|
หัวข้อ: ประกันสะสมทรัพย์กับการออมก็ได้ ประหยัดภาษีก็ดี เริ่มหัวข้อโดย: pijittra ที่ 18 พฤศจิกายน 2568 16:58:24 ในโลกของการเงินและการลงทุนยุคใหม่ การสร้างวินัยทางการเงินพร้อมกับการวางแผนภาษีถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ชาญฉลาดประกันแบบสะสมทรัพย์ (https://shorturl.asia/NCZpr) จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งสองด้านนี้ได้อย่างลงตัว เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือในการ ออมเงิน อย่างมีเป้าหมายแล้ว เบี้ยประกันที่จ่ายไปยังสามารถนำไปใช้ ลดหย่อนภาษี ได้อีกด้วย
ประกันสะสมทรัพย์ คือ การผสมผสานระหว่าง ความคุ้มครองชีวิต และ การออมเงิน ส่วนคุ้มครอง: ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินสินไหมทดแทนหากเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนด ส่วนสะสมทรัพย์: เมื่อครบกำหนดสัญญา (เช่น 10 ปี, 15 ปี, หรือ 20 ปี) ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนเป็นจำนวนที่แน่นอน ซึ่งโดยทั่วไปจะสูงกว่าเบี้ยประกันที่จ่ายไปทั้งหมด ทำให้เกิดผลตอบแทน ข้อดีหลัก: เป็นการออมที่แน่นอน มีวินัยสูง และให้ผลตอบแทนที่ปลอดภาษีตามเงื่อนไข (https://img5.pic.in.th/file/secure-sv1/77d87f2838b15352b0.jpg) สิทธิลดหย่อนภาษีที่มาพร้อมกับประกันสะสมทรัพย์ ตามกฎหมายภาษีของประเทศไทย ประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์มีสิทธิในการนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ดังนี้: 1. สิทธิลดหย่อนหลัก (สูงสุด 100,000 บาท) เบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันสะสมทรัพย์ (รวมถึงประกันบำนาญในส่วนที่ไม่มีเงื่อนไขตามข้อ 2) สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท เงื่อนไขสำคัญ:กรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปต้องเป็นเบี้ยประกันที่จ่ายให้กับบริษัทประกันภัยที่ประกอบกิจการในประเทศไทย 2. สิทธิลดหย่อนเพิ่มเติมสำหรับ "ประกันบำนาญ" (สูงสุด 200,000 บาท) หากประกันสะสมทรัพย์ที่เลือกมีลักษณะเป็น ประกันชีวิตแบบบำนาญ จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมแยกต่างหาก: เบี้ยประกันบำนาญสามารถนำมาลดหย่อนได้ สูงสุด 200,000 บาท เมื่อรวมกับสิทธิลดหย่อนหลักแล้ว สิทธิลดหย่อนภาษีรวมสูงสุดของประกันชีวิตและบำนาญจึงอยู่ที่ 300,000 บาท (โดยที่วงเงิน 100,000 บาทแรกเป็นวงเงินรวมของประกันทุกประเภท) เงื่อนไขสำคัญของประกันบำนาญ:ระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป กำหนดการจ่ายเงินบำนาญต้องเริ่มตั้งแต่อายุ 55 ปี จนถึงอายุ 85 ปีขึ้นไป การเลือกประกันสะสมทรัพย์เพื่อลดหย่อนภาษี เพื่อให้การออมและการประหยัดภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรพิจารณาสิ่งเหล่านี้ พิจารณา "ผลตอบแทนรวม" (Internal Rate of Return - IRR): อย่ามองแค่ตัวเลขเงินคืน แต่ให้เปรียบเทียบผลตอบแทนที่แท้จริงหลังจากหักค่าใช้จ่ายและคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยทบต้นต่อปี ประเมินอัตราภาษีของตนเอง: ผู้ที่มีรายได้สูงและอยู่ในฐานภาษี 20% ขึ้นไป จะได้รับประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีสูงสุด ดังนั้นการวางแผนเบี้ยประกันให้เต็มวงเงินที่สามารถลดหย่อนได้จึงมีความคุ้มค่ามาก เลือกความคุ้มครองที่เหมาะสม: แม้จะเป็นการออม แต่ควรตรวจสอบความคุ้มครองชีวิตขั้นต่ำว่าเพียงพอต่อภาระหนี้สินและความรับผิดชอบหรือไม่ ระยะเวลาออมที่สอดคล้องกับเป้าหมาย: เลือกแผนที่ระยะเวลา 10 ปี, 15 ปี หรือ 20 ปี ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน (เช่น ออมเพื่อเป็นทุนการศึกษาบุตร หรือเงินก้อนหลังเกษียณ) |