AE. Racing Club

AE Racing Club - กรุงเทพฯ ปริมณฑล => โซนศรีนครินทร์ => ข้อความที่เริ่มโดย: DRAFF_MAN ที่ 21 ตุลาคม 2552 10:34:21



หัวข้อ: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: DRAFF_MAN ที่ 21 ตุลาคม 2552 10:34:21
ใครที่มีความรู้เรื่องต่าง ๆ เรื่องแปลก เอามาลงให้เพื่อน ๆ อ่าน กันครับ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: 4a71 ที่ 21 ตุลาคม 2552 10:35:49
จะเอาจิงเปล่าครับเรื่องแปลก :emoth :emoth


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: DRAFF_MAN ที่ 21 ตุลาคม 2552 10:40:15
เรื่องนี้ไม่มีใครอธิบายได้ครับ ตาเต่ามีภาพของกาแล็กซี่อยู่ข้างใน ที่โลกร้อนคงเป็นเพราะเราล่าเต่ารึเปล่า


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: soda ที่ 21 ตุลาคม 2552 10:43:03
ทำมาโชว์ :emo1 :emo1 เจอเรื่องแปลกหน้ามารวยดิหน้ากลัวโคตร :emo5 :emo5 เต่ามันคอนเท๊กเลนส์ :emotd


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: poohpooh ที่ 21 ตุลาคม 2552 10:43:53
1. ยุงบินด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมง...
2. ผีเสื้อบินด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมง...
3. เส้นผมคนรับน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม...
4. เสียงกรนที่ดังที่สุด ดังถึง 87.5 เดซิเบลล์
5. พอล แมคคาร์ที เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลง Happy Birthday ถ้าจะนำมาออกรายการต้องซื้อลิขสิทธิก่อน...
6. เหรียญทองโอลิมปิกต้องมีแร่เงินผสมอยู่ 92.5 เปอร์เซนต์...
7. หอเอนเมืองปิซา เอนไปทางใต้...
8. กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 อาบน้ำทั้งหมด 3 ครั้งในชีวิต...
9. ฮิตเลอร์แสกผมข้างซ้าย...
10. ผู้หญิงที่เกาะฮาวายที่ทัดดอกไม้ที่หูข้างซ้ายแสดงว่ ามีเจ้าของแล้ว...
11. เราไม่สามารถฆ่าตัวตายด้วยการกลั้นหายใจได้...
12. ผู้หญิง 3.9 เปอร์เซนต์ไม่ชอบใส่กางเกงใน...
13. ฮิปโปผายลมทางปาก...
14. ประเทศซาอุดิอาระเบียไม่มีแม่น้ำ...
15. กังหันทั้งโลก หมุนทวนเข็มนาฬิกา ยกเว้นที่ไอร์แลนด์...
16. เด็กนักเรียนอายุ15ปีขึ้นไปในบังคลาเทศ จะถูกจับเข้าคุกถ้า โกงข้อสอบ ...
17. ปลาที่อาศัยในน้ำลึกเกิน 800 เมตร จะไม่มีตา...
18. ผมคนเราจะร่วงประมาณ 200 เส้นต่อวัน...
19. ตัว โอ เป็นสระที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ...
20. คนพูดประมาณ 120 คำต่อนาที
21. ฝ่ามือและฝ่าเท้าของคนเราไม่สามารถไหม้ได้...
22. เม่นชอบช่วยตัวเอง...
23. ถ้าปลาไหลไฟฟ้าอยู่ในน้ำเค็ม จะถูกช็อตตาย...
24. ขั้นบันไดในไทยจะเป็นเลขคี่...
25. เจ้าฟ้าชายชาลส์ชอบสะสมฝาโถส้วม...
26. คนมีโอกาสตายจากผึ้งต่อยมากกว่างูกัด...
27. ประเทศวาติกันมีประชากรประมาณ 1,000 คน
28. เมื่อคุณจาม หัวใจคุณจะหยุดเต้นเสี้ยววินาที
29. มันเปนไปมะได้อ่ะคับ ถ้าคุณจะจามโดยไม่หลับตา
30. เดิมโคคาโคล่าเป็นสีเขียว
31. ชื่อที่โหลที่สุดในโลกคือ Mohammed
32. กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคือลิ้น
33. แต่ละโพหลังไพ่ แสดงถึงกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่จากประวัติศาสตร์ = โพดำกษัตริย์เดวิด / ดอกจิก อเล็กซานเดอร์มหาราช / โพหัวใจ ชาร์ลเลอ มาญ / ข้าวหลามตัด จูเลียส ซีซาร์
34. อนุสาวรีย์ของใครสักคนที่อยู่บนหลังม้าและม้ายกสองขา ขึ้นบนอากาศแปลว่าคนนั้นตายในสงคราม
35. ถ้าม้ายกขาข้าเดียวแปลว่า เขาบาดเจ็บในสงครามและตายจากการบาดเจ็บนั้น
36. ถ้าทั้งสี่ขาของม้าอยู่บนพื้น แสดงว่าตายโดยธรรมชาติ
37. ใน 4000 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสัตว์ชนิดใหม่ๆที่ถูกทำให้เชื่อง
38. เชคสเปียร์ เป็นคนคิดค้นคำว่า Assassination (การลอบฆ่า) และ bump (ชน กระทบ)
39. หัวใจมนุษย์สร้างความดันเพียงพอที่จะปั๊มเลือดออกจาก ร่างกายไป 30 ฟุต
40. หนูสามารถสืบพันธ์ได้เร็วมาก ใน 18 เดือน หนูสองตัวจะสามารถมีทายาทมากกว่าล้านตัว
41. การใส่หูฟังแค่ชั่วโมงเดียว ทำให้แบคทีเรียในหูเพิ่มขึ้น 700 เท่าตัว
42. ลิปสติกส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของเกล็ดปลา
43. เหมือนกับลายนิ้วมือ....ลายลิ้นทุกคนต่างกัน
44. นิตยสาร time ได้ยกย่องให้คอมพิวเตอร์เป็นบุคคลแห่งปีในปีค.ศ.1982
45. สถิติจูบนานที่สุดในโลกเป็นของ หลุยซา แอลเมโดวาร์ วัย 19 ปี กับแฟนหนุ่ม ริชแลงเลย์ วัย 22 ปี พวกเขาทำสถิติไว้ที่ 30.59.27 ชม.
46. ตอนที่ F4 ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อินโดนีเซียทำให้เด็กนักเรียนเกือ บ 100 คนต้องเรียนซ้ำชั้น เพราะไม่ได้ไปลงทะเบียนเรียนเทอม 2
47. บริษัทผู้ผลิตยาสีฟันดาร์ลี่เป็นเจ้าของเดียวกันกับท ี่ผลิตยาสีฟันคอลเกต
48. โดนัลด์ ดักส์ ถูกแบนในประเทศฟินแลนด์เพราะมันไม่ได้สวมกางเกงใน
49. ภาพยนต์เรื่อง Nothing hill จ่ายค่า ตัวจูเลีย โรเบิร์ต 15 ล้านเหรียญ ( 660 ล้านบาท ) ในขณะที่พระเอกอย่างฮิว แกรนจ์ รับค่าตัวเพียง 1 ล้านเหรียญ ( 45 ล้านบาท)
50. หนังแอนนิเมชันเรื่อง SouthPark ได้รับการบันทึกลงในหนังสือกินเนสส์บุ๊ก ว่าเป็นหนังแอนนิเมชั่นเรื่องยาวที่หยาบคายที่สุดในโ ลก สถิติบันทึกไว้ว่ามีการใช้คำหยาบ 399 คำ พฤติกรรมรุนแรง 221 ครั้ง และแสดงท่าทางหยาบคาย 128 ครั้ง
51. ขนมทอดกรอบตรา ปูไทย ระบุว่าไม่มีส่วนผสมของเนื้อปู
52. ในน้ำทะเล 100 ตัน จะมีทองคำอยู่ประมาณ 4 กรัม
53. จำนวนแถวของข้าวโพดในแต่ละฝักจะเป็นเลขคู่
54. จิงโจ้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียว ที่เดินถอยหลังไม่ได้
57. ยุงชอบเลือดเด็กมากกว่าเลือดผู้ใหญ่
58. แมงมุมทอด รสชาติเหมือนถั่ว
59. ฟันของแมลงสาบอยู่ในท้อง
60. เม่นทุกตัวลอยน้ำได้
61. หมู มีโอกาสเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
62. นอกจากมนุษย์แล้ว หมีขั้วโลกและจิงโจ้ต่างก็จูบเป็น ส่วนลิงชิมแปนซีนั้นจูบแบบ เฟรนช์คิส ได้ด้วย
63. คนถนัดขวามีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนถนัดซ้ายถึง 9 ปี
64. Hippopotomonstrsesquippedaliophobia คือ ชื่ออาการของคนที่หวาดกลัวคำอ่านยาวๆ
65. ผู้ที่เกิดเดือนมกราคม – มีนาคม มีแนวโน้มเป็นโรคจิตและโรคคลั่งมากกว่าเดือนอื่นๆ
66. แก้วไม่ได้เป็นของเเข็ง เเต่เป็นของเหลว
67. สมองคนเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักของร่างกายแต่ใช้เลือดไปเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมด
68. เลือดของกุ้งมังกรเป็นสีน้ำเงิน
69. อูฐสามารถหมุนหัว 180 องศา
70. รู้หรือเปล่าว่าเว็บ googleไม่ได้มีประโยชน์แค่หาข้อมูลแต่เป็นเครื่องคิด เลขได้ (ลองใส่ 5+2 หรือเลขอะไร
ก้อได้ในช่องแล้วกด Search ดูจิ)


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 10:47:58
http://creatures.igetweb.com/

รวม ๆ น่ะครับอ่านดูมันส์มากมาย


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: RINSA ที่ 21 ตุลาคม 2552 10:54:33
แปลก แต่ จิง แฮะ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 10:57:21
http://webstory.netfirms.com/story/pyramid2/pyramid.html

อันนี้ติดใจจากเมื่อคืน  ไอ้หัวกลม....


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: poohpooh ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:04:23
น้าอิส  คร๊าบ   จะอ่านไหวไหมเนี่ย สรุปให้ฟังหน่อย เดี๋ยวให้มะนาว  2  ลูก  นะนะ 


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:09:17
กระทู้นี้ต้องอ่านเองครับ แล้วเอามาถกกันถึงจะสนุกครับ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: <"เป็นคนเลวซํกพักนะ"> ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:10:54
หาคำตอบยังไม่ได้อ่ะครับ
ทำไมน้องชาย ต้องตื่นพร้อมเราทุกเช้า
ปล.เฉพาะผู้ชายนะ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:11:19
ในโลกนี้ยั้งมีเรื่องที่คนรุ่นไฮเทคอย่างเราๆ ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่หลายเรื่อง
บางอย่างเกิดขึ้นมาเกือบ 1000 ปีที่แล้ว ทั้งๆที่สมัยนั้นไม่มีความทันสมัยเพียงพอ
ที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างแปลกๆหรือ สิ่งปริศนา แบบนี้ออกมาได้ นักวิทยาศาสตร์
รุ่นแล้วรุ่นเล่า ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ไซักที เพื่อนๆลองมาดูว่ามีอะไรบ้าง


อันดับ 10 : กะโหลกแก้ว (CRYSTAL SKULLS : SOUTHERN MEXICO)
ปริศนาจากชาวมายัน กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตะลึง! ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบ ข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างคนอดีตสู่คนยุคปัจจุบัน



อันดับ 9 : ภาพลายเส้นนาซคา (NAZCA LINES : NAZCA, PERU)
ลายเส้นพิศวง กับปริศนาจากภาพเหล่านี้ คือข้อกังขาของที่มาของเรื่องทั้งหมด รูปภาพสัตว์ขนาดใหญ่ สุนัข แมงมุม ปลาวาฬ ดอกไม้ ลิง เป็ด และนกกางปีก บนชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นคำถามที่คนพื้นเมืองในอดีต สร้างขึ้นเพื่อผูกปมเรื่องให้ใคร่คิด บ้างเชื่อเรื่องทางเดินสู่แหล่งน้ำของชนเผ่าต่างๆ บ้างก็เชื่อมนุษย์ต่างดาว ใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบิน หรือมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ สมมติฐานทั้งหมดก็ช่วยให้เราสนใจภาพวาดเหล่านั้นยิ่งขึ้น



อันดับ 8 : สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (BERMUDA TRIANGLE : ATLANTIC OCEAN)
ความ ลึกลับ อาถรรพณ์ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นยังคงกล่าวขานถึง สู่หายนะกับสถานที่แห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มฤตยูกลางมหาสมุทรแอตแลนติก เหตุการณ์ที่ไม่สามารถหา คำอธิบายได้ ความจริงที่เครื่องบิน เรือ ที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมมรณะถูกดูดกลืนสูญหายไปอย่าง ไร้ร่องรอยโดย ไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่สภาพอากาศ และทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีข้อสรุป คำตอบ หรือข้ออ้างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ปริศนาที่ยังค้างคาใจ ผู้คนจนถึงปัจจุบัน



อันดับ 7 : บพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ (ARK OF THE COVENANT : ETHIOPIA)
คำตอบกับการเปิดทางสู่โลกพระเจ้า การค้นคว้าทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ ปริศนาศิลาจารึกที่อยู่ข้างในบทพระบัญญัติ คือ เครื่องมือติดต่อถึงองค์พระเจ้าโดยตรง คำสอนศาสนา บทองคำ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่องค์พระศาสดาตระหนักรู้ อาจรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเปิดเผย แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้



อันดับ 6 : โอเรกอน วอร์เท็กซ์ (OREGON VORTEX : GOLD HILL, OREGON)
พบ กับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้ แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกัน และหมุนรอบๆจนคุณทนไม่ไหว การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียง ลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้สู่ โลกแห่งความจริง ที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้



อันดับ 5 : นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน (THE BOSTON STRANGLER : BOSTON, MA)
คดี แห่งปริศนา ฆาตกรรมอำพราง เมื่อหลายปีก่อนถูกคลี่คลาย แต่เร็วๆนี้ถูกนำมาสอบสวนใหม่ ชนวนที่
ฆาตกรที่จับได้จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือ? คดีที่โด่งดังไปทั่วอ่าวแบ็คเบย์ในบอสตัน นักฆ่าใจโหด ข่มขืนและฆ่ารัดคอผู้หญิง 11 คนตายในบ้านตัวเอง คดีนี้ปิดฉากไปโดยตัวผู้รับสารภาพ อัลเบิร์ต เดอซาลโว แต่ต่อมาคดีฆาตกรรมปริศนาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เมื่อครอบครัวของหญิง 1 ในผู้ตายพบหลักฐานที่ส่อพิรุธ การรื้อคดีเป็นได้แค่การบังหน้าของตำรวจ ไม่มีความรับผิดชอบใดใดเพิ่มมากขึ้น เดอซาลโว จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือเปล่า หรือว่านักฆ่าจอมโหดผู้นี้ยังคงลอยนวลต่อไป จนบัดนี้มันยังคงเป็นปริศนา



อันดับ 4 : สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส (THE LOCH NESS MONSTER : INVERNESS, SCOTLAND)
บน โลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาด แห่งทะเลสาบล็อกเนส ในสก็อตแลนด์ เรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับสัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ประมาณ 15 – 40 ฟุต มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้ แล้วบางอย่างก็เป็นจริง มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้องนี้ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคนต่างเชื่อว่า เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง



อันดับ 3 : คร็อพเซอร์เคิล (CROP CIRCLES : AVEBURY, ENGLAND)
วงกลม ประหลาด รูปร่างแปลกๆหลายรูป ที่ยังคงต้องการคำตอบ เหตุแห่งการเกิด ชาวเมืองเอฟเบอรี่คุ้นเคยกับมันดี วงขนาดใหญ่ ยาวกว่า 200 เมตร กว้างร่วม 40 เมตร เกิดกระจัดกระจายไปทั่วทุ่งนา นำความเสียหายปนความสงสัยให้กับเจ้าของที่นาบริเวณ นั้นเป็นอย่างมาก มีทฤษฎีหลายทฤษฎีถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตอบคำถาม ของคร็อพเซอร์เคิล มันอาจเป็นข้อความ หรือภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างมนุษย์ต่างดาว หรืออาจเป็นแค่วงกลมที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ แค่นั้นเองก็ได้ คงไม่มีวันรู้



อันดับ 2 : ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์ (EASTER ISLAND GIANTS : EASTER ISLAND, CHILE)
เดิน ทางมาสัมผัสเกาะปริศนาที่โดดเดี่ยว เวิ้งว้างกลางมหาสมุทร รูปสลักหินลึกลับขนาดมหึมากว่า 800 รูป เรียงรายเต็มฝั่งทั่วเกาะ ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ รูปสลักนี้มาจากไหน? สร้างขึ้นได้อย่างไร? อาจเป็นชาวโพลีนีเชียนชนพื้นเมืองที่มาตั้งรกรากเมื่อ ค.ศ.400 เป็นผู้สร้างขึ้น แต่ทำไมถึงสร้าง และอยู่บริเวณนี้ได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนาดำมืด ด้วยวิวัฒนาการ ความรู้ของคนในสมัยอดีต เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกหินที่หนักกว่า 75 ตันมาไว้ตามชายฝั่งได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงกระนั้นรูปปั้นเหล่านี้ก็ยังคงถูกทิ้งไว้เพื่อค้นหาคำตอบต่อไป



อันดับ 1 : แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ (JACK THE RIPPER : LONDON, ENGLAND)
มัน คงเป็นปริศนาต่อไป และน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ ปริศนาอันดับ 1 ที่ยังคงค้างคาใจเรา ฆาตกรต่อเนื่อง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อาชญากรระดับโลกที่ยังจับตัวไม่ได้ การสังหารอย่างโหดมของเหยื่อหลายรายติดๆกันถูกกล่าวขานถึง ย่านอีสต์เอนด์ของลอนดอนสร้างชื่อกระฉ่อนถึงความน่าสะพรึงกลัว ไม่เพียงแต่ไร้วี่แววของฆาตกร การพิสูจน์ หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร จึงไม่มีเหตุผล หรือหลักฐานหนักแน่นในการมัดฆาตกร จากคดีฆาตกรรมที่โด่งดังทำให้มีผู้ต้องสงสัยเกิดขึ้นมากมาย หลักฐานสำคัญต่างๆ ถูกผุดขึ้นมาภายหลัง จะเป็นไปได้มั้ยที่จะสืบสาวหาฆาตกรตัวจริงได้ แม้ฆาตกรคนนั้นคงไม่มีชีวิตอยู่ให้จับแล้ว แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริงผู้นั้นคือใคร?
 
แหล่งที่มา: http://blog.eduzones.com/kmitl/10645?page2=4&page=&page3=


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:14:43
เรื่องของเพชร แจ๋วดีหว่ะ ชอบ ๆ ๆ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: poohpooh ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:15:37
หาคำตอบยังไม่ได้อ่ะครับ
ทำไมน้องชาย ต้องตื่นพร้อมเราทุกเช้า
ปล.เฉพาะผู้ชายนะ

ผู้ชายทุกคนจะมีการแข็งตัวตามวงจรการนอน (Sleep Cycle) ทุก 1 ชั่วโมงครึ่ง ในคืนหนึ่งจะแข็งตัวประมาณ 4-5 รอบ ยิ่งตอนช่วงเช้าตี 5 ถึงตอนสายๆ จะมีฮอร์โมนเพศหลั่งจากสมองยิ่งส่งเสริมให้มีการแข็งตัวได้มาก ไม่เกี่ยวกับอารมณ์ทางเพศ ไม่เกี่ยวกับความฝัน ไม่สัมพันธ์กับระดับความต้องการทางเพศ ใครไม่เกิดอาการแบบนี้ถือว่าผิดปกติ

ที่มา http://noochie.multiply.com/journal/item/7

          การบริหารความแข็งของอวัยวะเพศเป็นประจำเป็น เรื่องที่มีความจำเป็น เพราะในยามปกติแล้วอวัยวะเพศจะแข็งตัวตอนเช้าเพื่อยืดขยายเส้นเลือดและเนื้อเยื่อ ถ้าไม่มีการขยายตัวเป็นประจำจะมีโอกาสที่เกิดพังผืดภายในอวัยวะเพศจนทำให้ ขนาดของอวัยวะเพศหดลงได้ในอนาคต ถ้าตอนเช้าไม่มีการแข็งตัว ตอนเย็นยามอาบน้ำควรจะนวดให้แข็งตัวขึ้นมาอย่างน้อย 5 นาทีเป็นประจำ

นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์

http://sex.sanook.com/sex/technique/tech_43337.php


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:20:06
NAZCA LINES

เอาคำนี้ไปหาใน Google ดูซิ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: toyota#10X ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:22:58
 :emotk :emotk :emoto ว่างๆเดี๋ยวมาอ่านต่อนะครับโครตมึนเลย...แต่ก็มีความรู้ดีครับ :emo2 :emo2 :emo2


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: <"เป็นคนเลวซํกพักนะ"> ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:23:52
หาคำตอบยังไม่ได้อ่ะครับ
ทำไมน้องชาย ต้องตื่นพร้อมเราทุกเช้า
ปล.เฉพาะผู้ชายนะ

ผู้ชายทุกคนจะมีการแข็งตัวตามวงจรการนอน (Sleep Cycle) ทุก 1 ชั่วโมงครึ่ง ในคืนหนึ่งจะแข็งตัวประมาณ 4-5 รอบ ยิ่งตอนช่วงเช้าตี 5 ถึงตอนสายๆ จะมีฮอร์โมนเพศหลั่งจากสมองยิ่งส่งเสริมให้มีการแข็งตัวได้มาก ไม่เกี่ยวกับอารมณ์ทางเพศ ไม่เกี่ยวกับความฝัน ไม่สัมพันธ์กับระดับความต้องการทางเพศ ใครไม่เกิดอาการแบบนี้ถือว่าผิดปกติ

ที่มา http://noochie.multiply.com/journal/item/7

          การบริหารความแข็งของอวัยวะเพศเป็นประจำเป็น เรื่องที่มีความจำเป็น เพราะในยามปกติแล้วอวัยวะเพศจะแข็งตัวตอนเช้าเพื่อยืดขยายเส้นเลือดและเนื้อเยื่อ ถ้าไม่มีการขยายตัวเป็นประจำจะมีโอกาสที่เกิดพังผืดภายในอวัยวะเพศจนทำให้ ขนาดของอวัยวะเพศหดลงได้ในอนาคต ถ้าตอนเช้าไม่มีการแข็งตัว ตอนเย็นยามอาบน้ำควรจะนวดให้แข็งตัวขึ้นมาอย่างน้อย 5 นาทีเป็นประจำ

นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์

http://sex.sanook.com/sex/technique/tech_43337.php

เก่งมากเค้กหาได้ใวมาก เอาไปA+ พี่ว่าตอนเรียนเค้กคงได้เกรดดีนะวิชานี้ :emotd


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: poohpooh ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:25:24
หุหุ  เรื่องแบบนี้มีในสมอง  55555555555555+  แบบว่าเป็นความสามารถพิเศษ  อ่ะน้าต่าย 


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:28:29
area51

เอาคำนี้ไปหาใน Google ดูอีกคำน่ะ




หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: DRAFF_MAN ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:30:16
NAZCA LINES

เอาคำนี้ไปหาใน Google ดูซิ

อันนี้เพิ่งเคยเห็นอะ สุดยอดดดดดด


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:31:49
เอานี่ไป http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.mysteriousclub.com/pic/115.jpg&imgrefurl=http://www.mysteriousclub.com/discuz/viewthread.php%3Ftid%3D22&usg=__c3-NwuFnYZURkisGjncRJ3EwjZE=&h=400&w=600&sz=38&hl=th&start=4&um=1&tbnid=Y-5vlqEd_ytTTM:&tbnh=90&tbnw=135&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2594%26hl%3Dth%26sa%3DG%26um%3D1
อ่านแล้วมันเร้นลับหนักกว่าเดิมอีกอ่า  อ่านแล้วอยากลองทำมั้ง


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:33:41
ได้ครับเพชร ขอเวลา 1 ชั่วโมงน่ะ ยาวมากมาย


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: RINSA ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:34:02
สงสัย น้องชาย ของน้าต่ายไม่เหมือนชาว บ้าน เขาแน่ ๆ  :emot


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:37:41
อยากลองไปเอานิ้วชี้ที่ยอดปิรามิดอ่ะ 

 :emo3 :emo3

 :emo2 :emo2 :emo2


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 11:58:18
เอ่อ....อันนี้สืบเนื่องจากเมื่อคืน  

http://statics.atcloud.com/files/entries/3/30354/images/1_display.jpg


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Fong-(le)vin 92 ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:01:16
เรื่องมหัศจรรย์ คือ กระทู้นี้ มีสาระที่สุดในบอร์ด โซนศรี


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:02:15
ภาพนี้มิได้เป็นการดูหมิ่น   แต่ดูแล้วอึ้งคับ

http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_06_2008/post-22738-1214734473_thumb.jpg



หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:02:27
ถูกต้องนะค้าบบ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: <"เป็นคนเลวซํกพักนะ"> ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:13:31
ภาพนี้มิได้เป็นการดูหมิ่น   แต่ดูแล้วอึ้งคับ

http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_06_2008/post-22738-1214734473_thumb.jpg
เออจริงด้วยลองแล้ว ผนังสีขาวยิ่งชัดเลย


:emotn :emotn


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:17:21
ภาพนี้มิได้เป็นการดูหมิ่น   แต่ดูแล้วอึ้งคับ

http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_06_2008/post-22738-1214734473_thumb.jpg



เมื่อคืนดูที่บ้านแล้วอึ้งล่ะซิครับ เพชร

 :emotn


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:21:36
นอนแป่ป เด่วมาอ่านต่อครับ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: tuu_club ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:27:38
 :emotk :emotl :emotl


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: yuirider ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:30:12
ผมชอบเรื่องนี้ เรื่องที่ไม่ค่อยมีคนกล่าวถึง...และเค้าโครงก็น่าจะมีความเป็นจริง...

atlantis เมืองแห่งความรุ่งโรจน์...และจบภายในค่ำคืนเดียว...จากพระเจ้า...อีกนัยหนึ่งคือจากธรรมชาติ
ไทยน่าจะเรียกว่า"ธรณีสูบ"เนื่องจากความโสมมของมนุษย์ในสถานที่แห่งนี้ อีกไม่นานเราทั้งโลกก็น่าจะเป็นตามๆไปเช่นกัน...
(http://whoyoucallingaskeptic.files.wordpress.com/2009/02/atlantis2.jpg)
(http://www.crystalinks.com/atlantistcapitol.jpg)
(http://www.occultopedia.com/images_/atlantis_end_2.jpg)
(http://www.atlantisbolivia.org/pampaaullagas_files/city450.jpg)
(http://www.crystalinks.com/atlantis1003.jpg)


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: DRAFF_MAN ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:30:44
อึ้งไปเลย แต่มะคืนเป็นภาพ ซีเปียอะ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:33:00
ภาพนี้มิได้เป็นการดูหมิ่น   แต่ดูแล้วอึ้งคับ

http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_06_2008/post-22738-1214734473_thumb.jpg



เมื่อคืนดูที่บ้านแล้วอึ้งล่ะซิครับ เพชร

 :emotn


จะเหลือไรอ่ะคับน้า  เล่นเอาขนลุกทั้งวงเรย 
 :emo2 :emo2


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: RINSA ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:33:21
กินข้าวก่อน เดี๋ยวมาอ่านต่อ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:33:51
อีกภาพตอนแรกไม่รู้ว่ารูปอะไร

พอลองเรยเจอดีอีกแว้วค้าบบ
 :emoq :emoq


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:34:13
ผมชอบเรื่องนี้ เรื่องที่ไม่ค่อยมีคนกล่าวถึง...และเค้าโครงก็น่าจะมีความเป็นจริง...

atlantis เมืองแห่งความรุ่งโรจน์...และจบภายในค่ำคืนเดียว...จากพระเจ้า...อีกนัยหนึ่งคือจากธรรมชาติ
ไทยน่าจะเรียกว่า"ธรณีสูบ"เนื่องจากความโสมมของมนุษย์ในสถานที่แห่งนี้ อีกไม่นานเราทั้งโลกก็น่าจะเป็นตามๆไปเช่นกัน...
(http://whoyoucallingaskeptic.files.wordpress.com/2009/02/atlantis2.jpg)
(http://www.crystalinks.com/atlantistcapitol.jpg)
(http://www.occultopedia.com/images_/atlantis_end_2.jpg)
(http://www.atlantisbolivia.org/pampaaullagas_files/city450.jpg)
(http://www.crystalinks.com/atlantis1003.jpg)


เด๋วขอเวลาศึกษาก่อง


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Moshimalo ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:38:54
 :emo2 แต่ละเรื่องสุดยอด


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: DRAFF_MAN ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:49:55
ทำไมน้ำทะเลถึงเค็ม คือ น้ำเค็มในทะเลและมหาสมุทร ซึ่งปกคลุมพื้นผิวของโลกอยู่ถึงสามในสี่ส่วน ในบรรดาแหล่งน้ำธรรมชาติทั้งปวง น้ำทะเลมีอยู่เป็นปริมาณมากที่สุด น้ำทะเลมีรสเค็ม เพราะมีเกลือและแร่ธาตุหลายชนิดละลายปนอยู่ เกลือที่มีมากที่สุดคือ เกลือแกง หรือโซเดียมคลอไรด์ ซึ่งมีรสเค็ม การทำนาเกลือใช้วิธีสูบน้ำ
ทะเลเข้ามาขังไว้ในนา แล้วใช้ความร้อนจากดวงอาทิตย์เผาน้ำให้ระเหยแห้งไปจนหมด ในที่สุดก็จะได้เกลือ น้ำทะเลมีสีฟ้า (สีฟ้าทะเล) เหมือนกับสีท้องฟ้า ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากการกระจายแสงของโมเลกุลของน้ำทะเล

เกลือที่ละลายอยู่ในทะเลและมหาสมุทรมาจากไหน
ใน ตอนเริ่มแรกเชื่อว่าเกลือที่ละลายอยู่ในทะเลและมหาสมุทรนั้นมาพร้อมกับน้ำ ที่ไหลลงมาจากทวีป กล่าวคือ น้ำฝนจะชะล้างเกลือที่มีอยู่ในดินและหินก่อนที่จะไหลลงทะเลและมหาสมุทร การยืนยันแนวความคิดนี้ทำโดยการวัดปริมาณเกลือที่แม่น้ำและลำธารก่อนลงสู่ ทะเล หรือดูจากปริมาณเกลือที่หายไปจากหินบนเปลือกโลก เพราะกระบวนการกัดกร่อนผุพัง ผลการศึกษาพบว่า เกลือหลายชนิดมีปริมาณสอดคล้องกับสิ่งที่มีอยู่ในเปลือกบนทวีป เช่น เกลือของโซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียม




หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: poohpooh ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:56:36
ทำไมลิงถึงก้นแดง


ถ้าเราสังเกตุเห็นว่าลิงจะมีก้นเป็นสีแดง นั่นก็เพราะว่า ที่ก้นของลิงนั้นมีเส้นเลือดฝอยมาก อีกทั้งในส่วนของก้นลิงไม่มีขน เลยทำให้เราเห็นก้นล้งเป็นสีแดง

ประกอบกับก้นของลิงมีเมนลานีน น้อยด้วยจึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเห็นเช่นนั้น

เมนลานีน คือ ส่วนหนึ่งของผิวหนังถ้าคนเรามีเมนลานีนน้อยผิวหนังก็จะเป็นสีขาว ส่วนคนที่มีเมนลานีนมากผิวก็จะเป็นสีดำ

ส่วนลิงที่มีก้นเป็นสีอื่นๆนั้นก็เป็นเพราะเมนลานีนนั่นเอง เช่น ล้งชิมแปนซีมีก้นเป็นสีดำนั่นเอง


ที่มา www.eduzones.com


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: <"เป็นคนเลวซํกพักนะ"> ที่ 21 ตุลาคม 2552 12:56:54
                                                                    เอาเรื่องในบ้านเรานี่ล่ะ"บั้งไฟพญานาค"
บั้งไฟพญานาค ลูกไฟประหลาดที่พวยพุ่งขึ้นกลางลำน้ำโขงบั้งไฟพญานาค หรือ บั้งไฟผี เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้ โดยมีลักษณะเป็นลูกไฟสีชมพู ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง พุ่งขึ้นเหนือลำน้ำโขง มีตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที โดยจะเกิดปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ในช่วงวันออกพรรษา หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินลาว ซึ่งอาจตรงกับวันแรม 1 ค่ำ หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของไทย โดยแต่ละปีจะปรากฏขึ้นประมาณ 3-7 วัน

มากกว่า 90% ของจำนวนลูกบั้งไฟพญานาคในแต่ละปี จะพบที่จังหวัดหนองคาย หน้าวัดไทย และบ้านน้ำเป อำเภอโพนพิสัย วัดอาฮง อำเภอบึงกาฬ วัดหินหมากเป้ง และอ่างปลาบึก อำเภอสังคม

ผู้ศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคหลายกลุ่ม พยายามอธิบายที่มาของปรากฏการณ์นี้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เช่น คาดว่าอาจจะเป็นก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน หรือ ฟอสฟอรัส ที่เกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ใต้น้ำ

นอกจากประเทศไทยแล้ว ที่อื่น ๆ ในโลกก็มีรายงานการพบปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน เช่นที่ มลรัฐมิสซูรี และ มลรัฐเท็กซัส ของสหรัฐอเมริกา โดยเรียกกันว่า แสงมาร์ฟา (Marfa lights) นอกจากนี้ยังพบที่เมืองเจดด้าห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ริมฝั่งทะเลแ
 
ตำนานและความเชื่อ
เรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนา ได้กล่าวไว้ว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เลิกนิสัยดุร้าย และคิดจะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ เนื่องจากเป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา ( 3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ “บั้งไฟพญานาค” และจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน และได้กลายมาเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้

การปรากฏตัวของพญานาค
 
ร่องรอยของพญานาคที่ฝากไว้บนกระโปรงรถพญานาค นอกจากปรากฏในรูปของบั้งไฟพญานาคแล้ว ยังมีหลักฐาน ร่องรอยและเรื่องเล่าต่างๆ อย่างเช่น บุญจันทร์ คำมุงคุณ ผู้ใหญ่บ้านและประธานโฮมสเตย์บ้านน้ำเป กิ่งอำเภอรัตนภูมิ จังหวัดหนองคาย เล่าให้ฟังว่า ขณะที่กำลังลงเรือหาปลาอยู่ในบริเวณปากห้วยน้ำเปตอนประมาณสองทุ่ม ก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายงูอยู่ในน้ำ คือตรงส่วนหัวนั้นไม่เหมือนงูทั่วๆ ไป คือมีลักษณะคล้ายหงอน และดวงตามีขนาดเท่าไข่ไก่เห็นเป็นสีแดง งูนั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร

แอร์ ชาวอุดรธานี และเป็นคนที่มีสัมผัสที่หก ไปดูบั้งไฟพญานาคที่ริมแม่น้ำโขง จนประมาณ 3 ทุ่ม ที่บั้งไฟพญานาคลูกแรกขึ้น แอร์ก็รู้สึกวูบไปเลย มารู้สึกตัวอีกทีในอีก 2 ชั่วโมงถัดมา ในลักษณะที่เท้าเหยียบอยู่ในแม่น้ำโขง มีคนหิ้วปีกอยู่ทั้งสองข้าง และรู้สึกว่าหน้าร้อนมาก ตอนที่แอร์วูบไป แม่ของแอร์เล่าว่า แอร์ก็มีท่าทีแปลกๆ เริ่มพูดไม่เหมือนตามปกติ ใช้ภาษาแบบคนโบราณ เช่น ข้ากับเจ้า และนั่งชันขาเหมือนคนโบราณแล้วบอกว่า เราเป็นพญานาคชื่อสีดา ดูแลน้ำโขงช่วงนี้อยู่ ที่มานี่เพื่อมาเตือน เพราะเห็นว่าในกลุ่มนี้มีคนที่ไม่เชื่อและพูดลบหลู่อยู่ พร้อมทั้งยังบอกว่าตนอยู่ที่นี่มาเป็นพันๆ ปีแล้ว และบั้งไฟนี้ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ จน 2 ชั่วโมงผ่านไป ถึงเวลาเกือบ 5 ทุ่ม พญานาคที่ชื่อสีดาก็บอกว่าจะกลับแล้ว ให้ช่วยไปส่งที่ริมแม่น้ำหน่อย จากนั้นแอร์ก็รู้สึกตัวขึ้น

จุมพล สายแวว นายช่างไฟฟ้าสื่อสาร 5 ได้ไปทำข่าวมา ก็ได้เห็นเป็นรอยเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน เป็นรอยขนาดใหญ่ขึ้นทั่วหลังคารถเลย หรือบางรอยก็เห็นขึ้นริมโขง และได้เกิดเหตุการณ์ ที่เขาได้เห็นกับตาและได้ถ่ายภาพวีดีโอไว้ เขาได้เห็นภาพของสิ่งมีชีวิตลักษณะลำตัวยาวๆ ที่คาดว่ามีหลายตัว เล่นน้ำอยู่กลางลำน้ำโขง ใกล้ๆ กับพระธาตุกลางน้ำ ซึ่งเหตุการณ์เป็นข่าวครึกโครม มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก และเชื่อกันว่า เป็นเหตุการณ์ที่พญานาคขึ้นมานมัสการพระธาตุ

 ลักษณะ
การเกิดบั้งไฟพญานาค ลูกไฟจะเอนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่หากขึ้นริมฝั่ง ลูกไฟจะเอนออกไปกลางโขง ลักษณะเป็นดวงไฟขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ ไปจนถึงขนาดเท่าไข่ห่านหรือผลส้ม มีสีแดงอมชมพูออกสีบานเย็น หรือสีแดงทับทิม ไม่มีควัน ไม่มีเขม่า ไม่มีเปลว ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น

โดยบั้งไฟพญานาคจะเริ่มปรากฏจากเหนือผิวน้ำ ตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร พุ่งสูงขึ้นไปประมาณระดับ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที แล้วจะดับหายวับไปในอากาศ ทั้งๆ ที่ดวงไฟยังโตอยู่ มิได้หรี่เล็กลงแล้วค่อยๆ ดับ และไม่มีลักษณะโค้งตกลงมาเหมือนดอกไม้ไฟ ซึ่งปรากฏการณ์การเกิดบั้งไฟพญานาคนี้ได้มีนักวิทยาศาสตร์ศึกษาวิจัยหลายต่อหลายท่าน แต่ก็ยังไม่พบข้อสรุปที่ชัดเจน

 ทฤษฎีและข้อสมมติฐาน
ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ณ วันนี้ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ก็มีทฤษฎีและข้อสมมติฐานอยู่หลายทฤษฏี เช่น

นพ.มนัส กนกศิลป์ แห่งโรงพยาบาลหนองคาย อธิบายว่า บั้งไฟพญานาค เกิดจากก๊าซร้อน คือ ก๊าซที่มีส่วนผสมของก๊าซมีเทนและก๊าซไนโตรเจน เป็นส่วนผสมสำคัญ ซึ่งก๊าซร้อนชนิดนี้ ก็คือก๊าซชีวภาพที่ระเบิดจากหล่มอินทรียวัตถุใต้ท้องน้ำหรือในดินที่เปียก โดยมีแบคทีเรียกลุ่มมีเทนฟอร์มเมอร์ซึ่งดำรงชีวิตได้ในสภาพไร้ออกซิเจนเท่านั้น ณ ความลึกของแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำข้างเคียง เป็นตัวช่วยผลิตก๊าซ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะได้ก๊าชมีเทนในปริมาณมากพอที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าชในผิวทรายอย่างน้อย 1.45 เท่า ของความดันบรรยากาศ เมื่อไปเจอความกดดันของน้ำ ความกดดันของอากาศในตอนพลบค่ำ หล่มทรายก็จะไม่สามารถรับแรงดันได้ ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ และมีการฟุ้งกระจายไปบางส่วน โดยเหลือแกนในของก๊าซซึ่งลอยตัวขึ้นสูง เมื่อไปกระทบกับอนุภาพออกซิเจนอะตอมที่มีประจุ ที่มีพลังงานสูง ก็จะเกิดการสันดาปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นดวงไฟหลายสี แต่ 95% จะเป็นดวงไฟสีแดงอำพัน พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วก็หายไป และทุกตำแหน่งที่เกิดบั้งไฟพญานาคจะอยู่ในระดับ 5-13 เมตรทั้งสิ้น

นอกจากนี้ยังพบอีกว่าความเป็นกรดและด่างของน้ำในแม่น้ำโขงก็จะสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่จะเกิดการหมักก๊าซมีเทน ซึ่งคุณหมอได้เคยไปวางทุ่นดักก๊าซในแม่น้ำโขง และค้นพบว่าก๊าซที่ดักได้ในแม่น้ำโขงสามารถนำไปจุดติดไฟ จะเกิดการพุ่งวูบขึ้นมีสีออกเป็นแดงอมชมพู ส่วนคำถามที่ว่าทำไมบั้งไฟพญานาคถึงเกิดขึ้นในคืนวันออกพรรษา คุณหมอมนัสบอกว่าในคืนวันนั้นจะมีอ็อกซิเจน ก๊าซที่ช่วยให้ติดไฟสูงสุดในรอบปี ซึ่งก็เกิดจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงพลังงานรังสีของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลก

ส่วนอีกสมมติฐานนึงคือ เกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง โดยสมชาติ วิทยารุ่งเรือง ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต ได้หาวิธีการทำบั้งไฟพญานาคในแบบฉบับของเขามาได้ 8 วิธี โดยนพ.มนัส กนกศิลป์ ได้ออกมาถึงเหตุผลที่ว่า บั้งไฟพญานาคไม่น่าที่จะเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ได้ตั้งข้อสมมติฐานแย้งเช่น

คนที่กระทำต้องแข็งแรงมากเพราะกระแสน้ำมันแรงมาก ในขณะที่คนธรรมดากอดเสาอยู่ในน้ำยังทรงตัวไม่อยู่
นพ.มนัส กนกศิลป์ ได้เริ่มศึกษาเมื่อปี 2522 ก็มีบั้งไฟพญานาคขึ้นมาแล้ว 120 ปี ซึ่งจริง ๆ แล้ว ต้องเกิดขึ้นนานกว่านี้อีก เนื่องจากคนที่ทำคนนี้ต้องมีอายุมากกว่า 104 ปีแล้วต้องทำด้วยตัวเองจึงตัวเองจึงจะคุมความลับได้
การเกิดของบั้งไฟ เกิดขึ้น 52 ตำแหน่งประมาณ 1,500 – 2,500 ลูก คนที่ทำต้องมีเงินจ้างคนไปประดาน้ำทำเรื่องนี้
ทานกระแสน้ำที่ลึกมากและกลัวที่จะโดนเอ็ม 16 ของหน่วย นปข.ซึ่งเขาก็บอกอีกว่ามันขึ้นเฉียดเรือเขาเลย
เป็นต้น

จุดชมบั้งไฟพญานาค
การชมบั้งไฟพญานาคนั้นนอกจากจะรู้วันแล้ว ยังต้องรู้เวลา รู้สถานที่ ที่มีแนวโน้มการเกิดบั้งไฟพญานาคอีกด้วย ตำแหน่งที่บั้งไฟพญานาคมักจะปรากฏให้เห็นว่า ทั่วทั้ง จ.หนองคาย มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 20 จุด โดยในจ.หนองคายเกิดขึ้นหลายจุด แต่จุดที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มีผู้พบเห็นบ่อยครั้งเริ่มจากที่ อ.สังคม บริเวณ "อ่างปลาบึก" บ้านผาตั้ง บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสังคม ต่อมาที่บริเวณ "วัดหินหมากเป้ง" อ.ศรีเชียงใหม่

ถัดจากนั้นก็จะพบในเขตอำเภอเมืองบ้านหินโงม ต.หินโงม อ.เมือง หน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ต.บ้านเดื่อ อ.เมือง พอเข้าสู่เขต อ.โพนพิสัยก็จะพบแทบจะตลอดลำน้ำโขง ตั้งแต่ปากห้วยหลวง ต.ห้วยหลวง อ.โพนพิสัย ในเขตเทศบาล ต.จุมพล หน้าวัดไทย วัดจุมพล วัดจอมนาง หนองสรวง เวินพระสุก ท่าทรายรวมโชค ต.กุดบง บ้านหนองกุ้ง ซึ่งที่ อ.โพนพิสัยจะพบมากที่สุด แล้วมาพบอีก ที่กิ่งอ.รัตนวาปี บริเวณ ปากห้วยเป บ้านน้ำเป วัดเปงจาเหนือ บ้านหนองแก้ว ในเขตอ.ปากคาด บ้านปากคาดมวลชล ห้วยคาด อ.ปากคาด และที่ อ.บึงกาฬ บริเวณวัดอาฮง ตำบลหอคำ อ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นจุดที่ชาวหนองคายเชื่อกันว่าเป็นสะดือแม่น้ำโขง เป็นเมืองหลวงของเมืองบาดาล ก็ปรากฏบั้งไฟพญานาคให้เห็นเช่นกัน

ทางด้านจังหวัดอุบลราชธานี มีชาวบ้านพบเห็นมา 2-3 ปี แล้วและทางอ.โขงเจียมก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่ามีจริง โดยการเข้าชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค อ.โขงเจียมปีนี้ กำหนดจุดชมไว้ 3 แห่ง คือ บ้านกุ่ม บ้านท่าล้ง และบ้านตามุย

สำหรับระยะเวลาในการขึ้นของบั้งไฟพญานาคนั้นจะขึ้น ระหว่างตะวันตกดินถึงประมาณ 23.00 น.ก็จะหมดไป

 บั้งไฟพญานาคในวัฒนธรรมสมัยนิยม
มีการนำเรื่องข้องสงสัยที่ของบั้งไฟพญานาค มาทำเป็นภาพยนตร์เรื่อง 15 ค่ำ เดือน 11 โดย จิระ มะลิกุล ออกฉายเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ภาสกร อินทุมาร จากเว็บไซต์ประชาไท ตั้งข้อสังเกต ประเด็นเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ว่า "ถึงแม้วิธีคิดของภาพยนตร์จะตอบสนองต่อความรู้สึกร่วมสมัย แต่ชนชั้นดูหนังยอมรับได้หรือไม่ว่า พญานาคและศรัทธา เป็น “ ความจริง ”
ที่มา/จากวิกิพีเดีย


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: RINSA ที่ 21 ตุลาคม 2552 13:06:47
โห ตามอ่าน 3 วันจะจบไหมเนี่ย

สาระทั้งนั้นคับ พี่น้อง


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 21 ตุลาคม 2552 14:00:31
มาแล้ว...แจ๋วจิง..ตามที่คุยกานไว้เมื่อคืนเลยอ่ะ...ชอบๆๆๆ   :emo2 :emo2


บีลีฟ อิศ  ออร์ น๊อท 

กร๊ากกกกกกก


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 21 ตุลาคม 2552 14:11:33
หิมะตกที่เมืองไทย ! เป็นเรื่องมหัศจรรย์ หรือ สัญญาณเตือนภัยกันแน่ ??

รู้กันรึเปล่าหิมะตกที่ดอยช้างกันนะจ๊ะ ปรากฎการณ์ลูกเห็บตกที่ดอยช้างแบบไม่น่าเชื่อกันเลยละค่ะ จังหวัดเชียงรายเองค่ะ เมื่อวันสงกรานต์ 13 เมษายน 2551 นานกว่า 30 นาทีสามารถมองไกลๆได้ชัดเลยละค่ะ ทำให้ดอยช้างขาวโพลนเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งที่ดูไกล ๆกันเลยค่ะ เหมือนหิมะ ส่งผลให้พืชไร่ อาทิ ฟักแม้ว กาแฟ ได้รับความเสียหายมากพอสมควรค่ะ เพราะกว่าลูกเห็บจะละลายใช้เวลา 2 วัน นานมากเลยนะค่ะซึ่งไปตรงกับคำทำนายโหรปีเป็นปีอาเพศและจะมีหิมะตกเมืองไทยด้วยค่ะ หิมะตกเมืองไทยฤาอาเพศจะเป็นจริงไหมค่ะหากใครเคยอ่านทำนายของโหรปี 2551 ว่าจะเกิด หิมะตก ในเมืองไทย ไม่มีใครเชื่อกันเลยค่ะ แต่พอได้ยินว่าหิมะตกที่ดอยช้างกัน ก็ประหลาดใจค่ะว่าคำทำนายเป้นจริงหรือ ? ปรากฏการณ์ลูกเห็บขนาดเล็กตกประมาณกว่า 30 นาทีนานเหมือนกันนะค่ะว่าไหม เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2551 ที่ผ่านมา เป็นวันสงกรานต์ที่ถือว่าอากาศร้อนที่สุดเลยค่ะ ครอบคลุมพื้นที่ค่อนข้างกว้างค่ะ ทำให้คอยช้างขาวโพลนคล้าย ๆ หิมะ ดอยช้างอยู่ในจังหวัดเชียงรายสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1.200-11.800เมตรค่ะ ชาวบ้านเล่าว่ากว่าลูกเห็บละลายใช้เวลา 2 วัน ทำให้พืชไร่ที่ปลูกไว้ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะชาโยเต้ หรือที่ชาวล่างเรียกว่ายอดฟักแม้วตายหมดแต่ละปีผลผลิตจากชาโยเต้ให้ชาวดอยช้างมีรายได้ปีละ 70-80 ล้านบาท รวมทั้งกาแฟคอยช้างที่ที่ชื่อดังไปทั่วโลกตายไปพอสมควร ส่งผลให้ผลผลิตกาแฟอาจจะลดลง นั้นคือปรากฎการหิมะตกที่เมืองไทย พี่น้องชาวดอยช้างดอยช้างบอกกว่าไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน เป็นเรืองที่น่าแปลกใจและยอมรับว่าเป็นสัญยาณเตือนภัยที่ดีว่าภาวะโลกร้อนมาเยือนแล้ว และจะหาทางตั้งรับอย่างไร แต่ถ้าย้อนไปดูทำนายโหร โสรัจจะ นวลอยู่ ได้ทำนายไว้ในหนังสือ ศาสตร์แห่งโหร ปี 2551 ของสำนักพิมพ์ติชน ตอนหนึ่งระบุว่า ส่วนสยามประเทศ ปีชวด2551 นี้ จะเกิดปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่น่าแปลกมหัศจรรย์ จะเกิดหิมะตก ในเมืองไทยไปทั้วทุกภาคเหนือและอีสานบางส่วน ประชาชน ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติและทั้วโลกตื่นตกใจแทบช๊อกเพราะไม่คอยปรากฎการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย แต่จริง ๆ แล้ว ในทางโหราศาสตร์ไทยถือว่าเป็นอาเพศ เป็นหย่อน ทั้งธรรมชาติ บุคคลการเมืองการปกครอง วัฒนธรรม ประเพณี ความป็นอยู่แบบไทย ๆ เราก็จะเปลี่ยนแปลงไป


       ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่มีอุณหภูมิค่อนข้างอบอ่น ไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวเกินไป ไม่ค่อยมีภัยธรรมชาติที่หนัก แต่เพราะธรรมชาติกำลังถูกทำลาย จนแทบจะบอกว่า ไม่มีพื้นที่ไหนที่จะไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรือการทำลายของมนุษย์เลย ไม่ว่าจะทางน้ำก็ยังปล่อยน้ำเสียลงไปทำลาย อากาศก็ปล่อยควันพิษต่าง ๆ ทำลายชั้นบรรยากาศ มีการขุดดินชั้นในมาใช้ ต้นไม้ ป่าไม้ก็ถูกทำลาย โค่นล้มเอามาทำบ้าน เฟอร์นิเจอร์ และวิธีทำลายธรรมชาติอื่น ๆ อีกมากมายที่ล้วนแล้วเป็นกิจกรรมของมนุษย์ที่ทำขึ้นเพื่อทำลายธรรมชาติทั้งนั้น  จึงเป็นสาเหตุทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลง มีปรากฎการณ์ธรรมชาต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายสร้างความเสียหาย ความสูญเสียไปอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดังที่ผ่านมาคือ สึนามิ ฝนตกนิดหน่อยก็น้ำท่วมหนัก ดินถล่ม สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง

      กรณีจะมีหิมะตกที่เมืองไทยนี้ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่หมายถึงความผิดธรรมชาติ และความน่ากลัวที่กำลังจะเยือน แต่กลับเห็นเป็นเรื่องตื่นเต้น เรื่องมหัศจรรย์ เรื่องแปลกที่ทุกคนอยากมีโอกาสจะไปดู ไปเห็น ตื่นเต้นกันใหญ่ และอยากให้มีตกทั่วทุกพื้นที่ในไทย ไม่มีใครกลัว ไม่มีใครคิดว่าเพราะอะไรถึงเกิดปรากฎการณ์นี้ ไม่มีใครคิดหาวิธีป้องกันไม่ให้มันเกิด  

      ไม่ว่าจะเกิดมหัศจรรย์อะไรขึ้นกับบ้านเราล้วนแล้วเป็นสัญญาณเตือนถึงภัยธรรมชาติที่มันกำลังจะเกิด และผิดแปลกไปจากเดิม มันถึงเวลาแล้วหรือยังมนุษย์ที่จะช่วยกันคืนึความเป็นธรรมชาติให้อุดมสมบูรณ์ดังเดิม เพื่อให้ลูกหลานได้ดำรงชีวิตสืบต่อไปตราบนานเท่านาน....

เมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมา ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์นาซา และผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาวะโลกร้อนเปิดเผยถึงความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศของประเทศ ที่ส่งสัญญาณมาทางพายุหมุนทอร์นาโดขนาดเล็ก ณ บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ และพัทยา ว่า ปกติแล้วพายุทอร์นาโดมีให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาในต่างประเทศ แต่ประเทศไทยไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสาเหตุมาจากอุณหภูมิสูงขึ้น และขณะนี้ทั่วโลกอุณหภูมิสูงขึ้นเกือบ 1 องศาแล้ว แม้ภาพรวมจะไม่เห็นชัดเจนนัก แต่ที่ผ่านมาก็ส่งผลให้ประชากรในยุโรปเสียชีวิตแล้ว 20,000 คน จากความร้อนที่สูงขึ้นมีผลกระทบโดยตรง ประเทศที่อยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตร มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเยอะ ที่ผ่านมามีหิมะตกครั้งแรกในเวียดนาม เคนยา และมีความเป็นไปได้ที่ในเดือนมกราคม 2552 นี้จะมีหิมะตกในภาคเหนือของประเทศไทย  

          ดร.อาจอง กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ภาวะโลกร้อนยังส่งผลให้ภาวะน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ละลายเร็วกว่าที่คิด ขณะนี้มีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่เท่ากับเมืองนิวยอร์กไหลสู่ทะเล หมายความว่าน้ำในทะเลจะค่อยๆ กินชายฝั่งทะเลบ้านเราไปเรื่อย ตอนนี้เราสูญเสียแผ่นดิน 1 กิโลเมตร ที่ชายทะเลบางขุนเทียน และทั่วโลกเจอปัญหาเดียวกัน โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐอเมริกาออกมาพูดแล้วว่าต่อไปเมืองไมอามี่ ซึ่งเป็นเมืองติดทะเลจะไม่เหลือ
ทั้งนี้กรุงเทพฯ สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่ถึง 1 เมตร เมื่อระดับน้ำทะเลขึ้นมาเกินกว่า 1 เมตร กรุงเทพฯ พร้อมกับจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี และลพบุรี ครึ่งจังหวัดจะจมอยู่ใต้น้ำ และนั่นหมายความว่าพื้นที่ผลิตข้าวในภาคกลางจะหมด ราคาข้าวในตลาดโลกจะสูงเป็นประวัติการณ์ เพราะแหล่งปลูกข้าวในภาคกลางเลี้ยงคนเกือบทั้งโลก ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของแผนที่นาซาว่า ภายใน 30 ปี น้ำทะเลจะสูงขึ้น 6 เมตร  

          ดร.อาจอง กล่าวอีกว่า เพื่อรับมือกับปัญหานี้จำเป็นต้องย้ายเมืองหลวงตั้งแต่เดี๋ยวนี้เพราะต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี ในการย้ายเมือง และภายใน 6 ปีจะเริ่มเห็นระดับน้ำทะเลสูงขึ้นในระดับท่วมขังแล้ว จะสูบออกได้ยาก นอกจากสร้างเขื่อนกั้นน้ำเหมือนกับประเทศเนเธอร์แลนด์ จะป้องกันได้ แต่ล่าสุดตนไปประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อเดือนที่แล้ว เขาบอกว่าจะรับไม่ไหวแล้วเพราะระดับน้ำทะเลสูงขึ้น การสูบน้ำออกจากเขื่อนทำได้ลำบาก สถาปนิกของประเทศเริ่มออกแบบบ้านอยู่บนแพกันแล้ว อย่างไรก็ตาม การย้ายเมืองใหม่อันดับแรกต้องย้ายรัฐสภาไปก่อน เพราะเป็นศูนย์กลางของเมืองใหม่ เมื่อย้ายไปหน่วยราชการต่าง ๆ จะตามไป จุดเหมาะสมที่จะย้ายเมืองหลวงคือ อีสานตอนใต้ ขณะที่ภาคใต้จะเจอพายุรุนแรงมากขึ้น จะเกิดสตอม เซอจมาถึงกรุงเทพฯ อย่างที่ ดร.สมิทธ บอกไว้ ส่วนภาคตะวันตกจะมีพายุไซโคลนเข้ามา โชคดีที่ผ่านมาพายุนาร์กีสเข้าไปที่พม่ายังมาไม่ถึง ประเทศไทย  

          อดีตนักวิทยาศาสตร์นาซา กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยเตือนแล้วว่าเขื่อนใหญ่ 2 เขื่อน ในจังหวัดกาญจนบุรี อยู่ใต้รอยร้าวของเปลือกโลก แต่วิศวกรแย้งว่าได้ออกแบบการก่อสร้างเขื่อนให้ทนต่อแผ่นดินไหวได้ 8 ริคเตอร์ แม้ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง อย่างไรก็ตาม ถ้าเอาเขื่อนมาเขย่าในความแรง 8 ริคเตอร์ เขื่อนก็สามารถทนได้ แต่ถ้ารอยร้าวเคลื่อนที่สลับกันจะทำให้เขื่อนแตก และน้ำจะไหลลงมาท่วมจังหวัดกาญจนบุรี ที่อยู่ใต้เขื่อน และจะทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รัฐบาลต้องให้นักธรณีวิทยาไปศึกษาดู เบื้องต้นต้องรีบปล่อยน้ำออกจากเขื่อนให้เหลือน้อยลง แม้ว่าเขื่อนแห่งนี้จะเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าสำคัญของพื้นที่ภาคกลางก็ตามที จำเป็นต้องเสียสละไฟฟ้าเพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ และต่อไปการสร้างบ้าน สร้างอาคารในแนวที่มีรอยร้าวแผ่นดินไหวไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ กรุงเทพฯ อีสานตอนเหนือ ต้องออกฎหมายรับรอง การทนทานต่อแผ่นดินไหวอย่างน้อย 6 ริคเตอร์  

          ส่วน นายศุภฤกษ์ ตันศรีรัตนวงศ์ อธิบดี กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวถึงกรณีที่มีผู้กล่าวว่าในช่วงเดือนมกราคม 2552 จะมีหิมะตกในประเทศไทย ว่า การที่จะมีหิมะตกหรือไม่ขึ้นอยู่กับมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนที่แผ่เข้าปกคลุมในประเทศไทยช่วงนั้นว่ามีความหนาวเย็นมากแค่ไหน โดยต้องดูเรื่องระดับความสูงของพื้นที่ในไทยด้วย ซึ่งโดยรวมคิดว่าน่าจะเกิดแม่คะนิ้งตามภูเขาและดอยในเชียงใหม่ และเชียงรายมากกว่า ไม่ใช่หิมะ  

          ขณะที่ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ ม.รังสิต กล่าวว่า เรื่องที่จะเกิดหิมะตกในเมืองไทยถือเป็นเรื่องที่ไกลตัวและมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก เนื่องจากลักษณะภูมิศาสตร์ของประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตอากาศร้อนชื้นและไม่ได้อยู่ติดกับประเทศจีนเหมือนพื้นที่ภาคเหนือของเวียดนาม ที่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้การเกิดหิมะตกอุณหภูมิต้องติดลบ แต่ลักษณะภูมิอากาศของไทยยังไม่ถึงขั้นติดลบ โอกาสที่จะเกิดหิมะตกจึงเป็นไปได้ยาก คงมีแต่โอกาสที่จะเกิดลูกเห็บตกและเกิดแม่คะนิ้งบน ดอยสูงมากกว่า  

          "สำหรับในเรื่องอีก 30 ปี จะเกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯ เรื่องนี้มีโอกาสเป็นไปได้สูง หากดูจากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2538 ซึ่งหากมีปริมาณฝนตกหนักเหมือนปี 2538 ประกอบกับแผ่นดินที่ทรุดตัวลงทุกๆ ปี รวมกับน้ำเหนือที่ไหลลงมา และเกิดน้ำทะเลหนุนขึ้น หากปัจจัยต่างๆ เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ก็อาจจะใช้เวลาไม่ถึง 30 ปี โดยพื้นที่ที่จะเกิดน้ำท่วมก่อนคือจังหวัดสมุทรปราการ แต่การท่วมจะเป็นไปในลักษณะเหมือนน้ำขึ้น-น้ำลงตามระดับ จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องหาทางรับมือตั้งแต่ตอนนี้เพื่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายน้อยที่สุด" รศ.ดร.เสรี กล่าว


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 21 ตุลาคม 2552 14:52:27
น่ากัวแฮะ น้ำท่วมนี่


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: yuirider ที่ 21 ตุลาคม 2552 15:03:55
เมืองไทยเกิดอาเพศแน่นอนล่ะครับ...ตั้งแต่ที่มีบุคคลคนหนึ่งโดนลอบสังหาร

กระสุนปืนทะลุกระจกเข้าที่หัว....แต่..............ไม่ตาย

ไอนี่ล่ะอาเพศ...


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 15:10:00
โอย....ไปหาคำว่า วันสิ้นโลก ใน Google อ่านซะไ ม่ทำการทำงานเลยครับ

มีอะไรแปลก ๆ เยอะดี

เรื่องที่คุยกับบังนะก็มี สุดยอด....


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 15:20:15
http://th.wikipedia.org/wiki/นาซีเยอรมนี

เข้าไปอ่านตามหัวข้อย่อย ๆ ได้ครับสนุกดี มีความรู้


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 21 ตุลาคม 2552 15:40:48
มันส์มาก....

ความรู้ท่วมหัว


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: yuirider ที่ 21 ตุลาคม 2552 15:43:18
โอย....ไปหาคำว่า วันสิ้นโลก ใน Google อ่านซะไ ม่ทำการทำงานเลยครับ

มีอะไรแปลก ๆ เยอะดี

เรื่องที่คุยกับบังนะก็มี สุดยอด....
มีหนังเร่องใหม่จะเข้าอะครับ 2012 อะไรนี่ล่ะ...สมจริงมั่กมั่ก...


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Tatum + Apple ที่ 21 ตุลาคม 2552 15:51:30
น้ำหนักวิญญาณ

เชื่อหรือไม่ ว่าวิญญาณของพวกเราก็มีน้ำหนักด้วยเหมือนกันนักวิทยาศาสตร์ทดลองชั่งน้ำหนักของวิญญาณโดยชั่งน้ำหนักของคนในขณะที่มีชีวิตอยู่เปรียบเทียบกับน้ำหนักหลังจากเสียชีวิตทันทีพบว่าน้ำหนักหายไป 21 กรัม จึงสรุปว่าดวงวิญญาณของพวกเรามีน้ำหนัก 21 กรัมด้วย

สารฆ่าความเจ็บปวด

เคยสังเกตไหมว่าทำไมบางครั้งนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขันยังสามารถลงแข่งขันได้จนจบหรือทหารที่ได้รับบาดเจ็บในสนามรบยังคงทนต่อสู้ข้าศึกอยู่ได้พวกเขาไม่เจ็บกันหรือนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าเมื่อมนุษย์เผชิญสถานการณ์ที่ตึงเครียดสมองจะปล่อยสารออกมายับยั้งความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ทำให้มนุษย์ต่อสู้กับความเจ็บปวดได้

ไม่มีน้ำตา

รู้หรือปล่าวว่าตอนที่เราอายุ 4-5 เดือน เราร้องไห้ไม่มีน้ำตากันหรอก แม้จะร้องเสียงดังแค่ไหนก็ตามที่เป็นเช่นนี้เพราะต่อมน้ำตาของคนเราจะพัฒนาขึ้นหลังจากเกิดมาแล้ว 4 -5 เดือนตอนนี้พวกเราคงจะร้องไห้มีน้ำตากันทุกคนแล้วนะ

หิวเพราะกลิ่น

พอกลิ่นหอมของอาหารลอยมาพวกเราคงเคยรู้สึกหิวตามกลิ่นนั้นไปด้วยใช่ไหมล่ะก็กลิ่นอาหารเข้าไปกระตุ้นระบบการย่อยอาหารของเราน่ะสิคะทำให้น้ำย่อยในปากและท้องทำงานเราจึงรู้สึกหิวทั้งๆที่บางครั้งเราไม่ต้องการกินอีกแล้ว

กระเพาะแข็งแกร่ง

ในกระเพาะอาหารของเรามีน้ำย่อยที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูงมาก จนสามารถละลายสังกะสีได้แต่กรดเหล่านี้ไม่สามารถละลายผนังกระเพาะของเราได้เนื่องจากทุกนาทีเซลล์ผนังกระเพาะเก่า 5000 เซลล์จะถูกเซลล์ใหม่แทนที่และเปลี่ยนเป็นเซลล์ใหม่ทั้งหมดทุกๆ 3 วัน

ท้องร้องจ๊อกๆ

เราเคยได้ยินเสียงท้องร้องเมื่อรู้สึกหิวบ้างไหมสาเหตุที่ท้องร้องก็เพราะสมองซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมความรู้สึกหิวของเราจะคอยจัดลำดับการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ ถ้าในเลือดมีสารอาหารพอเพียงสมองก็จะสั่งให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลงแต่เมื่อใดที่มีสารอาหารในเลือดน้อยระบบย่อยอาหารจะทำงานเร็วขึ้นเราจึงได้ยินเสียงท้องร้อง




อาวไปอ่านเล่นๆ แค่นี้ก่อนนะ.. :emotq


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 15:58:56
สายตาจะสั้นลงกว่าเดิมแน่นอนถ้ายังเป็นตาแก่ขี้สงสัย

555+++


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Tatum + Apple ที่ 21 ตุลาคม 2552 16:05:34
สายตาจะสั้นลงกว่าเดิมแน่นอนถ้ายังเป็นตาแก่ขี้สงสัย

555+++

ทำไมน้าอิศ ไปว่าน้าแมวแกอย่างนั้นหล่ะ  กร๊ากกกกกกกๆๆๆๆ :emoq


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 16:09:07
ยิ่งกว่าอ่านหนังสือสอบอีกครับ น้าตั๊ม


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: DRAFF_MAN ที่ 21 ตุลาคม 2552 16:20:18
มันส์มาก....

ความรู้ท่วมหัว

เอาตัวไม่รอดอะป่าววว อิอิ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Tatum + Apple ที่ 21 ตุลาคม 2552 16:23:28
อาวไปอ่านอีกนะ..  :emotk

ตกใจจนหน้าซีด

เมื่อเราตกใจหน้าจะซีดเนื่องจากเลือดบริเวณแก้มจะไหลย้อนกลับอย่างรวดเร็วเพื่อทำหน้าที่ฉุกเฉินคือให้สารอาหารและออกซิเจนแก่กล้ามเนื้อส่วนอื่นเนื่องจากร่างกายไม่ได้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องเผชิญความตกใจเมื่อเลือดจากแก้มไหลออกไป หน้าเราจึงซีด

เขินอาย

เมื่อเรารู้สึกเชินอายหน้าเราก็จะแดง โดยเฉพาะบริเวณแก้มและลำคอเพราะขณะที่เราเขินอาย เซลล์ประสาทจะถูกกระตุ้นให้ปล่อยสารเคมีที่พลังงานสูงชื่อว่าเปปไตด์ (peptide) ออกมา ทำให้เส้นเลือดที่แก้มและลำคอขยายตัวหน้าของเราจึงแดงมากกว่าปกติ

มาจากดวงดาว

ร่างกายของเราประกอบด้วยอะตอมจำนวนมาก อะตอมเหล่านี้มาจากไหนนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่าอะตอมเกิดมาจากดวงดาวที่ดับแล้วเมื่อ 5000 ล้านปีก่อนที่จะมีพระอาทิตย์เกิดขึ้นและดวงดวงนี้เคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ก่อนเมื่อโลกเกิดขึ้นเซลล์ของสิ่งมีชีวิตนี้ก็ได้พัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นคน

สารพัดสาร

เชื่อหรือไม่ว่าในร่างกายของเรามีสารอยู่มากมาย เช่นมีฟอสฟอรัสในปริมาณที่มากพอจะทำหัวไม้ขีดไฟ 2,000 ก้าน มีไขมันพอที่จะทำสบู่ได้ 7 ก้อน มีเหล็กมากพอที่จะทำตะปูได้ 1 ตัวมีปูนขาวที่สามารถละลายน้ำแล้วนำไปทาห้องเล็ก ๆ ได้ 1 ห้อง มีซัลเฟอร์ 1 ช้อนชาและโลหะอีกประมาณ 30 กรัม

นอนแล้วสูง

การนอนช่วยให้เราสูงขึ้นได้เพราะเมื่อเรายืนหรือนั่ง แผ่นกระดูกอ่อนที่กระดูกสันหลังจะถูกแรงดึงดูดของโลกกดลงการนอนช่วยให้แรงกดนี้หายไป แผ่นกระดูกอ่อนที่ถูกกดก็จะพองตัวทำให้เราสูงขึ้นได้อีก 8 มิลลิเมตรแต่เมื่อตื่นมาเราก็จะสูงเท่าเดิม

พลังกาย

ร่างกายของคนเราแข็งแกร่งมากกว่าที่เราคิดเสียอีกโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการยกน้ำหนัก เช่น ถ้าเรานอนหลับโดยห่มผ้าหนัก 2.5 กิโลกรัม หายใจโดยเฉลี่ย 16 ครั้งต่อนาที และนอนนานประมาณ 8 ชั่วโมงทรวงอกของเราสามารถยกน้ำหนักได้ถึง 20 ตัน

ฉันทำไม่ได้

สิ่งที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถทำได้ คือหายใจและกลืนอาหารไปพร้อม ๆ กันเพราะกระบวนการกลืนจะไปรบกวนกระบวนการหายใจด้วยการปิดกั้นอากาศไม่ให้ผ่านเข้าไปขณะที่อาหารเคลื่อนจากปากไปยังคอหอยและผ่านไปที่กระเพาะอาหาร

มนุษย์พลังงาน

เชื่อหรือไม่ว่าร่างกายของคนผลิตกระแสไฟฟ้าได้คนแต่ละคนจะมีพลังงานเทียบเท่ากับการเปิดหลอดไฟฟ้าขนาด 120 วัตต์เพราะคนที่กินอาหารเข้าไปปริมาณ 2,500 แคลอรีในแต่ละวันจะให้พลังงานความร้อน 104 แคลอรีต่อชั่วโมง ซึ่งเทียบเท่ากระแสไฟฟ้าที่มีพลังงาน 120 วัตต์

กระพริบตา

ตลอดชีวิตของคนเรานั้นเราต้องกระพริบตาถึง 250 ล้านครั้งทีเดียว เพราะเราจะต้องกระพริบตาทุก ๆ 6 วินาทีทำให้กล้ามเนื้อตาเคลื่อนไหวประมาณ 10,000 ครั้งต่อวันถ้าเปรียบกับการทำงานของกล้ามเนื้อขาแล้ว จะเท่ากับวิ่งระยะทาง 80 กิโลเมตรต่อวัน

สมองบริโภค

เชื่อหรือไม่ว่าตอนแรกเกิดสมองของเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักตัวเท่านั้น แต่เมื่ออายุได้ประมาณ 15 ปี สมองจะหนักถึง 1.4 กิโลกรัมและจะมีขนาดคงที่ สมองเติบโตได้เพราะใช้พลังงานจากอากาศที่เราหายใจเข้าไป 20% และใช้เลือดหล่อเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมดในร่างกาย

กระบวนการคิด

นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า อิริยาบถต่าง ๆมีผลต่อการคิดและการตัดสินใจของมนุษย์ การนอนคิดจะทำให้ความคิดกว้างไกลการยืนทำให้ความคิดแคบลงสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้นส่วนการนั่งเป็นอิริยาบถที่เหมาะกับการตัดสินใจที่ไม่รีบร้อนเท่าใดนัก

ผมงอก
โดยปกติ ใน 1 สัปดาห์ผมจะงอกออกมา 2 มิลลิเมตรใน 1 วัน จะมีช่วงที่ผมงอกได้ดี 2 ช่วง คือ ระหว่างเวลา 10.00 11.00 น.และ 16.00 18.00 น. แต่ไม่ต้องเอากระจกไปส่องดูการงอกของเส้นผมหรอกนะเพราะมันแทบจะมองไม่เห็นเลย

 :emoto





หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: DRAFF_MAN ที่ 21 ตุลาคม 2552 16:25:33
อ้างถึง
ผมงอก
โดย ปกติ ใน 1 สัปดาห์ผมจะงอกออกมา 2 มิลลิเมตรใน 1 วัน จะมีช่วงที่ผมงอกได้ดี 2 ช่วง คือ ระหว่างเวลา 10.00 11.00 น.และ 16.00 18.00 น. แต่ไม่ต้องเอากระจกไปส่องดูการงอกของเส้นผมหรอกนะเพราะมันแทบจะมองไม่เห็น เลย

แสดงว่าตาอิศไม่ปกติอะดิ ยังงี้แหละ ทำตอนกลางวันบ่อย ออิอิ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 21 ตุลาคม 2552 16:32:26
อ้างถึง
ผมงอก
โดย ปกติ ใน 1 สัปดาห์ผมจะงอกออกมา 2 มิลลิเมตรใน 1 วัน จะมีช่วงที่ผมงอกได้ดี 2 ช่วง คือ ระหว่างเวลา 10.00 11.00 น.และ 16.00 18.00 น. แต่ไม่ต้องเอากระจกไปส่องดูการงอกของเส้นผมหรอกนะเพราะมันแทบจะมองไม่เห็น เลย

แสดงว่าตาอิศไม่ปกติอะดิ ยังงี้แหละ ทำตอนกลางวันบ่อย ออิอิ

ผมงอก..มะช่ายผมหงอกนะ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 16:35:30
อ้างถึง
ผมงอก
โดย ปกติ ใน 1 สัปดาห์ผมจะงอกออกมา 2 มิลลิเมตรใน 1 วัน จะมีช่วงที่ผมงอกได้ดี 2 ช่วง คือ ระหว่างเวลา 10.00 11.00 น.และ 16.00 18.00 น. แต่ไม่ต้องเอากระจกไปส่องดูการงอกของเส้นผมหรอกนะเพราะมันแทบจะมองไม่เห็น เลย

แสดงว่าตาอิศไม่ปกติอะดิ ยังงี้แหละ ทำตอนกลางวันบ่อย ออิอิ

ผมงอก..มะช่ายผมหงอกนะ

ตามันลายอ่ะตาแมว  ไม่ค่อยได้ทำก็เงี้ยยย...555+++


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 21 ตุลาคม 2552 17:01:05
อ้างถึง
ผมงอก
โดย ปกติ ใน 1 สัปดาห์ผมจะงอกออกมา 2 มิลลิเมตรใน 1 วัน จะมีช่วงที่ผมงอกได้ดี 2 ช่วง คือ ระหว่างเวลา 10.00 11.00 น.และ 16.00 18.00 น. แต่ไม่ต้องเอากระจกไปส่องดูการงอกของเส้นผมหรอกนะเพราะมันแทบจะมองไม่เห็น เลย

แสดงว่าตาอิศไม่ปกติอะดิ ยังงี้แหละ ทำตอนกลางวันบ่อย ออิอิ

ผมงอก..มะช่ายผมหงอกนะ

ตามันลายอ่ะตาแมว  ไม่ค่อยได้ทำก็เงี้ยยย...555+++

ถึงว่า.เค้กบ่นๆอยู่


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Tatum + Apple ที่ 21 ตุลาคม 2552 17:14:22
อ้างถึง
ผมงอก
โดย ปกติ ใน 1 สัปดาห์ผมจะงอกออกมา 2 มิลลิเมตรใน 1 วัน จะมีช่วงที่ผมงอกได้ดี 2 ช่วง คือ ระหว่างเวลา 10.00 11.00 น.และ 16.00 18.00 น. แต่ไม่ต้องเอากระจกไปส่องดูการงอกของเส้นผมหรอกนะเพราะมันแทบจะมองไม่เห็น เลย

แสดงว่าตาอิศไม่ปกติอะดิ ยังงี้แหละ ทำตอนกลางวันบ่อย ออิอิ

ผมงอก..มะช่ายผมหงอกนะ

ตามันลายอ่ะตาแมว  ไม่ค่อยได้ทำก็เงี้ยยย...555+++

ถึงว่า.เค้กบ่นๆอยู่

ตาจักรไม่ค่อยทำการบ้านหรอ ...555+


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Tatum + Apple ที่ 21 ตุลาคม 2552 17:59:44
 :emotk อาวไปอีกละกานนะ.. :emoa

เส้นขนแข็งแรง

โดยเฉลี่ยแล้วคนเราจะมีเส้นขนประมาณ 5 ล้านเส้นทั่วร่างกาย ยกเว้นบริเวณริมฝีปากฝ่ามือและฝ่าเท้า เส้นขนที่แข็งแรงที่สุดคือหนวด เชื่อหรือไม่ว่าหนวดแข็งแรงพอ ๆกับลวดทองแดงที่มีขนาดเท่ากันเลยทีเดียว


ตาแหลมคม

ตาของเหยี่ยวสามารถมองเห็นแมลงวันที่อยู่ในระยะครึ่งไมล์ได้ส่วนเสือดาวก็สามารถมองเห็นคนกระพริบตาที่ระยะห่าง 100 หลาได้ตาของคนก็มีความพิเศษเช่นเดียวกัน เพราะสามารถแยกแยะความแตกต่างของสีได้มากถึง 17,000 สี

ตาที่สาม

เชื่อหรือไม่ว่ามนุษย์มีสามตาตาที่สามนี้ก็คือต่อมไพเนียลซึ่งอยู่ด้านหลังของกะโหลกศีรษะภายในต่อมมีสารเคมีที่มีชื่อว่าเซโรโตนินอยู่เป็นจำนวนมาก เชื่อกันว่าสารชนิดนี้ช่วยส่งผลให้มนุษย์มีการคิดอย่างสมเหตุสมผลนักวิทยาศาสตร์จึงเปรียบต่อมนี้ว่าเป็นตาที่สามของมนุษย์

ฮัดเช้ย!

เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาทำให้จมูกของเราเกิดการระคายเคืองเราจะจามออกมาโดยอัตโนมัติ ทุกครั้งที่เราจามจะมีน้ำลายฟุ้งกระจายออกมาถึง 100,000 หยด ด้วยอัตราเร็ว 152 ฟุตต่อวินาที

ริมฝีปาก

เคยสงสัยกันหรือไม่คะว่าทำไมริมฝีปากของเราจึงมีสีแดงมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกายที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะผิวหนังบริเวณริมฝีปากบางกว่าส่วนอื่น ๆ นั่นเองจึงทำให้สามารถมองเห็นสีของเลือดใต้ผิวหนังได้

ยิ้มแย้ม

ร่างกายของเราประกอบด้วยกล้ามเนื้อประมาณ 650 มัดหากเราหน้าบึ้งจะต้องใช้กล้ามเนื้อประมาณ 400 มัด ในขณะที่การยิ้มใช้กล้ามเนื้อ 15 มัด เท่านั้น และพลังงานที่ใช้ก็น้อยกว่าการขมวดคิ้ว 1 ครั้งเสียอีกเชื่อกันว่าการขมวดคิ้ว 200,000 ครั้ง ทำให้เกิดรอย กา 1 รอย

ฟันปลา

เชื่อกันว่าเมื่อประมาณ 1 ล้านปีที่แล้วฟันของมนุษย์มีลักษณะคล้ายกับฟันปลาเพราะมีการค้นพบฟันลักษณะเดียวกันกับของมนุษย์อยู่ในกรามของปลาฉลามยุคก่อนประวัติศาสตร์ดังนั้น ฟันของมนุษย์และปลาฉลามจึงมีโครงสร้างพื้นฐานเหมือนกันแต่ฟันของมนุษย์ได้พัฒนาจนมีรูปร่างเหมือนในปัจจุบัน

การทรงตัว

เชื่อหรือไม่ว่าหูมีผลต่อการทรงตัว อวัยวะที่ช่วยให้เราสามารถทรงตัวอยู่ได้คือเซมิเซอร์คิวลาร์ คาแนล (semicir-cular canel) ในหูซึ่งภายในมีของเหลวที่ไวต่อการกระตุ้นของเหลวนี้จะทำหน้าที่ในการรับรู้สมดุลหากเราหมุนไปรอบ ๆ ตัวเร็ว ๆ หลาย ๆ ครั้ง จะทำให้อวัยวะนี้เกิดความสับสนเราจึงรู้สึกเวียนศีรษะ

เสียงกรน

เสียงกรนเป็นเสียงที่สร้างความรำคาญแก่ผู้ได้ยินเพราะดังพอ ๆกับเสียงของสว่านไฟฟ้าซึ่งดังถึง 70 เดซิเบล

พลังปอด

เชื่อหรือไม่ว่าปกติเราจะหายใจเอาอากาศเข้าไปประมาณ 6 ลิตรต่อนาทีแต่ระหว่างออกกำลังกายและหลังออกกำลังกายใหม่ ๆ เราอาจหายใจเอาอากาศเข้าไปได้มากถึง 100 ลิตรต่อนาที

หัวใจที่รัก

ในช่วงชีวิตของมนุษย์นั้น หัวใจจะสูบฉีดโลหิตประมาณ 500 ล้านลิตรและเต้น 2,000 ล้านครั้ง ดังนั้น ใน 1 วัน หัวใจจะสูบฉีดโลหิตมากกว่า 13,500 ลิตร และเต้น 100,000 ครั้งแต่ละวันหัวใจจึงต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้พลังงานมากพอเชื่อหรือไม่ว่าพลังงานที่ได้นี้สามารถยกรถยนต์ได้สูงถึง 15 เมตรเลยทีเดียว


 :emob






หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Tatum + Apple ที่ 21 ตุลาคม 2552 18:18:33
 :emotk ยัง..ยังคับ ยังไม่หมด  :emob

เรื่องของผิวหนัง

เชื่อหรือไม่ว่าพื้นที่เพียง 1 ตารางนิ้วบนผิวหนังของเรานั้นประกอบไปด้วยเซลล์ถึง 19 ล้านเซลล์ ขน 60 เส้นต่อมน้ำมัน 90 ต่อม ต่อมเหงื่อ 625 ต่อม เส้นเลือดยาว 19 ฟุต และเซลล์รับความรู้สึก 19,000 เซลล์

เซลล์เม็ดเลือด

มีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าถ้านำเซลล์เม็ดเลือดของเรามาต่อเป็นสายยาวจะสามารถพันรอบเส้นศูนย์สูตรได้ถึง 4 รอบเลยทีเดียว

น้ำในร่างกาย

ร่างกายของเรามีสถานะใดตามหลักวิทยาศาสตร์ หลายคนอาจจะคิดว่า มีสถานะเป็นของแข็งแต่น้อง ๆ รู้หรือไม่ว่าร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 2 ใน 3 ด้วยเหตุนี้ตลอดชีวิตของคน 1 คนจึงต้องดื่มน้ำเป็นจำนวนมากถึง 70,000 ลิตร

ความสำคัญของเกลือแร่

เกลือแร่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเพราะช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง หากนำเกลือแร่ออกจากกระดูกโดยนำกระดูกไปแช่ในน้ำกรดเกลือแร่จะละลายออกมาจนสามารถนำกระดูกนั้นมาผูกให้เป็นปมได้

หนาวสั่น

อาการหนาวสั่นเป็นอาการที่ร่างกายแสดงออกมาเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมหลังจากที่ได้รับความเย็นมากเกินไปเพราะความเย็นจะทำให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายทำงานช้าลงและเป็นอันตรายได้หากอุณหภูมิลดต่ำลงมาก ๆ ดังนั้นกล้ามเนื้อจึงผลิตความร้อนด้วยการทำให้กล้ามเนื้อหดตัวไปมาอย่างรวดเร็ว

สูงและต่ำ

ตอนกลางวันอุณหภูมิในร่างกายของเราอาจสูงขึ้นได้มาก ๆ หากเรารับประทานอาหารมื้อใหญ่อยู่ในที่อากาศร้อน หรือออกกำลังกายอย่างหนัก แต่ตอนกลางคืนอุณหภูมิในร่างกายของเราจะค่อย ๆลดลงจนต่ำที่สุดเมื่อเรานอนหลับเพื่อเป็นการรักษาสมดุล

ลูกผู้ชาย

การที่ผู้ชายเชื่อว่าลูกผู้ชายต้องไม่หลั่งน้ำตานั้นส่งผลกระทบให้ผู้ชายเป็นโรคเครียดได้ง่ายกว่าผู้หญิงเพราะมีโอกาสปลดปล่อยอารมณ์ที่ถูกกดดันได้น้อยรู้อย่างนี้แล้วใครที่กำลังเครียดก็ลองหาโอกาสปลดปล่อยอารมณ์บ้างก็ดีนะ แต่ไม่ใช่เอาแต่นั่งร้องไห้อยู่ล่ะการออกกำลังกายก็สามารถช่วยคลายเครียดได้เช่นกัน

ตัวยารักษาโรค

การฉีดยาเป็นวิธีการรักษาโรคอีกวิธีหนึ่งที่แพร่หลายทราบหรือไม่ว่าแพทย์ได้ตัวยามาจากไหนในยาฉีดนั้นมีส่วนประกอบของแบคทีเรียที่ทำให้มีฤทธิ์อ่อนลงซึ่งได้มาจากเชื้อโรคของผู้ป่วยรายอื่นที่ป่วยเป็นโรคเดียวกับเรานอกจากนำไปทำเป็นยาฉีดแล้วเชื้อโรคเหล่านั้นยังสามารถนำไปทำเป็นวัคซีนป้องกันโรคได้อีกด้วยโดยวัคซีนจะเข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันโรคชนิดนั้น ๆในร่างกาย


หาวนอน

อาการง่วงเหงาหาวนอนเกิดจากการที่เรารู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนเพลียระบบทางเดินหายใจของเราจึงทำงานช้าลงเป็นผลให้กล้ามเนื้อคอหอยปิดโดยอัตโนมัติทำให้ร่างกายต้องการอากาศเพิ่มขึ้นเราจึงต้องหาวเพื่อเอาอากาศเข้าไปใช้ในกระบวนการหายใจ

ใบหน้า

วันหนึ่ง ๆเราอาจมีอารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้นถูกถ่ายทอดออกมาบ่อยครั้งทางใบหน้าเชื่อหรือไม่ว่ากล้ามเนื้อทั้งที่เป็นวงกลมและเป็นเส้นบนใบหน้าสามารถแสดงอารมณ์ที่หลากหลายได้มากกว่า 1,000 รูปแบบ

นอนหลับ

ขณะนอนหลับเราสามารถเรียนรู้ได้หรือไม่ในสมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์ไม่สามารถเรียนรู้ในขณะนอนหลับได้แต่จากการทดลองอย่างละเอียดของนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังพบว่ามนุษย์จะไม่สามารถเรียนรู้ได้ในขณะที่นอนหลับสนิทแต่จะสามารถเรียนรู้ได้ในขณะที่อยู่ในช่วงสะลึมสะลือ

ล้มตัวลงนอน

เชื่อหรือไม่ว่าในบรรดาสิ่งมีชีวิต มีสัตว์เพียง 2-3 ชนิดเท่านั้น ที่นอนหลับโดยเอนหลังแนบกับพื้นและสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถทำเช่นนี้ได้ก็คือมนุษย์

น้ำหนักลด

ไม่ว่าเราจะมีน้ำหนักมากน้อยเพียงใดก็ตาม น้ำหนักของเราจะสามารถลดลงได้ 300 กรัมทุกวันในขณะที่เรานอนหลับแต่อย่าเพิ่งดีใจไปนะคะ เพราะทันทีที่ตื่นขึ้นมาน้ำหนักของเราก็จะเท่าเดิม

อาณาจักรแห่งความฝัน

นักวิทยาศาสตร์พบว่าถ้าวันหนึ่ง ๆ เรานอนหลับประมาณ 8 ชั่วโมง เราจะฝัน 3-5 ครั้งต่อคืนโดยช่วงความฝันแต่ละครั้งใช้เวลานานประมาณ 10-30 นาทีและถ้าเราถูกปลุกขึ้นมาในระหว่างที่กำลังฝันอยู่เราอาจจะจำความฝันนั้นได้หรือไม่ได้ก็ได้

ความฝัน

เชื่อหรือไม่ว่าความฝันช่วยทำให้จิตใจของเราสดชื่นเบิกบานได้ไม่ว่าเราจะจำความฝันนั้นได้หรือไม่ก็ตามเพราะความฝันจะแสดงถึงสิ่งที่เราอยากทำเมื่อตื่นแต่เราไม่สามารถทำได้ด้วยเหตุผลนานาประการ

เวลาของความฝัน

ผู้เชี่ยวชาญแสดงทัศนะเกี่ยวกับเวลาในช่วงของความฝันไว้ว่าเวลาที่เราตื่นอยู่ประสาทความรู้สึกเกี่ยวกับเวลาของเราจะเป็นแนวตั้ง ดังนั้นเราจึงรับรู้แต่ขณะปัจจุบันเท่านั้น แต่เมื่อเราหลับมันจะกลายเป็นเส้นแนวนอนทำให้เราสามารถเดินทางไปในอดีตและอนาคตได้

สร้างความฝัน

ถ้าอยากให้ความฝันสวยงามลองงดดื่มเครื่องดื่มทุกชนิดประมาณ 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอนสิครับ เพราะผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าจะทำให้ความฝันยิ่งใหญ่และถ้าใครเห็นความฝันของตนเองเป็นสีต่าง ๆ ละก็แสดงว่าเป็นคนที่ไวต่อการกระตุ้นต่างๆ รอบตัวมากทีเดียว

 :emou









หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Tatum + Apple ที่ 21 ตุลาคม 2552 18:39:34
 :emotk คงคิดว่าหมดแล้วสินะครับ.. แต่ว่า .. แต่ว่า .. ยังไม่หมด อิอิอิ :emotq

จมูกของมด

ใครรู้บ้างว่ามดใช้อะไรในการดมกลิ่นคำตอบก็คือใช้เท้านั่นเองการใช้เท้าดมกลิ่นช่วยให้มันสามารถตามกลิ่นที่เพื่อนของมันทิ้งไว้ตามทางได้นอกจากนี้มันยังสามารถใช้ข้อต่อที่หนวดรับกลิ่นได้อีกด้วย

นายช่างใหญ่

บีเวอร์เป็นสัตว์ที่ชอบสร้างเขื่อนและบ้านของมันมากมันจะคาบกิ่งไม้และกินไม้เป็นอาหาร ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะถ้าไม่ได้กัดไม้ทุกวันฟันของมันก็จะงอกและยาวขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้มันกินอาหารไม่ได้และอดตายในที่สุด

อูฐลื่น

อูฐเป็นสัตว์ที่ขาแต่ละข้างประกอบด้วยนิ้วขนาดใหญ่ 2 นิ้วปกคลุมด้วยแผ่นรองเท้าที่หนาและเหนียวทั้งยังมีแผ่นหนังบาง ๆเชื่อมนิ้วเท้าให้ติดกัน ทำให้เท้าอูฐแข็งแรงเหมาะสำหรับเดินในทะเลทรายแต่หากจับอูฐมาอยู่ในโคลนละก็เท้าแบบนี้ก็ไร้ประโยชน์เพราะจะทำให้อูฐลื่นไถลได้ง่าย

หางเก็บอาหาร

มีสัตว์อยู่หลายชนิดที่มีหางและหางของมันก็ใช้ประโยชน์ได้แตกต่างกันไป อย่างเช่นแกะพันธุ์หนึ่งที่ใช้หางของมันทำหน้าที่เก็บหญ้าซึ่งเป็นอาหารของมันไว้เมื่อหญ้าขาดแคลนหญ้าที่ถูกสะสมไว้ที่หางก็จะเปลี่ยนเป็นไขมันเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย

หูหนวกเต้นระบำ

หากใครเคยชมภาพยนตร์อินเดียคงจะเคยเห็นงูที่เต้นระบำเมื่อได้ยินเสียงปี่ จริง ๆแล้วมันไม่ได้เต้นระบำเพราะเสียงปี่หรอก  งูเป็นสัตว์ที่หูหนวกจึงไม่ได้ยินเสียงปี่แต่ที่มันเต้นส่ายไปส่ายมาก็เพราะจังหวะการเคลื่อนไหวของหมองูต่างหากถ้าลองใช้ไม้แทนปี่ งูก็ยังคงเต้นระบำได้เหมือนกัน

สุนัขน้ำร้อน

สุนัขเป็นสัตว์ที่คนนิยมเลี้ยงกันโดยทั่วไป เพราะนอกจากจะใช้เฝ้าบ้านแล้วสุนัขยังทำหน้าที่ได้หลายอย่างนานมาแล้วชาวอินเดียนแอซเทคนำสุนัขพันธุ์เม็กซิโกซึ่งตัวเล็กนิดเดียวและมีขนสั้นบางมาใช้แทนกระเป๋าน้ำร้อนเพื่อสร้างความอบอุ่นแก่เท้าเจ้าของเมื่ออากาศหนาว

ช้างนักกิน

ช้างแอฟริกามีขนาดใหญ่มากหนักถึง 7 ตัน ที่ตัวใหญ่ขนาดนี้เพราะมันใช้เวลาในการกินประมาณ 18-20 ชั่วโมงต่อหนึ่งวัน โดยกินพืชผักประมาณวันละ 350 กิโลกรัมและกินน้ำ 90 ลิตร

กินทางตา

โดยปกติสัตว์จะกินอาหารทางปาก แต่สำหรับคางคกและกบแล้วพวกมันจะกินอาหารทางตา เมื่อกินอาหารมันจะปิดตาแน่นดันลูกตาที่แข็งให้ชนเพดานปากทำให้เพดานปากถูกกดลงมาแนบกับลิ้นแล้วดันอาหารลงสู่กระเพาะอาหารนอกจากนี้มันยังดื่มน้ำโดยการดูดซึมน้ำผ่านทางผิวหนังด้วย

ปลิงป้องกันตัว

ปลิงทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกมีวิธีป้องกันตัวเองที่แปลกคือเมื่อถูกทำร้ายมันจะหดตัวทันทีและจะดันอวัยวะภายในของมันออกมา แต่มันก็ยังไม่ตายอวัยวะเหล่านั้นจะเป็นอาหารของผู้ที่ทำร้ายมัน แล้วมันจะค่อย ๆ หลบหนีไป จากนั้น 2 3 สัปดาห์อวัยวะภายในของมันก็จะงอกใหม่

ตาเคลื่อนที่

ปลาลิ้นหมาไม่ได้มีตาเดียวอย่างที่พวกเราเห็นกัน ตอนแรกที่มันเกิดมามันจะมี 2 ตาแต่เมื่ออายุมากขึ้น ตาของมันจะย้ายตำแหน่งมารวมกันโดยเคลื่อนที่ไปรวมกับตาอีกข้างหนึ่งซึ่งอยู่บนหัว

ระเบิดควัน

ปลาหมึกยักษ์มีวิธีการป้องกันตัวคล้ายการสร้างระเบิดควันของทหารเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู มันจะพ่นหมึกดำในถุงด้านหลังลำตัวออกมาทำให้น้ำบริเวณรอบ ๆขุ่นดำ แล้วมันจะรีบหนีไปนักวิทยาศาสตร์พบว่ามันสามารถเปลี่ยนสีหมึกของมันให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ด้วย เช่นสีแดง สีเหลือง สีเทา เป็นต้น

กบหดตัว

กบพาราดอกซิคัล (Paradoxical) ในอเมริกาใต้มีความพิเศษคือยิ่งมันเจริญเติบโตขึ้นตัวก็ยิ่งเล็กลงเมื่อเป็นลูกอ๊อดมันมีลำตัวยาวถึง 10 นิ้วแต่เมื่อโตเป็นกบลำตัวจะหดลงจนเหลือขนาดไม่เกิน 3 นิ้วเท่านั้น

หนอนกระสือ

หนอนกระสือตัวเมียจะมีอวัยวะที่เรืองแสงอยู่บริเวณใต้ท้องซึ่งใช้ส่งสัญญาณไปยังปีกของตัวผู้ที่บินอยู่ด้านบนหนอนกระสือตัวเมียสามารถควบคุมการเปล่งแสงได้โดยจะใช้แสงต่อเมื่อต้องการดึงดูดตัวผู้เท่านั้น

แสงนำทาง

รู้ไหมทำไมผีเสื้อกลางคืนจึงชอบบินเข้าหาแสงไฟในตอนกลางคืนเพราะปกติผีเสื้อกลางคืนจะใช้แสงจันทร์นำทางแต่แสงอื่นทำให้มันสับสนและประสาททางด้านทิศทางเสียไป ดังนั้นมันจึงพยายามปรับแสงจันทร์ปลอมให้ทำมุมเดียวกันกับแสงจันทร์จริง ๆโดยการบินเป็นวงกลมเข้ามาใกล้แสงนั้นมากขึ้น

เครื่องขยายเสียง

จิ้งหรีดตัวผู้จะใช้เสียงเพลงซึ่งเกิดจากขาหน้าเสียดสีกันการดึงดูดตัวเมียแต่จะไม่ดังนัก มันจึงสร้างเครื่องขยายเสียงชนิดพิเศษโดยการขุดรังใต้ดินให้มีอุโมงค์ทางเข้าสองทางแล้วก็ยืนส่งเสียงไพเราะอยู่ทางอุโมงค์ด้านหนึ่ง แต่ที่แปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือหูที่ไวต่อเสียงของมันไม่ได้อยู่ที่หัวแต่ที่อยู่ที่ขา

สัตว์มีเหงื่อหรือไม่

สุนัขก็มีเหงื่อครับแต่เหงื่อของมันจะออกบริเวณฝ่าเท้า นอกจากนี้สัตว์อื่น ๆ เช่น วัวจะมีเหงื่อออกทางจมูกส่วนเหงื่อของฮิปโปโปเตมัสจะออกมาจากทุกส่วนของร่างกายและจะเป็นเหงื่อสีแดงลองสังเกตนะคะว่าสัตว์อื่น ๆมีเหงื่อออกที่ส่วนใดของร่างกาย

หนึ่งไม่มีสอง

คนเรามีลายนิ้วมือไม่เหมือนกันม้าลายแต่ละตัวก็มีแถบลายเฉพาะที่ซึ่งจะไม่ซ้ำกับม้าลายตัวอื่น ๆเช่นกัน

หนูนักร้อง

หนูเป็นสัตว์ที่สามารถร้องเพลงได้แต่เสียงร้องของมันจะเป็นเสียงซูเปอร์โซนิค (Supersonic) ซึ่งมีลักษณะเป็นเสียงสูงและรัว ทำให้เราไม่ได้ยินเสียงเพลงของมันแต่ถ้ามันลดระดับเสียงให้ต่ำลงจนถึงระดับปกติที่เราสามารถได้ยินเราก็จะได้ยินเสียงเพลงจากหนูได้

สัตว์ปากกว้าง

สัตว์ที่สามารถอ้าปากได้กว้างที่สุดคืองูเหลือมเรติคูเลเตด (Reticulated python) มันสามารถยืดตัวได้ถึง 10 เมตร และอ้าปากกว้างจนกลืนกินสัตว์ที่มีน้ำหนัก 55 กิโลกรัม จึงไม่แปลกที่จะมีคนพบสัตว์ใหญ่ ๆอย่างเสือดาวในท้องของมัน

ไม่เอาไมโครโฟน

ไซเมียง (Simiang) เป็นสัตว์บกที่มีถุงลมขนาดใหญ่ จึงตะโกนได้เสียงดังกว่าสัตว์อื่น ๆมันสามารถตะโกนให้สัตว์ที่อยู่ห่างออกไปถึง 8 กิโลเมตรได้ยินได้ส่วนสัตว์น้ำที่สามารถตะโกนได้เสียงดังที่สุดคือ ปลาวาฬรอร์ควอล (Rorqual whale) มันสามารถร้องเพลงด้วยความถี่ 20 เฮิรตซ์ ให้ได้ยินไปไกลถึง 150 กิโลเมตรเลยทีเดียว

นักแม่นธนู

ปลาเสือมีวิธีจับเหยื่อที่คล้ายกับการยิงธนูโดยมันจะพ่นน้ำไปยังแมลงที่เกาะอยู่บนต้นพืชเหนือน้ำ ทำให้แมลงตกลงในน้ำจากนั้นก็จะตรงเข้าไปฮุบแมลงนั้นไว้ทันที ปลาเสือสามารถพ่นน้ำใส่เหยื่อของมันในระยะ 3 เมตรได้อย่างแม่นยำ

อาวุธของทากทะเล

ทากทะเลไม่มีเปลือกห่อหุ้มร่างกาย ดังนั้นมันจึงป้องกันตัวโดยการกินเซลล์เข็มพิษของแมงกะพรุนเข้าไปเพื่อใช้เป็นอาวุธเข็มพิษนี้จะไม่ถูกย่อยไปพร้อมกับอาหารแต่จะถูกส่งไปเก็บไว้ที่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านหลังเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมันก็จะป้องกันตัวด้วยการปล่อยเข็มพิษออกมา

ปลาฉลามว่ายน้ำ

ถ้าเรามีโอกาสได้เฝ้าดูปลาฉลามอย่างใกล้ชิดก็จะพบว่าปลาฉลามต้องว่ายน้ำตลอดเวลาหากหยุดว่ายน้ำมันจะตาย เพราะปลาชนิดอื่น ๆ จะมีถุงลมทำให้หายใจได้แม้ไม่เคลื่อนที่แต่ปลาฉลามไม่มีถุงลม ดังนั้นถ้ามันหยุดว่ายน้ำก็จะทำให้ไม่มีออกซิเจนไหลผ่านเหงือกจึงไม่มีออกซิเจนใช้ในการหายใจ

สุดยอดตัวอ่อน

ตัวอ่อนของสัตว์ที่กินเก่งที่สุดในโลกคือตัวอ่อนของผีเสื้อกลางคืนในอเมริกาเหนือเนื่องจากมันสามารถกินอาหารที่มีน้ำหนักมากถึง 86,000 เท่าของน้ำหนักตัวภายในเวลา 48 ชั่วโมงแรกที่มันเกิดมา


 :emotn ขอบคุณครับที่ติดตามอ่านจนจบ... ขอโทดนะครับ ยาวไปหน่อย แค่อยากให้ทุกคนได้อ่านบางอย่างทีไม่รู้ หรือไม่เคยคิดหรือเห็นมาก่อน  :emotq

ขำๆ หนุกๆ นะ :emo9





















หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 21 ตุลาคม 2552 21:08:31
มาเบิ้มทุกกระทู้เลย อ่านไม่ทัน  :emote


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 22:37:26
ตาแมว......เค้าขอเค็มหน่อยจิ

 :emoq :emoq


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 21 ตุลาคม 2552 22:38:02
เห้อ....อ่านจนตาเบลอๆๆๆเรย

ปล.โซนศรีฯ  ..สาระดี


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 21 ตุลาคม 2552 23:07:15
ตาแมว......เค้าขอเค็มหน่อยจิ

 :emoq :emoq

อย่าไปเรียกแบบนี้ที่ไหนนะ.อายเค้า.......



เค้าเรียกว่า   เขียม     ย่ะ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: wolfboy ที่ 22 ตุลาคม 2552 01:30:40
ลำพังของเจ้าเค้กหน้าแรก ก้ออ่านไม่หมดแล้วเรา :emox


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 22 ตุลาคม 2552 08:48:08
ต่อกันครับ ขอไปไล่อ่านของเก่า ๆ ก่อนน่ะ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Aoffii@ImSry ที่ 22 ตุลาคม 2552 08:50:10
รวบรวมข้อมูล!!!!!หลุมดำ!!!! ในอวกาศ ห้ามพลาด!!!!!จากทุกแขนง

(http://lynxcomputer.ath.cx/picture/since/black5.jpg)

ความเวิ้งว่างเปล่าเหนือหัวคนเราขึ้นไปนั้น เป็นเอกภพมหามหึมาอันมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเหลือสติปัญญาที่จะหยั่งคะเน ได้ สถานที่อันไร้อาณาเขตนี้นั้นก็ประกอบด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ที่คุมกันหลวมๆ เป็นจักรวาลและจักรวาลน้อยใหญ่ก็มีอยู่เหลือคณานับ เคลื่อนคล้อยในเอกภพอันไร้ขอบเขตด้วยจำนวนอันไร้ปริมาณ          ธรรมชาติมิได้สร้างความเรียบร้อยสวยงามให้ปรากฏขึ้นอย่างเดียว แต่ธรรมชาตินี่แหละที่ก็ได้สร้างความ*Censer*มเกรียม ความหายนะให้ เกิดควบคู่กันไปด้วย ใครจะคิดได้ ว่า อันดวงดาวทั้งปวงที่เห็นดารดาษบนท้องฟ้านั้น คืออาหารอันโอชะของเจ้าสัตว์ร้ายพวกหนึ่งที่คอยจ้องเขมือบดาวเหล่านี้ให้สูญ หายไป ตราบใดก็ตามที่ดาวน้อยใหญ่ทั้งหลายเผลอเรอหลงเข้าไปในแวดวงที่มัน “อาศัย” อยู่?
         สัตว์ร้ายที่ว่านี้ นักวิทยาศาสตร์บนดาวเล็กๆ ดวงที่เรียกว่าโลกนี้เขาตั้งชื่อมันเอาไว้ว่า “แบล็ค โฮล” หรือแปลกันง่ายๆ คือ “หลุมดำ”

ในระยะไม่กี่ปีที่ ผ่านมา นับแต่ปี พ.ศ. 2513 นั้น นักวิทยาศาสตร์สาขาดาราศาสตร์ทั้งหลายก็พากันบอกเป็นเสียงเดียวว่า เจ้าสิ่งที่เรียกว่าหลุมดำหรือแบล็ค โฮลนั้นได้จัดการออกล่าเหยื่อเขมือบดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้าไปแล้วมากต่อมาก และหลังจากเขมือบดาวเหล่านี้ไปชั่วระยะหนึ่งแล้ว มันก็หยุดการล่าเหยื่อของมันไปชั่วระยะหนึ่ง

        ช่วงที่แบล็ค โฮลอยู่เฉยๆ ไม่อนาทรคันปากคันคอจะกินดาวอย่างที่เคยนั้น นักดาราศาสตร์นั่นแหละที่เขาบอกว่ามันกำลังขอเวลาสำหรับ “ย่อย” ดาวที่เป็นอาหารของมันอยู่ มาถึงตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้าสังเกตสังเกตเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ กำลังร้องบอกว่าเจ้าหลุมดำ หรือแบล็ค โฮลนี้ เริ่มต้นที่จะออกล่าเขมือบดวงดาวใหม่แล้วแต่โชคดีที่ว่าโลกเรานั้นยังอยู่ ไกลมากจากถิ่นที่สัตว์ร้ายแห่งเอกภพนี้มันสิงสถิตอยู่ ไม่เช่นนั้นสักวันหนึ่งโลกใบนี้ ก็คงถูกมันเขมือบ และจัดการย่อยอร่อยปากอร่อยกระเพาะมันไปเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม วันสุดท้ายของโลกและสุริยจักรวาลนั้นก็ยังมีโอกาสมาถึงเหมือนกัน เพราะดวงดาวเพื่อนบ้านตลอดจนถึงดวงอาทิตย์ อาจจะถือว่าสุริยจักรวาลทั้งระบบนั้นกำลังค่อยๆ ถูกดูดให้เข้าไปหาเจ้าแบล็ค โฮลนี้ทีละน้อยๆ แต่ว่าเรื่องนี้ก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจขนข้าวของอพยพกันหรอกนะครับ เพราะนักดาราศาสตร์กล่าวว่า อีกอย่างน้อยๆ ก็นับสิบๆ ล้านปีนั่นแหละกว่าที่โลกจะกลายเป็นเหยื่อเจ้าสัตว์ร้ายแห่งเอกภพ เวลาป่านนั้นเราจะตายไปเกิดที่ไหนอีกกี่สิบกี่ร้อยหรือกี่ล้านชาติก็ไม่รู้

         ปรากฎการณ์สัตว์ร้ายแห่งเอกภพหรือหลุมดำนี้อาจจะมีมานานนับร้อยพันหมื่น ล้านปีมาแล้ว แต่ก็เพิ่งเป็นที่ประจักษ์กันในหมู่มนุษย์เพียงไม่นานมานี้ ก็เมื่อคนเรามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ สามารถพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้รอบตัวให้ทันสมัยสมใจนึกมากขึ้น เพราะความก้าวหน้านี้เอง ที่ทำให้เราได้มองเห็นเจ้าสัตว์ร้ายนี้ ด้วยความรู้จากสมมติฐานกลายไปเป็นทฤษฎี

         เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2451 หรือ 81 ปีมาแล้ว มีปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่บริเวณทุ่งทุงกัสทางตอนกลางของไซบีเรีย ปรากฏการณ์นี้ได้แก่การระเบิดเสียงกึกก้องกลางอากาศ และมีการสั่นสะเทือนอย่างมหาศาลของแผ่นดินบริเวณนั้นและในอาณาเขตรัศมีหลาย ร้อยกิโลเมตรโดยรอบ บรรดาผู้ที่อาศัยในละแวกทุงกัสนั้นต่างให้การเป็นเสียงเดียวกันว่า ขณะเกิดการระเบิดนั้นพวกตนแสบตาจ้าไปหมดด้วยแสงอันขาวนวลอย่างที่ไม่เคยพบ เคยเห็นมาก่อน แสงนั้นทำให้ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องสว่างนั้นมืดมิดไปชั่วขณะ และเกิด “เสาไฟมหึมา” พลุ่งขึ้นมาจากพื้นโลก

         เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว สิ่งหนึ่งที่ยังคงปรากฎอยู่ในทุ่งทุงกัสแม้จนกระทั่งวันนี้อันเป็นเวลาเกือบ หนึ่งศตวรรษแล้วก็ตาม คือ สภาพหงิกงอของไม้ไร่ในป่าแถบนั้น กระหย่อยใหญ่เหมือนกับถูกมือยักษ์ทึ้งและเผาราบ ไม้ใหญ่น้อยนี้ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ก็ไม่มีไม้ต้นใหม่เกิดขึ้นนักวิทยา ศาสตร์ได้บุกบั่นเข้าไปทำการสำรวจค้นคว้าบริเวณนี้อยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่มีใครลงมติเห็นพ้องกันว่าสาเหตุของปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ว่าจะเห็นตรงกันว่ามันเป็นหายนะที่มาจากฟากฟ้าเหนือหัว

         สาเหตุที่เกิดการทำลายป่าครั้งใหญ่ และสิ่งประหลาดที่ชาวทุงกัสยุคนั้นได้พบเห็นชนิดตายไปก็ยังลืมไม่ลงนั้นยัง มีการโต้แย้งต่างๆนานา อะไรเกิดขึ้นที่ไซบีเรียครั้งนั้นตอนนี้สามารถแยกสาเหตุออกไปได้คือ ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นผลจากการที่สะเก็ดดาวขนาดมหึมาชิ้นหนึ่งหล่นเข้ามา อยู่ในปริมณฑลแรงดึงดูดของโลก แล้วก็เลยถูกดูดลงมาถล่มเอาบริเวณดังกล่าว เหตุผลหนึ่งไปไกลกว่านั่นคือเชื่อว่าอาจจะมีมนุษย์ต่างดาวนำยานของตนมาฉวัด เฉวียนทำนองสำรวจโลกพระเคราะห์ที่มนุษย์อาศัยอยู่ และให้เกิดอุบัติเหตุเชื้อเพลิงคือพลังนิวเคลียร์ในยานลำนั้นแผลงฤทธิ์ปึง ปังออกมา มันก็เท่ากับการหยอดระเบิดนิวเคลียร์ลงไปบนทุ่งทุงกัสที่ว่าทำให้แหลกลาญไป หมด

          แต่ทฤษฎีล่าสุดที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งไว้สำหรับกรณีลึกลับแห่งทุง่ทุงกัสนี้ คือ อาจจะเป็นไปได้ที่โลกเจอเข้ากับรายการ “แทะเล็ม” ของปรากฎการณ์ชนิดหนึ่ง ที่เพิ่งจะมีการค้นพบกันไม่นานมานี้ที่เผอิญเป็นปรากฎการณ์ระดับไม้จิ้มฟัน ของเอกภพ นั่นคือผลจากการอาละวาดของเจ้าแบล็ค โฮล

         เรื่องนี้ก็อาจจะเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “อภินิหารเจ้าหลุมดำ”

         หลุมดำหรือแบล็ค โฮลนี้เป็นภาพที่มองไม่เห็นในเอกภพ แต่ว่ามันสัมผัสได้ด้วยการสังเกตได้ด้วยผลที่บังเกิดขึ้นรอบๆ ตัวของมัน ก็คือการหายไปของดาวต่างๆ ที่กล้องโทรทัศน์จากผิวโลกมองออกมาและบันทึกเอาไว้เปรียบเทียบกัน แสดงถึงอำนาจอันมหาศาลของเจ้าตัวร้ายแห่งเอกภพ

         ในปี พ.ศ. 2447 เอฟ.ดับเบิลยู เบสเซล นักดาราศาสตร์สำคัญคนหนึ่งแห่งหอดูดาวคอนิกบูร์ก ของปรัสเซียปัจจุบันคือหอดูดาวแห่งคาลินนินกราด สหภาพโซเวียตได้เฝ้าสังเกตดาวฤกษ์สำคัญดวงหนึ่งที่รู้จักกันมากแต่สมัยดบราร ก็คือซิริอุส หรือดาวหมาที่ชาวไอยคุปต์ถือเป็นดาวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล และพบโดยบังเอิญว่าดาวซิริอุสนี้มิได้เดินไปตามที่ตามทางของมัน หากแต่ดูเหมือนคล้ายกับว่ากำลังอยู่ในวิถีที่จะหลับอะไรสิ่งหนึ่งที่มองไม่ เห็น

         นักดาราศาสตร์รุ่นหลังจากเบสเซลได้ติดตามสานต่องานของเขาและพบว่า ใกล้เคียงกับดาวซิริอุสนั้น มีดาวดวงหนึ่งขนาดเล็กกว่ากำลังมีแสงริบหรี่ลงไปกว่าปกติแต่ในไม่นานหลังจาก นั้น มันก็ส่งแสงสว่างจ้าข่มดาวซิริอุสซึ่งว่าสว่างแล้ว เป็นปรากฎการณ์ต่อเนื่องอยู่หลายปี แล้วจากนั้นมันก็หายไปจากกล้องโทรทัศน์ หลังจากที่มันหายไปแล้วนั่นเอง ปรากฏว่าจำนวนดาวน้อยๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าในละแวกที่อยู่ใกล้เคียงกับดาวที่หายไปนั้นลดลง เรื่อยๆ และก็ทรงตัวอยู่ชั่วระยะหนึ่งจากนั้นก็ลดจำนวนลงไปอีก จนละแวดนั้นนอกจากดาวซิริอุสแล้ว เป็นที่เวิ้งว้างว่างเปล่าปราศจากดาว เหมือนกับใครไปถอนหญ้าในแปลงเล็กๆ เสียเตียน

         ปรากฏการณ์ที่รวบรวมได้จากการสังเกตนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้นำมาศึกษาวิจัยกันแล้ว และพบว่าเป็นกำเนิดของหลุมดำหรือสัตว์ร้ายแห่งเอกภพอันเนื่องจากการถึงแก่ กาลอวสานของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่

         มีการเอากรณีปรากฎการณ์ประหลาดที่ไซบีเรียครั้งนั้นมาพิจารณาประกอบด้วย นักเคมีชาวอเมริกันนายหนึ่ง ก็คือ วิลลาร์ด ลิบบี้ อดีตสมาชิกของคณะกรรมการพลังงานปรมาณูของสหรัฐ ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในฐานะค้นพบวิธีการตรวจสอบอายุของสสารด้วย ระบบกัมมันตรังสีคาร์บอน ได้ร่วมกับพรรคพวกอีกสองคนทำการทดลองพบว่า การเคลื่อนไหวของสิ่งสองสิ่งในอวกาศคือสสารกับตัวต้านสสารนั้น ทำให้เกิดพลังงานอย่างใหญ่หลวงมหาศาล และปรากฎการณ์นี้อาจจะเป็นไปได้เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเฉียดเข้ามา ใกล้และถูกโลกดึงลงมาแผลงฤทธิ์กันบนทุ่งไซบีเรีย

         แต่ว่าสิ่งที่เรารู้กันในทุกวันนี้เกี่ยวกับอสูรร้ายในเอกภพคือ แบล็ค โฮลนั้น มันเกิดขึ้นจากผลของการที่แก๊สในดาวฤกษ์ซึ่งมีกลุ่มก้อนมหึมาเกิดการหลอมตัว ของนิวเคลียร์เข้าด้วยกัน เป็นลักษณะของการแปลงธาตุจากธาตุหนึ่งไปยังอีกธาตุหนึ่ง โดยเฉพาะจากไฮโดรเยนเป็นฮีเลียม การแปลงธาตุจากการหลอมตัวของนิวเคลียสนี้ผลพวงที่แนบมาด้วยก็คือพลังงานความ ร้อนที่เกิดจากระเบิดนิวเคลียร์ที่มนุษย์สามารถสร้างมันขึ้นมาได้แรงที่สุด

         พลังงานมหาศาลที่มีทั้งความร้อนระคนปนเข้ากับแสงและรังสีอื่นๆ อันเกิดจากการหลอมตัวแปลงธาตุนี้จะผลักดันปรมาณูและอณูต่างๆ ออกจากกัน แต่ในเวลาเดียวกับที่มีแรงผลักดันปรมาณูออกจากกันนี้ก็พลอยหมดไปตามไปด้วย คงเหลือแต่แรงดึงดูดให้ปรมาณูวิ่งเข้ามากันอยู่แรงเดียว

         เมื่อมีแต่แรงดึงปรมาณูเข้าหากันอยู่แต่ลูกเดียวเช่นนี้ ดาวฤกษ์ที่ดันเผาไหม้ตัวเองขึ้นมานั้นก็จะเริ่มหดตัวเล็กลงกว่าขนาดของเดิม และก็หดตัวลงไปเรื่อย แต่ว่าจะหดใหญ่เล็กแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าดาวฤกษ์ดวงเดิมนั้นมันใหญ่โต แค่ไหน ดาวฤกษ์ขนาดย่อมๆ หน่อยก็จะหดตัวมาเป็นดาวฤกษ์นิวตรอน ซึ่งในตัวของมันนั้นก็จะประกอบด้วยสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่า “สารควบแน่น” และสารควบแน่นพวกนี้จะเป็นสสารที่ไม่มีอนุภาคไฟฟ้าอยู่ในตัวเหมือนกับสสาร ทั่วไป นั่นเองที่เขาเรียกมันว่า “นิวตรอน” หรือ “สารเป็นกลาง”

         แต่ที่น่าทึ่งและมหัศจรรย์ที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์เขาว่ากันไว้นั้นก็คือ เจ้าสารควบแน่นนี้ปริมาณเพียงแค่หัวไม้ขีดเท่านั้นมันจะหนักเป็นพันล้านตัน หรืออีกนัยหนึ่งหนักยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัยหรือเขาพระสุเมรุเสียอีก

         แต่ดาวฤกษ์ที่เอาแต่หดตัวไปนั้นก็ไม่ได้หยุดหดไปแม้แต่น้อย คงทำการก้มหน้าก้มตาลดขนาดของมันด้วยการหดต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็ไม่มีขนาด ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากสภาพใหม่ที่มองไม่เห็น และที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่า “หลุมดำ” หรือ “แบล็ค โฮล” นั่นแหละ

         ทั้งหมดนี้ออกจะเป็นเรื่องฟังหนักสมองเอาสักหน่อยแต่นี่ขนาดผมพยายามเรียบ เรียงเอาคำอธิบายของนักวิทยาศาสตร์ไต่บันไดลงมาถึงพื้นให้ท่านผู้อ่านพอเข้า ใจแล้วนะครับ มันเป็นศาสตร์ในเรื่องกฎของฟิสิกส์ที่เขาว่าเอาไว้ แค่ถอดเอามาง่ายๆ ผมยังต้องนอนก่ายหน้าผากอยู่หลายตลบกว่าจะออกมาเขียนได้อย่างนี้

         ก็นักวิทยาศาสตร์นั่นแหละที่ว่าไว้ว่า เจ้าหลุมดำอินวิซิเบิ้ลตัวนี่แหละที่มันมีสนามแม่เหล็กอยู่สูงมหาศาล อำนาจทางแม่เหล็กของมันนี่เองที่เที่ยวไปดูดดาวที่มันผ่านเข้าไปใกล้เคียง เข้าไปหามัน และก็จัดการเขมือบดาวนั้นๆ เข้าตัวมันหายวับไป เหมือนกับเป็นอาหารโอชะแล้วเมื่อดาวทั้งหลายถูกดูดกลืนเข้าไปในหลุมดำนั้นก็ ยิ่งจะไปเพิ่มแรงดึงดูดให้กับเจ้าตัวหลุมดำจอมเขมือบนี้มากขึ้นไปอีก

         พฤติการณ์ของเจ้าหลุมดำนี้แหละที่เห็นๆ กันว่าเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายที่ซุ่มอยู่ในกาแลกซี่ของเรา และบางทีอาจจะอยู่ในกาแลกซี่อื่นๆ อีกหมื่นล้านอสงไขยในความเวิ้งว้างหาที่สิ้นสุดมิได้ของจักรวาล

         ถึงเวลานี้นักวิทยาศาสตร์อเมริกากันกำลังบอกว่าเจ้าหลุมดำที่หยุดนิ่งย่อย อาหารดาวที่มันก้มหน้าเขมือบไปพักหนึ่งนั้น เริ่มขยับเขยื้อนท้องร้องขึ้นมาแล้ว และก็กำลังเริ่มเขมือบดาวฤกษ์ที่ตุปัดตุเป๋เข้าไปใกล้ๆ มันเป็นอาหารอีกครั้งหนึ่ง ฟังแล้วก็น่าขนหัวลุก

         หลุมดำนี้มันคืออะไรกันแน่ เราเห็นจะต้องรอไปสักปีสองปีอาจจะรู้จักมันมากกว่าที่รู้อยู่แล้ว เพราะจากวิทยาการที่ก้าวหน้ามากขึ้น เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ขณะนี้นักดาราศาสตร์สามารถที่จะส่งกล้องส่องดาวหรือกล้องโทรทัศน์ออกไปเล็ง ดูกันได้นอกโลกแล้ว โดยฝากไปกับบัลลูนที่ส่งขึ้นไปโคจรในอวกาศแล้วส่งภาพข้อมูลต่างๆ กลับมาดูกันเพื่อตัดสินกันให้แน่ชัดว่าเจ้าจอมเขมือบนี้มันคืออะไรกันแน่
ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปที่ไอน์สไตน์สร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2459 เป็นทฤษฎีสำคัญ ที่ช่วยทำให้นักวิทยาศาสตร์ เข้าใจธรรมชาติของหลุมดำ ทฤษฎีนี้ได้เสนอวิธีการค้นหาหลุมดำ โดยให้หลักการว่าการที่หลุมดำ มีแรงดึงดูดแบบโน้มถ่วงที่มากมหาศาล จะทำให้ดาวต่างๆ ที่โคจรอยู่ใกล้หลุมดำมีสิทธิ์ถูกหลุมดำ ดึงดูดเข้าไป คือ "กลืน" ดาวทั้งดวงและทั้งเป็น และเมื่อหลุมดำ "กิน" ดาวเข้าไปแล้วขนาดและมวลของมันก็ จะมากขึ้น หลุมดำจะมีมวลมากเพียงใด ก็ขึ้นกับว่า มันได้ "บริโภค" ดาวเข้าไปมากน้อยเพียงใด ในธรรมชาติเราอาจจะพบหลุมดำ ที่มีมวลมากถึงพันล้านล้านเท่า ของดวงอาทิตย์ และหลุมดำอาจจะมีขนาดใหญ่ เท่าสุริยจักรวาลก็ได้เหมือนกัน
สำหรับขั้นตอนที่หลุมดำ กินดาวทั้งเป็นนั้น นักดาราศาสตร์ได้คาดคะเนว่า เมื่อดาวดวงที่ถึงฆาตซึ่งมีองค์ประกอบ เป็นก๊าซ (เช่น ดวงอาทิตย์ ซึ่งมีองค์ประกอบหลัก คือ ไฮโดรเจน) ถูกหลุมดำกลืน พวยก๊าซจากดาวจะถูกดึงดูด ให้ไหลพุ่งเป็นเกลียวสู่หลุมดำ และเมื่อเกลียวก๊าซยิ่งเข้าใกล้ใจกลาง ของหลุมดำ แรงดึงดูดแบบโน้มถ่วงก็ยิ่งสูง แรงดึงดูดที่มากมหาศาลนี้ จะทำให้ก๊าซมีความเร่งสูงมาก อะตอมของก๊าซจะแตกตัวและก๊าซ ที่ถูกเร่งนี้จะเปล่งรังสีต่างๆ ออกมามากมาย เช่น รังสีเอกซ์ (X-ray) รังสีอัลตราไวโอเลต (ultraviolet) หรือรังสีแกมมา (gamma) เป็นต้น ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่นักดาราศาสตร์สังเกตเห็นรังสีต่างๆ แผ่กระจายจากพวยก๊าซที่กำลังไหลสู่บริเวณที่ดูจากภายนอกเสมือนว่าไม่มีอะไร เลย เขาก็จะอนุมานทันทีว่าบริเวณนั้นมีสิทธิ์เป็นหลุมดำ
ตามปกตินักวิทยาศาสตร์ จะไม่เชื่อในคำพยากรณ์ใดๆ จนกว่าจะมีการทดลอง หรือพิสูจน์ให้เห็นจริง ดังนั้นในกรณีหลุมดำก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าทฤษฏีของไอน์สไตน์ที่ประเสริฐ และถูกต้องจะทำนายว่า ในจักรวาลของเรามีหลุมดำ เราก็ยังไม่เชื่อ ยังไม่ยอมรับ 100 เปอร์เซ็นต์ จนกว่าจะมีคน "เห็น" หรือมีหลักฐานที่ แสดงให้เห็นว่าหลุมดำมีจริง
วิธีการที่นักวิทยาศาสตร์ ใช้ในการค้นหาหลุมดำนั้นมีมากมาย นักวิทยาศาสตร์คนใดจะใช้วิธีการใด ก็ขึ้นกับว่า หลุมดำนั้นมีขนาดใหญ่มโหฬารปานใด ในกรณีของหลุมดำที่มีมวลมากว่า ดวงอาทิตย์สิบเท่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปทำนายว่า หลุมดำที่มีมวลมากเช่นนี้มักจะเกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์แบบซูเปอร์โนวา (supernova) และขณะมันจบชีวิตเปลือกผิวนอกของดาวจะถูกพลังระเบิดขับให้แตกกระจัดกระจายไป ในอวกาศ แต่ส่วนแกนกลางของดาว จะถูกแรงดึงดูดแบบโน้มถ่วงบีบอัด จนกลายสภาพเป็นหลุมดำ ทว่าดาวนิวตรอนซึ่งเป็นดาว ที่ประกอบด้วยอนุภาคนิวตรอนล้วนๆ ถือกำเนิดในลักษณะเดียวกัน (เพียงแต่ว่าแรงดึงดูดแบบโน้มถ่วง ที่ดาวนิวตรอนมีค่าต่ำกว่าแรงดึงดูดของหลุมดำเท่านั้นเอง) ดังนั้นปัญหาจึงมีว่า เวลานักวิทยาศาสตร์เห็นหลุมดำกับดาวนิวตรอนจากตำแหน่งที่อยู่ไกลเป็นล้านปี แสง เขาจะบอกความแตกต่างได้หรือไม่ คำตอบก็คือได้ เพราะดาวนิวตรอนตามปรกติจะมีมวลไม่เกินสามเท่าของดวงอาทิตย์ ดังนั้นวัตถุใดก็ตามที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่นักดาราศาสตร์พบว่ามีมวล มากกว่าสามเท่าของดวงอาทิตย์ วัตถุนั้นก็จะไม่ใช่ดาวนิวตรอนทันที อย่างไรก็ตามยัง มีนักวิทยาศาสตร์หลายคน ที่ชี้ให้เห็นว่าการที่ใครจะกล่าวว่า วัตถุลึกลับใดที่ไม่มีแสงในตัวเอง และมีมวลมากกว่าสามเท่าของดวงอาทิตย์ จัดเป็นหลุมดำทุกครั้งไป ก็ดูเป็นเรื่องที่ไม่น่า จะยอมรับกันง่ายๆ การพิสูจน์การเป็นหลุมดำ จึงต้องอาศัยหลักฐาน มากกว่าตัวเลขมวลอีกหลายประการ
ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ ได้แถลงไว้ว่าเวลาก๊าซไหลลง สู่หลุมดำมันจะไหลลงไปเป็นเกลียว วนคล้ายก้นหอย และการไหลนี้จะไหลเป็นระนาบ จึงทำให้พวยก๊าซมีลักษณะคล้ายวงแหวนของดาวเสาร์ โดยก๊าซที่อยู่บริเวณใน ของวงแหวนจะร้อนมากกว่าก๊าซที่อยู่บริเวณ นอกของวงแหวน การมีอุณหภูมิต่ำทำให้ก๊าซ ในบริเวณนอกเปล่งแสง ที่เราสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ ส่วนก๊าซที่อยู่บริเวณในของวงแหวนซึ่งมีอุณหภูมิสูงกว่าเพราะร้อนกว่า จะเปล่งรัวสีเอกซ์ ดังนั้นความสว่างของบริเวณต่างๆ ของวงแหวนจะเป็นตัวดัชนีชี้บอกให้นักวิทยาศาสตร์รู้ว่า ก๊าซที่กำลังไหลเทจากดาวฤกษ์ลงสู่หลุมดำมีปริมาณมากหรือน้อยเพียงใด ในกรณีของหลุมดำขนาดใหญ่ อัตราการไหลของก๊าซ อาจจะคิดเป็นมวลมาก เท่ากับน้ำหนักของดวงอาทิตย์ ถึงล้านล้านดวง/ปี

(http://pirun.ku.ac.th/%7Eb4946044/145.jpg)
หลุมดำ (Black Holes) หลุมดำกำเนิดจากการยุบตัวของดาวฤกษ์มวลมากเมื่อสิ้นอายุขัย ความน่าพิศวงของหลุมดำก็คือ
มันมีความหนาแน่นมากจนกระทั่งไม่มีสิ่งใดๆจะหลุดรอดจากแรงโน้มถ่วงอันมหาศาลของมันได้แม้กระทั่งแสง
ปัจจุบันนักดาราศาสตร์พบหลักฐานว่าหลุมดำมีอยู่จริง และยังพบว่ามีหลุมดำยักษ์ที่เรียกว่า
Supermassive Black Holes ซึ่งมักจะอยู่บริเวณใจกลางกาแล็กซี่ด้วย
ภาพหลุมดำรุนแรงใจกลางกาแลกซี NGC 1097

(http://www.astroschool.in.th/picpost/news/part1_310709001734_small.jpg)

กาแลกซีที่ขดเป็นวงพร้อมทั้งมีวัตถุคล้ายดวงตาตรงใจกลางเป็นที่อยู่ของหลุม ดำที่ถูกซุกซ่อนและห้อมล้อมด้วยดาวฤกษ์ที่กำลังถือกำเนิด นี่คือกาแลกซี NGC 1097 ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 50 ล้านปีแสง มันมีโครงสร้างแขนเกลียวคล้ายกับกาแลกซีทางช้างเผือกของเรา(Milky Way) “ดวงตา” ที่ใจกลางกาแลกซีเกิดจากหลุมดำอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งไม่สามารถมองเห็นแต่ถูกล้อมรอบด้วยดาวฤกษ์และดาวฤกษ์เกิดใหม่ที่กราด เกรี้ยว ภาพถ่ายจากย่านรังสีอินฟราเรด(infrared) โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ (Spitzer Space Telescope) แสดงพื้นที่รอบๆ หลุมดำที่มองไม่เห็นด้วยดาวฤกษ์สีน้ำเงินและขาว  
หลุมดำไม่สามารถมองเห็นได้เนื่องจากมวลและแสงถูกแรงโน้มถ่วงอันรุนแรงของ หลุมดำดักจับเอาไว้ ทำให้ไม่มีอนุภาคหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหลุดรอดออกมาจากหลุมดำ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์สามารถค้นหาหลุมดำได้โดยสังเกตอันตรกิริยาเชิงโน้มถ่วงกับ เทหวัตถุข้างเคียง หลุมดำมีมวลประมาณ 100 ล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์ ในขณะที่หลุมดำใจกลางทางช้างเผือกมีมวลไม่กี่ล้านเท่าของดวงอาทิตย์เท่านั้น George Helou รักษาการผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สปิตเซอร์ (Spitzer Science Center) ของนาซา ที่สถาบันคาลิฟอร์เนียเพื่อเทคโนโลยี (California Institute of Technology: CalTech) ระบุว่าหลุมดำและดาราจักรแห่งนี้มีประโยชน์ในการวิจัย และพิสูจน์ทฤษฎีที่อธิบายว่าหลุมดำอาจสงบลงและท้ายที่สุดจะเข้าสู่สภาวะสงบ เช่นเดียวกับหลุมดำของกาแลกซีทางช้างเผือก  
วงแหวนรอบๆ หลุมดำคือดาวฤกษ์ใหม่ที่กำลังก่อตัวและประทุ วัสดุที่ไหลเข้าไปยังส่วนบาร์ศูนย์กลางของกาแลกซี ทำให้เกิดวงแหวนอันสว่างไสวไปด้วยดาวฤกษ์ดวงใหม่ ซึ่งมีอัตราการเกิดสูงมาก แขนเกลียวสีแดงของกาแลกซีบ่งบอกว่ามีฝุ่นอวกาศในบริเวณดีงกล่าวร้อนขึ้น เพราะความร้อนจากดาวฤกษ์ดวงใหม่ ดาวฤกษ์อายุมากกระจัดกระจายไปทั่วกาแลกซีถูกแสดงเป็นสีฟ้า ส่วนจุดสีฟ้าเลือนๆ บริเวณด้านซ้ายซึ่งอยู่ระหว่างแขนเกลียวเป็นกาแลกซีบริวาร ภาพถ่ายเหล่านี้ถ่ายในช่วง “ภารกิจเย็น” ซึ่งทำงานมากว่าห้าปีครึ่ง สารเคมีหล่อเย็นของกล้องโทรทรรศน์สปิตเซอร์ลดลงเกินกว่าระดับที่จำเป็นในการ ทำความเย็นให้กับอุปกรณ์ถ่ายภาพรังสีอินฟราเรดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีช่องสัญญาณสองช่องยังสามารถถ่ายภาพได้ใน “ภารกิจร้อน” ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นในอีกหนึ่งสัปดาห์หรือนานกว่า โดยทำการปรับแต่งค่าให้มีอุณหภูมิทำงานพื้นฐานที่ 30 เคลวิน (-243 องศาเซลเซียส)





หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Aoffii@ImSry ที่ 22 ตุลาคม 2552 08:50:40
Black hole ความหมายในทางตรงว่า ประเภทหลุมลึกลับที่ไม่มีก้นหลุม กำหนด โดย John Archibald Wheeler ค.ศ.1967 เมื่อพิสูจน์ในทางฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ แล้ว Black hole มีจริงไม่ใช่เรื่องเท็จ สามารถสำรวจพบบริเวณใด ก็ตามที่เกิดขึ้น ในกรณีแหล่งจบสิ้นอายุขัยของดาว
แต่เรามองไม่เห็น เชื่อว่ามีเป็นจำนวนพันล้านแห่งในจักรวาล เป็นกฎเกณฑ์ของ ฟิสิกส์ และกฎเกณฑ์ความแปลกประหลาด ของแรงดึงดูด ด้วยทุกวัตถุที่อยู่ใน จักรวาลจะผูกมัดกัน ด้วยแรงดึงดูด ไม่ว่าจะเป็นพลังงานไฟฟ้า พลังงานแม่เหล็ก พลังงานความกดดันแข็งแกร่ง ครอบคลุมกว้างไกลทั่วไป สุดขอบจักรวาล
รูปทรงสัณฐานของหลุมดำ
มวลวัตถุขนาดใหญ่เท่าใดก็ตาม เมื่อโคจรเข้าสู่ใกล้สภาวะเขตหลุมดำ ถูกบีบอัด บีบคั้นให้เล็กลงๆ เล็กลงๆอย่างไม่จุดสิ้นสุด สู่ใจกลางบริเวณ Central singularity (จุดพิศวง) เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อแม้กระทั่งแสง ก็ถูกอัดแน่นรวมเข้า ไปด้วยอย่าง ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ
พบครั้งแรกสรุปผลโดย Karl Schwarzschild นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน จึงเรียกว่า Schwarzschild radius คือ ขอบวงรัศมีของหลุมดำ ชนิดที่ไม่มีการหมุนปั่นเป็น *Censer*ส่วนพื้นที่ของหลุมดำ ขนาดสำรวจพบรัศมีราว 6 ไมล์
โดยเนื้อแท้หลุมดำ อาจแสดงตัวขอบวงรัศมีใหญ่หรือเล็กก็ได้ แต่จะไม่ใหญ่โต มาก เพราะไม่จำเป็นต้องมีความเป็นปึกแผ่นของพื้นผิววัตถุซึ่งต่างจากวัตถุอื่นๆ ในจักรวาลเท่าที่เคยพบ

(http://sunflowercosmos.org/cosmology/black_hole_images/1_basic_structure.jpg)
Schwarzschild radius รูปแบบหลุมดำที่ไม่มีการหมุน
มีจุดศูนย์กลาง Central singularity (จุดพิศวง)
สำรวจพบครั้งแรกโดย Karl Schwarzschild นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน
(http://sunflowercosmos.org/cosmology/black_hole_images/1_black_hole.jpg)
Non-spinning Black hole คือ หลุมดำที่มีรูปแบบสัณฐานไม่มีการหมุนปั่น

(http://sunflowercosmos.org/cosmology/black_hole_images/1_black_hole1.jpg)
Spinning Black hole คือ หลุมดำที่มีรูปแบบสัณฐานมีการหมุนปั่น
เบื้องต้นข้อสรุปสัณฐานหลุมดำแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะดังนี้
Non-spinning Black holes คือ หลุมดำที่มีรูปทรงสัณฐานไม่มีการหมุนปั่น พบว่ามีการเปล่งแสงจากธาตุเหล็ก (Iron emission) จากก๊าซร้อนที่เกาะพอก รอบ ๆแผ่นจาน (Accretion disk) เป็นอะตอมใกล้กับบริเวณหลุมดำ เปล่งแสง รังสีออกมา ด้วยค่าพลังงานต่ำ
Spinning Black holes คือ หลุมดำที่มีรูปทรงสัณฐานมีการหมุนปั่นพบอนุภาค ที่ใกล้หลุมดำ เป็นสิ่งที่ทำให้มีโอกาสเกิดริ้วคลื่นของ Space-time จะหมุนปั่นช้า หรือเร็วได้
การหมุนปั่นดังกล่าวจะกวาด ลากดึงไปโดยรอบอวกาศ ยิ่งเป็นการดึงอะตอมเข้า ใกล้มากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดความแข็งแกร่งของแรงโน้มถ่วง จนชะงัก กระทบให้หยุด หมุนปั่น เกิดรังสี X-ray จาก Iron อะตอมที่แกว่งไปมา ด้วยค่าพลังงานต่ำ
(http://sunflowercosmos.org/cosmology/black_hole_images/1_spinning_black_hole.jpg)
ระบบการหมุนตัวของ Black hole มีขอบเขตวง 2 ชั้น
Outer event horizon (วงชั้นนอก) และ Inner event horizon (วงชั้นใน) โดยเขตจำกัด Static limit (ขอบวัตถุและกำลังที่อยู่คงที่)
จุดศูนย์กลางคือ Ring singularity (วงแหวนพิศวง)
การหมุนรอบแกนหลุมดำ ขึ้นอยู่กับรายละเอียดปลีกย่อยและยุ่งยากของตำแหน่ง ที่ตั้ง ล้อมรอบด้วยแรงฉุดดึงมากมายในอวกาศ ระบบการหมุนปั่นของหลุมดำมี ขอบเขตวงเหตุการณืที่เกิด 2 ชั้นและโครงสร้างดังนี้
Outer event horizon คือ ขอบเขตเหตุการณ์ชั้นนอก และ Inner event horizon คือ ขอบเขตเหตุการณ์ชั้นใน ส่วน Ergosphere คือ บริเวณที่ผูกมัดระหว่าง วงขอบเขตเหตุการณ์ด้านนอก กับแนวขอบเขตจำกัด Static limit (ขอบวัตถุและ กำลังที่อยู่คงที่) ตรงจุดศูนย์กลางคือ Ring singularity คือ วงแหวนพิศวง (หรือจุดศูนย์กลางพิศวง)
การศึกษาเพิ่มเติมใหม่ได้เปิดเผยโครงสร้างหลุมดำ ที่เรียกว่า Black holes X-ray nova แสดงโครงสร้างก๊าซ ดูดออกมาจาก ดวงดาว ด้วยแรงโน้มถ่วงจากหลุมดำ หมุนปั่นอย่างเป็นรูปแบบ ทำให้ก๊าซมารวมตัวกันเป็นวงรอบๆ เห็นแบบสลัวๆ เมื่อระบบมีความสมบูรณ์ จะมองไม่เห็น เพราะไม่มีพื้นผิว จุดศูนย์กลางมืดสนิท
และ Neutron star X-ray nova แสดงโครงสร้างก๊าซท่วมล้นทับถม ลงสู่ด้านใน ของ ดาวนิวตรอน โดยก๊าซเริ่มรวมตัวกับดาว หลังจากนั้นเกิดหลุมดำเข้าแทนที่ แรงโน้มถ่วง กระทำให้ก๊าซนั้นสลัวลง ขณะเดียวกันก๊าซจู่โจมพื้นผิวดาวนิวตรอน เกิดแสงสว่างขึ้น

(http://sunflowercosmos.org/cosmology/black_hole_images/1_black_hole_chematic.jpg)
แบบแผนระบบไฟฟ้าของหลุมดำ
ระบบของหลุมดำที่น่ากังขา
บริเวณด้านนอกใกล้หลุมดำ มีปรากฎการณ์ Magnetic field lines (เส้นสนามแม่ เหล็ก) สร้้างรัศมีของแสงรอบขอบหลุมดำ เส้นสนามแม่เหล็กเหล่านี้มีพลังงาน สูงเป็นพิเศษ พุ่งเป็นลำไฟฟ้าออกมาจากหลุมดำ ยิ่งเพิ่มค่ารังสี X-ray
ภายในหลุมดำ ยังทราบไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากภายในมืดปราศจากแสงและยัง ไม่มีเครื่องมือใดๆ จะเข้าไปสำรวจภายในหลุมดำได้ ทางทฤษฎีเชื่อว่ามวลภายใน ทั้งหมดซ้อนเป็นชั้นๆเหมือนเยื่อหุ้ม เป็นจุดๆเดียวอยู่ตรงกลาง เรียกว่า จุดพิศวง
เข้าใจว่า แบบแผนใจกลางหลุมดำ มีความต้องการหลอมละลายตามกฎเกณฑ์ แรงโน้มถ่วง ในคุณสมบัติแบบ Smallest scales (ขนาดเล็กย่อย) หรือเรียกว่า Quantum mechanics (เป็นการรวมกันระหว่าง กลศาสตร์ควอนตัม และทฤษฎี สัมพัทธ์ภาพพิเศษ) แต่ยังเป็นปัญหาลึกลับ ด้วยปัญหาการอธิบายในด้านฟิสิกส์ 
เชื่อว่าภายในหลุมดำมีลักษณะซ้อนเป็นชั้นคล้ายเยื่อหุ้ม

ประเภทของหลุมดำที่สำรวจพบ
ประการสำคัญ หลุมดำ มีความแตกต่าง จากสิ่งต่างๆในจักรวาลโดยสิ้นเชิง เพราะ ความผันผวนเกิดขึ้นโดยรอบ ด้วยลักษณะหลักพิเศษ 3 ประการ ประกอบกัน คือ
ด้วยจำนวนมวลสสาร ว่ามีจำนวนเท่าใด ด้วยการหมุนปั่นรอบแกน ด้วยความเร็วเท่าใด และด้วยเรื่องแบบแผนประจุไฟฟ้าของหลุมดำ
หากองค์ประกอบทั้งหมด มีความสมบูรณ์ หลุมดำจะเริ่มดูดกลืนวัตถุต่างๆทันที การสำรวจตรวจวัดจำนวนมวล สามารถศึกษาวัตถุดิบ รอบๆหลุมดำได้ แต่ก็นับว่า เป็นเรื่องยาก เดิมสำรวจตรวจพบเพียง 2 ประเภท คือ Stellar-mass และ Super massive (บางสถาบันกำหนดเพิ่มเติมประเภท Mid-mass จึงรวมเป็น 3 ประเภท) ในอนาคตอาจมีประเภทมากขึ้นอีกได้
การดูดกลืน Yellow star ของหลุมดำใจกลาง Galaxy RX J1242-11
Stellar-mass black holes
ประกอบด้วยความหนาแน่นของมวล 5 - 100 เท่าของดวงอาทิตย์ เกิดขึ้นด้วย พัฒนาการวงจรดาวขั้นสุดท้าย ขนาดมวลมีความหนาแน่น ของธาตุหนักมากกว่า ดวงอาทิตย์ หรือ ระดับดาวทั่วไป โดยดาวได้พลังงานจาก หลอมละลายเผาไหม้ ภายในแกนถึงระยะเวลาหนึ่ง (นับหลาย พันล้านปีหรือมากกว่า) เชื้อเพลิงหมดสิ้น ทุกอย่างยุบตัวลง สู่จุดศูนย์กลางด้วยความหนาแน่นสูง เกิด Deep gravitational warp (แนวโค้งงอด้านลึกของแรงโน้มถ่วง) ในอวกาศ เรียกว่า หลุมดำประเภท Stellar-mass (มวลจากดาว)
หลุมดำประเภทนี้ ไม่มีพื้นผิวเช่นดาว เกิดขึ้นที่ใดก็ได้ มีขอบเขตเท่าใดก็ได้โดย มองไม่เห็นในอวกาศเรียกว่า Event horizon (ขอบเขตเหตุการณ์) หากมีวัตถุใด ก็ตาม ผ่านเข้าสู่ Event horizon ก็จะถึงวาระถูกกำจัด ด้วยแรงโน้มถ่วงบีบอัด ไม่เห็นแสง ไม่สามารถ X-rays ได้ในขณะเกิด ไม่มีรูปแบบ Electromagnetic radiation(รังสีสนามแม่เหล็ก) ไม่แสดงอนุภาคใดๆ ไม่แสดงค่าพลังว่ามีเท่าใด จากมวล แต่ความสามารถดูดกลืนบีบอัด
Mid-mass black holes
เป็นประเภทใหม่ที่สำรวจพบ ประกอบด้วยความหนาแน่นมวล 500 – 1,000 เท่า ของดวงอาทิตย์ เกิดขึ้นด้วยการพัฒนาการวงจรดาว ขั้นสุดท้ายเป็นการเกิดสืบ เนื่องด้วยธรรมชาติ พัฒนาการวงจรดาวแบบมวลแน่นหนา สามารถค้นหาสังเกต จากดาวที่มีการเร่งความเร็วของวงโคจรอย่างไม่เคยพบ มาก่อนหน้านี้
Supermassive black holes
ประกอบด้วยความหนาแน่นของมวล นับล้านเท่าของดวงอาทิตย์ หรือเทียบระดับ กาแล็คซี่ขนาดเล็ก เป็นแบบฉบับความพิศวงของจักรวาล สำรวจพบในบริเวณจุด ศูนย์กลางกาแล็คซี่ ยังไม่ทราบถึงสภาพรูปแบบตั้งต้นว่า เป็นการยุบตัวของ กลุ่มหมอกก๊าซในกาแล็คซี่ หรือจากสะสมทีละน้อยจากหลุมดำ ในกลุ่ม Stellar black holes ที่ท่วมล้นทับถมกัน หรือผสมรวมกันของหลุมดำจาก กลุ่มกระจุกดาว หรืออาจจากกลไกอื่นๆในจักรวาล
สามารถค้นหาสังเกตจากกลุ่มหมอกก๊าซ หมุนวนแบบ Swirling (คล้ายวังวนน้ำ) รอบๆ หลุมดำ (โดยมองไม่เห็นตำแหน่งหลุมดำ) ด้านเทคนิค ใช้วิธีตรวจสอบ X-ray ค่าสะท้อนของแสง เพื่อหาค่าจากมวลรอบๆหลุมดำ ที่ท่วมล้นออกมาด้วย ความกดดัน
การหมุนปั่นตัวเองด้วยความเร็วสูง สร้างพลังความแข็งแกร่งสนามของแรงโน้มถ่วง (Powerful gravitational field) ความสามารถหมุนปั่นรอบแกน ด้วยความเร็วโดย ไม่มีขีดจำกัด ปราศจากแสงที่โผล่ออกมา แม้มีประจุไฟฟ้าเพราะจะหักล้างประจุ อย่างรวดเร็วจากการดูดกลืนวัตถุ สวนทิศทางสนามแม่เหล็กในทันที
(http://sunflowercosmos.org/cosmology/black_hole_images/1_black_holes_live.jpg)

ไม่เคยพบมาก่อน "หลุมดำคู่" โคจรรอบกันราวกับกำลังเต้นรำ

หลุมดำ" ที่น่าสะพึงกลัว มีอยู่ทั่วเอกภพ แม้แต่ในทางช้างเผือกของเรา ก็มีหลุมดำยักษ์ที่มวลมากกว่าดวงอาทิตย์ราวสี่ล้านเท่า หลบซ่อนอยู่ใจกลาง แต่ล่าสุดนักดาราศาสตร์เพิ่งพบ "หลุมดำคู่" ที่โคจรรอบกันและกันอยู่ภายในกาแลกซีเดียวกัน มีขนาดใหญ่กว่าในกาแลกซีของเรามากนัก อีกทั้งยังอยู่ใกล้กันชนิดที่ไม่เคยพบมาก่อน                ตามรายงานของไซแอนทิฟิกอเมริกันและบีบีซีนิวส์ ที่อ้างถึงทอดด์ บอรอสัน (Todd Boroson) และท็อด ลัวเออร์ (Tod Lauer) จากหอดูดาวดาราศาสตร์ทางแสงแห่งสหรัฐอเมริกา (National Optical Astronomy Observatory: NOAO) ในทูซอน รัฐแอริโซนา สหรัฐฯ พบว่า "ควอซาร์” (quasar) หรือวัตถุคล้ายดาว ที่ส่งคลื่นวิทยุหรือพลังงานรูปอื่นออกมา SDSS J153636.22+044127.0 ซึ่งเป็นควอซาร์บ้านใกล้เรือนเคียงกับเรานั้น มีคู่หลุมดำที่โคจรรอบกันและกัน และมีคาบสั้นกว่าระบบคู่อื่นๆ โดยมีคาบโคจรรอบกันราว 100 ปี                เมื่อ เทียบกับหลุมดำทั้งสองนี้แล้ว หลุมดำในทางช้างเผือกของเราเรียกได้ว่าเป็นหลุมดำแคระเลยทีเดียว โดยหลุมดำที่เล็กกว่ามีมวลประมาณ 20 ล้านเท่าของดวงอาทิตย์ ขณะที่หลุมดำขนาดใหญ่ประมาณว่ามีมวลเกือบๆ 800 ล้านเท่าของดวงอาทิตย์เลยทีเดียว                อีกทั้ง ตามข้อมูลการวิเคราะห์ของทีมวิจัยซึ่งตีพิมพ์ผลงานลงวารสารเนเจอร์ (Nature) ประมาณว่าหลุมดำทั้งคู่อยู่ห่างกัน 1 ใน 3 ปีแสง ขณะที่ดาวข้างเคียง ซึ่งใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดนั้น ยังมีระยะทางมากว่าระยะดังกล่าวประมาณ 13 เท่า                ตามทฤษฎีการก่อตัวของกาแลกซีซึ่งมีหลุมดำอยู่ใจกลางนั้น ทฤษฎีชี้ว่า ตราบเท่าที่กาแลกซีอยู่ใกล้อีกกาแลกซีนั้น หลุมดำของกาแลกซีทั้งสองจะโคจรรอบกันจนกว่าจะรวมกันในที่สุด แต่ทฤษฎีเกี่ยวกับหลุมดำที่อยู่ใกล้กันมากและโคจรรอบกันนั้นไม่มีค่อยมีให้ เห็น                ทางด้านจอน มิลเลอร์ (Jon Miller) จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนในแอนน์อาร์บอร์ (University of Michigan at Ann Arbor) เรียกการศึกษานี้ว่า "ตัวอย่างแรกที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ของระบบหลุมดำคู่ที่มีพันธะเหนี่ยวแน่น" โดยก่อนหน้านี้มีระบบคล้ายๆ กัน แต่หลุมดำอยู่แยกกันไกลกว่านี้มาก หรือในกรณีของควอซาร์ที่ชื่อ OJ 287 ก็ยังไม่มีหลักฐานสรุปว่ามีหลุมดำคู่

ณสมบัติทั่วไปของหลุมดำ  หลุมดำ (Black Hole) เป็นอาณาบริเวณในอวกาศที่มีความโน้มถ่วงสูงมาก จนกระทั่งสสารใด ๆ ก็ตามรวมทั้งแสงและสัญญาณต่าง ๆ ที่ตกลงไปในหลุมดำแล้วจะไม่สามารถหลุดรอดออกมาได้อีก แนวคิดเกี่ยวกับการมีอยู่ของหลุมดำในอวกาศ เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1783 โดยจอห์น มิชเชล (John Michell) และต่อมาในปี ค.ศ. 1798 โดยปิแอร์ ลาปลาส (Pierre Laplace) ที่เสนอว่าอาจจะมีวัตถุมวลสูงในเอกภพที่ไม่อาจมองเห็นได้เนื่องจากแรงโน้ม ถ่วงที่ผิวสูงเกินไป จนแม้กระทั่งแสงก็มิอาจหลุดลอดไปได้ ณ บริเวณผิวของวัตถุในลักษณะเช่นนี้ ค่าความเร็วหลุดพ้น (Escape Velocity) จะสูงกว่าค่าอัตราเร็วแสงแบบจำลองปัจจุบันของหลุมดำ
ซึ่งอธิบายได้โดยอาศัยพื้นทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไป (General Theory of Relativity) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ถ้าสสารที่มีมวลเหมาะสมปริมาณหนึ่ง ถูกบีบอัดจนกระทั่งมีขนาดรัศมีวิกฤต (Critical Radius ) ที่เรียกว่า “รัศมีชวาซชิลต์ (Schwarzschild Radius)” แล้ว จะไม่มีสสาร แสง หรือสัญญาณใด ๆ หลุดรอดออกจากวัตถุดังกล่าวนี้ได้ 
ดังนั้นหลุมดำจะเกิดขึ้นได้ เมื่อสสารถูกบีบอัดให้มีขนาดเล็กกว่ารัศมีชวาซชิลต์ และขอบเขตโดยรอบหลุมดำที่มีรัศมีชวาซชิลต์ มีชื่อเรียกว่า “ขอบฟ้าเหตุการณ์ ( Event Harizon )” ความจริงแล้วหลุมดำจะมีลักษณะเป็นวัตถุที่ไม่ได้เป็นของแข็ง แต่เป็นบริเวณในอวกาศที่มีขนาดขึ้นอยู่กับปริมาณของสสารที่ตกสู่ภายใน โดยทั่วไปแล้วรัศมีชวาซชิลต์ มีขนาดเล็กมาก อาธิวัตถุขนาดดวงอาทิตย์ ถ้ายุบตัวเป็นหลุมดำได้จะมีรัศมีชวาสชิลด์เพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้นและวัตถุขนาดโลกหากสามารถยุบตัวเป็นหลุมดำได้จะมีขนาดเพียง ลูกหินเท่านั้น
ตามทฤษฏีการวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ หลุมดำเกิดจากการยุบตัวของดาวที่มีมวลมาก เนื่องจากผลของแรงโน้มถ่วง เมื่อการเผาไหม้เชื้อเพลิงบริเวณใจกลางของดาวฤกษ์ ยุติลงในขั้นตอนสุดท้ายของการวิวัฒนาการ ที่จริงแล้วดาวฤกษ์ทุกดวงสามารถยุบตัวเป็นวัตถุที่มีความหนาแน่นสูงมาก (Dense Compact Objects) แต่ดาวที่มีมวลมากที่สุดจะยุบตัวได้อย่างต่อเนื่องจนสสารถูกอัดแน่นกลายเป็น จุดที่มีค่าความหนาแน่นเป็น “อนันต์” เรียกว่า “จุดชิงกูลาริตี (Singularity)” ซึ่งก่อนที่จะยุบตัวจนกลายเป็นจุด การยุบตัวของดาวจะผ่าน “ขอบฟ้าเหตุการณ์”ซึ่งเมื่อผ่านขอบเขตดังกล่าวนี้แสงจะไม่สามารถหลุดลอดออก มาได้อีกต่อไป วัตถุดังกล่าวจึงกลายเป็นหลุมดำ
หลุมดำเป็นแหล่งพลังงานมหาศาล ขณะที่สสารตกลงสู่หลุมดำผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ สสารจะปล่อยพลังงานศักย์เนื่องจากความโน้มถ่วงจำนวนมากออกมาโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งถ้าหลุมดำมีการหมุน จะปล่อยพลังงานมากกว่ากรณีหลุมดำที่หยุดนิ่ง ดังนั้นการสังเกตหลุมดำทำได้โดยการสังเกตพลังงานที่แผ่ออกมาจากสสารในขณะที่ ตกลงสู่หลุมดำนั่นเอง ตัวอย่างเช่นในระบบดาวคู่ ที่มีสมาชิกดวงหนึ่งเป็นหลุมดำ ดาวสมาชิกอีกดวงหนึ่งที่มองเห็นจะโคจรรอบหลุมดำที่ไม่อาจสังเกตเห็นได้
อย่างไรก็ตามถ้าสสารจากสมาชิกดวงที่มองเห็นถูกดูดให้ตกลงไปในหลุมดำ จะปล่อยพลังจำนวนมหาศาลออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โฟตอนพลังงานสูง เช่นรังสีเอกซ์ เป็นต้นนักดาราศาสตร์สามารถระบุหลายบริเวณบนท้องฟ้าที่น่าจะมีหลุมดำอยู่ บริเวณที่ระบุได้ว่ามีหลุมดำ บริเวณแรกได้แก่ “ซิกนัส เอกซ์-1 (Cygnus X-1)” ในกลุ่มดาวหงส์ และอีกบริเวณหนึ่งในกลุ่มดาวหงส์ ได้แก่ “ วี 404 ซิกนี ( V404 Cygni ) ” เป็นบริเวณที่แผ่รังสีเอกซ์เข้มข้นมาก และนักดาราศาสตร์ค่อนข้างแน่ใจว่ามีหลุมดำอยู่บริเวณดังกล่าวนี้ นอกจากนี้ยังมีระบบดาวคู่รังสีเอกซ์ (X Binary System) ที่สำคัญ ๆ อีกเช่น LMC X-3 และ A0620-00 เป็นต้น

หลุมดำบางชนิดไม่ได้เกิดจากซากของดาวฤกษ์ในขั้นตอนสุดท้ายของการวิวัฒนาการ แต่เป็นวัตถุที่มีมวลมากบริเวณใจกลางของควาซาร์ และกาแล็กซีที่มีชื่อเรียกว่า“หลุมดำมวลยิ่งยวด (Supermassive Black Holes)” ที่สามารถดึงดูดสารระหว่างดาวจำนวนมหาศาล หรือดาวเป็นจำนวนมากให้ตกลงสู่วัตถุดังกล่าวนี้ได้ และปล่อยพลังงานจำนวนมหาศาลออกมา

ปี ค.ศ. 1994 กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล พบหลักฐานว่ามีหลุมดำมวลยิ่งยวด อยู่บริเวณใจกลางของกาแล็กซี M87 และคำนวณมวลของหลุมดำได้ประมาณ 2-3 หมื่นล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์และมีขนาดเพียงไม่เกินขนาดของระบบสุริยะเท่า นั้น ปี ค.ศ. 1999 ดาวเทียมรังสีเอกซ์ของญี่ปุ่น ชื่อ อาสกา ( Asca ) พบผลเชิงสัมพัทธภาพบริเวณหลุมดำ MCG-6-30-15 กล่าวคือ พบมวลสารกำลังถูกดูดเข้าสู่หลุมดำด้วยความเร็วสูงถึง 1 ใน 3 ของความเร็วแสง ณ ระยะประมาณ 6 เท่าของรัศมีชวาซชิลต์ จากใจกลางของหลุมดำ
สตีเฟน ฮอร์คิง (Stephen Hawking) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวอังกฤษยังเสนอหลุมดำที่ไม่ใช่ซากของดาวฤกษ์อีกชนิด หนึ่งคือ “หลุมดำแรกเริ่ม (Primordial Black Holes)” หลุมดำดังกล่าวนี้อาจมีมวลน้อยกว่าดาวเคราะห์น้อย ซึ่งเกิดขึ้นมาในช่วงเวลาเริ่มเกิดการระเบิดใหญ่ (Big Bang) ของเอกภพและมีขนาดเล็กมาก

ยานอวกาศ Pioneer Venus พบลมหมุนที่ขั้วเหนือของดาวศุกร์เมื่อ 25 ปีก่อน ครั้งนั้นพายุลูกนี้จัดเป็นปริศนาอย่างหนึ่งในระบบสุริยะ เนื่องจากมันมี “ตาพายุ” สองจุด แต่เมื่อ Venus Express เดินทางถึงดาวศุกร์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และพบว่าที่ขั้วใต้ของดาวศุกร์ก็มีพายุหมุนที่มี “ตาพายุ” สองจุดเช่นกัน

พายุหมุนที่ขั้วดาวถือเป็นกุญแจสำคัญในการศึกษาพลศาสตร์ของชั้นบรรยากาศดาว เคราะห์แต่พวกมันไม่ใช่พายุเฮอริเคนเพราะพายุเฮอริเคนเกิดจากอากาศชื้นลอย ตัวสูงขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ แต่ดาวศุกร์ไม่มีความชื้น นอกจากนี้พายุเฮอริเคนจำเป็นต้องใช้แรงโคริโอริส(Coriolis) อันเป็นแรงที่เกิดจากการหมุนของอากาศและการหมุนของดาวเคราะห์เพื่อเพิ่มความ เร็ว แต่ทว่าแรงโคริโอริสกลับมีผลน้อยมากบริเวณขั้วดาวนอกจากนี้กว่าดาวศุกร์จะ หมุนรอบตัวเองครบรอบยังต้องใช้เวลาถึง 243 วันของโลก นั่นหมายความว่าแรงโคริโอริสบนดาวศุกร์ยิ่งน้อยมากๆ

ในที่นี้ลมหมุนบริเวณขั้วดาวเกิดจาก อาณาเขตที่มีความกดอากาศต่ำซึ่งอยู่ที่ขั้วของดาวเคราะห์ทำให้ก๊าซใน บรรยากาศชั้นสูงหมุนควงลงไปยังบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำกว่า ซึ่งปรากฎการณ์นี้เกิดได้บนดาวเคราะห์ทุกดวงแม้กระทั่งโลก

แต่ปัญหาก็คือดาวศุกร์มี “ตาพายุ” สองจุด เพื่อทำความเข้าใจลมหมุนประหลาดดังกล่าว ทุกครั้งที่ยาน Venus Express เข้าใกล้ขั้วดาว อุปกรณ์บนยานจะต้องเก็บเกี่ยวข้อมูลให้มากเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อติดตามการแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วของพายุให้ได้ละเอียดที่สุด เพื่อที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถศึกษาพฤติกรรมและค้นหาปัจจัยเบื้องหลังปราก ฎการณ์นี้

เดือนนี้ยานอวกาศ Cassini พบพายุหมุนบนขั้วดาวเสาร์ แต่เมื่อราว 25 ปีก่อนนักดาราศาสตร์พบพายุหมุนบนขั้วดาวศุกร์เช่นกัน แต่ครั้งนี้นักดาราศาสตร์เชื่อว่านี่จะช่วยถมช่องว่างแห่งความไม่เข้าใจ เกี่ยวกับชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ได้

ในเวลาเดียวกันยาน Cassini กำลังเก็บเกี่ยวข้อมูลพายุหมุนที่ขั้วดาวเสาร์ต่อไป โดยใช้อุปกรณ์ Visual Infrared Mapping Spectrometer เพื่อศึกษาใจกลางของพายุลูกดังกล่าว

ภาพในย่านรังสีอินฟราเรดช่วยให้นักดาราศาสตร์มองทะลุชั้นเมฆที่บดบังแสงตา มนุษย์มองเห็นลงไปได้มากกว่า 100 กิโลเมตร จากเมฆชั้นสูงสุดที่ตามนุษย์ไม่อาจมองลึกลงไปได้อีก ภาพที่ได้จะถูกนำไปศึกษาโครงสร้างสามมิติของพายุหมุนที่ขั้ว ซึ่งจะช่วยเปรียบเทียบโครงสร้างพายุหมุนระหว่างพายุบนดาวศุกร์กับดาวเสาร์ หรือแม้แต่บนดาวเคราะห์อื่นๆ ความคล้ายและความต่างของพายุชนิดนี้ บนดาวเคราะห์แต่ละดวงจะช่วยให้นักดาวเคราะห์วิทยาทำความเข้าใจความแตกต่าง ของชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ เหนือสิ่งอื่นใดคือการ “เข้าใจ” โลกได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง
สงสัยเรื่องขนาดของหลุมดำในบทความเรื่อง “วันของหลุมดำบนโลก” ที่ระบุว่า หลุมดำจากเครื่อง LHC ถ้าเกิดขึ้นจริง จะมีขนาดเล็กจิ๋วเพียงระดับเป็น 10 เมตร มีอายุสั้นมากเพียงระดับ 10 วินาทีเท่านั้น แล้วหลุมดำจิ๋วก็จะสลายตัวไป คุณคณินสงสัยว่า ขนาดของหลุมดำจิ๋วดังกล่าวนั้น ไม่ใหญ่เกินไปหรือ เพราะขนาดระดับ 10 เมตร ก็น่าจะดูดเครื่องมือหรืออุปกรณ์เข้าไปได้ คุณคณินคิดว่า หลุมดำจิ๋วจากเครื่อง LHC น่าจะเล็กกว่าระดับเป็นเมตรเสียอีก

ผมได้รับอีเมลจากคุณคณินมาหลายวันแล้ว และก็ตั้งใจจะตอบให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย เพราะมีคำถามถึงผมมากทีเดียวเกี่ยวกับขนาดของหลุมดำ แต่พอดีมีเรื่องอื่นๆ ที่เร่งด่วนให้ผมต้องเขียน ลงให้อ่านกันในคอลัมน์ “มิติคู่ขนาน” จนกระทั่งถึงวันนี้ ก็ขออภัยคุณคณินในความล่าช้าด้วย ส่วนข้อสังเกตของคุณคณิน คำตอบจะอยู่ในเรื่อง “ขนาดของหลุมดำ” ครับ

หลุมดำมีขนาดเท่าไร?
หลุมดำ หรือ Black Hole สิ่งมหัศจรรย์ชวนพิศวงแห่งจักรวาล ซึ่งนักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่ามีอยู่จริง แต่ไม่สามารถจะมองเห็นได้ เพราะแสงเมื่อเข้าใกล้หลุมดำถึงระดับหนึ่ง ก็จะไม่สามารถออกมาจากหลุมดำได้เลย และจึงทำให้หลุมดำมีสภาพเป็น “ดาวล่องหน”







หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Aoffii@ImSry ที่ 22 ตุลาคม 2552 08:50:58
เรื่องขนาดของหลุมดำ โดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 ความหมาย คือ (1) ขนาดของหลุมดำตามกระบวนการเกิด เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า “ซิงกูลาริตี” (Singularity) และ (2) ขนาดของหลุมดำที่สังเกตได้ เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า “Schwarzschild Radius” (รัศมีซวาร์ซชิลด์) หรือ “Event Horizon” (ขอบฟ้าเหตุการณ์)

ตามกระบวนการเกิดหลุมดำ โดยทั่วไปดาวฤกษ์ที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเราประมาณ 2 เท่าครึ่งขึ้นไป บั้นปลายชีวิต ถ้าไม่เปลี่ยนไปเป็นซูเปอร์โนวาชนิดระเบิดหมดทั้งดวง ก็จะเปลี่ยนไปเป็นดาวนิวตรอน และในที่สุดก็จะเปลี่ยนไปเป็นหลุมดำ โดยที่มวลทั้งหมดของดวงดาวจะยุบถล่มตนเอง ไปรวมกันที่ตำแหน่งใจกลางของดวงดาว เรียกว่า ซิงกูลาริตี ซึ่งมีสภาพเป็นเสมือนกับจุด กล่าวคือ ไม่มีขนาด ไม่มีปริมาตร โดยที่ซิงกูลาริตีอาจมีสภาพเป็น “สภาวะ” ของ Space-Time หรือ อวกาศ-เวลา ที่มีความหนาแน่นเป็นอนันต์ หรือ Infinite แต่มีขนาดเป็นศูนย์

แนวคิดเรื่องซิงกูลาริตีของหลุมดำ มักใช้กันโดยทั่วไปกับหลุมดำทั้งที่เคยเป็น ดาวฤกษ์ มาก่อน และที่เกิดจากการรวมตัวของมวลสารมากมาย อยู่ที่ตำแหน่งใจกลางของกาแลกซีส่วนใหญ่ (รวมทั้งกาแลกซีทางช้างเผือก) มีมวลมากกว่ามวลดวงอาทิตย์ของเราเป็นล้าน หรือพันล้านเท่า

ซิงกูลาริตี ของหลุมดำที่เป็นดาวฤกษ์มาก่อน หรือที่กำลังเป็นหลุมดำยักษ์อยู่ที่ใจกลางกาแลกซี ส่วนใหญ่เป็นซิงกูลาริตีที่มีเสถียรภาพ ตราบเท่าหลุมดำยังมีชีวิตอยู่ คือยังไม่สลาย แต่สำหรับหลุมดำจิ๋ว ที่เรียกว่า Mini Black Hole หรือ Micro Black Hole ที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพของจักรวาลหลังการเกิดบิกแบง แล้วก็มีหลุมดำจิ๋วเกิดขึ้น โดยที่หลุมดำจิ๋วเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้นก็จะสลายตัวอย่างรวดเร็ว เกือบจะในทันทีที่เกิดขึ้น ซิงกูลาริตีของหลุมดำจิ๋วก็จะเกิดขึ้น แล้วก็สลายตัวไปเกือบจะในทันทีกับหลุมดำจิ๋ว

หลุมดำจิ๋วนี้เอง ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการชนกันของโปรตอน ในเครื่องเร่งอนุภาค LHC ที่เซิร์น ขณะที่โปรตอน 2 กลุ่ม กำลังวิ่งสวนทางกันอยู่ในอุโมงค์ของเครื่อง LHC มีเส้นรอบวงยาว 27 กิโลเมตร ด้วยความเร็วประมาณ 99.999 เปอร์เซ็นต์ของความเร็วแสง จึงมีพลังงานสูงใกล้เคียงกับสภาพของจักรวาลหลังการเกิดบิกแบงใหม่ๆ และเป็นที่คาดในวงการวิทยาศาสตร์ว่า จะเกิดหลุมดำจิ๋วขึ้นมา

       หลุมดำจิ๋วที่เกิดในเครื่อง LHC อาจมีขนาดในระดับเพียง 10-19 (สิบยกกำลังลบสิบเก้า) เมตร และมีอายุสั้นมากเพียงระดับ 10-26 (สิบยกกำลังลบยี่สิบหก) วินาทีเท่านั้น จึงเสมือนหนึ่งเมื่อเกิดขึ้นก็สลายตัวในทันที ก่อนการกะพริบตาของคนเราเพียงหนึ่งครั้งเสียอีก (หมายเหตุ : คุณคณิน จึงเข้าใจถูกแล้วครับ ในบทความเรื่อง “วันของหลุมดำบนโลก” ตีพิมพ์ตกปริมาณตัวเลขสำคัญ คือ ตัวเลขยกกำลังสิบเก้า และยกกำลังลบยี่สิบหก ) ตัวเลข 10-19 เมตร กับ 10-26 วินาทีนี้ ก็เป็นเพียงตัวเลขที่แสดงถึงระดับขนาดและช่วงเวลาที่น้อยมากจริงๆ ในบางรายงานเกี่ยวกับหลุมดำจิ๋วที่เซิร์น ก็มีการยกตัวเลขยกกำลังเป็นลบที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็เป็นขนาดและช่วงเวลาที่สั้นมากๆ

สำหรับขนาดของหลุมดำที่สังเกตได้ คือ “รัศมีชวาร์ซชิลด์” หรือ “ขอบฟ้าเหตุการณ์” เป็นคุณสมบัติของหลุมดำที่เป็นรูปธรรม มีความหมายถึงตำแหน่งในอวกาศจากใจกลางหลุมดำ ซึ่งสำหรับหลุมดำแบบธรรมดาที่สุด หรืออาศัยการคำนวณอย่างธรรมดาที่สุดของหลุมดำไม่มีประจุไฟฟ้าและไม่หมุนรอบ ตัวเอง ก็จะมีลักษณะเป็นผิวทรงกลม โดยมีรัศมีขึ้นอยู่กับมวลของหลุมดำ เช่น...

หลุมดำมีมวลประมาณ 10 เท่าของดวงอาทิตย์ มีรัศมีชวาร์ซชิลด์ ประมาณ 30 กิโลเมตร

หลุมดำมีมวลประมาณ 1,000 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ มีรัศมีชวาร์ซชิลด์ ประมาณ 1,000 กิโลเมตร

หลุมดำยักษ์มีมวลประมาณ 1 แสน ถึง 1,000 ล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์ มีรัศมีชวาร์ซชิลด์ ประมาณ 0.001-10 เอยู (1 เอยู คือ หน่วยดาราศาสตร์ หมายถึง ระยะห่างระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก โดยเฉลี่ย มีค่าเท่ากับ 149, 597, 870 กิโลเมตร)

ดวงอาทิตย์ของเรา ถ้าเปลี่ยนไปเป็นหลุมดำ (ซึ่งไม่เกิดขึ้นจริง เพราะดวงอาทิตย์มีมวลน้อยเกินกว่าจะเปลี่ยนไปเป็นหลุมดำ) ก็จะมีรัศมีชวาร์ซซิลด์เพียงประมาณ 3 กิโลเมตร

ทำไมรัศมีชวาร์ซชิลด์ จึงถูกเรียกเป็น “ขอบฟ้าเหตุการณ์” ด้วย?
ขอบฟ้าเหตุการณ์ หรือ Event Horizon โดยทั่วไปหมายถึงตำแหน่งไกลสุด ที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ถ้าไกลกว่าตำแหน่งนั้นออกไป ตาเปล่ามนุษย์ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ จึงถูกนำไปเปรียบเทียบเรียกขนาดของหลุมดำอย่างเป็นรูปธรรม ว่า สามารถมอง หรือสังเกตเห็นสภาพโดยรอบหลุมดำได้ถึงระยะห่างจากใจกลางหลุมดำเพียงรัศมี ชวาร์ซชิลด์เท่านั้น

ในทางปฏิบัติ นักวิทยาศาสตร์สามารถจะ “หา” หรือ “วัด” รัศมีชวาร์ซชิลด์ได้ โดยการศึกษาสภาพรอบหลุมดำ ที่สามารถส่องกล้องโทรทรรศน์ เห็นอนุภาคดังเช่น แก๊สร้อนวิ่งวนเข้าหาหลุมดำ จนกระทั่งหายเข้าไปในบริเวณโดยรอบหลุมดำ และตำแหน่งบริเวณโดยรอบหลุมดำนั้นเอง คือ ขนาดอย่างเป็นรูปธรรมของหลุมดำ...

แล้วจากขนาดของหลุมดำนั้น นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถคำนวณหามวลของหลุมดำได้

สำหรับความเคลื่อนไหวของเครื่องเร่งอนุภาค LHC หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2551 แล้ว ก็ต้องปิดเครื่องเพื่อซ่อมเหตุขัดข้องจากวงจรไฟฟ้า ทำให้เกิดการรั่วไหลของฮีเลียมเหลว มีรายงานล่าสุด (วันที่ 30 พ.ย. 2551) จากเซิร์น ว่า เครื่อง LHC จะเริ่มต้นสตาร์ตเครื่องทำงานใหม่ปลายฤดูร้อนปี 2552

ฤดูร้อนในซีกโลกเหนือ (เช่นที่เซิร์น) เริ่มต้น 21 มิ.ย. ถึง 23 ก.ย. ของทุกปี
นักดาราศาสตร์พบระบบดาวชนิดใหม่ เป็นซากดาวที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่น เป็นหลักฐานบ่งชี้ "หลุมดำ" หลุดออกจากกาแลกซีแรงแค่ไหน ตามมาด้วยการรวมตัวกับหลุมดำของอีกกาแลกซีหนึ่ง เปรียบเปรยเป็นเหมือน "ดีเอ็นเอ" ของซากสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว เชื่อภาพของระบบดาวลักษณะนี้เคยผ่านตานักดาราศาสตร์มาบ้าง                "ระบบดาวหนาแน่นยิ่งยวด" (hypercompact stellar systems) เป็นวัตถุอวกาศชนิดใหม่ ที่กลุ่มนักดาราศาสตร์จากหลายสถาบันได้แก่ เดวิด เมอร์ริตต์ (David Merritt) สถาบันเทคโนโลยีโรเชสเตอร์ (Rochester Institute of Technology) เจอเรมี ชนิตแมน (Jeremy Schnittman) มหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ (Johns Hopkins University) สหรัฐอเมริกา และสเตฟานี โคมอสซา (Stefanie Komossa) จากสถาบันมักซ์พลังก์ด้านฟิสิกส์ระหว่างดวงดาว (Max-Planck-Institut for Extraterrestrial Physics) ในเยอรมนี ได้ร่วมกันจำแนกออกมา                ไซน์เดลีรายงานคำชี้แจงของทีมวิจัยที่กล่าวว่า ซากกระจุกดาวเหล่านี้อาจตรวจพบได้ในย่านความยาวคลื่นแสงที่มองเห็นได้ และวัตถุอวกาศชนิดใหม่ อาจเคยตรวจพบมาบ้างแล้ว จากการบันทึกภาพสำรวจอวกาศ ซึ่งการค้นพบนี้ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ลงวารสารแอสโทรฟิสิคัลเจอร์นัล (Astrophysical Journal) เพื่ออธิบายคุณสมบัติเชิงทฤษฎีของวัตถุอวกาศดังกล่าวนี้                ระบบดาวหนาแน่นยิ่งยวดหรือระบบไฮเปอร์คอมแพคสเตลลานี้ เป็นผลจากการที่หลุมดำมวลยิ่งยวด (supermassive black hole) ถูกขับออกจากกาแลกซี หลักจากมีการรวมตัวกันของหลุมดำในกาแลกซีอื่น ซึ่งหลุมดำที่หลุดออกมาจากกาแลกซี ราวกับถูกเตะทิ้งออกมานั้น ได้ดึงดวงดาวของกาแลกซีออกมาด้วย โดยดวงดาวที่อยู่ใกล้หลุมดำขนาดใหญ่นั้น จะเคลื่อนที่ตามออกมา และกลายเป็นเครื่องบันทึกความเร็ว เมื่อหลุมดำถูกดึงออกมาอย่างถาวร                การที่หลุมดำหลุดออกมา หลังจากรวมตัวกันระหว่าง 2 หลุมดำในใจกลางกาแลกซีนั้น ทางเนชันนัลจีโอกราฟิกอธิบายว่า เป็นที่ยอมรับว่า ใจกลางกาแลกซีนั้นมีหลุมดำขนาดใหญ่ ซึ่งมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเราเป็นพันล้านเท่า และตามแบบจำลองที่มีออกมาเมื่อ 2-3 ปีก่อน ชี้ให้ว่าเมื่อหลุมดำขนาดใหญ่เริ่มรวมตัวกัน จะเกิดคลื่นความโน้มถ่วงที่พุ่งออกมา หากคลื่นดังกล่าวรุนแรงพอก็จะขับให้หลุมดำที่รวมตัวกันนั้น กระเด็นออกมานอกกาแลกซี                ศ.เมอร์ริตต์ นักฟิสิกส์จากโรเชสเตอร์ อธิบายว่า เราสามารถวัดความเร็วที่หลุมดำถูกเตะออกมาจากกาแลกซีได้ จากการวัดความเร็วของดวงดาวที่เคลื่อนที่รอบๆ หลุมดำ ซึ่งมีเพียงดาวที่โคจรเร็วกว่าความเร็วที่หลุมดำถูกเตะออกมาเท่านั้นที่ยัง คงอยู่                อีกทั้งซากดาวเหล่านี้ ยังคงบันทึกข้อมูลของการเตะดังกล่าวไว้ แม้ว่าหลุมดำที่ถูกเตะออกมานั้น จะลดความเร็วลงแล้วก็ตาม ซึ่งวัตถุอวกาศนี้จะเป็นวิธีดีที่สุดในการย้อนเหตุการณ์ที่หลุมดำถูกเตะออก มา เนื่องจากไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ และแม้ว่าหลุมดำจะถูกเตะออก แต่ยังคงมีแรงโน้มถ่วง ซึ่งบ่งชี้ว่าภายในกลุ่มดาวที่ถูกดึงออกมาด้วยนั้นมีหลุมดำอยู่                "การค้นพบวัตถุอวกาศใหม่นี้ เป็นเหมือนการค้นพบดีเอ็นเอจากสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว" โคมอสซาเสริมความเห็น                ทั้งนี้บริเวณที่ดีที่สุดในการหาระบบดาวหนาแน่นยิ่งยวดนี้ คือในกระจุกกาแลกซีที่อยู่ใกล้ๆ กับเราอย่าง กระจุกกาแลกซีโคมา (Coma clusters) และกระจุกกาแลกซีเวอร์โก (Virgo clusters) แต่ทีมวิจัยยังคงถกเถียงในเรื่องนี้กันอยู่ ซึ่งบริเวณที่กล่าวมานั้น เต็มไปด้วยกาแลกซีนับพัน และมีการรวมกันของกาแลกซีมายาวนานแล้ว อันเป็นผลให้มีการรวมกันของหลุมดำด้วย                เมอร์ริทต์และทีมเชื่อว่า นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ได้เห็นระบบดาวนี้มาบ้างแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าคืออะไร และวัตถุที่ได้รับการจำแนกใหม่นี้ ง่ายที่จะถูกเข้าผิดว่าเป็นระบบดาวทั่วๆ ไป ที่เป็นกระจุกดาวทรงกลม                อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้ระบบดาวหนาแน่นยิ่งยวดนี้มีลักษณะเฉพาะตัว คือความเร็วภายในระบบที่สูงมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจวัดได้เฉพาะในระบบดาวที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงรอบๆ หลุมดำเท่านั้น และต้องอาศัยการเปิดหน้ากล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่เป็นเวลานานเพื่อบันทึก ลักษณะดังกล่าว
การที่หลุมดำสามารถดูดสสารจากดาวฤกษ์ข้างเคียงจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการทาง แม่เหล็กด้วย ไม่ใช่แค่แรงโน้มถ่วงเพียงอย่างเดียว นี่เป็นข้อสรุปที่ได้จากการวัดรังสี X ครั้งใหม่ โดยรังสีในช่วงพลังงานสูงนี้ถูกปลดปล่อยออกมาโดยก๊าซที่อยู่รอบ ๆ หลุมดำอันหนึ่งในกาแลกซี่ทางช้างเผือกของเรา. นักวิจัยประสบความสำเร็จอย่างน่ามหัศจรรย์ พวกเขาพบว่าผลการวัดสเปกตรัมรังสี X จากหลุมดำโดยดาวเทียมสำรวจอวกาศ Chandra X-ray Observatory หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “จันทรา” สอดคล้องกันกับการคำนวณจากแบบจำลองทางทฤษฎีราวกับเป็นการเทียบลายนิ้วมือเลย ทีเดียว. แบบจำลองที่ใช้ได้ดีนี้บ่งบอกโดยทางอ้อมว่า สนามแม่เหล็กที่ทรงพลังในก๊าซรอบ ๆ หลุมดำ คือกุญแจสำคัญในกระบวนการปลดปล่อยรังสี X รอบหลุมดำ เฉิดฉายประกายเอกภพ ประมาณการกันว่ากว่าหนึ่งในสี่ของรังสีทั้งหมดในเอกภพที่ปลดปล่อยมานับ ตั้งแต่บิ๊กแบง มาจากปรากฏการณ์ที่สสารไหลลงสู่ supermassive blackhole (หลุมดำประเภทที่มีมวลมากมหาศาล) ซึ่งรวมไปถึง ควอซาร์ (quasar) อันเป็นเทหวัตถุที่ปลดปล่อยพลังงานออกมาในระดับเทียบเท่ากับพลังงานที่ออกมา จากหลายร้อยกาแลกซี่รวมกัน เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ความบากบั่นในการทำความเข้า ใจในเรื่องที่ว่า หลุมดำ ซึ่งตามทฤษฎีน่าจะเป็นวัตถุที่มืดที่สุดในเอกภพอันเนื่องมาจากการที่ไม่มี สิ่งใดแม้แต่อนุภาคแสงหลุดรอดออกมาได้ กลับมีรังสีออกมามากมายอย่างนั้นได้อย่างไร ด้วยแรงโน้มถ่วงอันมหาศาลของหลุมดำ มันจะดึงดูดก๊าซและฝุ่นโดยรอบเข้ามาหาตัว. ก่อนที่สสารเหล่านี้จะไหลเข้าไปใกล้หลุมดำมากเสียจนถึงในเขตแดนที่ไม่มีสิ่ง ใดได้กลับออกมาอีก ซึ่งเรียกกันว่า “event horizon” พวกมันจะสะสมตัวกันขณะวิ่งไหลวนอยู่รอบๆ หลุมดำในรูปของแผ่นจานที่เรียกว่า “accretion disk” (อาจแปลเป็นไทยได้ว่า “แผ่นจานสะสมมวล”) คล้ายกับการที่มีสสารสะสมกันเป็นวงแหวนรอบดาวเสาร์ ด้วยกลไกอะไรบางอย่างในแผ่นจานนี้ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัด สสารที่เป็นก๊าซร้อนจัดก็ปลดปล่อยรังสี X ออกมา และเมื่อถูกตรวจวัดได้โดยนักดาราศาสตร์ มันจึงเป็นหลักฐานว่ามีหลุมดำอยู่ในตำแหน่งนั้น. นั่นหมายความว่าเราไม่ได้เห็นตัวหลุมดำ แต่รู้ตำแหน่งของมันจาก “เสื้อคลุม” เรืองแสงรังสี X ข้อมูลรังสี X จากจันทราได้ให้การอธิบายที่ชัดเจนเป็นครั้งแรกว่า ตัวการขับเคลื่อนให้เกิดกลไกดังกล่าวก็คือ สนามแม่เหล็ก กล้องโทรทรรศน์สำรวจอวกาศจันทราติดตามวัดระบบหลุมดำแห่งหนึ่งในกาแลกซี่ของ เรา ซึ่งรู้จักกันในชื่อ GRO J1655-40 (เรียกสั้น ๆ ว่า J1655) ในระบบหลุมดำแห่งนั้นซึ่งประกอบด้วยหนึ่งหลุมดำกับหนึ่งดาวฤกษ์ หลุมดำกำลังดูดสสารจากดาวที่อยู่เคียงคู่ เข้าไปสู่จานสะสม. หลุมดำ ในแง่ของวัตถุทางดาราศาสตร์ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามขนาดของมัน คือ stellar blackhole [มีมวลประมาณ 5-100 เท่าของดวงอาทิตย์], mid-mass blackhole [มีมวลประมาณ 500-1000 เท่าของดวงอาทิตย์] และ supermassive blackhole [มีมวลในระดับของล้านดวงอาทิตย์]. สำหรับหลุมดำในระบบ J1655 เป็นประเภท stellar blackhole “J1655 ถือว่าเป็นหลุมดำที่อยู่ใกล้กับโลกเราแห่งหนึ่ง. ถึงแม้หลุมดำจะมีขนาดแตกต่างกันไป พวกเราสามารถใช้ J1655 เป็นตัวแบบในการเข้าใจวิวัฒนาการของหลุมดำทุก ๆ แห่งได้ ซึ่งรวมถึงควอซาร์ด้วย” กล่าวโดย จอน เอ็ม มิลเลอร์ (Jon M. Miller) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งมิชิแกน เมืองแอนอาร์เบอร์ มลรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา. สนามแม่เหล็กมีบทบาทสำคัญ ลำพังแรงโน้มถ่วงจากหลุมดำเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้ก๊าซใน “accretion disk” รอบ ๆ หลุมดำสูญเสียพลังงานและตกลงสู่หลุมดำในอัตราเร็วที่นักดาราศาสตร์ตรวจวัด ได้. ก๊าซจะต้องสูญเสียโมเมนตัมเชิงมุมในการหมุนโคจรรอบหลุมดำบางส่วนไป ไม่ว่าด้วยแรงเสียดทานใน accretion disk หรือด้วยกระแสของก๊าซที่พุ่งออกจากหลุมดำซึ่งเรียกว่า “wind” ก่อนที่ก๊าซจะหมุนวนลงสู่หลุมดำ. ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ สสารก็จะยังคงหมุนอยู่ในวงโคจรรอบ ๆ หลุมดำเป็นเวลานานมาก. นักวิทยาศาสตร์บางท่านเสนอความคิดว่าความแปรปรวนทางแม่เหล็กที่เรียกว่า magnetic turbulence สามารถทำให้มีความเสียดทานใน accretion disk ได้ และเป็นตัวการทำให้เกิดกระแส “wind” ออกมาได้. และทั้งสองอย่างนี้มีผลให้โมเมนตัมเชิงมุมลดลง ทำให้ก๊าซตกลงไปในหลุมดำได้เร็วขึ้น. โดยใช้จันทรา ดร. มิลเลอร์และทีมงานของเขาได้ให้หลักฐานที่สำคัญยิ่งในเรื่องบทบาทของสนามแม่ เหล็กในกระบวนการสะสมมวลของหลุมดำ. สเปกตรัมรังสี X ซึ่งบ่งบอกความเข้มของรังสีที่ความยาวคลื่นต่าง ๆ ในช่วงรังสี X แสดงให้เห็นว่าความเร็วและความหนาแน่นของ “wind” จากแผ่นจานสะสมของ J1655 สอดคล้องกับการทำนายด้วยการจำลองทางคอมพิวเตอร์. การจำลองนี้ใช้ทฤษฎีที่ “wind” เกิดขึ้นด้วยกระบวนการที่สนามแม่เหล็กมีบทบาทสำคัญ. ผลการเทียบสเปกตรัมที่ได้จาการสังเกตกับการทำนายนี้ ได้ปัดความเป็นได้ของทฤษฎีอื่นๆ บางทฤษฎีที่เป็นคู่แข่งสำคัญไปด้วย.

“ในปี ค.ศ. 1973 นักทฤษฎีเริ่มได้แนวคิดว่าสนามแม่เหล็กอาจจะสามารถขับเคลื่อนให้เกิดรังสี โดยก๊าซที่กำลังไหลสู่หลุมดำได้” กล่าวโดย ผู้ร่วมงานคนสำคัญของมิลเลอร์ นามว่า จอห์น เรมอน (John Raymond) แห่ง the Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics ในเมืองเคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซส “ตอนนี้ซึ่งเป็นเวลากว่า 30 ปีให้หลัง ในที่สุดเราอาจมีหลักฐานที่พอจะทำให้เชื่อได้แล้ว”

การเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับการสะสมสสารของหลุมดำช่วยทำให้นักดารา ศาสตร์เข้าใจคุณสมบัติอื่น ๆ ของหลุมดำด้วย อันรวมไปถึงประเด็นที่ว่า หลุมดำเติบโตขึ้นอย่างไร.

“หมอต้องการเข้าใจสาเหตุของโรค ไม่ใช่รู้แค่อาการป่วย ฉันใดก็ฉันนั้น นักดาราศาสตร์พยายามเข้าใจว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ที่เราเห็นใน เอกภพ” กล่าวโดย ผู้ร่วมงานวิจัย แดนนี่ สตีจ (Danny Steeghs) ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกับเรมอน. “เมื่อเข้าใจว่ากลไกอะไรทำให้สสารปลดปล่อยพลังงานออกมา ก่อนที่มันจะเข้าสู่หลุมดำ เราก็ได้เรียนรู้ด้วยว่าสสารตกลงสู่เทหวัตถุอื่น ๆ ที่สำคัญอย่างไร”

นอกจากใน accretion disk รอบ ๆ หลุมดำแล้ว ปรากฏการณ์ของสนามแม่เหล็กดังกล่าวอาจจะมีบทบาทสำคัญใน accretion disk ที่เกิดขึ้นรอบวัตถุทางดาราศาสตร์อื่น ๆ ด้วย อาทิ ดาวฤกษ์อายุน้อยขนาดพอ ๆ กับ ดวงอาทิตย์ (บริเวณที่มีการสะสมฝุ่นก๊าซโดยรอบจะมีการก่อตัวของดาวเคราะห์) และวัตถุซึ่งมีหนาแน่นสูงอย่างดาวนิวตรอน

อย่างไรก็ตาม มิลเลอร์ ซึ่งถือเป็นผู้นำในทีมวิจัย ชี้ว่า ถึงแม้หลักฐานที่ได้ค่อนข้างหนักแน่น แต่มันเป็นการยืนยันทฤษฎีโดยทางอ้อม เรายังต้องการการสังเกตที่มากขึ้นและละเอียดยิ่งขึ้นด้วย “จันทราทำให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ยังไม่แจ่มชัดนัก ภารกิจในอนาคตอย่าง Constellation-X จะมีความสำคัญมากในการเปิดเผยกระบวนการของการที่สสารตกลงสู่หลุมดำ ด้วยรายละเอียดที่มากยิ่งขึ้น ”




หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 22 ตุลาคม 2552 08:51:55

ยิ้มแย้ม

ร่างกายของเราประกอบด้วยกล้ามเนื้อประมาณ 650 มัดหากเราหน้าบึ้งจะต้องใช้กล้ามเนื้อประมาณ 400 มัด ในขณะที่การยิ้มใช้กล้ามเนื้อ 15 มัด เท่านั้น และพลังงานที่ใช้ก็น้อยกว่าการขมวดคิ้ว 1 ครั้งเสียอีกเชื่อกันว่าการขมวดคิ้ว 200,000 ครั้ง ทำให้เกิดรอย กา 1 รอย









นังจักรทำไป 300,000 ครั้งครับ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 22 ตุลาคม 2552 08:54:25
ออฟก๊าบ เยอะหยั่งงี้ขอเป็นลิ้งค์ดีกว่าก๊าบ..

อ่านแล้วปวดตาก๊าบบบ   :emotn


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: RINSA ที่ 22 ตุลาคม 2552 08:54:53
เบลอ ๆ เลยอ่ะ  

กินข้าวก่อนเดี๋ยวมาอ่านต่อ

ความรู้ทั้งน้าน  :emotn


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 22 ตุลาคม 2552 09:08:29
ของน้าตั๊ม จบแระ

ต่อของอีออฟ ดีกว่า


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Aoffii@ImSry ที่ 22 ตุลาคม 2552 09:13:20
ใครอ่านของออฟจบ

มีรางวัล เอาแอ้ไปเลี้ยงที่บ้านได้ไม่จำกัดวัน


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: wolfboy ที่ 22 ตุลาคม 2552 11:14:18
ออฟ อ่านของตัวเองจบมั่งไหมเนี่ย?


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: DRAFF_MAN ที่ 22 ตุลาคม 2552 12:04:00

ยิ้มแย้ม

ร่างกายของเราประกอบด้วยกล้ามเนื้อประมาณ 650 มัดหากเราหน้าบึ้งจะต้องใช้กล้ามเนื้อประมาณ 400 มัด ในขณะที่การยิ้มใช้กล้ามเนื้อ 15 มัด เท่านั้น และพลังงานที่ใช้ก็น้อยกว่าการขมวดคิ้ว 1 ครั้งเสียอีกเชื่อกันว่าการขมวดคิ้ว 200,000 ครั้ง ทำให้เกิดรอย กา 1 รอย









นังจักรทำไป 300,000 ครั้งครับ
เค้าทำไป 600,000 ครั้งแล้วยะ เค้ามี 3 รอย อิอิ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 22 ตุลาคม 2552 12:18:18
555+++

แสดงว่ายอมรับ 


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: poohpooh ที่ 22 ตุลาคม 2552 12:31:17
ตะเองเนี่ย  โกงเปล่า  เค้านับได้แค่  599999  เองนะ   


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 22 ตุลาคม 2552 13:11:47
ไอ้black hole คุ้นๆๆที่ตาจักรพูดถึงหนังอะไรวันนั้นนะ?????


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 22 ตุลาคม 2552 13:13:54
ตาแมว......เค้าขอเค็มหน่อยจิ

 :emoq :emoq

อย่าไปเรียกแบบนี้ที่ไหนนะ.อายเค้า.......



เค้าเรียกว่า  เขียม     ย่ะ

โถ.....ไอ้เรานึกว่าจาพูดชัก  ฮ่าฮ๋าฮ๋า


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 23 ตุลาคม 2552 01:51:03
อยากอ่านเรื่อง โมอาย ครับ

กรุณาหน่อยครับ เอาตั่งแต่ต้นเลยน่ะ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 23 ตุลาคม 2552 02:00:03
หาใน Google เจอแต่ร้านโช้ค เซ๊งงงงงง


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 23 ตุลาคม 2552 02:25:46
ชื่อเรื่อง : ปริศนา " โมอาย " บนเกาะอีสเตอร์
เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยได้ยินเรื่องราวของเกาะอีสเตอร์กัน และเชื่อว่าอีกไม่น้อยเหมือนกัน ที่กำลังสงสัยอยู่ ว่าเจ้าเกาะชื่อประหลาดๆนี้มันคืออะไร วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องของเกาะอีสเตอร์ครับ โดยเฉพาะเจ้ารูปสลักหน้าใหญ่ ที่เรียงรายกันบนชายหาดของเกาะนี้ เรารู้จักรูปสลักนี้กันในนามของ " โมอาย " และตำนานของชนชาติ รวมทั้งภาษา ที่ทุกคนรู้จักกันดี " ราปา นุย "
เกาะอีสเตอร์ อยู่ห่างจากแหล่งชุมชนของ ตาฮิติและชิลีไปประมาณ 2,000 ไมล์ ดูในแผนที่โลกก็คงจะเห็นแหละ ว่าอีสเตอร์เป็นเกาะเล็กๆ และโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเกาะนี้ ชนิดที่ว่าเอ่ยถึงเกาะอีสเตอร์เป็นต้องนึกถึงเจ้านี่ ก็คือแท่งหินขนาดยักษ์ แกะสลักเป็นรูปหน้าคน ใช่แล้ว เรารู้จักกันในนามของโมอาย
เมื่อก่อนเกาะนี้ไม่ได้ชื่ออีสเตอร์หรอก มันมีชื่อพื้นเมืองซะเพราะพริ้งว่า " Te Pito O Te Henua " ซึ่งความหมายคือ " Navel of The World " หรือ สะดือของโลก จนกระทั่งเรือของชาวตะวันตกได้มาขึ้นฝั่งที่นี่เมื่อปี 1722 อันเป็นวันอีสเตอร์พอดี เกาะนี้เลยได้ตามวันด้วยประการฉะนี้แล ….
ชาวพื้นเมืองของเกาะนี้ มีอารยธรรมและภาษาเป็นของตนเอง ( ราปา นุย ) พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากชาวโปลิเนเชี่ยน และดำรงชีพแบบง่ายๆ ตั้งแต่โบราณมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีประชากรอยู่เพียงหยิบมือ เรียกได้ว่า แทบไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ตรงนี้แหละ ที่ทำให้ใครต่อใครสงสัยกัน ท่านที่เห็นรูปของโมอายคงจะแปลกใจกันนะ ว่าดีไซน์ รูปร่างใหญ่โต และน้ำหนักขนาดนั้น ลำพังชาวเกาะอีสเตอร์ จะเอาเครื่องไม้เครื่องมือที่ไหนมาสลัก แล้วลากลงมาจากภูเขาไปตั้งทิ้งไว้ที่ชายหาดได้ มีนักวิชาการหลายท่านครับ ที่พยายามอธิบายถึงวิธีการสร้างโมอายเหล่านี้ หลายคนถึงกับลงมือสาธิตด้วยตนเอง ถึงกระนั้นหลายๆคนก็ยังปักใจเชื่ออยู่ดีว่า เจ้ารูปสลักหินนี่ ต้องมี " อะไรๆ " เกี่ยวพันกับอารยธรรมนอกโลกอยู่
นักวิชาการหลายคน ถึงกับลงมือขุดค้นเข้าไปในตำนานของชาวเกาะ เพื่อจะหาที่ไปที่มาของโมอาย แต่ก็ไม่ค่อยจะได้เรื่องราวะไรนัก พอถามชาวเกาะที่มีอายุ และมีความทรงจำเกี่ยวกับความเป็นมาของเกาะดู ก็ได้รับคำตอบอย่างเป็นที่น่าพอใจว่า " มันเดินกันลงมาเอง " ฮ่วย…มัน - จะ - เป็น - ไป - ด้าย - ยาง - ง้าย ?
แน่ล่ะสิ รูปสลักใหญ่โตขนาดนี้ ใครล่ะจะเชื่อว่าชาวเกาะโบราณ จะใช้แรงงานของพวกเขาขนย้าย ด้วยการลากลงมาเอง อย่าว่าแต่ลากเลยครับ แค่วิธีแกะสลักเนี่ย ก็ลำบากมากแล้ว ขนาดเราเองยังนึกไม่ออกเลยว่า ชาวโพลิเนเชี่ยนเหล่านี้ เค้าเอาอะไรมาสลักหินภูเขาไฟก้อนเบ้อเริ่ม ให้ออกมาเป็นศิลปกรรมหน้าตาประหลาดแบบนี้ได้ ลิ่มหรือ หรือว่าขวานหิน ?
อีกอย่างนะ ดีไซน์ของเจ้าโมอาย ดูแปลกและแตกต่างไปจากศิลปกรรม, สิ่งสักการะทางศาสนา และ วัฒนธรรมของโปลิเนเซี่ยนโดยสิ้นเชิง บนเกาะอีสเตอร์ยังเหลือโมอายที่ทำไม่เสร็จ ทิ้งไว้ตามชายหาดอยู่จำนวนมาก เหมือนกับว่าคนสร้างได้รีบทิ้งถิ่นพำนัก แล้วจากไปอย่างปัจจุบันทันด่วนซะอย่างนั้น นอกจากนี้บนเกาะอีสเตอร์ยังมีตำนานเก่าแก่ เป็นตำนานของมนุษย์ปักษี ( Birdman ) ที่เชื่อกันว่าเป็นกลุ่มชนที่รอดตายจากทวีปมู เล่าขานต่อๆกันมา
ต่างคนก็ต่างใจ นักวิชาการบางคนเริ่มเอนเอียงที่จะเชื่อว่า อารยธรรมบนเกาะอีสเตอร์ มีส่วนเกี่ยวพันกับเอเลี่ยนนอกโลก ในขณะที่บางคนก็พะอืดพะอมที่จะรับฟัง และพยายามหาเหตุผลที่ฟังขึ้นกว่านี้มาอธิบาย
อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับแหละว่า รูปสลักบนเกาะอีสเตอร์นี้พิสดารอย่างหาที่เหมือนไม่ได้จริงๆ แถมยังมีการนำมาตั้งเรียงรายบนชายหาดในลักษณะของรันเวย์ซะอย่างนั้น คนที่เชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวก็เชื่อไปเถอะ ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็ยกให้เป็นเครดิตของบรรพบุรุษเราดีกว่า ภูมิปัญญาของคนโบราณไง …

 ในที่สุดปริศนาที่แท้จริงก็ได้เผยออกมาแล้วครับ
จาก UBC ช่องHistory สรุปออกมาแล้วว่า โมอายที่พบบนเกาะที่มีอยู่กว่า 900 ตัว เป็นฝีมือการทำของมนุษย์ (ชาวโพลิเนเชียน) เอง
จากการที่บนเกาะนั้นมีเหมืองหินขนาดใหญ่อยู่ แล้วการแกะสลักนั้น พวกเขาได้ใช้หินจากภูเขาไฟซึ่งมีความแข็ง,คมกว่า หินภายในเหมืองหินที่มีความแข็งแรงน้อยกว่าหินที่ใช้แกะสลักนั่นเอง
****ทำไม อารยธรรม ของพวกเขาถึงสาปสูญไป????
พบว่าพวกเขาได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติบนเกาะจนหมดสิ้น จากเดิมเป็นเกาะที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ที่ให้ร่มเงา ยามแดดร้อน ก็หมดสิ้นไป ทำให้พวกเขาต้องหลบแดดเข้าไปอยู่ภายในถ้ำ
**และนักประวัติศาสตร์ ยังพบว่า เกิดสงครามแย่งอำนาจในการปกครองเกาะกัน รวมทั้งมีสิทธิขาดในการใช้ทรัพยากร....แต่พวกเขาก็มีวิธีแก้ไขความขัดแย้งนี้โดยให้มีการจัดการแข่งขัน 'มนุษย์นกขึ้น' (Birdman) โดยตัวแทนของแต่ละเผ่าจะต้องวิ่งลงหน้าผาที่สูงชัน 1000 ฟุต เพื่อว่ายน้ำฝ่าดงฉลาม ไปยังเกาะนกนางนวล และเลือกหยิบไข่นกนางนวลและต้องว่ายกลับมาน้ำไข่ให้ผู้นำของพวกเขา ก็เป็นการชนะการแข่งขันอันสุดหฤโหด
เมื่อเผ่าพวกเขาชนะหัวหน้าเผ่าจะเป็นผู้นำใช้สิทธิขาด อำนาจในการปกครองเกาะไปอีก 1 ปี ถึงจะมีการคัดเลือกผู้นำเกาะขึ้นมาใหม่

ไม่รู้โมอายเดียวกันป่าวนะครับน้า


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 23 ตุลาคม 2552 02:36:38
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9510000144641
อันนี้อีกอัน


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 23 ตุลาคม 2552 09:25:37
น่าจาโมอายเดียวกานนะ

เจ๋งๆ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Tatum + Apple ที่ 23 ตุลาคม 2552 23:28:41
ไม่รู้จักอ่ะ โมอายเนี่ย :emotq           รู้จักแต่...โนอาร์... :emoth


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: dennish ที่ 24 ตุลาคม 2552 10:06:26
ไม่รู้จักอ่ะ โมอายเนี่ย :emotq           รู้จักแต่...โนอาร์... :emoth
รู้จักแต่...โนอาร?...เหรอน้าตั้ม  แล้ว...โนบรา...อ่ะรู้ป่ะ :emoth


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 24 ตุลาคม 2552 11:46:05
 :emok น้าเด่นโนบรา น้าเด่นโนบรา น้าเด่นโนบรา น้าเด่นโนบรา


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: yuirider ที่ 24 ตุลาคม 2552 23:21:50
โนอา ก็ โนบรา โนลิง ด้ายยยยย... :emoa


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 26 ตุลาคม 2552 10:57:04
http://th.wikipedia.org/wiki/เซนต์เซย์ย่า


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: ,,A@[E]~* รักในหลวง ที่ 26 ตุลาคม 2552 11:23:13
http://th.wikipedia.org/wiki/เซนต์เซย์ย่า

ทีเด็ดคับ

 :emo2


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 26 ตุลาคม 2552 11:39:06
จำได้มะว่าครายเปงครายยยย   :emotc


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 26 ตุลาคม 2552 11:40:06
จำได้แค่.ดรากอน ชิริว

อันโดรเมด้า ชุน

ฟินิค อิคคิ

และเซย่า แค่นั้นเองง่ะ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 26 ตุลาคม 2552 11:41:06
ซิกนัส อีกคน


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 26 ตุลาคม 2552 11:42:11
ซิกนัส อีกคน

คนไหนอ่ะ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 26 ตุลาคม 2552 11:43:38
หัวเป็ดอ่ะครับที่ใส่ชุดสีขาวฟ้า ที่มันใช้ไดมอนดัสเป็นท่าไม้ตาย


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 26 ตุลาคม 2552 11:44:59
อืมมม

ทบทวนๆๆๆ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 26 ตุลาคม 2552 11:47:51
ดูเคเบิ้ลช่อง 51 บ่อย แต่มันชอบฉายซ้ำ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Tatum + Apple ที่ 26 ตุลาคม 2552 13:34:59
ซึบาสะ.. มิซากิ.. เฮียวงะ.. วากาบายาชิ.. อิชิซากิ.. วากาชิมัตสึ ... :emoj


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 26 ตุลาคม 2552 15:06:03
ซึบาสะ.. มิซากิ.. เฮียวงะ.. วากาบายาชิ.. อิชิซากิ.. วากาชิมัตสึ ... :emoj
ที่น้าตั้มว่ามา รู้อันแรกอันเดียว -*-


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 27 ตุลาคม 2552 10:46:59
ใครมี อาราเล่ บ้างครับ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 27 ตุลาคม 2552 10:50:48
เนื้อเรื่อง
ระวังเสียอรรถรส ข้อความด้านล่างนี้กล่าวถึงเนื้อเรื่องหรือฉากจบ

เนื้อเรื่องตอนต้น
เรื่องเกิดขึ้นในหมู่บ้านเพนกวิน โดย ดร.สลัมป์ หรือ ดร.โนริมากิ เซมเบ้ ซึ่งเป็นนักประดิษฐ์ ได้ทำการประดิษฐ์หุ่นยนต์ที่เหมือนมนุษย์ที่ชื่อว่าโนริมากิ อาราเล่ขึ้นมา แต่ในเวอร์ชันใหม่นั้น ดร.สลัมป์ตั้งใจจะสร้างหุ่นยนต์คนใช้สุดสวย แต่ได้เกิดฟ้าผ่าขึ้น จนทำให้อุปกรณ์ได้รวนขึ้นมา แล้วสร้างหุ่นยนต์เด็กผู้หญิงมาแทน หลังจากนั้น ก็ได้พบกับไข่ในยุดไดโนเสาร์ ซึ่งฟักออกมาแล้วก็ได้เด็กผมสีเขียว (ในเวอร์ชันใหม่เป็นสีทอง) อาราเล่ได้ตั้งชื่อว่า"โนริมากิ กั๊ตซิลล่า"ซึ่งเป็นคำประสมระหว่าง ก็อตซิลล่ากับกาเมล่า โดยเรียกสั้นๆว่า"กั๊ตจัง"

เนื้อเรื่องตอนกลาง
ในช่วงนี้ โนริมากิ เซมเบ้ ได้แต่งงานกับยามาบุกิ มิโดริ เพราะการพูดขอแต่งงานเล่นๆของเซมเบ้ (แต่ในเวอร์ชันใหม่จะเป็นการซ้อมขอแต่งงานแทน) ซึ่งอาราเล่ได้ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปลายไปด้วย โดยมีครูคนใหม่ที่หัวคล้ายลูกเกาลัดมาแทน (เพราะครูมิโดริจะสอนเฉพาะชั้นมัธยมต้นเท่านั้น) แล้ววันหนึ่ง อาราเล่ได้เห็นอะไรแปลกๆ จึงใช้ลำแสงดีจ้าใส่สิ่งนั้น ซึ่งก็คือยานอวกาศของครอบครัวซุนที่กำลังจะไปดวงจันทร์นั่นเอง ทำให้ยานอวกาศลำนั้นได้ตกไปที่ข้างๆบ้านของเซมเบ้ จึงทำให้ครอบครัวซุนกลายเป็นเพื่อนบ้านของเซมเบ้ไปโดยปริยาย

เนื้อเรื่องตอนปลาย
เป็นช่วงที่ดร.มาชิริโตะได้สร้างหุ่นยนต์ที่เหมือนอาราเล่ทุกประการ (ยกเว้นเพศ,ความคิดและนิสัย) แล้วใช้ชื่อว่า"คาราเมลแมนหมายเลข4"(ดร.มาชิริโตะเคยสร้างหุ่นยนต์ตระกูล"คาราเมลแมน"มาแล้ว3ตัว) เพื่อกำจัดอาราเล่โดยอ้างว่า อาราเล่จะยึดครองโลก แต่คาราเมลแมนหมายเลข4กลับตกหลุมรักอาราเล่ทำให้สับสน แต่ก็เข้าใจแล้วว่าอาราเล่ไม่ใช่คนร้ายแต่อย่างใด จึงไม่ทำอะไรกับอาราเล่ ทำให้ดร.มาชิริโตะไล่ออกจากบ้าน ทำให้เขาตัดสินใจสร้างบ้านเอง แต่เขาได้เห็นบ้านร้างอยู่หลังหนึ่ง (ความจริงแล้วเป็นบ้านของซุปเปอร์แมนที่ไม่ได้ล็อกกลอนประตู) คาราเมลแมนหมายเลข4จึงนำบ้านหลังนั้นมาวางไว้ใกล้ๆกับบ้านของเซมเบ้ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น โอโบจามะ หลังจากนั้น โอโบจามะก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่อาราเล่อยู่ แล้วเป็นเพื่อนกัน

จบเนื้อหาส่วนที่เสียอรรถรสแล้ว ข้อความด้านบนนี้กล่าวถึงเนื้อเรื่องหรือฉากจบ

ตัวละครหลัก
ดร.โนริมากิ เซมเบ้ หรือ ดร. เซมเบ้ (ญี่ปุ่น: 則巻千兵衛 Norimaki Senbei  "Seaweed-wrapped Rice cracker" ?)
นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ชอบประดิษฐ์ของประหลาดออกมาเสมอ เป็นคนลามก ชอบแอบดูสาวๆสวยๆ ที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือกำลังอาบน้ำ



โนริมากิ อาราเล่ (「則巻アラレ」, Norimaki Arare, 則巻アラレ?)
เป็นตัวละครในการ์ตูนเรื่อง ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ เป็นหุ่นยนต์ที่ดร. เซมเบ้ สร้างขึ้นมา ให้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 13 ปีอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแพนกวิน มีนิสัยร่าเริง และมีพลังอย่างมหาศาล ชื่ออาราเล่ตั้งมาจากชื่อขนมญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายขนมเซมเบ้แต่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งเป็นนัยว่าเป็นน้องสาวของ ดร.เซมเบ้ (เพราะดร.เซมเบ้อ้างว่าเป็นน้องสาวของตน จึงต้องตั้งชื่อนี้เพื่อไม่ให้ชาวหมู่บ้านเพนกวินรู้ความลับ) ส่วนคำว่า โนริมากิ แปลว่า "ห่อด้วยสาหร่าย"
เป็นหุ่นยนต์แอนดรอยด์ล้ำยุคที่ ดร.สลัมป์ สร้างขึ้น เนื่องจากสร้างหัวก่อน ทำให้อาราเล่เรียนรู้สิ่งต่างๆจากได้จากทีวีเท่านั้น การจ้องมองทีวีทั้งวันทั้งคืนเลยทำให้อาราเล่สายตาสั้น และชอบทำตัวรุนแรงเลียนแบบรายการมวยปล้ำในทีวี ความสามารถพิเศษของอาราเล่ คือ พลังอันแข็งแกร่งและวิ่งเร็วเหมือนติดเทอร์โบ

อาราเล่เป็นเด็กมีนิสัยร่าเริง แต่ด้วยเธอที่เป็นหุ่นยนต์ที่มีพลังมหาศาลนั้น ไม่ว่าเวลาเธอจะทำอะไร มักทำให้หมู่บ้านเพนกวินเดือดร้อนเสมอ ตั้งแต่สัตว์ไปถึงคน อาราเล่ชอบเล่นอุนจิ โดยการเอาไม้ไปจิ้มอุนจิแล้วพูดออกมาว่า "จิ้มๆๆๆ" (ญี่ปุ่น: 則巻アラレ Norimaki Arare  "Seaweed-wrapped Mini-rice cracker" ?)




กั๊ตจัง หรือ โนริมากิ กั๊ตซิล่า (ญี่ปุ่น: 則巻ガジラ Norimaki Gajira? / Gadzilla? "Gatchan" ?)
ตัวละครในการ์ตูนเรื่อง ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ เป็นมนุษย์ต่างดาว มีปีก สามารถบินได้ อาศัยอยู่กับอาราเล่ในหมู่บ้านเพนกวิ้น เป็นเด็กที่ร่าเริงเหมือนอาราเล่ และสามารถใช้ไฟฟ้าช๊อตใส่ศัตรูได้ ความสามารถพิเศษนอกจากปล่อยกระแสไฟได้แล้ว กินสิ่งของได้ทุกอย่าง ยกเว้น วัตถุที่ทำจากยาง


อาจารย์มิโดริ (ญี่ปุ่น: 山吹みどり Yamabuki Midori?  "Orange-yellow Green" ?)
เป็นคุณครูในโรงเรียนมัธยมต้นของอาราเล่ ภายหลังได้แต่งงานกับ ดร.เซมเบ้
ตัวละครรอง
โอโบจามะ
อากาเนะ
ทาโร่
พีสึเกะ
ซุน ซุกซุ่น
ซุน เหมยหลิง
[แก้] ตัวละครอื่นๆ
คิโนโกะ
ซุปเปอร์แมน
ราชานิโคจัง
ดร.มาชิริโตะ
คุณครูหัวเกาลัด
สป็อค นักเรียนแลกเปลี่ยนจากดาววัลแคน จากเรื่องสตาร์ เทรค
ป้าฮารุ (ป้าร้านขายบุหรี่)

 :emotk


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 04 พฤศจิกายน 2552 01:19:03
ประวัติศาสตร์การสู้รบอันยาวนาน ด้วยสาเหตุทางศาสนา ที่นำมาเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้ ก็คือ สงครามครูเสด (THE CRUSADES) อันยิ่งใหญ่และยาวนาน

ดินแดนปาเลสไตน์ อันเป็นถิ่นกำเนิดของ พระเยซูไครสท์นั้นถือ กันว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคริสต์ศาสนิกชน พากันไปจาริกแสวงบุญ ตั้งแต่ต้นคริสตกาล โดยชนชาติซาราเซ็น ที่ปกครองปาเลสไตน์อยู่นั้นก็ยินดีต้อนรับ เพราะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจาก นักแสวงบุญเหล่านั้น หากทว่าตั้งแต่ ค.ศ. 1076 เป็นต้นมา พวกเติร์กมุสลิมได้เข้ามาเป็นใหญ่เหนือดินแดน ศักดิ์สิทธิ์นี้ และได้ปล้นฆ่านักจาริกแสวงบุญ อย่าง..น่ารัก..มโหดรวมทั้งทำลายโบสถ์ ของชาวคริสต์เกือบหมดสิ้น


ในช่วงนี้มีพระคริสเตียนรูปหนึ่งนามว่า ปีเตอร์ เป็นชาวฝรั่งเศส ซึ่งชอบใช้ ชีวิตสันโดษ ได้จาริกไปยังนครเยรูซาเลม โดยที่นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ปอนๆ และพำนักอาศัยอยู่ใน ถ้ำตามภูเขา ทำให้ผู้คนมีความชื่นชมศรัทธาและขนานนามให้ว่า ปีเตอร์มหาฤาษี (Peter the Hermit)

เมื่อสาธุคุณปีเตอร์ ได้เห็นชนมุสลิม กระทำทารุณกรรมต่อชาวคริสต์ จึงคิดอ่านที่จะแก้ไข ด้วยการทำศึก ชิงเอาดินแดนแห่งพระไครสท์คืนมา ท่านจึงเดินทางกลับยุโรป และทูลถึงแผนการนี้แด่ท่าน สังฆนายกเออร์บันที่ 2 (Urban II) ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนและ ให้ดำเนินการได้

เมื่อประชาชนชาวยุโรป ได้รับรู้ถึงความ โหดร้ายทารุณที่เกิดขึ้นกับ นักจาริกแสวงบุญจากการ ป่าวร้องของนักบุญปีเตอร์ ต่างก็โกรธแค้นและหลั่งไหลกันมาฝรั่งเศสจากทั่วยุโรป เพื่อสมัครไปรบแย่งชิง นครเยรูซาเลมคืนมา โดยสังฆนายกเออร์บันได้กำหนดให้ทุกคนที่ไปรบ ติดเครื่องหมายกางเขนไว้ที่ตัว กองทัพนี้จึงได้ชื่อว่า ครูเสด (Crusade) คือมาจากคำว่า (Cross) ที่หมายถึงไม้กางเขนนั่นเอง


ไม่มีใครคิดว่าสงครามครั้งนี้จะยืดเยื้อยาวนานเกือบ 200 ปี!

โดยสงครามครูเสดครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. 1096-1099 ชาวยุโรปที่กระหายจะไปรบ ได้รวมพลกันมากถึง 250,000 คน แต่ทว่าส่วนใหญ่เป็นชนชั้นต่ำ มีทั้งผู้หญิงและเด็กตามไปด้วย อาวุธก็ตามแต่จะหาได้ จึงเป็นเพียงกองกำลังมหึมาที่ปราศจาก อานุภาพ ภายใต้การนำของปีเตอร์มหาฤาษี ขาดทั้งวินัยและเสบียง ต้องหากินด้วยการปล้น ในระหว่างทางล้มตายไปก็มาก จึงถูกพวกเติร์กโจมตีแตกพ่ายอย่างง่ายดาย

ต่อมาใน ค.ศ. 1096 จึงได้มีการรวบรวม อาสาสมัครขึ้นใหม่ 600,000 คน และมีนักรบที่แท้จริงกว่าในหนแรก ประกอบด้วยอัศวินและ ทหารภายใต้การควบคุมของ เจ้าผู้ครองนครต่างๆในยุโรป จัดเป็นทหารชั้นดีมีอุปกรณ์ เพียบพร้อม ทั้งเสื้อเกราะ หมวกเหล็ก โล่ และอาวุธต่างๆ ครบครันเป็นทหารม้าสวมเกราะถึง 100,000 คน


อย่างไรก็ดี เนื่องจากมีนายหลายคนและ ปราศจาก แม่ทัพใหญ่ผู้มีอำนาจบัญชาการ สูงสุด จึงไม่มีความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันดั่งที่กองทัพพึงมี จึงจัดเป็นจุดอ่อนของทัพนี้


สมรภูมแห่งเมืองอันติอ๊อก (Antioch) 
ในช่วงแรกทัพครูเสดมีชัยตีได้เมืองต่างๆ ตามทาง จนกระทั่งได้ อันติอ๊อก (Antioch) เมืองหลวงของซีเรีย แต่ก็สูญเสียกำลังพลไปมาก เหลือม้าศึกเพียงแค่ 2,000 ตัวเท่านั้น ครั้นแล้วจึงมุ่งตรงไปยังนครเยรูซาเลม ซึ่งขณะนั้นตกอยู่ในการครอบครองของอียิปต์ ทัพครูเสดตีเยรูซาเลมได้ในเดือนกรกฎาคมปี 1099 จับมุสลิมและยิวฆ่าเสียราว 70,000 คน จากนั้นพวกครูเสดจึงตั้ง กอดเฟรย์แห่ง บุยอินยอง ผู้นำทัพเบลเยียม ขึ้นเป็นกษัตริย์ ปกครองเยรูซาเลม ส่วนเหล่านักรบครูเสดก็แยกย้ายกันเดินทางกลับภูมิลำเนาของตน


หลังจากสงบมาได้หลายสิบปี ก็ได้มีพวกเติร์กใหม่ซึ่งเข้มแข็ง ยกกำลังเข้ามารุกรานคุกคาม ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้อีก ชาวคริสต์ในเยรูซาเลมจึงขอความพิทักษ์ภัยไปยังยุโรป และก็สามารถระดมกำลังพลได้ถึง 300,000 คน แต่ก็อีกนั่นแหละ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกไร้ฝีมือทัพครูเสดภายใต้ การนำของกษัตริย์ คอนราดที่ 3 แห่ง เยอรมัน กับ พระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศส ที่ยกไปในช่วงปี ค.ศ. 1148 จึงถูกทัพมุสลิมตีแตกพ่ายไปตั้งแต่ยังไม่ทันถึงนครเยรูซาเลม


พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ 
สงครามครูเสดครั้งต่อมา จัดเป็นการศึกที่ยิ่งใหญ่และมีตำนานต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยทางฝ่ายคริสเตียน มีนายทัพชั้นดีหลายคน อาทิ พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ (Richard the lion hearted) แห่งอังกฤษ กษัตริย์ ฟิลลิป ออกัสตัส แห่งฝรั่งเศส พระเจ้า เฟร เดอริก บาร์บารอสซา แห่งเยอรมัน

ทางฝ่ายมุสลิมก็มีขุนทัพ ซาลาดิน (Sarla din) ผู้ เกรียงไกรของเติร์ก ซึ่งสามารถรวบรวมรัฐทั้งหลายของชนเผ่า ซาราเซนให้เป็นอาณาจักรเดียวกันได้สำเร็จ และสุดท้ายก็ตีได้นครเยรูซาเลม ในปี ค.ศ. 1187 อันเป็นสาเหตุให้ฝ่ายคริสต์ต้องยกขบวนครูเสดมาแย่งคืนนั่นเอง


ทัพครูเสดจากอังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมัน มารวมพลกันที่เมืองเอเคอร์ติดชายแดนซีเรีย ในปี ค.ศ. 1189 หลังจากสู้รบกับทัพที่สุลต่านซาลาดินส่งมาอยู่นานถึง 23 เดือน ก็ตีได้เมือง เอเคอร์ในที่สุด และจับชาวมุสลิมกระทำทารุณ อย่าง..น่ารัก..มโหด แล้วสังหารทิ้งถึง 25,000 คน ด้วยแค้นที่ รบต้านทานทรหดทำให้ต้องสูญเสียทหารคริสเตียนไปมากมาย

แม้ริชาร์ดใจสิงห์ จะทรงพลังเข้มแข็ง แต่ไม่สู้ลงรอยกับ ผู้นำของชาติอื่นๆ ทำให้เกิดความขัดแย้งกันตลอดเวลา ตรงกันข้ามกษัตริย์ริชาร์ดกลับมีความสัมพันธ์ฉันสหายกับ สุลต่านซาลาดิน ซึ่งเป็นคู่ปรับตัวฉกาจ ทั้งสองต่างยอมรับนับถือในฝีมือของกันและกัน รวมทั้งได้ มีการเจรจาออมชอมพักรบกันเป็นครั้งคราว โดยที่ทั้งสอง ต่างก็รักษาสัจจะวาจาอย่างเคร่งครัด

สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่ง ก็คือ ความแตกต่างระหว่าง นักรบฝ่ายคริสเตียนกับนักรบมุสลิม โดยนักรบจากยุโรปมักมีร่างกายใหญ่โตบึกบึน แต่งกายออกศึกในชุดหุ้มเกราะอันหนักอึ้ง แม้กระทั่งม้าศึกก็มีเกราะหุ้มกำบัง อาวุธที่ใช้ก็เป็น ดาบและโล่ที่มีน้ำหนัก ส่วนทางฝ่ายมุสลิมจะมีรูปร่างเล็กกว่า สวมเสื้อหนังและใช้ดาบซาระเซนรูปโค้งดั่งเคียวและ คมกริบ นักรบมุสลิมจะรบอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว ในขณะที่นักรบครูเสดอุ้ยอ้ายเทอะทะ แต่มีอาวุธที่หนักหน่วงกว่า และมีอุปกรณ์ป้องกันตนเหนือกว่า




มีข้อดีและข้อด้อยที่ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก จึงเป็นการรบที่น่าดูอย่างยิ่ง

ท้ายที่สุดในปี ค.ศ. 1192 สหายศึกทั้งสองคือริชาร์ดใจสิงห์ กับซาลาดิน ก็กินกันไม่ลง และได้ทำสัญญาสงบศึกต่อกัน แต่ หลังจากสัญญาสิ้นสุดลงก็ได้มีสงครามครูเสดเล็กๆ น้อยๆเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง


สงครามครูเสดครั้งสุดท้าย เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1229 โดยการนำทัพของ พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 2 แห่งเยอรมัน ซึ่งในระหว่างนั้นเหล่ามุสลิมกำลังเกิดความขัดแย้งระส่ำระสาย กองทัพคริสเตียนจึงได้ชัยชนะ และยึดเอาเมืองต่างๆ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไว้ได้ รวมทั้งเยรูซาเลม หลังจากปกครองอยู่ 10 ปี พวกอียิปต์ก็กลับเข้ามาตีเมืองเยรูซาเลมคืนในปี ค.ศ. 1244 และขับ ไล่นักรบครูเสดออกไปทีละเมืองจนหมดใน เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1291

และเป็นการยุติสงครามครูเสดอันยาวนานถึง 1,200 ปี โดยสิ้นเชิง



เรื่องราวของครูเสดได้เกิดเป็นตำนาน มากมาย อาทิ เรื่องของอัศวิน เทมพลา (The Knights Templar) ซึ่งเป็นนักรบผู้กล้าหาญ แต่หลังจากเสร็จสิ้นสงครามก็ถูกกล่าวหา ว่าปล้น หรือยักยอกสมบัติที่ยึดครองจากข้าศึก หรือตำนานความสัมพันธ์อันซับซ้อน ระหว่างริชาร์ด ใจสิงห์กับสุลต่านซาลาดินดัง มีอยู่ในนิยายเรื่อง THE TALISMAN ของ เซอร์ วอลเตอร์ สก็อตต์ หรือแม้กระทั่งเรื่องของขุนศึกครูเสดใจเพชร ในภาพยนตร์ THE KINGDOM OF HEAVEN ที่โด่งดัง



หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 04 พฤศจิกายน 2552 08:05:05
 :emop


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 04 พฤศจิกายน 2552 23:53:48
ที่มาของคำว่า .....เกรียน

เห็นเค้าชอบพูดกันว่าเกรียนๆๆ
ก็เอามาให้อ่านกันว่าแปลว่าอะไร

ไม่ได้อยากจะทำให้เครียดนะครับ แต่เอามาให้อ่านกันเฉยๆ


ความหมายของคำว่า "เกรียน"

ภาษาไทยวันละคำวันนี้ขอเสนอคำว่า เกรียน หากเปิดหาคำนี้ใน พจนานุกรรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หน้า 141 จะพบว่าถูกนิยามความหมายไว้ 3 ความหมายด้วยกันดังนี้



เกรียน ๑ [เกรียน] ว. สั้นเกือบติดหนังหัว ผิวหนังหรือ พื้นที่ เช่น ผมเกรียน หมาขนเกรียน หญ้าเกรียน

เกรียน ๒ [เกรียน] ดู เลี่ยน ๑.

เกรียน ๓ [เกรียน] น. แป้งซึ่งนวดด้วยน้ำร้อนแล้วไม่น่ายเป็นเม็ดปนอยู่ เม็ดนั้นเรียกว่า เกรียน; เรียกปลายข้าวขนาดเล็กว่า ข้าวปลายเรียน



แต่วันนี้ผมไม่ได้มาพูดถึงคำนี้ตามที่พจนานุกรรมให้นิยามไว้หรอกนะครับ แต่ผมขอพูดถึงมันในแง่มุมของมนุษย์ Cyber กันดีกว่าเราจะมาค้นหาความหมายของมันกันและเมื่อรู้ความหมายแล้วอย่าลืมสำรวจตัวเองด
้วยนะว่าคุณ “เกรียนหรือเปล่า”



ต้นกำเนิดแห่ง เกรียน



เกรียน คำนี้มีต้นกำเนิดมาจากที่ใดไม่มีหลักฐานระบุชี้ชัดได้ แต่ที่แน่ๆ บนศิลาจารึก หลักไหนๆ ก็คงไม่มีคำๆ นี้ปรากฏอยู่เป็นแน่ ผู้คว่ำวอร์ดในวงการณ์เกมบางคนบอกว่า พบเห็นคำนี้ครั้งแรกมาจากเกมออนไลน์ที่มีผู้นิยมเล่นสูงสุดเกมหนึ่ง ส่วนผู้คว่ำวอร์ดในวงการณ์บอร์ดบอกว่าเห็นครั้งแรกในเว็บซื้อขายแลกเปลี่ยนที่มีผู้ใ
ช้มากที่สุดแห่งหนึ่ง ผมจึงไม่สามารถอ้างอิงได้ว่ามันมีต้นกำเนิดจากที่ใดกันแน่ รู้แต่เพียงว่าวันนี้มันถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย



การขยายตัวของ เกรียน



เกรียน ไม่ใช่คำด่าพร่ำเพรื่อเหมือนอย่างคำด่าอื่นๆ ที่เราคุ้นเคยมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแห่ง แต่เป็นคำที่ใช้ เฉพาะเจาะจงสำหรับกลุ่มคนประเภทหนึ่ง กลุ่มคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนพิเศษนักวิชาการบางท่านบอกว่า เป็นอาการของคนที่เสพหญ้ามากเกินไป จนคอโรฟิวในหญ้าไปอุดตันสมอง จนส่งผลให้การทำงานของสมองซีกขวา ซึ่งเป็นสมองด้านของเหตุผลและการเรียนรู้ หดตัวลง ในขณะที่สมองซีกซ้ายที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการใช้อารมณ์ขยายตัวใหญ่ขึ้น จึงส่งผลให้คนกลุ่มนี้ใช้แต่อารมณ์มากกว่าเหตุผลและการวิเคราะห์ไตร่ตรอง ดังจะพบพฤติกรรมดังกล่าวได้บ่อยๆ ในเกมออนไลน์ หรือตามเว็บบอร์ดทั่วไป สาเหตุที่ทำให้คำนี้เกิดการใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นไม่ใช่เพราะมันถูกนำมาใช้เป็นคำแ
ฟชั่นหากแต่กลุ่มคนประเภทดังกล่าวขยายตัวมากขึ้นและลุกลามอย่างรวดเร็วจนยากที่จะหยุ
ดยั้งได้ต่างหาก



กลุ่มที่อยู่ในสภาวะ เกรียน



หลายคนอาจจะเข้าใจผิดจนเหมารวมไปเลยว่า เกรียน คือ กลุ่มเด็ก ตั้งแต่ ป.1 จนถึง มัธยมปลาย ที่ตัดผมสั้นเกรียน สาเหตุที่หลายคนตีความแบบนั้นอาจจะเป็นด้วยลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่นคือทรงผมที่เลี
่ยนเกรียนติดหนังหัว ซึ่งความจริงแล้วตาม “กฎของ เกรียน” หรือ “เกรียน Law” นั้นลักษณะดังกล่าวเป็นเพียงรากศัพท์ของคำว่า เกรียน เท่านั้นเอง หากแต่ในความเป็นจริง ตามหลักของ “เกรียน Law” คือ “ความเกรียนไม่จำกัด ทรงผม อายุ เพศ หรือ ฐานะ ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมในความเกรียนเหมือนกันหมด” ดังนั้นจึงพอจะสรุปได้ว่า สภาวะเกรียน เป็นสภาวะของพฤติกรรม ทางความคิด หาใช่ลักษณะทางกายภาพอย่างที่หลายคนเข้าใจกันไม่



ทำไมต้อง เกรียน



หลังจากที่ได้ทำการศึกษาและค้นคว้าเป็นเวลาหลายวันผมได้พบว่า คำเหยียดสติปัญญาคำนี้เกิดขึ้นด้วยสาเหตุที่ว่า กลุ่มคนที่อยู่ในสภาวะเกรียนส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก และเป็นกลุ่มเด็กที่เล่นเกมออนไลน์ อาจจะด้วยเพราะเกมออนไลน์ในบ้านเรา เปิดกว้างมากจนเกินไป จนเกิดการกระจุกตัวทางการแสดงออกในสถานที่เดียวกัน จนเมื่อเด็กๆ เกิดการคลุกคลีกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมบ่อยๆ จึงดูดซึมพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านั้นมาใช้โดยไม่มีคนคอยให้คำแนะนำ โดยพฤติกรรที่เราจะพบเห็นได้จากเด็กที่อยู่ในสภาวะเกรียนก็คือ การกระทำที่ไร้ความคิด พฤติกรรมไร้เหตุผล พฤติกรรมก้าวร้าวทางคำพูดและความคิด เมื่อเข้าสู่สภาวะเกรียนสมองซีกซ้ายจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งคนที่อยู่ข้างๆ ต้องเข้าระงับสติด้วยการ เบิร์ดกระบาล ซีกซ้ายซะหนึ่งที ก่อนที่อาการจะลุกลามถึงขั้น “โคบ้า” ถ้าเป็นพวกวิกฤติหนักๆ ก็อาจจะกลายเป็น “กระบือบ้า” ได้เหมือนกัน



อาการที่เรียกว่า เกรียน



- กลุ่ม เกรียน มักจะมีความเชื่อมั่นตัวเองสูงในจินตนาการ แต่ปฏิบัติตัวตรงกันข้าม อยากเทพแต่ทำตัว*** เกรียนประเภทนี้มีคนให้นิยามจำแนกออกมาเป็น กลุ่ม เทพเกรียน หรือ King of เกรียน หรือ เกรียน เหนือ เกรียน

- กลุ่ม เกรียน มักจะมีความอดทนต่อสิ่งเร้าภายนอกน้อยกว่าบุคคลปกติ และควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ มักแสดงออกทางคำพูด มากกว่าทางความคิด หรือทีเรียกว่า “พูดโดยไม่คิด” ในบางรายจะชอบด่าทอผู้อื่นแบบไร้เหตุผล โดยเชื่อมั่นว่าตัวเองถูกเสมอ จนบางครั้งก้าวล่วงไปถึงบุพการีของผู้อื่น

- ชาวเกรียนจะมีความสุขไปกับการ ด่าคนแบบไร้ เหตุผล และอดีนาลีนของชาวเกรียนจะสูบฉีดรุนแรงขึ้นเมื่อถูกด่าตอบ ชาวเกรียนมีพฤติกรรมที่ชอบเรียกร้องความสนใจ ดังจะพบได้ตามเว็บบอร์ด ในกระทู้ดักควายต่างๆ พอเห็นคนเข้ามาด่าก็นั่งยิ้มชื่นใจ จนกลายเป็นค่านิยมเสพติดของพวกเค้าไปแล้ว

- อาการหนึ่งที่เห็นได้ชัดจาก กลุ่มเกรียนคือจะเป็นกลุ่มคนที่มี IQ และ EQ ต่ำ เนื่องจากไม่ค่อยชอบใช้ความคิด ชอบใช้แต่อารมณ์ สมองไม่สามารถดูดซึมเหตุผลเข้าไปได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องปลุกเร้าอารมณ์ก้าวร้าวจะตื่นตัวในทันที


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 04 พฤศจิกายน 2552 23:57:56
ที่มาของกูรู

กูรู
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี



กูรู (गुरू สันสกฤต) เป็นคำทับศัพท์ หมายถึง ครู หรือ อาจารย์ ในศาสนาพราหมณ์ฮินดู มาจากปรัชญาความเชื่อในความสำคัญของการเข้าถึงความรู้ โดยมี กูรู หรือ อาจารย์เป็นผู้ชักนำไปสู่จุดสูงสุด ในประเทศอินเดียในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู และซิกข์ คำ กูรู นี้ยังคงความหมายของความศักดิ์สิทธิ์

อนึ่ง คำว่า กูรู นี้เป็นการทับศัพท์ในภาษาอังกฤษ โดยสะกดว่า "guru" ซึ่งหากทับศัพท์มาใช้ในภาษาไทย ก็จะต้องเขียน "คุรุ" ซึ่งมีศัพท์นี้อยู่แล้วในภาษาไทย เช่น คุรุสภา, คุรุศึกษา เป็นต้น (ในภาษาบาลีใช้ "ครุ" เช่น ครุศาสตร์, ครุภัณฑ์) อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีความนิยมใช้คำว่า กูรู นี้ในเชิงการบริหารและการศึกษา หมายถึง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในสาขานั้นๆ

กูรู ในภาษาสันสกฤตนั้นยังใช้หมายถึง พฤหัสบดี ซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง ซึ่งตรงกับเทพเจ้าจูปิเตอร์ของชาวโรมันนั่นเอง ตามความเชื่อในศาสนาฮินดูนั้น ดาว จูปีเตอร์/กูรู/พฤหัสบดี ถือว่าเป็นดาวที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ ในภาษาต่างๆ ของอินเดีย คำว่า พฤหัสปติวาร(วันพฤหัสบดี) จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าว่า คุรุวาร(วันกูรู) โดย วาร นั้นหมายถึงวัน

กูรู ในอินเดียในทุกวันนี้ใช้ในความหมายทั่วไป หมายถึง "ครู"

ในประเทศตะวันตก กูรู ยังใช้ในความหมายที่กว้างขึ้นหมายถึง บุคคลที่เผยแพร่ศาสนา หรือ กลุ่มความเชื่อตามปรัชญาต่างๆ คำนี้ยังใช้ในความหมายเชิงอุปมา หมายถึงบุคคลผู้ซึ่งอยู่ในสถานะที่เชื่อถือได้ เนื่องมาจากความรู้ และความชำนาญ ที่เป็นที่ประจักษ์ และ ยอมรับ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 05 พฤศจิกายน 2552 00:01:43
ที่มาของคำว่า คาสโนวา

    “คาสโนวา” มาจากชื่อจริง “จิอาโคโม จิโรลาโม คาสโนวา Giacomo Girolamo Casnva” เกิด ค.ศ. 1725 ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี พ่อแม่เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงไปทั่วยุโรป เขาจบปริญญาเอกด้านกฎหมายตั้งแต่อายุ 17 ปี เข้าโรงเรียนศาสนาที่เซนต์ไซเปรียน เพื่อเป็นนักบวช แต่ถูกไล่ออกด้วยพฤติกรรมชู้สาว
ต่อมาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยพระคาร์ดินัลแอ๊คความวิวาแห่งโรม แต่ก็เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นอีก ต้องกลับเวนิส ทำงานหลายอย่างรวมถึงเป็นนักเขียน ผลงานตีพิมพ์มีทั้งบทละคร นิยาย บทกวี โด่งดังที่สุดชิ้นหนึ่งคือ อัตชีวประวัติ “History of My Life “เรื่อง “Casanova-คาสโนวา”  
    ในนิตยสารสารคดี ฉบับที่ 252 กุมภาพันธ์ 2549 พูดถึงเขาว่า ชื่อเสียงและอาชีพของเขาคือนักผจญภัยและนักเขียน แต่สถานภาพเขามีหลายอย่าง ไม่ว่าทหาร สายลับ นักการทูต นักไวโอลิน เลขาพระคาร์ดินัล โต้โผออกหวยแห่งชาติ นักโทษแหกคุย บรรณารักษ์ แถมยังเกือบจะได้เป็นบาทหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าไม่ถูกไล่ออกก่อนเพราะเรื่องเหล้ากับผู้หญิง
    คาสโนวามีทั้งโชคและความอับโชค เคยโกงและถูกโกง ต้องหนีภัยเพราะสิ่งที่ตังเองก่อ เคยพบกับบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายทั้งพระสันตะปาปา พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 รุสโซ  วอลแตร์  โมสาร์ต ฯลฯ แม้หลายคนจะไม่เชื่อว่าเขาผ่านการผจญภัยกับผู้หญิงมาถึง 122 คน อย่างที่ว่าไว้ในหนังสือ แต่ต้องยอมรับว่าภาพสังคมและชีวิตในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 18 ที่เขาสะท้อนไว้ในนั้น เป็นความจริง
    บทเรียนแรกเกี่ยวกับผู้หญิงของคาสโนวาเริ่มต้นเมื่อเขาอายุ 11-12 แต่รักครั้งสำคัญเกิดขึ้นตอนอายุ 24 กับอองเรียต สาวชาวฝรั่งเศส ซึ่งทิ้งเขาไป คาสโนวามีพรสวรรค์ด้านภาษาและวาทศิลป์ จึงประสบความสำเร็จในทางต้มตุ๋นคนในสังคมมั่งมี แต่นั่นก็เป็นเหตุให้ต้องติดคุก เขาแหกคุกออกมา และชีวิตหลังจากนั้นก็เป็นการผจญผภัยในอิตาลี ฝรั่งเศส เยอนมนี สเปน ออสเตรีย เช็ก ฯลฯ ทุกที่มีเรื่องเกี่ยวพันกับสตรี
    คาสโนวาเป็นผู้มีสติปัญญาสูง เรียนเก่ง มีงานเขียนงานแปลออกมามากมายตลอดชีวิต แต่งานเหล่านั้นไม่จับใจคนมากเท่าชีวิตอันโลดโผนของเขา อุปรากรเรื่อง “ดอนจิโอวานี” ที่คีตกวีโมสาร์ตแต่งขึ้นโดยมีเค้าเรื่องมาจากชีวิตของคาสโนวา สะท้อนความคิดของเขาไว้ว่า “สตรีต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบการกระทำอันชั่วร้ายของดอนจิโอวานี ค่าที่มันทำให้จิตใจเขาเคลิบเคลิ้ม และทำให้หัวใจเขาตกเป็นทาส”
     คาสโนวาตายเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1798 ในปราสาทที่ดักซ์ ซึ่งปัจจุบันเป็นเขตสาธารณะรัฐเช็ก เสียชีวิตไปแล้วแต่ชื่อเสียงกลับยิ่งโด่งดังในฐานะสัญลักษณ์แห่งการหมกมุ่นกับความรัก  


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 05 พฤศจิกายน 2552 00:08:58
ที่มาของคำไทย สุภาษิตไทยและ ชื่อต่าง ๆ และ อีกมากมาย

คำว่า “นิสิต” นั้นเป็นภาษาบาลี แปลว่า “ผู้อาศัยกับอุปัชฌาย์” เนื่องจากแต่เดิมสถาบันการศึกษาระดับสูงมักมีหอพักให้ผู้เรียนได้พักอาศัยภายในสถาบัน ประกอบกับความนิยมภาษาบาลีด้วยจึงได้ใช้คำนี้โดยทั่วไป

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเริ่มแรกเป็นโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราวุธ ได้สถาปนาขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย” และปรากฏใช้คำว่า “นิสิต” สำหรับนิสิตชาย และ “นิสิตา” สำหรับนิสิตหญิง ต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาใช้คำว่า “นิสิต” เพียงคำเดียว

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็ก่อตั้งขึ้นโดยที่ค่านิยมภาษาบาลีสันสกฤตยังเป็นที่นิยมและมีหอพักให้ผู้เรียนภายในสถาบันเช่นเดียวกัน จึงใช้คำว่า “นิสิต” มาตั้งแต่แรกเริ่ม

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นับเป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของไทย เริ่มต้นจากการเป็น “โรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูงถนนประสานมิตร” (สถาปนาเมื่อ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๒) ต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “วิทยาลัยวิชาการศึกษา” (สถาปนาเมื่อ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๙๗) นับเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกของไทยที่สามารถเปิดสอนวิชาชีพครูได้ถึงระดับปริญญา โดยมีสาขาทั่วประเทศทั้งสิ้น ๘ แห่งและทุกแห่งก็ใช้คำว่า “นิสิต” เหมือนกันหมด
ภายหลังวิทยาลัยวิชาการศึกษาทั้ง ๘ แห่ง ก็ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” (อ่านว่า สี-นะ-คะ-ริน-วิ-โรด) และปัจจุบันก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (คงสถานะเดิม)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน (ยุบวิทยาเขต)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พลศึกษา (ยุบวิทยาเขต)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางเขน (ยุบวิทยาเขต/ให้สถาบันราชภัฏพระนครเช่าตึกและอาคารเรียนทั้งหมด)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พิษณุโลก (ยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัยนเรศวร)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม (ยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัย มหาสารคาม)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน (ยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัยบูรพา)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา (ยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัยทักษิณ)
แม้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒแต่ละแห่งได้มีการเปลี่ยนไปด้วยประการต่าง ๆ แต่ทุกแห่งก็ยังคงใช้คำว่า “นิสิต” เหมือนกันหมด

ทุกมหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนกล่าวถึงทั้งหมดใช้คำว่า “นิสิต” ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ มีหอพักให้ผู้เรียนอยู่ภายในสถาบัน

ในสมัยที่ประชาธิปไตยพยายามจะเบ่งบาน มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ธรรมศาสตร์ หมายถึง วิชาว่าด้วยกฎหมาย) เป็นมหาวิทยาลัยเปิด ไม่มีหอพักให้ผู้เรียน จึงสร้างคำใหม่ขึ้นมาเพื่อให้เป็น “ไทย ๆ” มากขึ้น คือคำว่า “นักศึกษา”

มหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้นภายหลังหลาย ๆ แห่ง แม้จะมีหอพักนักศึกษาอยู่ภายในมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่นิยมใช้คำว่า “นิสิต” เหมือนมหาวิทยาลัย “โบราณ” ที่ก่อตั้งมานานแล้วทั้งหลาย จึงหันไปใช้คำว่า “นักศึกษา” เหมือนกันแทบทุกแห่ง แม้แต่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เอง แต่เดิมก็ใช้คำว่า “นิสิต” แต่ภายหลังอธิการบดีท่านหนึ่งซึ่งเป็นนายแพทย์ ก็ได้เปลี่ยนคำว่า “นิสิต” มาเป็นคำว่า “นักศึกษา” ดังนั้น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เองก็นับเป็นมหาวิทยาลัยที่เคยใช้คำว่า “นิสิต” มาก่อน

ผู้ที่ตอบกระทู้ในโต๊ะห้องสมุดหลายคน ก็ให้เหตุผลต่าง ๆ กัน เช่น
๑. สถานศึกษาที่ก่อตั้งมานานจะใช้คำว่านิสิต ก่อตั้งไม่นานใช้คำว่านักศึกษา
๒. สถานศึกษาใดต้องการใช้คำว่านิสิตต้องขอพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๓. สถานศึกษาใดที่ "เจ้าฟ้า" เสด็จเข้าทรงศึกษาจะเปลี่ยนไปใช้คำว่านิสิตทันที
เหตุผลเหล่านี้เป็นเหตุผลที่น่าแคลงใจทั้งสิ้น เพราะผู้เขียนพบว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง) เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ใช่น้อยก็ยังใช้คำว่านักศึกษา ในขณะที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ใช้คำว่านิสิตในเบื้องต้นทั้งที่ก่อตั้งมาทีหลัง แสดงว่าเหตุผลที่ ๑ เป็นอันตกไป

ส่วนเหตุผลที่ ๒ นั้นดูแปลกพิกลอยู่ เพียงแค่คำว่า "นิสิต" คำเดียว ถึงกับต้องขอพระราชทานเชียวหรือ ? แล้วอย่างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ต้องทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายคำว่า "นิสิต" คืนหรือไม่ ?

ส่วนเหตุผลที่ ๓ เป็นเหตุผลที่พิสดารกว่าใคร ๆ เพราะพบว่าเมื่อครั้งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เข้าศึกษา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยนั้น มหาวิทยาลัยได้ใช้คำว่า "นิสิต" อยู่แล้ว จากนั้นสมเด็จพระเทพฯ ทรงศึกษาต่อระดับปริญญามหาบัณฑิต ณ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยศิลปากรก็ไม่ได้เปลี่ยนคำเรียกไปใช้คำว่า "นิสิต" แต่อย่างใด

เรื่องยังไม่จบแค่นี้ สมเด็จพระเทพฯ เป็นผู้มีความวิริยอุตสาหะ ขวนขวายในศิลปวิทยาการทั้งปวงเป็นอย่างมาก จึงเสด็จเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร แต่..โอ้โอ๋กระไรเลย บ่มิเคย ณ ก่อนกาล... มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ใช้คำว่านิสิตมาก่อนหน้านั้นแล้ว เรียกว่าใช้คำนี้มาแต่อ้อนแต่ออกด้วยซ้ำไป

เรื่องของเรื่องที่ผู้เขียนได้อธิบายมาทั้งหมดจึงอยากสรุปว่าคำว่านิสิตหรือนักศึกษานั้นไม่สำคัญ คำว่า "นิสิต" ไม่ได้ทำให้ใครยิ่งใหญ่ หรือแสดงความเจ้ายศเจ้าอย่าง มีชนชั้นวรรณะเหนือกว่าใคร ถ้านิสิตไม่ตั้งใจเรียน ประพฤติไม่สมแก่ความมุ่งหมายของมารดาบิดร คำว่านิสิตนั้นจะภูมิใจอะไรเท่านักศึกษาที่ตั้งใจเรียนและประพฤติตนเป็นคนดีของสังคม

อีกประการหนึ่งนั้น อยากให้ผู้มีทัศนะต่าง ๆ นานานั้นได้เข้าใจให้ถูกต้อง เพื่อจะได้ไม่แสดงเหตุผลอันน่าเคลือบแคลงให้ผู้อื่นต้องจำผิด ๆ ไปอีกหลาย ๆ ทอด




ฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา


ในช่วงที่น้าเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ได้ให้สัมภาษณ์ 'สารคดี' เมื่อเดือนตุลาคม 2532 ว่า "ค่านิยมเหล่านี้มันไม่เกี่ยวกับความเป็นซ้ายเป็นขวา" และ "คนเราเวลารู้สึกผิดมักจะออกไปทางซ้ายจัด" คำว่า "ซ้าย" และ "ขวา" ในที่นี้หมายความว่าอย่างไรครับ

คำว่า 'ซ้าย' และ 'ขวา' มาจากการแบ่งที่นั่งของสมาชิกพรรคการเมืองในสภาของฝรั่งเศส พรรที่นั่งข้างซ้ายจะเป็นพรรคที่ถือเหตุผลสากลนิยม ประชาธิปไตย ต่อต้านลัทธิอาณานิคม มีความเชื่อมั่นในความกว้างหน้า เชื่อตลอดเวลาว่าประชาชนสามารถปกครองตนเองได้ ต่อต้านชนชั้นสูง ศาสนา กองทัพ ระบบการเงิน คือต่อต้านองค์การแห่งอำนาจรัฐ

ส่วนพรรคที่นั่งข้างขวาเป็นกลุ่มชาตินิยม ติดอยู่กับจารีตประเพณีโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนา เทิดทูนอำนาจอธิปไตยว่ามาจากเบื้องบนไม่เชื่อมั่นว่าจะมาจากเบื้องล่าง นิยมในอำนาจ ชอบออกคำสั่งและให้คนเคารพเชื่อฟัง เกี่ยวพันกับธุรกิจเอกชน

การแบ่งที่นั่งของพรรคการเมืองฝรั่งเศสที่มีความชัดเจนเช่นนี้ จึงเกิดความนิยมเรียกพรรคหรือคนที่มีแนวคิดต่างๆ กันว่าเป็น 'ฝ่ายซ้าย' หรือ 'ฝ่ายขวา' ดังคำอธิบายข้างต้น

ที่มา : 108 ซองคำถาม เล่ม 1 หน้า 91 – 92

 

 

ทำไมพ่อครัวต้องสวมหมวกสีขาวทรงสูง ?

“ซองคำถาม” เคยตอบคำถามนี้แล้วว่า หมวกของพ่อครัวใหญ่หรือเชฟ (Chef) ออกแบบให้เป็นหมวกทรงสูงเพื่อระบายอากาศร้อน ต่อมาได้ข้อมูลเพิ่มเติมในเชิงประวัติความเป็นมา จึงขอนำมาขยายต่อดังนี้

ธรรมเนียมปฏิบัติของเชฟในการสวมหมวกทรงสูงพองโป่งด้านบนย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ ๑๕ ในยุคนั้นพ่อครัวเป็นอาชีพที่ทำรายได้สูงมากและยังเป็นที่ยกย่องนับถือของชาวกรีกในกรุงไบแซนเทียม (ชื่อโบราณของกรุงอิสตันบูล จนถึงปี ๓๓๐ ก่อนคริสตกาล) เมื่อพวกเติร์กล้มล้างจักรวรรดิไบแซนทีนใน ค.ศ. ๑๔๕๓ บรรดาพ่อครัวต้องหนีไปหลบซ่อนตัว สถานที่หลบภัยก็คือสำนักสงฆ์ เพื่อให้กลมกลืน พวกเขาสวมใส่เครื่องแต่งกายเช่นเดียวกับพระที่พวกเขามาขออาศัยอยู่ด้วย

เครื่องแต่งกายชิ้นหนึ่งของพระก็คือ หมวกสีดำทรงสูงที่พองโป่งตรงส่วนยอด ต่อมาพวกพ่อครัวได้เปลี่ยนเฉพาะสีของหมวกเป็นสีขาวเพื่อให้พอแยกออกระหว่างพวกเขากับพระจริง ๆ ส่วนรูปทรงของหมวกนั้น เข้าใจว่าพวกพ่อครัวคงชอบมาก จึงคงไว้แบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

พูดถึงเชฟแล้ว คุณณัชชารู้หรือไม่ว่า เรื่องตำแหน่งหน้าที่ในครัวฝรั่งดูแล้วไม่ต่างอะไรจากกองทัพที่มีนายร้อย นายพัน นายพลเลย อแมนดา เกล เชฟหญิง เล่าไว้ใน จีเอ็ม ปักษ์หลังกรกฎาคม ๒๕๔๗ ว่า โดยทั่วไปที่เป็นพื้นฐานเลยก็คือตำแหน่งฝึกงานซึ่งจะได้ค่าจ้างน้อย ๆ ก่อน แล้วพอทำงานไปเรื่อย ๆ อาจจะเป็น ๑ ปี ๒ ปี ๓ ปี ๔ ปี แต่ละปีก็จะได้เงินมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหลังจากนั้นก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเดมิเชฟเดอพาตี คำว่า เดมิ (demi) ก็คือ small หรือเล็ก จากนั้นถึงจะได้ขึ้นมาเป็นเชฟเดอพาตี มีหน้าที่ดูแลแผนกต่าง ๆ จากนั้นถึงจะเป็นเดมิซูส์เชฟ ก่อนจะเป็นซูส์เชฟ แล้วก็เชฟ และเอ็กเซ็กคูทีฟเชฟในที่สุด

 

 

 

 

กล่องดนตรี

 หรือ Music Box ถือเป็นต้นกำเนิดของตู้เพลงแบบหยอดเหรียญ มีต้นกำเนิดมาจากหมู่ระฆังในโบสถ์ที่ใช้สั่นบอกเวลาเป็นเสียงเพลง เริ่มจากปีค.ศ.1796 อองตวน ฟาเวร่ ชาวเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเทคนิคสร้างเสียงเพลงจากระฆังนี้มาดัดแปลง โดยใช้แท่งโลหะและลูกตุ้มไปติดแทน แล้วเชื่อมโยงด้วยหมุดเหล็ก พัฒนาให้เป็นนาฬิกาเสียงดนตรี จากนั้นในปี 1802 จึงนำผลงานประดิษฐ์ดังกล่าวมาย่อส่วนใส่ลงในกล่องยานัตถุ์ เป็นกล่องยานัตถุ์เพลง (Music snuff box) ซึ่งถือเป็นต้นแบบของมิวสิค บ๊อกซ์ เป็นต้นมา


          ในปีค.ศ.1815 ทั้งกรุงเจนีวาและเมืองสเต-ครัวซ์ กลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมผลิตกล่องเพลง โดยนายเดวิด เลอคูลเทร ถือเป็นนายช่างคน แรกที่นำโลหะทรงกระบอกมาใช้ตรึงหมุดในกล่องเพลงเป็นคนแรก ทั้งเป็นคนเพิ่มซี่เหล็กทำเสียงดนตรีออกเป็น 5 ซี่ (เหมือนหวี) เพื่อเพิ่มเสียงตัวโน้ตมากขึ้น ขณะเดียวกันพี่น้องตระกูลนิโคล ก่อตั้งโรงงานผลิตกลอ่งดนตรีชื่อ นิโคล-เฟรเรส์ พัฒนาเทคนิคทำกล่องเพลง เช่น ใช้ไม้ผลมาทำเป็นตัวกล่องให้สวยงาม และใช้ตัวควบคุมการทำงานของดนตรี 3 ตัว (ตัวเปลี่ยนเสียงเพลง ตัวเริ่มและหยุดเสียง และตัวหยุดเสียงทันที) นอกจากนี้ยังประดิษฐ์ตัวไขลานติดไว้ที่ด้านซ้ายของกล่อง (บริษัทนี้มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน)
         ในช่วงค.ศ.1850-1870 ถือเป็นช่วงที่มีการประดิษฐ์กล่องดนตรีที่ประณีตที่สุด ทั้งในด้านเสียงเพลงและตัวกล่อง จากนั้นในช่วง 1880 อุตสาหกรรมการผลิตกระบอกโลหะ (ตัวหมุน) เฟื่องฟูมาก เมื่อกล่องเพลงเป็นที่นิยมแพร่หลาย คนธรรมดาเดินดินก็ซื้อได้ แต่การผลิตกล่องเพลงมาชะงักราวปี 1910 เมื่อประชาชนหันไปนิยมเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เอดิสันประดิษฐ์ขึ้นในปี 1877 จากนั้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 การประดิษฐ์กล่องเพลงจึงซบเซาไป ในปัจจุบันกล่องเพลงที่มีชื่อเสียงยังคงเป็นของสวิส แต่บริษัทเยอรมันเองก็ไม่น้อยหน้า สามารถครองส่วนแบ่งของตลาดได้มากที่สุด
          เพลงที่นิยมใช้ในกล่องเพลง เป็นเพลงคลาสสิค และตอนนี้มีหลายแบบ ทั้งเพลงจากภาพยนตร์ เพลงของวงดนตรีดังๆอย่าง X-Japan ก็ยังมี ถ้าอยากเห็นชัดๆว่ากล่องเพลงทำงานอย่างไร ต้องไปดูอันที่ใช้แก้วเป็นฝาที่มองเห็นกลไกการทำงานภายใน จะเข้าใจได้ดีขึ้น

 

 

 

 

ไก่แก่แม่ปลาช่อน


สำนวนเป็นหนึ่งในความร่ำรวยทางภาษาไทย คนไทยนิยมใช้ถ้อยคำสำนวน เพื่อใช้ในการสื่อความหมายและเปรียบเปรยได้อย่างคมคายลึกซึ้ง สำนวน ?กระต่ายแก่แม่ปลาช่อน? เป็นสำนวนดั้งเดิมของไทย ซึ่งก็คือ สำนวน ?ไก่แก่แม่ปลาช่อน? ในปัจจุบันนั่นเอง
สำนวนไก่แก่แม่ปลาช่อน หมายถึง หญิงค่อนข้างมีอายุ มีมารยาและเล่ห์เหลี่ยมมาก หลักฐานที่อ้างอิงได้ว่าในอดีตเราใช้สำนวน กระต่ายแก่แม่ปลาช่อนนั้นมาจากวรรณคดีไทยหลายเรื่อง ดังในบทละครนอก คาวี พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กล่าวถึง ท้าวสันนุราชปรารถนาจะได้นางจันท์สุดาเป็นชายา แต่เพราะตัวเองชรามาก จึงอยากจะชุบตัวให้เป็นหนุ่มรูปงาม ทำให้หลงกลอุบายของหลวิชัย จนถึงแก่ความตาย คาวีสวมรอยเป็นท้าวสันนุราชขึ้นครองเมืองแทน นางคันธมาลี มเหสีท้าวสันนุราช พึงพอใจกับรูปโฉมใหม่ของท้าวสันนุราช นางน้อยใจที่ท้าวสันนุราชสนใจแต่นางจันท์สุดา คาวีที่สวมรอยเป็นท้าวสันนุราชต้องเข้าไปง้องอน นางก็แสดงกิริยาสะบัดสะบิ้ง

ไม่พอที่ตีวัวกระทบคราด สัญชาติกระต่ายแก่แม่ปลาช่อน
แสร้งสะบิ้งสะบัดตัดรอน จะช่วยสอนให้ดีก็มิเอา

วรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ก็พบสำนวนกระต่ายแก่แม่ปลาช่อน เป็นตอนที่พระอภัยมณีปรารภถึงนางสุวรรณมาลีที่หึงหวงนางละเวงว่า

ขี้เกียจเกี่ยวเคี่ยวขับข้ารับแพ้ กระต่ายแก่แม่ปลาช่อนงอนไม่หาย

กระต่ายแก่แม่ปลาช่อนเป็นสำนวนที่มีที่มาจากธรรมชาติ ธรรมชาติของกระต่ายเมื่อแก่มักจะเปรียว (ว่องไว) จึงนำมาเปรียบเทียบกับหญิงที่มีอายุมาก ย่อมมีมารยาและเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าสาว ๆ ส่วนปลาช่อน โดยทั่วไปมิได้ดุร้าย แต่ธรรมชาติของแม่ปลาช่อนเมื่อวางไข่จะดุสามารถกัดคนตายได้ ดังนั้นทั้งกระต่ายและแม่ปลาช่อนมีลักษณะคล้ายคลึงกันเมื่อแก่ตัว จึงนำมาเอ่ยเปรียบเทียบเป็นสำนวน

ประจักษ์ ประภาพิทยากร สันนิษฐานว่า สำนวนกระต่ายแก่แม่ปลาช่อน เพี้ยนมาเป็น ไก่แก่แม่ปลาช่อน เพราะมีเสียงใกล้เคียงกัน
คำว่าไก่แก่ตามความหมายในสำนวน คงมิได้หมายความว่าเปรียวแบบกระต่ายตามสำนวนดั้งเดิม ไก่เป็นสัตว์ที่เรานำมาปรุงเป็นอาหาร ธรรมชาติของไก่เมื่อแก่ย่อมจะมีเนื้อเหนียว เคี้ยวยากกว่าไก่รุ่น ๆ คำว่าไก่แก่จึงเทียบได้กับสาวแก่นั่นเอง


แหล่งที่มาของข้อมูล ประจักษ์ ประภาพิทยากร. วรรณคดีวิเคราะห์ พระอภัยมณี. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, 2526.
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย. บทละครนอก. พิมพ์ครั้งที่ 9 กรุงเทพ:บรรณาคาร, 2540.

 

 

 

ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 คืออะไร

 

เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ. ) ได้ส่งเสริมให้ประชาชนร่วมใจกันประหยัดการใช้พลังงานไฟฟ้าและใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจุดมุ่งหมายในการลดการใช้พลังงานโดยรวมของประเทศ จึงได้จัดทำโครงการ “ ประชาร่วมใจ ประหยัดไฟฟ้า ” โดยให้ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าผลิตหรือนำเข้าอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง สำหรับเครื่องปรับอากาศซึ่งเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีการเติบโตสูง และใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดทั้งในบ้านพักอาศัยและในภาคธุรกิจ กฟผ. ได้ขอความร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศให้เข้าร่วมโครงการ เพื่อกำหนดระดับประสิทธิภาพและพัฒนาเครื่องปรับอากาศ เพื่อติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพเบอร์แสดงระดับประสิทธิภาพตามมาตรฐานสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ( สมอ. ) โดยสถาบันไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์ ( สฟอ. ) เป็นหน่วยงานทดสอบค่าประสิทธิภาพ โดยเกณฑ์ที่ใช้กำหนดระดับประสิทธิภาพของเครื่องปรับอากาศ คือ

 

ฉลาก             ประสิทธิภาพ               อัตราส่วนประสิทธิภาพ (EER)
 5                  ดีมาก                          EER > = 11
 4                    ดี                        9.6 <= EER < 10.6
 3                ปานกลาง                   8.6 <= EER < 9.6
 2                  พอใช้                     7.6 <= EER < 8.6
 1                    ต่ำ                             EER < 7.6
 


 

 



"Z" อ่านว่า "ซี" หรือ "แซด" ??


ซึ่งผมหวังว่ามันคงจะเป็นประโยชน์ไ่ม่มากก็น้อยครับ และผมก็ยังคงยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่า "H อ่านว่า เอช แน่ๆ ไม่ใช่เฮด หรือ เฮ็ด"

คราวนี้มาต่อกันที่ตัว Z ครับ

"ตัว Z อ่านว่า ซี หรือ แซด กันแน่"

เวลาคุยกันเนี่ย ถ้าเราบอกว่าตัว Z ว่าตัว "ซี" เนี่ย คนฟังมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นตัว "C" ครับ

ดังนั้น ผมจึงเรียกตัวนี้ว่า "แซด" มาตลอด

แม้บางทีเราจะรู้สึกว่าอ่านผิด แต่วันนั้น ผมรู้แล้่วว่า ที่อ่านไปน่ะไม่ผิดหรอก

มันเป็นแค่ "สำเนียง" ครับกล่่าวคือ

ตัว Z จะอ่านว่า "ซี" ในการพูดภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน (American English) คือสำเนียงแบบคนอเมริกัน

ส่วนมันจะอ่านว่า "แซด" ในภาษาอังกฤษแบบบริติช (British English) หรือสำเนียงคนอังกฤษนั่นเอง ซึ่งในแบบอังกฤษ ตัว "Z" จะอ่านได้อีกเสียงคืออ่านว่า "เซด" ครับ

รับรองว่าชัวร์ ไม่มั่วนิ่มแน่นอน เพราะที่ๆผมเจอคือสารนุกรมออนไลน์ Wikipedia ครับ ที่ลิ้งค์นี้

เป็นยังไงล่ะครับ หวังว่าวันนี้คงได้รับความรู้ และโล่งอกไปนะครับ

ปล.ส่วนตัวแล้ว ผมชอบภาษาอังกฤษแบบอังกฤษมากกว่า เพราะสมัยก่อนที่ผมเรียนภาษาอังกฤษมา เรียนกันแบบ British English ครับ ซึ่งสมัยนี้อาจจะเรียนกันแบบอเมริกัน เพราะดูง่ายกว่าแบบอังกฤษครับ




 

ลมเกิดขึ้นได้อย่างไร
ความหมาย ลม (wind) คือ อากาศซึ่งเคลื่อนที่เนื่องจากความแตกต่างด้านความกดอากาศ (air pressure) ของสองบริเวณ โดยจะเคลื่อนที่จากบริเวณซึ่งมีความกดอากาศสูง (high air pressure) ไปสู่บริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ (low air pressure) โดยมีอุณหภูมิเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความกดอากาศต่ำ (low air pressure) ตามทฤษฎีการพาความร้อน (convection theory) กล่าวคือ ในสภาพที่อุณหภูมิสูงมากกว่า 27 องศาเซลเซียส มวลอากาศร้อนจะขยายตัว ทำให้มีน้ำหนักเบาและลอยตัวขึ้น ทำให้มวลอากาศบริเวณนั้นเบาบางลง เมื่อเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จะเกิดเป็นความกดอากาศต่ำ ทำให้อากาศที่อยู่บริเวณข้างเคียงซึ่งมีความหนาแน่นกว่าเคลื่อนที่เข้ามาสู่บริเวณนั้นเกิดเป็นลมขึ้น




โอ่งราชบุรีทำไมต้องเขียนลายมังกร


คนจีนซึ่งเคยทำเครื่องปั้นดินเผามาก่อนจากเมืองจีน ได้มาริเริ่มทำโอ่ง อ่าง ไห ขาย
จีนรุ่นบุกเบิกชื่อ นายจือเหม็ง แซ่อึ้งและพรรคพวก ได้รวบรวมทุนได้ 3,000 บาท ตั้งโรงงานเถ้าเซ่งหลีขึ้น
เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2476 เป็นโรงงานขนาดเล็กบริเวณสนามบินอยู่ตรงข้ามโรงเรียนอนุบาลราชบุรีเดี๋ยวนี้
แหล่งดินสีแดงที่ราชบุรีก็ค่อนข้างจะมีคุณภาพเหมือนที่เมืองจีน ดังนั้น จากเดิมเราใช้โอ่งอ่างไหจากเมืองจีน
ผู้ริเริ่มก็ทำอ่าง ไห กระปุก และโอ่งบ้างเล็กน้อย ให้ชาวมอญราชบุรีใส่เรือไปเร่ขาย
การทำโอ่งได้ริเริ่มอย่างจริงจังก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ดินขาวที่ใช้แต่งลวดลายเดิมได้มาจากเมืองจีน
ต่อมาได้หาทดแทนจากดินที่ท่าใหม่จันทบุรี และสุราษฏร์ธานี
เมื่อกิจการรุ่งเรืองขึ้น โรงงานจึงขยายกิจการและผลิตโอ่งเพิ่มมากขึ้น
หุ้นส่วนหลายคนแยกตัวไปตั้งโรงงานเอง โดยเฉพาะในจังหวัดราชบุรี
ปัจจุบันมีโรงงานผลิตโอ่งอยู่ถึง 42 แห่ง และเป็นโรงงานผลิตเครื่องเคลือบรูปแบบต่าง ๆ ออกไปอีก 17 แห่งตามจังหวัดอื่น ๆ ที่แยกไปจากนี้ คือ ที่อำเภอ
หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จังหวัดชลบุรีและในกรุงเทพมหานครบริเวณ สามเสน เป็นต้น
เจ้าของโรงงาน ช่างปั้น และประชาชนส่วนใหญ่ของจังหวัดราชบุรี เมื่อครึ่งศตวรรษมาแล้วล้วนเป็นลูกหลานจีน ดังนั้นช่างปั้นจึงได้คิดคัดเลือกลวดลายที่เป็นมงคล และมี
ความหมายที่ดี เพื่อให้เกิดความรู้สุกที่ดีต่อผู้ใช้ นอกเหนือจากความงามเพียงอย่างเดียว ที่สุดก็ได้เลือกสรรลวดลายมังกร ซึ่งแฝงและฝังไว้ด้วยความหมายตามความเชื่อ
คตินิยมในวัฒนธรรมจีน
ลวดลายมังกรดั้นเมฆ มังกรคาบแก้ว และมังกรสองตัวเกี่ยวพันกัน ล้วนเป็นสัตว์สำคัญในเทพนิยายของจีน เป็นเทพแห่งพลัง แห่งความดี และแห่งชีวิต ช่างปั้นเลือกเอา
มังกรที่มี 3 เล็บหรือ 4 เล็บ เป็นลวดลายตกแต่งโอ่ง ช่างผู้ชำนาญปาดเนื้อดินด้วยหัวแม่มือเป็นรูปมังกร โดยไม่ต้องร่างแบบ ขีดเป็นลายมังกรด้วยปลายซี่หวี เป็นหนวด นิ้ว
เล็บ ส่วนเกล็ดมังกรหยักด้วยแผ่นสังกะสีแล้วเน้นลูกตาให้เด่นออกมา




หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 05 พฤศจิกายน 2552 00:12:28
ถ้าเยอะไปขอ อภัยด้วยครับ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 05 พฤศจิกายน 2552 08:48:04
เชื่อว่าใครที่เกิดหลังปี 1970 คงต้องคุ้นหน้าคุ้นตา ตัวการ์ตูนเฮลโล คิตตี้ กันบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ เวลาช่างผ่านไปเร็ว เผลอเดี๋ยวเดียว คิตตี้ อายุ 35 ปีแล้วค่ะ...
       
       Hello kitty ถูกสร้างขึ้นในปี 1974 เมื่อครั้งบริษัทซานริโอยังเป็นบริษัทน้องใหม่ในวงการธุรกิจที่โตเกียว บริษัทได้มอบหมายให้ อิคุโกะ ชิมิซุ Ikuko Shimizu เป็นผู้ออกแบบตุ๊กตาสัตว์ที่ต้องโดนใจสาวๆทุกคนที่เห็น ในช่วงเวลานั้น ซานริโอมีตุ๊กตาหมีและสุนัขอยู่แล้ว พวกเขาต้องการตัวการ์ตูนใหม่เพื่อทำการตลาด
       
       ชิมิซุนึกถึงลูกแมวน้อยน่ารักตัวเมีย เธอจึงเริ่มต้นร่างลูกแมวตัวน้อยสีขาวมีโบว์สีแดงหน้าตาบ๊องแบ๊ว และในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 1974 เฮลโล คิตตี้ก็ปรากฏตัวต่อสาธารณชนครั้งแรก ในท่านั่งอยู่ระหว่างขวดนมกับตุ๊กตาปลาทอง เอียงใบหน้าเล็กน้อยอย่างน่าเอ็นดู เท่านี้ก็ทำให้สาวๆ ตกหลุมรักคิตตี้ทันที
       
       แล้วประวัติของคิตตี้ก็ตามออกมา เธอถูกอุปโลกน์ให้เป็นคนชาติอื่นที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น อาศัยอยู่ที่ชานเมืองลอนดอน กับพ่อแม่และแฝดที่ชื่อว่า mimmy ในสูติบัตรของคิตตี้ ระบุชื่อจริงของเธอว่า คิตตี้ ไวท์ kitty white แฝดทั้งคู่ถูกวาดให้เหมือนกัน แตกต่างกันก็เพียงสีของโบว์ คิตตี้จะมีโบว์สีแดงอยู่ที่หูข้างซ้าย ขณะที่มิมมี่จะมีโบว์สีเหลืองอยู่ที่หูข้างขวา
       
       คิตตี้ชอบทำคุ้กกี้ แต่เธอจะมีความสุขมากกว่าหากได้ลิ้มรสแอปเปิ้ลพายฝีมือแม่ของตัวเอง เหล่าสาวกคิตตี้ที่หลงใหลในตุ๊กตาหน้าตาน่ารักตัวนี้ ต่างก็ค่อยๆเรียนรู้ประวัติของคิตตี้นับตั้งแต่ปี 1974 กระทั่งปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรกที่เธอชอบอ่านหนังสือ ฟังและเล่นดนตรี รวมทั้งชื่นชอบลูกกวาด และสะสมดาวดวงน้อย รวมทั้งตุ๊กตาปลาทอง และสิ่งที่ถือเป็นลักษณะเด่นของคิตตี้ ก็คือ เธอถูกสร้างให้เป็นแมวน้อยที่มีจิตใจดีงามชอบพบเจอผูกสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่อยู่เสมอ
       
       ประวัติความเคลื่อนไหวของคิตตี้ถูกเผยแพร่ออกมาทุกปี ด้วยวิธีการทำการตลาดที่ชาญฉลาด ทำให้ คิตตี้จัง ตัวนี้กลายเป็นสินค้าที่ขายดีไปทั่วโลก แม้กระทั่งบ้านเรา ยังมีสัญลักษณ์คิตตี้วางขายอยู่แทบทุกส่วน ตั้งแต่ตลาดสดยันห้างสรรพสินค้าชื่อดัง!!
       
       ความโด่งดังของคิตตี้กระจายออกไปทั่วโลก ลูกแมวน้อยน่ารักตัวนี้ ค่อยๆทำยอดขายให้กับเจ้าของบริษัทอย่างงดงาม สิ่งที่ยั่วยวนให้ผู้หลงใหลในตัวคิตตี้ตัวนี้ก็คือ เรื่องราวของมันที่ถูกผูกเรื่องให้คล้ายกับชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่ง คิตตี้มีน้ำหนักตัวเท่ากับแอปเปิ้ล 3 ลูก สูงเท่ากับแอปเปิ้ล 5 ลูก
       
       สินค้าที่ถูกผลิตออกมามีตั้งแต่กระเป๋าใส่สตางค์ไปกระทั่งผ้าเช็ดตัวและอุปกรณ์อิเลคโทรนิคต่างๆ ท่วงท่าของคิตตี้ถูกกำหนดพร้อมแผนการตลาดออกมาทุกปีนับจากท่านั่งที่อิคุโกะ ชิมิซุเป็นผู้เริ่มต้นสร้างเฮลโล คิตตี้ขึ้นมาแล้ว ในปีถัดมาคิตตี้ก็มาอยู่ในมือสร้างสรรค์ของเซ๊ตสึโกะ โยนิคุโบะอีก 5 ปีก่อนที่ ยูโกะ ยามางูชิ จะมารับหน้าที่ดูแลคิตตี้จนกระทั่งปัจจุบัน
       
       ในปี 1976 จากท่านั่งในแรกเริ่ม คิตตี้ก็ถูกออกแบบให้เป็นท่ายืน และเริ่มเปลี่ยนแปลงท่วงท่าในปีถัดๆ มา ทั้งขี่โลมา นั่งอยู่ในรถ และอีกหลายรูปแบบ ทั้งเป็นสปอตเกิร์ลด้วยกีฬาเทนนิส นอกจากนี้ สินค้าอย่างนาฬิกาข้อมือที่ถูกออกแบบในปี 1981 ก็ขายได้ชนิดถล่มทลาย กว่าล้านเรือน...

 
 
 
 
       การเจริญเติบโตของเฮลโล คิตตี้มีต่อเนื่องมาเรื่อยๆ พร้อมๆ กับสินค้าของซานริโอ กระทั่งในปี 1988 การ์ตูน เฮลโลคิตตี้ ถูกผลิตขึ้นในสถานีโทรทัศน์ CBS ชุด hello kitty‘s fairy tale theater ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนที่ญี่ปุ่นจะนำเฮลโลคิตตี้มาสร้างเป็นการ์ตูนชุด 16 ตอนในปี 1993 – 1994 ในชื่อชุด Hello kitty’s paradise ซึ่งการ์ตูนชุดนี้มีการนำไปแปลงเป็นภาคภาษาอังกฤษและออกอากาศในเดือนพฤศจิกายนปี 2002
       
       ที่ประเทศไต้หวัน กรุงไทเปมีร้านอาหารชื่อ hello kitty ที่ออกแบบตกแต่งร้านทั้งหมดด้วยคาแรกเตอร์ของคิตตี้ นอกจากนี้ในโรงพยาบาล yuanlin ที่ไต้หวันเจ้าของโรงพยาบาลยังนำคิตตี้ไปเป็นรูปแบบข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดในแผนกสูตินารี ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ ตะกร้า เตียง สูติบัตรรวมทั้งชุดนางพยาบาล นัยว่าเพื่อช่วยลดอาภาวะกดดันของคุณแม่เมื่อต้องคลอดลูก
       
       เฮลโล คิตตี้ใช่จะมีดีเพียงแค่เป็นสินค้าขายดีเท่านั้นนะคะ เพราะในปี 1994 คิตตี้จังกลายเป็นตัวแทนเด็กของ UNICEF ในประเทศญี่ปุ่น ไม่เพียงเท่านั้นคิตตี้ยังได้รับเกียรติให้เป็นเพื่อนพิเศษของเด็กๆยูนิเซฟในปี 200 4 ล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2008 ประเทศญี่ปุ่นประกาศให้ hello kitty เป็นตัวแทนของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่เดินทางไปเที่ยวยังประเทศจีนและฮ่องกงอีกด้วย
       
       ปีนี้เฮลโล คิตตี้อายุ 35 แล้วนะคะ การฉลองครบรอบของเธอปีนี้จัดอยู่เกือบทุกภาคส่วนของโลกเลยทีเดียว อย่างที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา มีโครงการศิลปะ Three apples ที่ชักชวนศิลปินกว่า 80 คนให้มาออกแบบสร้างสรรค์ผลงานในนามของ hello kitty เพื่อจัดแสดงและจำหน่าย โดยภัณฑารักษ์ชื่อ Jamie Rivadeneira ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายผลิตภัณท์ของญี่ปุ่นและอเมริกา รายได้จากการขายผลงานศิลปะในครั้งนี้จะถูกนำไปบริจาคเพื่อสาธารณะประโยชน์ในเขตท้องที่เมืองลอสแองเจลิสค่ะ (ดูรายละเอียดได้ที่ www.sanrio.com/threeapples)
       
       หากใครเป็นผู้ชื่นชอบเฮลโลคิตตี้ คงเห็นว่าปีนี้ คิตตี้มีโบว์หลากสีนะคะ โบว์ห้าสี ห้าความหมายที่สื่อต่อสังคมได้งดงามค่ะ สีแดงหมายถึงมิตรภาพ สีชมพูคือความน่ารัก สีเหลืองคือจิตใจที่ดีงาม สีเขียวคือความปรารถนาและสีม่วงคือความอ่อนหวานค่ะ.... แล้วคุณล่ะคะ...มีคอลเลคชั่นของเฮลโลคิตตี้ในปีนี้แล้วหรือยัง..


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 05 พฤศจิกายน 2552 08:52:14
ติ่งหู หรือ กะลา คือ ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต(+คนในโลกความจริง)ประเภทหนึ่ง ที่มีนิสัยแย่ๆดังนี้

* บ้าดารา เป็นเนืองนิจ ทั้งดารานักร้องในประเทศ ต่างประเทศ และเลียนแบบต่างประเทศ โดยมักเรียกซูเปอร์สตาร์ในดวงใจของตนว่า ผัว ราวกับว่าตนเองได้ระลึกชาติว่าเคยเป็น ชะนี ในชาติที่แล้ว บางครั้งอาจรวมกลุ่มกันเป็นแฟนคลับสร้างเสริมความบ้า เข้าไปใหญ่

* ทำตัวเป็น คุณหนู ไฮโซ พวกชั้นสูง ตัวเองต้องเหนือกว่าชาวบ้าน ชอบอวด ปากดี ขี้โอ่ ชอบฟุ้งเฟ้อ ชอบพูดแต่เรื่องแฟชั่น (ในกรณีที่ไม่พูดเรื่องดารา) ถ้าใครมาทำตัวเด่นกว่า เก่งกว่า สูงศักดิ์กว่า ก็มักอิจฉาริษยา ไปถล่มเว็บไซต์ บล็อก หรือMy IDเขา บ้างก็ไปป่วนในบอร์ดของนิยายคนอื่น โดยเฉพาะที่ติดอันดับ Top Ten หรือจวนเจียนจะได้ตีพิมพ์นิยายแล้ว ด้วยภาษาที่ดูเหมือนสุภาพ หากแต่ทำร้ายจิตใจคนอ่านได้ดียิ่งกว่าภาษาเกรียนซะอี ก

* ไร้สาระ ไม่มีแก่นสารของชีวิต วันๆจะวนเวียนไปกับกระทู้ที่โพสรูปดารานักร้อง หรือ คนหน้าตาดีไว้ แล้วก็คอมเมนต์พล่ามยกย่องเชิดชูราวกับว่าเขาเป็นพระ เจ้าอย่างงั้นแหละ ภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันคือ ภาษาวิบัติ สังเกตได้ตั้งแต่ Username ยัน Signature อักขระวิธีจะวิบัติและเสื่อมทั้งดุ้น (แถมยังพ่นภาษา Emoticon ออกมาเป็นชุดอีกต่างหาก

* เป็น นักวิชากวน ทำตัวเป็นเด็กเรียน รอบรู้ทุกเรื่อง ทั้งๆที่ไม่รู้จริง มักจะใช้ภาษาสุภาพ ที่ดูสมเหตุสมผล ในการด่าและบั่นทอนจิตใจชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีใครก็ตาม มากล่าวบริภาษว่าร้ายแก่ตนเองหรือดารานักร้องคนโปรด คุณเธอก็จะเถียง+ด่าเป้าหมายด้วยภาษาสุภาพและคำศัพท์ วิชาการล้วนๆ ซึ่งคำด่าอาจยาวเกินสิบบรรทัดด้วยซ้ำไป หากแต่เมื่อลองตั้งใจอ่านดู กลับพบว่าเนื้อหาสาระนั้น ไม่มี! แถมยังพูดจาเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น

* น้ำเน่า ชอบอ่าน/แต่งนิยาย(+การ์ตูน)รักหวานแหววน้ำเน่า ประเภทแค่อ่านย่อหน้าแรกก็รู้ตอนจบได้ ก็แค่พระเอกกับนางเอกงอนกันไปงอนกันมาล่ะว้า แถมนางเอกก็มักบื้อจนโง่ พระเอกก็บ้ากามอีกต่างหาก (เช่นเรื่อง มาเรียที่ฟัก เป็นต้น) หรือไม่ก็อ่าน/แต่งนิยายแนวเวทมนตร์ มนตรา โรงเรียนเวทมนตร์ เทพนิยาย ยุคกลาง หรือมหากาพย์ ซึ่งมีโครงเรื่องออกไปทาง ก๊อปชาวบ้านทั้งนั้น อนึ่ง ปัจจุบันเราไม่นับญาติแนวเวทมนตร์ว่าเป็นแนวเดียวกับ แนวแฟนตาซีอีกแล้ว อันเนื่องมาจากเวทมนตร์เป็นศัพท์ที่พบกันจนเกร่อและช วนเอียน นิยายเรื่องไหนที่มีคำว่า เวทมนตร์ จึงมักไม่ใช่ แฟนตาซี ซึ่งหมายถึงจินตนาการอันเปี่ยมล้น (แถมบางคนชอบใช้ เวท กับ เวทย์ สลับกันมั่วอีกต่างหาก เวท - มาจาก เวท แปลว่า คำ,การพูด เวทย์ - มาจาก วิทฺย เป็นคำสันสกฤต ซึ่งแผลงจากบาลี วิชฺช แปลว่า วิชาความรู้)

* ชอบ อยู่เป็นฝูง หากอยู่ตัวเดียวโดดๆ
ติ่งหูจะไร้ซึ่งอำนาจในการคุกคามผู้อื่น เปลี่ยนการพูดจากลายเป็นแบบสาวน้อยไร้เดียงสา ใช้ภาษาวิบัติดัดเสียงให้ดูน่ารักๆ แต่หากอยู่กันครบหน้าแล้วล่ะก็... ใครขวางแม่ด่ายับแน่ โดยใช้เทคนิคเล่นพรรคเล่นพวก เหมือนนักการเมืองบางคน สนับสนุนพวกพ้อง รุมถองศัตรู (ถอง=..หม่ำ..) และหากใครเคยฟังบทสนทนาของกลุ่มพวกติ่งหูในโลกความจร ิงแล้ว จะพบว่าพวกนี้จะลืมศัพท์วิชากวนที่ใช้ในโลกอินเทอร์เน็ตไปจนหมดสิ้น ใช้แต่คำหยาบคายในการพูดจากับเพื่อนล้วนๆ และมีศัพท์ทางเพศปลอมปนอีกมาก แถมบางครั้งยังทะเลาะวิวาทกันเองเพื่อแย่งชิงกันว่าด ารานักร้องคนนั้นควรจะเป็นผัวของใครอีก เป็นต้น เรียกพวกติ่งหูพวกนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า แรด

* ดูคนที่ภายนอก คือ หน้าตา สัดส่วน และแฟชั่นเครื่องแต่งกายล้วนๆ ไม่สนใจเรื่องอุปนิสัย หรือระดับสติปัญญาของคนอื่น (ยกเว้นคนที่กำลังหมั่นไส้ เรดาห์จับผิดจะทำงานดีนักแล) แถมยังหัวอ่อน เชื่อคนง่ายอีกด้วย ใครพูดอะไรก็เชื่อหมด ไม่มีสมองในการกลั่นกรองพิจารณาแยกแยะระหว่างข้อเท็จ จริงกับโม้คำโต อันเนื่องมาจากติ่งหูมี EQ สูงมากจนหน้าด้าน แต่ดันมี IQ ติดลบ แถมยังชอบเอาแต่ใจ บางคนก็เรียนเก่งในโลกความจริง แต่สติปัญญาก็มิได้มีการกระเตื้องขึ้นเลยแม้แต่น้อย

* เชิดชูเกาหลี เมื่อมีคนมาพาดพิงถึงประเทศเกาหลี หรือบอกความจริงบางอย่างแก่ประเทศเกาหลี เหล่าติ่งหูจะรับไม่ได้ และด่าสาดเสียเทเสีย ด่าถึงบุพการีของผู้ที่พูดความจริง ทั้งๆ ที่มันจริงแท้ๆ อย่างเช่น ถ้ามีคนมาบอกว่า "คนเกาหลีส่วนใหญ่เห็นแก่ตัว"(เรื่องจริง) ติ่งหูเหล่านั้นจะด่ากราด กล่าวหาว่าไม่เคยเห็นคนเกาหลี ไม่เคยไปประเทศเกาหลีอย่างแท้จริง ซึ่งความจริงแล้วนิสัยคนเกาหลีก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ น่ะแหละ เพียงแต่ติ่งหูยอมรับความจริงไม่ได้ แล้วด่ากราด เท่านั้นเอง

* ไม่ชอบยอมรับความจริง เมื่อมีคนมาพูดเรื่องเกี่ยวกับดาราที่ตนชอบในแง่ลบ(แ ต่เป็นเรื่องจริง) ติ่งหูจะพยายามเถียง เมื่อเถียงแพ้(เนื่องจากมันเป็นความจริง)ก็จะด่ากราด ถึงบุพการี เนื่องจากไม่สามารถยอมรับความ จริงได้ ดังที่จะเห็นบ่อยๆ คือ มีคนมาบอกว่า "กอล์ฟไมค์ก็อปเพลงไอ้ยุ่น" ติ่งหูจะไม่สามารถยอมรับความจริงได้อย่างเต็มที่ สงผลให้เกิดการด่ากราด

ที่มาของติ่งหู
* ที่มาของคำว่า ติ่งหู หรือ กะลานั้น ต้นกำเนิดจะคล้ายๆกับเกรียน นั่นก็คือ มักจะเป็นกลุ่มเยาวชนตั้งแต่ ป.4 ไปจนถึง ม.ปลาย ซึ่งโรงเรียนที่ปกครองระบอบเผด็จการนั้น จะบังคับให้เด็กนักเรียนหญิง ตัดผมทรงกะลา ซึ่งมักจะสั้นไม่เกินคาง แต่ถ้าบางแห่งเผด็จการมากๆ ก็จะให้แค่สั้นมาก ถึงขั้นไม่เกินติ่งหู (แถมตัวมักจะดำอีกต่างหาก) ซึ่งถ้าหากเกรียนกำลังคลั่งเกมออนไลน์อยู่ ติ่งหูก็กำลังคลั่งดาราบนทีวีหรือไม่ก็คลั่งนิยายน้ำ เน่าบนบางเว็บไซต์อยู่แน่นอน แต่สมัยก่อนยังไม่มีคำว่า ติ่งหู หรือ กะลา เพราะพวกนี้เดิมทีมีอยู่เป็นจำนวนน้อยมาก (ประมาณ 1 ใน 10 ของเกรียน) แถมพวกนี้ยังชอบไปป่วนในโลกความจริงมากกว่า จึงไม่ค่อยมีใครรู้ว่ามีตัวตนอยู่

* แต่คำว่าติ่งหู หรือ กะลานั้น เริ่มแพร่หลายเมื่อ เด็กนักเรียนหญิงบางกลุ่มรวมหัวกันไปแรด ที่ห้างสรรพสินค้าหรือสถานเริงรมย์บางแห่ง โดยที่ถึงจะไปเปลี่ยนชุดจากชุดนักเรียนมาแล้ว แต่ผมทรงกะลากับติ่งหูโผล่ก็ยังคงเป็นหลักฐานบ่งบอกร ะดับวัยวุฒิและคุณวุฒิอยู่ดี ผู้ใหญ่บางท่านผ่านมาเห็นก็เอือมระอา พร้อมๆกับกล่าวว่า "โถๆยัยหนูกะลา อายุแค่นี้ทำซ่าจริงๆ" "ผมยังไม่ทันพ้นติ่งหูเล้ย เสียเด็กซะแล้ว" หรือ "น้องๆจ๊ะ มากับเสี่ยมั้ยจ๊ะ เดี๋ยวเสี่ยเลี้ยงฮอทดอกอุ่นๆให้นะจ๊ะ" อะไรทำนองนี้ เมื่อมีมากรายเข้า คำว่า ติ่งหู หรือ กะลา จึงแพร่หลายในที่สุด

* ติ่งหู หรือ กะลา เริ่มเป็นที่รู้จักในอินเทอร์เน็ต โดย
ชาวประมูลบางคน ได้มาตั้งกระทู้ก่นด่ากลุ่มคนพวกนี้ เนื่องจากไม่พอใจในพฤติกรรมของพวกไฮโซจากบางเว็บไซต์ ที่มักจะบ้าดาราจนเกินเหตุ แต่พอลองไปถามเรื่องพวกนี้ดู (ว่ามันมีดีตรงไหนเนี่ย ไอ้นักร้องเกาหลีหน้าตุ๊ดคนเนี้ย)ปรากฏว่า ถูกหลอกด่าด้วยศัพท์วิชากวนซะจนเละ จึงเอามาระบายอารมณ์ที่เว็บไซต์ของตน ซึ่งต่อมาจึงได้เกิดสงครามขึ้นระหว่าง เว็บประมูล กับ บางเว็บไซต์ อย่างรุนแรง

* อีกกรณีหนึ่ง ผู้หลักผู้ใหญ่ หรือ ผู้มีวุฒิภาวะบางท่าน ซึ่งไม่พึงพอใจในการกระทำหลายๆอย่างของเด็กนักเรียนห ญิงในสมัยปัจจุบันเป็นอย่างมาก (เรียกได้ว่าเป็น เกรียนผู้หญิง นั่นเอง) จึงได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เด็กพวกนี้ตามบอร์ดต่างๆ ทำให้เกิดเรื่องฮือฮา และตื่นตัวในไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้มากขึ้น นอกเหนือจากไวรัสเกรียนและโอตาคุ โดย เทหร้าสเฟียร์ เป็นท่านแรกที่เสนอให้ใช้คำว่า กะลา แต่บักมารินอส ผู้ปลุกระดมกระแสต่อต้านบางเว็บไซต์จากประมูลคนแรก รวมถึงพวกที่อยู่พันธุ์ทิพย์ด้วย ได้ใช้คำว่า ติ่งหู แทน ซึ่ง ทั่นผู้นั้น ได้เห็นว่า มันมีที่มาจากที่ๆเดียวกันทั้งคู่ นั่นก็คือ ผมทรงนักเรียนหญิงนั่นเอง

วิธีการรักษา
* กลับบ้านไปกราบเท้าแม่ซะ แล้วบอกว่า "ขอโทษค่ะ ที่หนูเป็นติ่งหู"
* อ่านหนังสือทบทวนตำราเรียนซะ เดี๋ยวจะเรียนไม่จบเอาเปล่าๆ
* หาหนังสือ "สมบัติผู้ดี" มาอ่านบ้างก็ได้นะครับ
* เข้าวัดเข้าวาซะหน่อย เผื่อจะเป็นผู้เป็นคนขึ้น
* ถ้าจะให้ดีที่สุด ไปเกิดใหม่ เลยก็ได้นะครับ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Tatum + Apple ที่ 08 พฤศจิกายน 2552 00:49:18
 :emoto :emod


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: BirdZ_ZestUp ที่ 08 พฤศจิกายน 2552 01:02:21
ภาพนี้มิได้เป็นการดูหมิ่น   แต่ดูแล้วอึ้งคับ

http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_06_2008/post-22738-1214734473_thumb.jpg
เออจริงด้วยลองแล้ว ผนังสีขาวยิ่งชัดเลย


:emotn :emotn


อึ้งครับ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: Tatum + Apple ที่ 08 พฤศจิกายน 2552 23:58:54
 :emotn


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 10 พฤศจิกายน 2552 13:28:23
http://moremeng.in.th/2009/03/tamiya-toys.html

ของเล่นสมัยเด็ก


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: DRAFF_MAN ที่ 10 พฤศจิกายน 2552 13:32:09
เค้าเคยมี 1 คัน


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 10 พฤศจิกายน 2552 13:40:18
ชอบมากเลย ไปเลย!!!! บีสแม๊กนั่มมมมมมมมมมมมมม


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: DRAFF_MAN ที่ 10 พฤศจิกายน 2552 13:40:57
ชอบมากเลย ไปเลย!!!! บีสแม๊กนั่มมมมมมมมมมมมมม

โหๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แฟนพันะ์แท้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 10 พฤศจิกายน 2552 14:28:24
เด๋วจะทำโดเรมอนบิน แบบแม๊กนั่ม :emob


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 23 พฤศจิกายน 2552 10:30:15
มีไรเพิ่มเติมม่ะครับ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: N u T 7 a_9 0 ™ ที่ 23 พฤศจิกายน 2552 16:49:16
พอดีเมื่อวานไปถวายเทียนพรรษาที่วัดหลวงพ่อโอภาษีครับ


  

คิดว่าเพื่อนๆที่อยู่แถวพระราม2 คงรู้จักกันทุกคน

เข้าเรื่องเลยนะครับ

ผมก็ไปกับที่บ้านรวม 5 คน เข้าไปถึงกุฎิที่พ่อผมบอกว่า

เป็นพี่ชายของเจ้าอาวาส

เป็นหลวงพ่อ อายุราวๆ 70 ตาซ้ายเสียอ่ะครับ


เห็นบอกว่าองค์นี้เก่งมากก็เข้าไปถวายเทียนพรรษา

พร้อมๆกับอีกหลายๆคน ที่มาหาหลวงพ่อเช่นกัน
พอถวายเทียนเสร็จหลวงพ่อท่านก็เล่าว่าท่านนิมิต(ฝัน)ว่า


ท่านได้ไปนรกครับไปเจอเท้าเทพสุวรรณ(ยมฑูต)
ท่านก็เล่าว่า ท่านถามสุวรรณว่าท่านตายแล้วเหรอ?


สุวรรณบอกว่าท่านยังไม่ตายแต่จะพาไปเที่ยว
แล้วเค้าก็พาหลวงพ่อเดินไป เดินไปเรื่อยๆ
จนถึงระยะหนึ่ง หลวงพ่อหยุดเดิน สุวรรณที่เดินนำ

ก็เดินกลับมาครับ แล้วถามว่า หยุดทำไม?


ท่านก็ตอบว่า เดินตั้งนานแล้วในนรกไม่เห็นมีอะไรเลย
ระหว่างนั้นท่านก็บรรยายบรรยกาศของนรกว่า

นรกมีไฟเพลิงสีส้มแดง แต่ไม่มีควัน แล้วก็ไม่ร้อน

ที่ท่านไม่ร้อนเพราะท่านมีบุญดีอยู่
แล้วสุวรรณก็ถามต่อครับว่า อยากเห็นอะไรละ?

ท่านตอบว่า อยากเห็นต้นงิ้ว และกะทะทองแดง
สุวรรณบอกว่าไม่มีหรอก มนุษย์อุปโหลกขึ้นมาเองทั้งนั้น

ในนี้มีแต่ไฟโลกัณฑ์ เดินไปอีกหน่อยแล้วจะรู้เอง

ท่านก็ได้เดินต่อไป สิ่งที่ท่านเห็นก็คือ เหวที่มีไฟแดงฉาน

อยู่ข้างล่าง

สุวรรณบอกว่า ใครทำกรรมชั่วมากก็จะอยู่ข้างล่างสุด
ทำกรรมชั่วน้อยก็จะอยู่ข้างบน ซึ่งข้างล่างจะร้อนกว่าข้างบน

คราวนี้เดินต่อไปเรื่อยๆ ท่านก็เห็นทางสามแพร่ง

มีน้ำกันอยู่ จึงได้ถามสุวรรณว่านี้คืออะไร
สุวรรณตอบว่านี่คือทางไปนรก สวรรค์ โลกมนุษย์

ซึ่งมีคนยืนในช่องทางไปโลกเยอะมากๆ
มีบางคนแอบซุกเพื่อหลบน้ำที่จะต้องผ่าน

ท่านจึงถามว่าน้ำนี่คืออะไร
สุวรรณตอบว่าน้ำนี่ใช้ชะล้างจิตใจ ให้ลืมอดีต

แล้วไปเกิดใหม่ คนที่หลบหลีกน้ำนี้ไปได้จะต้องเป็นทุกข์

(ที่เข้าใจคือระลึกชาติได้)


แล้วท่านก็เล่าว่า พวก สส.ที่มันได้ดีเพราะมันกินบุญเก่า

เหมือนปลูกต้นแอปเปิ้ลไว้ ตัวเองปลูกตัวเองก็ได้กิน
เมื่อต้นแอปเปิ้ลหมดก็อดกิน ก็เหมือนกับพวก สส.

ที่กินบุญเก่าอยู่ เราไม่สามารถไปทำอะไรเค้าได้ ต้องรอ

ให้เค้าหมดบุญไปเอง


หลวงพ่อท่านก็ถามสุวรรณต่อว่าวิญญาณมนุษย์

ไปเกิดก็เยอะ แล้ววิญญาณที่ยังอยู่ที่โลกก็เยอะ
ทำไมไม่จับมาให้หมด สุวรรณก็ตอบว่า
จับมาไม่ได้เพราะเค้ายังไม่หมดอายุขัย ร่างกายคนเรา

มี สังขาร (ร่างกาย) และจิตวิญญาณ เมื่อละสังขารแล้ว
แต่ยังไม่ละจิตวิญญาณ คือยังไม่ถึงที่ตาย เช่นพวก

ฆ่าตัวตาย หรือถูกรถชนตาย วิญญานก็จะต้องวนเวียนอยู่

ในโลกไปจนกว่าจะถึงเวลาที่ละวิญญาณแล้ว

ถึงจะไปรับมาได้ ท่านจึงถามต่อว่า


พ่อหลวงจะมีอายุยืนยาวไหม?
สุวรรณตอบว่า ท่านสิ้นอายุขัยแล้วแต่มีคนต่ออายุขัยให้ท่าน
ซึ่งก็คือพี่สาวของท่านเอง


  

แล้วประเทศไทยละจะเป็นอย่างไรต่อไป?
สุวรรณตอบว่า บอกไม่ได้

แล้วหลวงพ่อก็เดินต่อไปอีก
คราวนี้ไปเจอแอ่งน้ำลักษณะเหมือนเขื่อน

ซึ่งมองไปที่กำแพงกั้นน้ำ สิ่งที่ท่านเห็นคือ

ม้าตัวผอมเซียว ซึ่งมี พระเจ้าตาก และ พระปิยะมหาราช ยื่นขวาง

ลำน้ำอยู่

ท่านบอกว่า ที่เห็นอยู่คือกษัตริย์เก่าๆ

ช่วยไม่ให้กรุงเทพฯ ถูกน้ำท่วม

จริงๆกรุงเทพฯต้องถูกน้ำท่วมไปนานแล้ว

แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ม้าจะหมดแรง

จากความหนาวของน้ำ

และการอดอาหารมานาน


หลวงพ่อท่านพูดจบ

น้ำตาท่านก็ไหลออกมา


แล้วบอกให้ทุกคนที่ได้รับฟัง

เรื่องราวของท่านว่า เป็นนิมิตของท่าน
จะเชื่อหรือไม่ก็ได้ เพราะท่านก็ยังคิดว่า

เป็นความฝันของท่าน...


แต่ท่านก็กำชับกับทุกๆคนเอาไว้ว่า

เวลาไปที่วงเวียนใหญ่ หรือพระบรมรูปทรงม้า
หรือที่ไหนก็แล้วแต่ที่มี พระบรมรูป

ให้กราบไหว้โดยนำ หญ้าที่ม้ากิน

ล้างให้สะอาดไปถวายด้วย
เพื่อให้ม้ามีกำลังยืนต่อไปได้


ผมก็คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ทุกคนมองข้ามไปจริงๆ
เพราะคนส่วนมากเวลาไปไหว้

ก็จะนำแต่ดอกไม้ไปไหว้เท่านั้น


สิ่งหนึ่งที่ผมคิดคือมันแปลกมากที่อยู่ๆ
เข้าไปถวายเทียนแล้วท่านก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

ในเมื่อมีโอกาสได้รับรู้ก็ควรเผยแพร่

แก่ทุกๆคนครับ


ก็อยากจะฝากเพื่อนๆ แต่อันนี้

สุดแล้วแต่ความเชื่อครับ


ขอบคุณครับ/ค่ะ
 
เป็น foward เมล์ที่ได้รับมาครับ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: จิ๊กโก๋..โรแมนติก <RZ> ที่ 23 พฤศจิกายน 2552 22:55:47
อ่านเรื่องนัทแล้วขนลุก


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 23 พฤศจิกายน 2552 23:20:29
เวลาไปไหว้สมเด็จพ่อก้อย่าลืมกันนะค้าบ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: DRAFF_MAN ที่ 24 พฤศจิกายน 2552 09:52:13
ขนลุกเลยยยยยย


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 30 พฤศจิกายน 2552 11:19:02
http://www.allhotvideo.com/ufo.php
เอาไว้ดู UFO


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 30 พฤศจิกายน 2552 11:49:19
http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.ufo-reports.com/images/CropCircle3.jpg&imgrefurl=http://www.ufo-reports.com/crop-circles.html&usg=__8VRmdcUYxfepipvV_hxpam4Tzd0=&h=400&w=400&sz=34&hl=th&start=2&um=1&tbnid=vgeTY2DxVkEa1M:&tbnh=124&tbnw=124&prev=/images%3Fq%3Dcrop%2Bcircle%26hl%3Dth%26client%3Dfirefox-a%26rls%3Dorg.mozilla:en-US:official%26sa%3DX%26um%3D1


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 30 พฤศจิกายน 2552 11:49:39
ลายสวยดีคับ   


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: soda ที่ 30 พฤศจิกายน 2552 11:50:26
ลายสวยดีคับ   
จะสักหรอ :emoth


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 30 พฤศจิกายน 2552 21:26:19
แหมน้า...รายพร้อยขนาดนี้

ถ้าใจถึงก้อยากอยู่อ่ะ   

เอาไว้เพ้นเป็นลายรถก้น่าจาสวยนะน้า ..ไม่ซ้ำใครดีอ่ะ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 03 ธันวาคม 2552 10:05:50
ใครไปดู 2012 มาแล้วบ้าง

เล่าให้ฟังหน่อยครับ ว่าน่าไปดูป่าว กลัวไปดูแล้วผิดหวังครับ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: WHITE_AE110 ที่ 03 ธันวาคม 2552 10:11:31
ผมดูผ่านเน็ทอะน้าอิศ เอฟเฟคการถ่ายทำดีนะ แต่เนื้องเรื่องไม่ค่อยดีอะน้า วันไหนว่าง ๆ มานั่งดูที่ห้องผมดิ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: landslots รัก ในหลวง ที่ 03 ธันวาคม 2552 10:14:26
ผมดูผ่านเน็ทอะน้าอิศ เอฟเฟคการถ่ายทำดีนะ แต่เนื้องเรื่องไม่ค่อยดีอะน้า วันไหนว่าง ๆ มานั่งดูที่ห้องผมดิ

ไปก็เมาดิ๊........  555+++


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: WHITE_AE110 ที่ 03 ธันวาคม 2552 10:16:18
ผมดูผ่านเน็ทอะน้าอิศ เอฟเฟคการถ่ายทำดีนะ แต่เนื้องเรื่องไม่ค่อยดีอะน้า วันไหนว่าง ๆ มานั่งดูที่ห้องผมดิ

ไปก็เมาดิ๊........  555+++
มาเหอะ ทำยังกะไม่เคยยยยยย อิอิ หน่าาาา เมานิดเดียวเดี๋ยวก็หายยยยยย เอ๊ะคำนี่คุ้น ๆ อิอิ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: maverrick_ae101 รักในหลวง ที่ 03 ธันวาคม 2552 11:46:21
เค้าเรียกว่าเมาไม่เจ็บ....5555

สงสัยจามีแดจาวูอีกแว้วว


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: WHITE_AE110 ที่ 03 ธันวาคม 2552 14:56:48
เค้าเรียกว่าเมาไม่เจ็บ....5555

สงสัยจามีแดจาวูอีกแว้วว

เค้าไม่เคยดูอะแดจาวู เล่าให้ฟังหน่อยจิ


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: แค๊ปหมู ^_^ ที่ 03 ธันวาคม 2552 15:03:07
 :emotg :emotg


หัวข้อ: Re: เรื่อง มหัศจรรย์ ที่เราไม่รู้(แต่ควรจะรู้ไว้เป็นความรู้) เอะยังไง
เริ่มหัวข้อโดย: WHITE_AE110 ที่ 03 ธันวาคม 2552 15:38:34
นัทเตะบอลป่าวววว