิ่งอำเภอละงูเป็นอำเภอ เรียกว่า อำเภอละงู และยุบอำเภอทุ่งหว้าเดิมเป็นกิ่งอำเภอ เรียกว่ากิ่งอำเภอทุ่งหว้า ขึ้นอยู่ในการปกครองของอำเภอละงู ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ กระทรวงมหาดไทยได้ออกพระราชกฤษฎีกายกฐานะกิ่งอำเภอทุ่งหว้าขึ้นเป็นอำเภอเรียกว่า อำเภอทุ่งหว้า เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๖ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ กระทรวงมหาดไทยเห็นว่า ท้องที่อำเภอเมืองสตูล มีอาณาเขตกว้างขวางและมีพลเมืองมาก ท้องที่บางตำบลอยู่ห่างไกลจากอำเภอ เจ้าหน้าที่ออกตรวจตราดูแลความทุกข์สุขของราษฎรไม่ทั่วถึง สภาพท้องที่ โดยทั่วๆ ไป เชื่อว่าจะเจริญต่อไปในภายหน้า จึงประกาศแบ่งท้องที่อำเภอเมืองสตูล ตั้งเป็นกิ่งอำเภอ ๑ แห่ง ให้เรียกว่ากิ่งอำเภอควนกาหลง เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๑๒ ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๑๙ กระทรวงมหาดไทยได้ยกฐานะกิ่งอำเภอ ควนกาหลง ขึ้นเป็นอำเภอให้ชื่อว่า อำเภอควนกาหลง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ กระทรวงมหาดไทยเห็นว่าท้องที่กิ่งอำเภอควนกาหลง อำเภอ เมืองสตูล มีอาณาเขตกว้างขวางและมีพลเมืองมาก ท้องที่บางตำบลอยู่ห่างไกลจากอำเภอ เจ้าหน้าที่ออกตรวจตราดูแลความทุกข์สุขของราษฎรไม่ทั่วถึง สภาพท้องที่โดยทั่วไป เชื่อว่าจะเจริญต่อไปในภายหน้า จึงประกาศแบ่งท้องที่กิ่งอำเภอควนกาหลง ตั้งเป็นกิ่งอำเภอ ๑ แห่ง เรียกชื่อว่า กิ่งอำเภอท่าแพ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ กระทรวงมหาดไทยเห็นว่าท้องที่อำเภอเมืองสตูล มีอาณาเขตกว้างขวางและมีพลเมืองมาก ท้องที่บางตำบลอยู่ห่างไกลจากอำเภอ เจ้าหน้าที่ออกตรวจตราดูแลความทุกข์สุขของราษฎรไม่ทั่วถึง สภาพท้องที่โดยทั่วๆ ไป เชื่อว่าจะเจริญต่อไปในภายหน้า จึงประกาศแบ่งท้องที่อำเภอเมืองสตูล ตั้งเป็นกิ่งอำเภอ ๑ แห่ง เรียกว่า กิ่งอำเภอควนโดน เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ ปัจจุบันนี้ จังหวัดสตูล แบ่งการปกครองออกเป็น ๕ อำเภอ ๑ กิ่งอำเภอ คือ ๑. อำเภอเมืองสตูล ๒. อำเภอละงู ๓. อำเภอทุ่งหว้า ๔. อำเภอควนกาหลง ๕. อำเภอควนโดน ๖. กิ่งอำเภอท่าแพ (ขึ้นอยู่กับการปกครองของอำเภอเมืองสตูล) ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดสตูล.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น กรมการปกครอง,๒๕๓๒. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:03:59 ยะลา
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา-สมัยธนบุรี ดินแดนอันเป็นที่ตั้งของจังหวัดยะลาในปัจจุบันนี้ แต่เดิมจะเป็นท้องที่บริเวณหนึ่งในเมืองปัตตานียังไม่ได้แยกออกมาเป็นเมือง ดังนั้นจึงต้องกล่าวถึงเรื่องราวเบื้องต้นที่เกี่ยวกับเมืองปัตตานี เมืองปัตตานีมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชของไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยตลอดจนถึงสมัยอยุธยาตอนต้น โดย นายโทเม ปิเรส (TOME PIRES) ชาวโปรตุเกสผู้เข้ามาอยู่ในมะละกาเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ได้บันทึกว่า ในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ.ศ. ๑๙๑๓-๑๙๓๑) พระองค์ทรงได้ธิดาของมุขมนตรีแห่งปัตตานีคนหนึ่งเป็นพระสนม๑ ในฐานะเมืองประเทศราช ปัตตานีมีหน้าที่ส่งเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายทุก ๓ ปี ซึ่งในข้อนี้ ลาลูแบร์ (LA LOUBERE) อัครราชทูตฝรั่งเศส ซึ่งมากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑) ได้ยืนยันว่าปัตตานีต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองอย่างละต้น เข้ามาถวายพระมหากษัตริย์ไทยทุกสามปี ปัตตานีเป็นเมืองประเทศราชของไทยเรื่อยมาจนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าใน พ.ศ. ๒๓๑๐ ปัตตานีจึงตั้งตนเป็นอิสระ ในสมัยธนบุรี (พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕) ปัตตานีได้ส่งเครื่องราชบรรณาการต่อไประยะหนึ่ง จนถึงปลายสมัยธนบุรีซึ่งเกิดความวุ่นวายภายใน ปัตตานีจึงเป็นอิสระอีก สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๕๒) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการปรับปรุงการปกครองหัวเมืองปัตตานี โดยให้เมืองสงขลาเป็นผู้ควบคุมดูแลเมืองปัตตานี (แต่เดิมเมืองปัตตานีอยู่ในความดูแลของเมืองนครศรีธรรมราช) นอกจากนี้ได้แบ่งเมืองปัตตานีออกเป็น ๗ เมือง คือ ปัตตานี ยะหริ่ง สายบุรี ยะลา รามัน ระแงะ และหนองจิก จึงนับว่าเมืองยะลาได้แยกมาตั้งเป็นเมืองในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ใน พ.ศ. ๒๓๓๔๒ เมืองยะลาเมื่อแยกออกจากเมืองปัตตานีแล้วมีอาณาเขตดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับเมืองหนองจิก ทิศใต้ ตั้งแต่เขาปะวาหะมะ ไปทางทิศตะวันออก ถึงเขาปะฆะหลอ สะเตาะเหนือ บ้านจินแหร จนถึงคลองท่าสาป จดบ้านบันนังสตา ทิศตะวันออก ติดต่อกับเมืองยะหริ่ง ตั้งแต่หมู่บ้านโหละเปาะยาหมิง มีสายน้ำยาวไปจดคลองท่าสาป ทิศตะวันตก ติดต่อเมืองไทรบุรี มีคลองบ้านบาโงย แขวงเมืองเทพา เป็นเขตขึ้นไปจนถึงบ้านยินงต่อไปจนถึงบ้านเหมาะเหลาะ ส่วนเจ้าเมืองที่ปกครองเมืองยะลานั้น ปรากฏหลักฐานว่าก่อน พ.ศ. ๒๓๖๐ มีต่วนยะลา เป็นพระยายะลา โดยตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบ้านยะลา ซึ่งนับว่าเป็นสถานที่ตั้งตัวเมืองยะลาครั้งแรก ต่อมาพระยายะลา (ต่วนยะลา) ถึงแก่กรรม พระยาสงขลา (เถี้ยนเส้ง) ซึ่งว่าราชการเมืองสงขลา ให้ต่วนบางกอก ซึ่งเป็นบุตรพระยายะลา รักษาราชการเมืองยะลา แล้วนำความขึ้นไปกราบบังคมทูลให้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงทราบ ซึ่งได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามความประสงค์ของพระยาสงขลา และพระราชทานตราตั้งให้พระยาสงขลาเชิญออกไปตั้งให้ต่วนบางกอกเป็นพระยายะลา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๖๐ โดยยังคงว่าราชการอยู่บ้านเจ้าเมืองคนเก่า ไม่ได้ย้ายเมืองไป ที่อื่น ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยายะลา (ต่วนบางกอก) ร่วมกับพระยาปัตตานี (ต่วนสุหลง) พี่ พระยาหนองจิก (ต่วนกะจิ) น้อง และพระยาระแงะ (หนิเดะ) คิดกันเป็นกบฎ โดยตีบ้านพระยายะหริ่ง (พ่าย) แล้วเข้าตีเมืองจะนะ เมืองเทพา พระยาสงขลามีใบบอกเข้ามากรุงเทพฯ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาเพชรบุรีเป็นแม่ทัพออกไปสมทบช่วยเมืองสงขลา ครั้งกองทัพพระยาเพชรบุรีออกไปถึงเมืองสงขลาก็รวบรวมกำลังสมทบกับกองทัพพระยาสงขลายกออกไปตีตั้งแต่เมือง จะนะ เมืองเทพา ตลอดจนถึงเมืองระแงะ จับพระยาปัตตานี พระยายะลา พระยาหนองจิก ได้ที่ตำบลบ้านโต๊ะเดะ ในเขตแขวงเมืองระแงะ ส่วนพระยาระแงะหนีไปได้ ในระหว่างนั้นพระยาสงขลาได้ให้หลวงสวัสดิ์ภักดี (ยิ้มซ้าย) ซึ่งเป็นผู้ช่วยราชการเมืองยะหริ่งไปรักษาราชการเมืองยะลา หลวงสวัสดิ์ภักดีก็ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลวังตระ แขวงเมืองยะลา เมื่อหลวงสวัสดิ์ภักดี ไปเป็นเจ้าเมืองยะหริ่งแล้ว พระยาสงขลาก็ได้นำตัวนายเมือง ซึ่งเป็นบุตรพระยายะหริ่ง (พ่าย) เข้ากรุงเทพ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตราตั้งให้นายเมืองเป็นพระยายะลา โดยได้รับพระราชทานนามบรรดาศักดิ์ว่า พระยาณรงค์ฤทธี ศรีประเทศวิเศษวังษา (เมือง)๓ ซึ่งได้เป็นเจ้าเมืองยะลาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๙๐ โดยตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลท่าสาป ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ (พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๑) ต่วนบาตูปุเต้ เป็นพระยายะลา ครั้งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โปรดเกล้าฯ ตั้งให้ต่วนกะจิ บุตรพระยายะลา (ต่วนบาตูปุเต้) เป็นเจ้าเมืองยะลา ปรากฏหลักฐานว่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีใบบอกจากเจ้าเมืองยะลาเพื่อแจ้งรายการเก็บภาษีขาเข้ามายังกรุงเทพฯ ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๒๙-๒๔๓๒ โดยพระยายะลาได้จัดให้เถ้าแก่แฮและหันเฉียง เป็นผู้เก็บเงินภาษีขาเข้าที่บ้านท่าสาปในอัตราร้อยชักสาม ซึ่งปรากฏว่า มีลูกค้าทั้งไทย จีน บรรทุกสินค้ามาขายที่ท่าสาปอย่างคับคั่ง สำหรับสินค้าที่มีการซื้อขายและเก็บภาษี ได้แก่ ไม้ขีดไฟ ผ้าขาว ผ้าลาย ผ้าดำ ธูปจีน เกลือ ด้ายสีต่าง ๆ (สีดำ ขาว เหลือง) น้ำมันมะพร้าว ยาแดง กุ้งแห้ง น้ำตาล กรวด น้ำตาลโตนด กะทะเหล็ก ปลาเค็ม ข้าว๔ จากหลักฐานนี้แสดงให้เห็นว่าบริเวณบ้านท่าสาปเป็นที่ตั้งของเมืองยะลา ซึ่งมีความเจริญและเป็นย่านการค้าของเมืองยะลาในสมัย รัชกาลที่ ๕ การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้มีการปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาค โดยดำเนินการปกครองแบบเทศาภิบาล สำหรับบริเวณ ๗ หัวเมือง ก็ได้ประกาศข้อบังคับสำหรับ ปกครองบริเวณ ๗ หัวเมือง ร.ศ. ๑๒๐ กำหนดให้บริษัท ๗ หัวเมือง (ประกอบด้วยเมืองปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง สายบุรี ยะลา ระแงะ และรามันห์) มีพระยาเมือง เป็นผู้รักษาราชการบ้านเมือง แต่ละเมืองต่างมีหน่วยบริหารราชการของตนเอง แต่จะมีข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณเป็นผู้ควบคุมการดำเนินงานทั่วไป โดยอยู่ภายใต้การดูแลของข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ในแต่ละเมืองจะมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ดังนั้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระยาศักดิ์เสนี (หนา บุนนาค) ซึ่งเป็นข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณได้แบ่งแต่ละเมืองเป็นอำเภอต่าง ๆ ๑. เมืองปัตตานี แบ่งเป็น ๒ อำเภอ คือ อ.กลางเมืองกับ อ.ยะรัง ๒. เมืองรามัน แบ่งเป็น ๒ อำเภอ คือ อ.กลางเมืองกับ อ.เบตง ๓. เมืองหนองจิก แบ่งเป็น ๒ อำเภอ คือ อ.กลางเมืองกับ อ.เมืองเก่า ๔. เมืองสายบุรี แบ่งเป็น ๓ อำเภอ คือ อ.กลางเมือง, อ.ยิงอ และ อ.บางนรา ๕. เมืองระแงะ แบ่งเป็น ๓ อำเภอ คือ อ.กลางเมือง, อ.โต๊ะโมะ และ อ.สุไหงปาดี ๖. เมืองยะหริ่ง แบ่งเป็น ๓ อำเภอ คือ อ.กลางเมือง, อ.ปะนาเระ และ อ.ระเกาะ ๗. เมืองยะลา แบ่งเป็น ๓ อำเภอ คือ อ.กลางเมือง, อ.ยะหา และ อ.กะลาพอ แต่ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๐ ได้แบ่งเมืองยะลาออกเป็น ๒ อำเภอ คือ อ.เมืองและ อ. ยะหา๕ ต่อมาในวันที่ ๒๗ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้ประกาศตั้งหัวเมืองทั้ง ๗ เป็นมณฑลปัตตานี โดยยุบเมืองเล็ก ๆ ลงเหลือ ๔ เมือง คือ ๑) รวมเมืองหนองจิก ยะหริ่ง ปัตตานี ขึ้นเป็นเมืองปัตตานี ๒) รวมเมืองรามัน ยะลา ขึ้นเป็นเมืองยะลา ๓) เมืองสายบุรียังคงเป็นเมืองสายบุรี (ภายหลังยุบเป็นตำบลตะลุบัน อำเภอสายบุรี) ๔) เมืองระแงะยังคงเป็นเมืองระแงะ (ภายหลังรวมตั้งเป็นจังหวัดนราธิวาส) โดยมีพระยาศักดิ์เสนีเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลปัตตานี ซึ่งได้ปรากฏหลักฐานว่าในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ พระยาศักดิ์เสนีได้ตรวจราชการมณฑลปัตตานี ซึ่งรวมถึงการตรวจราชการเมืองยะลาด้วย และจาก รายงานการตรวจราชการทำให้ทราบถึงสภาพของเมืองยะลาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทั้งในด้านการปกครองเศรษฐกิจ ตลอดจนปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น๖ การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน ในปลายปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ประกาศยุบเลิกมณฑลปัตตานี ทั้งนี้ เพราะการคมนาคมสะดวกขึ้นการดูแลปกครองบังคับบัญชาทำได้รัดกุมยิ่งขึ้น และเพื่อประหยัดรายจ่ายเงินแผ่นดิน และต่อมาได้มีการปรับปรุงการปกครองหัวเมืองตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร จังหวัดยะลาก็เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยสืบต่อมาจนทุกวันนี้ ๖ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก กองจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร เอกสารรัชกาลที่ ๕ ม.๒.๑๔/๗๓ ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดยะลา. ยะลา : ยะลาการพิมพ์, ๒๕๒๙. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:04:39 สงขลา
สงขลา มาจากคำว่า สิงขร แปลว่า ภูเขา ตามสภาพที่ตั้งเมืองซึ่งปรากฏ ป้อมกำแพง และคูเมือง บนภูเขา ค่ายม่วง และทางตอนล่างบริเวณบ้านบนเมือง ตำบลหัวเขา ที่ได้ชื่อว่าเมืองสงขลานั้นมาจากคำว่า สิงขร+นคริน เดิมเป็นภาษาบาลี (มคธ) เมื่อเรียกชื่ออย่างไทยแล้ว เมืองสิงขร (สิงขะระ) เรียกควบเป็นสงขลา ชาวปอร์ตุเกสที่มาค้าขายสมัยอยุธยา เรียกว่า สิง-กอ-ลา (SINGOLA) เมืองสงขลา ปรากฏชื่อครั้งแรกในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ขึ้นเสวยราชย์ กรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๑๘๙๓ ว่าเป็นเมืองประเทศราชในจำนวน ๑๖ เมือง ที่ตั้งตัวเมืองในสมัยนี้ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลหัวเขา อำเภอเมืองสงขลา (บริเวณเขาค่ายม่วง) เมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๓ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงค์ กับพวกทำการแย่งราชสมบัติ ปลดพระ อาทิตวงศ์ จากราชบัลลังก์ แล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่าพระเจ้าปราสาททอง เป็นเหตุให้หัวเมืองต่าง ๆ แข็งเมือง เมืองสงขลาก็แข็งเมืองด้วย กรุงศรีอยุธยายกทัพมาปราบหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนถึง พ.ศ. ๒๒๒๓ สมเด็จพระนารายณ์ ส่งกองทัพมาปราบเมืองสงขลาได้ และยอมขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาตลอดมา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าจึงเกิดก๊กต่าง ๆ ขึ้นสงขลารวมอยู่ในก๊กเจ้านคร เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีปราบก๊กเจ้านครได้ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๓ เจ้านครและเจ้าเมืองสงขลา หนีไปยังเมืองปัตตานี พระเจ้าตากสินเสด็จเมืองสงขลา ประทับอยู่ ๑ เดือนแล้ว ทรงแต่งตั้งให้ชาวเมืองสงขลาคนหนึ่งชื่อโยม เป็นพระสงขลา ต่อมามีพระราชดำริ พระสงขลา(โยม) หย่อนสมรรถภาพ จึงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงอินทคีรีสมบัติ (เหยี่ยง แซ่เฮา) นายอากร รังนกเกาะสี่ เกาะห้า เป็นพระสงขลา เจ้าเมืองสงขลา (นายเหยี่ยง แซ่เฮา เป็นต้นสกุล ณ สงขลา) ส่วนพระสงขลา (โยม) ให้เข้ารับราชการในกรุงธนบุรี ครั้น พ.ศ. ๒๓๗๔ ตนกูเดน ซึ่งเป็นกบฎต่อไทยและหนีไปเกาะหมาก (ปีนัง) กับเจ้าพระยาไทรปะแงรัน ผู้เป็นบิดาได้คบคิดกับพวกเมืองไทรบุรี เมืองปัตตานี ยะหริ่ง ยะลา ให้เป็นกบฎยกทัพมาตีเมืองสงขลา แต่เจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) ยกทัพมาปราบพวกกบฎไม่คิดต่อสู้ ทัพตามลงไปจนถึงเมืองเประ การปราบจึงสำเร็จ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองสงขลามาตั้งฝั่งตะวันออก คือ ตั้งเมืองในเขตเทศบาลปัจจุบันเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๗ ใน พ.ศ. ๒๓๘๔ โปรดเกล้าฯ ให้จัดแจงฝังหลักเมืองสงขลา พระราชทานเทียนชัย หลักชัยพฤกษ์ กับเครื่องไทยทาน ออกมาให้พระยาสงขลาฝังหลักเมือง พระยาสงขลาจัดทำโรงพิธีกลาง และโรงพิธีสี่มุมเมืองกับโรงพิธีพราหมณ์ ในเดือน ๔ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ปีขาล จัตวาศก ๑๒๐๔ เวลาเช้าโมง ๒ บาท (วันศุกร์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๔ ปีขาล พ.ศ. ๒๓๘๕ เวลา ๐๗.๑๐ นาฬิกา ) ปัจจุบันศาลเจ้าหลักเมืองอยู่ที่ถนนนางงาม ใน พ.ศ. ๒๔๐๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเมืองสงขลา ถึงสงขลาเมื่อเดือน ๙ แรม ๗ ค่ำ เวลาบ่าย ๕ โมงเศษเรือพระที่นั่งกำปั่นกลไฟมณีเมขลา มาจอดที่เกาะหนู โปรดให้พระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์) ผู้สำเร็จราชการเมืองเข้าเฝ้าและพระองค์ประทับที่พระราชวังแหลมทราย ปรึกษาข้อราชการและประพาสเมืองสงขลา ๙ ทิวา กับ ๘ ราตรี ก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ ใน .ศ. ๒๔๑๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสอินเดียเมื่อเสด็จกลับผ่านทางไทรบุรี เสด็จพระราชดำเนินโดยสกลมาร์ค ตามเส้นทางถนนตัดใหม่ แล้วเสด็จประทับเรือพระที่นั่งสู่กรุงเทพมหานครฯ ใน พ.ศ. ๒๔๓๑ พระยาวิเชียรคีรี (ชุ่ม) ได้ถึงแก่อนิจกรรม เมืองสงขลาว่างผู้สำเร็จราชการเมืองอยู่ ๖ วัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จประพาสเมืองสงขลาโปรดเกล้าให้หลวงวิเศษภักดี (ชม) เป็นพระยาสุนทรานุรักษ์ เป็นผู้รักษาราชการเมืองสงขลาและโปรดเกล้าให้พระยาสุนทรา นุรักษ์เป็นพระยาวิเชียรคีรีผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราโชวาทเพื่อปรับปรุงการปกครองได้ปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาลเมืองสงขลา จึงเป็นที่ตั้งของมณฑลนครศรีธรรมราช ต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๕ เมื่อพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ประกาศใช้เมืองสงขลาจึงเป็นที่ตั้งภาค ฯ ภายหลังเมื่อยุบเลิกการปกครองแบบภาคแล้วก็ตาม จังหวัดสงขลาก็เป็นที่ตั้งของเขตและภาคอยู่ ปัจจุบันมีส่วนราชการส่วนกลาง ๑๔๐ ส่วน ส่วนภูมิภาค ๓๒ ส่วน ส่วนท้องถิ่น ๑๗ ส่วน และรัฐวิสาหกิจ ๒๘ ส่วน ที่มา : พิธีเปิดอาคารสำนักงานเทศบาลเมืองสงขลา.เทมการพิมพ์, ๒๕๒๘ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:04:58 นราธิวาส
ประวัติเมืองนราธิวาส เดิมมีฐานะเป็นเพียงอำเภอหนึ่ง เรียกว่า อำเภอบางนรา ขึ้นอยู่กับเมืองสายบุรี ต่อมาได้โอนไปขึ้นกับเมืองระแงะ ดังนั้นการที่จะทราบถึงประวัติความเป็นมาของเมือง นราธิวาส จะต้องกล่าวถึงเรื่องราวของเมืองปัตตานี เมืองสายบุรีและเมืองระแงะ ซึ่งเป็นบริเวณหัวเมือง เป็นลำดับติดต่อกันไป ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีรับสั่งให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยกกองทัพหลวงลงมาปักษ์ใต้ เพื่อปราบปรามข้าศึกที่ยกเข้ามารุกรานพระราชอาณาเขตทางใต้ เมื่อข้าศึกแตกพ่ายหนีไปหมดแล้วจึงได้เสด็จไปประทับ ณ เมืองสงขลา แล้วได้มีรับสั่งออกไปถึงหัวเมืองมลายูทั้งหลาย ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นกับกรุงศรีอยุธยามาแต่ก่อนให้มาอ่อนน้อมเหมือนดังเดิม พระยาไทรบุรี พระยาตรังกานู ยอมอ่อนน้อมโดยดี แต่พระยาปัตตานีตั้งแข็งเมืองไม่ยอมอ่อนน้อม จึงได้รับสั่งให้ยกกองทัพลงไปตีเมืองปัตตานี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๒ เมื่อได้เมืองปัตตานีแล้ว ก็โปรดเกล้าพระราชทานตราตั้งให้พระยาสงขลา (บุญฮุย) เป็นพระยาปัตตานี และให้อยู่ในความกำกับดูแลของเมืองสงขลาต่อไป และตั้งให้เป็นเมืองตรี ขึ้นอยู่กับกรุงรัตนโกสินทร์โดยตรง ในระหว่างที่พระยาปัตตานี (ขวัญซ้าย) ว่าราชการเมืองปัตตานีอยู่นั้น บ้านเมืองสงบเรียบร้อยเป็นปกติสุขตลอดมา ครั้นต่อมาเมื่อพระยาปัตตานี (ขวัญซ้าย) ถึงแก่กรรมลง โปรดเกล้าฯ ให้นายพ่าย น้องชายของพระยาปัตตานี (ขวัญซ้าย) ขึ้นว่าราชการเป็นพระยาปัตตานีและแต่งตั้งให้นายยิ้มซ้าย บุตร พระยาปัตตานี (ขวัญซ้าย) เป็นหลวงสวัสดิภักดี ผู้ช่วยราชการเมืองปัตตานี และได้ย้ายที่ว่าการเมืองปัตตานีจากบ้านมะนา (อ่าวนาเกลือ) ไปตั้งที่บ้านยามู ในระหว่างนั้นพวกซาเห็ดรัตนาวงศ์ฯ และพวกโมเซฟได้เริ่มก่อกวนความสงบสุขของบ้านเมือง โดยคบคิดกันเข้าปล้นบ้านพระยาปัตตานี (พ่าย) และบ้านหลวงสวัสดิภักดี (ยิ้มซ้าย) ผู้ช่วยราชการเมืองปัตตานี แต่ก็ได้ถูกตีถอยหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ตำบลบ้านกะลาพอ เขตเมืองสายบุรี นอกจากนั้นเมืองปัตตานีมีอาณาเขตกว้างขวาง และมีโจรผู้ร้ายปล้นบ้านเรือนราษฎร ชุกชุมยิ่งขึ้น จนเหลือกำลังที่พระยาปัตตานี (พ่าย) จะปราบให้สงบราบคาบลงได้ก็แจ้งข้อราชการไปยังเมืองสงขลา พระยาสงขลา (เถี้อนจ๋อง) ออกมาปราบปรามและจัดวางนโยบายแบ่งแยก เมืองปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๕ แล้วทูลเกล้าถวายรายชื่อเมืองที่แยกออกไปดังนี้ คือ เมืองปัตตานี เมืองหนองจิก และเมืองยะลา เมืองรามัน เมืองระแงะ เมืองสายบุรี และเมืองยะหริ่ง ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาอภัยสงคราม กับพระยาสงขลา (เถี้อนจ๋อง) เป็นผู้เชิญตราตั้งออกไปพระราชทานแก่เจ้าเมืองทั้ง ๗ หัวเมือง ตามรายชื่อที่จัดไว้ ดังนี้ ๑. ตั้งให้ตวนสุหลง เป็น พระยาปัตตานี ๒. ตั้งให้ตวนหนิ เป็น พระยาหนองจิก ๓. ตั้งให้ตวนยะลอ เป็น พระยายะลา ๔. ตั้งให้ตวนหม่าโล่ เป็น พระยารามัน ๕. ตั้งให้หนิเดะ เป็น พระยาระแงะ ๖. ตั้งให้หนิดะ เป็น พระยาสายบุรี ๗. ตั้งให้นายพ่าย เป็น พระยายะหริ่ง ระเบียบแบบแผนและวิธีปฏิบัติราชการในสมัยนั้น สำหนับเมืองยะหริ่ง เมืองยะลา และเมืองหนองจิก ให้ใช้ตามแบบเมืองสงขลาทั้งสิ้น ส่วนเมืองปัตตานี เมืองสายบุรี เมืองระแงะ และเมือง รามัน ให้พระยาสงขลา (เถี้ยนเส็ง) แต่งตั้งกรรมการออกไประวังตรวจตราและแนะนำข้อราชการอยู่เป็นประจำ บ้านเมืองจึงสงบเรียบร้อยตลอดมา เมื่อแบ่งแยกหัวเมืองปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง ในครั้งนั้นพระยาระแงะ (หนิเดะ) ตั้ง บ้านเรือนว่าราชการอยู่ที่ตำบลบ้านระแงะ ริมพรมแดนติดต่อกับเขตเมืองกลันตัน ซึ่งเป็นต้นทางที่จะไปยังโต๊ะโมะ เหมืองทองคำ ส่วนพระยาสายบุรี (หนิดะ) ตั้งบ้านเรือนว่าราชการอยู่ที่ตำบลบ้านยี่งอ (อำเภอยี่งอปัจจุบัน) บ้านเมืองเป็นปกติสุขเรียบร้อยอยู่หลายปี ต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาปัตตานี (ตวนสุหลง) พระยาหนองจิก (ตวนกะจิ) พระยายะลา (ตวนบางกอก) พระยาระแงะ (หนิเดะ) เจ้าเมืองทั้ง ๔ ได้ สมคบร่วมคิดกันเป็นกบฏขึ้นในแผ่นดิน โดยรวบรวมกำลังพลออกตีบ้านพระยายะหริ่ง (พ่าย) แล้วเลยออกไปตีเมืองเทพฯ และเมืองจะนะ พระยาสงขลา (เถื้ยนเส้ง) ทราบข่าว ก็มีใบบอกเข้าไปยังกรุงเทพฯ สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ โปรดเกล้าให้พระยาเพชรบุรี เป็นแม่ทัพบก ออกมาสมทบช่วยกำลังเมืองสงขลาออกทำการปราบปรามตั้งแต่เมืองจะนะ เมืองเทพฯ ตลอดถึงเมืองระแงะ ตัวพระยาระแงะ (หนิเดะ) ซึ่งเป็นสมัครพรรคพวกร่วมคิดกันเป็นกบฏกับพระยาปัตตานีนั้นหนีรอดตามจับไม่ได้ พระยาเพชรบุรีและพระยาสงขลา (เถี้ยนเส้ง) พิจารณาเห็นว่าในระหว่างที่ทำการรบอยู่ นั้น หนิบอสู ชาวบ้านบางปูซึ่งพระยายะหริ่งแต่งตั้งให้เป็นกรมการเมืองยะหริ่ง ได้เป็นกำลังสำคัญ และได้ทำการสู้รบด้วยความกล้าหาญยิ่ง ด้วยคุณงามความดี อันนี้ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็น ผู้รักษาราชการเมืองระแงะสืบต่อจากพระยาระแงะ (หนิเดะ) ที่หนีไป และได้ย้ายที่ว่าราชการ เมืองระแงะจากบ้านระแงะริมพรมแดนติดต่อกับเขตเมืองกลันตันมาตั้งที่ว่าราชการเสียใหม่ ณ ตำบลตันหยงมัส (อำเภอระแงะปัจจุบัน) ต่อมาเมื่อพระยาระแงะ (หนิบอสู) ถึงแก่กรรมลง โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ตวนโหนะ บุตรพระยาระแงะ (หนิบอสู) ว่าราชการเมืองระแงะแทน มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาคีรีรัตนพิศาล ตั้งบ้านเรือนว่าราชการเมืองอยู่ที่บ้านพระยาระแงะ (หนิบอสู) บิดา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๔ ถึงกำหนดเวลาที่บริเวณ ๗ หัวเมืองจะต้องนำต้นไม้เงินต้นไม้ทอง และเครื่องราชบรรณาการเข้าไปทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าแผ่นดิน ณ กรุงรัตนโกสินทร์ แล้วเจ้าเมืองทั้ง ๗ ได้เข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีด้วยความพร้อมเพรียงกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรปูนบำเหน็จความดีความชอบให้ และได้ใช้สืบต่อกันมาจนกระทั่งยุบเลือกการปกครองบริเวณ ๗ หัวเมือง ดังนี้ ๑. เจ้าเมืองปัตตานี พระยาวิชิตภักดี ศรีสุรวังษา รัตนาเขตประเทศราช ๒. เจ้าเมืองหนองจิก พระยาเพชรภิบาลนฤเบศร์ วาปีเขตร์มุจลินทร์นฤบดินทร์สวา- มิภักดิ์ ๓. เจ้าเมืองยะลา พระยาณรงค์ฤทธิ์ ศรีประเทศวิเศษวังษา ๔. เจ้าเมืองสายบุรี พระยาสุริยสุนทรบวรภักดี ศรีมหารายา มัตตาอับดุล วิบูลย์ขอบเขตร์ ประเทศมลายู ๕. เจ้าเมืองรามัน พระยารัตนภักดี ศรีราชบดินทร์ สุรินทรวิวังษา ๖. เจ้าเมืองยะหริ่ง พระยาพิพิธเสนามาตรดาธิบดี ศรีสุรสงคราม ๗. เจ้าเมืองระแงะ พระยาภูผาภักดี ศรีสุวรรณประเทศ วิเศษวังษา ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศกฎข้อบังคับสำหรับปกครองบริเวณ ๗ หัวเมือง เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงให้ยกเลิกการปกครองแบบเก่าเสียเพราะการแบ่งเขตแขวงการปกครองและตำแหน่งหน้าที่ราชการในหัวเมืองทั้ง ๗ ยังก้าวก่ายกันอยู่หลายอย่าง หลายประการ จึงได้วางระเบียบแบบแผนการปกครองและตำแหน่งหน้าที่ราชการให้เป็นระเบียบตามสมควรแก่การสมัย โดยให้หัวเมืองทั้ง ๗ คงเป็นเมืองอยู่ตามเดิม และให้พระยาเมืองเป็นผู้รักษาราชการต่างพระเนตรพระกรรณ มีกองบัญชาการเมืองให้พระยาเมืองเป็นหัวหน้าปลัดเมือง ยกกระบัดเมือง และผู้ช่วยราชการเมือง รวม ๔ ตำแหน่ง รองตามลำดับ นอกนั้นให้มีกรมการชั้นรองเสมียนพนักงานตามสมควร เพื่อให้ราชการบ้านเมืองเป็นไปโดยสะดวกดีและอาณาประชาราษฎร์มีความอยู่เย็นเป็นสุข โดยมิให้กระทบกระเทือนต่อขนบธรรมเนียมประเพณี และสิ่งที่งามทั้งหลายในหัวเมืองเหล่านั้นแต่ประการใด สำหรับการตรวจตราแนะนำข้อราชการเมืองทั้งปวง ให้เป็นหน้าที่ของข้าหลวงใหญ่ ประจำบริเวณ ๗ หัวเมือง คนหนึ่งมีหน้าที่ออกแนะนำข้อราชการเพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับของท้องตรากรุงเทพฯ และสอดคล้องกับคำสั่งของข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชอีกด้วย พระยาเมืองที่รับราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยดี ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระ- ราชทานผลประโยชน์ให้พอเลี้ยงชีพและรักษาบรรดาศักดิ์ตามสมควรแก่ตำแหน่ง และพระราชทานผลประโยชน์ที่เก็บได้เพื่อหักค่าใช้จ่ายไว้เป็นเงินสำหรับบำรุงบ้านเมืองเป็นปีๆ ไป แล้วอีกส่วนหนึ่งด้วย ถ้าต้องออกจากราชการในหน้าที่ด้วยเหตุผลทุพพลภาพ ด้วยเหตุประการหนึ่งประการใดก็ดี จะได้รับพระราชทานเบี้ยเลี้ยงบำนาญอีกต่อไป เรื่องการศาล จัดให้มีศาลเป็น ๓ ชั้น คือ ศาลบริเวณ ศาลเมือง ศาลแขวง มีผู้พิพากษาสำหรับศาลเหล่านั้นพิจารณาคดีตามพระราชกำหนดกฎหมาย เว้นแต่คดีแพ่งที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดก ซึ่งอิสลามิกชนเป็นโจทก์และจำเลย หรือเป็นจำเลยให้ใช้กฎหมายอิสลามแทนบทบัญญัติกฎหมายแพ่งพาณิชย์ เว้นแต่บทบัญญัติว่าด้วยอายุความมรดกยังคงต้องใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บังคับ การใช้กฎหมายอิสลามในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีดังกล่าวตามข้อบังคับสำหรับการปกครองบริเวณ ๗ หัวเมือง ร.ศ. ๑๒๐ เรียกตุลาการตำแหน่งนี้ว่า โต๊ะกาลี ต่อมาจึงได้มีข้อกำหนดไว้ในศาลตรากระทรวงยุติธรรม ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๔๖๐ เรียกตำแหน่งนี้ว่า ดาโต๊ะยุติ-ธรรม เพื่อให้สอดคล้องกับตำแหน่ง เสนายุติธรรม ในมณฑลพายับ ดาโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้รู้และเป็นที่นับถือของอิสลามิกชนเป็นผู้พิพากษาตามกฎหมายอิสลาม ต่อมาได้มีการประกาศพระบรมราชโองการ ให้จัดตั้งมณฑลปัตตานีเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ มีสาระสำคัญว่า แต่ก่อนมาจนถึงเวลานี้บริเวณ ๗ หัวเมือง มีข้าหลวงใหญ่ ปกครองขึ้นอยู่กับข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ทรงพระตำหนิเห็นว่าทุกวันนี้ การค้าขายในบริเวณ ๗ หัวเมือง เจริญขึ้นมากและการไปมาถึงกรุงเทพฯ ก็สะดวกกว่าแต่ก่อน ประกอบกับบริเวณ ๗ หัวเมืองมีท้องที่กว้างขวางและมีจำนวนผู้คนมากขึ้น สมควรจะแยกออกเป็นมณฑลหนึ่งต่างหาก ให้สะดวกแก่ราชการ และจะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนได้ จึงแยกบริเวณ ๗ หัวเมืองออกมาจากมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง เรียกว่า มณฑลปัตตานี ให้พระยาศักดิ์เสนีเป็นข้าหลวงเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลปัตตานี ในมณฑลปัตตานีมีเมืองที่เข้ามารวม ๔ เมือง คือ เมืองปัตตานี (รวมเมืองหนองจิก ยะริ่ง และเมืองปัตตานี) เมืองยะลา (รวมเมืองรามันและเมืองยะลา) เมืองสายบุรีและเมืองระแงะ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ได้ย้ายที่ว่าราชการเมืองระแงะจากตำบลบ้านตันหยงมัสมาตั้งที่บ้านมะนารอ (บางมะนาวปัจจุบัน) อำเภอบางนรา ส่วนท้องที่เมืองระแงะ และยกฐานะอำเภอบางนราขึ้นเป็นเมืองบางนรา มีอำเภอในเขตปกครอง คือ อำเภอบางนรา อำเภอตันหยงมัส กิ่งอำเภอยะบะ อำเภอสุไหงปาดี กิ่งอำเภอโต๊ะโมะ ครั้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระพาสมณฑลปักษ์ใต้ เมื่อเสด็จมาถึงเมืองบางนราทรงพระราชทานพระแสงราชศัตราแก่เมืองบางนราและทรงดำริเห็นว่าบางนรานั้นเป็นชื่อตำบลบ้านและควรที่จะมีชื่อเมืองไว้เป็นหลักฐานสืบไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองบางนราเป็นเมืองนราธิวาส ตั้งแต่วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ ได้มีการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคครั้งใหญ่ให้ เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นจังหวัด ฉะนั้น เมืองนราธิวาส จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นจังหวัดนราธิวาส ดังเช่นปัจจุบันนี้ ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริเห็นว่าการที่แบ่งเขตเป็นมณฑลและจังหวัดไว้แต่เดิมนั้น เวลานี้การคมนาคมสะดวกขึ้นมาพอที่จะรวมการปกครอง บังคับบัญชาให้กว้างขวางยิ่งขึ้นแล้ว จึงเป็นการสมควรที่จะยุบมณฑลและจังหวัดเพื่อประหยัดรายจ่ายของแผ่นดิน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบเลิกมณฑล ๔ มณฑล จังหวัด ๙ จังหวัด เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๔ ในการประกาศยุบเลิกมณฑลครั้งนี้ มีมณฑลปัตตานีเป็นมณฑลหนึ่งด้วย และให้รวมจังหวัดต่างๆ ของมณฑลปัตตานีเข้าไว้ในปกครองของมณฑลนครศรีธรรมราช มีศาลารัฐมณฑลตั้งอยู่ที่จังหวัดสงขลา ส่วนจังหวัดที่ประกาศยุบเลิกมี สายบุรีจังหวัดหนึ่งด้วย โดยให้รวมท้องที่เป็นอำเภอเข้าไว้ในปกครองของจังหวัดปัตตานี เว้นท้องที่อำเภอบาเจาะ ให้ขึ้นอยู่ในความปกครองของจังหวัดนราธิวาส ครั้นต่อมา ท้องที่อำเภอของจังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเจริญยิ่งขึ้น กระทรวงมหาดไทยจึงได้ประกาศยกฐานะกิ่งอำเภอโต๊ะโมะเป็นอำเภอแว้ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ประกาศยกฐานะกิ่งอำเภอยะบะ เป็นอำเภอรือเสาะ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ ประกาศยกฐานะตำบลสุไหงโก ลก ขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑ และประกาศยกฐานะเป็นอำเภอ สุไหงโก-ลก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ ประกาศตั้งกิ่งอำเภอศรีสาคร โดยรวมเอาตำบลจากอำเภอรือเสาะ ๒ ตำบล คือ ตำบลสากอ และตำบลตะมะยูง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ และยกฐานะเป็นอำเภอศรีสาคร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ ประกาศตั้งกิ่งอำเภอสุคีริน โดยแยกตำบลมาโมงจากอำเภอแว้ง แล้วตั้งตำบลมาโมง ตำบลสุคีริน และตำบลเกียร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ประกาศตั้งกิ่งอำเภอจะแนะ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่มา : สำนักงานจังหวัดนราธิวาส หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:05:17 ภูเก็ต
นายสุนัย ราชภัณฑารักษ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต (พ.ศ. ๒๕๑๒ ๒๕๑๘) ผู้ริเริ่มศึกษาค้นคว้ารวบรวมประวัติจังหวัดภูเก็ต ได้ศึกษาวิเคราะห์ความเป็นมาของจังหวัดภูเก็ตไว้ในหนังสือเรื่อง ท้าวเทพกระษัตรี สรุปความว่า เกาะภูเก็ตเดิมจะต้องเป็นแหลมเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ของประเทศ เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ดีบุก จะต้องมีผู้คนอาศัยในบริเวณนี้มาแต่สมัยโบราณ โดยมีชื่อเมืองที่มีมาแต่เดิมและเพี้ยนมาเรียกชื่อว่า เมืองถลาง ข้อสรุปดังกล่าวนี้พิจารณาได้จากหลักฐานที่เกี่ยวข้องที่สำคัญ คือ ปโตเลมี (Ptolemy) นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก ซึ่งมีชีวิตอยู่ประมาณ พ.ศ. ๖๔๓ พ.ศ. ๗๑๓ ได้ระบุไว้ในตำราภูมิศาสตร์ว่า การเดินทางจากสุวรรณภูมิลงมาทางใต้ไปยังแหลมมลายูนั้น จะต้องผ่านแหลมจังซีลอน (Junk Ceylon) ในหนังสือจีนเขียนโดย เจาซูกัว (Tchao Jau Kaua) พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๑๗๖๘ ได้ระบุชื่อเมืองสิลัน (Si - Lan) และว่าเมืองสิลันเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรศรีวิชัย ในสัญญาทำการค้าขายระหว่างไทยกับฮอลันดา ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๗ ก็ปรากฏชื่อเมืองโอทจังซูลางห์ หรือ โอทจังซาลัง อยู่ในสัญญาด้วย ๑ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงนิพนธ์ไว้ว่า เกาะถลางนั้นที่ทำไร่นาได้ มีแต่ทางเหนือ จึงตั้งเมืองถลางอยู่แต่ข้างเหนือแต่เดิมมา ตอนข้างใต้ไม่มีที่ทำไร่นา แต่มีดีบุกมากมีแต่คนหาปลาอยู่ริมทะเลกับคนไปตั้งขุดหาแร่ดีบุกอยู่ชั่วคราว แต่ดีบุกเป็นของต้องการใช้ราชการมาแต่โบราณ จึงตั้งเมืองภูเก็ตเป็นเมืองขึ้นของเมืองถลางมาแต่สมัยศรีอยุธยา ๒ นอกจากนั้นในรายงานของกัปตัน James Forrest ซึ่งได้นำเรืออังกฤษชื่อ โทมัส ฟอร์เรส (Thomas Forrest) ได้ทำรายงานตีพิมพ์ในกรุงลอนดอน เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๕ ระบุว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๗ ได้เดินทางมาถึงเกาะ Jan Sylon ซึ่งเรือจากอินเดียมายังหมู่เกาะมะริด มาแวะพักที่เกาะจังซีลอน (Jan Sylon) ตั้งอยู่ห่างฝั่งตะวันออกของอ่าวเบงกอลและเกาะจังซีลอนแยกจากแผ่นดินใหญ่โดยช่องแคบอันเต็มไปด้วยทรายยาวประมาณครึ่งไมล์ ช่องแคบนี้จะถูกน้ำท่วมในเวลาน้ำขึ้น (น้ำขึ้นสูงสุดประมาณ ๑๐ ฟุต) และตอนเหนือสุดของช่องแคบก็เป็นท่าเรือที่ดีเยี่ยม เรียกว่า ปากพระ (Popra)๓ จากหลักฐานที่เกี่ยวข้องข้างต้น นายสุนัย ราชภัณฑารักษ์ ได้วิเคราะห์ถ้อยคำต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ดังนี้ คำว่า Junk ของปโตเลมี หรือ Jan ของกัปตันฟอร์เรส หรือ โอทจัง ในสัญญาที่ไทยทำกับฮอลันดานั้น มาจากคำว่า อุยัง หรือ อุยุง (Ujung) ซึ่งแปลว่า ปลายสุด หรือ แหลม ส่วนซีลอน (Ceylon) หรือ ซีลัง (Sylan) นั้นคงจะมาจากคำว่า ลาแล ซึ่งแปลว่า หญ้าคา หรือคำว่า สิแร ซึ่งแปลว่า พลู ทั้งสองคำนี้เป็นภาษาพื้นเมืองเดิมของคนที่อยู่ในแถบนี้มาก่อน ซึ่งเดี๋ยวนี้เรียกกันว่า ชาวน้ำ หรือ ชาวเล (คือ ชาวทะเล) แล้วชาวมลายูก็รับเอาไปใช้อยู่ในปัจจุบัน ส่วนไทยนั้น ก็ได้เอามาใช้อยู่คำหนึ่ง คือ สิแร ซึ่งแปลว่า พลู แต่ได้เอามาออกเสียงเพี้ยนเป็น สะรี เช่นเดียวกับมลายู ซึ่งใช้คำว่า Sirih กับ สิรา คำว่า สิรี นั้น ภายหลังได้เขียนเป็น สรี และ ศรี ไปเสียด้วย แล้วเลยเอาไปยกให้เป็นคำบาลีสันสกฤต กลายเป็นของสูง เป็นราชาศัพท์ว่า พระศรี และความหมายก็แปรไป ไม่หมายถึงพลูโดยเฉพาะ แต่หมายเอาทั้งหมากและพลูรวมกัน เช่น พานใส่หมากใส่พลู ก็เรียก พานพระศรี คำ ลาแล กับ สิแร ทั้งสองนี้เป็นชื่อชาวพื้นเมืองเดิมใช้เรียกสถานที่บนเกาะนี้มาแต่ก่อน อุยังลาแลก็คือ แหลมทางตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเราเปลี่ยนเรียกเป็นชื่อไทยว่า แหลมหญ้าคา หรือ แหลมคม แหลมคา แล้วจึงกลายเป็นแหลมกา ไปในปัจจุบัน นอกจากนั้น คำ หญ้าคา นี้ ยังเอาไปใช้เป็นชื่อตำบล เรียกกันว่า ตำบลทุ่งคา ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งเมืองภูเก็ต แล้วเลยเรียกอำเภอที่ตั้งเมืองภูเก็ตว่า อำเภอทุ่งคา ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่ออำเภอทุ่งคา เป็น อำเภอเมืองภูเก็ตและได้แยกตำบลทุ่งคาออกเป็นหลายตำบล ซึ่งทุ่งคาก็เลยหายสาบสูญไป ฝรั่งเรียกทุ่งคาว่า ทองคา หรือ ตองคา และยังใช้เป็นชื่อบริษัทเหมืองแร่ ทุ่งคาฮาเบอร์ อยู่ ทั้งนี้เป็นการยืนยันว่าบนแหลม หรือบนเกาะนี้เดิมเป็นดงหญ้าคา จึงได้ชื่อว่า อุยังลาแล หรือ แหลมหญ้าคา มาแต่เดิม๔ ปัญหาการเรียกชื่อสถานที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิมที่เกี่ยวกับจังหวัดภูเก็ต สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายไว้ ดังนี้ และยังถอดเป็นหนังสือฝรั่งเศสเสียอีกทีหนึ่งด้วย แล้วเราจะมาถอดกลับเป็นภาษาไทยอีก จะถูกได้เป็นอันยาก จะถวายตัวอย่าง เช่น ตำบลทุ่งคา (เมืองถลาง) ฝรั่งเขียนตัวฝรั่งว่า Tongka ที่จริง ฝรั่งฟังผิดนิดเดียวคือ ทุง เป็น ท่ง แต่ไทยเราเอามาแปลกลับเป็นว่า ตองแก ผิดไปไกล ...๕ สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงสนับสนุนว่า ..นึกถึงคำฝรั่งที่เขียน Tongka เรามาแปลเป็นไทยกันว่า ตองแก และคำว่า แพรกบ้านนาย ฝรั่งเขียนเป็น Prek Ban Nai แปลกันว่า ปริกบ้านใน รู้สึกว่าแปล ๓ ที แล้วกินตาย .๖ ภูเก็ตสมัยศรีวิชัย สุโขทัย เนื่องจากเกาะภูเก็ต แต่เดิมมีลักษณะเป็นแหลมยื่นออกมาจากแผ่นดินใหญ่ ส่วนที่เป็น จังหวัดพังงาหรือตะกั่วป่า ปัจจุบันนี้ และจังหวัดพังงาหรือเมืองตะกั่วป่านั้น เดิมเคยมีชื่อเสียงปรากฎอยู่ในภูมิศาสตร์การเดินเรือของนักเดินเรือมาก่อนว่าเป็นเมืองที่มีท่าจอดเรือดีมาก และมีสินค้าสำคัญคือแร่ดีบุก นักเดินเรือโบราณรู้จักแหลมตะกั่วป่าและแหลมที่เป็นเมืองภูเก็ตนี้ ในชื่อรวมกันว่า ตักโกละ นายสุนัย ราชภัณฑารักษ์ ได้ค้นคว้าและรวบรวมเรื่องราวของเมืองตะกั่วป่า และได้อธิบายไว้ว่า เมืองตักโกละ เป็นเมืองเก่ามีชื่อมาแต่โบราณ ซึ่งเข้าใจว่าได้สร้างขึ้นในสมัยที่ชาวอินเดียจากแคว้นกลิงคราฐ อพยพหลบภัยสงครามสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ. ๒๗๐) มาอยู่ในแหลมมลายู ต่อมาเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๙ เมืองตักโกละก็รวมเข้ากับอาณาจักรตามพรลิงค์ ซึ่งตั้งตัวเป็นอิสระจากอาณาจักรฟูนัน และเป็นอาณาจักรไทย อาณาจักรแรกบนแหลมมลายู แล้วภายหลังก็ได้ตกไปอยู่ในอำนาจของอาณาจักรศรีวิชัย พร้อมกับอาณาจักรตามพรลิงค์ เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ๗ ต่อมาเมื่ออาณาจักรศรีวิชัยสิ้นอำนาจลงในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อาณาจักรตามพรลิงค์กลับมีอำนาจขึ้นใหม่บนแหลมมลายู และเปลี่ยนชื่อเรียกว่า อาณาจักรศิริธรรมนคร ได้รวมเข้ากับอาณาจักรสุโขทัย และเปลี่ยนเรียกชื่อว่า เมืองนครศรีธรรมราช ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แล้วเมืองตักโกละก็ได้รวมอยู่ในราชอาณาจักรไทยตลอดมา สำหรับชื่อ ตักโกละ นั้น คงจะได้เปลี่ยนเป็น ตะกั่วป่า ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง เพราะในรัชกาลนั้นพ่อขุนรามคำแหงได้ทรงประดิษฐ์ลายสือไทยขึ้น ใช้ในแว่นแคว้นต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร เพื่อให้เป็นตัวหนังสือสำหรับชนชาติไทยทั้งมวลใช้ร่วมกันแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่การที่หนังสือ ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช เรียกว่า เมืองตะกั่วถลาง มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรศิริธรรมนครนั้น ก็คงเป็นเพราะผู้เขียนตำนานได้เขียนขึ้นในสมัยเมื่อเปลี่ยนชื่อแล้ว จึงเรียกตามชื่อใหม่ที่ใช้กันอยู่ ในสมัยที่เขียนตำนาน เมืองตะกั่วป่าในสมัยสุโขทัยกลับเป็นเมืองใหญ่ขึ้นอีกด้วยเหตุมีแร่ดีบุกเป็นสินค้าสำคัญ จึงได้แยกออกไปตั้งเป็นเมืองเล็ก ๆ ขึ้นกับเมืองตะกั่วป่าอีกหลายเมือง คือ เมืองตะกั่วทุ่ง ซึ่งไปตั้งเมืองอยู่ที่ชายทะเลลงไปทางใต้ มีพื้นที่เป็นทุ่งราบ คือ ที่แถบบ้านบางคลี อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ปัจจุบัน อันเป็นพื้นที่อุดมไปด้วยแร่ดีบุกเช่นเดียวกัน จึงเรียกว่า เมืองตะกั่วทุ่ง เพื่อให้คู่กับเมืองตะกั่วป่า เมืองกรา หรือ เมืองกระ ซึ่งย้ายไปจากปากน้ำตะกั่วป่า เมืองนี้โบราณเขียน ก็รา หรือ ก็ระ จึงกลายเป็นเกาะรา หรือ เกาะระอยู่ในปัจจุบัน เมืองคุระ ซึ่งอาจจะแยกออกจาก เมืองกระบน เกาะระมาตั้งอยู่บนฝั่งตำบลคุระ กิ่งอำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า ซึ่งก็มีความหมายเช่นเดียวกันว่า เมืองปากน้ำ คุระ ก็เพี้ยนมาจาก กระ เมืองคีรีรัฐ อยู่บนเขาในตำบลบางวัน กิ่งคุระบุรี ปัจจุบันเรียกเพี้ยนไปเป็น บ้านคุรอด และ เมืองพระบุรี ซึ่งตั้งอยู่ตรงช่องแคบระหว่างเกาะภูเก็ตกับผืนแผ่นดินใหญ่ ส่วนเมืองถลางบนเกาะภูเก็ตในสมัยนั้น ก็คงจะขึ้นอยู่กับเมืองตะกั่วป่าด้วย จึงเป็นเหตุให้ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช เรียกชื่อควบคู่กันไปว่า เมืองตะกั่วถลาง ภูเก็ตสมัยกรุงศรีอยุธยา ครั้นถึงกลางสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ (พ.ศ. ๒๑๔๘ - ๒๑๖๓) จึงปรากฎชื่อ เมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองถลาง เป็นหัวเมืองขึ้นฝ่ายกลาโหมทั้ง ๓ เมือง ซึ่งคงเป็นเพราะในสมัยนั้นได้เริ่มทำการค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น หัวเมืองชายทะเลตะวันตกซึ่งมีแร่ดีบุกมาก จึงมีความสำคัญยิ่งขึ้น เพราะเป็นสินค้าที่ต่างประเทศต้องการมาก ดังจะเห็นได้จากการที่สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม รัชกาลต่อมา ได้พระราชทานที่ดินแถบปากแม่น้ำเจ้าพระยา ให้พวกฮอลันดาสร้างสถานีเก็บสินค้า เมื่อ พ.ศ. ๒๑๖๙ และยังให้ตั้งสาขาขึ้นที่ภูเก็ตกับนครศรีธรรมราช เพื่อทำการรับซื้อแร่ดีบุกเป็นสำคัญอีกด้วย ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ออกญามหาเสนาสมุหพระกลาโหม เป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองเชียงใหม่ไม่สำเร็จ แต่ภายหลังออกญาโกษาธิบดี (ขุนเหล็ก) เป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองเชียงใหม่ได้เมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๕ จึงโปรดให้ยกหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งหมด รวมทั้ง เมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองถลาง จากฝ่ายกลาโหม ไปขึ้นกับโกษาธิบดี หรือ กรมท่า เพื่อเป็นบำเหน็จความชอบในราชการสงคราม เมืองตะกั่วป่า ได้เป็นหัวเมืองชั้นตรี ขึ้นฝ่ายกรมท่ามาตลอดสมัยศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือ สาส์นสมเด็จ ว่า เกาะถลางนั้น ที่ทำไร่นาได้มีแต่ทางข้างเหนือ จึงตั้งเมืองถลางอยู่ข้างเหนือแต่เดิมมา ตอนข้างใต้ไม่มีที่ทำไร่นา แต่มีดีบุกมาก มีแต่คนหาปลาอยู่ริมทะเล กับคนไปตั้งขุดหาแร่ดีบุกอยู่ชั่วคราว แต่ดีบุกเป็นของต้องการใช้ราชการมาแต่โบราณ จึงตั้งเมืองภูเก็ตเป็นเมืองขึ้นของเมืองถลางมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ๘ ภูเก็ตสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) สมุหพระกลาโหม มีความชอบในราชการสงครามปราบปรามพม่า จึงโปรดให้ยกหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งหมดกลับคืนมาขึ้นฝ่ายกลาโหมตามเดิม ต่อมา พ.ศ. ๒๓๒๘ พม่าได้แต่งกองทัพเรือยกมาตี เมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่งแตกยับเยิน แต่ไปตีเมืองถลางไม่ได้ เพราะท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร ต่อสู้ป้องกันเมืองไว้ได้ ภายหลังเมื่อเสร็จการสงครามแล้ว จึงโปรดให้ เจ้าพระยาสุรินทราชา (จันทร์ ต้นสกุล จันทโรจวงศ์) ไปเป็นผู้สำเร็จราชการหัวเมืองชายทะเลตะวันตกอยู่ที่เมืองถลาง เมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง จึงไปขึ้นกับเมืองถลางอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาพอขึ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ พม่าก็ยกทัพเรือมาตีเมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง ได้อีกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๒ เพราะเมืองทั้งสองนี้เพิ่งจะเริ่มฟื้นฟูใหม่ ผู้คนพลเมืองก็ยังน้อย เมื่อทัพพม่ายกมา ก็พากันอพยพหลบหนีเข้าป่าไปหมด พม่าจึงไม่ต้องรบ พม่าได้เมืองตะกั่ว เมืองตะกั่วทุ่ง แล้วก็เลยไปตีเอาเมืองถลางได้ด้วยในคราวนี้ เมื่อพม่ามาตีเมืองตะกั่วป่าแตกใน พ.ศ. ๒๗๒๘ นั้น ตัวเมืองยังคงอยู่ที่ เขาเวียง เพราะปรากฎว่าพม่าได้ขนเอาเทวรูปทั้ง ๓ องค์ ลงมาจากเทวสถาน จะเอาไปด้วย แต่เมื่อยกลงมาจากยอดเขา มาถึงริมลำน้ำ เผอิญเกิดพายุใหญ่ฝนตกหนัก พม่าต้องหนีน้ำจึงทิ้งเทวรูปไว้ ตำบลนี้ก็เลยมีชื่อเรียกว่า ตำบลหลังพม่า เพราะพม่าให้หลังที่ตรงนี้ ตำบลหลังพม่านี้ อยู่ในเขตอำเภอกะปง จังหวัดพังงา ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ตำบลรมณีย์ เมื่อเมืองเก่าบนเขาเวียงแตกแล้ว พลเมืองจึงได้ย้ายมาตั้งเมืองใหม่ ที่บ้านตำตัว อยู่ได้ไม่นาน ถึง พ.ศ. ๒๓๕๒ ก็ถูกพม่ามาขับไล่แตกไปอีก ในคราวนี้ผู้คนพลเมืองได้หนีไปตั้งอยู่ในป่า ซึ่งภายหลังก็ได้กลายเป็นหมู่บ้านตะกั่วป่า ตำบลโคกเคียน อำเภอตะกั่วป่า เมื่อกองทัพกรุงยกมาขับไล่พม่าไปหมดแล้วเห็นว่าหัวเมืองชายทะเลตะวันตกยับเยินหนัก และยังไม่ไว้ใจ เกรงว่าพม่าจะมารุกรานอีก จึงมิได้ตั้งเป็นหัวเมืองขึ้นกรุงเทพฯ เหมือนเดิม แต่ให้ยกเมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองถลาง ไปขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชทั้งหมด ต่อมาเมื่อถึง พ.ศ. ๒๓๘๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชดำริที่จะทำนุบำรุงหัวเมืองชายทะเลตะวันตก ให้กลับคืนดังเดิม ประกอบกับหมดห่วงในการศึกกับพม่า เพราะพม่าได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษไปแล้ว จึงกลับตั้งเมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง เป็นหัวเมืองขึ้นฝ่ายกลาโหมตามเดิม และยังได้ยกเมืองพังงาเป็นหัวเมืองขึ้นกรุงเทพฯ ฝ่ายกลาโหมอีกเมืองหนึ่งในคราวนี้ด้วย ส่วนเมืองถลางนั้น ได้กลับตั้งเป็นหัวเมืองขึ้นกรุงเทพฯ ไปตั้งแต่ก่อน พ.ศ. ๒๓๘๐ และเมื่อได้มีการปรับปรุงระบบการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ โดยรวมหัวเมืองชายทะเลตะวันตกตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ เมืองตะกั่วป่าจึงมาขึ้นกับมณฑลภูเก็ต ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีหลักฐานระบุว่า เมื่อราคาดีบุกสูงขึ้น และมีคนไปตั้งขุดแร่มากขึ้นโดยลำดับ ได้มีการแต่งตั้งหลวงมหาดไทยชื่อ ทัด เป็นกรรมการเมืองถลาง ไปปกครองดูแล และตั้งหลักแหล่งหาเลี้ยงชีพด้วยทำการขุดแร่ดีบุกที่ตำบลทุ่งคา อันเป็นมูลของชื่อที่ฝรั่งเรียกเมืองภูเก็ต .. ต่อมาหลวงมหาดไทยได้เป็นที่พระภูเก็ต เจ้าเมือง แต่ยังขึ้นอยู่กับเมืองถลาง มาจนถึงรัชกาลที่ ๔ พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม) ออกไปสักเลขที่เมืองภูเก็ต ไปขอนางสาวเลื่อม ธิดาพระภูเก็ต (ทัด) ให้แต่งงานกับพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชื่น) บุตรคนใหญ่ ต่อมาไม่ช้า เมืองภูเก็ตได้เลื่อนขึ้นเป็น เมืองจัตวา ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ พระภูเก็ตก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น พระยาภูเก็ตโลหะเกษตรารักษ์ ทำนุบำรุงเมืองภูเก็ตจนเติบใหญ่ ๙ การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงนิพนธ์ไว้ในเรื่อง นิทานเรื่องเทศาภิบาล ๑๐ความว่า ประเพณีการปกครองหัวเมืองในสมัยโบราณใช้อยู่หลายอย่าง ประเทศทางตะวันออกดูเหมือนจะใช้แบบเดียวกันทุกประเทศ ในกฎหมายเก่าของไทย เช่น กฎมณเฑียรบาล เป็นต้น เรียกวิธีการปกครองว่า กินเมือง ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น ว่าราชการเมือง วิธีการปกครองที่เรียกว่า กินเมือง นั้น หลักเดิมคงมาแต่ถือว่าผู้เป็นเจ้าเมือง ต้องทิ้งกิจธุระของตนมาประจำทำการปกครองบ้านเมือง ให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากภัยอันตราย ราษฎรก็ต้องตอบแทนคุณเจ้าเมืองด้วยออกแรงช่วยทำการงานให้บ้าง หรือแบ่งสิ่งของซึ่งทำมาหาได้ เช่น ข้าวปลาอาหาร เป็นต้น อันมีเหลือใช้ ให้เป็นของกำนัล ช่วยอุปการะ มิให้เจ้าเมืองต้องเป็นห่วงในการหาเลี้ยงชีพ ราษฎรมากด้วยกัน ช่วยคนละเล็กละน้อย เจ้าเมืองก็อยู่เป็นสุขสบาย รัฐบาลในราชธานีไม่ต้องเลี้ยงดู จึงได้ค่าธรรมเนียมในการต่าง ๆ ที่ทำในหน้าที่เป็นตัวเงินสำหรับใช้สอย กรมการซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองก็ไดัรับผลประโยชน์ทำนองเดียวกัน เป็นแต่ลดลงตามศักดิ์ ต่อมาความเปลี่ยนแปลงทำให้การเลี้ยงชีพต้องอาศัยเงินตรามากขึ้นโดยลำดับผลประโยชน์ที่เจ้าเมืองกรมการได้รับอย่างโบราณไม่พอเลี้ยงชีพ จึงต้องคิดหาผลประโยชน์เพิ่มพูนขึ้นทางอื่น เช่น ทำไร่นาค้าขาย เป็นต้น ให้มีเงินพอใช้สอยกินอยู่เป็นสุขสบาย เจ้าเมืองกรมการมีอำนาจที่จะบังคับบัญชาการต่าง ๆ ตามตำแหน่ง และเคยได้รับอุปการะของราษฎรเป็นประเพณีมาแล้ว ครั้นทำมาหากินก็อาศัยตำแหน่งในราชการ เป็นปัจจัยให้ได้ผลประโยชน์สะดวกดีกว่าบุคคลภายนอก เปรียบดังเช่น ทำนา ก็ได้อาศัย บอกแขก ขอแรงราษฎรมาช่วยหรือจะค้าขายเข้าหุ้นกับผู้ใดก็อาจสงเคราะห์ผู้เป็นหุ้นให้ซื้อง่ายขายคล่อง ได้กำไรมากขึ้น แม้จนเจ้าภาษีนายอากรได้รับผูกขาดไปจากกรุงเทพฯ ถ้าให้เจ้าเมืองกรมการมีส่วนด้วย ก็ได้รับความสงเคราะห์ให้เก็บภาษีอากรสะดวกขึ้น จึงเกิดประเพณีหากินด้วยอาศัยตำแหน่งในราชการแทนทั่วไป เจ้าเมืองกรมการที่เกรงความผิด ก็ระวังไม่หากินด้วยเบียดเบียนผู้อื่น ต่อเป็นคนโลภจึงเอาทุกอย่างสุดแต่จะได้ ดังเช่น ผู้ว่าราชการเมืองสุพรรณ ซึ่งกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเล่าไว้ ในนิพนธ์ที่ ๔ เรื่อง ห้ามเจ้ามิให้ไปเมืองสุพรรณ นอกจากนั้น กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงนิพนธ์ไว้ว่า ตามหัวเมืองสมัยนั้นประหลาดอีกอย่างหนึ่ง ที่ไม่มีศาลารัฐบาลตั้งประจำสำหรับว่าราชการบ้านเมือง เหมือนอย่างทุกวันนี้ เจ้าเมืองตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ไหน ก็ว่าราชการบ้านเมืองที่บ้านของตน เหมือนอย่างเสนาบดีเจ้ากระทรวงว่าราชการที่บ้านตามประเพณีเดิม บ้านเจ้าเมืองผิดกับบ้านของคนอื่นเพียงแต่ที่เรียกกันว่า จวน เพราะมีศาลาโถงปลูกไว้นอกรั้วข้างหน้าบ้านหลังหนึ่ง เรียกว่า ศาลากลาง เป็นที่สำหรับประชุมกรมการเวลามีงาน เช่น รับท้องตรา หรือ ปรึกษาราชการเป็นต้น เวลาไม่มีการงานก็ใช้ศาลากลางเป็นศาลชำระความ เห็นได้ว่าศาลากลางก็เป็นเค้าเดียวกับศาลาลูกขุนในราชธานีนั้นเอง เรือนจำสำหรับขังนักโทษก็อยู่ในบริเวณจวนอีกอย่างหนึ่ง แต่คงเป็นเพราะคุมขังได้มั่นคงกว่าที่อื่น ไม่จำเป็นต้องอยู่กับจวนเหมือนศาลากลาง . เจ้าเมืองต้องสร้างจวนและศาลากลางด้วยทุนของตนเอง แม้แต่แผ่นดินที่จะสร้างจวน ถ้ามิได้อยู่ภายในเมืองที่ปราการ เช่น เมืองพิษณุโลก เป็นต้น เจ้าเมืองก็ต้องหาซื้อที่ดินเหมือนกับคนทั้งหลาย จวนกับศาลากลางจึงเป็นทรัพย์ส่วนตัวของเจ้าเมือง เมื่อสิ้นตัวเจ้าเมืองก็ตกเป็นมรดกของลูกหลาน ใครได้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่ ถ้ามิได้เป็นผู้รับมรดกของเจ้าเมืองคนเก่า ก็ต้องหาที่สร้างจวนและศาลากลางขึ้นใหม่ตามกำลังที่จะสร้างได้ บางทีก็ย้ายไปสร้างห่างจวนเดิมต่างฟากแม่น้ำ หรือแม้จนต่างตำบลก็มี จวนเจ้าเมืองไปตั้งอยู่ที่ไหน ก็ย้ายที่ว่าราชการไปอยู่ที่นั่นชั่วสมัยของเจ้าเมืองคนนั้น ตามหัวเมือง จึงไม่มีที่ว่าราชการเมืองตั้งประจำอยู่แห่งใดแห่งหนึ่งเป็นนิจ เหมือนทุกวันนี้อันพึ่งมีขึ้นเมื่อจัดมณฑลเทศาภิบาลแล้ว . ในหนังสือเรื่อง พระราชหัตถเลขา รัชกาลที่ ๕ ที่เกี่ยวกับภารกิจของกระทรวงมหาดไทย ๑๑ ได้กล่าวไว้ว่า เทศาภิบาล คือการปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการ ออกไปดำเนินการ ในส่วนภูมิภาค แบ่งออกเป็นมณฑล เมือง อำเภอ ตำบล และ หมู่บ้าน มณฑล รวมเขตเมืองตั้งแต่ ๒ เมืองขึ้นไป มีเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลบังคับ บัญชาพร้อมด้วยข้าหลวงชั้นรอง และเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ เมือง รวมเขตอำเภอตั้งแต่ ๒ อำเภอขึ้นไป มีผู้ว่าการเมืองและกรมการเมืองบังคับ บัญชาตามข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๖ หรือ พุทธศักราช ๒๔๔๐ (สมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นเสนาบดี) และ ข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมืองชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๖๕ (สมัยเจ้าพระยายมราช เป็นเสนาบดี) หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:05:40 ภูเก็ต ๒
อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน เป็นหน่วยปกครองที่รองลงมา มณฑลที่ตั้งขึ้นก่อนพุทธศักราช ๒๔๓๗ มี ๖ มณฑล คือ (๑) มณฑลลาวเฉียง (๒) มณฑลลาวพวน (๓) มณฑลลาวกาว (๔) มณฑลเขมร (๕) มณฑลลาวกลาง (๖) มณฑลภูเก็ต มณฑลภูเก็ต (เดิมเรียกหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก) มี ๖ เมือง คือ ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ตะกั่วป่า ระนอง การปกครองโดยการรวมหัวเมืองต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ตั้งเป็นมณฑลนั้น ความจริงได้เคยมีการรวมหัวเมืองต่าง ๆ ให้ขึ้นอยู่ในปกครองข้าหลวงใหญ่มาก่อนบ้างแล้ว เช่น รวมหัวเมืองทางภาคอิสานตั้งเป็นหัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ และหัวเมืองลาวกลาง ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๓๓ เป็นต้น โดยเฉพาะมณฑลภูเก็ตนั้นอาจกล่าวได้ว่า ได้รวมเป็นหัวเมืองทำนองมณฑลมาก่อนที่อื่นทั้งหมดก็ว่าได้ เพราะได้เริ่มมีการตั้งข้าหลวงใหญ่คนแรก ออกมาประจำอยู่ที่เมืองภูเก็ต ทำหน้าที่กำกับราชการบ้านเมือง และจัดการภาษีอากร ตลอดจนรับส่งเงินหลวงในหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตกตั้งแต่ปีกุน สัปตศก จุลศักราช ๑๒๓๗ หรือ พุทธศักราช ๒๔๑๘ เป็นต้นมา ข้าหลวงใหญ่คนแรกนี้คือ เจ้าหมื่นเสมอใจราช (ชื่น บุนนาค) หัวหมื่นมหาดเล็กและองคมนตรี ซึ่งภายหลังได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยามนตรีสุริยวงศ์ การตั้งข้าหลวงใหญ่ ออกมากำกับราชการหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตกนี้ เป็นการเจริญรอยตามแบบแผน สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ที่ได้ตั้ง เจ้าพระยาสุรินทราชา (จันทร์ จันทโรจวงศ์) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองถลางและหัวเมืองอื่นซึ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตกรวม ๘ เมืองนั่นเอง เหตุผลที่จำเป็นต้องตั้งข้าหลวงใหญ่ ออกมากำกับราชการหัวเมืองฝ่ายนี้ขึ้นอีก ก็มีสาเหตุมาจากการทำเหมืองแร่ดีบุกดังรายละเอียดที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายไว้ใน ประวัติพระยามนตรีสุริยวงศ์ ความว่า ผลประโยชน์ส่งหลวงนั้น แต่เดิมมาเจ้าเมืองเป็นพนักงานเก็บภาษีโดยตำแหน่งดังกล่าวแล้ว ครั้นเจ้าเมืองเป็นผู้ทำเหมืองเอง รัฐบาลจึงมอบภาษีอากรทั้ง ๕ อย่างคือ ภาษีดีบุก ๑ ภาษีร้อยชักสาม ๑ ภาษีฝิ่น ๑ ภาษีสุรา ๑ อากรบ่อนเบี้ย ๑ รวมเรียกว่า ภาษีผลประโยชน์ให้เจ้าเมืองรับทำกะเพิ่มเงินหลวงให้ส่งเป็นอัตราเสมอไปทุกปี เจ้าเมืองจึงเป็นอย่างเจ้าภาษีรับผูกขาดผลประโยชน์ ในเมืองนั้นด้วยเป็นอย่างนี้มาจนถึงรัชกาลที่ ๕ ครั้งถึงปีวอก พุทธศักราช ๒๔๑๕ พระยาอัษฎงคตทิศรักษา เข้ามาจากเมืองสิงคโปร์มายื่นเรื่องราวที่ในกรุงเทพฯ จะขอรับผูกภาษีผลประโยชน์ที่เมืองภูเก็ต เงินหลวงแต่เดิมได้อยู่ปีละ ๒๑๗ ชั่ง พระยาอัษฎงคตฯ จะประมูลขึ้น ๓,๗๘๓ ชั่ง รวมเป็น ๔,๐๐๐ ชั่ง พระยาอัษฎงคตฯ นี้ชื่อจีน ตันกิมเจ๋ง เป็นพ่อค้าชาวเมืองสิงคโปร์ เคยเข้ามากรุงเทพฯ เนือง ๆ ตั้งแต่ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระเมตตาตั้งให้เป็นที่พระพิเทศพานิช แล้วโปรดให้เป็นกงศุลไทย ที่เมืองสิงคโปร์ ต่อมาได้เลื่อนเป็นพระยาอัษฎงคตทิศรักษาตำแหน่งผู้ว่าการเมืองกระ ทั้งเป็นกงศุลไทยอยู่ที่เมืองสิงคโปร์ด้วย ในรัชกาลที่ ๕ ได้เลื่อนเป็นพระยาอนุกูลสยามกิจกงศุล เยเนราลไทยที่เมืองสิงคโปร์ แต่เมื่อเข้ามายื่นเรื่องราวประมูลภาษีเมืองภูเก็ต ยังเป็นพระยาอัษฎงค์ฯ อยู่ จึงเกิดเป็นปัญหาที่รัฐบาลจะต้องเลือกในเวลานั้นว่า จะให้คนในบังคับต่างประเทศเข้ามารับผูกขาดการทำภาษีอากร โดยจะให้ผลประโยชน์แผ่นดินมากขึ้น หรือจะให้เจ้าเมืองจัดต่อไปตามเดิม แต่แผ่นดินได้ผลประโยชน์น้อย ทางที่คิดเห็นกันว่าเป็นอย่างดีที่สุดในเวลานั้นก็คือให้เจ้าเมืองคงทำไปอย่างเดิม แต่ให้ขึ้นเงินหลวงให้เท่ากับที่พระยาอัษฎงค์ฯรับประมูลเวลานั้นพระยาวิชิตสงครามอยู่ในกรุงเทพฯ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ว่ากล่าวกับพระยาวิชิตสงคราม พระยาวิชิตสงครามจึงรับประมูลเงินหลวงให้มากกว่าพระยาอัษฎงค์ฯ ๒๐๐ ชั่ง เป็นปีละ ๔,๒๐๐ ชั่ง ใช่แต่เท่านั้น พระยาวิชิตสงครามยื่นเรื่องราวขอประมูลทำภาษีอากรเมืองระยอง เมืองตะกั่วป่า เมืองพังงา อย่างพระยาอัษฎงค์ฯ ประมูลเมืองภูเก็ตบ้าง จึงเป็นเหตุให้ผู้ว่าการเมืองนั้น ๆ ต้องประมูลรับขึ้นเงินตามกัน เงินภาษีอากรเมืองฝ่ายทะเลตะวันตกก็เพิ่มขึ้นมากมายหลายเท่า ตั้งแต่ปีระกา จุลศักราช ๑๒๓๕ พุทธศักราช ๒๔๑๖ เป็นต้นมา เมื่อเงินภาษีอากรเพิ่มขึ้นมากมายเช่นนั้น การที่จะรับส่งเงินหลวงทางหัวเมืองภูเก็ต ก็เป็นการสำคัญขึ้นแต่แรกรัฐบาลจัดให้เรือรบหลวง ๑ ลำ มีขุนนางกรมอาสาจามเป็นข้าหลวงสำหรับไปรับเงินงวดภาษีอากรทางหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก ต้องไปมาเป็นการลำบากอยู่เสมอ เงินที่หัวเมืองจะส่งก็คั่งค้างไม่สะดวกดี แต่ก็ยังมิได้จัดการแก้ไขแต่อย่างใด ครั้งปีกุน จุลศักราช ๑๒๓๗ พุทธศักราช ๒๔๑๘ พระยาอัษฎงค์ ยื่นประมูลภาษีอากรเมืองภูเก็ตอีกครั้งหนึ่งจะรับขึ้นเงินหลวงอีกปีละ ๑,๐๐๐ ชั่ง เป็นปีละ ๕,๒๐๐ ชั่ง ปัญหาเกิดขึ้นคราวนี้ ยากกว่าคราวก่อน ด้วยจะเรียกพระยาวิชิตสงครามมาว่ากล่าว ให้ประมูลขึ้นไปอีกก็ขัดอยู่ เพราะการที่เจ้าเมืองรับขึ้นเงินภาษีอากรเป็นอันมาก เมื่อปีวอกจัตวาศกนั้น มิใช่ว่าเป็นแต่จะไปแบ่งโอนเงินกำไรของตนมาส่งหลวง แท้จริงกำไรที่เจ้าเมืองได้อยู่ก่อนยังต่ำกว่าจำนวนเงินหลวงที่รับประมูลขึ้นไปเสียอีก ความคิดของเจ้าเมืองที่กล้ารับขึ้นเงินหลวงครั้งนั้น ด้วยตั้งใจ จะไปกู้ยืมหาเงินมาลงทุนรอนเรียกจีนกุลีเข้ามาทำเหมืองให้มากให้เกิดผลประโยชน์ยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน หมายจะเอากำไรที่จะได้มากขึ้นมาส่งเป็นเงินหลวง เป็นอย่างนี้ด้วยกันทุกเมือง การที่จัดทำลงทุนรอนไปเป็นธรรมดาจำต้องมีเวลากว่าจะได้ทุนกลับคืนมา ก็ถ้าให้ประมูลกันร่ำไป หรือถ้าผู้อื่นแย่งภาษีไปได้ในเวลาที่ไม่ได้ทุนคืน เจ้าเมืองที่รับทำภาษีอากรอยู่ก็ต้องฉิบหาย รัฐบาลแลเห็นอยู่เช่นนี้ แต่จะไม่รับเรื่องราวของพระยาอัษฎงค์ฯ พิจารณา กฎหมายการทำภาษีอากรในเวลานั้น ก็ยังยอมให้ว่าประมูลอยู่ จึงเป็นความลำบากใจแก่รัฐบาลที่จะบัญชาลงเป็นประการใด สมเด็จเจ้าพระยาฯ จึงทูลขอให้พระยามนตรีฯ แต่ยังเป็นเจ้าหมื่นเสมอใจราชและเป็นองคมนตรี เป็นข้าหลวงพิเศษออกไปตรวจการภาษีอากรทางหัวเมืองมณฑลภูเก็ต เพราะพระยามนตรีฯ เกี่ยวดองกับพระยาวิชิตสงคราม ประสงค์จะให้ไปพูดจาเกลี้ยกล่อมพระยาวิชิตสงครามยอมประมูลเงินสูงกว่าพระยาอัษฎงค์ฯ ๘๐๐ ชั่ง รวมเป็น ๖,๐๐๐ ชั่ง รัฐบาลจึงได้จัดการแก้ไข วิธีเก็บภาษีอากรทางหัวเมืองมณฑลภูเก็ตให้พ้นจากเรื่องประมูลแย่งกันตั้งแต่นั้นมา เวลานั้นพระยาวิชิตสงครามแก่ชรา จักษุมืด จึงโปรดให้เลื่อนขั้นเป็นพระยาจางวาง โปรดให้พระยาภูเก็ต (ลำดวน) บุตรคนใหญ่ของพระยาวิชิตสงคราม เป็นตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองภูเก็ตสำหรับที่จะได้ทำการเก็บผลประโยชน์ แทนตัวพระยาวิชิตสงครามต่อไป แล้วทรงตั้งพระยามนตรีฯ เวลานั้นยังเป็นเจ้าหมื่นเสมอใจราชเป็นข้าหลวงใหญ่คนแรกออกไปอยู่เมืองภูเก็ต ประจำกำกับราชการบ้านเมืองและจัดเก็บภาษีอากรตลอดจนรับส่งเงินหลวงในหัวเมืองมณฑลภูเก็ต ตั้งแต่เมื่อปีกุน สัปตศกนั้น การที่ตั้งข้าหลวงใหญ่ไปประจำอยู่เมืองภูเก็ตครั้งนั้น เมื่อพิเคราะห์ดูโดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา ก็แลเห็นได้ว่าเป็นการจำเป็น และสมควรแก่ประโยชน์ของราชการบ้านเมืองด้วยประการทั้งปวง เพราะการที่เปิดเหมืองดีบุก ให้ทำได้มากมายหลายเหมืองพร้อมกันเช่นนั้น อาจจะมีเหตุการณ์แก่งแย่งเกิดขึ้น เช่นแย่งจีนกุลีทำเหมือง เป็นต้น และข้อสำคัญยังมีในการที่เรียกจีนกุลีเพิ่มเข้ามาทำเหมืองมากขึ้น ๆ ทุกที ไม่ช้านานเท่าใด จำนวนจีนกุลีทำเหมืองก็มากกว่าพลเมืองไทยที่อยู่ในท้องที่มาแต่เดิม ภาระควบคุมจีนกุลี เป็นความลำบากแก่การปกครองในเวลานั้น ยิ่งกว่าการอย่างอื่น ต้องการกำลังและอำนาจ ในการปกครองยิ่งกว่าที่เจ้าเมืองมีอยู่เฉพาะเมืองอย่างแต่ก่อน จึงต้องตั้งข้าหลวงใหญ่ไปอยู่ประจำมณฑลคล้าย ๆ กับสมุหเทศาภิบาลที่จัดต่อมาในชั้นหลัง และให้มีเรือรบออกไปอยู่ประจำเป็นกำลังลำหนึ่งสองลำอยู่เสมอ ส่วนปลัดมณฑลที่เคยเป็นตำแหน่งที่สองรองจากข้าหลวงเทศาภิบาลนั้น ก็จำกัดหน้าที่ลงเหลือเป็นเพียงผู้ช่วยในกิจการมณฑลเท่านั้น และงานในหน้าที่กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเดิมเป็นหน้าที่ของข้าหลวงมหาดไทยนั้น เมื่อได้ตั้งตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่งแล้ว ก็ได้ยุบเลิกตำแหน่งข้าหลวงมหาดไทยมณฑลเสีย แล้วโอนงานของข้าหลวงมหาดไทย ให้ปลัดมณฑลเป็นผู้ปฏิบัติจัดทำต่อไป ต่อมาถึงพุทธศักราช ๒๔๕๙ จึงได้เปลี่ยนคำว่า เมือง เรียกว่า จังหวัด เป็นระเบียบเดียวกันทั่วทั้งประเทศ ต่อมาถึงพุทธศักราช ๒๔๖๘ ในรัชกาลที่ ๗ ได้ยุบเลิกตำแหน่งมหาดไทยมณฑล เพื่อประหยัดตัดรอนรายจ่ายแผ่นดินให้เข้าสู่ดุลยภาพ แต่แล้วภายหลังก็ต้องกลับตั้งตำแหน่งมหาดไทยมณฑลขึ้นใหม่ เพื่อให้เป็นผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยอีก อนึ่งในปีพุทธศักราช ๒๔๖๘ นี้ ได้โอนจังหวัดสตูล จากมณฑลภูเก็ต ไปขึ้นกับ มณฑลนครศรีธรรมราช เพราะทางไปมาจากสตูลไปสงขลา ซึ่งเป็นที่ตั้งมณฑลนครศรีธรรมราชสะดวกกว่ามาภูเก็ต ต่อมาเมื่อเกิดการปฏิบัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ จึงได้ยกเลิกระบอบเทศาภิบาลเสีย เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๖ ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑล จึงได้ถูกยุบเลิกไปแต่นั้นมา ถึงแม้ว่าในภายหลังจะได้มีการแต่งตั้งตำแหน่ง ข้าหลวงตรวจการกระทรวงมหาดไทย ออกไปประจำภาคต่าง ๆ ขึ้น แล้วต่อมาได้เปลี่ยน เรียกว่า ผู้ว่าราชการภาค ก็ตาม ก็หาได้มีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาข้าราชการในจังหวัดต่าง ๆ ได้อย่างสมบูรณ์เหมือนในสมัยสมุหเทศาภิบาล ผู้สำเร็จราชการมณฑลต่างพระเนตรพระกรรณไม่ จึงเป็นอันว่าระบอบมณฑลเทศาภิบาลได้หมดสิ้นไป ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๗๖ ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏตาม พระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก ๑) การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถที่จะสั่งการ และตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง ๒) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง ๓) เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับ หน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวงเป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น ๔) รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ ๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ ๒) อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ คณะกรรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียวคือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ๓) ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมา ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น ๑) จังหวัด ๒) อำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดภูเก็ต.ภูเก็ต : โรงพิมพ์สมบัติการพิมพ์ ,๒๕๒๙. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:05:57 สุราษฎร์ธานี
สุราษฎร์ธานีเป็นนามซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ เนื่องจากการเรียกชื่อเมืองก่อนหน้านั้นยังซ้ำซ้อนและสับสนกันอยู่ ประกอบกับพระองค์ได้ทรงพิจารณาว่าประชาชนทั่วไปในเมืองนี้มีกิริยามารยาทเรียบร้อย และทรงทราบจากผู้ปกครองเมืองว่า ประชาชนในเมืองนี้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมเคารพและยึดมั่นในพระพุทธศาสนา จึงได้โปรดเกล้าให้เปลี่ยนชื่อเมืองเดิม จากเมืองไชยา มาเป็นเมือง สุราษฎร์ธานี ก่อนที่จะกล่าวถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี ควรจะทราบประวัติความเป็นมาของจังหวัดในอดีตเสียก่อนว่ามีประวัติความเป็นมาในแต่ละสมัยอย่างไร สุราษฎร์ธานีในสมัยศรีวิชัย ดินแดนส่วนที่เป็นด้ามขวานของไทย จนถึงแหลมมลายู ก่อนที่จะมาเป็นดินแดนภาคใต้ของไทยและประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐมาเลเซียทุกวันนี้ ในอดีตเคยเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญ รุ่งเรืองมาก่อน มีกษัตริย์ปกครองสืบต่อ ๆ กันมาหลายยุคหลายสมัย บางครั้งก็เจริญรุ่งเรืองสูงสุด บางครั้งก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรอื่น ๆ เช่น ตกอยู่ภายใต้อาณาจักรฟูนัน จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๓ เมื่ออาณาจักรฟูนันซึ่งมีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๘ ๑๒ มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ทางอิสานเสื่อมอำนาจลง บรรดาหัวเมืองใหญ่น้อยทางภาคใต้ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรฟูนัน จึงได้ตั้งเมืองอิสระขึ้น ในระยะนี้กล่าวถึงชื่อประเทศใหม่ ๆ ในแหลมมลายู เช่น ประเทศครหิ ตั้งเมืองหลวงอยู่อ่าวบ้านดอน ตอนที่เป็นไชยาทุกวันนี้ อีกประเทศหนึ่งชื่อตามพรลิงค์หรือ ตามพรลิงเคศวร ตั้งเมืองหลวงที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมากษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์องค์หนึ่งมีอานุภาพมาก ได้แผ่ขยายอิทธิพลมาถึงและรวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อยเหล่านี้เข้าไว้เป็นอาณาจักรหนึ่ง แผ่อาณาเขตขึ้นมาเกือบครึ่งค่อนแหลมมลายู คือ ตั้งแต่เขตเมืองไชยาลงไปมีชื่อว่า อาณาจักรศรีวิชัย กษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์ ที่ปกครองอาณาจักรศรีวิชัยนี้ เล่ากันว่า สืบเชื้อสายมาจากปฐมกษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรฟูนัน ซึ่งมีประวัติพิสดารตามที่ราชฑูตจีนที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับฟูนัน เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๘ ๙ เขียนเล่าในจดหมายเหตุว่า แต่เดิมกษัตริย์ที่ปกครองฟูนัน เป็นผู้หญิง ทรงพระนามว่า พระนางหลิวเหยหรือ พระนางใบสน ต่อมามีชายคนหนึ่งชื่อโกณฑัญญะ มาจากดินแดนแห่งหนึ่งอาจจะเป็นอินเดีย แหลมมลายู หรือหมู่เกาะทางใต้ เกิดฝันไปว่าเทวดาประทานธนูให้และสั่งให้ลงเรือสำเภาออกทะเลไป จะได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ยังดินแดนแห่งหนึ่ง รุ่งเช้าโกณฑัญญะ ตื่นขึ้นจึงตรงไปยังเทวาลัย ก็ได้พบธนูสมดังความฝัน จึงลงเรือสำเภาจากอินเดียแล่นเรือเรื่อยมาจนถึงอาณาจักรฟูนัน พระนางใบสนทราบข่าวก็นำเรือและกำลังอาวุธออกมาต้านทานไม่ให้โกณฑัญญะและพรรคพวกที่ติด-ตามมาขึ้นจากเรือ โกณฑัญญะยิงธนูศักดิ์สิทธิ์ ไปตรึงเรือของพระนางใบสน ผู้คนชาวฟูนันล้มตายลงเป็นอันมาก พระนางใบสนจึงยอมอ่อนน้อมและยอมอภิเษกสมรสด้วย โกณฑัญญะตั้งตนเป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรฟูนัน ดอกเตอร์ควอริตย์ เวลส์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษได้เขียนเรื่องราวของกษัตริย์ไศเลนทร์ไว้ว่า เมื่อราว พ.ศ. ๑๒๗๓ - ๑๗๔๐ หลังจากที่อินเดียเกิดยุคเข็ญเป็นจลาจลอย่างหนักแล้ว ราชวงศ์ปาละ ได้เป็นใหญ่ในแคว้นเบงกอล บ้านเมืองจึงได้สงบเป็นปกติดังเดิม พระเจ้าแผ่นดินในราชวงศ์นี้นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน อิทธิพลของแคว้นนี้ได้แพร่หลายไปทางตอนใต้ของอินเดียรวมทั้งแคว้นไมสอร์ ซึ่งมีกษัตริย์ราชวงศ์ดังคะ ที่เป็นเชื้อสายของกษัตริย์ราชวงศ์ปาละปกครองอยู่ด้วย แต่บ้านเมืองในแคว้นไมสอร์ขณะนั้น ไม่ค่อยเป็นปกตินัก จึงมีเจ้านายในราชวงศ์นี้พร้อมด้วยอนุชาสี่องค์ลงเรือข้ามน้ำทะเลขึ้นบกที่เมืองตะกั่วป่า แล้วเดินทางเข้ามาแย่งเอาเมือง ครหิหรือเมืองไชยาไว้ แล้วตั้งตนเป็นอิสระ ได้แผ่อาณาเขตออกไปจนตลอดแหลมมลายู และตั้งเป็นอาณาจักรศรีวิชัย เรื่องการตั้งอาณาจักรศรีวิชัยและศูนย์กลางอาณาจักรศรีวิชัย ในวงการประวัติศาสตร์ไม่อาจยุติได้ว่ามีรายละเอียดอย่างไร หรือตั้งอยู่ที่ใดแน่ แต่จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีทำให้ทราบว่า ดินแดนทางภาคใต้ของประเทศไทยลงไปจนถึงอินโดนีเซียได้รับอิทธิพลแบบศรีวิชัยแทบทั้งสิ้น ถึงแม้เรื่องราวความเป็นมาของกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์ ที่ได้แก่ การครองอาณาจักรศรีวิชัยต่อมาจะไม่ค่อยตรงกันโดยตลอดก็ตาม แต่ก็ยังจับเค้าได้ว่า ผู้ที่ได้มาเป็นใหญ่ในดินแดนแถบนี้มาจากอินเดียอย่างแน่นอน และเป็นผู้หนึ่งที่ได้นำอารยธรรมของอินเดียมาเผยแพร่ยังดินแดน แหลมทอง ข้อสรุปนี้ผูกมัดเกินไป เนื่องจากไม่มีข้อมูลที่แน่นอนพอจะทำให้ทราบได้ว่าผู้ที่เข้ามามีอิทธิพลในดินแดนแถบนี้มาจากอินเดียโดยตรง ในฐานะพ่อค้าหรือพราหมณ์ แล้วเข้ามามีอิทธิพลทางการเมือง หรือทางวัฒนธรรมซึ่งจะพัฒนาต่อมาในดินแดนแถบนี้ อาณาจักรศรีวิชัย มีความเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยนั้น ในจดหมายเหตุหลวงจีนอี้จิง ซึ่งเดินทางมาศึกษาพระธรรมในอินเดีย ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ได้เขียนไว้ว่า ระหว่างเดินทางยังได้แวะที่เกาะสมุยตราและว่าในเกาะนี้มีประเทศชื่อ ชีหลีทุดชี เป็นประเทศที่มีอารยธรรมสูง นับถือพุทธศาสนา-นิกายฝ่ายใต้ นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่า กรุงศรีวิชัยไปมาหาสู่ติดต่อกับอินเดีย มีเรือบรรทุกสินค้าไปจำหน่ายยังเมืองท่าต่าง ๆ ในอินเดีย อาณาจักรศรีวิชัยนี้เป็นตลาดใหญ่ย่านกลางของสินค้าเครื่องเทศในสมัยนั้น มีเรือกำปั่นบรรทุกสินค้าไปขายยังเมืองโอมาน ประเทศอาหรับด้วย พ่อค้าชาวอาหรับจึงรู้จักกรุงศรีวิชัยและได้จดหมายเหตุไว้ แต่เรียกกรุงศรีวิชัยว่า กรุงซามะดะ มีข้อความปรากฏในหนังสือเรื่องแหลมอินโดจีนสมัยโบราณของพระยาอนุมานราชธนเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของกรุงศรีวิชัยในจดหมายเหตุชาวอาหรับอยู่ตอนหนึ่งว่า รายได้แผ่นดินของพระเจ้าไศเลนทร์ส่วนหนึ่ง ได้จากค่าอาชญาบัตรไก่ชน ไก่ตัวใดชนะ ไก่นั้นตกเป็นสิทธิของมหาราช เจ้าของจะต้องนำทองคำไปถวาย สิ่งหนึ่งที่พ่อค้าอาหรับเหล่านี้เห็นควรกล่าวคือ ในเวลาเช้าทุกวัน มหาราชเสด็จประทับในพระราชมณเฑียรซึ่งหันหน้าสู่สระใหญ่ ขณะนั้นมหาดเล็กนำอิฐทองคำเข้ามาถวายแผ่นหนึ่ง พระองค์ทรงตรัสให้ข้าราชการโยนอิฐทองคำลงไปในสระทันที สระนี้น้ำขึ้นลงเพราะมีคลองหรือลำธารน้อย ๆ เชื่อมถึงสระกับทะเล เวลาน้ำขึ้นก็ท่วมกองอิฐ-ทองคำซึ่งโยนสะสมไว้ทุกวัน เวลาน้ำลดก็มองเห็นอิฐทองคำเหล่านั้นโผล่ขึ้นเหนือน้ำ เมื่อต้องแสงแดดส่องแลเหลืองอร่าม มหาราชตรัสว่า จงดูพลังของเรา การโยนอิฐลงในสระนั้นเป็นประเพณีที่มหาราชแห่งกรุงซามะดะทุกองค์ประพฤติสืบกันมา ถ้ามหาราชองค์ใดสิ้นพระชนม์ลง มหาราชองค์ที่สืบราช-สมบัติต่อก็เก็บรวบรวมอิฐทองคำเหล่านั้นไปหลอม แล้วทรงแจกจ่ายให้ปันแก่พระญาติวงศ์และข้าราช-การ เหลือนอกนั้นประทานแก่คนยากจน จำนวนแผ่นอิฐทองคำของมหาราชองค์หนึ่ง ๆ ที่โยนสะสมไว้ในสระเมื่อถึงเวลาสิ้นพระชนม์ก็เก็บรวบรวมและจดจำนวนลงบัญชีไว้ถูกต้อง ถ้าองค์ใดเมื่อสิ้นพระชนม์ไปแล้วปรากฏว่ามีแผ่นอิฐทองคำที่สะสมไว้เป็นจำนวนมากที่สุดก็นิยมยกย่องมหาราชองค์นั้นอย่างสูงเพราะถือว่าได้เสวยราชย์มานานปี จำนวนอิฐทองคำจึงมีมาก แม้อาณาจักรศรีวิชัยจะเจริญมากดังได้กล่าวมาแล้วและมีอายุมากนานถึง ๖๐๐ ปี แต่ก็ไม่สามารถชี้ได้ชัดลงไปว่า เมืองหลวงหรือราชธานีของอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่ใดแน่ ต้องใช้หลักฐานทางโบราณคดีเข้าช่วย จนกว่าจะเป็นที่ยอมรับกันแน่นอน ซึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ ได้มีผู้สันนิษฐานกันหลายอย่างว่าจะอยู่ที่ใดแน่ เช่น ศาสตราจารย์ยอร์จ เซเดส์ สันนิษฐานว่าอาณาจักรศรีวิชัยนั้นมีราชธานีอยู่ที่เกาะสุมาตรา ตั้งอยู่ทางทิศระวันตกของเมืองปาเล็มบังปัจจุบันนี้ และเมื่อมีอำนาจมากขึ้นจึงได้แผ่อาณาเขตขึ้นมาครอบครองตลอดแหลมมลายูจนถึงดินแดนเมืองไชยา ส่วนนักโบราณคดีชาวอินเดียคนหนึ่งชื่อ มาชุมทาร์ เห็นว่าราชธานีของอาณาจักรศรีวิชัยไม่ควรอยู่ที่ปาเล็มบังในเกาะสุมาตรา เพราะในเกาะสุมาตราไม่ปรากฏซากบ้านเมืองสมกับเป็นราชธานีแห่งอาณาจักรศรีวิชัยอันใหญ่โตแต่อย่างใดเลย ที่ถูกควรจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งในแหลมมลายูมากกว่า ดร. ควอริตย์ เวลส์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ เห็นว่าการหาหลักฐานจากหนังสืออย่างเดียวไม่พอ จึงได้ลงทุนสำรวจค้นคว้าด้วยตนเอง โดยเดินทางตัดข้ามแหลมมลายูจากตะกั่วป่ามาบ้านดอน ตามแบบที่ชาวอินเดียใช้เป็นเส้นทางเดิน ในที่สุดก็ลงความเห็นว่าราชธานีของราชวงศ์ ไศเลนทร์ ซึ่งครอบครองอาณาจักรศรีวิชัยควรจะเป็นที่เมืองไชยา เพราะปรากฏว่ามีเมืองโบราณหลายแห่งรอบ ๆ เมืองไชยา และยังพบโบราณวัตถุโบราณสถาน เช่น พระบรมธาตุไชยา พระพุทธรูป และพระโพธิสัตว์ เป็นจำนวนมากในเมืองไชยาอีกด้วย แม้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรง- ราชานุภาพก็ทรงเขียนเกี่ยวกับเรื่องเมืองไชยา ความตอนหนึ่งว่า เมืองไชยาเป็นเมืองใหญ่มาก ใหญ่กว่าเมืองไหน ๆ ในแหลมมลายู เพราะมีแม่น้ำหลวง (ตาปี) ไหลมาออกที่นั่น สืบตามลำน้ำขึ้นไปถึงคีรีรัฐนิคมมีทางข้ามไปลงแม่น้ำตะกั่วป่า ลงทางตะกั่วป่าได้อย่างสบาย ทางสายนี้เป็นทางที่พวกอินเดียลงมา เมื่อพิจารณาเทียบกับเมืองนครฯ แล้วจะเห็นได้ว่านครฯ มีหาดทรายแก้วยาวเพียงแห่งเดียว ทางตะวันออกก็เป็นชายเพือยจนจดทะเล ทางตะวันตกก็เป็นที่ลุ่มแม่น้ำก็เป็นแม่น้ำน้อย ที่ทำกินเพียงแต่พอมี ฉะนั้น จะถือเป็นเมืองใหญ่โตไม่ได้ด้วยเหตุนี้ จึงรับรองได้ด้วยวิชาโบราณคดีว่า เมืองนครศรีธรรมราชนั้นไม่มีอะไรนอกจากพระมหาธาตุซึ่งเป็นชิ้นหลัก ตำนานเมืองนครฯ ปรากฏว่าพวกแขกพงศาวดารลังกามาเขียนในนครฯ ก็มี เชื่อได้ยาก พระมหาธาตุที่นครฯ นั้นก็เป็นของที่มีกำหนดสร้างแน่นอนค้นได้ ส่วนที่ไชยานั้นมีมาก มหาธาตุก็มี วัดแก้วก็มี วัดเวียงก็มี ได้เคยค้นเมืองไชยาล้ำไปถึงเมืองชุมพร ท่าแซะ ฯลฯ ไม่พบเมืองเก่า เมืองเก่าคงมีเพียงเมืองไชยาเมืองเดียว เมืองโบราณเดิมเห็นจะอยู่ที่เมืองไชยาแน่นอนไม่มีที่สงสัย ส่วนที่นครฯ นั้นเป็นเมืองที่เกิดขึ้นสมัยที่ไชยาเจริญ แต่เกิดภายหลังจารึกที่พบทั้งหมดอาจอยู่ที่ไชยา ปัจจุบัน ไชยาเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีพระธาตุไชยาอยู่ในวัดพระ-บรมธาตุไชยาราชวรวิหาร นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ในสมัยศรีวิชัยเป็นอันมากที่ขุดค้นพบที่ไชยาในบริเวณใกล้เคียงมีวัดเก่า ๆ เช่นเจดีย์วัดหลวงซึ่งยังมีฐานเจดีย์สมัยศรีวิชัยปรากฏอยู่ เข้าใจว่าอาจจะเป็นซากปราสาทอิฐที่พระเจ้ากรุงศรีวิชัยสร้าง ดังที่กล่าวไว้ในศิลาจารึก เจดีย์วัดแก้ว เป็นเจดีย์สมัยศรีวิชัยที่ยังดีอยู่มาก และวัดเวียง ซึ่งเป็นที่พบจารึกกรุงศรีวิชัย พ.ศ. ๑๓๑๘ กล่าวถึงพระเจ้าราชาธิราชองค์หนึ่งด้วย พระนามศรีวิชเยศวรภุมดี ศรีวิชเยนทรราชาศรีวิชัยนฤปติ ตอนต้นยกย่องว่า พระองค์มีคุณธรรมอันประเสริฐ พระพรหมบรรดาลให้พระองค์มาบังเกิดในโลก เพราะพระพรหมทราบประสงค์ที่จะทำให้พระธรรมมั่นคงในอนาคต พระองค์สร้างประสาทหินอันงามราวกับเพชรสามประสาทเป็นที่บูชาพระโพธิสัตว์ปัทมะปราณี พระผู้ผจญพระยามารและพระโพธิสัตว์วัชรปาณี ส่วนด้านหลังจารึกว่าองค์พระศรีวิชเยศวรภุมดีที่กล่าวถึงในด้านหน้านั้นเป็นพระเจ้าราชาธิราชทรงพระนามวิษณุและศรีมหาราช ทรงเป็นมหาราชแห่งไศเลนทร์วงศ์ ยิ่งกว่านั้นในจังหวัดสุราษฎร์ธานี บริเวณรอบอ่าวบ้านดอนนอกจากเมืองไชยายังมีร่องรอยของเมืองเก่าอีกหลายแห่ง เช่น เมืองกาญจนดิษฐ์ เมืองท่าทอง เมืองพุนพิน และเมืองเวียงสระ ชวนให้สันนิษฐานว่าเมืองไชยาจะต้องเป็นเมืองหลวง หรือราชธานีของอาณาจักรศรีวิชัย สุราษธร์ธานีในสมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ อาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมอำนาจลงตรงกับสมัยที่กรุงสุโขทัยกำลังเจริญรุ่งเรือง และได้ขยายอำนาจลงมาทางใต้ตลอดไปถึงแหลมมลายู เมืองไชยาซึ่งเป็นเมืองในอาณาจักรศรีวิชัย จึงตกอยู่ใต้การปกครองของกรุงสุโขทัย ในสมัยอยุธยา มีเมืองสำคัญทางใต้คือ เมืองนครศรีธรรมราช เมืองไชยาเป็นเมืองที่ขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ยังมีเมืองเล็ก ๆ ขึ้นตรงต่อเมืองนครศรีธรรมราช คือ เมืองคีรีรัฐนิคม เมืองท่าทอง ครั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกู้อิสรภาพแล้วจึงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีสืบต่อจากกรุงศรีอยุธยา หลวงสิทธิ์ ปลัดผู้รักษาราชการเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อทราบข่าวเสียกรุงศรีอยุธยาจึงตั้งตนเป็นอิสระ เป็นเจ้าครองเมืองนครศรีธรรมราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้หลวงนายศักดิ์เป็นแม่ทัพไปปราบ เดินทัพผ่านเมืองปะทิว เมืองชุมพร เจ้าเมืองชุมพรคุมสมัครพรรคพวกเข้าสมทบกรุงธนบุรี เดินทัพถึงเมืองไชยา หลวงปลัดเมืองไชยารวบรวมสมัครพรรคพวกเข้าสมทบด้วย หลวงนายศักดิ์เห็นปลัดเมืองไชยาเป็นผู้มีความสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาแต่งตั้งเป็นพระยาวิชิตภักดีสงคราม (พระยาคอปล้อง) เป็นราชทินนามเมืองไชยาสืบมา ทัพหลวงนายศักดิ์เดินทางข้ามแม่น้ำตาปีที่ท่าข้าม (อำเภอพุนพิน) หลวงศักดิ์ตั้งรับทัพเมืองนครศรีธรรมราช ที่จะผ่านทางบ้านท่าหมาก อำเภอบ้านนาสาร ทัพหลวงนายศักดิ์ถูกตีล่าถอยกลับไป แล้วไปตั้งทัพรวมไพร่พลเสบียงอาหารอยู่ที่เมืองไชยา เมื่อไพร่พลหายเหนื่อยแล้วหลวงนายศักดิ์ได้ส่งกำลังข้ามแม่น้ำตาปีอีก แต่ถูกทัพเมืองนครศรีธรรมราชตีพ่ายกลับมาอีก เป็นอันว่าทัพหลวงนายศักดิ์ไม่สามารถจะเอาชนะทัพหลวงนายสิทธิ์ได้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงต้องยกทัพหลวงโดยทางชลมารคออกแทนเอง โดยทรง-พลหลวงมาขึ้นที่ ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา แล้วเสด็จไปสรงน้ำละลอตโขลนทวารที่สระน้ำคงคาไชยา ทัพเมืองนครศรีธรรมราชจึงได้สงบราบคาบมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พอถึงรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยานคร (น้อย) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้มาสร้างอู่ต่อเรือพระที่นั่ง และเรือรบถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ที่บ้านดอนนี้ แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านดอนนี้มีความสามารถขนาดต่อเรือรบได้ นับว่ามีฝีมือยอดเยี่ยมมากในสมัยนั้น ครั้นต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมืองนครศรีธรรมราชอ่อนแอลงเพราะสิ้นบุญเจ้าพระยานคร (น้อย) ขณะนั้นบ้านดอนมีความเจริญรุ่งเรืองมาก และมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ย้ายเมืองท่าทองมาตั้งที่บ้านดอน โดยการย้ายสำนักราชการเมืองมาทั้งหมด แล้วพระราชทานเมืองใหม่ที่มาตั้งที่บ้านดอนว่า เมือง- กาญจนดิษฐ์ และยกฐานะเมืองกาญจนดิษฐ์เป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพ ในเวลาต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองกาญจนดิษฐ์ (บ้านดอน) และเมืองคีรีรัฐนิคมเข้ามาเป็นเมืองเดียวกัน เรียกว่า เมืองไชยา ให้รวมเมืองไชยา เมืองชุมพร และเมืองหลังสวน ขึ้นเป็นมณฑลหนึ่งเรียกว่า มณฑลชุมพร ตั้งศาลา-กลางอยู่ที่ชุมพร ต่อมาได้ย้ายศาลากลางมณฑลมาตั้งที่บ้านดอน ในบริเวณเดียวกับศาลากลางเมืองไชยา ยกฐานะเมืองท่าทองเป็นอำเภอ เอาชื่อเมืองกาญจนดิษฐ์ให้เป็นอำเภอ ขนานนามว่าเมืองไชยา ยกฐานะอำเภอกาญจนดิษฐ์ ลดฐานะเมืองไชยาเดิมเป็นอำเภอ เรียกว่า อำเภอเมืองไชยา และได้แบ่งเขตการปกครองซอยลงไปอีก ท้องที่ใดมีคนมากเป็นชุมชนหนาแน่นพอสมควรหรือท้องที่กว้างขวางเกินไปไม่สะดวกแก่การปกครอง ก็แบ่งแยกไปตั้งเป็นอำเภอและกิ่งอำเภอขึ้นใหม่อีกหลายอำเภอ ต่อมาได้มีระบบการปกครองกำหนดออกมาอีกว่า อำเภออันเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดนั้น ให้เรียกว่าอำเภอเมือง อำเภอเมืองไชยาจึงถูกตัดคำว่าเมืองออกเสีย คงเรียกแต่อำเภอไชยาเฉย ๆ มาจนทุกวันนี้ ในเวลาเดียวกันกับอำเภอบ้านดอนก็กลายเป็นอำเภอเมืองบ้านดอน ซึ่งเป็นอำเภอที่ตั้งศาลากลางจังหวัด และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอเมืองบ้านดอน เป็นอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ตามชื่อจังหวัดที่ได้รับพระราชทาน *ก่อนที่บ้านดอนจะได้กลายเป็นอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานีในปัจจุบัน มีประวัติความเป็นมาดังนี้ ดินแดนบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ที่เรียกว่า อ่าวบ้านดอน ในทุกวันนี้ นักโบราณคดีได้สันนิษฐานไว้ว่า มีผู้คนชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่กันมาแต่หนึ่งพันสี่ร้อยปีก่อนแล้ว ซึ่งก็คงตกประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ นั่นเอง ครั้งกระนั้นมีชาวอินเดียแล่นเรือมาถึงเมืองตะกั่วป่า แล้วเดินทางเลาะเสียบลำน้ำตะกั่วป่าไปสู่เชิงเขาหลวง ข้ามเขาเดินเลียบริมแม่น้ำหลวงเรื่อยมาจนถึงปากอ่าวบ้านดอน ชาวอินเดียเป็นผู้มีวิชาความรู้เหนือชนพื้นเมือง จึงได้แพร่วัฒนธรรมของตนไว้ในดินแดนเหล่านี้ สมัยนั้นเป็นเวลาแห่งความรุ่งเรืองของอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งนักโบราณคดียังถกเถียงกันไม่เป็นที่ยุติว่า นครหลวงแห่งอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ในสุมาตราหรือที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี กันแน่ รอบอ่าวบ้านดอนมีเมืองสำคัญ ๆ อันเป็นที่มาของจังหวัดสุราษฎร์ธานีในปัจจุบันอยู่หลายเมือง คือ เมืองไชยา ตั้งอยู่ ณ ริมน้ำท่าทองอุแท อยู่ในบริเวณอำเภอกาญจนดิษฐ์ ปัจจุบัน และเมืองคีรีรัฐนิคมตั้งอยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำพุมดวง เดี๋ยวนี้อยู่ในเขตอำเภอคีรีรัฐนิคมนั่งเอง เมืองทั้งสามนี้คือเมืองเก่าแก่ อันเป็นต้นกำเนิดของจังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือบ้านดอนวันนี้ ในหนังสือรวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช ของกรมศิลปากร ซึ่งพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ มีข้อความตอนหนึ่งในตำนานเมืองนครศรีธรรมราชกล่าวไว้ว่า เมื่อพระพนมวังแลนางสะเดียงทอง และศรีราชาออกมาสร้างเมืองนครดอนพระนั้น และพระพนมวัง แลนางสะเดียงทองก็มาตั้งบ้านอยู่จงสระ อยู่นอกเมืองดอนพระ สร้างป่าเป็นนา สร้างนาทุ่งเขน สร้างนาท่าทอง สร้างนาไชยคราม สร้างนากะนอม สร้างนาสะเพียง อีกตอนหนึ่งกล่าวถึงเมืองท่าทองไว้ว่า พญาศรีธรรมาโศกราชก็ทูลกรุณาว่า เมืองท่าทองใต้หล้าฟ้าเขียวนี้ ยากเงินทอง ข้าพเจ้า-พระบาทอยู่หัวขอนำเงินเล็กปิดตรานะโมประจำแต่ไปเมื่อหน้า ข้อความในตำนานเมืองนครศรีธรรมราชเกี่ยวกับเมืองท่าทองนี้ไม่มีศักราชระบุไว้แน่นอน เมืองท่าทองนี้จะตั้งมาแต่ครั้งไหน แต่มีข้อความที่ชวนให้สืบสาวความเก่าแก่ของเมืองท่าทองได้ เมื่อตำนานนี้พูดถึงเงินนะโม อันเป็นตราที่ใช้ในสมัยโบราณก่อนหน้าที่จะเกิดกรุงศรีอยุธยาคือก่อน พ.ศ. ๑๘๙๓ ในสมัยอยุธยาได้นำเงินพดด้วงเลียนแบบเงินตรานะโมที่เคยใช้กันมาก่อน ดังนั้น เมื่อเมือง ท่าทองเกิดข้าวยากหมากแพง ยากเงินยากทอง เจ้าเมืองจึงนำเงินตรานะโมมาใช้ที่ท่าทอง เป็นอันสันนิษฐานได้ตามหลักโบราณคดีว่า เมืองท่าทองจะต้องเป็นเมืองมาแล้วในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ตรงกับสมัยสุโขทัย มีหลักฐานทางโบราณวัตถุเก่าแก่อยู่หลายแห่ง เช่น ที่วัดคูหา วัดเสมาและวัดม่วงงาม เป็นต้น เมืองท่าทองเดิมทีเดียวตั้งอยู่ที่บ้านสะท้อน มีเรื่องเก่าเป็นทำนองตำนานว่า สมัยเมื่อหลายปีมาแล้ว ริมคลองแห่งนี้มีต้นสะท้อนอยู่เป็นดง ต่อมานายมากชาวเมืองนครศรีธรรมราช อพยพผู้คนมาตั้งทำกินที่นี่จนมีฐานะร่ำรวย จึงเปลี่ยนชื่อบ้านสะท้อนเป็นบ้านท่าทอง โดยมีพระวิสูตรสงครามราชภักดี เป็นเจ้าเมือง ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ อันตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า-จุฬาโลกมหาราช ปรากฏว่า พระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่า ได้ยกทัพมาตีหัวเมืองภาคใต้ตั้งแต่เมืองชุมพร หลังสวน ไชยา ลงมาจนถึงเมืองท่าทอง นครศรีธรรมราช หัวเมืองเหล่านี้ถูกพม่ายึดอยู่ระยะหนึ่ง สมเด็จพระบรมราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงนำกองทัพจากกรุงเทพฯ ไปขับไล่พม่าออกไปจนหมดสิ้น แต่จากการทำสงครามครั้งนี้ เมืองท่าทองถูกทำลายมากเกินกว่าที่จะบูรณะให้ดีดังเดิมได้ ดังนั้น หลังสงครามนี้แล้ว ผู้รั้งเมืองท่าทองอันมีนามว่านายสม จึงได้ย้ายเมืองท่าทองจากบ้านสะท้อนมาที่บ้านกะแดะ (อันเป็นที่ตั้งอำเภอกาญจนดิษฐ์ในปัจจุบัน) ยังคงเรียกว่าเมืองท่าทองตามเดิม นายสม ผู้ตั้งเมืองนั้นได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงวิเศษ ครองเมืองท่าทองอยู่ที่ริมคลองกะแดะ ไม่นานก็พิจารณาย้ายเมืองมาตั้งริมคลองมะขามเตี้ย (เขตอำเภอเมืองปัจจุบัน) เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๓๖ หลวงวิเศษได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระวิสูตร ครองเมืองท่าทองจนถึงปี พ.ศ. ๒๓๗๕ ก็ถึงแก่กรรม บุตรชาย พระวิสูตรได้ครองเมืองแทน มีบรรดาศักดิ์เป็นพระพิทักษ์สุนทร ในระหว่างที่เมืองท่าทองมาตั้งอยู่ริมแม่น้ำมะขามเตี้ยนี่เอง ชุมชนแห่งใหม่ได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว ณ บริเวณที่ดอนริมแม่น้ำหลวง สถานที่แห่งนี้เจ้าพระยานครได้ส่งคนมาต่อเรือกำปั่นเดินทะเล เพราะหาไม่ได้ง่ายจากริมแม่น้ำหลวง เนื่องจากบริเวณเป็นที่ดอนนี่เอง ชาวบ้านก็เลย เรียกกันว่า บ้านดอน ส่วนทางด้านเมืองท่าทองนั้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ส่งบุตรชายชื่อพุ่ม มาเป็นเจ้าเมือง พอถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเจ้าพระยานคร (น้อย) ถึงแก่อสัญญกรรมแล้ววันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ วันนั้นนับเป็นวันสำคัญของชาวเมืองไชยา ดังจดหมายเหตุระยะทางเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้ พุทธศักราช ๒๔๕๘ บันทึกไว้ว่า วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ วันนี้มีกระแสพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งผู้แทนเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ให้ประกาศพระราชปรารภเรื่องที่บ้านดอนซึ่งตั้งเป็นเมืองไชยาใหม่ แลตั้งที่ว่าการมณฑลชุมพรอยู่นั้น ประชาชนก็คงเรียกว่าบ้านดอนอยู่ตามเดิมและเมืองไชยาเก่าซึ่งเปลี่ยนเรียกว่า อำเภอพุมเรียง แต่ราษฎรก็คงเรียกชื่อเดิม เมืองไชยา เป็นไชยาเก่า ไชยาใหม่ สับสนกันไม่เป็นที่ยุติลงในราชการ จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเมืองที่บ้านดอนใหม่ว่า เมือง สุราษฎร์ธานี เปลี่ยนนามอำเภอพุมเรียง เรียกว่า อำเภอเมืองไชยา เพราะเป็นชื่อเก่า ในวันเดียวกันนี้เอง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนนามแม่น้ำหลวงเป็นแม่น้ำตาปี การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนชื่อเมืองไชยาที่บ้านดอนเป็น สุราษฎร์ธานี ก็เพราะทรงสังเกตเห็นว่า ชาวเมืองนี้เป็นคนดีสุภาพเรียบร้อย และการที่ทรงเปลี่ยนชื่อแม่น้ำหลวงเป็นตาปีนั้น เล่ากันว่า พระองค์ทรงนำแบบมาจากอินเดีย ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งตั้งต้นจากขุนเขาสัตตปุระ ไหลลงสู่มหาสมุทรอินเดียทางอ่าวแคมเบย์ ชื่อแม่น้ำตาปติ ทางฝั่งซ้ายก่อนที่แม่น้ำ- ตาปติจะออกปากอ่าวนี้ มีเมือง ๆ หนึ่งชื่อเมืองสุรัฏร์ ตั้งอยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อพระองค์ทรงเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นสุราษฎร์ธานี (สุรัฏร์) จึงทรงเปลี่ยนแม่น้ำหลวงเป็นตาปีด้วย ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดสุราษฎร์ธานี, พุทธศักราช ๒๕๓๐ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:06:33 พัทลุง
ประวัติศาสตร์เมืองพัทลุง เมืองพัทลุงมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์และสืบต่อมาในสมัยประวัติศาสตร์ โดยมีชุมชนเกิดขึ้นทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลาก่อนแล้วเกิดเป็นเมืองขึ้นทางฝั่งตะวันออกเรียกชื่อว่าเมืองสทิงพระ มีอำนาจครอบคลุมรอบลุ่มทะเลสาบสงขลาประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ต่อมาถูกกองเรือพวกโจรสลัดรุกราน จึงมีการย้ายศูนย์การปกครองไปอยู่บริเวณบางแก้ว ฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลา เรียกชื่อเมืองใหม่ว่า เมืองพัทลุง มีอำนาจครอบคลุมรอบลุ่มทะเลสาบสงขลาแทนที่เมืองสทิงพระ เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาที่สำคัญแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเมืองสงขลาเป็นเมืองปากน้ำ แต่เมืองพัทลุงก็มีฐานะเป็นเมืองบริวารของแคว้นนครศรีธรรมราชมาตลอด แม้ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง แต่เมืองพัทลุงก็ยังตกเป็นเมืองบริวารของนครศรีธรรมราช ต่อมาในสมัยระบบกินเมืองระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ถึงกลางพุทธศตวรรษ ที่ ๒๕ ราชธานีได้รับผลประโยชน์เพียงน้อยนิด โดยเฉพาะในสมัยที่ตระกูล ณ พัทลุง และตระกูลจันท-โรจวงศ์ปกครองเมือง ราชธานีแทบจะแทรกมือเข้าไปไม่ถึงทั้งๆ ที่แยกเมืองสงขลาออกจากเมืองพัทลุงไปนานแล้ว ขณะเดียวกันมหาอำนาจตะวันตกก็คุกคามเข้ามารอบด้าน เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงจัดตั้งรัฐบาลกลางเข้มแข็งขึ้นแล้วในกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ก็ทรงเร่งรัดให้กรมหมื่นดำรงราชานุภาพเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยรีบจัดการปกครองหัวเมืองในแหลมมาลายูเสียใหม่ เพื่อ ดึงอำนาจเข้าสู่พระราชวงศ์จักรี ทำให้เมืองพัทลุงถูกรวมการปกครองเข้ามณฑลนครศรีธรรมราชในสมัยระบบเทศาภิบาล ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๙-๒๔๗๖ รัฐบาลพยายามลดอำนาจและอิทธิพลของตระกูล ณ พัทลุง และตระกูลจันทโรจวงศ์ตลอดมาในสมัยระบบเทศาภิบาล แต่แล้วเมื่อมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรครั้งแรกในสมัยระบบประชาธิปไตย เชื้อสายของตระกูล ณ พัทลุง กลับได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัดพัทลุง ปัจจุบันจังหวัดนี้กลับกลายเป็นจังหวัดที่ยากจนที่สุดของภาคใต้ เพื่อเข้าใจถึงเรื่องราวดังกล่าวผู้เขียนจะแบ่งประวัติศาสตร์พัทลุงออกเป็น ๒ สมัย คือ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สันนิษฐานได้จากหลักฐานทางโบราณวัตถุคือ ขวานหินขัดสมัยหินใหม่ หรือชาวบ้าน เรียกว่า ขวานฟ้าที่พบจำนวน ๕๐-๖๐ ชิ้น(๑) ในเขตท้องที่อำเภอเมือง อำเภอเขาชัยสน และอำเภอ ปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ปรากฏว่าท้องที่เหล่านี้ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์หรือประมาณ ๒,๕๐๐-๔,๐๐๐ ปี มาแล้ว(๒) มีชุมชนเกิดขึ้นแล้ว โดยใช้ขวานหินขัดเป็นเครื่องมือสับตัด สมัยประวัติศาสตร์ อายุตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันพอจะแบ่งได้เป็น ๔ สมัย คือ สมัยสร้างบ้านแปลงเมือง สมัยระบบกินเมือง สมัยระบบเทศาภิบาล และสมัยระบบประชาธิปไตย สมัยสร้างบ้านแปลงเมือง ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒๒๐ เมื่อบริเวณสันทรายขนาดใหญ่ กว้าง ๕๑๒ กิโลเมตร ยาว ๘๐ กิโลเมตรทางฝั่งตะวันออกของทะเลสาบสงขลาหรือบริเวณที่ต่อมาภายหลังชาวพื้นเมืองเรียกว่า แผ่นดินบก ซึ่งเป็นที่ดอน เป็นแผ่นดินเกิดใหม่ชายฝั่งทะเลหลวง ทำให้ผู้คนอพยพจากบริเวณฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลา ไปตั้งหลักแหล่งทำมาหากินมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสภาพภูมิ-ประเทศบริเวณนี้มีความเหมาะสมหลายประการกล่าวคือ เป็นสันดอนน้ำไม่ท่วม สามารถตั้งบ้านเรือนสร้างศาสนสถานได้สะดวกดี มีที่ราบลุ่มกระจายอยู่ทั่วไปกับที่ดอนเป็นบริเวณกว้างขวางพอที่จะเพาะปลูกได้อย่างพอเพียง ประกอบกับเป็นบริเวณอยู่ห่างไกลจากป่าและภูเขาใหญ่ ภูมิอากาศดี ไม่ค่อยมีไข้ป่ารบกวน อีกประการหนึ่ง สามารถติดต่อค้าขายทางทะเลกับเมืองอื่นที่อยู่ห่างไกลได้สะดวก เพราะอยู่ติดกับทะเล ชุมชนแถบแผ่นดินบกจึงเจริญเติบโตรวดเร็วกลายเป็นเมืองท่าสำคัญแห่งหนึ่งของแหลมมาลายูตอนเหนือไปในที่สุด ศูนย์กลางที่ตั้งเมืองอยู่บริเวณสทิงพระ เรียกชื่อเมืองว่าสทิงพระ มีอำนาจครอบคลุมชุมชนรอบทะเลสาบสงขลา(๓) ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นชุมชนนับถือศาสนาฮินดู(๔) มีฐานะเป็นหัวเมืองขึ้นของบรรดารัฐต่างๆ ที่เข้มแข็งและมีนโยบายจะควบคุมเส้นทางการค้าที่ผ่านทางคาบสมุทรมาลายูมาตลอดเวลา เช่น รัฐฟูนันลังกาสุกะ ศรีวิชัย(๕) ต่อมาไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเมื่อใดเมืองสทิงพระถูกกองทัพเรือ จากอาณาจักรทะเลใต้ชวา สุมาตรายกมาทำลาย เมืองเสียหายยับเยิน พลเมืองแตกกระจัดกระจายอพยพหนีภัยไปอยู่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลากันมาก เพราะตัวเมืองอยู่ใกล้ทะเลหลวง คือ ห่างเพียง ๑ กิโลเมตร ทำให้ข้าศึกเข้าถึงได้ง่ายโดยไม่ทันรู้ตัว เมืองสทิงพระจึงอ่อนกำลังลงมาก หลังจากนั้นพวกโจรสลัดยกมาปล้นสดมภ์ และในที่สุดก็สามารถยึดเมืองได้ ทำให้มีการย้ายศูนย์การปกครองไปอยู่ทางฝั่งตะวันตก โดยย้ายไปอยู่บริเวณบางแก้ว หรือปัจจุบันเรียกว่า โคกเมือง อยู่ในอำเภอเขาชัยสน ซึ่งเป็นชุมชนอยู่ก่อนแล้ว และชื่อเมืองพัทลุงน่าจะเกิดขึ้นในยุคนี้(๖) คือประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙(๗)มีอำนาจครอบคลุมชุมชนรอบทะเลสาบสงขลาแทนเมืองสทิงพระ ชาวเมืองนับถือพุทธศาสนาเป็นส่วนมาก ในขณะเดียวกันแคว้นตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช ซึ่งมีศูนย์อำนาจอยู่ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน และมีกำเนิดมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๗-๘(๘)สามารถขยายอำนาจเข้ามาปกครองดินแดนทั้งแหลมมาลายู โดยปกครองดินแดนในรูปของเมืองสิบสองนักษัตร(๙) ทำให้เมืองพัทลุงต้องกลายเป็นเมืองบริวารของนครศรีธรรมราช ดังปรากฏในตำนานเมืองนครศรีธรรมราชว่า เมืองพัทลุงเป็นเมืองหนึ่งในเมืองสิบสองนักษัตรของนครศรีธรรมราช ใช้ตรางูเล็กเป็นตราของเมือง(๑๐)และในตำนานนางเลือดขาวตำนานเมืองพัทลุงก็กล่าวถึงความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราชของนครศรีธรรมราชด้วย ดังข้อความในหนังสือเอกสารประวัติศาสตร์เมืองพัทลุง ซึ่งแต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๒๗๒ รัชสมัยสมเด็จพระภูมินทรราชา (ขุนหลวงท้ายสระ) แห่งกรุงศรีอยุธยาตอนหนึ่งว่า นางและเจ้าพระยา (คือนางเลือดขาวและกุมารผู้เป็นสามี) กรีธาพลกลับหลังมายังสทังบางแก้วเล่าแล กุมารก็เสียบดินดูจะสร้างเมือง ก็มาถึงแขวงเมืองนครศรีธรรมราชและก็สร้างพระพุทธ-รูปเป็นหลายตำบลจะตั้งเมืองมิได้ เหตุน้ำนั้นเข้าหาพันธุ์สักบมิได้ ก็ให้มาตั้ง ณ เมืองนครศรีธรรมราช แลญังพระศพธาตุแลเจ้าพระญา (แลเจ้าพระญา คือเจ้าพระญา) ศรีธรรมโศกราช ลูกเจ้าพระยาศรีธรรมโศกราชนั้น (๑๑) เมืองพัทลุงมีความสัมพันธ์กับแคว้นนครศรีธรรมราชอย่างใกล้ชิด เป็นเมืองพี่เมืองน้องกันเพราะแม้เมืองพัทลุงจะขึ้นกับแคว้นนครศรีธรรมราช แต่มีลักษณะเป็นเมืองอิสระในทางการปกครองอยู่มาก สังเกตจากสมุดเพลาตำรากล่าวว่า แต่เดิมนั้นเมืองพัทลุงเก่าครั้งมีชื่อว่า เมืองสทิงพระ ทางฝ่ายอาณาจักรเจ้าเมืองมีฐานะเป็นเจ้าพญาหรือเจ้าพระยา ทางฝ่ายศาสนจักรเมืองพัทลุงมีฐานะเป็นเมืองพาราณสี แสดงให้เห็นว่าเมืองพัทลุงเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่มีบริวารมากศูนย์กลางจึงมีฐานะเป็นกรุง คือกรุงสทิงพระคล้ายกับเป็นเมืองหลวงแห่งหนึ่งทีเดียว และมีความสำคัญทางพุทธศาสนามาก เปรียบได้กับเมืองพาราณสี (ชื่อกรุงที่เป็นราชธานีของแคว้นกาศีของอินเดีย) ส่วนแคว้นนครศรีธรรมราชเปรียบประดุจเป็นเมืองปาฏลีบุตร (เป็นเมืองหลวงแคว้นมคธ) ฉะนั้นแคว้นนครศรีธรรมราชและเมืองพัทลุงคงจะเคยเป็นเมืองศูนย์กลางทางพุทธศาสนาเก่าแก่แห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับเมืองพัทลุงนั้นติดต่อกับหัวเมืองมอญและลังกามานานไม่ต่ำกว่า พ.ศ. ๑๘๐๐ เป็นต้นมาแล้ว พระสงค์คณะลังกาป่าแก้วจึงเจริญมากในบริเวณนี้ วัดสำคัญ ๆ ไม่ว่าวัดสทัง วัดเขียน วัดสทิงพระ วัดพระโค ล้วนขึ้นกับคณะลังกาป่าแก้วทั้งสิ้น(๑๒) ในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ขณะที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัยเพิ่งเริ่มรุ่งเรืองขึ้น ทางแคว้นนครศรีธรรมราชยังคงมีอำนาจแผ่ไปทั่วแหลมมาลายู ดังปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุจีนว่า จักรพรรดิของจีนเคยส่งทูตมาขอร้องอย่าให้สยาม (นครศรีธรรมราช) รุกรานหรือรังแกมาลายู เลย(๑๓)เมืองพัทลุงจึงคงจะยังขึ้นกับแค้วนนครศรีธรรมราชต่อมาอีกกว่าศตวรรษเพราะในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นมานั้น อาณาเขตของอยุธยายังแคบมาก กล่าวคือ ทิศเหนือจดชัยนาท ทิศตะวันออกจดจันทบุรี ทิศตะวันตกจดตะนาวศรีและทิศใต้จดแค่นครศรีธรรมราช(๑๔)เพิ่งปรากฏหลักฐานการเปลี่ยนแปลงชัดเจนในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงดึงอำนาจทุกอย่างเข้าสู่ศูนย์กลางคือ เมืองหลวงทรงจัดระบบสังคมเป็นรูประบบศักดินา ในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองหัวเมือง ทรงประกาศใช้พระอัยการตำแหน่งนายทหารหัวเมืองใน พ.ศ. ๑๙๙๘ มีผลกระทบต่อเมืองพัทลุง และแคว้นนครศรีธรรมราช คือ แคว้นนครศรีธรรมราชถูกลดฐานะลงเป็นหัวเมืองชั้นเอกขึ้นตรงต่ออยุธยา ส่วนเมืองพัทลุงมีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นตรีขึ้นตรงต่ออยุธยาเช่นกัน เจ้าเมืองมีบรรดาศักดิ์ เป็นพระยา ถือศักดินา ๕๐๐๐(๑๕) สมัยระบบกินเมือง ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (พ.ศ. ๑๙๙๘) ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๕ (พ.ศ. ๒๔๓๙) ระบบกินเมือง หมายถึงระบบที่เจ้าเมืองมีอำนาจเก็บภาษี ใช้ไพร่ และเก็บเงินค่าราชการจากไพร่ ทั้งมีสิทธิ์ลงโทษราษฎรตามใจชอบ เจ้าเมืองและกรมการมักเป็นญาติกัน ราชธานีมิได้มีสิทธิ์แต่งตั้งเจ้าเมืองตามทฤษฎีที่กำหนดไว้ เพราะเจ้าเมืองเหล่านี้มีอยู่แล้ว, ราชธานีเป็นเพียงยอมรับอำนาจเจ้าเมือง ส่วนกรมการเมือง ราชธานีก็จะต้องแต่งตั้งตามข้อเสนอของเจ้าเมือง เพื่อป้องกันเหตุร้าย การปกครองดังกล่าวทำให้ราชธานีพยายามจะลดอำนาจเจ้าเมืองพัทลุง และเข้าไปมีอำนาจเหนือเมืองพัทลุงตลอดมา โดยในระยะต้นของสมัยระบบกินเมือง อาศัยพุทธศาสนา กล่าวคือ สนับสนุนการก่อตั้งพระพุทธศาสนา ดึงกำลังคนจากอำนาจของเจ้าเมืองพัทลุงและนครศรีธรรมราชไปขึ้นกับวัด พระ และเพิ่มชื่อเสียงของพระมหากษัตริย์อยุธยาในฐานะผู้ทรงอุปถัมภ์ศาสนา เช่นกรณีภิกษุอินทร์รวบรวมนักบวชราว ๕๐๐ คนขับไล่พม่าที่มาล้อมกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักร- พรรดิ (พ.ศ. ๒๐๙๑ - ๒๑๑๑) โดยใช้เวทมนตร์ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงโปรดปรานมากจึงพระราชทานยศให้เป็นพระครูอินทโมฬีคณะลังกาป่าแก้ว (กาแก้ว) เมืองพัทลุง ควบคุมวัดทั้งในเมืองพัทลุงและนครศรีธรรมราชถึง ๒๙๘ วัด ทั้งทรงกัลปนาวัด คือกำหนดเขตที่ดินและแรงงานมาขึ้นวัดเขียนและวัดสทังที่พระครูอินทโมฬีบูรณะด้วย(๑๖) หรือกรณีอุชงคตนะโจรสลัดมาเลย์เข้ามาปล้นโจมตีเมืองพัทลุงเสียหายยับเยิน เมื่อประ- มาณ พ.ศ. ๒๑๔๑ - ๒๑๔๔ ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช(๑๗) ออกเมืองคำเจ้าเมืองหนีเอา ตัวรอด ราษฎรส่วนหนึ่งต้องอพยพหนีไปอยู่ต่างเมือง อีกส่วนหนึ่งถูกพวกโจรกวาดต้อนไปวัดวาอารามก็ถูกเผา ทางราชธานีอ้างว่าศึกเหลือกำลัง จึงมิได้เอาผิดที่เจ้าเมืองทิ้งเมืองและกลับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองต่อไป (๑๘)แต่ก็มีการกัลปนาวัดในเมืองพัทลุงอีกครั้งใน พ.ศ. ๒๑๕๓(๑๙) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการกัลปนาวัดจะทำให้อำนาจของเจ้าเมืองพัทลุงและนครศรีธรรมราชลดน้อยลง เพราะเจ้าเมืองมีอำนาจควบคุมไพร่พลโดยตรงเฉพาะในบริเวณที่อยู่นอกเขตกัลปนาเท่านั้น แต่ก็ทำให้มีอำนาจของฝ่ายฆราวาสกับพระสงฆ์สมดุลมากขึ้น มีผลให้เมืองพัทลุงกลับเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยชุมชนใหญ่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลาทำหน้าที่เป็นเมืองหน้าด่าน ติดต่อกับเมืองต่างๆ และรับอารยธรรมจากอินเดีย ลังกา ส่วนทางฝั่งตะวันออกทำหน้าที่เป็นเมืองท่าค้าขายทางทะเล(๒๐) จนเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับเมืองไทย เช่น เอกสารของฮอลันดาบันทึกไว้ เมื่อ พ.ศ. ๒๑๕๕ ว่าอังกฤษและฮอลันดาพยายามแข่งขันกันเข้าผูกขาดชื้อพริกไทยจากเมืองพัทลุงและเมืองในบริเวณใกล้เคียง ใน พ.ศ. ๒๑๖๓ เวนแฮสเซลพ่อค้าฮอลันดาแนะนำว่า ฮอลันดาควรจะจัดส่งเครื่องราชบรรณาการเจ้าเมืองลิกอร์ (นครศรีธรรมราช) เจ้าเมืองบูร์เดลอง (พัทลุง) และเจ้าเมืองแซงกอรา (สงขลา) เพื่อเอาใจเมืองเหล่านั้นไว้ เพราะสัมพันธ์ภาพกับเจ้าเมืองเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมาก(๒๑)ความรุ่งเรืองทางการค้านี้ประกอบกับสงครามไทยพม่า ในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒ และการแย่งชิงอำนาจในราชธานีในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ทำให้อำนาจของอยุธยาที่มีต่อหัวเมืองมาลายูอ่อนแอลง เช่น เจ้าเมืองปัตตานี นครศรีธรรมราช(๒๒)สงขลาและพัทลุง(๒๓)ประกาศไม่ยอมรับการขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ของอยุธยา ขณะเดียวกันทางมาเลย์กลับมีกำลังแข็งขึ้นพวกมุสลิมจึงเป็นเจ้าเมืองในแถบหัวเมืองมาลายูมากขึ้นในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓ อาทิ พระยารามเดโชเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ตาตุมะระหุ่มที่เชื่อกันว่าเป็นต้นตระกูล ณ พัทลุง อาจจะเป็นทั้งเจ้าเมืองพัทลุงและสงขลา (๒๔) ทางอยุธยาพยายามดึงหัวเมืองดังกล่าวให้ใกล้ชิดกับอยุธยามากขึ้น โดยใช้นโยบายให้คนไทยไปปกครอง และสนับสนุนอุปถัมภ์ตระกูลของคนไทยที่มีผลประโยชน์ในการปกครองหัวเมืองแหลมมาลายู บางครั้งใช้ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ แต่ดูเหมือนนโยบายนี้จะไม่ได้ผลมากนักในเมืองพัทลุง (๒๕)เพราะในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ เจ้าเมืองที่เป็นเชื้อสายของตระกูล ณ พัทลุง ยังคงเป็นเจ้าเมืองพัทลุงที่นับถือศาสนาอิสลามสืบมาจนเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าใน พ.ศ. ๒๓๑๐ (๒๖) เมื่อทางราชธานีเกิดการจราจล ขาดกษัตริย์ปกครอง พวกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต่างตั้งตัวเป็นอิสระ ทางหัวเมืองมาลายูพระปลัดหนูผู้รักษาราชการเมืองนครศรีธรรมราชตั้งตัวเป็นอิสระ เรียกว่าชุมชนเจ้านคร ปกครองหัวเมืองแหลมมาลายูทั้งหมด และดูเหมือนว่าบรรดาหัวเมืองอื่นๆ ก็ยอมรับอำนาจของเจ้านคร (หนู) แต่โดยดี เพราะไม่ปรากฏหลักฐานว่าเจ้านคร (หนู) ต้องใช้กำลังเข้าบังคับปราบปรามเมืองหนึ่งเมืองใดเลย แต่ใน พ.ศ. ๒๓๑๓ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงปราบปรามเจ้านคร (หนู) ได้สำเร็จแล้วก็โปรดเกล้าให้เจ้านราสุริวงศ์พระญาติปกครองเมืองนครศรีธรรมราช และให้รับผิดชอบในการดูแลหัวเมืองแหลมมาลายูแทนราชธานีด้วย(๒๗)ทำให้เมืองพัทลุงกลับมาขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชอีกครั้งในระหว่าง พ.ศ. ๒๓๑๓๒๓๑๙ คือ ตลอดสมัยเจ้านราสุริวงศ์ โดยโปรดเกล้าฯ ให้นายจันทร์มหาดเล็กมาเป็นเจ้าเมืองแทนเจ้าเมืองเชื้อสายตระกูล ณ พัทลุง(๒๘) หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:07:02 พัทลุง ๒
การกระทำดังกล่าวคงทำให้ตระกูล ณ พัทลุง ต่อต้านเจ้าเมืองพัทลุงคนใหม่ เพราะในพงศาวดารเมืองพัทลุง ซึ่งเขียนโดยหลวงศรีวรวัตร(๒๙)(พิณ จันทโรจวงศ์) เชื้อสายของตระกูล ณ พัทลุง กล่าวว่า นายจันทร์มหาดเล็กเจ้าเมืองพัทลุงคนใหม่นั้นว่าราชการอยู่ได้เพียง ๓ ปีก็ถูกถอดออกจาก ราชการและตำแหน่งเจ้าเมืองพัทลุงตกเป็นของตระกูล ณ พัทลุง อีกใน พ.ศ. ๒๓๑๕ และในปีนี้เองพระ-ยาพัทลุง (ขุนหรือคางเหล็ก) ตระกูล ณ พัทลุงได้เปลี่ยนท่าทีใหม่คือ เปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาพุทธ(๓๐) คงจะเนื่องมาจากพระยาพัทลุง (คางเหล็ก) ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเลื่อมใส ในพุทธศาสนาเข้ามามีอิทธิพลชักชวนให้คนไทยเกิดความเลื่อมใสในศาสนานั้น(๓๑)ปรากฏหลักฐานว่าในที่สุดถึงกับทรงออกประกาศห้ามอย่างเฉียบขาด ใน พ.ศ. ๒๓๑๗ ดังความตอนหนึ่งว่า ประกาศของไทย ลงวันที่ ๑๓ เดือนตุลาคม ค.ศ ๑๖๖๔ (พ.ศ. ๒๓๑๗) ห้ามมิให้ไทยและมอญเข้ารีตและนับถือศาสนาพระมะหะหมัด มองเซนเยอร์เลอบองเป็นผู้แปล ด้วยพวกเข้ารีตและพวกถือศาสนามะหะหมัดเป็นคนที่อยู่นอกพระพุทธศาสนาเป็นคนที่ไม่มีกฎหมาย และไม่ประพฤติตามพระพุทธวจนะ ถ้าพวกไทยซึ่งเป็นคนพื้นเมืองนี้ตั้งแต่กำเนิดไม่นับถือและไม่ประพฤติตามพระพุทธศาสนาถึงกับลืมชาติกำเนิดตัว ถ้าไทยไปประพฤติและปฏิบัติตามลัทธิของพวกเข้ารีตและพระมะหะหมัดก็จะตกอยู่ในฐานความผิดอย่างร้ายกาจ เพราะฉะนั้นเป็นอันเห็นได้เที่ยงแท้ว่าถ้าคนจำพวกนี้ตายไป ก็จะต้องตกนรกอเวจี ถ้าจะปล่อยให้คนพวกนี้ทำตามชอบใจ ถ้าไม่เหนี่ยวรั้งไว้ ถ้าไม่ห้ามไว้ พวกนี้ก็จะทำให้วุ่นขึ้นทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว จนที่สุดพระพุทธศาสนาก็เสื่อมทรามไปด้วย เพราะเหตุฉะนี้จึงห้ามขาดมิไห้ไทยและมอญ ไม่ว่าผู้ชายหรือหญิงเด็กหรือผู้ใหญ่ได้เข้าไปในพิธีของพวกมะหะหมัดหรือพวกเข้ารีต ถ้าผู้ใดมีใจดื้อแข็ง เจตนาไม่ได้มืดมัวไปด้วยกิเลสต่างๆ จะฝ่าฝืนต่อประกาศนี้ ขืนไปเข้าในพิธีของพวกมะหะหมัดและพวกเข้ารีตแม้แต่อย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว ให้เป็นหน้าที่ของสังฆราชหรือบาทหลวงมิชชันนารี หรือบุคคลที่เป็นคริสเตียน หรือมะหะหมัดจะต้องคอยห้ามปรามมิให้คนเหล่านั้นได้เข้าไปในพิธีของพวกคริสเตียน และพวกมะหะหมัดให้เจ้าพนักงานจับกุมคนไทยและมอญที่ไปเข้าพิธีเข้ารีตและมะหะหมัดดังว่ามานี้ ส่งให้ผู้พิพากษาชำระ และให้ผู้พิพากษาวางโทษถึงประหารชีวิต(๓๒) จริงอยู่แม้ว่าพระยาพัทลุง (คางเหล็ก) จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธก่อนการออกประกาศดังกล่าว แต่พระราชประสงค์ในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชลักษณะนี้คงจะเป็นสิ่งที่เข้าใจกันดีในหมู่ขุนนางก่อนที่จะมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการพระยาพัทลุง (คางเหล็ก) จึงต้องเปลี่ยนศาสนา มิใช่เกิดจากความศรัทธาในพุทธศาสนา เพราะเชื้อสายตระกูล ณ พัทลุง ผู้หนึ่งเป็นเจ้าเมืองใน พ.ศ. ๒๓๓๔ - ๒๓๖๐ ยังไม่ยอมให้นำเนื้อหมูเข้ามาในบ้านของท่านแสดงว่า พระยาพัทลุง (ทองขาว) ยังนับถือศาสนาอิสลาม เพิ่งจะมีการนับถือพุทธศาสนากันจริงๆ ในชั้นหลานของพระยาพัทลุง (คางเหล็ก) (๓๓) การเปลี่ยนศาสนาของพระยาพัทลุง (คางเหล็ก) ดูเหมือนจะไม่ได้ผลทางการเมืองมากนัก เพราะตระกูล ณ พัทลุง ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากราชธานี อำนาจและอิทธิพลของเมืองพัทลุงลดลงเรื่อยๆ กล่าวคือ ใน พ.ศ. ๒๓๑๘ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสนับสนุนจีนเหยียงหรือหลวง สุวรรณคีรีคนกลุ่มใหม่และต้นตระกูล ณ สงขลา เป็นเจ้าเมืองสงขลา(๓๔)ทั้งยกเมืองสงขลาเมืองปากน้ำของเมืองพัทลุงไปขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อเจ้านราสุริวงศ์ถึงแก่นิราลัยในปีรุ่งขึ้น ทางราชธานีให้ยกเมืองพัทลุงไปขึ้นตรงต่อราชธานีดังเดิม(๓๕)และสืบไปตลอดสมัยระบบกินเมือง และแม้ว่าพระยา-พัทลุง (คางเหล็ก) จะส่งบุตรธิดาหลายคนไปถวายตัว(๓๖) ทั้งมีความดีความชอบในการทำสงครามกับพม่าใน พ.ศ. ๒๓๒๘ และกับปัตตานีในปีถัดมา แต่เมื่อพระยาพัทลุง (คางเหล็ก) ถึงแก่อนิจกรรม ใน พ.ศ. ๒๓๓๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชกลับโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีไกร-ลาศคนของราชธานีมาเป็นเจ้าเมืองพัทลุงแทนตระกูล ณ พัทลุง(๓๗)อีก ๒ ปีต่อมายังทรงเพิ่มบทบาทให้เมืองสงขลาเข้มแข็งมากขึ้น โดยให้ทำหน้าที่ดูแลหัวเมืองประเทศราชมลายู(๓๘)และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขณะที่ทางราชธานียอมให้ตระกูล ณ พัทลุง (พระยาพัทลุงทองขาว) กลับมาเป็นเจ้าเมืองพัทลุงอีก แต่ก็ส่งนายจุ้ยตระกูลจันทโรจวงศ์ และบุตรของเจ้าพระยาสรินทราชา (จันทร์)(๓๙)ซึ่งเกี่ยวดองกับตระกูล ณ นคร เข้ามาเป็นกรมการเมืองพัทลุง (๔๐)เพื่อคานอำนาจของตระกูล ณ พัทลุง ในที่สุดในระหว่าง พ.ศ. ๒๓๕๔๒๓๘๒ เมื่อเจ้าพระยานคร (น้อย) ปกครองเมืองนครศรีธรรมราชหัวเมืองแหลมมาลายูต้องตกอยู่ในอำนาจของตระกูล ณ นคร ทางราชธานีแต่งตั้งให้พระเสน่หามนตรี (น้อยใหญ่) บุตรชายคนโตของเจ้าพระยานคร (น้อย) มาเป็นเจ้าเมืองพัทลุงแทนตระกูล ณ พัทลุง (พระยาพัทลุงเผือก) ในระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๙ - ๒๓๘๒(๔๑)ขณะเดียวกันตระกูล ณ สงขลา ก็พยายามสร้างอิทธิพลในเมืองพัทลุง โดยพระยาสงขลาเถี้ยนเส้งและบุญสังข์ต่างก็แต่งงานกับคนในตระกูล ณ พัทลุงทั้งคู่(๔๒) ศาสตราจารย์เวลาอดีตผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำมหาวิทยาลัยฮาวายตั้งข้อสังเกตว่า การถึงอสัญกรรมของเจ้าพระยานคร (น้อย) ใน พ.ศ. ๒๓๘๒ ทำให้ราชธานีได้โอกาสจำกัดอำนาจของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชลงบ้าง(๔๓) เช่น เรียกตัวพระยาไทรบุรี (แสง) และพระเสนานุชิต (นุด) ปลัดเมืองไทรบุรีบุตรของเจ้าพระยานคร (น้อย) กลับสนับสนุนให้ตระกูล ณ ระนอง ซึ่งเพิ่งรุ่งเรืองจากการทำเหมืองแร่ดีบุกและค้าฝิ่นทางฝั่งทะเลตะวันตก (ทะเลหน้านอก) ของแหลมมลายูขยายอำนาจเข้ามาทางฝั่งตะวันออกในเขตเมืองชุมพรและไชยา(๔๔) สำหรับที่เมืองพัทลุงนั้น ทางราชธานีเรียกตัวพระเสน่หามนตรี (น้อยใหญ่) กลับแล้วแต่งตั้งพระปลัด (จุ้ย จันทโรจวงศ์) เป็นพระยาอภัยบริรักษ์ จักรวิชิตพิพิธภักดีพิริยพาหะเจ้าเมืองพัทลุงแทน และให้ตระกูลจันทโรจวงศ์และตระกูล ณ พัทลุงเป็นกรมการเมือง เพราะพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (จุ้ย) ผู้นี้นอกจากจะมีความดีความชอบในการปราบกบฏเมืองไทรบุรี ใน พ.ศ. ๒๓๗๓ และ พ.ศ ๒๓๘๑ อย่างแข็งขันแล้ว ประการสำคัญคือยังเกี่ยวดองกับขุนนางตระกูลบุนนาคที่มีอำนาจสูงยิ่งในขณะนั้นและบังคับบัญชาหัวเมืองแหลมมาลายูในตำแหน่งพระกลาโหมมาเป็นเวลายาวนานด้วย แต่ในที่สุดตระกูลจันทโรจวงศ์กับตระกูล ณ พัทลุงกลายเป็นเหมือนตระกูลเดียวกัน และสามารถปกครองเมืองพัทลุงสืบต่อไปตลอดสมัยระบบกินเมือง คงเป็นเพราะพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (จุ้ย) ไม่มีบุตร จึงรับนายน้อยหลานมาเป็นบุตรบุญธรรมแล้วสร้างความสัมพันธ์กับตระกูล ณ พัทลุงโดยใช้การแต่งงาน(๔๕) การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจันทโรจวงศ์กับตระกูล ณ พัทลุง โดยใช้การแต่งงานนั้นทำให้อำนาจของกลุ่มผู้ปกครองเมืองพัทลุงกระชับยิ่งขึ้น มีการแบ่งผลประโยชน์กันอย่างจริงจัง จนราชธานีแทบจะแทรกมือเข้าไปไม่ถึง โดยเฉพาะในตอนปลายสมัยระบบกินเมือง เช่น ในสมัยพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (เนตร จันทโรจวงศ์) เป็นเจ้าเมือง ใน พ.ศ. ๒๔๓๗ พระสฤษดิ์พจนกรณ์ข้าราชการชั้น ผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทยออกไปตรวจราชการแล้วมีความเห็นว่า เมืองพัทลุงเป็นเมืองเล็ก แต่กรมการเมืองมีอำนาจมากเกินผลประโยชน์และมีอำนาจชนิด .ที่ไม่มีกำหนดว่าเพียงใดชัด แต่เป็นอำนาจที่มีเหนือราษฏรอย่างสูงเจียนจะว่าได้ว่าทำอย่างใดกับราษฎรก็แทบจะทำได้ .(๔๖)ส่วนด้านผลประโยชน์เจ้าเมืองและกรมการแบ่งกันเองเป็น ๓ ตอน คือ ตอนที่ ๑ พระยาวรวุฒิไวยวัฒลุงควิไสยอิศรศักดิพิทักษ์ราชกิจนริศศรภักดีพิริยะพาหะ (น้อย) จางวาง ซึ่งทำหน้าที่กำกับเมืองพัทลุง และพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (เนตร) เจ้าเมืองสองคนพ่อลูกตระกูลจันทโรจวงศ์ได้ผลประโยชน์จากส่วยรายเฉลี่ย ตอนที่ ๒ ยกกระบัตรในตระกูล ณ พัทลุง ได้ผลประโยชน์จากภาษีอากร ตอนที่ ๓ กรมการผู้น้อย เป็นกรมการของผู้ใดก็จะได้แบ่งปันผลประโยชน์จากทางนั้น ผลประโยชน์หลักคือ การทำนา เพราะเจ้าเมืองและกรมการมีที่นากว้างใหญ่ทุกคนขายข้าวได้ทีละ มากๆ โดยไม่ต้องเสียค่านา นอกจากนั้นยังมีการแบ่งปันผลประโยชน์จากคุกตะรางอีก เพราะผู้ใดเป็นตุลาการชำระคดี ผู้นั้นจะมีคุกตะรางสำหรับขังนักโทษในศาลของตน จึงมีคุกตะรางถึง ๖ แห่ง โดยแบ่งเป็น ๒ ขนาด คือ ขนาดใหญ่ ๓ แห่ง เป็นของเจ้าเมือง หลวงเมือง หลวงจ่ามหาดไทย และขนาดเล็ก อีก ๓ แห่ง เจ้าเมืองจะเป็นผู้อนุญาตให้คนที่ชอบพอและไว้วางใจได้มีผลประโชยน์ที่จะได้จากการมีคุกตะรางของตัวเองคือ ได้ค่าธรรมเนียม แรงงาน และมีอำนาจในการพิจารณาคดี นักโทษของคุกตะรางใดเป็นดังเช่นทาส ในเรือนนั้นทำให้กรมการเมืองอยากจะมีคุกตะรางเป็นอย่างยิ่ง ผู้ใดไม่มีคุกตะรางก็จะถูกมองว่าไม่เป็น ผู้ดี เป็นคนชั้นต่ำ สำหรับราษฎร นอกจากต้องเสียค่านาแล้ว ยังถูกเกณฑ์แรงงานและสิ่งของทั้งของกินและของใช้อีก โดยเฉลี่ยจะถูกเกณฑ์ไม่ต่ำกว่า ๕ ครั้งต่อปี ราษฎรมักต้องยอมเพราะเกรงกลัวเจ้าเมืองและขุนนางมาก โจรผู้ร้ายก็ชุกชุม(๔๗) สภาพดังกล่าวเป็นปัญหาที่ทางราชธานีเมืองหนักใจมาก(๔๘)ทั้งยังมีปัญหากับเมืองข้างเคียง คือ กับเมืองสงขลาและนครศรีธรรมราชด้วย เพราะกลุ่มผู้ปกครองของเมืองเหล่านี้มุ่งแต่จะรักษาผลประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว จึงมักพบว่าเมื่อโจรผู้ร้ายทำโจรกรรมในเมืองสงขลาแล้วหลบหนีไปเมืองพัทลุง เจ้าเมืองสงขลาขอให้เจ้าเมืองพัทลุงส่งตัวให้ผู้ร้ายไปให้ แต่เจ้าเมืองพัทลุงมักจะเพิกเฉยส่วนโจรผู้ร้ายที่ทำโจรกรรมในแขวงเมืองพัทลุงแล้วหนีเข้าอยู่ในแขวงเมืองสงขลา เจ้าเมืองพัทลุงขอให้เจ้าเมืองสงขลาส่งตัวผู้ร้ายไปให้ เจ้าเมืองสงขลาก็มักจะเพิกเฉยเช่นกัน(๔๙)หรือกับทางเมืองนครศรีธรรมราชก็เป็นทำนองเดียวกันกับทางเมืองสงขลา (๕๐) พอจะกล่าวได้ว่าตลอดสมัยระบบกินเมือง แม้ว่าราชธานีพยายามควบคุมเมืองพัทลุงแต่ก็ควบคุมได้แต่เพียงในนามเท่านั้น เพราะความห่างไกลจากราชธานีทำให้ราชธานีดูแลไม่ทั่วถึงและไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับกิจการภายในของเมืองพัทลุงด้วยผลประโยชน์ของราชธานีจึงรั่วไหลไปมาก ประกอบกับในตอนกลางรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่ว่ามองไปทางทิศไหน เห็นอังกฤษและฝรั่งเศสพร้อมที่จะฉวยโอกาสรุกรานเข้ามา โดยเฉพาะทางหัวเมืองแหลมมาลายู อังกฤษถือโอกาสแทรกแชงเข้ามาในหัวเมืองประเทศราชมลายูของไทยและคุกคามหัวเมืองฝั่งตะวันตก ส่วนบริเวณคอคอดกระตอนเหนือของแหลมมาลายูทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสคุกคามเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้าและขยายอิทธิพลทางการเมือง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวิตกเป็นอย่างยิ่ง หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลกลางเข้มแข็งขึ้นแล้ว ในปลายปี พ.ศ. ๒๔๓๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเร่งรัดให้กรมหมื่นดำรงราชานุภาพเสนาบดี กระทรวงมหาดไทยรีดจัดการปกครองหัวเมืองในแหลมมลายูเสียใหม่(๕๑)เพื่อดึงอำนาจเข้าสู่พระราชวงศ์จักรี ทำให้เมืองพัทลุงถูกรวมการปกครองเข้ากับมณฑลนครศรีธรรมราชในพ.ศ. ๒๔๓๙ เนื่องจากกรมหมื่นดำรงราชานุภาพทรงเห็นว่า เมืองพัทลุง เป็นหัวเมืองบังคับยาก(๕๒)เช่นเดียวกับเมืองนครศรีธรรมราช สงขลา และหัวเมืองประเทศราชมลายู จึงทรงรวมหัวเมืองเหล่านี้เข้าเป็นมณฑลนครศรีธรรมราช ให้ตั้งศูนย์การปกครองที่เมืองสงขลา โดยทรงมอบหมายให้พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาล สมัยระบบเทศาภิบาล ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๙ - ๒๔๗๖ ช่วงนี้เมืองพัทลุงรวมอยู่ในการปกครองของมณฑล นครศรีธรรมราช สังกัดกระทรวงมหาดไทย รัฐบาลพยายามทำลายอำนาจและอิทธิพลของตระกูลจัน-ทโรจวงศ์ และตระกูล ณ พัทลุง เพื่อดึงอำนาจเข้าสู่พระราชวงศ์จักรี การดึงอำนาจการปกครองหัวเมืองเข้าสู่พระราชวงศ์จักรีในกลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ มีหลักการปกครองอยู่ว่า อำนาจจะต้องเข้ามารวมอยู่ที่จุดเดียวกันหมดรัฐบาลกลางจะไม่ให้การบังคับบัญชาหัวเมืองขึ้นอยู่กันเพียง ๓ กระทรวงคือ กรมมหาดไทย กรมกลาโหม และกรมท่า และจะไม่ยอมให้เจ้าเมืองต่างๆ มีอำนาจอย่างที่เคยมีมาในสมัยระบบกินเมืองระบบการปกครองแบบใหม่นี้เรียกว่า ระบบเทศาภิบาล หลักต่างๆ ของการปกครองตามระบบเทศาภิบาลที่ระบุไว้ในประกาศจัดปันหน้าที่ระหว่างกระทรวงกลาโหมและมหาดไทย ร.ศ. ๑๑๓ (พ.ศ. ๒๔๓๗) ซึ่งรวมหัวเมืองทั้งหมดไว้ใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ.๒๔๔๐) และในข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ร.ศ. ๑๑๗ (พ.ศ. ๒๔๔๑) ตามกฎหมายเหล่านี้ประเทศไทยเริ่มจัดส่วนราชการบริหารตามแบบใหม่ มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบตามลำดับของสายการบังคับบัญชาจากต่ำสุดไปจนถึงขั้นสูงสุดดังนี้ ชั้นที่ ๑ การปกครองหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านปกครอง ชั้นที่ ๒ การปกครองตำบล มีกำนันปกครอง ชั้นที่ ๓ การปกครองอำเภอ มีนายอำเภอปกครอง ชั้นที่ ๔ การปกครองเมือง มีผู้ว่าราชการเมืองปกครอง ชั้นที่ ๕ การปกครองมณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาลปกครอง การวางสายการปกครองเป็นลำดับชั้นกล่าวนับเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมเก่าใน หัวเมืองไปเป็นอีกรูปหนึ่ง ราษฎรซึ่งไม่เคยมีสิทธิ์มีเสียง เคยเป็นเพียงบ่าวไพร่ก็ได้มีโอกาสเลือก ผู้ใหญ่บ้าน กำนันขึ้นเป็นหัวหน้า ซึ่งเท่ากับได้มีโอกาสเสนอความต้องการของตนเองให้นายอำเภอและผู้ว่าราชการเมืองทราบ ผู้ว่าราชการเมืองและกรมการเมืองหรือพวกพ้องที่เคยทำอะไรตามใจชอบก็กระทำไม่ได้เสียแล้ว เพราะมีข้าหลวงเทศาภิบาลมาคอยดูแลเป็นหูเป็นตาแทนรัฐบาล การกินเมือง ซึ่งเคย กิน จากภาษีทุกอย่างต้องกลับกลายเป็นเพียง กิน เฉพาะเงินเดือนพระราชทานในฐานะ ข้าราชการ เพราะรัฐบาลเริ่มเก็บภาษีเองและเมื่อนายอำเภอ ผู้ว่าราชการเมือง และกรมการเมืองมีฐานะเป็นข้าราชการ ก็ต้องถูกย้ายไปตามที่ต่างๆ ตามคำสั่งของรัฐบาล ไม่ผักพันเป็นเจ้าเมืองเจ้าของชีวิตของชาวชนบทอยู่เพียงแห่งเดียวตามระบบเดิม กำนันผู้ใหญ่จะได้ค่าธรรมเนียมต่างๆ ได้ส่วนลดจากการเก็บค่านา ค่าน้ำ ค่าราชการ (๕๓) อนึ่งการปกครองในระบบเทศาภิบาล รัฐบาลยังต้องการให้ราษฎรมีความผูกพันกับรัฐบาล และมีความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติ รัฐบาลใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือ โดยมอบหมายให้จัดเป็นสถานศึกษา เพราะจัดเป็นองค์กรที่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ทั่วพระราชอาณาจักรโดยไม่ต้องเปลืองเงินทองของรัฐในการก่อสร้าง และเป็นแหล่งจูงใจให้ราษฎรเข้ามาเรียนหนังสือได้(๕๔)และมอบหมายให้กรมหมื่นวชิรญานวโรรสพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นพระราชาคณะธรรมยุติกนิกายรับผิดชอบร่วมกับกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เพราะรัฐบาลถือว่าธรรม-ยุติกนิกายเป็นตัวแทนของรัฐฝ่ายสงฆ์ส่วนตัวแทนฝ่ายฆราวาสคือกระทรวงมหาดไทย หรือกรมหมื่นดำรงราชานุภาพทั้งสองพระองค์จึงทรงกำหนดแบบแผนเดียวกันทั่วพระราชอาณาจักร คือ ใช้หนังสือแบบเรียนเร็วเป็นตำราเรียน และมีผู้อำนวยการสงฆ์เป็นผู้ตรวจตราและจัดการภายใต้การบังคับบัญชาของข้าหลวงเทศาภิบาล (๕๕) ที่เมืองพัทลุง พระยาสุขุมนัยวินิตข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชจัดการปก ครองตามแบบแผนทุกระดับ ที่สำคัญคือ ให้สร้างที่ว่าราชการเมืองขึ้น เพื่อให้ผู้ช่วยราชการเมืองและกรมการไปปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ราชการให้เป็นสัดส่วน ไม่ปะปนกับงานส่วนตัวเหมือนอย่างในสมัยระบบกินเมือง(๕๖)แต่การคัดเลือกบุคคลเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ นั้น รัฐบาลใช้ปะปนกันทั้งคนเก่าและคนใหม่ตลาดสมัยระบบเทศาภิบาล พอจะแบ่งได้เป็น ๒ ระยะ คือ ระยะแรก ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๙-๒๔๕๒ รัฐบาลใช้วิธีประนีประนอม กล่าวคือ ในระยะ ๕-๖ ปีแรก ยอมให้เชื้อสายตระกูลจันทโรจวงศ์และตระกูล ณ พัทลุง ข้าราชการในระบบเก่ารับตำแหน่งใหม่ ๆ ได้ผลประโยชน์ตามแบบเก่าบ้าง เช่น ให้พระยาอภัยบริรักษ์ฯ (เนตร) เจ้าเมืองเปลี่ยนฐานะเป็นผู้ช่วยราชการเมือง แต่ก็ให้พระพิศาลสงคราม(สอน) ผู้ช่วยราชการเมืองสิงห์บุรีเป็นผู้ช่วยราชการเมือง (๕๗)รับผิดชอบแผนกสรรพากรหรือดูแลการเก็บเงินผลประโยชน์ของแผ่นดิน เมื่อพระพิศาลถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ ก็จัดให้พระอาณาจักร์บริบาล (อ้น ณ ถลาง) เครือญาติของตระกูลจันทโรจวงศ์มาแทน (๕๘)คงเป็นเพราะรัฐบาลยังไม่มีเงินเดือนสำหรับข้าราชการประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง พระยา-สุขุมนัยวินิตจำต้องถนอมน้ำใจกลุ่มผู้ปกครองเดิม เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมาก และมีเงินมาก(๕๙)แต่ใน พ.ศ. ๒๔๔๖ เมื่อพระยาวรวุฒิไวยฯ (น้อย) จางวางซึ่งเป็นคนหัวเก่า(๖๐)ถึงอนิจกรรมรัฐบาลก็ปลดพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (เนตร) ผู้ว่าราชการเมืองลงเป็นจางวาง หลังจากนี้รัฐบาลพยายามแต่งตั้งเชื้อสายและพวกพ้องของตระกูลเจ้าเมืองในแหลมมลายูในสมัยระบบกินเมืองมาเป็นผู้ว่าราชการเมืองพัทลุงแทนตระกูลจันทโรจวงศ์และตระกูล ณ พัทลุง ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ว่าราชการเมืองบ่อยครั้งในระยะตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๖ -๒๔๔๙ โดยผลัดเปลี่ยนเข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าราชการเมือง ถึง ๔ คน(๖๑) คือ พระสุรฤทธิ์ภักดี (คอยู่ตี่ ณ ระนอง) บุตรชายพระยารัตนเศรษฐี (คอชิมก๊อง) อดีตข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลชุมพรและหลานพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมปี๊) ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต พระศิริธรรมบริรักษ์ (เย็น สุวรรณปัทมะ)บุตรเขยของพระยาวิเชียรศรี (ชม ณ สงขลา) พระแก้วโกรพ (หมี ณ ถลาง) และพระกาญจนดิฐบดี (อวบ ณ สงขลา) ตามลำดับ จนในที่สุดใน พ.ศ. ๒๔๕๒ พระกาญจนดิฐบดี (อวบ ณ สงขลา) เป็นผู้ว่าราชการเมือง โจรผู้ร้ายลักโคกระบือทั่วเขตเมืองพัทลุงจนทางราชการระงับไม่อยู่ ทั้งๆ ที่เป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่ขณะทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จประพาสเมืองพัทลุง พระกาญจนดิฐบดีถูกปลดออกจากราชการในปีนั้นเอง(๖๒) ระยะหลัง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๒ ๒๔๗๖ ดูเหมือนว่าเป็นระยะที่รัฐบาลใช้มาตรการค่อนข้างเด็ดขาดเพื่อลดอิทธิพลของตระกูลจันทโรจวงศ์และตระกูล ณ พัทลุง ที่ยังหลงเหลืออยู่อีก โดยจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางมาเป็นผู้ว่าราชการเมือง(๖๓)เช่น หม่อมเจ้าประสบประสงค์พระโอรสองค์ใหญ่ในกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระวุฒิภาคภักดี (ช้าง ช้างเผือก) เนติบัณฑิต หลวงวิชิตเสนี (หงวน ศตะรัตน์) เนติบัณฑิต ทำให้โจรผู้ร้ายกำเริบหนักจนดูราวกับว่าเมืองพัทลุงกลายเป็นอาณาจักรโจร โดยเฉพาะในปี พ.ศ. ๒๔๖๖(๖๔)สมัยพระคณาศัยสุนทร (สา สุวรรณสาร) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด (๖๕) มีขุนโจรหลายคนที่สำคัญ อาทิ นายรุ่ง ดอนทราย เป็นหัวหน้าโจรได้รับฉายาว่า ขุนพัฒน์หรือขุนพัทลุง นายดำหัวแพร เป็นรองหัวหน้า ได้รับฉายาว่า เจ้าฟ้าร่มเขียวหรือขุนอัสดงคต ทางมณฑลต้องส่งนายพันตำรว หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:07:27 พัทลุง ๓
โทพระวิชัยประชาบาล (บุญโกย เอโกบล) และคณะมาตั้งกองปราบปรามอยู่ตลอดปี ทำให้การปล้นฆ่าสงบลงอีกวาระหนึ่ง แต่ปีถัดมารัฐบาลสั่งให้ย้ายศูนย์ปกครอง(๖๖)จากตำบลลำปำมาตั้งที่บ้าน วังเนียง ตำบลคูหาสวรรค์(๖๗) อาจเป็นเพราะทางราชการเกิดความระแวงว่าตระกูลจันทโรจวงศ์ และตระกูล ณ พัทลุง มีส่วนร่วมกับพวกโจรจึงต้องการทำลายอิทธิพลของสองตระกูลนั้นในเขตตำบลลำปำ และสร้างศูนย์การปกครองแห่งใหม่ให้เป็นเขตของรัฐบาลอย่างแท้จริง ประกอบกับในขณะนั้นรัฐบาลได้สร้างทางรถไฟสายใต้ผ่านตำบลคูหาสวรรค์แล้วการคมนาคมระหว่างจังหวัดพัทลุงกับส่วนกลางและจังหวัดใกล้เคียงจึงสะดวกกว่าที่ตั้งเมืองที่ตำบลลำปำ ประชาชนก็อพยพมาตั้งบ้านเรือนทำมาค้าขายมากขึ้น(๖๘) สมัยระบบประชาธิปไตย (ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๖-ปัจจุบัน) เมื่อมีการปฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบบประชาธิปไตยอันมีพระ มหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญใน พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว รัฐบาลใหม่ประกาศใช้พระราชบัญญัติ ว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ ๒๔๗๖ ทำให้ระบบเทศาภิบาลถูกยกเลิกไป ส่วนภูมิภาคมีอำนาจมากขึ้น จังหวัดพัทลุงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งในอาณาจักรไทย ตามระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหาร ราชการแผ่นดิน มีผู้บริหารเป็นคณะเรียกว่า คณะกรมการจังหวัด ประกอบด้วยข้าหลวงประจำจังหวัด ปลัดจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการฝ่ายพลเรือนต่างๆ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำจังหวัดโดยข้าหลวงประจำจังหวัดทำหน้าที่เป็นประธาน แต่คณะกรมการจังหวัดจะต้องรับผิดชอบในราชการทั่วไปร่วมกัน และกรมการแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตนต่อกระทรวงทบวงกรมที่ตนสังกัด(๖๙) สำหรับอำเภอก็มีคณะบริหาร เรียกว่าคณะกรมการอำเภอ ประกอบด้วย นายอำเภอปลัดอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการฝ่ายพลเรือนต่างๆ เป็นเจ้าหน้าที่ประจำอำเภอ โดยมีนายอำเภอเป็นประธาน แต่คณะกรมการอำเภอจะต้องรับผิดชอบในราชการทั่วไปร่วมกัน และกรมการแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตนต่อกระทรวง ทบวง กรม ที่ตนสังกัด (๗๐) ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินโดยให้จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล เนื่องจากจังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ไม่เป็นนิติบุคคล นอกจากนั้นอำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะกรมการจังหวัด ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัดเพียงบุคคลเดียวและฐานะของกรมการจังหวัดก็เช่นเดียวกัน เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหาราชการแผ่นดินในจังหวัดก็ได้แก้ไขเป็นเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตามนัยประกาศของคณะปฏิบัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัด และอำเภอ จังหวัดนั้น ได้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอ ขึ้นเป็นจังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ และการเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติและให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินใน จังหวัด ซึ่งกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฉบับดังกล่าวนี้ได้บังคับใช้จนถึงปัจจุบันนี้ ๖๙) ศีรี วิชิตตะกุล, การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค (พระนคร : โรงเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,๒๔๙๘),หน้า ๒๗. (๗๐) เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๘-๒๙. ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดพัทลุง.พัทลุง : โรงพิมพ์พัทลุง , ๒๕๒๗. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:08:03 นครศรีธรรมราช
นครศรีธรรมราชเป็นเมืองโบราณที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และศาสนามากที่สุดเมืองหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมืองนี้มีชื่อเสียงเป็นที่ รู้จักกันอย่างกว้างขวางมาไม่น้อยกว่า ๑,๘๐๐ ปีมาแล้ว หลักฐานทางโบราณคดีและหลักฐานทางเอกสารที่ปรากฏในขณะนี้ยืนยันได้ว่านครศรีธรรมราชมีกำเนิดมาแล้วตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๗ เป็นอย่างน้อย๑ ชื่อของเมืองนครศรีธรรมราช จากประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งนครศรีธรรมราช สามารถประมวลได้ว่า นครศรี- ธรรมราช" ได้ปรากฏชื่อในที่ต่างๆ หลายชื่อ ตามความรู้ความเข้าใจที่สืบทอดกันมาและสำเนียงภาษาของชนชาติต่าง ๆ ที่เคยเดินทางผ่านมาในระยะเวลาที่ต่างกัน เช่น ตมฺพลิงฺคมฺ หรือ ตามฺพลิงฺคมฺ (Tambalingam) หรือ กมลี หรือ ตมลี หรือ กะมะลิง หรือ ตะมะลิง เป็นภาษาบาลีที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์มหานิเทศ (คัมภีร์บาลี ติสสเมตเตยยสุตตนิทเทศ) ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ คัมภีร์นี้เป็นวรรณคดีอินเดียโบราณกล่าวถึงการเดินทางของ นักเผชิญโชค เพื่อแสวงหาโชคลาภและความร่ำรวยยังดินแดนต่าง ๆ อันห่างไกลจากอินเดีย คือบริเวณ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ระบุเมืองท่าต่างๆ ในบริเวณนี้ไว้และในจำนวนนี้ได้มีชื่อเมืองท่าข้างต้น อยู่ด้วย ดังความตอนหนึ่งดังนี้ . . เมื่อแสวงหาโภคทรัพย์ ย่อมแล่นเรือไปในมหาสมุทร ไปคุมพะ (หรือติคุมพะ) ไปตักโกละ ไปตักกสิลา ไปกาลมุข ไปมรณปาร ไปเวสุงคะ ไปเวราบถ ไปชวา ไปกะมะลิง (ตะมะลิง) ไปวังกะ (หรือวังคะ) ไปเอฬวัททนะ (หรือเวฬุพันธนะ) ไปสุวัณณกูฏ ไปสุวัณณภูมิ ไปตัมพปัณณิ ไปสุปปาระ ไปภรุกะ (หรือภารุกัจฉะ) ไปสุรัทธะ (หรือสุรัฏฐะ) ไปอังคเณกะ (หรือภังคโลก) ไปคังคณะ (หรือภังคณะ) ไป ปรมคังคณะ (หรือสรมตังคณะ) ไปโยนะ ไปปินะ (หรือปรมโยนะ) ไปอัลลสันทะ (หรือวินกะ) ไปมูลบท ไปมรุกันดาร ไปชัณณุบท ไปอชบถ ไปเมณฑบท ไปสัง กุบท ไปฉัตตบท ไปวังสบท ไปสกุณบท ไปมุสิกบท ไปทริบถ ไปเวตตาจาร . . .๒ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ (Gorge Coedes) นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสได้กล่าวไว้ว่า นักปราชญ์ทางโบราณคดีลงความเห็นว่าชื่อเมืองท่า กะมะลิง หรือ ตะมะลิง ข้างต้นนี้ตรงกับชื่อที่บันทึกหรือจดหมายเหตุจีนเรียกว่า ตั้ง-มา-หลิ่ง และในศิลาจารึกเรียกว่า ตามพรลิงค์ คือ นครศรีธรรมราช๓ นอกจากนี้ในคัมภีร์มิลินทปัญหา ซึ่งพระปิฎกจุฬาภัยได้รจนาขึ้นเป็นภาษาบาลีซึ่งบางท่านมีความเห็นว่ารจนาเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ แต่บางท่านมีความเห็นว่ารจนาเมื่อราว พ.ศ. ๕๐๐ ก็ได้กล่าวถึงดินแดนนี้ไว้ในถ้อยคำของพระมหานาคเสน ยกมาเป็นข้ออุปมาถวายพระเจ้ามิลินท์ (หรือเมนันเดอร์ พ.ศ. ๓๙๒-๔๑๓)๔ ดังความตอนหนึ่งว่าดังนี้ . . . เหมือนอย่างเจ้าของเรือผู้มีทรัพย์ ได้ค่าระวางเรือในเมืองท่าต่างๆ แล้วได้ชำระภาษีที่ท่าเรือเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถจะแล่นเรือเดินทางไปในทะเลหลวง ไปถึงแคว้นวังคะ ตักโกละ เมืองจีน (หรือจีนะ) โสวีระ สุรัฏฐ์ อลสันทะ โกลปัฏฏนะ-โกละ (หรือท่าโกละ) อเล็กซานเดรีย หรือฝั่งโกโรมันเดล หรือ สุวัณณภูมิ๕ หรือที่ใดที่หนึ่งซึ่งนาวาไปได้ (หรือสถานที่ชุมนุมการเดินเรือแห่งอื่นๆ ). . .๖ ศาสตราจารย์ซิลแวง เลวี (Sylvain levy) นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสมีความเห็นว่า คำว่า ตมะลี (Tamali) ที่ปรากฏในคัมภีร์มหานิทเทศนั้นเป็นคำเดียวกับคำว่า ตามพรลิงค์ ตามที่ ปรากฏในที่อื่นๆ๗ส่วนศาสตราจารย์ ดร. ปรนะวิธานะ (Senarat Paranavitana) นักปราชญ์ชาวศรี-ลังกา (ลังกา) มีความเห็นว่า คำว่า ตมะลี (Tamali) บวกกับ คมฺ (gam) หรือ คมุ (gamu-ซึ่งภาษาสันสกฤตใช้ว่า ครฺมะ (grama) จึงอาจจะเป็น ตมะลิงคมฺ (Tamalingam) หรือ ตมะลิงคมุ (Tamalingamu)ในภาษาสิงหล และคำนี้เมื่อแปลเป็นภาษาบาลีก็เป็นคำว่า ตมฺพลิงคะ (Tambalinga) และเป็น ตามพรลิงคะ(Tambralinga) ในภาษาสันสกฤต๘ ตัน-มา-ลิง (Tan-Ma-ling) หรือ ตั้ง-มา-หลิ่ง เป็นชื่อที่เฉาจูกัว (Chao-Ju-Kua) และวังตาหยวน (Wang-Ta-Yuan) นักจดหมายเหตุจีนได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ เตา-อี-ชี-เลี้ยว (Tao-i Chih-lioh) เมื่อ พ.ศ. ๑๗๖๙ ความจริงชื่อตามพรลิงค์นี้นักจดหมายเหตุจีนรุ่นก่อน ๆ ก็ได้เคยบันทึกไว้แล้วดังเช่นที่ปรากฏอยู่ในหนังสือสุงชี (Sung-Shih) ซึ่งบันทึกไว้ว่าเมืองตามพรลิงค์ได้ส่งฑูตไปติดต่อทำไมตรีกับจีน เมื่อ พ.ศ. ๑๕๔๔ โดยจีนเรียกว่า ต้น-เหมย-หลิว (Tan-mei-leou) ศาสตราจารย์พอล วิทลีย์ (Paul Wheatley) นักปราชญ์ชาวอังกฤษได้กล่าวไว้ว่า Tan-mei-leou นั้นต่อมานักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญภาษาจีนชาวฝรั่งเศสและอังกฤษได้ลงความเห็นคำนี้ที่ถูกควรจะออกเสียงว่า Tan-mi-liu หรือ Tan-mei-liu๙ มัทมาลิงคัม (Madamalingam) เป็นภาษาทมิฬปรากฏอยู่ในศิลาจารึกที่พระเจ้าราเชนทรโจฬะที่ ๑ ในอินเดียภาคใต้โปรดให้สลักขึ้นไว้ที่เมืองตันชอร์ (Tanjore) ในอินเดียภาคใต้ระหว่าง พ.ศ. ๑๕๗๓-๑๕๗๔ ภายหลังที่พระองค์ได้ทรงส่งกองทัพเรืออันเกรียงไกรมาปราบเมืองต่าง ๆ บนคาบสมุทรมลายูจนได้รับชัยชนะหมดแล้ว ในบัญชีรายชื่อเมืองท่าต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงตีได้และสลักไว้ในศิลาจารึกดังกล่าวนั้นมีเมืองตามพรลิงค์อยู่ด้วย แต่ได้เรียกชื่อเพี้ยนไปเป็นชื่อ มัทมาลิงคัม๑๐ ตามพฺรลิงค์ (Tambralinga) เป็นภาษาสันสกฤต คือเป็นชื่อที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ ซึ่งพบที่วัดหัวเวียง (ปัจจุบันเรียกว่าวัดเวียง) ตำบลตลาด อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี สลักด้วยอักษรอินเดียกลาย ภาษาสันสกฤต เมื่อ พ.ศ. ๑๗๗๓ ศิลาจารึกหลักนี้พันตรี de Lajonauiere Virasaivas ได้กล่าวไว้ว่าสลักอยู่บนหลืบประตูสมัยโบราณมีขนาดสูง ๑.๗๗ เมตร (ไม่รวมเดือยสำหรับฝังเข้าไปในธรณีประตูด้านล่างและทับหลังด้านบน) กว้าง ๔๕ เซนติเมตร หนา ๑๓ เซนติเมตร ศิลาจารึกหลักนี้มีข้อความ ๑๖ บรรทัด ในปัจจุบันนี้ศิลาจารึกหลักนี้เก็บรักษาไว้ที่หอวชิรญาณ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ ได้อ่านและแปลศิลาจารึกหลักนี้ไว้ดังนี้๑๑ คำอ่าน ๑. สฺวสฺติ ศฺรีมตฺศฺรีฆนสาสนาคฺรสุภทํ ยสฺ ตามฺพฺรลิงฺ ๒. เคศฺวระ ส - - นิว ปตฺมวํสชนตำ วํศปฺรทีโปตฺภวะ สํรู ๓. เปน หิ จนฺทฺรภานุมทนะ ศฺรีธรฺมฺมราชา ส ยะ ธรฺมฺมสาโสกสมานนี ๔. ตินิปุนะ ปญฺจาณฺฑวํสาธิปะสฺวสฺติ ศฺรี กมลกุลสมุตฺภฤ (ตฺ) ตามฺ ๕. พฺรลิงฺเคศฺวรภุชพลภิมเสนาขฺยายนสฺ สกลมนุสฺยปุณฺยา ๖. นุภาเวน พภุว จนฺทฺรสูรฺยฺยานุภาวมิห ลโกปฺรสิทฺธิกีรฺตฺติ ๗. ธรจนฺทฺรภานุ-ติ ศฺรีธรฺมฺมราชา กลิยุคพรฺษาณิ ทฺวตริงศาธิกสฺ ตฺรีณิ ๘. สตาธิกจตฺวารสหสฺรานฺยติกฺรานฺเต เศลาเลขมิว ภกฺตฺยามฺฤตวรทมฺ - - - ต่อนั้นไปอีก ๗ หรือ ๘ บรรทัด อ่านไม่ใคร่ออก สังเกตเห็นได้แต่เพียง ๙. - - - - นฺยาทิ ทฺรพฺยานิ - - - - - - มาตฺฤปิตฺฤ ๑๐ - - - - - - - - - - สปริโภคฺยา - - - - - - - - ๑๑.-๑๒ - - - - - โพธิวฺฤกฺษ คำแปล สวสฺติ พระเจ้าผู้ปกครองเมืองตามพรลิงค์ ทรงประพฤติประโยชน์เกื้อกูลแก่พระพุทธศาสนา พระองค์สืบพระวงศ์มาจากพระวงศ์อันรุ่งเรือง คือ ปทุมวงศ มีรูปร่างงามเหมือนพระกามะ อันมีรูปงามราวกับพระจันทร์ ทรงฉลาดในนิติศาสตร์เสมอด้วยพระเจ้าธรรมาโศกราช เป็นหัวหน้าของพระราชวงศ์ ทรงพระนาม ศรีธรรมราช ศรีสวสฺติ พระเจ้าผู้ปกครองเมืองตามพรลิงค์ เป็นผู้อุปถัมภ์ตระกูลปทุมวงศ พระหัตถ์ของพระองค์มีฤทธิมีอำนาจ ด้วยอานุภาพแห่งบุญกุศลซึ่งพระองค์ได้ทำต่อมนุษย์ทั้งปวง ทรงเดชานุภาพประดุจพระอาทิตย์ พระจันทร์ และมีพระเกียรติอันเลื่องลือในโลกทรงพระนาม จันทรภานุ ศรีธรรมราช เมื่อกลียุค ๔๓๓๒ - - - - คำว่า ตามพรลิงค์ นี้ ศาสตราจารย์ ร.ต.ท.แสง มนวิทูร แปลว่า ลิงค์ทองแดง (แผ่นดินผู้ที่นับถือศิวลึงค์),๑๒ นายธรรมทาส พานิช แปลว่า ไข่แดง (ความหมายตามภาษาพื้นเมืองปักษ์ใต้),๑๓ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเรียกเพี้ยนเป็น ตามรลิงค์ (Tamralinga) สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงประทานความเห็นว่า ตามพรลิงค์ แปลว่า นิมิตทองแดง จะหมายเอาอันใดที่ในนครศรีธรรมราชน่าสงสัยมาก พบในหนังสือพระมาลัยคำหลวง เรียกเมืองลังกาว่า ตามพปณยทวีป แปลว่า เกาะแผ่นทองแดง เห็นคล้ายกับชื่อนครศรีธรรมราชที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเรียกว่า ตามพรลิงค์ จะหมายความว่าสืบมาแต่ลังกาก็ได้กระมัง,๑๔ ไมตรี ไรพระศก ได้แสดงความเห็นว่า ตามพรลิงค์ น่าจะหมายความว่า ตระกูลดำแดง คือ หมายถึงผิวของคนปักษ์ใต้ซึ่งมีสีดำแดงและอาจจะหมายถึงชนชาติมิใช่ชื่อเมือง๑๕ และศาสตราจารย์โอ, คอนเนอร์ (Stanley J. O, Connor) มีความเห็นว่าชื่อ ตามพรลิงค์ นี้ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าสืบเนื่องมาจากศาสนาพราหมณ์ เพราะศาสนาพราหมณ์เจริญสูงสุดในนครศรีธรรมราช จึงได้ค้นพบโบราณวัตถุสถานมากกว่าที่ใดในประเทศไทย และหลักฐานทางโบราณวัตถุในลัทธิไศวนิกาย (Virasaivas) ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือแพร่หลายในอินเดียภาคใต้ก็พบเป็นจำนวนมากในเขตนครศรีธรรมราชก็รองรับอยู่แล้ว๑๖ ตมะลิงคาม (Tamalingam) หรือ ตมะลิงโคมุ (Tamalingomu) เป็นภาษสิงหล ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อักษรสิงหลชื่อ Elu-Attanagalu vam-sa ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๕๑๗ นอกจากนี้ในเอกสารโบราณประเภทหนังสือของลังกายังมีเรียกแตกต่างกันออกไปอีกหลายชื่อ เช่น ตมะลิงคมุ (Tamalingamu) ปราฏอยู่ในคัมภีร์ชื่อ ปูชาวลี (Pujavali), ตมฺพลิงคะ (Tambalinga) ปราฏอยู่ในหนังสือเรื่องวินยะ-สนฺนะ (Vinay-Sanna)๑๘ และในตำนานจุลวงศ์๑๙ (Cujavamsa) ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า . . . พระเจ้าจันทภานุบังอาจยกทัพจาก ตมฺพลิงควิสัย (Tambalinga Visaya) ไปตีลังกา . . . เป็นต้น ชื่อเหล่านี้นักปราชญ์โดยทั่วไปเข้าใจกันว่าเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อ ตามพรลิงค์ ที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ ของไทย กรุงศรีธรรมาโศก ปรากฏในจารึกหลักที่ ๓๕ คือศิลาจารึกดงแม่นางเมือง พบที่แหล่งโบราณคดีดงแม่นางเมือง ตำบลบางตาหงาย อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ จารึกขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๗๑๐ ศิลาจารึกหลักนี้เป็นหินชนวนสีเขียว สูง ๑.๗๕ เมตร กว้าง ๓๗ เซนติเมตร หนา ๒๒ เซนติเมตร จารึกด้วยอักษรอินเดียกลายทั้งสองด้าน ด้านหน้าเป็นภาษามคธ มี ๑๐ บรรทัด ตั้งแต่บรรทัดที่ ๖ ถึงบรรทัดที่ ๑๐ ชำรุดอ่านไม่ได้ ด้านหลังเป็นภาษาขอม มี ๓๓ บรรทัด ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่หอวชิรญาณ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์ฉ่ำ ทองคำวรรณ ได้อ่านและแปลศิลาจารึกหลักที่ ๓๕ ดังนี้๒๐ ด้านที่ ๑ คำจารึกภาษามคธ คำแปลภาษามคธ ๑. ๐ อโสโก มหาราชา ธมฺเตชพสี ๐ อโศกมหาราช ทรงธรรม เดชะ ๒. วีรอสโม สุนตฺตํ สาสนำ อโว- อำนาจ และมีความกล้าหาผู้เสมอมิได้ มีรับสั่ง ๓. จ ธาตุปูชเขตฺตํ ททาหิ ตฺวํ ๐ มายังพระเจ้าสุนัตต์ว่า ท่านจงให้ที่นาบูชา ๔. สุนตฺโต นาม ราชา สาสนํ สญฺชา- พระธาตุ ฯ พระเจ้าสุนัตต์จึงประกาศกระแส ๕. เปตฺวา ..(ต่อไปนี้ชำรุด) .. พระราชโองการให้ประชาชนทราบ ฯ .. ๖. ๗. (ชำรุด) . ๘. ๙. ๑๐. . ด้านที่ ๒ คำจารึกภาษาขอม คำแปลภาษาขอม ๑. ๐ พฺระชํนฺวนมหาราชาธิราชดพฺระ สิ่งสักการที่มหาราชาธิราชผู้มีพระนามว่า ๒. นามกุรุงศฺรีธรฺมฺมาโศก ๐ ด กรุงศรีธรรมาโศก(๑) ถวายแด่พระสรีร ๓. พฺระศรีรธาตุ ๐ ดพฺระนามกมฺรเต ธาตุ(๒) ซึ่งมีพระนามว่ากมรเตงชดตศรี- หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:08:27 นครศรีธรรมราช ๒
๔. งชคตศฺรีธรฺมฺมาโศก ๐ นาวิษย ธรรมาโศก(๓) ณ ตำบลธานยปุระ เช่นใน ๕. ธานฺยปุร ๐ เราะดบาญชียเนะ ๐ บาท บัญชีนี้ ข้าบาทมูล(๔) ผู้มีวรรณทุกเหล่า(๕) ๖. มูลอฺนกพรฺณฺณสบภาคสฺลิกปฺรำ ๒๐๑๒, พาน ๒๒, ถ้วยเงิน ๒๒, ช้าง ๑๐๐, ๗. ดบพฺยร ๐ พานภยพฺยร ๐ เพงปฺรา ม้า ๑๐๐, นาค ๑๐, สีวิกา(๖) สอง เป็น ๘. กภยพฺยร ๐ ตมฺรฺย สตมฺวย พระบูชา, วันหนึ่งข้าวสาร ๔๐ ลิ ฯ(๗) ๙. ๐ เอฺสะสตมฺวย ๐ นาคสตมฺว มหาเสนาบดีผู้หนึ่งชื่อศรีภูวนาทิตย์ ๑๐. ย ๐ ศีวิกาพฺยร พฺระบูชา ๐ อิศวรทวีป นำกระแสพระราชโองการราชา ๑๑. มวยทินองกรลิบวนดบ ๐ ธิราช(๘) มายังกรุงสุนัต(๙) ผู้ครอบครอง ๑๒. มหาเสนาบดีมวยเชมาะ ณ ธานยปุระ บัณฑูรใช้ให้ถวายที่นาซึ่ง ๑๓. ศรีภูพนาทิตยอิศวรทวีป ๐ นำศาสนรา ได้กำหนดเขตไว้แล้ว เป็นพระบูชากมรเตง ๑๔. ชาธิราชโมกดกุรุงสุนต ด ปรภู ชคต(๑๐) ใน (มหา) ศักราช(๑๑) ๑๐๘๙ ขึ้น ๑๕ ๑๕. ตรนาธานยปร ๐ บนทวลเปรชวนภูมิ ค่ำเดือนสาม วันอาทิตย์ บูรพาษาฒ(๑๒) ๑๖. เสรนิพนธพระบูชากมรเตงช ฤกษ์ เพลา ๑ นาฬิกา ฯ ๑๗. คต ๐ ดนวอศฏศุนยเอกศกบู อนึ่ง ความสวัสดีจงมี, เวลาเที่ยง ฯ ๑๘. รณณมีเกตมาฆอาทิตยพารบู กรุงสุนัตทำบูชากมรเตงชคต ถวายที่นา ๑๙. รพพาสาธมวย อนดวงทิกมวย ซึ่งได้กำหนดเขตไว้แล้ว เช่นในบัญชีนี้นา ๒๐. ๐ ศรีจมทยาหน ๐ กุรุงสุนต ..บูรพาจดฉทิง (=คลอง) ปัศจิมจด ๒๑. เถวบูชากมรเต (ง) ชคตชวนภูมิ ภูเขา ..ทักษิณจดบางฉวา ..อุดร ๒๒. เสรนิพนธเราะดบาญชียเนะเสร จดฉทิงชรูกเขวะ (=คลองหมูแขวะ) นา ๒๓. โสรงขยำ นาตรโลม นาทรกง บูรพาจด ๒๔. . . . ๐ บูรพพตรบฉทิง ๐ บศจิมตรบพนํ คลองเปร ปัศจิมจดศรก ทักษิณจดบึงสดก ๒๕. . . . ๐ ทกษิณตรบบางฉวา อุดรจดคลองนาพระชคต บูรพาจดกํติง ๒๖. . . . ๐ อุตตรตรบฉทิงชรูกเขวะ อาคเนย์จด ..อุดรจดศรุก ..ผสมนา ๒๗. เสรโสรงขยำเสรตรโลมเสร ซึ่งได้กำหนดเขตไว้แล้วเป็นห้าอเลอ ฯ(๑๓) ๒๘. ทรกงบูรพพตรบฉทิงเปรบศจิม ๒๙. ตรบศรก ๐ ทกษิณตรบบิงสดก ๓๐. อุตตรตรบฉทิงเสรพระชคต ๐ บูรพพ ๓๑. ตรบกํติง ๐ อเคนยตรบ. ๓๒. . . . ๐ อุตตรตรบศรุก . . . ๓๓. . . . ๐ ผสํเสรนิพนธอนเลปราม อธิบายคำโดยผู้อ่านและแปล (๑) กรุงศรีธรรมาศก, คำว่า กรุง ในภาษขอม เป็นกริยา แปลว่า ครอบ, รักษา, ป้องกัน เป็นนามแปลว่านคร, ราชธานี, บุรี ในภาษาหนังสือหรือในวรรณคดีใช้แทนคำว่าพญา หรือราชา ก็มี เช่น กรุงศรีธรรมาโศก ในศิลาจารึกนี้คือพญาศรีธรรมาโศกหรือพระเจ้าศรีธรรมาโศกนั่นเอง เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกทั้งสองพระองค์ปรากฏอยู่ในหนังสือเอกสารประวัติศาสตร์เมืองพัทลุง ซึ่งแต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๒๗๒ สมัยกรุงศรีอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระภูมินทรราชา (ขุนหลวงท้ายสระ) เล่าเรื่อง นางเลือดขาว มีใจความตอนหนึ่งเกี่ยวกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกทั้งสองพระองค์ว่า นางและเจ้าพญา (คือนางเลือดขาว และกุมารผู้เป็นสามี) กรีธาพลกลับหลังมายังสทัง บางแก้วเล่าแล กุมารก็เลียบดินดูจะสร้างเมือง ก็มาถึงแขวงเมืองนครศรีธรรมราชและก็สร้างพระพุทธรูปเป็นหลายตำบล จะตั้งเมืองบมิได้ เหตุน้ำนั้นเข้า หาพันธุ์สักบมิได้ ก็ให้มาตั้ง ณ เมืองนครศรีธรรมราช แลญังพระศพธาตุแลเจ้าพระญา (แลเจ้าพระญา = คือเจ้าพระญา) ศรีธรรมาโศก ลูกเจ้าพระยาศรีธรรมโศกราชนั้น สำหรับข้อความที่ขีดเส้นใต้นั้นหมายความว่า ซึ่งมีพระบรมอัฐิของพระเจ้าพระญาศรีธรรมาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของเจ้าพระญาศรีธรรมาโศกราชประดิษฐานอยู่ในที่นั้น ตามข้อความที่ยกมานี้พอจะทราบได้ว่า เมืองนครศรีธรรมราชในสมัยนั้นมีพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงพระนามว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชอยู่สองพระองค์ คือ พระชนกกับพระราชโอรส แต่กระนั้นก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า ข้อความที่กล่าวมานี้จะตรงกับข้อความในศิลาจารึกหลักนี้หรือไม่ ขอให้นักประวัติศาสตร์ช่วยกันพิจารณาต่อไป (๒) พระสรีรธาตุในที่นี้ หมายเอาพระบรมอัฐิของพระเจ้าศรีธรรมโศกในพระบรมโกศ (๓) กมรเตงชคตศรีธรรมาโศก, คำว่า กมรเตง เป็นภาษาขอมแปลว่า เป็นเจ้า โดยปริยายหมายว่าเป็นที่เคารพนับถือเช่นพระเจ้าแผ่นดินและครูบาอาจารย์เป็นต้น ส่วนคำว่า ชคต นั้นเป็นภาษาสันสกฤตแปลว่า สัตวโลกหรือปวงชน กมรเตงชคต แปลว่า เป็นเจ้าแห่งสัตวโลกหรือเป็นเจ้าแห่งปวงชน เพระฉะนั้นคำว่า กมรเตงชคตศรีธรรมาโศก จึงอาจแปลได้ว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศก เป็นเจ้าแห่งสัตวโลกหรือเป็นที่เคารพนับถือของปวงชน อนึ่ง พึงสังเกตว่า คำว่า กมรเตง นั้น ใช้สำหรับนำหน้านามของบุคคลซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ ทั้งที่ยังดำรงชีวิตอยู่หรือสิ้นชีวิตไปแล้วก็ได้ แต่ คำว่า ชคต เช่นในศิลาจารึกนี้ ใช้เฉพาะผู้ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว, ความหมายของคำว่า ชคต นอกจากนี้โปรดดูในพจนานุกรมสันสกฤต (๔) ข้าบาทมูล = ข้าราชการในพระราชสำนัก (๕) วรรณทุกเหล่า = วรรณทั้ง ๔ คือ กษัตริย์, พราหมณ์, แพศย์, ศูทร (๖) สีวิกา = วอ, เสลี่ยง, คานหาม (๗) ลิ = เป็นมาตราชั่งตวงของขอมในสมัยโบราณ (๘) ราชาธิราชในที่นี้ = กรุงศรีธรรมาโศกหรือพระเจ้าศรีธรรมาโศกในบรรทัดแรก (๙) กรุงสุนัต = พระเจ้าสุนัต (๑๐) กมรเตงชคต, คำว่า กมรเตงชคต ในศิลาจารึกนี้ เป็นคำเรียกแทนพระนาม พระเจ้าศรีธรรมาโศกในพระบรมโกศ (๑๑) (มหา) ศักราช ๑๐๘๙ = พ.ศ. ๑๗๑๐ (๑๒) บูรพาษาฒ ชื่อฤกษ์ที่ ๒๐ ได้แก่ ดาวแรดตัวผู้ หรือดาวช้างพลาย (๑๓) อเลอ = แปลง, ห้าอเลอ = ห้าแปลง. จากศิลาจารึกหลักนี้จะเห็นได้ว่ามีความตอนหนึ่งกล่าวถึงพระราชาจากกรุงศรีธรรมาโศกถวายที่ดิน หรือกัลปนาอุทิศให้ผู้ซึ่งเป็นที่เคารพ ดังความตอนหนึ่งว่า . . . สิ่งสักการที่มหาราชาธิราช ผู้มีพระนามว่ากรุงศรีธรรมาโศก ถวายแด่พระสรีรธาตุซึ่งมีพระนามว่ากมรเตงชคตศรีธรรมาโศก . . . มหาเสนาบดีผู้หนึ่งชื่อ ศรีภูวนาทิตย์อิศวรทวีปนำกระแสพระราชโองการราชาธิราชมา . . . แม้ศิลาจารึกหลักนี้จะไม่ได้ระบุที่ตั้งของกรุงศรีธรรมาโศกไว้อย่างชัดเจน แต่คำว่า ศรีธรรมาโศก ในศิลาจารึกนี้สัมพันธ์กับเรื่องราวของนครศรีธรรมราช ซึ่งพบหลักฐานเอกสารสนับสนุนในสมัยหลังอย่างไม่มีปัญหา๒๑ เช่น ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช และตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช อันเป็นเอกสารโบราณของไทยเป็นต้น ส่วนเอกสารโบราณของต่างชาติก็ได้พบชื่อนี้เช่นเดียวกัน อย่างในเอกสารโบราณของลังกาที่เป็นรายงานของข้าราชการสิงหลที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ บังเอิญในตอนกลับจากกรุงศรีอยุธยาเรือเสียไปติดอยู่ที่ตลิ่งหน้าเมืองนครศรีธรรมราช ข้าราชการผู้นั้นชื่อ วิลพาเค (Lilbage) ได้กล่าวถึงเมืองนครศรีธรรมราชในขณะนั้นไว้อย่างน่าสนใจหลายประการ ตอนหนึ่งได้เขียนไว้ เมื่อว้นอังคารที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๒๙๔ ว่าดังนี้๒๒ . . . ในใจกลางของเมืองนี้มีพระสถูปเจดีย์องค์หนึ่งใหญ่ทัดเทียมกับพระสถูปเจดีย์รุวันแวลิ (Ruvanvali) แห่งเมืองโปโลพนารุวะ (Polonnaruva) ในลังกา พระสถูปเจดีย์องค์นี้กษัตริย์ศรีธรรมาโศก (King Sri Dharmasoka) เป็นผู้ทรงสร้างโดยทรงประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายในพระสถูปเจดีย์องค์นี้ด้วย . . . ศรีธรรมราช เป็นชื่อที่ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ ซึ่งพบที่วัดหัวเวียง (วัดเวียง) อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดังกล่าวมาแล้ว ศิลาจารึกภาษาสันสกฤตหลักนี้สลักขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๗๗๓ และได้กล่าวไว้ว่าสลักขึ้นในรัชสมัยของเจ้าผู้ครองแผ่นดินทรงมีอิสริยยศว่า ศรีธรรมราช ผู้เป็นเจ้าของ ตามพรลิงค์ (ตามพรลิงคศวร) ต่อมาชื่อ ศรีธรรมราช นี้ได้ปรากฏอีกในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งสลักด้วยอักษรไทยและภาษาไทย เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๕ ดังความบางตอนในศิลาจารึกหลักนี้ เช่น๒๓ . . . เบื้องตะวันตกเมืองสุโขทัยนี้มีอรัญญิก พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่ มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตรย หลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี้ทุกคนลุกแต่เมืองนครศรีธรรมราชมา . . . และ . . . มีเมืองกว้างช้างหลายปราบเบื้องตะวันออกรอดสระหลวง สองแคว ลุมบาจาย สคา เท้าฝั่งของเถีงเวียงจันทน์เวียงคำเป็นที่แล้ว เบื้องหัวนอน รอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลสมุทรเป็นที่แล้ว เบื้องตะวันตก รอดเมืองฉอด เมือง . . .น หงสาวดี สมุทรหาเป็นแดน เบื้องตีนนอน รอดเมืองแพร่ เมืองม่าน เมืองน . . .เมืองพลัว พ้นฝั่งของ เมืองชวาเป็นที่แล้ว . . . เป็นต้น สิริธรรมนคร หรือ สิริธัมมนคร ชื่อนี้พบว่าใช้ในกรณีที่เป็นชื่อของสถานที่ (คือเมืองหรือนคร) เช่นเดียวกับชื่ออื่นๆ ที่กล่าวมาแต่หากเป็นชื่อของกษัตริย์มักจะเรียกว่า พระเจ้าสิริธรรม หรือ พระเจ้าสิริธรรมนคร หรือ พระเจ้าสิริธรรมราช ชื่อ สิริธรรมนคร ปรากฏในหนังสือบาลีเรื่องจามเทวีวงศ์ ซึ่งพระโพธิรังสีพระเถระชาวเชียงใหม่เป็นผู้แต่งขึ้นในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ นอกจากนี้ยังปรากฏอยู่ในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งพระรัตนปัญญา พระเถระชาวเชียงใหม่เป็นผู้แต่งขึ้นเป็นภาษาบาลีเมื่อ พ.ศ. ๒๐๖๐ และเมื่อมีผู้อื่นแต่งต่ออีก จนแต่งเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๐๗๑๒๔ ส่วนในหนังสือสิหิงคนิทานซึ่งพระโพธิรังสีพระเถระชาวเชียงใหม่ได้แต่งขึ้นเป็นภาษาบาลีเมื่อราว พ.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๘๕ (ในรัชกาลพระเจ้าสามฝั่งแกนหรือพระเจ้าวิไชยดิสครองราชย์ในนครเชียงใหม่ แห่งลานนาไทย) เรียกว่า พระเจ้าศรีธรรมราช๒๕ โลแค็ก หรือ โลกัก (Locae, Loehae) เป็นชื่อที่มาร์โคโปโลเรียกระหว่างเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๕ โดยออกเดินทางจากเมืองท่าจินเจาของจีน แล่นเรือผ่านจากปลายแหลมญวนตัดตรงมายังตอนกลางของแหลมมลายู แล้วกล่าวพรรณนาถึงดินแดนในแถบนี้แห่งหนึ่ง ชื่อ โลแค็ก ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นลิกอร์หรือนครศรีธรรมราช๒๖ ปาฏลีบุตร (Pataliputra) เป็นชื่อที่ปรากฏในเอกสารโบราณของลังกาที่เป็นรายงานของข้าราชการสิงหลที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งได้กล่าวถึงเมืองนี้ไว้ในตอนเที่ยวกลับเพราะเรือเสียที่ตลื่งหน้าเมืองนี้ โดยเรียกคู่กันในเอกสารชิ้นนี้ว่า เมืองปาฏลีบุตร ในบางตอน และ เมืองละคอน (Muan Lakon)๒๗ ในบางตอน เช่น . . . ในวันอังคารที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๒๙๔ ในขณะที่เขากำลังมาถึงเมือง ละคอน (Muan Lakon) ซึ่งเป็นแคว้นหนึ่งของสยาม เรือก็อับปางลงแต่ไม่มีผู้ใดได้รับอันตรายและทุกคนได้ขึ้นฝั่งยังดินแดนที่เรียกกันว่าเมืองละคอน ในดินแดนนี้มีเมือง (City) ใหญ่เมืองหนึ่งเรียกกันว่า ปาฏลีบุตร (Pataliputra) ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบ ทุกด้าน . . .๒๘ ในโครงยอพระเกียรติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีของนายสวนมหาดเล็กก็เรียกตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราชว่า ปาตลีบุตร เช่นกัน ดังที่ปรากฏในโคลงบางบทว่าดังนี้๒๙ (๓๗) ปางปาตลีบุตรเจ้า นัครา แจ้งพระยศเดชา ปิ่นเกล้า ทรนงศักดิ์อหังกา เกกเก่ง อยู่แฮ ยังไม่ประนตเข้า สู่เงื้อมบทมาลย์ ฯ ลึงกอร์ เป็นชื่อที่ชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๓ จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาสใช้เรียกชื่อเมืองตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช นอกจากนี้ชื่อลึงกอร์นี้ชาวมาเลย์ในรัฐกลันตันและเมืองใกล้เคียงใช้เช่นเดียวกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าชาวไทยมุสลิมในบริเวณดังกล่าวนี้ไม่เคยเรียกชื่อตามพร-ลิงค์ว่า นครศรีธรรมราช เลยมาแต่สมัยโบราณยิ่งกว่านั้นแม้แต่คำว่า นคร เขาก็ไม่ใช้ เพราะเขามีคำว่า เนการี หรือ เนกรี (Nigri) อันหมายถึงเมืองใหญ่หรือนครใช้อยู่แล้ว ปัจจุบันนี้ชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้ง ๓ จังหวัดยังคงเรียกตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราชว่า ลึงกอร์ อยู่บ้างด้วยเหตุนี้ชื่อ ลิกอร์ ที่ชาวโปรตุเกส ฮอลันดา และยุโรปชาติอื่นๆ ใช้เรียกชื่อตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช อาจจะเรียกตามที่ชาวมาเลย์และชาวพื้นเมืองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยทั้ง ๓ จังหวัดใช้ก็ได้ เพราะชาวยุโรปคงจะอาศัยชาวมาเลย์เป็นคนนำทางหรือเป็นล่ามในการแล่นเรือเข้ามาค้าขายกับเมืองท่าต่างๆ บนแหลมมลายูตอนเหนือหรือคาบสมุทรไทย๓๐ ลิกอร์ (Ligor) หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:08:49 นครศรีธรรมราช ๓
เป็นชื่อที่พ่อค้าชาวโปรตุเกสซึ่งเข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น คือในสมัยรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่สอง หรือเมื่อ พ.ศ. ๒๐๖๑ อันเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่ได้เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยใช้เรียกตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช และพบว่าที่ได้เรียกแตกต่างกันออกไปเป็น ละกอร์ (Lagor) ก็มี นักปราชญ์สันนิษฐานว่า คำว่า ลิกอร์ นี้ชาวโปรตุเกสคงจะเรียกเพี้ยนไปจากคำว่า นคร อันเป็นคำเรียกชื่อย่อของ เมืองนครศรีธรรรมราช ทั้งนี้เพราะชาวโปรตุเกสไม่ถนัดในการออกเสียงตัว น (N) จึงออกเสียงตัวนี้เป็น ล (L) ดังนั้นจึงได้เรียกเพี้ยนไปดังกล่าว แลัวในที่สุดชื่อ ลิกอร์ นี้กลายเป็นชื่อที่ชาวตะวันตกรู้จักกันดี๓๑ ในจดหมายเหตุของวันวลิต (Jeremais Van Vliet) พ่อค้าชาวดัทช์ซึ่งเป็นผู้จัดการห้างฮอลันดา และเข้ามาประเทศไทยในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็ได้เรียกเมืองนครศรีธรรมราชว่า ลิกูร์ (Lijgoor Lygoot)๓๒ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จอห์น ครอวฟอร์ด (John Crawfurd) ฑูตชาวอังกฤษที่เป็นตัวแทนของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษเข้ามาเจรจากับรัฐบาลไทยก็เรียกนครศรีธรรมราชว่า ลิกอร์๓๓ แม้แต่ในปัจจุบันนี้ชาวตะวันตกก็ยังใช้ชื่อนี้กันอยู่ อย่างชื่อศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ ที่พบ ณ วัดเสมาชัย (คู่แฝดกับวัดเสมาเมือง ต่อมารวมกับบางส่วนเป็นวัดเสมาเมือง) อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช นั้น ชาวตะวันตกและเอเชียรู้จักกันในนาม จารึกแห่งลิกอร์ (Ligor Inscription) นอกจากนี้ยังเรียกด้านที่ ๑ ของศิลาจารึกหลักนี้ว่า Ligor A และเรียกด้านที่ ๒ ว่า Ligor B ๓๔ ดังนั้นนอกจาก ตามพรลิงค์ แล้ว ชื่อเก่าของนครศรีธรรมราชอีกชื่อหนึ่งที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในระยะหลัง คือ ลิกอร์๓๕ ละคร หรือ ลคร หรือ ละคอน คงจะเป็นชื่อที่เพี้ยนไปจากชื่อ นคร อันอาจจะเกิดขึ้นเพราะชาวมาเลย์และชาวตะวันตกเรียกเพี้ยนไป แล้วคนไทยก็กลับไปเอาชื่อที่เพี้ยนนั้นมาใช้ เช่นเดียวกันกับที่เคยมีผู้เรียกนครลำปางว่า เมืองลคร หรือ เมืองละกอน เป็นต้น และคงเป็นชื่อที่ใช้เรียกกันในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ดังหลักฐานที่ปรากฏในเอกสารโบราณของฑูตสิงหลที่รายงานไปยังลังกา เมื่อ พ.ศ. ๒๒๖๔ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในชื่อ ปาฏลีบุตร ข้างต้นนั้น นักปราชญ์บางท่านให้ความเห็นว่าที่ได้เรียกเช่นนี้เพราะว่าเมืองนครเคยมีชื่อเสียงทางการละครมาแต่โบราณ แม้แต่สมัยกรุงธนบุรีเมื่อเมืองหลวงต้องการฟื้นฟูศิลปะการละครยังต้องเอาแบบอย่างไปจากเมืองนครศรีธรรมราช๓๖ นครศรีธรรมราช เป็นชื่อที่อาจารย์ตรี อมาตยกุล และศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ (George Coedes) นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสมีความเห็นว่า คนไทยฝ่ายเหนือเรียกขานนามราชธานีของกษัตริย์ ศรีธรรม-ราช ตามอิสริยยศของกษัตริย์ผู้ครองนครนี้ ซึ่งถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมาทุกพระองค์ จนเป็นที่รู้จักกันดีโดยทั่วไปและเป็นเหตุให้มีการขนานนามตามชื่ออิสริยยศของกษัตริย์ผู้ครองนครนี้ ซึ่งได้ใช้เรียกขานกันมาแต่สมัยสุโขทัยเป็นอย่างน้อยตราบจนปัจจุบันนี้๓๗ ด้วยวิวัฒนาการอันยาวนานแห่งนครศรีธรรมราช ดินแดนที่มีอดีตอันไกลโพ้นแห่งนี้ ชื่อที่ได้รับการจารึกไว้ในบันทึกแห่งมนุษยชาติ ณ ที่ต่างๆ กันทั่วทุกมุมโลก และทุกช่วงสมัยแห่งกาลเวลาที่นำมาแสดงเพียงบางส่วนเหล่านี้ย่อมชี้ให้เห็นพัฒนาการและอดีตอันรุ่งโรจน์ของนครศรีธรรมราชได้เป็นอย่างดี ยิ่งเมื่อหวนกลับไปสัมผัสกับหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบในนครศรีธรรมราชเข้าผสมผสานด้วยแล้ว ทำให้ภาพแห่งอดีตของนครศรีธรรมราชท้าทายต่อการทำความรู้จักกับ นครศรีธรรมราช ดินแดนที่ร่ำรวยไปด้วยมรดกทางอารยธรรมและศิลปวัฒนธรรมแห่งนี้อย่างลึกซึ้งและจริงจังยิ่งขึ้น วิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของนครศรีธรรมราช การศึกษาทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของนครศรีธรรมราชได้ดำเนินการมานานแล้ว อดีตอันรุ่งเรืองของนครศรีธรรมราชจึงได้รับการเผยแพร่ครั้งแล้วครั้งเล่าในรูปแบบและภาษาต่างๆ ข้อมูลที่นำมาใช้ในการศึกษาตีความทั้งจากศิลาจารึกรุ่นเก่าที่ค้นพบเป็นจำนวนมากในนครศรีธรรมราช ประติมากรรม และโบราณวัตถุสถานอื่นๆ ตลอดจนเอกสารโบราณที่ค้นพบในเมืองนี้เป็นจำนวนมากได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ เช่น ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช และตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช เป็นต้น ผลจากการศึกษาค้นคว้าเหล่านั้นล้วนยังประโยชน์ต่อการศึกษากับอารยธรรมของนครศรีธรรมราชในระยะต่อมาอย่างใหญ่หลวง ครั้น พ.ศ. ๒๕๒๑ วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, จังหวัดนครศรีธรรมราช, หน่วยงาน และเอกชนอีกเป็นจำนวนมากต่างก็ตระหนักและเล็งเห็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในอันที่จะศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณคดีของนครศรีธรรมราชอย่างมีระบบ จึงได้ร่วมกันจัดให้มี โครงการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช พ.ศ. ๒๕๒๑-๒๕๓๐ ขึ้น โดยจะจัดสัมมนาทางวิชาการดังกล่าวในเนื้อหาต่างๆ ดังนี้๓๘ ๑. ลักษณะพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ ๒. ลักษณะทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ๓. ลักษณะทางประวัติศาสตร์สังคม ๔. ลักษณะทางภาษาและวรรณกรรม ๕. ลักษณะทางศิลปกรรม ๖. ประวัติศาสตร์และโบราณคดีนครศรีธรรมราชที่สัมพันธ์กับดินแดนอื่น การสัมมนาทางวิชาการประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราชตามโครงการนี้ ในระยะแรกมีจำนวน ๕ ครั้ง โดยได้กำหนดช่วงเวลาและหัวเรื่องไว้อย่างกว้างๆ ดังนี้ ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๑ เรื่อง ประวัติศาสตร์พื้นฐานของนครศรีธรรมราช ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๒๔ เรื่อง ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของนครศรีธรรมราช ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๒๖ เรื่อง ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราชจากภาษาและวรรณกรรม ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๒๘ เรื่อง ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราชจากศิลปกรรม ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๓๐ เรื่อง การตีความใหม่เกี่ยวกับศรีวิชัย ขณะนี้ (พ.ศ. ๒๕๒๗) การสัมมนาทางวิชาการดังกล่าวซึ่งจัดขึ้น ณ วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราชได้ผ่านไปแล้ว ๓ ครั้ง คือ ครั้งที่ ๑ ในระหว่างวันที่ ๒๕-๒๘ มกราคม ๒๕๒๑, ครั้งที่ ๒ ในระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ มกราคม ๒๕๒๕ และครั้งที่ ๓ ในระหว่างวันที่ ๑๔-๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๖ ผลจากการสัมมนาทางวิชาการดังกล่าวได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีของนครศรีธรรมราชอย่างกว้างขวาง๓๙ ในที่นี้จะกล่าวถึงวิวัฒนาการทางด้านอารยธรรมของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีของนครศรีธรรมราชโดยสังเขป ดังนี้ คือ ยุคหินกลาง จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ได้จากการสำรวจภาคสนามทางโบราณคดีของกรมศิลปากรใน พ.ศ. ๒๔๕๒ ได้พบเครื่องมือหินเก่าแก่ (จากการเปรียบเทียบโดยถือตามลักษณะเครื่องมือ) จัดเป็นเครื่องยุคหินไพลสโตซีนตอนปลายที่ถ้ำตาหมื่นยม ตำบลช้างกลาง อำเภอฉวาง เครื่องมือหินดังกล่าวนี้มีลักษณะกะเทาะหน้าเดียว รูปไข่ คมรอบ ปลายแหลม ด้านบนคล้ายรอยโดยตัด คล้ายกับลักษณะของขวานกำปั้นที่พบ ณ ไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี และจัดว่าเป็นเครื่องมือหินยุคหินกลาง (อายุราว ๑๑,๐๐๐-๘,๓๕๐ ปี มาแล้ว) หรือมีลักษณะเหมือนเครื่องมือหินวัฒนธรรมโฮบิบเนียน ดังนั้น จึงอาจจะกล่าวได้ว่าในจังหวัดนครศรีธรรมราชได้มีมนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคหินกลางเป็นอย่างน้อย เป็นต้นมา๔๐ ยุคหินใหม่ ครั้นในยุคหินใหม่ (อายุราว ๓,๗๖๖-๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว) ได้พบเครื่องมือเครื่องใช้ และภาชนะดินเผาในยุคนี้กระจัดกระจายโดยทั่วไปทั้งที่บริเวณถ้ำและที่ราบของจังหวัดนครศรีธรรมราช เช่น พบเครื่องหินที่มีป่า ตัวขวานยาวใหญ่ (บางท่านเรียกว่า ระนาดหิน) ที่อำเภอท่าศาลา นอกจากนี้ได้พบขวานหินแบบ จงอยปากนก, มีดหิน, สิ่วหิน, และหม้อสามขา เป็นต้น ในหลายบริเวณของจังหวัดนี้๔๑ แสดงว่าในยุคนี้ได้เกิดมีชุมชนขึ้นแล้ว และชุมชนกระจัดกระจายโดยทั่วไป อันอาจจะตีความได้ว่าชุมชนในยุคนี้เองที่ได้พัฒนามาเป็นเมืองและมีอารยธรรมที่สูงส่งในระยะต่อมา ยุคโลหะ ในยุคโลหะ (อายุราว ๒,๕๐๐-๒,๒๐๐ ปีมาแล้ว) ได้พบหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญของยุคนนี้ คือ กลองมโหระทึกสำริดในนครศรีธรรมราชถึง ๒ ใบ คือ ที่บ้านเกตุกาย ตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง ใบหนึ่ง และที่คลองคุดด้วน อำเภอฉวาง อีกใบหนึ่ง กลองมโหรทึกดังกล่าวนี้จัดอยู่ในวัฒนธรรมดองซอน ดังนั้น ย่อมเป็นการยืนยันได้ว่ายุคนี้ชุมชนในนครศรีธรรมราชได้มีการติดต่อหรือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชุมชนอื่นแล้ว การติดต่อดังกล่าวอาจจะโดยการเดินเรือ แสดงให้เห็นว่าสังคมหรือชุมชนในนครศรีธรรมราชเริ่มย่างเข้าสู่สังคมเมืองในยุคประวัติศาสตร์แล้ว ซึ่งระยะที่กล่าวนี้อาจจะเป็นระยะต้นคริสตศักราชหรือพุทธศตวรรษที่ ๕ พุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ในคัมภีร์มหานิทเทศซึ่งแต่งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ได้กล่าวถึงเมืองท่าที่สำคัญในอินเดีย ลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายเมือง ในจำนวนเมืองเหล่านี้ตอนหนึ่งได้กล่าวถึงเมืองนครศรีธรรมราชไว้ด้วย ดังความตอนหนึ่งที่ว่า . . . ไปชวาไปกะมะลิง (ตะมะลิง) ไปวังกะ (หรือวังคะ) . . .๔๒ นอกจากนี้ยังปรากฏในคัมภีร์มิลินทปัญหาซึ่งแต่งขึ้นในระยะเดียวกันกับคัมภีร์มหานิทเทศด้วย๔๓ คำว่า กะมะลิง หรือ ตะมะลิง หรือ กะมะลี หรือ ตมะลี จีนเรียกว่า ตั้งมาหลิ่ง เจาชูกัวเรียก ตัน-มา-ลิง ในศิลาจารึกเรียก ตามพรลิงค์ หรือ ตามรลิงค์ คือ เมืองนครศรีธรรมราชโบราณ๔๔ แสดงว่าในระยะนี้ เมืองนครศรีธรรมราชโบราณเป็นเมืองที่มีความเจริญทางด้านการค้า หรือเป็นตลาดการค้าที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเดินเรือและ พ่อค้าชาวอินเดีย อาหรับ และจีน พุทธศตวรรษที่ ๙๑๐ นอกจากเอกสารของต่างชาติจะกล่าวถึงนครศรีธรรมราชในระยะนี้แล้วได้มีการค้นพบ พระวิษณุศิลาอันเป็นเทวรูปกลุ่มที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน ๓ องค์ในภาคใต้ พระวิษณุในกลุ่มนี้จำนวน ๒ องค์ ค้นพบในจังหวัดนครศรีธรรมราช คือ องค์แรกค้นพบที่หอพระนารายณ์ อำเภอเมือง ต่อมาย้ายไปประดิษฐาน ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราชตามลำดับองค์ที่สองค้นพบที่วัดพระเพรง ตำบลนาสาร อำเภอเมือง และปัจจุบันนี้จัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช เทวรูปกลุ่มนี้มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๙๑๐ เพราะเหตุว่าแสดงให้เห็นถึงอิทธิของศิลปะอินเดียสมัยมถุราและอมราวดีตอนปลาย (พุทธศตวรรษที่ ๘-๙) ปรากฎอยู่๔๕ พุทธศตวรรษที่ ๑๑๑๒ ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๑ หลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาก็ได้ปรากฏขึ้นในนครศรีธรรมราช คือ เศียรพระพุทธรูปศิลาขนาดเล็กซึ่งพบที่อำเภอสิชล (สูง ๘.๙๐ เซนติเมตร) ปัจจุบันนี้จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช เศียรพระพุทธรูปดังกล่าวนี้มีต้นแบบมาจากศิลปะลุ่มแม่น้ำกฤษณาทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย และศิลปะแบบนี้ได้ส่งอิทธิพลต่อศิลปะรุ่นหลังมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๓๔๖ นอกจากนี้ในชุมชนโบราณสิชล๔๗ ซึ่งตั้งอยู่บนแนวสันทรายที่ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ โดยเป็นแนวตั้งแต่เขตอำเภอขนอมผ่านลงมายังอำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา และอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งยาวประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร และอยู่ห่างจากชายฝั่งอ่าวไทยประมาณ ๕๑๐ กิโลเมตร ได้ค้นพบโบราณวัตถุและโบราณสถานที่ได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์มากมาย๔๘ ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาทางอารยธรรมและการตั้งถิ่นฐานของมนุษยชาติ เพราะมีที่ราบชายฝั่งทะเลกว้างใหญ่ไพศาลเหมาะแก่การกสิกรรม มีอ่าวและแม่น้ำหลายสายที่เหมาะแก่การจอดเรือและคมนาคม มีแหล่งน้ำสำหรับการบริโภค และตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นชายฝั่งทะเลเปิดอันเหมาะแก่การเป็นสถานีการค้า และแวะพักสินค้ามาแต่โบราณทำให้ชุมชนโบราณแห่งนี้มีพัฒนาการสูงส่งมาแต่อดีตเหมือนกับชุมชนอื่นๆ บนคาบสมุทรไทยอันเป็นศูนย์กลางหรือจุดนัดพบระหว่างอารยธรรมและการค้าของพ่อค้าวานิชในทะเลจีนใต้แห่งมหาสมุทรแปซิฟิกกับพ่อค้าวานิชในทะเลอันดามันแห่งมหาสมุทรอินเดีย หรืออีกนัยหนึ่งคือ จุดนัดพบระหว่างตะวันออกกับตะวันตก๔๙ หากแต่เพราะสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมว่าทำให้ชุมชนโบราณสิชลพัฒนาการได้อย่างรวดเร็วและกว้างใหญ่ไพศาลมาก ทั้งนี้เพราะสภาพภูมิศาสตร์โบราณคดีที่เอื้ออำนวยต่อการตั้งถิ่นฐานเช่นนี้ ย่อมเหมาะสำหรับการพัฒนาอารยธรรมของมนุษย์โบราณในแหล่งโบราณคดีชายฝั่งทะเลมาก โดยเฉพาะในยุคกึ่งก่อนประวัติศาสตร์และยุคเริ่มต้นประวัติศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบในภาคใต้ ปรากฏว่าลักษณะภูมิศาสตร์โบราณคดีมีอิทธิพลต่อการตั้งหลักแหล่งมาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ แล้วได้วิวัฒนาการมาตามลำดับ ดังจะเห็นได้อย่างชัดเจนในการตั้งหลักแหล่งชุมชนที่เป็นบ้านเมืองของประชาชนในภาคใต้มาตั้งแต่โบราณ กล่าวว่า บริเวณที่มีความเจริญสูงขึ้นเป็นสังคมเมืองอยู่ทางฝั่งตะวันออกเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทางฝั่งตะวันตกประชาชนที่ตั้งหลักแหล่งมี ๒ พวกซึ่งมีวัฒนธรรมแตกต่างกัน คือ พวกแรกได้แก่คนพื้นเมืองที่มีความเป็นอยู่ล้าหลัง มีอาชีพประมงหรือล่าสัตว์และทำไร่เลื่อนลอย อยู่กันเป็นชุมชนเล็ก ไม่สามารถขยายตัวเป็นเมืองใหญ่ได้ ส่วนพวกที่สองเจริญสูงกว่า แต่มักจะเป็นชาวต่างชาติ เช่น พ่อค้าหรือนักแสวงโชคที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งพักสินค้าหรือขุดแร่ธาตุเป็นสินค้า ชุมชนพวกหลังนี้อาจจะขยายตัวเป็นเมืองได้๕๐ จากการศึกษาทางโบราณคดีที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าได้ค้นพบชุมชนโบราณที่เก่าแก่ในคาบสมุทรไทยในช่วงต่อเนื่องของยุคสำริดกับยุคเริ่มแรกของการเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในแหล่งโบราณคดีชายฝั่งทะเลหลายแห่งด้วยกัน แหล่งโบราณคดีเหล่านั้นได้พัฒนาอารยธรรมสืบเนื่องกันต่อมาด้วยเวลาอันยาวนาน และมีจำนวนไม่น้อยที่ได้พัฒนามาตามลำดับตราบจนปัจจุบันนี้ แหล่งโบราณคดีที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันดีมีอยู่มาก๕๑ เช่น แหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร แหล่งโบราณคดีในเขตอำเภอท่าชนะ แหล่งโบราณคดีพุมเรียงและชุมชนโบราณไชยา อำเภอ แหล่งโบราณคดีเขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี แหล่งโบราณคดีในเขตอำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา และอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช แหล่งโบราณคดีสทิงพระ จังหวัดสงขลา แหล่งโบราณคดีในอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี แหล่งโบราณคดีเกาะคอเขา และอื่นๆ ในเขตอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และแหล่งโบราณคดีควนลูกปัด อำเภอครองท่อม จังหวัดกระบี่ เป็นต้น แหล่งโบราณคดีที่กล่าวมานี้มีอยู่ไม่น้อยที่สังเกตได้อย่างชัดเจนว่าเป็นแหล่งโบราณคดีที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ อันหมายถึงศาสนาดั้งเดิมตั้งแต่สมัยพระเวท (เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ ๑,๐๐๐ ปีก่อนพุทธกาล) ซึ่งมีลักษณะเป็นพหุทวนิยม แล้วเปลี่ยนแปลงไปทีละขั้น จนถึงขั้นเทพองค์เดียวที่เป็นนามธรรม (Monism) ในที่สุดก็ได้วิวัฒนาการมาเป็นศาสนาฮินดู มีพระเจ้าสูงสุดสามองค์ คือ พระพรหม พระวิษณุ (นารายณ์) และพระศิวะ (อิศวร) เรียกว่า ตรีมูรติ ในที่นี้ไม่ได้ใช้คำว่า ศาสนาฮินดู เพราะว่าหากใช้คำนี้ย่อมเน้นเฉพาะศาสนาของชาวอินเดียในปัจจุบันซึ่งมีลักษณะเป็นชาตินิยมหรือพลังทางสังคม บางช่วงรวมเอาศาสนาพุทธเข้าไปด้วยเมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ภาพพจน์ทางด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี และวิวัฒนาการของวัฒนธรรมไม่ชัดเจน เพราะไม่ได้เน้นสายธารทางศาสนาจากอินเดียที่ได้หลั่งไหลเข้ามาสู่ภาคใต้ของประเทศไทยแล้วกลายเป็นตัวกำหนดวัฒนธรรมทางศาสนาที่สำคัญ๕๒ ก่อนที่ชุมชนในภาคใต้ของประเทศไทยจะรับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์นั้นได้กล่าวมาแล้วว่าดินแดนในบริเวณนี้มีพัฒนาการทางอารยธรรมสูงส่งมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงย่อมมีคติความเชื่ออันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองมาก่อนแล้วเช่นเดียวกันและเมื่อรับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์เข้ามาในระยะหลังคงจะได้มีการผสมผสานเอาความเชื่อดั้งเดิมที่มีอยู่เดิมที่มีอยู่เดิมกับศาสนาพราหมณ์เข้าผสมกลมกลืนกันได้อย่างเหมาะสม จากนั้นจึงพัฒนาให้ศาสนาพราหมณ์ที่ผสมกลมกลืนกับความเชื่อดั้งเดิมแล้วนั้นวิวัฒนาการกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นไปและมีความรุ่งเรืองสืบมาตราบจนปัจจุบันนี้ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:09:15 นครศรีธรรมราช ๔
อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ที่เราค้นพบ ณ ชุมชนโบราณสิชลจึงเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งแห่งลักษณาการของวัฒนาการอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองบนคาบสมุทรไทยดังกล่าวมา ในด้านศิลปวัฒนธรรมกล่าวได้ว่าในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๑๑๔ ดินแดนต่างๆ บนแหลมมลายูตอนเหนือ โดยเฉพาะนครศรีธรรมราชได้รับอิทธิพลแบบอย่างทางศิลปวัฒนธรรมจากอินเดียอย่างมากมาย อาจจะเรียกได้ว่าชาวอินเดียได้เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายและเผยแพร่อารยธรรมฝังรากฐานมั่นคงครั้งสำคัญ๕๓ โดยเฉพาะศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรืองสูงสุด จึงได้ค้นพบโบราณวัตถุสถานมากกว่าที่ใดในประเทศไทย แม้แต่ชื่อเมือง ตามพรลิงค์ ก็ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสืบเนื่องมาจากศาสนาพราหมณ์นั่นเองและหลักฐานทางโบราณวัตถุในลัทธิไศวะนิกายซึ่งเป็นที่เคารพนับถือแพร่หลายในอินเดีย ภาคใต้ก็พบเป็นจำนวนมากมายในเขตนครศรีธรรมราชรองรับอยู่แล้ว๕๔ แม้ว่าในขณะนี้จะยังไม่ได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีในชุมชนโบราณสิชล แต่ได้ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีในชุมชนโบราณแห่งนี้เป็นจำนวนมากทั้งโบราณวัตถุโบราณสถาน ชิ้นส่วนสถาปัตยกรรม สระน้ำโบราณ และเศษศิลาจารึก หลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้ ส่วนใหญ่เนื่องในศาสนาพราหมณ์ทั้งสิ้น โบราณวัตถุโดยเฉพาะประติมากรรมรูปเคารพเนื่องในศาสนาพราหมณ์ที่ค้นพบ ณ ชุมชนโบราณสิชลแห่งนี้ล้วนทำด้วยศิลา เช่น ศิวลึงค์, โยนิ, พระวิษณุ และพระพิฆเนศวร (พระคเณศ) เป็นต้น จากการกำหนดอายุเบื้องต้นโดยอาศัยรูปแบบทางศิลปกรรมเป็นเครื่องกำหนดอาจจะกล่าวได้ว่าโบราณสถานวัตถุเหล่านี้มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑๑๔ เป็นส่วนใหญ่ ส่วนโบราณสถานนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าในชุมชนโบราณแห่งนี้มีโบราณสถานที่เนื่องในศาสนาพราหมณ์เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้เพราะได้ค้นพบโบราณวัตถุหรือรูปเคารพที่เนื่องในศาสนาพราหมณ์ปรากฎอยู่ควบคู่กับโบราณสถานเหล่านี้ เช่น ศิวะลึงค์ เทวรูปพระวิษณุ เทวรูปพระพิฆเนศวร และโยนิ เป็นต้น จากการสำรวจภาคสนามทางโบราณคดีในขณะนี้ปรากฎว่าได้พบโบราณสถานเนื่องในศาสนาพราหมณ์ในชุมชนโบราณแห่งนี้ไม่น้อยกว่า ๕๐ แห่ง โบราณสถานส่วนใหญ่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ (คลอง) ในอำเภอสิชล เช่น คลองท่าทน คลองท่าควาย คลองท่าเรือรี และคลองเทพราช เป็นต้น จากการกำหนดอายุเบื้องต้นของโบราณสถานเหล่านี้ โดยอาศัยรูปแบบทางศิลปกรรมของโบราณวัตถุที่พบร่วมกับโบราณสถานและอักษรปัลลวะบางตัวที่สลักอยู่ในชิ้นส่วนของอาคารโบราณสถานบางแห่ง อาจจะกล่าวได้ว่าโบราณสถานเหล่านี้มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑๑๔๕๕อันเป็นโบราณสถานรุ่นแรกๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังหลงเหลืออยู่ โบราณสถานในชุมชนโบราณแห่งนี้จำนวนไม่น้อยที่ถูกรื้อ จนโบราณวัตถุหรือรูปเคารพ และชิ้นส่วนของอาคารซึ่งทำด้วยหินและอิฐกระจัดกระจายโดยทั่วไปชิ้นส่วนที่ทำด้วยหิน ได้แก่ ฐานเสา ธรณี ประตู กรอบประตู และเสา เป็นต้น และยังมีโบราณสถานอีกไม่น้อยที่ยังคงอยู่ภายใต้เนินดิน ซึ่งคงจะหมายถึงว่ายังไม่ถูกขุดคุ้ยทำลาย รอบโบราณสถานที่อยู่ห่างจากลำน้ำ มักจะมีสระน้ำโบราณปรากฏอยู่โดยทั่วไปสระน้ำโบราณเหล่านี้คงจะขุดขึ้นเนื่องในความเชื่อหรือพิธีกรรมทางศาสนาและการบริโภคของชุมชน แต่โบราณสถานบางแห่งแม้จะอยู่ใกล้ลำน้ำ แต่ก็ปรากฏสระน้ำโบราณเช่นกัน โดยสระน้ำโบราณมักจะอยู่ในด้านอื่นๆ ที่ตรงข้ามกับด้านที่ติดลำคลอง บรรดาโบราณสถานเหล่านี้ โบราณสถานบนเขาคานับว่าน่าสนใจมาก เพราะได้ค้นพบโบราณวัตถุ (รูปเคารพ) ของไวษณพนิกาย และไศวะนิกายที่มีอายุอยู่ในช่วงเดียวกันอยู่ด้วยกันหลายชิ้น นอกจากนี้ยังได้พบโยนิ (หรืออาจจะเป็นฐานรูปเคารพ) ขนาดใหญ่ ลำรางน้ำมนต์ และชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมที่ส่วนใหญ่ทำด้วยหินปูนและอิฐเช่นเดียวกับแหล่งโบราณคดีอื่นๆ กระจายอยู่ทั่วไปทั้ง ภูเขาลูกนี้แต่สิ่งเหล่านี้พบในปริมาณมากและขนาดใหญ่กว่าในแหล่งโบราณคดือื่นๆ คงจะเป็นเพราะมีโบราณสถานหลายหลังหรือไม่ก็มีโบราณสถานขนาดใหญ่อยู่บนภูเขาลูกนี้จนนักโบราณคดีบางท่านตั้งข้อสังเกตว่าโบราณสถานแห่งนี้อาจจะเป็นศูนย์กลางของชุมชนโบราณแหล่งนี้ และศูนย์กลางของโบราณสถานทั้งหลายในบริเวณนี้ก็ได้เพราะรอบๆ โบราณสถานแห่งนี้โดยเฉพาะทางด้านเหนือห่างออกไปรัศมีราว ๕๐๐-๑,๐๐๐ เมตร ได้พบโบราณสถานที่ชาวบ้านพบรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ทั้งไศวะนิกายและะไวษณพนิกายกระจายอยู่อย่างหนาแน่นเป็นพิเศษ บริเวณที่พบโบราณสถานเนื่องในศาสนาพราหมณ์หนาแน่นเป็นพิเศษในชุมชนโบราณ สิชล ได้แก่ ตำบลสิชล ตำบลเทพราช ตำบลเสาเภา ตำบลฉลอง และตำบลทุ่งปรัง ในอำเภอสิชล ตำบลกลาย ในอำเภอท่าศาลา และในเขตเมืองโบราณนครศรีธรรมราช จากที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่าชุมชนโบราณสิชลคงจะเป็นพัฒนาการของชุมชนยุคแรกๆ ของการเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ต่อเนื่องมาจนถึงยุครุ่งเรืองยุคหนึ่งของ ตามพรลิงค์ ก็เป็นได้ ยิ่งกว่านั้น เมื่อได้ดำเนินการทางโบราณคดีในชุมชนโบราณแห่งนี้อย่างจริงจังและถูกหลักวิชาแล้ว คงจะได้ข้อมูลที่มีค่ายิ่งเกี่ยวกับอารยธรรมอิทธิพลศาสนาพราหมณ์ในภูมิภาคนี้เป็นอย่างมาก เพราะหลักฐานเหล่านี้อาจจะรองรับเอกสารจีนที่กล่าวว่าในราวพุทธศตวรรษที่ ๘-๙ ในบริเวณเมือง Tun-sun ซึ่งเป็นรัฐทางชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกมีความเจริญทางการค้ามากจึงมีชนชาติเป็นจำนวนมากอยู่ในชุมชนนี้ ดังปรากฏว่ามีพวกฮู (Hu) ตั้งหลักแหล่งอยู่ทีนี่ถึง ๕๐๐ ครอบครัว และพวกพราหมณ์ชาวอินเดียกว่าพันคน ซึ่งจำนวนหนึ่งได้แต่งงานกับสตรีชาวพื้นเมืองก็เป็นได้๕๖ นอกจากจะพบหลักฐานทางโบราณคดีทั้งที่เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะในประเทศอินเดียโดยตรงอย่างมากมายในนครศรีธรรมราชในระยะนี้แล้ว เรายังค้นพบศิลาจารึกรุ่นแรกของประเทศไทยในนครศรีธรรมราชอีกหลายหลักในระยะนี้๕๗ เช่น ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ซึ่งค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ ณ หุบเขาช่องคอย บ้านคลองท้อน หมู่ที่ ๙ ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ โดยจารึกด้วยอักษรปัลลวะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐๑๑ (นายชูศักดิ์ ทิพย์เกษร นักภาษาโบราณ กองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร มีความเห็นว่าเมื่อพิจารณาโดยอาศัยวิวัฒนาการของรูปแบบอักษรเป็นเกณฑ์แล้ว จะปรากฏว่าศิลาจารึกหลักนี้มีรูปอักษรเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยในขณะนี้)๕๘ ศิลาจารึกหลักนี้ใช้ภาษาสันสกฤต ข้อความที่จารึกบางท่านกล่าวว่าเป็นการบูชาพระศิวะ, ความนอบน้อมต่อพระศิวะ, เหตุที่บุคคลผู้นับถือพระศิวะเข้าไปหาพระศิวะ และคติชีวิตที่ว่าคนดีอยู่ในบ้านของผู้ใด ความสุขและผลดีย่อมมีแก่ผู้นั้น๕๙ แต่บางท่านมีความเห็นว่าเป็นจารึกเกี่ยวกับการสรรเสริญและสดุดีพระเกียรติคุณของกษัตริย์ศรีวิชัย๖๐ และศิลาจารึกวัดมเหยงคณ์ อำเมือง (จารึกหลักที่ ๒๗ ในหนังสือประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๒) ซึ่งจารึกด้วยอักษรปัลลวะคล้ายกับตัวอักษรที่พบในดินแดนเขมรโบราณ ภาษาสันสกฤต อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ กล่าวถึงเรื่องราวทางศาสนา เรื่องของสงฆ์ พราหมณ์ และจริยวัตรอันเป็นส่วนประกอบทางศาสนา๖๑ เป็นต้น จากหลักฐานที่กล่าวมานี้แสดงให้เห็นว่านครศรีธรรมราชได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอินเดียทั้งในด้านอักษร ภาษา ความเชื่อ ศาสนา ประเพณี กฎหมาย และระบบการปกครอง อันเป็นรากฐานที่สำคัญทางวัฒนธรรมของนครศรีธรรมราชและของไทยในปัจจุบันนี้ พุทธศตวรรษที่ ๑๓๑๙ นักปราชญ์บางท่านมีความเห็นว่าในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ จดหมายเหตุจีนในสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๑๖๑๑๔๙๙) เรียกนครศรีธรรมราชว่า ชิหลีโฟชี หรือ ชิ-ลิ-โฟ-ชิ หรือ ชิหลีโฟเช ต่อมาถึงสมัยราชวงศ์ซ้อง (พ.ศ. ๑๕๐๓๑๘๒๒) เปลี่ยนเป็นเรียกว่า สันโฟซี หรือ ซันโฟซี ตำนานและพงศาวดารลังกาเรียกว่า ชวกะ ส่วนจดหมายเหตุพ่อค้าชาวอาหรับเรียกว่า ซาบัก หรือ ซาบากะ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ เรียกว่า ศรีวิชัย อันเป็นชื่อที่ได้มาจากศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ (วัดเสมาเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช) เพราะในคำแปลศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ ซึ่งสลักเมื่อ พ.ศ. ๑๓๑๘ นี้ ท่านเรียกกษัตริย์ว่า พระเจ้ากรุงศรีวิชัย และท่านยืนยันว่าชื่อที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นชื่อเดียวกัน เพียงแต่ท่านไปมีมติว่าศูนย์กลางหรือราชธานีของอาณาจักรศรีวิชัยควรอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง ในเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย แต่ต่อมาศาสตราจารย์มาชุมดาร์มีความเห็นขัดแย้งว่า ราชธานีควรจะอยู่ ณ ที่ที่พบศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ คือ นครศรีธรรมราช๖๒ นอกจากชื่อพวกชวกะแล้ว ตำนาน พงศาวดารลังกา และจดหมายเหตุ เช่น คัมภีร์มหานิทเทศ ยังเรียกชื่อดินแดนปลายแหลมทองอีกหลายชื่อ เช่น สุวรรณทวีป, สุวรรณปุระ, และตามพรลิงค์ เป็นต้น๖๓ คำ ตามพรลิงค์ นั้น ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ (วัดหัวเวียง ไชยา) ด้วย ทำให้นักโบราณคดียอมรับว่าหมายถึงนครศรีธรรมราช เพราะฉะนั้นนักปราชญ์บางท่านจึงมีความเห็นว่ารัฐศรีวิชัยกับนครศรีธรรมราชก็คือแผ่นดินเดียวกัน ขอบเขตของรัฐนี้จะกว้างขวางแค่ไหนก็เป็นไปตามระยะแห่งความเจริญความเสื่อม ที่ตั้งของราชธานีจะโยกย้ายไปตั้งที่เมืองใดบ้างก็ย่อมแล้วแต่พระราชอัธยาศัย และอานุภาพของกษัตริย์ผู้ปกครองรัฐในแต่ละช่วงสมัย๖๔ แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่เป็นที่ยุติ คงจะต้อง ศึกษาค้นคว้ากันต่อไปอีกไม่น้อย๖๕ พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๕ ๖๖ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งเริ่มต้นในสมัยพระรามาธิบดี ๑ (ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๓-๑๙๑๒) เป็นต้น แคว้นนครศรีธรรมราชคงจะเข้ารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแคว้นศรีอยุธยา และแคว้นอื่น ๆ ด้วย เช่น ล้านนา สุโขทัย และละโว้ เป็นต้น เมื่อรัฐอิสระเหล่านี้รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วจึงเรียกว่า "ราชอาณาจักรสยาม" โดยให้มีศูนย์กลางหรือราชธานีที่กรุงศรีอยุธยา ส่วนแคว้นอื่นๆ มีฐานะเป็นประเทศราช ในราว พ.ศ. ๑๙๒๘ พระราเมศวร (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๓๑-๑๙๓๘) ได้เสด็จยกกองทัพขึ้นไปตีเชียงใหม่และได้กวาดต้อนชาวเชียงใหม่มาไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราช นับเป็นวิธีลดอำนาจหัวเมืองล้านนาไทย และเพิ่มประชากรให้เมืองนครศรีธรรมราช ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) ได้ทรงเปลี่ยนฐานะเมืองนครศรีธรรมราชเมือง "พระยามหานคร" มาเป็น "หัวเมืองเอก" ใน พ.ศ. ๑๙๙๘ และให้เจ้าเมืองได้รับบรรดาศักดิ์เป็น "เจ้าพระยาศรีธรรมราช" ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๙๘) นับเป็นครั้งแรกที่นครศรีธรรมราชเป็นกบฏ โดยมีสาเหตุจากความแตกแยกของข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาและการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน ใน พ.ศ. ๒๑๗๒ ซึ่งตรงกับสมัยพระอาทิตยวงศ์ ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาเมื่อทราบสาเหตุ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ซึ่งต้องการเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยาแทนพระอาทิตย์วงศ์กษัตริย์ผู้เยาว์ ก็ได้เริ่มวางแผนที่จะกำจัดออกญาเสนาภิมุข (ยามาดา) เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่นผู้มีอำนาจมากในกรุงศรีอยุธยาเวลานั้นให้ออกไปเสียจากกรุงศรีอยุธยา เพื่อจะได้ไม่ขัดขวางการปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ของตน โดยส่งให้ออกญาเสนาภิมุขไปปราบกบฏที่นครศรีธรรมราชสำเร็จ ออกญาเสนาภิมุขได้ประหารชีวิตข้าราชการผู้ใหญ่ของเมืองที่ไม่ยอมอ่อนน้อมหลายคน พร้อมทั้งริบที่ดินจากชาวเมืองแบ่งปันให้ชาวญี่ปุ่นที่ติดตาม เมื่อเสร็จศึกเมืองนครศรีธรรมราชแล้ว ออกญาเสนาภิมุขได้ยกทัพไปปราบกบฏที่ปัตตานี แต่เสียทีถูกอาวุธบาดแผลสาหัสกลับมารักษาตัวที่เมืองนครศรีธรรมราชจนเกือบหาย แต่กลับถูกพระยามะริดซึ่งออกไปช่วยราชการอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราชใช้ผ้าพันแผลอาบยาพิษปิดให้ จึงถึงแก่กรรมเพราะยาพิษใน พ.ศ. ๒๑๗๓ ฝ่ายนครศรีธรรมราชเมื่อสิ้นออกญาเสนาภิมุขแล้ว ก็คิดตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาอีก เพราะไม่เห็นด้วยกับการปราบดาภิเษกของพระเจ้าปราสาททอง การตั้งตนเป็นอิสระเช่นนี้ทางกรุงศรีอยุธยาถือว่าเป็นกบฏ จึงได้ส่งกองทัพไปปราบปรามโดยให้ออกพระศักดาพลฤทธิ์ และออกญาท้ายน้ำเป็นแม่ทัพ ผลปรากฏว่าตีเมืองนครศรีธรรมราชได้โดยง่าย เวลาล่วงมาอีกประมาณ ๒๕ ปี เมืองนครศรีธรรมราชก็เป็นกบฏต่อกรุงศรีอยุธยาครั้งหนึ่ง คือเป็นกบฏในสมัยพระเพทราชา (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๒๔๕) ใน พ.ศ. ๒๒๒๗ โดยสาเหตุจากเมืองนครศรีธรรมราชไม่ยอมรับพระเพทราชาให้สืบสันตติวงศ์ต่อจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทางกรุงศรีอยุธยาก็ยกกองทัพไปปราบอีกโดยให้พระสีหราชเดโชเป็นทัพหน้า พระยาราชบุรีเป็นทัพหลัง และให้พระยาราชวังสัน (แขก) เป็นแม่ทัพเรือ ใช้เวลาอยู่ถึง ๓ ปีจึงตีแตก ผลการเกิดกบฏครั้งนี้ ทำให้กรุงศรีอยุธยาไม่สู้ไว้วางใจเมืองนครศรีธรรมราชมากนัก จึงได้มีการย้ายสังกัดจากสมุหพระกลาโหมและสมุหนายกไปขึ้นกับสมุหพระยากลาโหมแต่ฝ่ายเดียว ภายหลังที่เมืองนครศรีธรรมราชเป็นกบฏในรัชสมัยพระเพทราชาแล้ว เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชก็ถูกลดฐานะลงเป็นเพียง "ผู้รั้งเมือง" อยู่ระยะเมือง ครั้นถึงสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๒๗๕-๒๓๐๑) ได้มีการยกฐานะเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และยกฐานะเมืองเป็น "เมืองพระยามหานคร" เพราะเห็นว่าเมืองนครศรีธรรมราชเป็นหัวเมืองเอกอยู่ทางภาคใต้เพียงเมืองเดียว มีหน้าที่ในการควบคุมหัวเมืองประเทศราชในหัวเมืองมลายู และเป็นผู้รักษาอาณาเขตทางด้านนี้ด้วย ครั้นสิ้นสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ กรุงศรีอยุธยาระส่ำระสายมาก พม่าก็ยกกองทัพใหญ่มาประชิดเมือง และในที่สุดเสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๒๓๑๐ เมืองนครศรีธรรมราชก็ได้ตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นนาม "ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช" โดยมีพระปลัด (หนู) ผู้รั้งเมืองเป็นหัวหน้าควบคุม เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้กู้อิสรภาพได้เรียบร้อยแล้ว ได้ยกทัพไปปราบปรามชุมนุมเจ้าพิมาย เสร็จแล้วจึงยกทัพลงมาปราบปรามชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช ผลของการรบในระยะแรกทัพหน้าของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสียที เป็นผลให้พระยาเพชรบุรีและพระศรีพิพัฒน์ตายในที่รบ ครั้นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทราบผลศึกว่าเพลี่ยงพล้ำจึงโปรดเกล้าฯให้ยกทัพหลวงไปทันที ครั้งนี้ทัพเมืองนครศรีธรรมราชได้โดยง่าย พระยาปัตตานีเกรงพระบรมเดชานุภาพจึงจับเจ้านคร (หนู) และครอบครัวส่งมาถวายแต่โดยดี คณะลูกขุนได้ปรึกษาโทษให้สำเร็จโทษเสีย แต่สมเด็จพระเจ้าธนบุรีทรงเห็นว่า เจ้านคร (หนู) มิได้เป็นกบฏประทุษร้ายต่อราชอาณาจักร เป็นแต่ตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นในเวลาที่บ้านเมืองเป็นจลาจลและสูญเสียอิสระภาพแก่พม่า จึงเห็นสมควรพระราชทานอภัยโทษ และได้รับพระราชทานน้ำพิพัฒน์สัตยาเป็นข้าราชการในกรุงธนบุรี แต่ให้มียศเพียงพระยา พระราชทานบ้านเรือนให้อาศัยเป็นอย่างดี เมื่อเสร็จศึกเมืองนครศรีธรรมราชในครั้งนี้ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕) โปรดเกล้าฯ ให้ราชบัณฑิตอัญเชิญพระไตรปิฎกจากเมืองนครศรีธรรมราชลงเรือไปยังกรุงธนบุรีให้ครบทุกคัมภีร์ เพื่อคัดลอกเป็นฉบับจำลองไว้ ณ กรุงธนบุรี ทั้งนี้เนื่องจากพระไตรปิฎกในกรุงศรีอยุธยาได้ถูกพม่าเผยทำลายเสียหายมาก ส่วนตำแหน่งผู้รั้งเมืองนครศรีธรรมราชคนใหม่ โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าหลานเธอ เจ้านราสุริยวงศ์ ครองตำแหน่งและยกฐานะเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเป็น "ประเทศราช" อีกครั้งหนึ่ง โดยมีเจ้านราสุริยวงศ์เป็นเจ้าประเทศราช เจ้านราสุริยวงศ์ครองเมืองนครศีรธรรมราชได้ราว ๖ ปี ก็ถึงแก่พิราลัยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๙ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแต่งตั้งให้เจ้านคร (หนู) ซึ่งเข้ารับราชการในกรุงธนบุรีให้กลับคืนไปครองเมืองนครศรีธรรมราชอีกครั้ง โดยได้สุพรรณบัฏเป็น "พระเจ้าขัตติยราชนิคม สมมติมไหศวรรย์ พระเจ้านครศรีธรรมราช เจ้าขัณฑสีมา" เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๙ พระเจ้านครศรีธรรมราชได้รับเฉลิมพระยศเสมอด้วยเจ้าประเทศราช มีอำนาจแต่งตั้งพระยาอัครมหาเสนาและจตุสดมภ์สำหรับเมืองนครศรีธรรมราชได้ คล้ายกรุงธนบุรี พระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณมาจนกระทั่งสิ้นรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ครั้นถึงสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๕๒) คือ ในพ.ศ. ๒๓๒๗ จึงถูกถอดจากพระยศ "พระเจ้านครศรีธรรมราช" ลงเป็น "พระยานครศรีธรรมราช" และในรัชกาลเดียวกันได้แต่งตั้งอุปราช (พัฒน์) บุตรเขยของพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ขึ้นเป็น "เจ้าพระยานครศรีธรรมราช" เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) รับราชการมาจนถึงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ จึงได้กราบทูลลาออกจากตำแหน่งด้วยเห็นว่าตนชราภาพมากแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิสหล้านภาลัย (ครองราชย์ ๒๓๒๕-๒๓๖๗) จึงได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระบริรักษ์ภูเบศรผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราชเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช มีนามในตราตั้งว่า "พระยาศรีธรรมโศกราช ชาติเดโชไชยมไหสุริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ พระยาศรีธรรมราช" ต่อมากระทำความดีความชอบในราชการจนได้รับการแต่งตั้งเป็น "เจ้าพระยานครศรีธรรมราช" คนทั่วไปรู้จักในนาม "เจ้าพระยานครน้อย" เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ตามหลักฐานทางราชการกล่าวว่าเป็นบุตร เจ้าพระยานคร (พัฒน์) แต่คนทั่วไปทราบว่าเป็นโอรสของพระเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชผู้นี้มีความสามารถมากได้ทำการปราบปรามหัวเมืองมลายูได้สงบราบคาบ เป็นนักการทูตที่สำคัญคนหนึ่งของประเทศ โดยเฉพาะการเจรจากับอังกฤษในสมัยรัชกาลที่ ๒-๓ ได้ทำให้เมืองนครศรีธรรมราชมีอิทธิพลต่อหัวเมืองมลายู และเป็นที่นับถือยำเกรงแก่บริษัทอังกฤษ ซึ่งกำลังแผ่อิทธิพลทางการค้าขายและทางการเมืองในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ยังเป็นผู้มีฝีมือในทางช่าง เช่น ฝีมือในทางการต่อเรือจนได้รับสมญาว่าเป็น "นาวีสถาปนิก" และในสมัยรัชกาลที่ ๔ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๑) เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ก็ได้ถวายพระแท่นถมตะทองและพระราชยานถมอีกด้วย ภายหลังที่เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรม เจ้าเมืองนครศรีธรรมราขคนถัดมาคือ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) ผู้บุตร ไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร เป็นเหตุให้หัวเมืองมลายูกระด้างกระเดื่อง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓) ได้ทรงแก้ไขจัดการปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้ โดยให้มีการปกครองเป็นมณฑล นครศรีธรรมราชจึงเป็นมณฑลของประเทศไทยโดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชใน พ.ศ. ๒๔๓๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๕๖๘) ได้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแผ่นดินด้านการปกครองหัวเมืองอีกครั้งหนึ่ง ในรัชกาลนี้ได้ โปรดฯ ให้มีการแต่งตั้งตำแหน่งอุปราชปักษ์ใต้ขึ้นเพื่อปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้ทั้งหมด ในการนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ดำรงตำแหน่งอุปราชปักษ์ใต้ จนกระทั่งได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงได้ยุบมณฑลนครศรีธรรมราชลงเป็นจังหวัดหนึ่งของราชอุปราชอาณาจักรไทยและดำรงฐานะดังกล่าวเรื่อยมาจนปัจจุบัน ด้วยเหตุที่นครศรีธรรมราชมีประวัติอันยาวนานมาก่อนกรุงสุโขทัยซึ่งถือว่าเป็นราชธานีแรกของไทย มีความเจริญรุ่งเรืองทางพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์มาก่อนศิลปวัฒนธรรม เช่น ประติมากรรม สถาปัตยกรรม จิตรกรรม ช่างฝีมือพื้นบ้าน การละเล่น และขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมจึงมีมาก ซึ่งชาวเมืองยังยึดถือปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน นครศรีธรรมราชจึงมีอารยธรรมและศิลปวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติบ้านเมืองมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:09:41 นครศรีธรรมราช ๕
เชิงอรรถ ๑ ดู ธิดา สาระยา, พัฒนาการของรัฐบาลบนคาบสมุทรไทย เน้นตามพรลิงค์ (คริสตศตวรรษที่ ๖-๑๓, ในประวัติศาสตร์และโบราณคดีนครศรีธรรมราช ชุดที่ ๓ (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ๒๕๒๖), หน้า ๙๔-๑๑๘. ดู ปรีชา นุ่นสุข, การศึกษาเกี่ยวกับชื่อสถานที่สำคัญบนคาบสมุทรไทย : ตะกั่วป่า ไชยา และนครศรีธรรมราช, ใน ประวัติศาสตร์และโบราณคดีนครศรีธรรมราช ชุดที่ ๓ (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช , ๒๕๒๖), หน้า ๑๔๘-๑๔๙. ๒ พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๒๙ หน้า ๑๘๘-๑๘๙. ๓ ยอร์ช เซเดส์, ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๒ (พระนคร : หอพระสมุดสำหรับพระนคร, ๒๔๗๒), หน้า ๑๒. ๔ มานิต วัลลิโภดม, สภาพของอาณาจักรต่าง ๆ ในภาคใต้ของประเทศไทยก่อนศรีวิชัยมีอำนาจ, ในรายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์และโบราณคดีศรีวิชัย (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๕), หน้า ๖๘. ๕ สุวัณณภูมิ หรือสุวรรณภูมิ (แปลว่า ดินแดนทอง - Golden Land) คงจะหมายถึงดินแดนแหลมอินโดจีนทั้งหมด คือ บริเวณพม่า ไทย กัมพูชา และแหลมมลายู ตรงตามที่ Childers, Pali Dictionary กล่าวไว้ มิได้หมายถึงเฉพาะพม่าตอนล่าง (Lower Burma) หรือพม่าตอนใต้เท่านั้น หากแต่ตลอดตามแนวชายฝั่งตั้งแต่ย่างกุ้ง (ร่างกุ้ง) ลงไปถึงสิงคโปร์. ๖ มิลินทปัญหา ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย หน้า ๔๖๔. ๗ Paul Wheatley, The Golden Khersonese. (Kuala Lumper : University of Malaya Press, ๑๙๖๖), p. ๑๘๓. ๘ Senarat Paranavitana, Ceylon and Malaysia. (Colombo : Lake House Investments Limited Publishers, ๑๙๖๖), p. ๙๙. ๙ Paul Wheatley, op. Cit., pp ๖๖-๖๗, ๗๗. ๑๐ ดู Nihar Ranjore Ray, Sanskrit Buddhism in Burma. (Amsterdam, ๑๙๘๖), PP. ๗๘-๗๙. ดู Paul Wheatly, op. cit., pp.๑๙๙-๒๐๐. ๑๑ ยอร์ช เซเดส์, ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๒ จารึกทวาราวดี ศรีวิชัย ละโว้ พิมพ์ครั้งที่ ๒ แก้ไขใหม่ (กรุงเทพ ฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๐๔), หน้า ๓๐-๓๑ และรูปที่ ๑๐. ๑๒ ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์, ตามพรลิงค์ วิทยานิพนธ์ตามหลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๓), หน้า ๙๓. ๑๓ ธรรมทาส พานิช, กรุงตามพรลิงค์ที่เมืองนครศรีธรรมราช, พุทธศาสนาปีที่ ๔๙ เล่มที่ ๑-๒ (กุมภาพันธ์-พฤษภาคม, ๒๕๒๔), หน้า ๓. ๑๔ ดู สาส์นสมเด็จ ฉบับวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘, ฉบับปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ และต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘. ๑๕ ไมตรี ไรพระศก, ปฏิกิริยาศิลปวัฒนธรรม, ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๔ (๒๕๒๓), หน้า ๖๗-๖๘ ๑๖ Stanley J. O, Connor, Si Chon : An Early Settlement in Penninsular Thailand, Journal of the Siam Society, Vol. LVJ, Pt. I (January, ๑๙๘๖), p. ๔., and Tambralinga and the Khmer Empire, Journal of the Siam Society, Vol. ๖๓ pt. I (January, ๑๙๗๕), pp. ๑๖๑-๑๗๕ ๑๗ Senarat paranavitana, op. cit., pp. ๗๘-๗๙ ๑๘ Ibid. ๑๙ Culavamsa, Culavamsa, being the more recent part of the Mahavamsa, Part I, translated by W. Geiger, Pali Texi Society, Translation Series, No. ๑๘, London, ๑๙๒๙. ๒๐ คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี สำนักนายกรัฐมนตรี, ประชุมศิลา จารึก ภาคที่ ๓ (พระนคร : โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, ๒๕๐๘), หน้า ๑๒-๑๘. ๒๑ ธิดา สาระยา, เรื่องเดิม, หน้า ๑๐๙. ๒๒ P.E.E. Fernando, An Account of the Kandyan Mission Sent to Siam in ๑๗๕๐, The Ceylon Journal of Historical and Social Studies, Vol. ๒, No. ๑ (January, ๑๙๕๙), pp. ๖๗-๘๒. ๒๓ คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๑ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ๒๕๒๑), หน้า ๑๕-๓๒. ๒๔ พระรัตนปัญญา, ชินกาลมาลีปกรณ์ (พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๕๑๗), หน้า ๑๐๙. ๒๕ พระโพธิรังสี, สิหิงคนิทาน (พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๕๐๖), หน้า ๔๑. ๒๖ Colone Sir Henry Jule, (translated and edited), The Book of Ser Marco Polo : The Venetian Concerning the Kingdoms and Marvels of the East (London : John Murray, ๑๙๐๓), p. ๒๗๖. ๒๗ ไมเคิล ไรท์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่าชาวสิงหลฟังคำที่มี ง สะกดเป็น น สะกดเสมอ ดังนั้นคำว่า เมือง (Muang) จึงจดเป็น มุอัน (Muan) ๒๘ P.E.E. Fernando op. cit., pp. ๖๗-๖๘. ๒๙ ประเสริฐ ณ นคร, จารึกที่พบในนครศรีธรรมราช ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ๒๕๒๑), หน้า ๔๕๒. ๓๐ ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์, เรื่องเดิม, หน้า ๙๕-๙๖. ๓๑ Joaquim de Campos, Early Portuguese Accounts of Thailand, Journal of the Siam Society, Selected Articles from the Siam Society Journal, Vol. VII, Relationship with Portugal, Holland, and the Vatican, (Bangkok, ๑๙๕๙), p. ๒๒๕. ๓๒ Jeremias Van Vliet, The Short History of the King of Siam, translated by Leonard Andaya, (Bangkok : The Siam Society, ๑๙๗๕), p. ๑๖. ๓๓ John Crawfurd, Journal of an Embassy to the Courts of Siam and Cochin China, (Kuala Lumpur : Oxford University Press, ๑๙๖๗), p. ๔๔๓. ๓๔ ดู F.D.K. Bosch, " De inscriptie van Ligor," TBG., LXXXI, ๑๙๔๑, pp. ๒๖-๓๘. ดู Boechari, 'On the Date of the Inscripion of Ligor B," SPAFA (SEAMEO Project in Archaeology and Fine Arts) Final Report Consultative Workshop on Archaeological and Environmental Studies on Srivijaya (I-W2A), Indonesia, August 31-September 12, 1982. (Jakarta : Southeast Asian Ministers of Education Organization, 1982), Appendix 4a. ๓๕ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรมแสดงให้เห็นว่า บริเวณของ "ลิกอร์" คงจะกว้างใหญ่มาก คือ อย่างน้อยก็กินบริเวณตั้งแต่เขตอำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถึงเขตตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช นักวิชาการบางท่านจึงเรียกบริเวณนี้ว่า "Ligor area" ดู ธิดา สารยะ, เรื่องเดิม หน้า ๑๑๐., นอกจากนี้นักวิชาการบางท่านยังพบว่า จากการตรวจสอบแผนที่ที่เขียนในสมัยโบราณเห็นได้ชัดเจนว่าบริเวณสทิงพระยังมิได้มีลักษณะเป็นแหลมอย่างที่ปรากฏในปัจจุบันนี้หากแต่พื้นดินแถบสทิงพระยังคงเป็นเกาะ ในคริสศตวรรษที่ ๑๗ เรียกบริเวณนั้นว่า "Coete Inficos" ครั้นต้นคริสตศตวรรษที่ ๑๘ มีชื่อว่า "Ile Papier" หรือ "de Ligor" ดู Guy Trebuil, สมยศ ทุ่งหว้า และอิงอร เทรบุยล์, "ความเป็นมาและแนวโน้มวิวัฒนาการของเกษตรกรรมการบริเวณสทิงพระ," เอกสารประกอบการอภิปรายในการสัมมนา เรื่อง ประวัติศาสตร์และโบราณคดีบริเวณคาบสมุทรสทิงพระ จัดโดย สถาบันทักษิณคดีศึกษาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ วันที่ ๘-๑๑ สิงหาคม ๒๕๒๖ ณ สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา, หน้า๔. ๓๖ ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์, เรื่องเดิม, หน้า ๙๗. ๓๗ ตรี อมาตยกุล, รวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช (พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๕๐๕), หน้า ๑๑. ๓๘ วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, แผนงานหลัก โครงการสัมมนาทางวิชาการประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช พุทธ-ศักราช ๒๕๒๑-๒๕๓๐ ใน ประวัติศาสตร์และโบราณคดีนครศรีธรรมราช ชุดที่ ๓ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๒๖), หน้า ๒๓๙-๒๔๙. ๓๙ ดู วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ประวัติศาสตร์และโบราณคดีนครศรีธรรมราช ชุดที่ ๑ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๒๑) ดู วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๒๑) ดู วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ประวัติศาสตร์และโบราณคดีนครศรีธรรมราช ชุดที่ ๒ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๒๕) ดู วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งที่ ๒ : ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของนครศรีธรรมราช (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๒๖) ดู วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ประวัติศาสตร์และโบราณคดีนครศรีธรรมราช ชุดที่ ๓ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๒๖) ๔๐ ธราพงศ์ ศรีสุชาติ และอมรา ขันติสิทธิ์, แนวความคิดและข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับก่อนประวัติศาสตร์ภาคใต้, ๒๕๒๔, (เอกสารอัดสำเนา), หน้า ๒. ๔๑ ธราพงศ์ ศรีสุชาติ และอมรา ขันติสิทธิ์, เรื่องเดิม, หน้า ๒-๕. ๔๒ พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๒๙ หน้า ๑๘๘. ๔๓ ซิลแวง เลวี กล่าว คัมภีร์มิลินทปัญหารวบรวมขึ้นระยะเดียวกันกับคัมภีร์มหานิทเทศ คือ ราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ และศาสตราจารย์นิลกันตะ ศาสตรี (Nilakanta Sastri) กล่าวว่า คัมภีร์มิลินทปัญหาแต่งเมื่อราว ค.ศ. ๔๐๐ ดู Sylvain Levy Ptoteme le Niddesa et la Brhatkatha, Etudes Asiatiques II, ๑๙๕๒. และศาสตราจารย์ปรนะวิธาน (Paranavitana) มีความเห็นว่า คำว่า Tamali บวกกับ gam หรือ gamu ซึ่งสันสกฤตใช้ว่า grama จึงอาจจะเป็น Tamlingam หรือ Tamalingamu ในภาษาสิงหล และคำนี้เมื่อแปลเป็นภาษาบาลีก็เป็น Tambalin. Ga และเป็น Tambralin. Ga ในภาษาสันสกฤต ดู Senarat Paranavitana, Ceylon and Malaysia (Columbo : Lake House Investments Limited Publishers, 1966), p. 99. ๔๔ Paul Wheatley, The Golden Khersonese (Kuala Lumpur : University of Malaya Press, 1961), pp. 66, 76-77 183, 201-202. ๔๕ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล, ศิลปะในประเทศไทย พิมพ์ครั้งที่ ๖ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์อมรินทร์ การพิมพ์, 2522), หน้า ๑๓. ๔๖ พิริยะ ไกรฤกษ์, ศิลปะทักษิณก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร. ๒๕๓๒), หน้า ๒๕. ๔๗ พื้นที่ส่วนใหญ่ของชุมชนโบราณสิชล อยู่ในเขตอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอนี้ตั้งอยู่ในเขตที่ราบชายฝั่งทะเลตะวันออกของภาคใต้ (ชายฝั่งอ่าวไทย) สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบชายทะเล ลักษณะดินเป็นดินร่วนปนทราย มีแม่น้ำสายสำคัญอันเป็นที่ตั้งของแหล่งโบราณคดีหลายสาย เช่น คลองท่าเชี่ยว คลองเทพ-ราช คลองท่าเรือรี คลองท่าควาย และคลองท่าทน เป็นต้น คลองเหล่านี้ล้วนไหลลงสู่อ่าวไทยทั้งสิ้นและบางสายตื้นเขินไปมากแล้ว ชื่อ สิชล นั้นน่าจะตรงกับที่ปรากฏใน ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ว่า ตระชน และ ศรีชน ขณะนี้ชาวบ้านที่มีอายุเรียกกันโดยทั่วไปว่า สุชล ๔๘ ดู สุจิตต์ วงษ์เทศ, โบราณคดีพเนจร, ชาวกรุง ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๒ (พฤศจิกายน ๒๕๐๙), หน้า ๗๘๙๐. ดู Stanley J. O Connor, Si Chon : An Early Settlement in Peninsular Thailand , Journal of the Siam Society, LVI, pt, I. (January ๑๙๖๘) pp. ๑๑๘. ดู ศรีศักร วัลลิโภดม, จากท่าชนะถึงสงขลา, เมืองโบราณ ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๒ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๑๙), หน้า ๖๕๗๗. ดู ศรีศักร วัลลิโภดม, ชุมชนโบราณในภาคใต้ ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช, วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช ๒๕๒๑), หน้า ๒๒๘๐. ดู ปรีชา นุ่นสุข, สิชล : ชุมชนโบราณของพราหมณ์บนคาบสมุทรมลายู, ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔ (กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖), หน้า ๑๔๒๔. ดู Preecha Noonsuk, Si Chon : An Ancient Brahmanical Settement on the Malay Peninsular, SPAFA (SEAMEO Project in Arehaeology and Fine Arts) Final Report Consultative Workshop on Arehaeological and Environmental Studies on Srivijaya (T-W๓), Bangkok and South Thailand, March ๒๙April ๑๑, ๑๙๘๓, (Bangkok : Southeast Asian Ministers of Education Oganization, ๑๙๘๓), pp. ๑๔๕๑๕๑. ดู ปรีชา นุ่นสุข, สิชล : อู่อารยธรรมอิทธิพลศาสนาพราหมณ์, เมืองโบราณ ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๒๗), หน้า ๓๓๔๑. ๔๙ Paul Wheatley, op. cit., pp. ๑๖๑๗. ๕๐ ปรีชา นุ่นสุข, หลักฐานทางโบราณคดีในภาคใต้ของประเทศไทยที่เกี่ยวกับอาณาจักรศรีวิชัย (นครศรีธรรมราช : ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช ๒๕๒๕), หน้า ๕๗๕. ๕๑ ดูรายละเอียดใน ธิดา สาระยา, พัฒนาการของรัฐบนคาบสมุทรไทย เน้นตามพรลิงค์ (คริสตศวรรษที่ ๖๑๓), ใน ประวัติศาสตร์และโบราณคดีนครศรีธรรมราช ชุดที่ ๓ (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช ๒๕๒๖), หน้า ๙๔๑๑๘. และปรีชา นุ่นสุข การศึกษาเกี่ยวกับชื่อสถานที่สำคัญบนคาบสมุทรไทย : ตะกั่วป่า ไชยา และนครศรีธรรมราช, ใน ประวัติศาสตร์และโบราณคดีนครศรีธรรมราช ชุดที่ ๓ หน้า ๑๑๙๑๖๕. ๕๒ สุวิทย์ ทองศรีเกตุ, การศึกษาวิเคระห์อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ที่มีต่อพฤติกรรมทางศาสนาของพุทธศาสนิกชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช, วิทยานิพนธ์ตามหลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต สาขาศาสนาเปรียบเทียบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๒๔, (อัดสำเนา) หน้า ๘ ๕๓ Stanley J. O Connor, Hindu Gods of Peninsular Siam. (Ascona : Artibus Asiae Publishers, ๑๙๗๒), pp. ๑๑๑๗. ๕๔ Stanley J. Connor, Si Chon : An Early Settlement in Peninsular Journal of the Siam Society, Vol. LVI, pt. I (January, ๑๙๖๘), p. ๑๔. ๕๕ ปรีชา นุ่นสุข , สิชล : ชุมชนโบราณของพราหมณ์บนคาบสมุทรมลายู, ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๔ (กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖), หน้า ๑๔๒๓. ๕๖ ปรีชา นุ่นสุข, สิชล : อู่อารยธรรมอิทธิพลศาสนาพราหมณ์, เมืองโบราณ ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๒๗), หน้า ๔๐๔๑. ๕๗ ยอร์ช เซเดส์, เรื่องเดิม, หน้า ๒๑๔๐. ๕๘ ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร, คำบรรยายวิชาวิธีใช้เอกสารโบราณประกอบวิชาโบราณคดี. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ศิลปากร ภาคการศึกษาที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๒๓ โดย นายปรีชา นุ่นสุข เป็นผู้บันทึก. ๕๙ ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร และชะเอม แก้วคล้าย, ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย, ศิลปากร ปีที่ ๒๔ ฉบับที่ ๔ (กันยายน ๒๕๒๓), หน้า, ๘๙๙๓. ๖๐ ดู ปรีชา นุ่นสุข, จารึกหุบเขาช่องคอย : หน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ภาคใต้, ศิลปวัฒนธรรม, ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๗ (พฤษภาคม ๒๕๒๓), หน้า ๔๘๕๙. ดู M.C. Chand Chirayu Rajani, Scientific Evidence in the Sri Vijaya Stoty, ๑๙๘๑, (Type-written), pp. ๑๒๑๕. ดู ปรีชา นุ่นสุข, หลักฐานทางโบราณคดีในภาคใต้ของประเทศไทยที่เกี่ยวกับอาณาจักรศรีวิชัย หน้า ๑๑๓๑๑๙ ดู ไมเคิล ไรท์, ศิลาจารึกหลักที่พบใหม่ (ช่องคอย) กับประวัติศาสตร์ศรีวิชัย, ศิลปวัฒนธรรม, ปี่ที่ ๓ ฉบับที่ ๙ (กรกฎาคม ๒๕๒๓), หน้า ๑๘๑๙. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:09:59 นครศรีธรรมราช ๖
๖๑ ยอร์ช เซเดส์, เรื่องเดิม, หน้า ๓๖๓๗. ๖๒ ดู มานิต วัลลิโภดม, ศรีธรรมาโศกมหาราช, อนุสาร อ.ส.ท., ปีที่ ๑๘ ฉบับที่ ๙ (เมษายน ๒๕๒๑), หน้า ๑๖๑๘. ๖๓ มานิต วัลลิโภดม, เรื่องเดิม, หน้า, ๑๘. ๖๔ มานิต วัลลิโภดม, เรื่องเดิม, หน้า, ๑๘. ๖๕ ดู หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล, อาณาจักรศรีชัย, ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งที่ ๒ : ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของนครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ๒๕๒๖), หน้า ๕๕๗๑. ดู มานิต วัลลิโภดม, สภาพของอาณาจักรต่างๆ ในภาคใต้ของประเทศไทยก่อนศรีวิชัยมีอำนาจ, ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์และโบราณคดีศรีวิชัย (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๕), หน้า ๖๕๙๑. ดู สืบแสง พรหมบุญ, การบันทึกหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับศรีวิชัย, ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์และโบราณคดีศรีวิชัย (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๕), หน้า ๙๒๙๕. ดู ธิดา สาระยา, เรื่องเดิม, หน้า ๙๔๑๑๘. ดู ศรีศักร วัลลิโภดม, พัฒนาการของบ้านเมืองในภาคใต้ของประเทศไทยในสมัยศรีวิชัย, ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์และโบราณคดีศรีวิชัย (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๕), หน้า ๑๓๔๑๔๒. ดู สุเนตร ชุตินธรานนท์, สภาพการเมืองของศรีวิชัย, ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์และโบราณคดีศรีวิชัย (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๕), หน้า ๑๔๓๑๔๘. ดู ประเสริฐ ณ นคร, อักษร ภาษา และจารึกสมัยศรีวิชัย, ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์และโบราณคดีศรีวิชัย (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๕), หน้า ๑๕๗๑๗๐. ดู พิริยะ ไกรฤกษ์, ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแบบศิลปะในประเทศไทย : คัดเลือกจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สาขาส่วนภูมิภาค (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๐), หน้า ๑๗๑๘. ดู Stanley J. O, Connor, "Tambralinga and the Khmer Empire," JSS Journal of the Siam Society, Vel. ๖๓, pt.l (January ๑๙๗๕), pp. ๑๖๑-๑๖๕. ดู M.C. Subhadradis Diskul, The Art of Srivijaya (Kuala Lumpur : Oxford University Press, ๑๙๘๐) ดู M.C. Subhadradis Diskul, "A Short History of the Srivijaya Kingdom and Its Art in Southern Thailand." SPAFA (SEAMEO Project in Archaeology and Fine Arts) Final Report Workshop on Research on Srivijaya, Jakarta, March ๑๒-๑๗, ๑๙๗๙, (Jakarta : SEAMEO, ๑๙๘๙), Appendix ๓ d. ดู ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์ ตามพรลิงค์, วิทยานิพนธ์ปริญญาโท บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๓, (อัดสำเนา) ดู หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี, นครศรีธรรมราชในสมัยศรีวิชัย, ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ๒๕๒๑), หน้า ๘๑๘๘. ดู ธรรมทาส พานิช ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาสมัยศรีวิชัย (กรุงเทพ ฯ : แพร่พิทยา, ๒๕๒๑), หน้า ๑๒๘๗. ดู ธรรมทาส พานิช, พนม ทวาราวดี ศรีวิชัย (นครหลวงกรุงเทพธนบุรี : แพร่พิทยา, ๒๕๑๕), หน้า ๑๓๒๙. ดู พระครูอินทรปัญญาจารย์ (พุทธทาส อินฺทปญฺโญ), แนวสังเขปของโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน (สุราษฎร์-ธานี : คณะกรรมการจังหวัดสุราษฎร์ธานี และคณะกรรมการอำเภอไชยา, ๒๔๙๘), หน้า ๑๘๐. ดู Boechari, Report on Research on Srivijaya SPAFA Final Report Workshop on Research on Srivijaya, Jakara, March ๑๒๑๗, ๑๙๗๙, (Jakarta : SEAMEO, ๑๙๗๙), Appendix ๓a. ดู Janice Stargardt, The Satingpra Civilization and Itrs Relevance to Srivijayan Studies, SPAFA Final Report Consultative Workshop on Archeological and Environmental Studies on Srivijaya (I-w๒A), Indonesia, August ๓๑ - September ๑๒, ๑๙๘๒, (Jakarta : SEAMEO, ๑๙๘๒), Appendix ๔b.ดู Phasook Indrawooth, A Study on local Ceramics of Southem Thailand and Their Relations to Dvaravati and Srivijayan Culture, SPAFA Final Report Consultative Workshop on Archeological and Environmental Studies on Srivijaya (I-w๒A), Indonesia, August ๓๑ - September ๑๒, ๑๙๘๒, (Jakarta : Seameo, ๑๙๘๒), Appendix ๓ e. ดู Janics Stargardt, Kendi Production at Kok Moh, Songkhla Province, and Srivijayan Trade in the ๑๑ th Century, SPAFA Final Report Consultative Workshop on Archeological and Environmental on Srivijaya (T-W๓). Bangkok and South Thailand, March ๒๙April ๑๑ ๑๙๘๓, (Bangkok : SEAMEO, ๑๙๘๓). Pp. ๑๘๑๑๘๙. ดู Tatsure Yamamoto, Reexamination of Historical Texts Concerning Srivijaya, SPAFA Final Report Consultative Workshop on Archeological and Environmental Studies on Srivijaya (T-W๓), Bangkok and South Thailand, March ๒๙ - April ๑๑, ๑๙๘๓, (Bangkok : SEAMEO, ๑๙๘๓), pp. ๑๗๑-๑๗๙. ดู John N, Miksic, Srivijaya : Political, Economic, and Artistic Framework for Analysis, SPAFA Final Report Consultative Workshop on Archeological and Environmental Studies on Srivijaya (T-W๓), Bangkok and South Thailand, March ๒๙ - April ๑๑, ๑๙๘๓, (Bangkok : SEAMEO, ๑๙๘๓), pp. ๑๙๕๒๐๖. ดู Satyawati Suleiman, The Role of the Sailendras in Srivijaya, SPAFA Final Report Consultative Workshop on Archeological and Environmental Studies on Srivijaya (T-W๓), Bangkok and South Thailand, March ๒๙ - April ๑๑, ๑๙๘๓, (Bangkok : SEAMEO, ๑๙๘๓), pp. ๖๑๖๕. ดู เขมชาติ เทพไทย, หลักฐานใหม่เกี่ยวกับการเดินเรือสมัยศรีวิชัยที่แหลมโพธิ์ ใน ประวัติศาสตร์และโบราณคดีนครศรีธรรมราช ชุดที่ ๒ (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ๒๕๒๕), หน้า ๒๕๔๒๖๖. ๖๖ ดู ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, รายงานการสำรวจช่างฝีมือในจังหวัดนครศรีธรรมราช (กรุงเทพมหานคร : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, ๒๕๒๔), หน้า ๑๔-๑๘. ดู พลโทดำเนิน เลขะกุล, "นครศรีธรรมราชสมัยสุโขทัย (พ.ศ. ๑๗๐๐-๒๐๐๐," ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ๒๕๒๑), หน้า ๑๔๑-๑๖๑. ดู ตรี อมาตยกุล, "นครศรีธรรมราชสมัยกรุงศรีอยุธยา" ใน รายการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ๒๕๒๑), หน้า ๑๘๗-๒๐๒. ดู น้อม อุปรมัย, "นครศรีธรรมราชสมัยกรุงศรีอยุธยา," ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ๒๕๒๑), หน้า ๑๗๔-๑๘๖. ดู เฉลิม อยู่เวียงชัย, "นครศรีธรรมราชสมัยกรุงธนบุรี. "ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ๒๕๒๑), หน้า ๒๑๘-๒๖๘. ดู สงบ ส่งเมือง และทวีศักดิ์ ล้อมลิ้ม, "ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงธนบุรีกับหัวเมืองนครศรีธรรมราช," ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูศรีธรรมราช, ๒๕๒๖), หน้า ๒๖๙-๒๘๙. ดู ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม, "นครศรีธรรมราชสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น" ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ๒๕๒๑), หน้า ๒๙๐-๒๙๕). ดู ประสิทธิ์ รุ่งเรืองรัตนกุล, "สภาพเศรษฐกิจของนครศรีธรรมราชสมัยสุโขทัยถึงรัตนโกสินทร์," ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครฯ ครั้งที่ ๒ : ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของนครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ๒๕๒๖), หน้า ๒๕๖-๒๗๔. ที่มา : ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดนครศรีธรรมราช. กรุงเทพฯ : กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๒๗. หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 09:13:04 ครบแล้วนะครับ 77 จังหวัดของประเทศไทย หวังว่าพี่น้องคงจะได้รับความรู้นะครับ
:emotia :emotia :emotia :emotx :emotx :emotx :emotk :emotk :emotk ปล.สุดท้ายเคยจัดทำเอกสารข้อมูลอยู่พอดีรื้อเจอเลย เอามาลงให้อ่านกันเล่นๆ แต่ต้องขออภัยเนื่องจากไม่สามารถอัฟโหลดรูปจำนวนมากลงได้ ข้อมูลทั้งหมด อยู่ที่ 7GB เลยเอามาให้อ่านกันแต่ Text นะครับ หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 25 พฤศจิกายน 2553 12:48:34 UP ซะหน่อย เด๋วพี่น้องไม่เห็น หุหุหุ
หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: Baby smalltoy ที่ 25 พฤศจิกายน 2553 16:06:33 คอบคุณคับ
หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัดของไทย เริ่มหัวข้อโดย: addy_ae92 ที่ 26 พฤศจิกายน 2553 11:15:48 ยอดมากครับ ความรู้รอบตัวดีๆ :emotn
|